อยากผูกมิตรกับเพื่อนบ้านชั้นบน จึงนำพิซซ่าขึ้นไปให้ แต่กลับมาเจอผู้หญิงแปลก ๆ โผล่มาแค่ครึ่งหน้า พร้อมกับลูกชายอีก 2 คน แถมห้องยังมีกลิ่นแปลก ๆ อีก! เมื่อโทร.แจ้งให้ตำรวจมาตรวจสอบ ก็พบว่า.. นี่มันคือคดีฆาตกรรม!

อังคารคลุมโปง RECAP

อยากผูกมิตรกับเพื่อนบ้านชั้นบน จึงนำพิซซ่าขึ้นไปให้ แต่กลับมาเจอผู้หญิงแปลก ๆ โผล่มาแค่ครึ่งหน้า พร้อมกับลูกชายอีก 2 คน แถมห้องยังมีกลิ่นแปลก ๆ อีก! เมื่อโทร.แจ้งให้ตำรวจมาตรวจสอบ ก็พบว่า.. นี่มันคือคดีฆาตกรรม!

25 พ.ค. 2023

       ครั้งแรกของการโคจรมาพบกัน ระหว่าง ‘คืนพุธมุดผ้าห่ม’ และ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 พฤษภาคม 2566) กับเรื่องหลอนสิบกะโหลกจาก ‘ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ ที่ทำเอา ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และทีมงานอึ้งทั้งสตู! กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘เด็กชั้นบน’

       ต้นกล้าเกริ่นว่าเรื่องนี้เคยเล่าไปเมื่อหลายปีก่อน เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น มีผู้ชายคนหนึ่ง นามสมมุติ ‘ฮิโรชิ’ พนักงานที่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน กระทั่งประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เขาจึงต้องพักฟื้นตัวอยู่ที่ห้อง พอต้องอยู่ห้องตลอด ฮิโรชิก็เริ่มสังเกตสภาพแวดล้อมของห้องตัวเอง ในช่วงเย็น ฮิโรชิจะได้ยินเสียงฝีเท้าเด็กจากห้องชั้นบน หรือบางครั้งที่ฮิโรชิเปิดหน้าต่างรับลม ก็จะได้ยินเสียงเด็กหัวเราะคุยเล่นกันอยู่ข้างบน

       เย็นวันหนึ่ง ฮิโรชิสั่งพิซซ่าโปรโมชัน 1 แถม 1 มา แต่กินไม่หมด คิดในใจว่าถ้าเก็บไว้แล้วเอามาอุ่นกินอีกรอบก็คงจะไม่อร่อย ทันใดนั้น ฮิโรชิก็คิดถึงห้องชั้นบนที่มีเด็กอาศัยอยู่ขึ้นมา และอยากผูกสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน จึงนำพิซซ่า 1 ถาดเดินขึ้นไปให้ห้องชั้นบน ณ ตอนนั้น ก็เป็นช่วงหัวค่ำเข้าไปแล้ว..

       เมื่อเดินมาหยุดที่หน้าประตูห้องชั้นบน ฮิโรชิก็กดกริ่งที่หน้าห้อง แต่ก็ไร้เสียงตอบรับจากฝั่งตรงข้าม ฮิโรชิกดกริ่งอีกครั้ง เวลาผ่านไปไม่กี่อึดใจ ก็มีเสียงผู้หญิงตอบกลับมาว่า “ค่า ใครคะ?” ฮิโรชิจึงรีบบอกไปว่า “ขอโทษนะครับ ผมไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน ผมอยู่ห้องชั้นล่าง แล้วเคยได้ยินบ่อย ๆ ว่าห้องของคุณมีเด็กอาศัยอยู่ ผมเลยเอาพิซซ่ามาให้ครับ” แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า “ไม่เป็นไรค่ะ เรากินข้าวเย็นกันแล้ว” ฮิโรชิที่ตั้งใจจะเอาพิซซ่ามาให้ก็พูดไปว่า “ถือซะว่าเป็นการทักทายของเพื่อนบ้านละกันครับ ยังไงช่วยรับไว้หน่อยนะครับ” สิ้นเสียงฮิโรชิ ผู้หญิงคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า “โอเคค่ะ” จากนั้นประตูก็เปิดออกช้า ๆ

       เมื่อประตูแง้มเปิดออก แต่กลับไม่มีแสงไฟลอดออกมาจากห้องเลย กลายเป็นแสงจากทางเดินที่ช่วยให้ฮิโรชิเห็นหน้าครึ่งหนึ่งของผู้หญิงที่เขาสนทนามาด้วยตลอด เธอยื่นหน้าออกมาแค่ครึ่งหน้า ตาลอย และมีกลิ่นแปลก ๆ ลอยออกมาจากห้องด้วย ฮิโรชิอึ้งอยู่ไม่กี่วิก็รีบกุลีกุจอยื่นของให้ “นี่ พิซซ่าครับ” แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “คือ.. ไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะ” ฮิโรชิยังคงคะยั้นคะยอให้เธอรับ แต่เธอยังยืนกรานว่า “ไม่เอาค่ะ งั้นขอรบกวนแค่นี้นะคะ เชิญกลับได้แล้วค่ะ” ฮิโรชิได้ยินดังนั้นก็ถอดใจ และเตรียมจะถอยหลังกลับ แต่ก็สังเกตเห็นหน้าเด็ก 2 คนโผล่ออกมาครึ่งหน้าข้างล่างผู้หญิงคนนั้น ฮิโรชิก็พูดขึ้นว่า “หนูอยากกินพิซซ่าหรือเปล่า? งั้นวางไว้ตรงนี้ก็แล้วกันนะ” จากนั้น ผู้หญิงคนนั้นก็กล่าวขอบคุณเสียงเบา ฮิโรชิวางพิซซ่าไว้หน้าห้องแล้วเดินออกมา เสียงปิดประตูก็ดัง “ตึง” ตามหลังมา

       ฮิโรชิคิดในใจว่าครอบครัวนี้แปลก ๆ อยู่กันยังไงในห้องมืด ๆ แถมพอมีคนมา ยังเปิดประตูไว้นิดเดียวแล้วโผล่มาแค่ครึ่งหน้าอีก “ไม่น่ามาเลย” ฮิโรชิคิดในใจ ระหว่างที่กำลังจะเปิดประตูบันไดหนีไฟเพื่อเดินลงไปห้องตัวเองนั้น ฮิโรชิก็รู้สึกเหมือนว่ามีบางสิ่งบางอย่างมองมาที่เขาอยู่ พอหันหลังกลับไป เขาก็เห็นว่ามุมทางเดิน (ลักษณะทางเดินจากประตูหนีไฟและห้องนั้นเป็นรูปตัว L) มี 3 คนโผล่มาครึ่งหน้า เป็นแม่และลูก 2 คน จ้องมองมาที่ฮิโรชิอยู่!

       ฮิโรชิรู้สึกแปลกใจมากกว่าเดิม และคิดว่าถ้ามีคนแอบมอง เราจะเห็นไหล่ของเขาบ้าง แต่ฮิโรชิเห็นแค่หัว! เหมือนเอาหัวมาเรียงกันยังไงยังนั้น! ฮิโรชิรีบเดินลงมาข้างล่าง แต่กลับไม่อยากเข้าห้องตัวเอง อยากออกไปสูดอากาศข้างนอกมากกว่า เมื่อเดินออกมาข้างแล้ว ฮิโรชิก็ตัดสินใจโทร.หาตำรวจ และแจ้งว่าเจอเพื่อนบ้านแปลก ๆ อยากให้ตำรวจมาตรวจสอบ

       เมื่อตำรวจมาถึง ฮิโรชิที่ยืนรออยู่ข้างหน้าอะพาร์ตเมนต์ ก็ได้ยินเสียงตำรวจวิ่งลงมาหน้าตาตื่น และบอกว่า “มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น!” หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ก็เริ่มมาตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง จนได้ผลสรุปว่า “คุณพ่อของครอบครัวห้องชั้นบน ฆาตกรรมลูกกับเมียตัวเองด้วยการตัดคอ และยังพบหัวในห้องนั้นอีกด้วย เมื่อตามรอยเลือดไปก็พบว่าฆาตกรแอบซ่อนอยู่ในห้องของคุณฮิโรชิ!” นั่นหมายความว่า ถ้าตอนนั้นฮิโรชิตัดสินใจกลับเข้าห้อง เขาก็อาจกลายเป็นเหยื่อในคดีฆาตกรรมนี้ก็เป็นได้! ส่วนหัวที่โผล่มา เป็นเพราะฆาตกรจับหัวให้โผล่มาคุยกับฮิโรชินั่นเอง!

       ต้นกล้าปิดท้ายว่า “เรื่องนี้เป็นเหมือนกับตำนานเมือง” และยังเสริมอีกว่า ธรรมเนียมของประเทศญี่ปุ่น การนำของไปให้เพื่อนบ้านถือเป็นการผูกมิตรที่ดี และส่วนใหญ่เรื่องหลอนก็มาจากสถานการณ์แบบนี้ได้เช่นกัน  

 (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

บ้านนี้ใครอยู่ก็ตาย! สืบสาวราวเรื่องจึงได้ความว่าคุณยายเคยเลี้ยงปอบเพื่อทำเสน่ห์ใส่คุณตา ต่อมาเลี้ยงไม่ไหวจึงมอบให้คนอื่นไป แต่สุดท้ายมันก็วนกลับมากินคนในบ้านจนหมด มิหนำซ้ำที่ดินของบ้านยังมีบ่อเน่าที่เคยเป็นที่ทิ้งศพทหาร!

12 พ.ค. 2023

บ้านนี้ใครอยู่ก็ตาย! สืบสาวราวเรื่องจึงได้ความว่าคุณยายเคยเลี้ยงปอบเพื่อทำเสน่ห์ใส่คุณตา ต่อมาเลี้ยงไม่ไหวจึงมอบให้คนอื่นไป แต่สุดท้ายมันก็วนกลับมากินคนในบ้านจนหมด มิหนำซ้ำที่ดินของบ้านยังมีบ่อเน่าที่เคยเป็นที่ทิ้งศพทหาร!

‘ท่าปอบหยิบ’ กลายเป็นไอคอนที่ทำให้หลายคนนึกถึง ‘ผีปอบ’ แต่หลังจากที่ได้เจอเข้ากับตัวจริง ๆ ‘คุณอ๊อฟ คนเห็นผี’ ก็ได้เล่าใน ‘รายการอังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (2 พฤษภาคม 2566) ว่าผีปอบจริง ๆ แล้วไม่ได้กินตับไตไส้พุงอย่างที่พวกเรารู้กัน แล้วความจริงที่คุณอ๊อฟได้เจอมาเป็นอย่างไรนั้น ไปหาคำตอบพร้อมกันเลย! คุณอ๊อฟเล่าว่าเรื่องนี้มาจากเคสหนึ่งใน ‘รายการ The sixth sense คนเห็นผี’ เคสนี้ต้องเดินทางไปไกลถึงจังหวัดกำแพงเพชร แต่คืนก่อนที่จะไป คุณอ๊อฟกินยาไทรอยด์จึงทำให้หลับลึกไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ จนทีมงานคนอื่น ๆ ต้องออกเดินทางไปก่อน คุณอ๊อฟจึงกล่าวขอโทษทีมงาน และคิดว่าคงไปไม่ทันแล้ว แต่แล้วก็มีความรู้สึกหนึ่งที่สะกิดคุณอ๊อฟขึ้นมาว่า “ลุก แล้วไปซะ” ตอนนั้นคุณอ๊อฟก็รับรู้ได้เลยว่าเป็นเสียงพระแม่ทุรคาที่ตนนับถือ หลังจากนั้นก็เสิร์ชหาบริการรถเช่าด่วนเพื่อออกเดินทางทันที เมื่อเดินทางมาถึงจังหวัดกำแพงเพชร เส้นทางที่เข้าไปในบ้านของเคสนั้น เหมือนกับหลงเข้าไปในป่าเพราะข้างทางเป็นป่าไม้รกทึบ จะเจอบ้านคนอยู่แค่หลังเดียวต่อระยะทางประมาณหนึ่งกิโลเมตรเกือบตลอดทาง และเมื่อถึงจุดหมายและกำลังจะลงจากรถ พี่คนขับรถก็ทักขึ้นมาว่า “แล้วพี่ผู้หญิงคนนั้นจะลงไปด้วยไหมครับ” คุณอ๊อฟจึงคิดในใจว่า “เรานั่งมาตลอดทางทำไมถึงไม่เห็นใครเลย แล้วทำไมตอนเราขึ้นรถพี่คนขับรถไม่สังเกตบ้างหรอว่าขึ้นมาคนเดียว” จึงตอบกลับพี่คนขับรถไปว่า “ไม่รู้ค่ะ เดี๋ยวถามพี่เขาอีกทีนึงละกัน”จากนั้นก็ลงมาจากรถก่อน ทำให้ได้เห็นหน้าของผู้หญิงคนนั้นเต็ม ๆ และสัมผัสได้ว่าเขาพึ่งขึ้นมาบนรถตอนที่คุณอ๊อฟมองออกไปนอกหน้าต่างระหว่างเดินทางเข้ามา คุณอ๊อฟไม่ได้คิดอะไรต่อ และเมื่อถึงเวลาที่ต้องถ่ายทำรายการ ระหว่างที่คุณอ๊อฟเข้าฉากก็ได้เห็น ‘ผีกระสือ’ ครั้งแรกในชีวิต ลักษณะคือเป็นหน้าคนที่มีดวงไฟสีส้มกระพริบเป็นจังหวะวูบวาบช้า ๆ ขึ้นมา ซึ่งในตอนนั้นเห็นอยู่ไกล ๆ และทุกคนก็เห็นเหมือนกันหมด มาถึงเรื่องของเคสในวันนั้นกันบ้าง เจ้าของเคสเล่าว่าตนนั้นซื้อบ้านมาจากที่ดินแบ่งขายสำหรับให้ทำกิน เมื่ออยู่กับครอบครัวไปได้สักพัก คุณยายก็เริ่มป่วย โดยมีอาการผอมแห้ง ซูบผอมลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งเสียชีวิต ต่อมาก็เป็นคุณตาและญาติที่มีอาการเดียวกัน และอาการเหล่านั้นก็มาถึงตัวเขา เจ้าของเคสเล่าว่าเมื่อก่อนเขาเป็นคนรูปร่างอ้วนท้วมอุดมสมบูรณ์ แต่พอกลับมาอยู่บ้านหลังนี้ รูปร่างก็กลับผอมแห้ง นอกจากนี้ครอบครัวของเขาก็เลิกราแยกย้ายออกไป ทำให้เขาต้องอยู่บ้านหลังนี้คนเดียว เขาจึงกลัวว่าอาจจะต้องเสียชีวิตเหมือนกับตายายและญาติของเขาอีกเป็นแน่ ต่อมาเจ้าของเคสได้พาไปดูบริเวณรอบ ๆ บ้านแต่ก็ไม่พบอะไรเชื่อมโยงถึงปอบเลย จนกระทั่งได้ขึ้นไปดูชั้นสองของบ้าน คุณอ๊อฟสัมผัสได้ว่ามันมีอะไรอยู่ข้างบน แต่ก็ไม่รู้แน่ชัดว่า ‘สิ่งนั้น’ คืออะไร จนได้เจอกับรูปคุณตาคุณยาย และสัมผัสได้ว่าเมื่อก่อนตอนสาว ๆ คุณยายชอบคุณตา จึงไป “ทำเสน่ห์เพื่อให้คุณตาหลงรัก” และได้อยู่กินด้วยกัน แต่สุดท้ายมันเหมือนกับว่า “อยู่แต่ตัวแต่ใจไม่อยู่” นับวันก็มีแต่จะแห้งเหี่ยวลงไปเรื่อย ๆ คุณยายจึงต้องหมั่นไปเติมของและเลี้ยงสิ่งนั้นด้วยเลือด คุณยายรู้ว่าสิ่งนั้นคือปอบและเลี้ยงต่อไม่ไหว จึงเอาไปฝากบ้านข้างหน้าที่อยู่ถัดห่างออกไปจากบ้านตัวเองประมาณ 2-3 กิโลเมตรให้เลี้ยงแทน แต่คนที่บ้านหลังนั้นก็สติฟั่นเฟือน ทำให้เลี้ยงไม่ดีพอ ปอบจึงกินคนในบ้านหลังนั้นแทน และกลับมาไล่กินคุณยายเจ้าของดั้งเดิมและคนเกี่ยวข้องไปทีละคน ขณะที่กำลังสืบสาวราวเรื่องอยู่นั้น คุณอ๊อฟก็ได้เห็นสิ่งหนึ่งในเงามืด ลักษณะคือเป็นคุณยายที่หน้าตาเหมือนกับผู้หญิงที่นั่งรถเช่ามากับคุณอ๊อฟเป๊ะ!! “แถมร่างนั้นก็ค่อย ๆ คลานแบบ 4 ขา และกำลังหักคอตัวเองไปมา” เดินออกมาจากอีกห้องหนึ่ง มายืนอยู่ตรงหน้าคุณอ๊อฟก่อนที่จะหายไป! คุณอ๊อฟบอกว่า “เคยมีความคิดเกี่ยวกับปอบว่า มันจะต้องกินไส้ กินตับ หรืออะไรดิบ ๆ แต่จริง ๆ แล้ว ปอบมีลักษณะคือ มันจะค่อย ๆ กินจากจิตใจ เหมือนสะกดจิตเราว่าต้องเป็นซึมเศร้า เราจะต้องไม่คบหาสมาคมกับใคร เราจะต้องอยู่แบบนี้อยู่คนเดียว และไม่กินข้าว กระทั่งมันสูบพลังชีวิตเราไปทีละนิดจนหมด ตัวอย่างเช่น เมื่อคน ๆ หนึ่งโดนปอบสิง และมีสังคมรอบข้าง เขาจะค่อย ๆ ถอยตัวห่างออกมาจากสังคมนั้น ทำให้พลังชีวิตนอกบ้านมันเริ่มหาย และเมื่อเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านพลังชีวิตมันก็หมุนอยู่แต่ในบ้าน และหลังจากนั้นมันก็จะตัดพลังชีวิตที่หมุนเวียนอยู่ในบ้านออกไปอีกโดยทำให้คนในครอบครัวแยกกันอยู่คนละที่ ทำให้พลังงานนั้นก็จะหมุนอยู่กับแค่ตัวเอง และสาเหตุการเป็นปอบมันเกิดจากการที่คนนั้นเคยมีความอิจฉาริษยาโลภมากในจิตสุดท้ายก่อนตาย” หลังจากผ่านเหตุการณ์สยองนั้นมาได้ คุณอ๊อฟก็เล่าต่ออีกว่าทีมงานสัมผัสได้ถึงเมืองบังบด (เมืองลับแลของกำแพงเพชร) ตั้งอยู่ในพื้นที่บริเวณบ้าน ซึ่งพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ประหารคนในช่วงสงครามสมัยก่อน และเป็นที่สำหรับโยนศพของทหารลงไปในบ่อหลังบ้านเจ้าของเคสได้ยินดังนั้นก็ขนลุก เพราะที่ผ่านมาตนได้พยายามขุดลอกบ่อนั้นมาหลายครั้ง แต่ลอกยังไงก็ยังเหม็นเน่าอยู่ตลอด จึงตัดสินใจปลูกบัวแต่ก็ไม่สำเร็จอีก สุดท้ายจึงปล่อยเน่าอยู่อย่างนั้น คุณอ๊อฟจึงแนะนำไปว่าวิธีแก้ง่ายที่สุดเลยคือการย้ายออกจากที่นี่ เจ้าของเคสถึงกับอึ้งอยู่พักหนึ่ง เพราะการทิ้งถิ่นกำเนิดก็เป็นเรื่องที่ทำใจลำบาก แต่ก็มีอีกวิธีนั่นก็คือ ต้องพลิกหน้าดินโดยใช้น้ำมนต์ธรณีสารล้างพื้นดิน ต่อมาคือตัวเจ้าของเคสต้องหมั่นทำบุญ เพราะคุณอ๊อฟรู้ได้เลยว่าตัวเจ้าของเคสไม่ค่อยทำบุญ สวดมนต์ นั่งสมาธิ หรือทำทานเลย แม้แต่บุญเก่าที่เขาเคยทำมาก็ไม่มีติดตัว จึงทำให้ไม่มีสิ่งใดเป็นเกราะคุ้มครอง เจ้าของเคสก็ลังเลว่าเขาจะทำได้หรือไม่เพราะที่ผ่านมาไม่เคยทำจริง ๆ คุณอ๊อฟจึงตอบไปว่า “ลังเลไม่ได้นะมันคือชีวิตคุณ ถ้าคุณไม่ทำ คุณไม่เริ่ม เราก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว” เมื่อคุณอ๊อฟเล่าจบ ดีเจแนนก็ได้ถามคุณอ๊อฟไปว่าถ้าเกิดเจ้าของเคสตัดสินใจย้ายที่อยู่ออกไปจริง ๆ และไปใช้ชีวิตตามปกติไม่ได้ถือศีลภาวนาหรือทำบุญใด ๆ จะเป็นอย่างไร คุณอ๊อฟก็ตอบว่า “ก็อาจจะหลุดพ้นจากปอบตัวนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปเจออะไรในข้างหน้าอีกเพราะไม่มีอะไรคุ้มครองเขาไว้เลย มันเป็นเหมือนการหนีปัญหา แต่ไม่หาทางแก้ ดังนั้นต้องหมั่นทำบุญสร้างกุศลให้ตัวเอง เพื่อเป็นเกราะป้องกันจากสิ่งที่มองไม่เห็น”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

ลุงข้างบ้านที่ไม่ได้เจอกันนาน พอกลับมาเจอทุกครั้ง ลุงยังทักทายและยิ้มให้ พอรู้ความจริง ขนหัวลุกไม่หยุด!

26 ก.พ. 2024

ลุงข้างบ้านที่ไม่ได้เจอกันนาน พอกลับมาเจอทุกครั้ง ลุงยังทักทายและยิ้มให้ พอรู้ความจริง ขนหัวลุกไม่หยุด!

เรื่องนี้ ‘คุณออโต้’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (20 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับลุงข้างบ้านที่ไม่ได้เจอกันนาน พอกลับมาเจอกันอีก ลุงก็ทักทายและยิ้มให้เสมอ แต่พอมารู้ความจริงถึงกับช็อก เรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย! โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เคยเจอกับตัวเองของคุณออโต้เมื่อ 25 ปีก่อน เป็นช่วงที่กำลังเรียนที่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 1 ซึ่งในช่วง 4 เดือนแรกที่ไปเรียน คุณออโต้ก็ได้ทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัย จึงไม่ค่อยมีเวลากลับบ้าน จนกระทั่งสอบปลายภาคเสร็จแล้วปิดเทอม จึงได้กลับบ้าน บ้านคุณออโต้อยู่ต่างจังหวัด พ่อแม่เป็นข้าราชการ จึงไม่ค่อยอยู่บ้าน คุณออโต้จึงตัดสินใจนั่งรถกลับบ้านแต่จะไปลงที่บ้านเพื่อนก่อน เพื่อรอให้พ่อแม่กลับบ้านแล้วคุณออโต้ถึงจะกลับ ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอม เพื่อน ๆ ต่างมหาวิทยาลัย ก็ได้นัดมารวมตัวกันเพื่อดื่มสังสรรค์ จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 4-5 ทุ่ม คุณออโต้ก็คิดว่าถ้าดึกไปมากกว่านี้ กลัวว่าพ่อแม่จะเข้านอนก่อน ซึ่งจะเข้าบ้านไม่ได้ คุณออโต้ก็เลยขอให้ ‘คุณบี’ (นามสมมติ) ขับรถไปส่งที่บ้าน ส่วนตัวของคุณบีเป็นคนกลัวผีมาก พอขับรถไปส่งคุณออโต้ถึงแค่หน้าปากซอยก็ขอกลับทันที ก่อนกลับคุณบีก็บอกกับคุณออโต้ว่า “ไอ้โต้ มึงเดินเข้าบ้านมึงเองนะ” คุณออโต้ที่เกรงใจเพื่อนมากจึงตอบไปว่า “ได้ ๆ ไม่เป็นไร เดี๋ยวเดินเข้าบ้านเอง” บ้านคุณออโต้ห่างจากปากซอยประมาณ 800-900 เมตร และสามารถเลือกเส้นทางเดินกลับบ้านได้ 2 เส้นทางคือ เส้นทางแรกต้องเดินผ่านวัด ผ่านกำแพงวัดที่มีโกฐกระดูกของผู้เสียชีวิต และเส้นทางที่ 2 คือ ทางเล็ก ๆ ที่ต้องเดินลัดเลาะตามบ้านของคนอื่น ซึ่งในเวลานั้นคุณออโต้ก็ตัดสินใจเลือกเส้นทางที่ 2 ก่อนที่จะถึงบ้านคุณออโต้ จะต้องเดินผ่านบ้านของ ‘ลุงเพชร’ ที่เป็นช่างเย็บเสื้อผ้า ซึ่งลุงเพชรรู้จักกับคุณออโต้มานานและเย็บชุดนักเรียนให้คุณออโต้มาตั้งแต่สมัยมัธยม ในขณะที่คุณออโต้กำลังเดินผ่านไปข้างหลังบ้านลุงเพชร ก็ได้ยินเสียงไอขึ้นมา “แค่ก ๆ” คุณออโต้จึงหันไปมองที่ต้นเสียง ปรากฏว่าเป็นลุงเพชรที่กำลังนั่งอยู่บนแคร่ตรงสวนหลังบ้าน คุณออโต้ตกใจจึงพูดกับลุงเพชรไปว่า “โห้ลุง! ทำไมยังไม่นอน” ลุงเพชรก็ยิ้มให้ แล้วตอบกลับมาว่า “ออโต้พึ่งกลับมาบ้านหรอ” คุณออโต้ที่กำลังรีบกลับบ้านเพราะกลัวพ่อแม่จะนอนหลับก่อนแล้วจะเข้าบ้านไม่ได้ จึงตอบส่ง ๆ ไปว่า “ครับ ๆ” พอถึงบ้านคุณออโต้ก็ทำธุระส่วนตัว เสร็จแล้วก็ขึ้นไปชั้น 2 ของบ้าน พอไม่ได้กลับบ้านนาน ก็รู้สึกคิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ จึงออกไปดูวิวที่ระเบียง ปรากฏว่าคุณออโต้ยังเห็นลุงเพชรนั่งอยู่บนแคร่เหมือนเดิม คุณออโต้รู้สึกแปลกใจ เพราะต่างจังหวัดคนมีอายุจะเข้านอนเร็ว คุณออโต้ก็คิดในใจสักพัก ก็ได้ยินเสียงน้องชายตะโกนขึ้นมาว่า “พี่ออโต้ มาดูคอมให้หน่อย” จากนั้นคุณออโต้ก็ลงไปดูคอมให้น้อง เวลาผ่านไปสักพักก็เดินกลับมาที่เดิม แต่ครั้งนี้ก็ไม่เจอลุงเพชรแล้ว ตลอดระยะเวลาที่ปิดเทอม คุณออโต้ก็มีการไปดื่มสังสรรค์กับเพื่อนเป็นประจำ กลับบ้านทีก็ 4-5 ทุ่ม ซึ่งคุณออโต้ก็ใช้จะเส้นทางเดิมที่ลัดเลาะตามบ้านของคนอื่น และทุก ๆ ครั้งที่กลับบ้าน ก็จะเจอลุงเพชรทักทายและยิ้มให้ตลอด จนเวลาผ่านไปใกล้ถึงวันที่จะเปิดเทอม คุณออโต้มีชุดนักศึกษาตัวหนึ่งที่ซื้อมาผิดไซส์ จึงตั้งใจว่าจะเอาไปให้ลุงเพชรซ่อมให้ วันนั้นคุณออโต้ก็ตื่นแต่เช้า เพื่อที่จะขอเงินแม่ไปจ่ายค่าซ่อมชุด แม่ก็ถามว่า “จะเอาไปซ่อมที่ไหน” คุณออโต้ก็ตอบไปว่า “กับลุงเพชรไงครับ” พอแม่ได้ยินก็มีท่าทีที่ตกใจ และสีหน้าเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ แม่ก็ถามย้ำอีกรอบหนึ่งว่า “จะเอาไปซ่อมที่ไหน” คุณออโต้ก็ตอบเหมือนเดิมว่า “ลุงเพชรไงครับ ลุงที่อยู่ข้างบ้านเรา” พอพูดจบแม่ก็เดินมาตีคุณออโต้ แล้วก็ตวาดใส่คุณออโต้ว่า “จะไปแก้กับลุงเพชรได้ยังไง ลุงเพชรตายไปตั้งแต่แกไปเรียนที่มหาวิทยาลัยช่วงแรก ๆ แล้ว” ซึ่งคุณออโต้ไม่เชื่อ เพราะเจอลุงเพชรทุกวันและลุงเพชรก็ยังทักทายคุณออโต้ปกติ แม่ก็ยังบอกอีกว่า “อย่าโกหกนะ แม่กลัว” คุณออโต้คิดว่าแม่ตัวเองขี้เหนียวหาว่าจนนั้นกุเรื่องคนเสียชีวิตมาพูดแทน คุณออโต้หัวเสียจึงเดินออกจากบ้านแล้วเจอพ่อ คุณออโต้ก็เดินไปขอเงินพ่อ พ่อเลยถามว่า “จะเอาเงินไปทำอะไร” คุณออโต้ก็ตอบไปว่า “จะเอาไปจ่ายค่าซ่อมชุดนักศึกษา” ซึ่งพ่อก็ถามคำถามเดียวกับแม่ว่า “จะเอาไปซ่อมที่ไหน” คุณออโต้ก็ตอบเหมือนเดิมว่า “ลุงเพชรไงครับ ลุงที่อยู่ข้างบ้านเรา” พอพ่อได้ยินก็นิ่งไปสักพัก พ่อก็พูดขึ้นมาว่า “ลุงเพชรแกเสียแล้วนะ” หลังจากนั้นพ่อก็เดินเข้าไปหยิบอะไรบางอย่างในบ้าน แล้วยื่นให้คุณออโต้ดู ปรากฏว่าเป็นซองงานศพของลุงเพชร พอคุณออโต้เห็นถึงกับช็อก ทำตัวไม่ถูก ซึ่งคุณออโต้จึงกลับมาคิดกับตัวเองว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คุณออโต้เจอลุงเพชรทุกวัน ลุงเพชรก็ยังทักทายและยิ้มให้ปกติ แล้วพ่อก็เล่าให้คุณออโต้ฟังว่า “ก่อนที่ลุงเพชรจะเสียชีวิต ลุงเพชรถามหาออโต้ด้วย” คุณออโต้ก็คิดว่า ด้วยความที่สนิทกันกับลุงเพชรและรู้จักกันมานาน ตั้งแต่เด็ก ๆ ลุงเพชรอาจอยากมาลาคุณออโต้ก็ได้(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

กลายเป็นทริปทะเลทรายสุดหลอน เมื่อไกด์ทัวร์ไม่ยอมจองที่พักล่วงหน้าไว้ ทำให้ต้องไปนอนทับที่คนตายโดยไม่รู้ตัว และด้วยความชอบส่วนตัวจึงแต่งตัววาบหวิวออกมาถ่ายรูป จบที่คืนนั้นเกือบตาย! เพราะโดนหลอกแบบดับเบิ้ล!

22 พ.ค. 2023

กลายเป็นทริปทะเลทรายสุดหลอน เมื่อไกด์ทัวร์ไม่ยอมจองที่พักล่วงหน้าไว้ ทำให้ต้องไปนอนทับที่คนตายโดยไม่รู้ตัว และด้วยความชอบส่วนตัวจึงแต่งตัววาบหวิวออกมาถ่ายรูป จบที่คืนนั้นเกือบตาย! เพราะโดนหลอกแบบดับเบิ้ล!

‘คุณอ้วน รีเทิร์น’ ได้มาเยือนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (9 พฤษภาคม 2566) เพื่อมาเล่าเรื่องหลอนของตัวเองที่เจอดีระหว่างท่องทริปทะเลทราย ให้กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ ฟัง ว่าได้เจอผีถึง 2 ตน! เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปติดตามกันได้เลย! คุณอ้วนเล่าว่าตัวเองนั้นชอบไปเที่ยวทะเลทรายช่วงเดือนธันวาคมของทุกปีมาก เพราะมันดูมีมนต์ขลัง ดูมีเสน่ห์ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม และเมื่อย้อนกลับไปประมาณ 6 ปีที่แล้วในวันที่ 31 ธันวาคม เป็นวันที่คุณอ้วนวางแพลนว่าจะไปเคาท์ดาวน์ที่กลางทะเลทราย มีเพื่อนคนไทยไปด้วย 2 คน หนึ่งในนั้นสามารถพูดอาหรับได้ และมีไกด์ทัวร์ด้วยอีกหนึ่งคน ซึ่งได้วานให้ไกด์ทัวร์รีบโทรไปจองเต็นท์ที่อยู่ในแคมป์กลางทะเลทราย เพราะกลัวว่าเต็นท์จะเต็ม แต่ไกด์ทัวร์บอกว่าไม่เต็มแน่นอน พอไปถึงปรากฏว่าเต็นท์เต็ม! จะกลับก็ไม่ได้เพราะใช้เวลาเดินทางมากว่า 4 ชั่วโมง ด้วยความโมโห คุณอ้วนจึงโวยวายด่าไกด์ทัวร์หนักมาก จนเจ้าของแคมป์เดินมาเห็นเหตุการณ์และสงสารไกด์ทัวร์คนนั้น จึงเดินเข้ามาบอกว่า “ขอโทษนะ ถ้าไม่รังเกียจ เขามีห้องเล็ก ๆ อยู่ห้องหนึ่ง ซึ่งจะนำเตียง 3 ฟุต 3 เตียง มาเติมให้แต่ห้องสภาพไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ เพราะไม่เคยมีคนมานอน” คุณอ้วนชั่งใจอยู่สักครู่ ก็หยวน ๆ ให้เพราะไม่รู้ว่าจะไปพักที่ไหนแล้ว แถมตอนนั้นอากาศก็เริ่มเย็นลงแล้ว... ก่อนที่ฟ้าจะมืดคุณอ้วนได้ไปถ่ายรูปกับเพื่อน ๆ ซึ่งชุดที่คุณอ้วนสวมใส่ค่อนข้างที่จะโป๊ เมื่อไกด์ทัวร์เดินมาเห็น เขาก็เข้ามาเตือนว่าอย่าถ่ายรูปแบบนี้ แต่ด้วยความที่ยังคงโกรธไกด์ทัวร์คนนั้นอยู่ คุณอ้วนจึงไม่สนใจและยืนยันว่าจะถ่ายต่อ เพราะบนสันของเนินทะเลทรายนี้มีแค่กลุ่มของคุณอ้วนเท่านั้น และคิดว่าไม่น่ามีใครมาเห็น เมื่อถ่ายรูปเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณอ้วนรู้สึกเหนื่อยมาก จึงไม่ได้ออกไปปิ้งย่างบาร์บีคิวกับเพื่อน ๆ และได้อาบน้ำเข้านอนทันที คุณอ้วนนอนที่เตียงด้านในสุด ขณะที่กำลังล้มตัวนอนและกำลังจะเคลิ้มหลับ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเปิดเต็นท์ตรงเข้ามายังเตียงที่นอนอยู่ เมื่อลืมตามอง ก็เห็นเป็นผู้ชายคนหนึ่งคล้ายคนอินเดีย ผมสั้นแต่พะรุงพะรัง มีหนวด ใส่เสื้อเป็นลายสก็อตแขนสั้นเก่า ๆ ในใจคุณอ้วนก็คิดสงสัยว่าเป็นใคร เป็นคนงานหรือเปล่า และพอเขามาหยุดที่เตียงของคุณอ้วน เขาก็มายืนจ้องหน้าพร้อมกับทำตาเหลือกถลนใส่ ในขณะนั้นคุณอ้วนก็เหมือนกับมองชายคนนั้นอยู่ในภวังค์กึ่งหลับกึ่งตื่น และรู้สึกได้ทันทีว่าเขาไม่ใช่คนแน่ ๆ และรู้สึกว่าอยากจะลุกหนีไปให้เร็วที่สุด จึงพยายามร้องให้คนช่วย! และเพื่อนทั้ง 2 คนของคุณอ้วนก็เดินเข้ามาในเต็นท์พอดี จึงพยายามร้องเรียกให้ช่วย ด้วยอาการเหมือนจะขาดใจเพราะเริ่มหายใจไม่ออก แต่เพื่อนทั้ง 2 คนนั้นคิดว่าคุณอ้วนแค่ละเมอ จึงไม่ได้สนใจและพากันเข้านอน และผีผู้ชายคนนั้นก็ได้หายไป แต่คุณอ้วนรู้สึกว่าเหมือนมีตัวอะไรไม่รู้มุดเข้ามาในผ้าห่มแทน! และเมื่อมันมุดมาถึงตรงหน้าอก คุณอ้วนก็พยายามเอามือดันตรงหน้าอกไว้ คุณอ้วนกลัวมาก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงตัดสินใจสวดมนต์และคิดถึงพ่อกับแม่ ซึ่งในตอนนั้นอาการหายใจไม่ออกเหมือนจะขาดใจตายให้ได้ก็หนักขึ้น ขณะที่กำลังสวดมนต์อยู่นั้นก็เห็นเป็นผู้ชายตัวเล็ก ชุดขาว หน้าเหี่ยวย่น มีหนวดเคราและใส่ผ้าโพกหัวสีขาว เดินเข้ามาหาที่เตียงซึ่งในตอนนั้นคุณอ้วนรู้สึกว่าเหมือนตัวเองลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่งเรียบร้อยแล้ว และผู้ชายคนนั้นก็เอามือหนึ่งกดบ่าคุณอ้วน อีกมือหนึ่งดันเต็นท์ไว้ แล้วก็มองหน้าคุณอ้วนด้วยสายตาที่ดูน่ากลัว นึกในใจตอนนั้นคิดว่าตัวเองต้องตายแน่ ๆ จึงพยายามเอามือไปหยิบพาวเวอร์แบงค์เพื่อจะโยนใส่เพื่อนที่นอนอยู่ แต่พอจะโยนมันกลับหลุดมือตกลงพื้นเสียงดัง ทำให้ในตอนนั้นคุณอ้วนก็รู้สึกตัว และลุกขึ้นมาตะโกนร้องว่า “ช่วยด้วย ๆ ผีหลอก” เพื่อนทั้งสองคนจึงสะดุ้งตื่นขึ้นมาและเห็นว่าหน้าของคุณอ้วนนั้นเขียวไปหมดเลยเหมือนคนกำลังจะช็อก เพื่อน ๆ ก็ถามว่าเป็นอะไรคุณอ้วนจึงเล่าทุกอย่างให้ฟัง หลังจากนั้นคุณอ้วนไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ เพราะเวลาตี 2 แล้ว จะนอนก็ไม่ได้ จึงพากันออกไปนอกเต็นท์ เพื่อนคนหนึ่งจึงไปตามไกด์ทัวร์มาและเล่าทุกอย่างให้ฟัง พร้อมกับขอให้เขาหาที่นอนใหม่ให้ แต่จนแล้วจนรอดก็หาที่นอนใหม่ให้ไม่ได้ จะพากันไปนอนที่รถก็ไม่ได้ จึงจำใจต้องกลับไปนอนที่เต็นท์นั้น เพื่อนคุณอ้วนก็ช่วยกันปลอบว่าอย่ากลัว ให้ตั้งสติ และทุกคนจึงตัดสินใจไปนอนกองรวมกันอยู่ที่มุมเต็นท์ คุณอ้วนเองก็ให้เพื่อนทั้ง 2 คนมานอนประกบสองข้าง และเอาขามากอดคุณอ้วนไว้ด้วย ส่วนไกด์ทัวร์คนนั้นไปนอนที่เตียงของคุณอ้วนแทน แต่คุณอ้วนและเพื่อน ๆ ก็นอนไม่ลงอยู่ดี แถมพากันสวดมนต์แทบทั้งคืนจนถึงเช้า รุ่งเช้า คุณอ้วนก็ลุกออกไปชงกาแฟกิน เพื่อน ๆ และไกด์ก็ตามออกมา เจ้าของแคมป์เดินมาเห็นเข้าพอดี จึงถามว่าทำไมถึงพากันออกเต็นท์มาเช้าจัง ปกตินักท่องเที่ยวจะตื่นสายกว่านี้ ไกด์ทัวร์จึงบอกไปว่าเมื่อคืนแขกของเราโดนผีหลอก ทำให้นอนไม่ได้ ด้วยความที่คนอาหรับมักจะเป็นคนที่พูดตรงและไม่โกหก เจ้าของแคมป์จึงเล่าว่าจริง ๆ เต็นท์ตรงนั้นถ้าไม่จำเป็น ก็ไม่ได้อยากขายให้ เพราะย้อนกลับไปตอนที่เขาเข้ามาทำกิจการแคมป์ตรงพื้นที่นี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีคนงานเป็นคนอินเดียมาฆ่าตัวตายตรงเต็นท์ที่คุณอ้วนนอน คุณอ้วนได้ฟังดังนั้นก็ขนลุกหนักมาก เพราะตอนที่เจอเหตุการณ์นั้นก็นึกสงสัยในใจอยู่ว่าคนอินเดียจะมาอยู่ทำไมในพื้นที่อาหรับ หลังจากนั้น ตามแพลนคุณอ้วนและเพื่อน ๆ จะต้องนอนค้างอีกหนึ่งคืน แต่ทุกคนก็ตัดสินใจยกเลิกทริป และนั่งรถกลับเข้าเมืองทันที ระหว่างที่ขับรถอยู่นั้น ไกด์ทัวร์ก็พูดว่า “ผมบอกคุณแล้วใช่ไหม ว่าไม่ให้แต่งตัวโป๊ออกมาถ่ายรูป เพราะที่นี่เจ้าที่แรงมาก และศาสนาเขาไม่ชอบเรื่องอะไรแบบนี้” นั่นทำให้คุณอ้วนนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น ว่าจริง ๆ แล้วตนเจอผีผู้ชาย 2 คน และผีผู้ชายคนที่สองที่เข้ามาในเต็นท์คงต้องเป็นเจ้าที่เจ้าทางแน่ ๆ คุณอ้วนถึงกับขนลุกขึ้นมาอีกครั้งทันที และบอกกับตัวเองว่าจะไม่ไปในพื้นที่ตรงนั้นอีกแล้ว เมื่อกลับมาถึงยังในตัวเมืองจึงได้ทำพิธีของไทยเพื่อกราบขอขมาลาโทษผีเหล่านั้น และเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็ทำให้คุณอ้วนไม่กล้าแต่งตัวโป๊ถ่ายรูปอีกเลย พร้อมกับบอกว่าเวลาเราจะไปยังสถานที่ไหน เราควรให้ความเคารพต่อสถานที่ตรงนั้นทั้งสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็นด้วย (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

เลือกพักโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว แต่พอตกดึกก็ต้องสะดุ้งตื่น แรก ๆ นึกว่าคน พออยู่ไปหลายคืนกลับเจอดีจนขนหัวลุก!

11 เม.ย. 2023

เลือกพักโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว แต่พอตกดึกก็ต้องสะดุ้งตื่น แรก ๆ นึกว่าคน พออยู่ไปหลายคืนกลับเจอดีจนขนหัวลุก!

ไปทำงานต่างจังหวัดจึงเลือกพักโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว แต่พอตกดึกก็ต้องสะดุ้งตื่น เพราะมีเสียงเปิด-ปิดประตูตลอดเวลา! แรก ๆ นึกว่าคน พออยู่ไปหลายคืนกลับเจอดีจนขนหัวลุก! จะออกไปทำบุญก็เจออุปสรรค พอทำบุญให้ก็ยังไม่หายไปไหน! ..ต้องทนนอนด้วยความหวาดผวาถึง 8 คืน! หลายคนคงไม่เชื่อว่าประสบการณ์ขนหัวลุกจะเกิดขึ้นขณะที่เรากำลังนอนอยู่ในโรงแรมระดับ 5 ดาวได้ เรื่องราวสุดหลอนนี้มาจากสาย ‘คุณแดน’ ที่ได้โทรมาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (4 เมษายน 2566) ให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟัง เป็นเรื่องที่ทั้งสตูต้องร้อง “ห๊า!” ไปตาม ๆ กัน เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น แท็กชวนเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันได้เลย! คุณแดนเล่าว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ตอนนั้นได้ไปทำงานที่จังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน เป็นเวลา 9 วัน 8 คืน เนื่องจากเป็นจังหวัดที่ไม่เคยไปมาก่อน จึงวางแผนว่าจะนอนพักที่โรงแรม 5 ดาว เพื่อความปลอดภัย แต่จังหวัดนั้นมีโรงแรม 5 ดาวอยู่เพียง 2 แห่ง จึงเลือกโรงแรมที่เป็นแบรนด์ที่เคยใช้บริการ ผู้ร่วมเดินทางในครั้งนี้มีทั้งหมด 5 คน ได้แก่ คุณแดน พี่สาว บัดดี้ของพี่สาว และทีมงานอีก 2 คน ทั้งหมดได้จองห้องพักไว้ 3 ห้อง โดยคุณแดนนอนคนเดียว ส่วนพี่สาวนอนกับบัดดี้ ทั้ง 2 ห้องนี้จะอยู่ติดกัน ส่วนอีกห้องเป็นของทีมงานที่เหลือ ตำแหน่งของห้องอยู่ตรงข้ามห้องของพี่สาว เมื่อมาถึงโรงแรม ทุกอย่างก็ดูจะเป็นไปตามที่คาดหวังสมมาตรฐานระดับ 5 ดาว บรรยากาศในโรงแรมดูคึกคักเพราะช่วงนั้นมีการจัดสัมมนาด้วย ส่วนห้องพักเองก็ดูใหม่ มีผนังห้องน้ำเป็นกระจกและมีผ้าม่านช่วยเพิ่มความหรูหรา และยังมี Daybed (เตียงนอนเล่น) ให้นั่งพักผ่อนอย่างสะดวกสบาย ส่วนด้านนอกมีระเบียงหลอก ๆ ที่ทำขึ้นเพื่อความสวยงาม แต่ไม่สามารถออกไปยืนข้างนอกได้ แม้ในห้องจะดูสะดวกสบายและเป็นส่วนตัว แต่ในคืนแรก เวลาประมาณ ตี 1 – 2 คุณแดนก็สะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงคนเปิด-ปิดประตูเสียงดังอยู่บ่อยครั้ง แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่เพียงว่าอาจเป็นเพราะมีสัมมนาจึงทำให้คนเยอะกว่าปกติ และเดินเข้าออกบ่อย จากนั้นคุณแดนก็ได้ยินเสียงเปิด-ปิดประตูดังมาจากห้องของพี่สาว จึงคิดว่าพี่สาวและบัดดี้คงออกไปเที่ยวกันแน่ ๆ จากนั้นก็หลับต่อจนถึงเช้า เมื่อเจอพี่สาวตอนเช้าก็ได้ถามไปว่า “เมื่อคืนออกไปไหนกันมาหรอ เห็นเปิด-ปิดประตูเสียงดัง” แต่เธอก็ปฏิเสธ จากนั้นก็ถามคุณแดนกลับ เพราะเธอก็ได้ยินเสียงดังมาจากห้องคุณแดนเหมือนกัน คุณแดนตอบปฏิเสธไป เพราะไม่ได้ออกไปไหนจริง ๆ ส่วนห้องของทีมงานอีก 2 คนที่เหลือ เขากลับบอกว่าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย คุณแดนและพี่สาวจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีก คืนที่สอง ก็ยังเกิดเหตุการณ์ขึ้นเหมือนเดิมคือมีเสียงเปิด-ปิดประตูอยู่แทบจะตลอดเวลา ก่อนหน้านี้คุณแดนก็ได้ไปเช็คกิจกรรมภายในโรงแรม ซึ่งก็มีตารางค่อนข้างเยอะ จึงพอจะเข้าใจได้และทำใจนอน แต่ยังไม่ทันได้เคลิ้มหลับ คุณแดนก็ได้ยินเสียงเหมือนเดิมดังขึ้นมาจากห้องพี่สาว แล้วเสียงนั้นก็ดังมาที่ห้องคุณแดนแทน เป็นเสียงที่เหมือนมีใครพยายามเข้ามาในห้องแต่เปิดประตูไม่ได้ เนื่องจากประตูมีโซ่ล็อคอยู่อีกชั้นหนึ่งจากประตูดิจิทัล สักพักอีกประมาณ 10 นาที ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคน เดินลากเท้าเข้ามาในห้อง และมาหยุดที่ปลายเตียงของคุณแดน คุณแดนขนลุกกลัวไปหมดจนไม่กล้าลืมตา และก็รู้สึกว่าเขายืนแบบนั้นอยู่ ประมาณ 5 นาที คุณแดนจึงพูดในใจว่า “ผมกลัวนะ อย่าทำอะไรผม” แล้วเขาก็หายไป..! เช้าของวันถัดมา พี่สาวคุณแดนก็มาสะกิดถามว่า “เมื่อคืนเธอเจออะไรมั้ย” คุณแดนจึงเล่าเรื่องที่เจอมาให้ฟัง และเธอก็บอกว่าเจอเหมือนกัน โดยเขาเดินมาหยุดที่หน้าห้องน้ำที่แสงไฟเล็ดลอดออกมา (พี่สาวเปิดไฟห้องน้ำทิ้งไว้ก่อนนอน) เธอจึงเหลือบตามอง และพบว่าเป็นผู้ชายยืนมองเธออยู่! เพื่อให้แน่ใจจึงรวบรวมความกล้าเปิดไฟหรี่ที่หัวเตียงขึ้นเพื่อดูให้ชัดว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร ปรากฏว่าสิ่งที่เห็นนั้นไม่ใช่คน! เพราะมองไม่เห็นส่วนของใบหน้า เป็นเพียงเงาลาง ๆ ดำ ๆ และยังยืนมองมาอยู่ประมาณ 5 นาที เหมือนกับเวลาที่เขายืนมองคุณแดนด้วยเช่นกัน! คุณแดนกับพี่สาวจึงตัดสินใจว่าจะปลีกตัวออกไปทำบุญ ซึ่งมีบัดดี้ติดรถมาด้วย เมื่อซื้อสังฆทานเสร็จ ก็กำลังจะนำไปทำบุญตามที่ตั้งใจ คุณแดนก็เดินจ้ำไปที่รถ จู่ ๆ ก็มีรถอีกคันมาจอดแนบตรงประตูฝั่งคนขับ ทำให้ไม่สามารถขึ้นรถได้ คุณลุงเจ้าของรถลงมาเห็นพอดี จึงกล่าวขอโทษและย้ายรถออกให้ จากนั้นคุณแดนก็รีบนำสังฆทานไปยังวัดที่อยู่ใกล้ ๆ ทันที แต่พอไปถึงปรากฏว่าวัดเงียบมาก คุณแดนวนรถหากุฏิเจ้าอาวาสก็ไม่เจอ เลยตัดสินใจหาวัดใกล้ ๆ อีกแห่ง พอมาถึง พระที่นั่นกลับไม่รับถวายสังฆทาน โดยให้เหตุผลว่า “วันนี้เขาจะอ่านหนังสือเพื่อเตรียมไปสอบ” คุณแดนก็คิดในใจว่า “ทำไมอุปสรรคเยอะจัง” สุดท้ายก็ไปอีกวัด และคิดว่าถ้าไม่ได้ถวายสังฆทานในวัดนี้ คืนนี้ก็คงต้องกล้ำกลืนอดทนกันไป แต่ในที่สุดก็สามารถถวายสังฆทานได้เป็นที่เรียบร้อย คืนที่สามนี้ คุณแดนและพี่สาวพยายามดื่มกันหนักมาก เพื่อที่จะได้หลับแบบไม่รู้สึกตัว ทำให้ผ่านพ้นไปด้วยดี จึงคิดว่าเขาน่าจะได้รับส่วนบุญกุศลที่พึ่งทำไปให้ไปแล้ว แต่พอตกคืนที่สี่คุณแดนและทีมงานทั้งหมดออกไปเที่ยวกลางคืน และกลับมานอนตามปกติ ซึ่งงานสัมมนาและงานประชุมใด ๆ ที่โรงแรมจัดได้หมดไปแล้ว ทำให้บรรยากาศในโรงแรมค่อนข้างเงียบ และเหตุการณ์เดิม ๆ ก็วนมาอีกครั้ง หนึ่งในผู้ร่วมชะตาหลอนคนใหม่ คือบัดดี้ของพี่สาวนั่นเอง.. ต่อมาในคืนที่ห้า คุณแดนและทีมงานยังคงอยู่ระหว่างการคุยงานเนื่องจากลูกค้าอยากนัดทานข้าวไปด้วย ซึ่งทางลูกค้าก็ถามว่า “นอนพักที่ไหนกัน” พอคุณแดนตอบไป เขาก็เลยเล่าให้ฟังว่า “คนที่นี่เขาไม่นอนที่โรงแรมนั้นกันหรอกนะ” เนื่องจากตึกของโรงแรมมันเคยร้างมา 10 กว่าปี จนได้เจ้าของใหม่มารีโนเวทและเปิดกิจการโรงแรม ซึ่งก็ถูกเทคโอเวอร์ไปเป็นแบรนด์ปัจจุบันนี้ และเล่าต่ออีกว่า เพื่อนของลูกค้าเคยมาพักที่นี่ เป็นห้องและชั้นเดียวกันกับที่คุณแดนพัก แถมยังเจอเหตุการณ์เดียวกันแบบเป๊ะ ๆ อีกด้วย คุณแดนได้ยินก็ตกใจและกลัวมาก จึงดื่มแอลกอฮอล์เพื่อมอมตัวเอง ทำให้กลับมาถึงห้องพักเกือบตี 2 พอออกจากลิฟต์ หางตาก็มองไปสุดทางเดิน ปรากฏว่าเห็นเป็นเงาคนยืนอยู่ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นคนที่เจอตลอดเกือบทุกคืน ทั้งหมดจึงรีบแยกย้ายพากันเข้าห้องทันที ระหว่างนั้นสุนัขก็พากันหอนเสียงดังมาจากหลังโรงแรม แต่ความหลอนมันก็ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะกลางดึกคืนนั้น คุณแดนสะดุ้งตื่นเนื่องจากพี่สาวโทรมาขอให้เปิดประตูห้อง เมื่อไปเปิดก็เห็นพี่สาวและบัดดี้เดินหน้าซีดเข้ามาในห้องพร้อมกับหมอนผ้าห่ม ทั้งสองเล่าว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นแบบเดิมเลย แต่บัดดี้ดันเห็นว่าเงานั้นเดินชนเก้าอี้ ทำให้มีเสียงดัง บัดดี้จึงกรีดร้องออกมาด้วยความกลัว และพากันหนีมานอนที่ห้องคุณแดนแทน! พอเช้าวันถัดมา คุณแดนได้มอบผ้ายันต์พระเวสสุวรรณให้กับบัดดี้เพื่อนำไปติดในห้อง และขอให้แผนกต้อนรับของโรงแรมแจ้งกับแม่บ้านว่าอย่าขยับเขยื้อนผ้ายันต์เด็ดขาด ซึ่งพอวันใกล้จะกลับกรุงเทพฯ ก็เกิดเหตุการณ์เดิมอีกซ้ำ ๆ แต่ครั้งนี้กลับมีเสียงเคาะมาจากกระจกฝั่งระเบียงห้องคุณแดน 3 ครั้ง! ซึ่งตอนนั้นมีผ้าม่านกั้นไว้อยู่ คุณแดนแกล้งทำเป็นไม่สนใจและไม่ยอมเปิดผ้าม่าน จนผ่านไปสักพัก เสียงเคาะนั้นก็ดังและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จากก๊อก ก๊อก ก๊อก เป็น ก๊อกๆๆๆๆๆๆๆ คุณแดนกลัวมาก จึงตัดสินใจเปิดไฟนอน สักพักพี่สาวก็ไลน์มาถามว่า “เค้ามาเคาะกระจกห้องเธอหรือเปล่า” คุณแดนเลยตอบกลับไปว่า “ใช่” จนมาถึงวันสุดท้ายที่กำลังจะกลับ พี่สาวเก็บของเตรียมเช็คเอาท์ ปรากฏว่ามีน้ำอัดลมที่ถูกดื่มไปแล้วประมาณ 1/4 ของขวดถูกแช่อยู่ในตู้เย็น ซึ่งพอสอบถามกันไปมา ก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของน้ำอัดลมที่ว่าเลยสักคน จึงสันนิษฐานกันว่า หรือแม่บ้านอาจจะรู้ ว่าในห้องนี้มีอะไรจึงนำน้ำอัดลมมาให้สิ่งนั้น.. และขณะที่กำลังเช็คเอาท์ออกจากห้องพัก คุณแดนได้ถามพนักงานต้อนรับว่าที่ห้องนี้มีอะไรหรือเปล่า เขาก็ไม่ยอมบอก และถามกลับว่าเจออะไร คุณแดนจึงเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ฟัง แต่พนักงานต้อนรับกลับมองหน้ากันแล้วหัวเราะเบา ๆ จากนั้นก็ถามต่อว่า “ทำไมไม่แจ้งตั้งแต่แรก จะได้ย้ายห้องให้” คุณแดนจึงบอกไปว่า “ตอนแรกผมคิดว่าทำบุญให้จะไม่เจออีก แต่ใครจะไปคิดว่าจะเจอเกือบทุกวัน” เมื่อออกจากโรงแรมมาแล้ว คุณแดนและพี่สาวจึงตัดสินใจกลับไปเจอลูกค้าอีกครั้งเพื่อสอบถามถึงเรื่องเหล่านี้ จนรู้คำตอบว่าตอนที่ตึกมันร้าง วิญญาณตนนั้นอาจจะมาเสียชีวิตตรงเตียงห้องของพี่สาว นั่นเลยทำให้เขากลับมายังที่ตรงนั้นตลอดวนซ้ำไปมาไม่รู้จบ ซึ่งคุณแดนเองก็คิดว่าที่เขามาบ่อยก็เพราะเขาตายมานานแล้วไม่มีใครทำบุญให้ ทางลูกค้าก็ได้เล่าต่ออีกว่า อย่างน้อยโรงแรมแห่งนี้ยังดีกว่า 5 ดาวอีกแห่งหนึ่ง ตรงนั้นเจอหนักกว่านี้เยอะ เพราะเพื่อนลูกค้าที่เคยไปพัก ถึงขั้นต้องอุ้มลูกวิ่งหนีออกมาจากห้องพักเลย เพราะมีเงาผู้หญิงใส่ชุดไทยเดินออกมาจากผนังห้อง คุณแดนยังทิ้งท้ายอีกว่า “การที่โรงแรมดาวเยอะ ไม่ได้การันตีว่าจะไม่เจอเรื่องอะไรแบบนี้เสมอไป”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1