เรื่องเล่าจากพาเวล 'เจอดีกลางกองถ่าย' l อังคารคลุมโปง X พูห์-พาเวล [ 25 พ.ย.2568 ]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากพาเวล 'เจอดีกลางกองถ่าย' l อังคารคลุมโปง X พูห์-พาเวล [ 25 พ.ย.2568 ]

04 ธ.ค. 2025

     ในซีนพิธีบูชายัญ ระหว่างที่เข้าบทจังหวะที่นอนลงบนพื้น กลับรู้สึกถึงแรงลม และพลังงานบางสิ่งบางอย่างที่พัดผ่านลำตัวไป แต่ในฉากกลับไม่มีใครเลย หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปได้ไม่นานได้ไปดูดวง แต่กลับโดนทักเตือนให้ระวังเรื่องบางอย่าง… ที่เมื่อเวลาผ่านไปกลับเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น!

     เรื่องราวขนหัวลุกกลางกองถ่าย.. ‘พาเวล’ ได้เข้ามาเล่าเรื่องราวของตนเอง ขณะที่กำลังเข้าฉากถ่ายทำ แต่กลับสัมผัสได้ถึงพลังงานบางสิ่งบางอย่าง ที่เหมือนจะตามติดกลับไปโดยบังเอิญ

     เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X พูห์ - พาเวล’ (25 พฤศจิกายน 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘เจอดีกลางกองถ่าย’

     เรื่องราวจาก ‘พาเวล’ เกิดขึ้นในกองถ่ายฉากต้นไม้ 7 ศพ ตั้งอยู่ในห้างร้างแห่งหนึ่ง และมีอยู่หนึ่งซีนสำคัญ ที่ทีมงานยังไม่ได้ถ่าย ซึ่งเป็นซีนฉากทำพิธีบูชายัญที่ตามคิว… “ผี” ต้องปรากฏตัวในเซ็ตจริง ๆ ก่อนเริ่มการถ่ายทำ พาเวลถามผู้กำกับว่า

 “เดี๋ยวผีเข้ามาเลยไหม หรือเล่นยาวเทคเดียวไปเลยรึเปล่า?”

    แต่ผู้กำกับตอบว่า ยังต้องมีการรีเซ็ตก่อน เพราะซีนใหญ่มากกลัวใช้เวลาเกินไป จะยังไม่มีอะไรเข้ามาในเซ็ตตอนนี้ พาเวลจึงเล่นไปตามบทแบบไม่คิดอะไร จนถึงจังหวะฉากที่เขาต้องนอนบนพื้นหลับตาไม่เห็นใครรอบตัวแล้วตอนนั้นเอง…พาเวลรู้สึกว่า

     มีลมแผ่ว ๆ พัดข้ามตัวไปถึง 2 ครั้ง ความรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างเดินผ่านไป เป็นลมที่ทำให้รับรู้ได้ถึงพลังงานบางอย่าง พาเวลได้แต่นึกว่า ผู้กำกับเปลี่ยนบทหน้างานเอาผีเข้ามาจริงเลยเล่นต่อแบบเต็มที่ แต่พอหลังจากถ่ายเสร็จ ไปกินข้าวตอนเย็นซึ่งมีการคุยกันถึงฉากที่เกิดขึ้น แต่คำตอบที่ได้คือ…

 “ไม่มีใครเอาผีเข้าซีนเลยนะ แพลนเดิมทุกอย่าง”

     ทั้งที่ในฉากนั้นมีคนอยู่เต็มไปหมด แต่มีแค่พาเวลคนเดียวที่รู้สึกถึง ‘ลมสองครั้ง’ พาเวลเริ่มเอะใจ เพราะในเรื่องตัวละครเขาเป็นคน ไม่เชื่อเรื่องลี้ลับ ล้อเล่นกับความตาย ไม่กลัว  ไม่ให้เกียรติพิธี เขาเลยย้อนคิดกลับไปว่า…

 “หรือสิ่งนั้น… ไม่รู้ว่านี่คือการแสดง?” อาจทำให้ ‘ใครบางคน’ เข้าใจว่าเขากำลังลบหลู่จริง ๆ

    ความหลอนยังไม่จบง่าย ๆ เพราะตั้งแต่เข้าวงการมา พาเวลมีไปดูดวงเป็นครั้งคราวอยู่แล้ว และหลังถ่ายซีนนี้ไม่นานเขาได้ไปเจอหมอดูคนหนึ่ง หมอดูเปิดไพ่ใบแรกเป็นภาพของเขาที่มี “ผู้หญิงเกาะอยู่ด้านหลัง” แล้วถามทันทีว่า

 “ช่วงนี้ไปสถานที่ที่มีของแรง ๆ มารึเปล่า?” พาเวลได้แต่นิ่ง เพราะเขาเพิ่งไปถ่ายฉากที่ห้างร้างจริง ๆ มา

    หมอดูเปิดไพ่ใบต่อมาเป็นภาพ รถคว่ำ ไฟลุกท่วม มียมทูตยืนอยู่ข้างหลัง และยังมีเงาตึกร้างกับต้นไม้อยู่ในภาพ หมอดูเปิดไพ่แล้วบอกว่า

 “ระวังเรื่องรถนะ มีเหตุแน่ ทั้งเจ็บ ทั้งเสียเงิน ไม่รอดแน่นอน”

   แม่หมอจึงให้เขาไปทำบุญโลงศพ อาบน้ำมนต์ และสวดมนต์บทเฉพาะเพื่อให้สิ่งหนัก ๆ เบาลง ซึ่งพาเวลก็ทำตามทุกอย่างแบบไม่คิดมาก แต่ประมาณหนึ่งถึงสองอาทิตย์หลังจากนั้นขณะที่เขาขับรถตามปกติจู่ ๆ ยางรถก็รั่ว พาเวลคิดว่าแค่ล้อเดียว แต่พอช่างตรวจกลับพบว่า

“ทั้งสี่ล้อโดนตะปูเหมือนกันหมด และยางรุ่นนี้ซ่อมไม่ได้ ต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด” มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นพร้อมกันแบบนี้ได้เลย แต่ก็กลับเกิดขึ้นเหตุการณ์ขึ้นจริง พาเวลยังคงบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่เมื่อมองย้อนกลับไป มันก็อดสงสัยไม่ได้ว่า… ทั้งหมดนี้เป็นแค่ความบังเอิญ หรือเป็นสัญญาณบางอย่างจากสิ่งที่เขาไปลบหลู่โดยไม่ตั้งใจ

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณกรณ์ 'ครูพี่เลี้ยง' l อังคารคลุมโปง X NICECNX [ 18 พ.ย.2568 ]

28 พ.ย. 2025

เรื่องเล่าจากคุณกรณ์ 'ครูพี่เลี้ยง' l อังคารคลุมโปง X NICECNX [ 18 พ.ย.2568 ]

ผมเข้าไปล่าท้าผีในโรงงานร้างแห่งหนึ่ง พอเข้าไปถึงตึกที่พักของคนงานเก่าเลยขึ้นไปที่ชั้น 2 เจอเลขห้องประหลาดห้อง 2A6 พอเข้าไปก็เห็นกระถางธูปวางตามจุดเตียงนอนทุกจุด ถามรปภ.ก็ได้รู้ว่ามันคือจุดที่คนงานตายทั้งหมด ไม่เพียงแค่นั้น บานประตูที่เปิดเข้ามาก็มีสายสิญจน์โยงมัดรอบห้อง ผมเห็นท่าไม่ดีเลยรีบลงจากตึกมาชั้น 1 ระหว่างทางลงก็คิดพิเรนทร์พูดใส่ Intercom “ฮัลโหล ตึกตรงข้ามมีคนอยู่ไหม” แล้วก็ได้ยินเสียง “คลื่นสัญญาณแทรก” ดังมาตามสายทั้ง ๆ ที่ทั้งตึกไม่มีไฟฟ้าแล้ว เมื่อเดินไปตึกฝั่งตรงข้าม คนในไลฟ์สดดันบอกว่าเห็นกลุ่มคนอยู่ในตึกนั้น 20 กว่าคน! ทั้ง ๆ ที่มันเป็นตึกร้าง ผมเลยโบกมือให้กล้องที่ไลฟ์อยู่อีกฝั่งหนึ่ง และเมื่อกลับมานั่งตัดคลิป ก็เห็นว่าตอนนั้นโบกมือนั้น หัวของผมหายไป! หลังจากกลับมาก็มีแฟนคลับเปิดกล้องไลฟ์ที่วัดแห่งหนึ่ง และได้ยินเสียงวิญญาณผู้หญิงเรียกชื่อตัวเองให้เข้าไปขอขมา และช่วยให้เธอได้ไปเกิดเพราะเขากับเธอเคยเกี่ยวข้องกันในอดีตชาติ! โรงงานร้างสุดหลอน..ที่ทำให้การล่าท้าผีของเขาไม่เหมือนเดิม เมื่อพบว่าในขณะที่กำลังไลฟ์สดอยู่นั้น หัวของเขาดันหายไป! ท่ามกลางผู้คนในไลฟ์ที่รับชมอยู่ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X NICECNX’ [ 18 พ.ย.2568 ] ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ ‘ดีเจโซเซฟ’ และ ‘ดีเจมดดำ’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘นิคมอุตสาหกรรมร้าง’ เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ‘คุณกรณ์’ ได้เล่าว่า ตนเองทำงานเป็น Creator ในแพลตฟอร์มออนไลน์เขาเป็นนักเล่าเรื่องลี้ลับ และมีการลงพื้นที่ไปสำรวจสถานที่ลึกลับต่าง ๆ หรือที่เรียกกันว่า ‘ล่าท้าผี’ จนกระทั่ง ‘พี่เต๋า’ พี่ชายคนสนิทได้เอ่ยถามเขาว่า‘กรณ์อยากไปลงพื้นที่ไหม? พี่มีพื้นที่อยู่ที่หนึ่ง น่าสนใจมาก’ เต๋าเชิญชวน‘มันเป็นยังไงพี่?’ เขาถามกลับไปด้วยความสงสัย‘พื้นที่นี้มันเป็นโรงงาน’ คำเชิญชวนจากพี่ชายคนสนิทสร้างความตื่นเต้นให้แก่กรณ์ และด้วยความไม่คิดอะไรจึงคิดว่าสถานที่แห่งนั้นคงเป็น เพียงแค่โรงงานธรรมดาแห่งหนึ่งก็เท่านั้น เขาเลยตัดสินใจตอบรับคำไป‘ไปครับ เดี๋ยวไปเปิดกล้องไลฟ์สดกัน’ พอถึงวันที่นัดแนะกันในช่วงเวลาประมาณ 3 ทุ่ม กรณ์ก็ไปถึงที่โรงงานแห่งนั้น ทันทีที่ก้าวขาเข้าไป ก็พบกับรปภ.คนหนึ่งประจำการอยู่ที่หน้าโกดังทำให้เขาเกิดความสงสัยขึ้นมาว่าถ้าหากที่แห่งนี้เป็นโกดังร้างทำไมถึงมีคนอยู่? แต่ก็ได้รับคำตอบที่คลายความสงสัยนั้นจากเต๋าพี่ชายคนสนิทว่า“ที่นี่ไม่ใช่โกดังร้าง ข้างในมีทรัพย์สินอยู่ แต่มันรกร้างมา 30 ปีแล้ว” จากการกวาดสายตาสำรวจดูกรณ์พบว่า โดยรอบของโรงงานมีไฟฟ้าเปิดอยู่โดยรอบทั้งยังมีคนคอยดูแลตรวจตราอยู่สม่ำเสมอ เขาเลยคิดว่าพี่เต๋าคงจะมีการวางแผนพาเขามาแกล้งอย่างแน่นอน หลังจากนั้นกรณ์ เลยพยายามสอดส่องหาพื้นที่ที่คิดว่าจะสามารถเข้าไปไลฟ์ได้ แต่ทางด้านพี่เต๋าก็ยังคงเงียบ ไม่เอ่ยปากพูดอะไร กรจึงตัดสินใจเดินเข้าไปถามยามคนนั้น“พี่รปภ. มาอยู่กี่วันแล้วครับ”“ผมเพิ่งมาอยู่ได้แค่ 15 วันเองครับ” รปภ.ตอบกลับกรณ์“แล้วรู้จักกับพี่เต๋าได้ยังไงครับ?”ด้วยระยะเวลาการทำงานที่สั้นเลยทำให้เขาเกิดความสงสัยจึงเอ่ยถามไป“พี่เต๋าเป็นหัวหน้างานครับ คอยส่งรปภ.ลงตามพื้นที่โรงงานครับ” และเขาก็ได้รับคำตอบคลายความสงสัยกลับมา“เห็นไฟสปอร์ตไลท์ตรงนั้นไหมครับ สุดตรงนั้นไปแล้วจะวังเวงมาก ๆ ไม่มีใครกล้าเข้าไปเลยครับ”รปภ.ชี้นำไปตามทางสุดเส้นถนนที่ดูเปลี่ยว และมืดจนน่าขนลุก เดิมที่โรงงานแห่งนี้มีรปภ.คอยเฝ้าดูแลอยู่ตลอดเวลาจำนวน 15 นาย แต่เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้พวกเขาลาออกพร้อมกันทั้งหมด จนท้ายที่สุดแล้วเหลือรปภ.เพียงแค่ 2 คนเท่านั้นที่ทำงานอยู่ ยามคนที่หนึ่งจะยืนเฝ้าอยู่ตรงบริเวณข้างหน้าทางเข้า ส่วนคนที่สองจะคอยตรวจตราอยู่จุดที่สปอร์ตไลท์ส่องตามที่รปภ.ได้เกริ่นไว้ใครคราแรก เมื่อกรณ์ ได้สังเกตเห็นพี่รปภ.ที่ยืนอยู่ตรงตำแหน่งด้านในก็พบว่าลักษณะท่าทางของเขาเหมือนคนอยู่ไม่ติดกับที่ยามคนนั้นเดินวนไปวนมาอยู่ตลอดเวลาอย่างผิดวิสัย เขาเลยเดินเข้าไปถามด้วยความสงสัย“พี่เดินไปเดินมาทำไมครับ?”“ไม่สามารถอยู่กับที่ได้ครับ” คำตอบของพี่รปภ.สร้างความฉงนให้กับกรอีกครั้ง“ทำไมครับ? เกิดอะไรขึ้น”“ถ้าพร้อมแล้ว 3 ทุ่มเปิดกล้องไลฟ์สดนะครับ เดี๋ยวพาเข้าไป” เส้นทางที่เข้าไปภายในโรงงานจำเป็นที่จะต้องขับรถเข้าไป เพราะด้วยโรงงานแห่งนี้เป็นนิคมอุตสาหกรรม ที่มีขนาดพื้นที่ทั้งหมด 57 ไร่ จุดหมายของกรจะอยู่ตรงจุดที่เลยแนวไฟไป“ถ้าเลยแนวไฟตรงนี้ไปหลังจากนี้จะไม่มีใครช่วยเหลือเราได้แล้ว”ประโยคบอกเล่าธรรมดาที่ชวนผวาจากพี่รปภ.ทำเอากรถึงกับขนลุก จากการพูดคุยกรณ์ ก็ได้รับรู้ว่าตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ยังไม่เคยเปิดให้ใครเข้ามาล่าท้าผีเพราะเป็นสถานที่ปิด ดังนั้นพลังงานวิญญาณต่าง ๆ ยังจะคงอยู่ครบถ้วน และอัดแน่นเต็มพื้นที่“แล้วเราจะพากันไปที่ไหนกันครับ?” กรณ์ถามถึงตำแหน่งที่เขาจะเข้าไปล่าท้าผี“ข้างในนี้จะมีทั้งโรงพยาบาลร้าง โรงเรียนอนุบาลร้าง สหกรณ์ร้าง โรงอาหารร้าง บึงและก็อาคารที่พักของคนงานที่รกร้างอยู่ทั้งหมด 2 ตึกครับ” ในระหว่างที่พากันเข้าไปสำรวจกันข้างใน กรณ์ก็เกิดความสงสัยบางอย่างเลยเอ่ยถามพี่รปภ.ออกไป “ทำไมพี่ถึงสั่งห้ามไม่ให้รปภ.เข้ามาในนี้ครับ?” พี่รปภ.เล่าว่า เมื่อสามวันที่แล้ว มีรปภ.คนล่าสุดที่เพิ่งลาออกไป เขาเข้าไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากโรงอาหารและตรงดิ่งมาหารปภ.คนนั้นพร้อมพูดว่า “ขอข้าวกินหน่อยสิ..” ซึ่งถ้าย้อนไปเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ที่แห่งนี้เคยมีผู้หญิงคนหนึ่ง เธอไม่ใช่คนงานที่นี่ หญิงสาวคนนั้นแอบเข้ามาข้างใน และมานั่งอยู่ตรงบึง สุดท้ายก็ตัดสินใจกระโดดน้ำ หลังจากเหตุการณ์นั้นวิญญาณของหญิงสาวคนนี้ก็คอยวนเวียนหลอกหลอนรปภ.ทั้งหมดจนเป็นสาเหตุให้ทุกคนลาออกไป โดยพื้นฐานแล้วกรณ์ ไม่ใช่คนที่มีสัมผัสที่ 6 หรือเห็นผี เมื่อเดินสำรวจได้สักพักก็เจอตำแหน่งที่น่ากลัวมาก ๆ ก็คือตึกที่พักคนงานร้างทั้ง 2 ตึก ลักษณะของอาคารจะแบ่งเป็นตึก A และ B หน้าตึกจะหันเข้าหากัน กรณ์เลยเริ่มสำรวจข้างในของตึก ภายในอาคารจะมีเลขที่ห้องเรียงต่อกัน จากเลข 101 102 103 ไล่ไปจนถึง 108 และเมื่อเดินขึ้นไปยังชั้นสองของอาคาร เดินดูไล่ทีละห้องจาก 201 202 203 เดินไปเรื่อย ๆ ทันใดนั้นเอง เขาก็เจอกับห้องที่มีเลขผิดแปลกไปจากห้องอื่น ๆ “ห้อง 2A6” และมากไปกว่านั้น ลูกบิดประตูนั้นยังถูกทุบอีกด้วย ความคิดภายในหัวกรณ์ เริ่มทำงานบรรยากาศเย็นยะเยือกรอบข้าง และเลขห้องตรงหน้าเขาทำให้เขาคิดว่าห้องนี้ต้องมีอาถรรพ์อะไรบางอย่างอยู่แน่ ๆ แต่ยังไม่ที่กรจะเปิดประตูเข้าไป ทันใดนั้นเองบานเกล็ดหน้าต่างห้องก็มีเสียง “ครืดดดดดด!” เสียงบานเกล็ดที่ดังแบบไม่มีที่มาที่ไปทำเอาเขาตื่นตระหนก และด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ ของเขาสุดท้ายกรณ์ ก็ตัดสินใจเปิดบานประตูเข้าไป ภาพแรกที่กรณ์ เห็นคือภายในห้องเต็มไปด้วยล็อคเกอร์ไม้ที่ทุก ๆ ชั้นถูกเปิดไว้หมด แต่มีจุดหนึ่งที่น่าสังเกต และดูผิดแปลกคือทุกพื้นที่ในนั้นมีกระถาง และธูปที่มอดไปแล้วปักอยู่ประมาณ 4-5 จุดตามที่นอน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีใครเคยเข้ามาล่าท้าผีข้างในมาก่อน“รู้ไหมว่าจุดธูปต่าง ๆ คือจุดอะไร?” พี่รปภ.เอ่ยถามเขาท่ามกลางความเงียบ“จุดอะไรพี่”“ธูปที่จุดอยู่ทุกจุดตามที่นอน คือที่ที่คนงานเสียชีวิตทั้งหมด”คำตอบของรปถ.ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวกับบรรยากาศภายในห้องมากขึ้น เพราะหลังจากจบประโยคนั้นบานประตูในห้องก็เริ่มขยับ และส่งเสียงดังราวกับมีพลังงานอะไรบางอย่างอยู่ในห้องแห่งนี้กับเขา และเมื่อเพ่งมองดูที่ลูกบิดดี ๆ ก็พบว่าที่บานประตูนั้นมีสายสิญจน์มัดขึงไว้ กลายเป็นว่าการที่เขาเปิดเข้ามานั่นทำให้สายสิญจน์ทั้งหมดถูกดึงออกจากกัน! และเมื่อลองมองไปยังอาคารฝั่งตรงข้ามก็จะเห็นคล้ายกับมีพลังงานบางอย่างเคลือบตึกอยู่ ในระหว่างที่เขากำลังเดินลงจากชั้น 2 มันก็มีเครื่อง Intercom ที่ไม่สามารถใช้งานได้แล้วติดอยู่กับเสา กรนึกพิเรนทร์เลยหยิบขึ้นมาแกล้งทำคล้ายกับว่าส่งเสียงเรียกไปยังตึกอีกฝั่ง“ฮัลโหล ตึก B ว่าไง ส่งเสียงหน่อย” เขาส่งเสียงไปตามสายอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่พอกลับมานั่งตัดคลิปย้อนหลังดู ในจังหวะสุดท้ายที่เขากดคลิกมันกลับมีเสียง “ซืดดด...” แทรกเข้ามา มันเป็นเสียงคลื่นสัญญาณที่ไม่ควรเกิดขึ้นเพราะอาคารแห่งนั้นไม่มีการใช้งานของไฟฟ้าแล้วหลังจากลงมาจากชั้น 2 ได้ กรณ์ก็นึกสนุกขึ้นมา โดยให้พี่ชายคนสนิทตั้งกล้องไลฟ์สดถ่ายไปยังเขาที่ยืนอยู่อีกฝั่งของตึก และเขาจะโบกมือให้กล้อง และทันทีที่เขาเดินไปยังอาคารฝั่งตรงข้ามและโบกมือให้กล้องที่อยู่ทางหนึ่ง คนดูในไลฟ์ก็ต่างคอมเมนท์ไปในทางเดียวกันว่าพวกเขาเห็นกลุ่มคนหรือดวงวิญญาณยืนอยู่ในตึกนั้น 20 กว่าคน! และในจังหวะที่เขากลับมานั่งตัดคลิป สิ่งที่ปรากฎในคลิปทั้งหมดก็ทำเอาเขาถึงกับขนหัวลุก เมื่อพบว่าในช่วงเวลาที่เขาโบกมือให้กล้องอยู่นั้น หัวของเขาหายไป! จบจากการล่าท้าผี กรณ์ก็ได้ให้อาจารย์ที่รู้จักทำพิธีปัดเป่าสิ่งต่าง ๆ ที่อาจจะตามเขามาในชีวิตจริงเพื่อไม่ให้มันเกิดอะไรไม่ดีกับเขาหลังจากนี้ และพอกรได้ลงคลิปล่าท้าผีไปในโลกออนไลน์ก็เกิดกระแสตอบรับที่ดีจนผู้ชมอยากให้เขาไปอีกครั้ง และก็มีแฟนคลับคนหนึ่งขอเข้าร่วมการล่าท้าผีไปกับเขา แต่ก่อนจะถึงวันนัดแนะจะไปกัน “คุณบอย” แฟนคลับที่ขอเดินทางไปด้วยกันเขาได้เปิดกล้องไลฟ์ไปสำรวจที่บริเวณวัดและเดินไปตรงประตูน้ำ ในระหว่างที่เดินดูอยู่นั้นบอย ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงดังขึ้นมา เสียงเหมือนคนอยู่ในน้ำพูดว่า “ผู้ชาย ผู้ชาย.. ผู้ชายสองคน ต.เต่า ต.เต่า”เสียงกระซิบเรียกชื่อผู้ชาย 2 คนนั้นดังขึ้นมาหลังจากนั้นเพียงไม่นาน แต่กลายเป็นว่าชื่อแรกที่ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยออกมาคือชื่อจริง ๆ ของกรณ์ที่ตลอด 10 ปีมานี้ไม่มีใครรู้ชื่อนี้เลย หญิงสาวได้บอกกับบอยว่า 2 คนนี้เกี่ยวข้องกับเธอในอดีตมาก่อน และบอย คือคนรักที่เคยสาบานกับเธอในอดีตชาติ ทำให้พวกเขาต้องไปที่โรงงานนั้นอีกครั้ง และการกลับไปครั้งนี้ก็เพื่อไปขมากรรมในอดีต และปลดปล่อยดวงวิญญาณนั้น เพราะเขาได้รู้มาว่าสาเหตุการเสียชีวิตของน้องผู้หญิงคนนี้คือเธอได้ตั้งครรภ์กับผู้ชายคนหนึ่ง แต่ผู้ชายไม่รับรัก เธอเลยไปกระโดดที่บึงนั้น และได้สื่อสารกับบอยเพราะเธอ และเขาเคยไปสาบานรักใต้ต้นไม้ใหญ่ในอดีตชาติ ซึ่งเมื่อกรณ์ ได้ประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดก็ถึงกับขนหัวลุกอีกครั้งเพราะตรงบึงแห่งนั้น เป็นจุดที่มีต้นไม่ใหญ่ต้นหนึ่งอยู่พอดีสุดท้ายโรงงานร้างแห่งนั้นก็ไม่ได้เป็นเพียงนิคมอุตสาหกรรมธรรมดา แต่กลายเป็นจุดพลิกผันในชีวิตอีกเรื่องหนึ่งที่เขาจะจำไม่มีวันลืม..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

เรื่องเล่าจากคุณบอส 'บ้านอาม่า' | อังคารคลุมโปง X ไท ธนาวุฒิ [4 มี.ค. 2568 ]

07 มี.ค. 2025

เรื่องเล่าจากคุณบอส 'บ้านอาม่า' | อังคารคลุมโปง X ไท ธนาวุฒิ [4 มี.ค. 2568 ]

เมื่อพ่อของคุณบอส เข้าไปเก็บลูกฟุตบอลในบ้านของอาม่าข้างบ้าน เขาเห็นอาม่ายืนอยู่หน้าประตู แลบลิ้นใส่ จึงแลบลิ้นตอบกลับไปคิดว่าเป็นการหยอกล้อ แต่คืนถัดมาผีเสื้อดำตัวหนึ่งบินเข้ามาในห้อง และเมื่อมันเข้าใกล้ เขาต้องตกใจสุดขีด เพราะใบหน้าของผีเสื้อตัวนั้นคือใบหน้าของอาม่า! ต่อมาถึงได้รู้ว่าอาม่าที่เขาคุ้นเคยได้เสียชีวิตไปแล้ว!! #อังคารคลุมโปง‘คุณบอส’ เล่าเรื่องหลอนเมื่อคุณพ่อได้เห็นเหตุการณ์สุดสยองที่ไม่เคยลืม! จากการเห็นอาม่าข้างบ้าน ที่ดูเหมือนจะเป็นการหยอกล้อธรรมดา แต่กลับกลายเป็นภาพหลอนของวิญญาณที่ผูกคอตาย! ทำไมถึงเป็นผีเสื้อที่มีหน้าคล้ายอาม่า? ฟังเรื่องสุดหลอนนี้ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (4 มีนาคม 2568) แล้วเหตุการณ์ณ์สุดหลอนนี้จะจบลงอย่างไร ไปติดตามพร้อมกันเลย!!‘คุณบอส’ เล่าว่า เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่คุณพ่อของตนเคยพบเจอ และถูกเล่าต่อกันมาจนถึงรุ่นของตน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว ในกรุงเทพมหานคร บ้านของคุณบอสเป็นครอบครัวชาวจีน อากงและอาม่า มีลูกทั้งหมด 5 คน โดยคุณพ่อของคุณบอสเป็นลูกคนกลาง ในสมัยนั้นซอยที่บ้านของคุณพ่อตั้งอยู่เป็นซอยลึก และเงียบสงบ มีบ้านเรือนอยู่ไม่มากนัก ส่วนตัวบ้านของคุณพ่อมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ข้างบ้านเป็นที่อาศัยของ ‘อาม่า’ ท่านหนึ่ง ซึ่งอยู่เพียงลำพัง ลูกหลานของท่านจะมาเยี่ยมเพียงนาน ๆ ครั้งในสมัยนั้น คุณพ่อของคุณบอสยังเป็นเด็ก มักออกไปวิ่งเล่น และเตะฟุตบอลกับเพื่อน ๆ ด้วยความที่บ้านอยู่ใกล้กัน คุณพ่อจึงสนิทกับอาม่า ข้างบ้านไปด้วย อาม่าท่านนี้มักทำกิจวัตรประจำวันในตอนเช้า และทุกครั้งที่พบกันก็มักจะทักทายคุณพ่ออยู่เสมอ ทำให้ทั้งสองมีความคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี โดยภายในซอยที่บ้านตั้งอยู่นั้นค่อนข้างเงียบสงบมาตั้งแต่เดิม ดังนั้นหากมีสิ่งใดผิดปกติ ก็มักจะสังเกตเห็นได้ไม่ยากวันหนึ่ง คุณพ่อสังเกตเห็นว่า อาม่าข้างบ้านไม่ออกมาทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ ต่างจากทุกวันที่มักจะเห็นท่านเดินไปเดินมา และทักทายกันเสมอคุณพ่อรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เวลาผ่านไปสักพัก ขณะที่คุณพ่อกำลังเล่นฟุตบอลกับพี่ ๆ ของตนอยู่นั้น บังเอิญเตะบอลพลาด ลูกบอลกระเด็นเข้าไปในบ้านของอาม่า บ้านของอาม่าเป็นบ้านแถว ด้านหน้ามีประตูลูกกรงกั้นไว้ และด้านในมีประตูอีกชั้นหนึ่ง คุณพ่อจึงยืนมองเข้าไปภายในบ้าน พลางคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปขณะที่คุณพ่อกำลังจะเดินเข้าไปหยิบลูกฟุตบอล เมื่อเดินผ่านหน้าบ้านก็ต้องสะดุ้งตกใจ เมื่อมองเข้าไปในบ้านกลับเห็นอาม่ายืนแนบชิดกับประตูด้านใน จ้องมองออกมา ดวงตาถลน และแลบลิ้นออกมาคุณพ่อชะงักไปชั่วขณะ แต่พอได้สติ ก็คิดว่าอาม่า คงแกล้งหยอกเล่น เพราะปกติแล้วท่านเป็นคนใจดีและชอบหยอกเด็ก ๆ อยู่เสมอ ด้วยความคิดแบบเด็ก ๆ คุณพ่อจึงแลบลิ้นตอบกลับไปเป็นเชิงเล่นสนุก จากนั้นก็หยิบลูกฟุตบอลแล้ววิ่งกลับไปหาพี่ ๆวันนั้น คุณพ่อสังเกตว่าบรรยากาศในซอยบ้านที่เคยเงียบสงบกลับดูคึกคักขึ้นอย่างผิดสังเกต มีผู้คนเข้าออกมากกว่าปกติ และหลายคนก็เดินเข้าไปในบ้านของอาม่า คุณพ่อจึงคิดว่า น่าจะเป็นลูกหลานของอาม่าที่มาเยี่ยมท่านโดยปกติแล้ว คุณพ่อจะนอนรวมกับพี่ ๆ ทั้ง 5 คน และอากงอาม่า ภายในห้องเดียวกัน คืนนั้น.. ขณะที่ทุกคนกำลังหลับสนิท คุณพ่อสังเกตเห็นผีเสื้อตัวหนึ่งบินวนอยู่รอบ ๆ ห้อง ลักษณะคล้ายผีเสื้อกลางคืน มีปีกสีดำสนิท มันบินมาเกาะอยู่ใกล้ใบหน้าของคุณพ่อ จนรู้สึกรำคาญ ด้วยความรำคาญ คุณพ่อจึงลุกขึ้นไปหยิบหนังสือพิมพ์มาม้วน แล้วพยายามไล่ตีผีเสื้อตัวนั้น เสียงการเคลื่อนไหวทำให้คนในห้องตื่นกันหมด แต่สิ่งที่ทำให้คุณพ่อต้องขนลุกคือ ไม่มีใครเห็นผีเสื้อแม้แต่คนเดียว ทุกคนพากันบอกว่า คุณพ่อคงเล่นมากไปจนเหนื่อย และอาจตาฝาดหรือฝันไปเองหลังจากเวลาผ่านไป 2-3 วัน นับตั้งแต่คืนที่คุณพ่อเห็นผีเสื้อ ทุกอย่างก็ดูเป็นปกติ ไม่มีสิ่งผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้น จนกระทั่ง คืนที่สาม ขณะที่คุณพ่อเข้านอนตามปกติ ผีเสื้อตัวเดิมก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันบินวนไปมาอยู่ภายในห้อง ราวกับมีจุดมุ่งหมายบางอย่าง ครั้งนี้ คุณพ่อไม่ได้พยายามไล่ตีมันเหมือนครั้งก่อน แต่กลับรู้สึกสงสัยแทนว่า เหตุใดมันจึงบินกลับมาอีกภายในห้องที่มืดสนิท คุณพ่อพยายามปรับสายตาให้คุ้นชินกับความมืด ทันใดนั้น ผีเสื้อตัวนั้นก็ค่อย ๆ บินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ แต่เมื่อเพ่งมองให้ชัดขึ้น คุณพ่อก็ต้องตกตะลึง เพราะสิ่งที่เห็นตรงหน้า ไม่ใช่ผีเสื้อธรรมดา ใบหน้าของมัน กลับเป็นใบหน้าของอาม่าข้างบ้าน!!!“อ๊ากกกกกกก!!” เสียงกรีดร้องดังลั่น ปลุกทุกคนในบ้านให้ตื่นขึ้นอย่างตกใจ ทุกคนต่างพากันรีบเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น คุณพ่อยังคงตัวสั่น และตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัว “ผีหลอก! ผีหลอก!! ผีอาม่าข้างบ้านมาหลอก!!!”ทางอากง และอาม่าไม่ได้แสดงท่าทีตกใจ หรือคิดว่าคุณพ่อเป็นคนบ้าแต่อย่างใด พวกท่านเพียงพูดขึ้นมาว่า “อาม่าท่านคงมาหยอกเล่น”ต่อมา คุณพ่อจึงได้รู้ความจริงว่า อาม่าข้างบ้านได้ผูกคอตายอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน ร่างของท่านห้อยโชว์อยู่ตรงนั้น ภาพที่คุณพ่อเคยเห็นในวันนั้น เป็นภาพของอาม่า ที่แลบลิ้นและทำตาถลนใส่ แท้จริงแล้ว ไม่ใช่การหยอกล้อ แต่เป็นภาพของอาม่าขณะที่กำลังแขวนคอเสียชีวิต! ในตอนนั้น อาม่าอาจเสียชีวิตไปแล้ว และคุณพ่ออาจเป็นคนแรกที่เห็นท่านในสภาพนั้น ส่วนคนที่พบเป็นลำดับถัดไป อาจเป็นอากง และอาม่าของท่าน ที่เข้าไปเห็นและรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ และเหตุการณ์ที่คุณพ่อเห็นผู้คนเข้าออกซอยมากผิดปกติในวันนั้น ก็ไม่ใช่ลูกหลานของอาม่า ที่มาเยี่ยมท่าน แต่เป็นเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาเก็บศพของอาม่าออกไปคิดย้อนกลับไป ในตอนที่คุณพ่อเข้าไปในบ้านของอาม่า เพื่อเก็บลูกฟุตบอล คุณพ่อได้แลบลิ้นหยอกล้ออาม่า ไปตามประสาเด็ก ส่วนผีเสื้อที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนอาม่า บินมาให้คุณพ่อเห็น คงเป็นอาม่า ทีอาจไม่ได้ตั้งใจจะหลอกหลอน ทว่าเพราะท่านคุ้นเคย และสนิทสนมกับคุณพ่อมาตั้งแต่เด็ก จึงอาจต้องการมาหาตามความเชื่อของคนจีน มีความเชื่อว่าเมื่อผู้คนเสียชีวิต วิญญาณของพวกเขาอาจปรากฏในรูปของผีเสื้อ เพื่อสื่อถึงการกลับมาหรือการเยี่ยมเยียนคนที่ยังมีชีวิตอยู่…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณโอ 'ความลับเเม่ชี' l อังคารคลุมโปง X เจน - ลูกนัท The Ghost [ 4 พ.ย.2568 ]

08 พ.ย. 2025

เรื่องเล่าจากคุณโอ 'ความลับเเม่ชี' l อังคารคลุมโปง X เจน - ลูกนัท The Ghost [ 4 พ.ย.2568 ]

ต้องไปนอนค้างคืนที่วัดป่า เพราะได้ไปทำงานจิตกรรมฝาพนังที่วัดแห่งหนึ่ง ก่อนไปจึงได้ถามเพื่อนว่า มีที่พักให้ไหม? เพื่อนก็ตอบว่า ‘ให้ไปนอนกับแม่ชีในวัดเลย’ พอไปถึงวัดก็แวะเข้าไปล้างหน้าล้างตา ก็ได้เหลือบไปเห็นขันใบหนึ่งที่มีว่านแช่อยู่ เลยคิดเล่น ๆ ว่า “แม่ชีเล่นของเหรอวะ” และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวสุดแปลกที่ได้เจอ! เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X เจน - ลูกนัท The Ghost [ 4 พ.ย.2568 ]’ ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ความลับแม่ชี’ ย้อนกลับไปเมื่อ 1 ปีที่แล้ว “คุณโอ” ได้มีโอกาสไปทำงานที่วัดเเห่งหนึ่งที่ต่างจังหวัด ตำแหน่งที่ตั้งของวัดจะอยู่ที่ติดบริเวณเชิงเขา ลักษณะงานของเธอเป็น “งานจิตรกรรมฝาผนัง” ก่อนจะเดินทาง โอจึงได้สอบถามเพื่อนร่วมงานไปว่า“มีที่พักให้ไหม?”เพื่อนเลยบอกว่า “มีที่พักให้ในวัดเลย นอนกับแม่ชี” โอได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกสบายใจ เพราะเป็นการทำงานในสถานที่ที่ไม่คุ้นชิน การได้พักอยู่ในวัดกับแม่ชี อาจทำให้เธอทำงานได้สะดวกมากขึ้นเพราะไม่จำเป็นต้องเดินทางไกลเพื่อไปทำงานในแต่ละวันหลังจากพูดคุยถามไถ่รายละเอียดงาน เพื่อนของโอก็ได้ถามขึ้นมาว่า“แกกลัวหมาไหม?”“ไม่กลัวนะ ที่บ้านก็เลี้ยงอยู่” โอตอบไปตามตรงโดยไม่ได้คิดอะไร“ดีแล้ว เพราะหมาที่นั่นดุมาก” เพื่อนสาวกล่าวเตือนด้วยความหวังดี เมื่อโอเดินทางไปถึงวัดแห่งนั้น เธอก็นำสัมภาระทั้งหมดของตนเอง ขึ้นไปเก็บไว้บนกุฏิวัด หลังจากที่โอขึ้นไปเก็บข้าวของต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อย เธอก็ไปทำธุระส่วนตัวที่ห้องน้ำข้าง ๆ กุฏิ โอเลือกเข้าห้องน้ำในห้องที่บานประตูถูกเปิดอยู่ พอเข้าไปเธอก็เจอกะละมังใบหนึ่ง ภายในนั้นมีสมุนไพรลักษณะคล้ายกับว่าน หรือรากไม้อยู่ ทันใดนั้นความสงสัยพลันแล่นขึ้นมาในหัวอย่างไม่จริงจังว่า “แม่ชีเล่นของเหรอ? ทำไมแช่ว่านด้วย” แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น อยู่มาวันหนึ่ง... ในระหว่างทางที่โอ ต้องเดินออกเพื่อไปทำงานภายในวัด หมาที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นจะเห่า และพยายามเข้ามากัดอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นไปตามคำที่เพื่อนของตนพูดเตือนไว้ในตอนแรกว่า... หมาที่วัดนี้มีนิสัยดุร้าย แต่ในวันนั้นมันดุมากกว่าปกติ พลันสายตาก็ดันเหลือบไปสังเกตเห็นแม่ชีนั่งอยู่ที่บริเวณนั้นพอดี จึงได้เอ่ยถามขอความช่วยเหลือไป“แม่ชีคะ หมาดุมากเลย แม่ชีช่วยเรียกมันไปให้หน่อยได้ไหมคะ?” ไร้เสียงตอบกลับจากแม่ชี เธอจึงพยายามตะโกนเรียกหลาย ๆ ครั้งแต่มันก็ไม่เป็นผล โอจึงตัดสินใจหยิบไม้แถวนั้นมาใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันตัว แต่ในจังหวะนั้นเองที่แม่ชีได้ยินเสียงคนกำลังหยิบจับสิ่งของ ก็ได้หันมาพูดกับโอว่า“แม่ชีเดินไม่ได้หรอก มันหวง ถ้าเดินไปมันจะยิ่งกัด”“แล้วต้องทำยังไงคะ?”“ใช้ไม้ไล่มันไปสิ” ได้ยินดังนั้น ราวกับเป็นคำอนุญาต โอจึงใช้ไม้ยาวในมือขับไล่สัตว์สี่ขาตรงหน้าไป ในจังหวะที่เธอกำลังง้างมือ แม่ชีก็เดินปรี่เข้ามาด้วยความไม่พอใจ คล้ายกับหวั่นเกรงว่าเธอจะทำร้ายหมาตัวนั้นจริง ๆ และมาไล่หมาตัวนั้นด้วยตัวของแม่ชีเอง.. ทำให้โอสามารถขึ้นไปทำงานต่อได้ ตกกลางคืน... โอเดินกลับที่พักของตน หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จสิ้น โดยพื้นฐานเธอเป็นคนที่สวดมนต์ก่อนนอนเป็นกิจวัตรประจำวันทุกคืนอยู่เเล้ว ซึ่งภายในกุฏิไม่ได้มีเพียงแค่เธอแต่มีรุ่นน้องผู้หญิงอีกคนนอนกับเธอด้วย ตัวของรุ่นน้องคนนี้เป็นคนที่กลัวผีมาก ทำให้ต้องเปิดไฟทิ้งไว้ทั่วทั้งที่นอน และรอบระเบียง ในระหว่างที่สวดมนต์ โอสังเกตเห็นแสงไฟที่ดับลงหน้าห้องน้ำ และค่อย ๆ ไล่ดับมาทีละดวงจนถึงหน้าห้องของตน ทันใดนั้นเอง... เธอก็ได้ยินเสียงกระซิบปริศนาดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ จากเสียงแผ่วเบาที่จับใจความได้ยาก ก็เริ่มดังชัดขึ้นในโสตประสาทว่า“เงยหน้ามามองกูสิ เงยหน้ามามองกูสิ...” เสียงกระซิบชวนขนหัวลุกดังซ้ำไปซ้ำมาข้างหู ทำให้โอตัดสินใจลุกพรวดขึ้นมาเปิดหน้าต่าง แต่กลับมีเพียงความมืดมิดปกคลุมไปทั่วทั้งวัด ความรู้สึกไม่ปลอดภัย และหวาดกลัวค่อย ๆ เกาะกินภายในใจ สถานการณ์ตอนนั้นมันบอกกับเธอว่ามีบางอย่างผิดปกติ และที่แห่งนี้ไม่น่าอยู่อีกต่อไปเมื่อรุ่นน้องเดินเข้ามา โอจึงบอกให้หญิงสาวเก็บของ และย้ายไปนอนที่อื่น ในวัดยังคงมีกุฏิหลายแห่งที่สามารถไปพักพิงได้ เพียงแต่ผู้คนจะค่อนข้างแออัด โอเลยตัดสินใจโทรหาเพื่อนที่พักอยู่อีกกุฏิ และขอไปนอนด้วยก่อนจะออกไป ทั้งสองคนก็ตั้งใจจะไปบอกกล่าวให้แม่ชีได้รับรู้ ตัวของแม่ชีนั่งอยู่ตรงริมหน้าต่าง จากมุมของโอจะเห็นแค่เพียงขาของแม่ชีที่โผล่พ้นออกมา แต่ไม่เห็นลำตัว และบนตักของแม่ชีมีแมว 1 ตัวนอนอยู่“แม่ชีคะ แม่ชีขา” แม้ว่าเธอจะส่งเสียงเรียกแม่ชีไปกี่ครั้ง แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมา แม่ชียังคงนั่งนิ่ง แต่กลายเป็นว่าแมวที่นอนอยู่บนตักนั้นกลับขยับกาย และหันหน้ามามองเธอ โอได้แต่ครุ่นคิดในใจว่าแม่ชีคงใส่หูฟัง หรือกำลังสวดมนต์อยู่ เลยเลือกที่จะเดินลงมาจากกุฏิ และตั้งใจว่าพรุ่งนี้เช้าค่อยกลับมาบอกใหม่อีกครั้ง แต่ก่อนที่สองเท้าจะก้าวออกจากเขตกุฏิ ความรู้สึกประหลาดบางอย่างมันก็แล่นขึ้นมา คล้ายกับว่ากำลังบอกให้เธอนั้นเงยหน้าขึ้นไปมองข้างบน ความรู้สึกก็ตีตื้นขึ้นมาว่า แม่ชีจะกำลังมองเราอยู่ตรงหน้าต่างรึเปล่า? และในวินาทีที่เธอหันหลังกลับไป มันก็เป็นไปตามที่เธอคิดเพราะแม่ชีกำลังมองดูเธอจากตรงหน้าต่าง! และค่อย ๆ เดินเข้าไปข้างใน..หลังจากที่ทั้งสองคนเดินมาถึงที่พักหลังใหม่ โอก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็มีความเห็นไปในทางเดียวกันกับเธอว่าแม่ชีคนนั้นดูแปลก ๆ แต่ในตอนนั้นก็คิดว่าตนเองอาจจะคิดไปเองคนเดียว บางครั้งที่คุยกับแม่ชี เขาก็เหมือนมีหลากหลายอารมณ์ คุยดีบ้าง ไม่คุยบ้าง หรือทำเหมือนเราไม่มีตัวตนไปเลย พอตื่นเช้ามา จู่ ๆ โอก็เกิดอาการบ้านหมุนถึงขั้นที่ไม่สามารถทำงานต่อได้ จะลุกจะนั่งก็มีอาการคลื่นไส้อาเจียนตลอด เลยจำเป็นต้องกลับไปหาหมอที่กรุงเทพฯเมื่อกลับมาถึงบ้าน ด้วยความไม่สบายใจ โอจึงไปเอาผ้าถุงของแม่มาครอบหัวตนเอง ตามความเชื่อของคนโบราณว่าการลอดผ้าถุงของแม่สามารถปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย และใช้เป็นวิธีแก้คุณไสยได้ วันถัดมาโอก็ไปหาหมอ หลังจากตรวจร่างกายก็ไม่พบความผิดปกติใด ๆ คุณหมอได้ให้คำแนะนำว่าสาเหตุของอาการป่วยอาจเกิดจากการพักผ่อนน้อย โหมงานหนัก และได้จ่ายยากลับมาให้ทานที่บ้าน หลังจากอาการของเธอเริ่มดีขึ้น โอก็กลับไปทำงานที่วัดเหมือนเดิม ในช่วงที่กลับไปที่วัด และทำงานอยู่ หากวันใดเป็นวันพระ ตัวของโอจะพยายามเคลียร์งานต่าง ๆ ให้เสร็จเพื่อที่จะไปทำวัดกับแม่ชีท่านอื่น ๆ จนรู้สึกคุ้นเคยและสนิทสนม เลยมีโอกาสได้พูดคุยกัน ด้วยความสงสัย โอจึงได้ถามเรื่องราวส่วนตัวเกี่ยวแม่ชีคนนั้นไป“แม่ชีคนที่หนูนอนด้วย เขามาจากไหนเหรอคะ?”“แม่ชีคนนั้น ไม่ค่อยมีใครยุ่งกับเขานะ กุฏินั้นเขาก็อยู่คนเดียว ไม่มีใครอยู่กับเขาได้”คำตอบที่ไม่ได้คลายความสงสัยแต่กลับทำให้เธออยากรู้มากขึ้นไปอีก“แต่อย่าไปสุงสิงกับเขามากเพราะ เขาเป็นคนมีของ!” ประโยคตักเตือนด้วยความหวังดีส่งตรงมาถึงโอ หลังจากเธอครุ่นคิดต่อเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในวัด ทุกอย่างก็ค่อย ๆ เชื่อมโยงกันอย่างน่าขนลุก และสุดท้ายเธอก็ได้รู้ว่าทั้งหมดนั้นคือ ความลับของแม่ชี(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากไท ธนาวุฒิ 'เรื่องผีหัวโต' | อังคารคลุมโปง X ไท ธนาวุฒิ [4 มี.ค. 2568 ]

08 มี.ค. 2025

เรื่องเล่าจากไท ธนาวุฒิ 'เรื่องผีหัวโต' | อังคารคลุมโปง X ไท ธนาวุฒิ [4 มี.ค. 2568 ]

“คืนหนึ่งเจอสิ่งแปลกประหลาด หน้าดำ ตาแดง จ้องมองจากหน้าต่าง เลยพูดท้าทายไปว่า ‘ถ้าเก่งจริงก็มา’ จนอีกวัน… เจอดี! ตามมาหลอกถึงในห้อง มาเหยียบหน้าอก พร้อมคำเตือนว่า ‘มึงทำตัวให้ดีหน่อย’ แล้วรู้ตัวไหมว่าบางครั้งคำท้าทายอาจทำให้เจอสิ่งที่ไม่ควรเจอ!”‘ไท ธนาวุฒิ’ เปิดเรื่องหลอนใน ‘อังคารคลุมโปง X (4 มี .ค. 2568)’ กับเรื่องราว ‘’ผีหัวโต’’ ที่ทำเอาขนหัวลุก กับเงาปริศนานุ่งโจงกระเบนแดง ดวงตาแดงฉาน… ที่โผล่มาถึงห้อง มันคืออะไรกันแน่? มาฟังไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ แล้วอย่าลืมระวัง… คืนนี้ อาจมีบางอย่างมาหาคุณ!คุณไท ได้เล่าว่า คืนหนึ่งขณะกึ่งหลับกึ่งตื่น เขาหันไปมองที่หน้าต่างแล้วต้องชะงัก เพราะมีบางสิ่งอยู่ตรงนั้น… เป็นใบหน้าขนาดใหญ่เต็มกระจก ดวงตาสีแดงก่ำจ้องตรงมาที่เขา คุณไท ถึงกับตกใจ แต่ก็ยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น จึงพูดท้าทายออกไปว่า “ไม่จริงเว้ย! ถ้าเก่งจริงก็มา”ทำให้ในคืนต่อมา… ก็ได้เจอจริงๆ ร่างนั้นยืนอยู่ปลายเตียง สวมโจงกระเบนแดง ผิวดำคล้ำ ดวงตาแดงฉาน ก่อนจะก้าวขึ้นมาเหยียบบนอกเขา หนักจนแทบหายใจไม่ออก แล้วพูดด้วยเสียงเย็นเยียบว่า “มึงทำตัวให้ดีหน่อย”ในคืนต่อมา เพื่อนของพี่ชายมาขอนอนที่ห้องคุณไท แต่เขาอยู่ได้เพียงสองคืนก่อนจะหนีไป คุณไทสงสัยจึงถามถึงสาเหตุ และคำตอบที่ได้รับทำให้ขนลุกไปทั้งตัว เพราะพี่ชายก็ได้ “โดนคนใส่โจงกระเบนแดงเหยียบ” เหมือนกันและเหตุผลที่เขาโดนแบบนั้น… เป็นเพราะพี่ชายของเขาเคยฆ่าคนตายแล้วหนีคดี ผีตนนั้นเลยมาเตือน… ทำให้คุณไทนึกขึ้นได้ว่า ตัวเขาเองก็เคยถูกเตือนแบบนี้มาก่อน และบางที อาจเป็นเพราะตอนเด็กๆ เขาเองก็เคยเป็นเด็กแสบไม่แพ้กัน ผีตนนั้น… ไม่ใช่ใครอื่น แต่คือ “เจ้าที่ เจ้าบ้าน” ที่คอยมาเตือนให้ผู้คนอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง ใครที่ปฏิบัติตัวดี ก็จะไม่เจอ แต่หากใครทำผิด คิดไม่ซื่อ หรือก้าวล้ำเส้นที่ไม่ควรก็อาจได้รับการเตือนในแบบที่ลืมไม่ลง…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1