เจอหลอน! เลี้ยงโต๊ะจีนผีที่สุสานใหญ่อยู่ดีๆ เครื่องเซ็นเซอร์ผีดังรัวๆ เลยเดินไปพูดว่า “สวัสดีครับ เป็นไงบ้าง อยากได้อะไรก็บอก”

อังคารคลุมโปง RECAP

เจอหลอน! เลี้ยงโต๊ะจีนผีที่สุสานใหญ่อยู่ดีๆ เครื่องเซ็นเซอร์ผีดังรัวๆ เลยเดินไปพูดว่า “สวัสดีครับ เป็นไงบ้าง อยากได้อะไรก็บอก”

22 ธ.ค. 2023

       เมื่อต้องไปเลี้ยงโต๊ะจีนผีที่สุสานใหญ่ซึ่งเป็นธรรมเนียมประจำปีของ The Shock งานนี้จะเจออะไรหลอน ๆ บ้าง รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (19 ธ.ค 2566) วันนี้จะพาทุกคนหลอนไปกับ  ‘ตั้น The Shock’ และ ดีเจทั้งสองท่าน ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวของคุณตั้นที่ได้พบเจอกับบางสิ่งบางอย่าง จะเป็นอย่างไรไปอ่านกันเลยยย

       เรื่องนี้ ‘คุณตั้น’ ได้เริ่มเล่าว่า ทางทีมงาน The Shock ได้เดินทางไปเลี้ยงโต๊ะจีนผี ซึ่งเป็นธรรมเนียมประจำปีของ The Shock ซึ่งปีนี้จะไปจัดกันที่สุสานจังหวัดราชบุรี เวลางานจะเริ่มตั้งแต่ 6 โมงเย็น จนถึง 3 ทุ่ม โดยปีนี้ ‘พี่ป๋อง The Shock’ นำทัพไปจัดโต๊ะหมู่ขึ้นที่สุสานใหญ่ มีอาหารบางส่วนและวงปี่พาทย์ เอาไปตั้งไว้ที่เก็บศพไร้ญาติ

       ตัวคุณตั้นตามไปทีหลัง ไปถึงประมาณ 2 ทุ่ม เป็นเวลาใกล้จบงาน ช่วงที่วงปี่พาทย์เล่นให้ผีฟัง ซึ่งตรงนั้นจะมีซองเก็บศพประมาณ 300 – 400 ซอง คุณตั้นก็เดินไปยืนตรงหน้าวงปี่พาทย์และซองเก็บศพ ซึ่งปกติธรรมเนียมของ The Shock ที่ทำกันมาเป็น 10 ปี คือ เวลาที่เลี้ยงผี ก็จะมีการนำใบตองมาวางและเอาแป้งมาโรยไว้ เพื่อเป็นการเก็บรอยเท้าว่าเขามาหรือเปล่า ซึ่งก็มีรอยเท้ามาจริง ๆ

       ในระหว่างที่ทุกคนยืนดูกันอยู่ ก็มีเสียงเครื่องเซ็นเซอร์ดังขึ้น “ตื้อดึง ตื้อดึง ตื้อดึง” ดังอยู่อย่างนี้โดยไม่มีเหตุผลอยู่ตัวเดียว ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นจึงเริ่มฮือฮาว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในระหว่างนั้น ด้วยความห่ามของคุณตั้น คุณตั้นได้เดินผ่านซองเก็บศพไป และในขณะที่เดินก็ได้พูดว่า “สวัสดีครับ อยากได้อะไรมาบอกเนาะ อยากได้อะไรก็มาเข้าฝัน แล้วก็มาพูดกับเราแล้วกัน” เมื่อคุณตั้นเดินไปถึง เครื่องจับเซ็นเซอร์ก็เงียบเสียงลง คุณตั้นก็พูดไปว่า “สวัสดีครับ เป็นไงบ้าง อยากได้อะไรก็บอก” แต่ถามด้วยความไม่ลบหลู่ ไม่ได้ท้าทาย

       แต่ระหว่างที่คุณตั้นเดินย้อนกลับมา ก็มองกวาดสายตาไปเรื่อย ๆ ก็ได้ไปสะดุดสายตาอยู่ที่ผู้ชายคนหนึ่ง เป็นร่างสีขาวในความมืด เขาเดินและหายไป คุณตั้นที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่คิดว่า ‘ตรงนั้นมีอะไร มีทีมงานเอาเครื่องเซ่นไปไว้หรือเปล่า’ เพราะตอนนี้งานก็ใกล้จะเลิกแล้ว คุณตั้นจึงเดินกลับมา คนอื่น ๆ รีบมาถามถามคุณตั้นว่า “มึงไม่กลัวหรอ” แต่คุณตั้นก็ไม่ได้คุยอะไร แต่พูดไปประโยคหนึ่ง คือ “ตรงนั้นมีอะไร เราจะได้ไปช่วยเก็บ” ทุกคนก็หันมาถามคุณตั้นว่า “พี่เห็นหรอ” คุณตั้นก็หันไปบอกว่า “ก็เห็นสิ ตรงนั้นน่ะ มีคนยืนอยู่” แล้วก็มีคนตอบกลับมาว่า “ไม่มีพี่ ไม่มีอะไรด้วย ตรงนั้นคือ เชิงตะกอนเผาศพของมูลนิธิ” คุณตั้นก็รู้ได้เลยว่า นั่นคือผี หลังจากที่ฟังจบ คุณตั้นก็เงียบไป ทุกคนก็กรูกันเข้ามาถามคุณตั้นว่า “พี่เห็นหรอ” หลังจากนั้นก็จะมีเหล่าคนที่มีเซ้นส์มาบอกว่า “เนี่ย ตรงนี้มี ตรงนี้น่ากลัวมาก รู้สึกว่ามี” คุณตั้นก็ได้การันตีว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นคือผีจริง ๆ

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่


 

related อังคารคลุมโปง RECAP

ชาติที่แล้วเคยสัญญาว่าจะอยู่คู่กันตลอดไป ทำให้เกือบใหลตายไปกับความฝัน! ตั้งใจจะตัดกรรมแต่ก็ต้องพบเจอกับความสูญเสีย..

10 ม.ค. 2024

ชาติที่แล้วเคยสัญญาว่าจะอยู่คู่กันตลอดไป ทำให้เกือบใหลตายไปกับความฝัน! ตั้งใจจะตัดกรรมแต่ก็ต้องพบเจอกับความสูญเสีย..

คำสัญญาของชาติที่แล้วตามมาส่งผลในชาตินี้! กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ชายชุดดำกับกรรมในอดีต’ จาก ‘คุณเป้’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (26 ธันวาคม 2566) พร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ จะหลอนเหลือเชื่อแค่ไหน ตามไปอ่านกันเลย! คุณเป้เล่าว่า ตัวคุณเป้นั้นเป็นคนที่ชอบพญานาค ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่ได้ชอบ แต่อยู่ดี ๆ ก็มีความรู้สึกชอบพญานาคสีดำ หลังจากนั้นก็ไปบูชาพญานาคสีดำมาไว้ที่บ้าน และชอบสวดมนต์เพื่อบูชาปู่พญานาค หลังจากนั้นตัวคุณเป้ก็ได้ฝันว่า ตัวเองไปยืนอยู่บนสะพานกลางน้ำ และมีเรือนักท่องเที่ยงล่องมา มีคนอยู่บนนั้นเยอะมาก แต่มีผู้ชายคนหนึ่ง ใส่ชุดสีดำ เดินขึ้นมาจากน้ำมาอุ้มคุณเป้ลงไปในน้ำ หลังจากที่ลงไปในน้ำแล้ว ตัวคุณเป้รู้สึกว่า ที่ ณ ตรงนั้น เป็นห้องเหมือนบ้านหลังหนึ่ง และผู้ชายคนนั้นก็พูดกับคุณเป้ว่า “เธอรู้ไหม ว่าเราตามหาเธอมานานแล้ว นานมาก ๆ” หลังจากนั้นคุณเป้ก็รู้สึกว่า ตัวเองหลับอยู่ และได้ยินเสียงที่ดังมากจากผู้ชายคนนั้นว่า “เมื่อไหร่พ่อเธอ ครอบครัวเธอจะไปสักที รำคาญจังเลย” ด้วยน้ำเสียงโมโห และไม่พอใจ เพราะว่าเขากำลังให้คุณเป้อยู่ ณ ตรงนั้น และเขายังเน้นอีกว่า “เธอรู้ไหม ว่าเราตามหาเธอมานานมาก กว่าจะเจอ” หลังจากนั้นคุณเป้ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา ด้วยความสงสัยในความฝันของตัวเอง คุณเป้จึงได้ไปหาพระอาจารย์ พระอาจารย์ก็บอกมาว่า “มึงสามารถใหลตายได้เลยนะ การฝันแบบนี้” นอกจากนี้คุณเป้ยังได้รับคำแนะนำจากเพื่อนมาว่า “เออ เนี่ยมีหมอดูไพ่พรหมญาณนะ น้องคนนี้แม่นมากเลย ลองไหม” คุณเป้จึงโทรไปหาน้องหมอดูคนนี้ ทันทีได้ได้คุยเขาก็พูดขึ้นมาว่า “พี่เป้คะ เคยฝันเห็นผู้ชายหรือเปล่า เคยฝันอะไรเกี่ยวกับน้ำไหม พี่เป้มีสัญญาอดีตชาตินะคะ แล้วพี่เป้มีเคยแพลนจะไปวัดที่ไหนหรือเปล่า” ทันทีที่ได้ยิน คำถามที่คุณเป้ตั้งใจคิดมาก็หายวับไปทั้งหมด คุณเป้ตอบกลับไปว่า “วัดอะ พี่เคยมีแพลนที่อยากจะไป แต่ว่าไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ไปหรือเปล่า” หมอดูก็ตอบกลับมาว่า “พี่เป้ต้องไปที่ที่มีพระประธานนะ ต้องไปตัดกรรม ต้องใช้ดอกบัว 5 ดอก” จากนั้นคุณเป้ก็เริ่มมีความคิดว่าอยากจะตัดกรรมแล้ว และในวันนั้น ก่อนที่จะไปตัดกรรม พระที่อยู่บนหิ้ง ก็ร่วงหล่นลงมาแตก คุณเป้ก็เริ่มสงสัยว่าเป็นเพราะเขาหรือเปล่า คุณเป้จึงโทรไปถามน้องหมอดูคนนั้นว่า “ทำไมมันถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น” น้องก็ตอบกลับมาว่า “พี่เป้ เขารู้แล้วนะ ว่าพี่เป้รู้ เขาจะแสดงตัวให้พี่เป้รู้แล้วนะ” หลังจากนั้น คืนนั้นคุณเป้ก็ฝันว่าเขามาบอกกับคุณเป้ว่า “เธอจะตัดกรรมกับเราจริง ๆ หรอ เราให้เธอได้ทุกอย่างนะ” แต่ในใจคุณเป้ก็คิดว่า เกิดชาติภพใหม่แล้ว หลังจากนั้นคุณเป้ก็ตัดสินใจเดินทางไปจังหวัดอ่างทองเพื่อจะไปวัด แต่ระหว่างที่นั่งรถไป คุณเป้ก็มีความรู้สึกว่า เศร้ามาก ๆ จนกระทั่งถึงวัด คุณไปได้พูดว่า “เราพาเธอมาส่งแล้วนะ” จากนั้นคุณเป้ก็ไปทำพิธีเพื่อที่จะตัดกรรม หลังจากเสร็จสิ้นแล้ว ผ่านไปประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ คุณเป้ก็ได้ตั้งครรภ์แบบไม่รู้ตัว แต่ปกติแล้วคุณเป้ทานยาคุมมาตลอด และไปปรึกษาหมอ หมอก็ตอบกลับว่า “คุณไม่มีบุตรหรอก เพราะทานยาคุมมานานเกิน” นั่นก็ทำให้คุณเป้มั่นใจในระดับหนึ่ง ว่าตัวเองไม่สามารถมีบุตรได้ จนคุณเป้เกิดอาการเท้าบวม หลังจากนั้นคุณเป้ก็ไปหาหมอมาตลอดทั้งเดือน แต่คุณหมอหลายคนก็บอกว่าเป็นออฟฟิศซินโดรมบ้าง เป็นอย่างอื่นบ้าง จนกระทั่งสุดท้าย มีคุณหมอบอกว่า “คุณตั้งครรภ์นะ แล้วตั้งครรภ์ได้ 6 เดือนแล้ว” ตัวคุณเป้ก็ช็อกไป และก็คิดว่า เขากลัวเรารู้แล้วเอาออกหรือเปล่า หรือมันเป็นเพราะอะไร ทำไมไม่มีความรู้สึกว่าท้องเลย หลังจากนั้นคุณเป้ก็พยายามดูแลเด็กในครรภ์ตลอด แต่ในใจของคุณเป้เริ่มรู้สึกว่า ลูกต้องเป็นผู้ชายแน่เลย เป็นเขาคนนั้นหรือเปล่า หลังจากนั้นเมื่อครรภ์ครบ 7 เดือน คุณเป้ได้รู้สึกหน่วง ๆ ที่ท้อง จึงไม่สบายใจและรีบไปหาคุณหมอ และก็ได้ทราบว่า เด็กได้เสียไปแล้ว 3 วัน คุณเป้เสียใจมากจนแทบจะเสียสติ และเมื่อถึงเวลาที่ต้องคลอดเด็กออกมา คุณหมอพูดกับคุณเป้ว่า “มดลูกล็อคนะคะคุณแม่ น้องไม่สามารถคลอดออกมาได้ ต้องรอสักพักให้มดลูกคลาย” คุณเป้ที่ได้ยินดังนั้นก็คิดว่า เขาเป็นห่วงเราหรือเปล่า เขาไม่ยอมไปจากเราหรือเปล่า คุณเป้ก็ได้พูดขึ้นมาว่า “โอเค ถ้าเป็นเธอจริง ๆ ที่มาเกิดกับเรา ถ้าเธอจะทำให้เรารู้ว่าการสูญเสียมันเป็นอย่างไร เรารู้แล้วนะ เราขอให้เธอไปอยู่ภพภูมิที่ดี เราได้รับรสชาติของความเจ็บปวดแล้ว ขอให้เธอไปอยู่ภพภูมิที่ดี เราจะตั้งใจทำบุญอุทิศให้เธอไปอยู่ภพภูมิที่ดี ชาตินี้เราคงหมดกรรมกันเท่านี้” ในตอนนั้นคุณเป้พูดออกมาด้วยเสียใจมาก ๆ หลังจากที่พูดจบ คุณเป้ได้ลองเบ่งคลอดอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าเด็กก็หลุดออกมาอย่างง่ายดาย และสิ่งที่ทำให้คุณเป้ช็อกก็คือ เด็กออกมาเป็นผู้ชาย! มันทำให้คุณเป้มั่นใจมาก ๆ ว่าเป็นเขาคนนั้น หลังจากความสูญเสียนี้คุณเป้ก็ได้นำร่างของลูกชายไปฝังไว้ที่วัดใกล้บ้าน และก็พยายามทำบุญทุกอย่างให้เขา และยังได้ไปที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี วัดนั้นมีพญานาคองค์สีดำอยู่ คุณเป้ได้เข้าไปไหว้องค์พญานาคที่อยู่ในถ้ำ และอยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงวี๊ดเข้ามาในหู และตามด้วยเสียงของผู้ชายขึ้นมาว่า “ทีนี้รับรู้รสชาติความเจ็บปวด การพลัดพรากหรือยัง” หลังจากนั้นคุณเป้ก็นั่งร้องไห้เหมือนคนเสียสติเพราะว่าการสูญเสียครั้งนี้ หลังจากนั้นก็มีฝนตกลงมา มันทำให้คุณเป้ได้พูดออกมาว่า “ตกทำไม ฝนบ้าลูกกูจะเน่า” หลังจากนั้นคุณเป้ก็คิดขึ้นมาได้ว่า เรามาถึงจุดนี้แล้วหรอ นั่นทำให้คุณเป้รีบไปที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งหลวงพี่ได้สอนมาว่า “โยมอย่าไปยึดติดนะ นี่มันคือร่าง คือสังขาร เขาละแล้ว” นั่นก็ทำให้คุณเป้ตั้งสติได้ แต่ก็ใช้เวลานานมาก หลังจากนั้นคุณเป้ก็ได้โทรถามน้องหมอดูว่า “น้องคะ พี่หมดกรรมหรือยัง” น้องก็ตอบกลับมาว่า “พี่เป้ พี่เป้จะหมดกรรมก็ต่อเมื่อได้ไปไหว้พญานาคครบทุกองค์” หลังจากนั้น อยู่ ๆ ก็มีลุงของคุณเป้ เขามาชวนไปไหว้พญานาคให้ครบทุกองค์ ด้วยความบังเอิญนี้คุณเป้ก็ได้คิดว่า มันคงจะเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทุกอย่างมันคงจะจบลงแล้ว ซึ่งมันก็จบลงแล้วจริง ๆ และกรรมครั้งนี้มันเกิดขึ้นจากเมื่อภพภูมิที่แล้วคุณเป้และผู้ชายคนนั้น เป็นพญานาค และได้เป็นสามีภรรยากัน สัญญากรรมกันไว้ว่า “เราจะไม่พลัดพรากจากกัน ไม่ว่าจะภพชาติไหนก็ตาม จอยู่เป็นคู่กันตลอดไป”…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เสียงปริศนาหลังกระต๊อบทำเสียวสันหลัง! พอมองลอดผ่านช่อง ก็เห็น...ระยะประชิดจนภาพติดตา!

10 มี.ค. 2023

เสียงปริศนาหลังกระต๊อบทำเสียวสันหลัง! พอมองลอดผ่านช่อง ก็เห็น...ระยะประชิดจนภาพติดตา!

ความเชื่อเรื่อง "ผีกระสือ" ที่มักจะเรืองแสงออกหากินของสดคาวและเน่าเหม็นในยามวิกาลมีมาอย่างยาวนานในบ้านเรา “พี่วิทย์ พชรพล” และครอบครัวก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เชื่อว่ากระสือมีจริง โดยอิงจากประสบการณ์ขนหัวลุก ที่พี่สาวแท้ ๆ ของพี่วิทย์เห็นมากับตา! โดยเรื่องนี้พี่วิทย์ได้นำมาเล่าให้ชาว “อังคารคลุมโปง X” (7 มีนาคม 2566) ได้เสียวสันหลังไปพร้อม กัน เรื่องจะเป็นยังไงนั้น ติดตามอ่านกันได้เลย! พี่วิทย์เล่าว่าต้องย้อนกลับไปเมื่อประมาณพี่วิทย์อายุแค่ 3 ขวบ ขณะที่ยังอาศัยอยู่ในย่านปากเกร็ด จ.นนทบุรี ครอบครัวที่เริ่มมีฐานะดีขึ้น จึงมีแพลนว่าจะสร้างบ้านที่สวนฝรั่ง ระหว่างที่กำลังสร้างบ้าน ก็พักอาศัยอยู่ในกระต๊อบหลังเล็กชั่วคราวไปก่อน พี่วิทย์และพี่ ๆ ในครอบครัวก็ชอบไปตกปลาหลังกระต๊อบ เพราะมีน้ำท่วมบ่อย และมีปลิงตัวเล็ก ๆ ทำให้พ่อมักจะห้ามไม่ให้เด็ก ๆ ในครอบครัวมาเล่นบริเวณนี้ นอกจากนั้น หลังกระต๊อบก็มีไส้ไก่ หรือพวกของเน่าเสียถูกนำมาทิ้งไว้ พี่วิทย์อธิบายกระต๊อบหลังนั้นคร่าว ๆ ว่าทำจากไม้อัดยาว ๆ เรียงต่อกันทำให้จะมีช่องเล็ก ๆ ส่วนหลังคาเป็นสังกะสี ในทุก ๆ คืน จะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างอยู่ข้างหลัง พี่สาวของพี่วิทย์ 2 คน ที่นอนอยู่ติดกับกำแพงไม้ก็นึกสงสัย และอยากรู้ให้ได้ว่ามันคือเสียงอะไร ทั้ง 2 ส่องลอดผ่านช่องแผ่นไม้กระต๊อบในระยะประชิด ก็เห็นเป็นผู้หญิงแก่ผมยาวยุ่งรุงรังกำลังกินไส้ไก่ด้วยความมูมมาม ที่สำคัญคือมีแสงไฟเล็ก ๆ ส่องสว่างขึ้นแล้วก็ดับ! พี่สาวของพี่วิทย์บอกว่า “ทุกครั้งที่พี่เล่า ภาพนั้นยังติดตาพี่อยู่เลยวิทย์” พี่วิทย์เชื่อว่าสิ่งนั้นคือ “กระสือ” ทั้งยังย้ำอย่างชัดเจนว่าไม่ได้โกหก และเล่าเสริมว่า “พี่สาวพี่ยังบอกอีกนะ ว่าตอนนั้นเขากินอย่างอร่อย เห็นหน้าไม่ชัดแต่ก็เห็นเป็นคนแก่ หลังจากเขากินเสร็จ เขาก็ลอยออกไป แต่ลอยต่ำ ๆ นะไม่ได้ลอยสูง จากนั้นก็หายไป!” และยังเล่าอีกว่าพอเช้าวันถัดมา “ลุงขาว” พี่ชายแท้ ๆ ของพ่อพี่วิทย์เดินมาบอกว่า “เนี่ย ยายคนนี้ (กระสือ) แกเอาปากไปเช็ดคราบเลือกที่ผ้าขาวม้า” พ่อพี่วิทย์ก็บอกว่า “เมื่อคืนลูกสาว 2 คนก็เห็น” แม้ตอนนั้นพี่วิทย์จะยังเด็กมาก แต่ก็จำได้ว่าหลังกระต๊อบนั้นมีน้ำท่วมขัง พี่วิทย์ชอบเอาขาไปเล่นแล้วก็ไปตกปลากับพวกพี่ ๆ แต่พ่อก็จะมาอุ้มพี่วิทย์ออกไป เพราะมีปลิงมาเกาะ แล้วยังจำได้อีกว่าหลังกระต๊อบจะมีกลิ่นเหม็นมาก เพราะทิ้งของเน่าของเสีย อย่างไส้ไก่ไว้..(เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ติดตามฟังเรื่องเต็มได้ที่

ไปนอนที่โฮมสเตย์ต่างจังหวัด ป้าเจ้าของที่พักกำชับว่ากลางดึกห้ามออกจากห้องเด็ดขาด!

07 ส.ค. 2023

ไปนอนที่โฮมสเตย์ต่างจังหวัด ป้าเจ้าของที่พักกำชับว่ากลางดึกห้ามออกจากห้องเด็ดขาด!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (25 กรกฎาคม 2566) ที่ผ่านมาอยู่กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เช่นเคย และเป็นอีกครั้งที่ ‘คุณแจ็ค The Ghost Radio’ มาเป็นแขกรับเชิญเสริมอรรถรสให้รายการนี้เฮี้ยนกว่าเดิม! เรื่องราวครั้งนี้เป็นเรื่องของผีเด็กในโฮมเสตย์ แต่ก่อนจะไปอ่าน ขอเตือนไว้ก่อนว่า ถ้าได้ยินเสียงใครเคาะผนังตอนกลางคืนก็อย่าทักเชียว! เจ้าของเรื่องนี้คือ ‘คุณบอล’ ย้อนไปเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว คุณบอลเป็นบัณฑิตป้ายแดงจากคณะสายการท่องเที่ยว เขาได้มีโอกาสไปฝึกงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ให้กับบริษัททัวร์แห่งหนึ่ง มีหน้าที่คอยแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้ลูกค้า อยู่มาวันหนึ่ง ทางบริษัทมีโปรเจ็คให้พนักงานไปหาสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ แล้วนำมาเสนอให้ เจ้านายดู ปรากฎว่าทางบริษัทถูกใจไอเดียของคุณบอล สุดท้ายคุณบอลจึงได้รับโจทย์งานให้ไปตามหาแหล่งท่องเที่ยวภาคเหนือที่น้อยคนจะรู้จักตามแนวทางที่คุณบอลเสนอ ภายในระยะเวลา 7 วัน งานในครั้งนี้คุณบอลได้ทั้งค่ารถ ค่าน้ำมันไม่อั้น แถมเงินใช้สอย 3 หมื่นบาท ทั้งหมดนี้เป็นข้อเสนอที่เด็กจบใหม่ไฟแรงไม่มีทางจะปฏิเสธแน่นอน หลังจากตกปากรับคำแล้ว ก็ชวนเพื่อนที่คณะติดสอยห้อยตามไปด้วย เวลาผ่านไป 5 วัน ก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ตอนนั้นคุณบอลนึกถึงจังหวัดน่านขึ้นมา ในอดีตจังหวัดนี้ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก การเดินทางก็ค่อนข้างลำบาก คนส่วนใหญ่จึงมองที่นี่เป็นเพียงทางผ่านเท่านั้น แต่คุณบอลเห็นว่าน่านเป็นจังหวัดที่น่าไปสำรวจทีเดียว เพราะเต็มไปด้วยแหล่งธรรมชาติสวยงามมากมาย คุณบอลและเพื่อนจึงตัดสินใจเดินทางไปที่จังหวัดน่านกันเป็นแห่งสุดท้าย ตลอดทริปนั้น ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหน คุณบอลและเพื่อนก็เลือกไปพักที่โฮมสเตย์เพื่อประหยัดเงิน โฮมสเตย์สมัยนั้นเป็นบ้านพักของชาวบ้านที่จัดสรรพื้นที่บางส่วนให้คนนอกเข้าพัก บางแห่งก็อาจจะไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือสิ่งอำนวยความสะดวกให้ เมื่อคุณบอลและเพื่อนมาถึงที่จังหวัดน่าน ก็ติดต่อไปที่ป้าคนหนึ่งชื่อ ‘ป้าพิณ’ เพื่อขอพักหนึ่งคืน กระทั่งถึงตอนเช้าของวันสุดท้าย (วันที่ 7) ในระหว่างที่คุณบอลกับเพื่อนของเขารับประทานอาหารเช้ากันอยู่ ป้าพิณไม่สามารถให้พวกเขาพักอยู่ที่นี่ต่ออีกหนึ่งวันได้เพราะตนมีธุระ จึงพาไปที่บ้านของ ‘ป้าแก้ว’ ที่เป็นโฮมสเตย์เหมือนกันแทน ดังนั้นเมื่อตกดึกคืนที่ 7 คุณบอลและเพื่อน ก็ย้ายไปที่บ้านป้าแก้ว บ้านของป้าแก้วนี้มีลักษณะเหมือนกับบ้านปกติทั่วไป นอกจากนี้ป้าแก้วยังได้ทำอาหารต้อนรับเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย ขณะที่กำลังกินข้าวอยู่ คุณบอลก็ถามป้าแก้วว่าอาศัยอยู่กับใคร ป้าแก้วก็ตอบว่าอยู่กับลูก 2 คน แต่คุณบอลก็ไม่เห็นวี่แววของเด็กคนไหนอยู่แถวนั้นเลย หลังจากรับประทานอาหารมื้อค่ำเสร็จ ป้าแก้วก็บอกว่าจะเตรียมอาหารมื้อดึกเอาไว้ให้ แล้วจะเอาเข้าไปวางไว้ในห้อง ตอนกลางคืนไม่ต้องออกมา หากปวดเบาก็มีกระโถนเตรียมไว้ให้เช่นกัน คุณบอลคิดว่าป้าแก้วอาจจะไม่สะดวกใจที่จะให้คนแปลกหน้ามาเพ่นพ่านไปมาในบ้านตัวเองตอนดึก จึงไม่ได้คิดอะไรมาก ห้องนอนที่ได้นั้น มีลักษณะเป็นไม้ทั้งหลัง ตอนนั้นคุณบอลและเพื่อนกำลังทำงานก่อนเข้านอน ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเคาะผนังไม้มาจากห้องอีกฟาก ปัง ปัง ปัง ! คุณบอลคิดว่าคงจะเป็นลูกของป้าแก้ว เสียงนี้ดังตลอดเวลาจนทนไม่ไหว จึงเดินไปดู แต่พอเปิดห้องออกไป ป้าแก้วก็ปรากฏตนขึ้นยืนขวางทางพวกเขาและบอกว่า “จะไปไหน ออกมาทำไม บอกว่ากลางคืนอย่าออกไง!” เจ้าของบ้านที่ใจดีอ่อนโยนในเย็นวันนั้นกลับกลายร่างเป็นคนดุน่ากลัวในยามค่ำคืน ทำเอาคนทั้งสองไม่กล้าบอกถึงเหตุผลที่แท้จริงของการพยายามออกจากห้องทีเดียว เพื่อนคุณบอลได้แต่ทำเออออห่อหมกแกล้งบอกปวดหนักต้องการเข้าห้องน้ำแล้วให้คุณป้าพาไป และเมื่อกลับมาถึงที่ห้อง ป้าแก้วก็กำชับอย่างหนักแน่นอีกครั้งว่า ห้ามออกจากห้องในยามวิกาลเด็ดขาด แต่เมื่อผ่านไปได้สักพัก ก็มีเสียงดังขึ้นมาอีก คราวนี้มาพร้อมเสียงของเด็ก ปัง ปัง ปัง! “มีใครอยู่ไหม!” และยังมีเสียงของป้าแก้วดังขึ้นมาว่า “ทำเสียงดังทำไม เคาะทำไม กวนพี่เขา พี่เขาทำงานอยู่” แม้เสียงจะฟังแล้วจับใจความไม่ค่อยได้ แต่ก็พอจะรู้ได้ว่าคงจะเป็นเสียงผู้ใหญ่กับเด็กคุยกัน หลังจากที่ทำงานไปได้สักพัก สองหนุ่มเกิดสมาธิหลุดจากการทำงานอีกรอบเพราะเสียงเคาะผนัง คราวนี้คุณบอลลองเอาหูไปทาบกับผนังดู แต่เสียงก็หยุดไปก่อน แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงของเด็กขี้เล่นกระซิบผ่านผนังว่า “ได้ยินหรอ อยากรู้หรอ มาเล่นกันไหม!” คุณบอลตกใจมากกับเสียงที่ได้ยิน เพื่อนคุณบอลพยายามปลอบไม่ให้คิดอะไรมาก เพราะเข้าใจว่าเด็กคงจะขี้เล่นแบบนี้ คุณบอลพยายามนั่งทำงานต่อ แต่หลังจากผ่านไปได้อีกสักพักหนึ่ง เสียงเคาะก็มาอีก ครั้งนี้ไม่ได้มาที่จุดเดิมแต่กระจัดกระจายไปทั่วผนัง! หลายชั่วโมงผ่านไป คุณบอลก็ยังได้ยินเสียงเคาะผนัง ซึ่งมันดังมาตลอดตั้งแต่ครั้งแรกตอนตีหนึ่งจนกระทั่งตอนนี้ตีสามแล้ว และเมื่อเห็นว่ามีรูที่ผนัง คุณบอลกับเพื่อนก็ลองส่องเข้าไปดูยังห้องอีกฟากหนึ่งของผนังดู ห้องที่เห็นค่อนข้างมืด มีแสงริบหรี่จากตะเกียงหรือไม่ก็เทียนไขพอให้ห้องสว่างวูบวาบอยู่บ้าง เมื่อภาพเริ่มชัดเจนขึ้น ก็เห็นเป็นเตียงและเด็กคนหนึ่งนอนอยู่ เด็กคนนี้หันหน้าเข้ากำแพงอีกฝั่งหันหลังให้คุณบอล เขามีหัวที่ค่อนข้างผิดรูปใหญ่โตกว่าปกติมาก ทันใดนั้นเด็กคนนั้นก็ยืนขึ้น แล้วเอาหัวโยกไปมาที่ผนังคล้ายเหมือนจะเล็งเป้า แล้วก็กระแทกหัวไปที่ผนังอย่างจังพร้อมส่งเสียง ปัง ปัง ปัง! พร้อมกับพูดว่า “อยู่ตรงนี้รึเปล่า!” จากนั้นก็เปลี่ยนตำแหน่งผนังซ้ายทีขวาที เมื่อผ่านไปได้สักระยะ เด็กคนนี้ก็กลับมานั่งที่เตียงอีกครั้งและนับ 1...2...3... เขาคลานอย่างเร็วมาส่องที่รูตรงผนัง ตาต่อตากับคุณบอล แล้วพูดว่า “อยู่นี่เอง! อยู่นี่ใช่ไหม!” คุณบอลและเพื่อนผงะออกมาจากผนัง ทั้งสองขวัญหนีดีฝ่อรีบคว้ามือถือตรงดิ่งไปที่ประตูห้องนอน เปิดออกมา แล้วก็เจอกับป้าแก้วยืนรอพวกเขาอยู่ด้านนอกเช่นเคย พร้อมกับพูดว่า “ออกมาทำไม ไม่ต้องออกมา กลับเข้าไปนอน!” เรียกว่าหนีผีปะป้าแก้วจริง ๆ คุณบอลและเพื่อนไม่รู้จะกลัวอะไรก่อนดี ระหว่างผีหรือว่าเสียงตวาดของป้าแก้ว คุณบอลและเพื่อนหมดหนทาง จะให้ออกไปตอนมืดแบบนี้ก็ฟังดูไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่ สุดท้ายจึงจำใจอยู่ต่อในโฮมสเตย์แห่งนี้จนถึงเช้า ฟังเสียง ปัง ปัง ปัง! ของผี มีเพียงผนังไม้เท่านั้นมีกั้นพวกเขาเอาไว้ให้ปลอดภัย คุณบอลและเพื่อนจำไม่ได้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน แต่พอรู้ตัวอีกทีก็ 6 โมงเช้าแล้ว และมีคนมาเคาะที่ประตู ซึ่งก็คือป้าพิณที่มาชวนไปกินข้าว ชายทั้งสองรีบเก็บของแทบไม่ทัน แล้วเดินตามป้าพิณไปขึ้นรถ ระหว่างทางเดินนี้ก็ไม่มีวี่แววของป้าแก้วเลยสักนิด ทั้งคู่เล่าเรื่องประสบการณ์ชวนผวาเมื่อคืนให้ป้าพิณฟัง หลังจากเล่าเสร็จ ป้าพิณก็กล่าวขอโทษ และบอกว่าไม่รู้ว่ามันมีเหตุการณ์แบบนี้ แต่เคยได้ยินมาว่า สมัยก่อนป้าแก้วมีลูกอยู่จริง เด็กคนนี้ค่อนข้างซุกซน ชอบไปเล่นในป่าในสวนอยู่บ่อยครั้ง วันหนึ่ง ลูกของป้าแก้วเข้าไปเล่นในสวนแล้วก็หายตัวไป ไม่มีใครพบเห็นอีกเลย หลายวันผ่านไปป้าแก้วเริ่มใจสลาย แต่แล้ววันดีคืนดีลูกชายก็กลับมา ป้าแก้วเข้าไปกอดลูกด้วยความดีใจถามว่าเขาไปอยู่ไหนมา เด็กคนนี้ก็ได้แต่ตอบว่าไปอยู่กับ “ลุง” มา ส่วนเรื่องอาหารการกิน “ลุง” ก็เป็นคนจัดเตรียมให้ ป้าแก้วไม่ได้คิดอะไรมากเพราะดีใจที่ลูกกลับมา หลังจากเรียกชาวบ้านมารับขวัญเด็กคนนี้แล้ว เขาก็กลับมาอยู่ที่บ้านป้าแก้วตามเดิม แต่เรื่องที่แปลกก็คือ หลังจากกลับมาลูกชายของป้าแก้วก็เอาแต่พูดถึงเรื่อง “ลุง” ขอร้องให้ป้าแก้วพาไปหา “ลุง” อยู่ตลอดเวลา เมื่อป้าแก้วถามว่าลุงคนนี้คือใคร ลูกก็ไม่ตอบ นานวันไป เด็กคนนี้ก็เริ่มอาละวาดเพราะแม่ไม่พาไปหาลุงเสียที สุดท้ายป้าแก้วไม่สามารถต้านทานความต้องการของลูกได้ ต้องยอมพาลูกไปหา “ลุง” ป้าแก้วไปตามทางที่ลูกเป็นคนนำเข้าไปในป่า จนมาหยุดอยู่ตรงศาลพระภูมิไม้เก่า ๆ พอถึงตรงนั้นแล้วลูกของป้าแก้วก็เดินตรงไปที่เครื่องเซ่น แล้วหยิบมากิน! ลูกของป้าแก้วพูดว่า “เนี่ยไง บ้านลุง!” ป้าแก้วรีบห้ามลูก แล้วพากลับบ้านทันที เมื่อมาถึงบ้านก็อาละวาดพยายามจะกลับไปหา “ลุง” อีกให้ได้ ตอนนั้นป้าแก้วก็ต้องออกไปเก็บเห็ดทำสวน จะเอาลูกไปด้วยตลอดเวลาก็ไม่ได้ จึงตัดสินใจขังลูกไว้ในห้องตอนตัวเองไม่อยู่บ้าน วันหนึ่งเมื่อกลับมาจากการทำงาน บ้านก็ดูเงียบผิดสังเกต เมื่อไปดูที่ห้องก็พบลูกนอนตายอยู่! มีลักษณะเหมือนว่าพยายามจะเอามือข่วนไปที่กำแพง และยังมีเลือดอาบเต็มหัว เหมือนเอาหัวโขกไปที่กำแพงอยู่หลายรอบ เสียงที่คุณบอลและเพื่อนได้ยิน คงจะเป็นจิตสุดท้ายของเด็กคนนี้ที่เอาหัวโขกกำแพง เพื่อที่จะพยายามพาตัวเองออกจากห้องนี้ไปให้ได้นั่นเอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปร่วมงานเทศกาลกินเจที่ภูเก็ต จองโรงแรมที่ครอบครัวไปประจำ แต่ครั้งนี้ดันเจอหลอนไม่ได้นอนยันเช้า! เมื่อได้รู้ความลับของที่นั่นถึงกับอึ้ง!

20 ม.ค. 2024

ไปร่วมงานเทศกาลกินเจที่ภูเก็ต จองโรงแรมที่ครอบครัวไปประจำ แต่ครั้งนี้ดันเจอหลอนไม่ได้นอนยันเช้า! เมื่อได้รู้ความลับของที่นั่นถึงกับอึ้ง!

เมื่อต้องเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง แต่เกิดเหตุการณ์ให้ต้องย้ายห้อง จากนั้นก็ต้องเจอกับเรื่องราวที่ทำให้ต้องขนหัวลุกจนนอนไม่ได้! เรื่องนี้ ‘คุณกิ๊ฟ’ ได้นำเรื่องราวมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (16 มกราคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘โรงแรมหลอน นอนไม่ได้’ จะหลอนแค่ไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คุณกิ๊ฟและครอบครัวได้ไปร่วมงานเทศกาลกินเจที่จังหวัดภูเก็ต ได้จองตั๋วเครื่องบินรอบเช้าสุดเพื่อรีบไปร่วมงาน ส่วนเรื่องที่พักนั้น คุณพ่อกับคุณแม่ของคุณกิ๊ฟเป็นคนจองโรงแรมให้ ซึ่งท่านจะมาพักที่โรงแรมนี้ทุกครั้ง เพราะใกล้กับศาลเจ้าที่นับถือมากที่สุด เมื่อไปถึง ก็เช่ารถขับไปยังโรงแรม เข้าเช็คอินเวลาประมาณ 8 โมงเช้า เมื่อเช็คอินเสร็จก็นำของขึ้นไปเก็บบนห้องและเช็คความเรียบร้อยต่าง ๆคุณกิ๊ฟเล่าว่า ห้องอยู่ชั้น 4 แต่จำเลขห้องไม่ได้ และอธิบายห้องเพิ่มเติมว่า หากหันหน้าเข้าห้อง ด้านหลังจะเป็นบันได ด้านขวามือจะเป็นลิฟต์ ซึ่งโรงแรมนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ส่วนบริเวณนี้จะเป็นตึกแถวเก่าที่นำมารีโนเวทเป็นโรงแรม อาคารนี้มีไม่เกิน 10 ชั้น ฝั่งที่คุณกิ๊ฟอยู่นั้นจะเป็นฝั่งห้องพัก ตรงข้ามจะเป็นฝั่งห้องอาหาร ห้องที่คุณกิ๊ฟและครอบครัวเข้าพักนั้นมี 2 ห้อง เป็นห้องของคุณพ่อกับคุณแม่ และอีกห้องจะเป็นของคุณกิ๊ฟกับน้องชายอีก 2 คน หลังจากเข้าห้องไป คุณกิ๊ฟก็เช็คไฟ เช็คแอร์ และเปิดแอร์ทิ้งไว้ จากนั้นก็ออกไปรับประทานอาหารและไปตะลุยไหว้เจ้า เมื่อกลับมาถึงโรงแรมประมาณบ่าย 2 คุณกิ๊ฟก็ขึ้นไปอาบน้ำเพื่อพักผ่อน เพราะเวลา 5 โมงเย็น จะต้องออกไปไหว้เจ้ากันต่อ คุณกิ๊ฟก็ขึ้นไปห้องของคุณพ่อและคุณแม่ ทุกอย่างก็เป็นปกติ แต่ห้องของคุณกิ๊ฟกับน้องชายนั้น อยู่ดี ๆ แอร์ก็ดับเปิดไม่ได้ ‘คุณโก้’ (นามสมมุติ) ที่เป็นน้องชายคนเล็ก จึงโทรไปที่ล็อบบี้แล้วบอกว่า “ช่วยมาดูหน่อย แอร์มันเสีย” หลังจากนั้น ช่างก็ขึ้นมาทันที ช่างใช้เวลาซ่อมอยู่นานมากประมาณ 1-2 ชั่วโมง แต่ก็ซ่อมไม่ได้ ช่างจึงโทรไปที่ล็อบบี้ ทางล็อบบี้จึงแจ้งว่าจะเปลี่ยนห้องให้ หลังจากนั้น ก็ส่งแม่บ้านขึ้นมาช่วยขนของ ‘คุณกร’ (นามสมมุติ) ที่เป็นน้องชายคนกลาง ก็บอกว่า “เดี๋ยวผมขอขึ้นไปดูห้องใหม่ด้วย” คุณกิ๊ฟบอกเสริมว่า คุณกรเป็นคนที่ค่อนข้างมีเซ้นส์ แล้วคุณกรก็พูดภาษาจีนว่า “เดี๋ยวเราส่งสัญญาณนะ เธอรอฟังสัญญาณ” จากนั้น คุณกรก็ตามแม่บ้านขึ้นไปซึ่งชั้นที่จะให้คุณกิ๊ฟย้ายไปคือชั้น 7 ห้อง 705 ขณะที่คุณกรขึ้นไป อยู่ดี ๆ เขาก็ตะโกนลงมาจากชั้น 7 เป็นภาษาจีนว่า “เฮ้ย ไม่เอานะห้องนี้ มันมีผี!” คุณกิ๊ฟก็สงสัยว่าทำไมคุณกรตะโกนมาแบบนั้น ก็เลยบอกให้คุณโก้โทรไปที่ล็อบบี้และบอกว่า “ขอไม่ย้ายห้อง ทำยังไงก็ได้ให้ห้องนี้มันอยู่ได้” ทางโรงแรมก็แจ้งว่า “มันไม่ได้จริง ๆ ค่ะ ช่างแจ้งว่าแอร์มันเปิดไม่ติด แล้วก็ไม่รู้ว่าแอร์เป็นอะไร” คุณโก้ก็ยังยืนยันว่าจะไม่ย้าย จนโรงแรมหงุดหงิดและถามกลับมาว่า “ทำไมถึงไม่ย้ายคะ อยากทราบสาเหตุ” คุณโก้จึงตอบกลับไปว่า “ผมว่าคุณน่าจะมีคำตอบในใจนะว่าเพราะอะไร” หลังจากนั้นโรงแรมก็เงียบไปและตอบว่า “โอเคค่ะ” เวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง พนักงานโรงแรมก็โทรกลับมาว่า “มีอีกห้องนึงนะคะ อยู่ชั้น 5” ซึ่งก็อยู่ในมุมเดิมแถวหน้าลิฟต์ คุณกิ๊ฟตกลง คุณกรจึงขอไปดูห้องใหม่อีกครั้ง เมื่อเข้าไปทุกห้องก็เป็นเหมือนกัน คือเมื่อเปิดประตูเข้าไป หันหน้าเข้าห้อง ด้านขวามือจะเป็นห้องน้ำ ด้านซ้ายมือจะเป็นที่วางกระเป๋า ตู้เสื้อผ้า ถัดไปจะเป็นเตียง ถัดไปอีกก็จะเป็นมุมโซฟาเล็ก ๆ และด้านถัดมาจากโซฟาทางซ้ายก็จะเป็นประตูที่จะออกไประเบียง คุณกรก็ตกลง เพราะห้องนี้ดูใหม่จึงตัดสินใจเลือกห้องนี้ ทางโรงแรมจึงให้พนักงานขึ้นมาขนของ และย้ายไปอยู่ที่ชั้น 5 เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ต้องรีบทำเวลา เพราะอยู่ที่ภูเก็ตแค่ 3 วัน 2 คืน จึงรีบไปตะลุยไหว้เจ้าต่อ เสร็จก็กลับมาถึงโรงแรมประมาณ 5 ทุ่ม-เที่ยงคืนทุกวัน จึงเตรียมตัวเข้านอน ซึ่งคุณกิ๊ฟนอนตรงกลางขนาบด้วยน้องชายทั้ง 2 คน เวลาผ่านไปประมาณตี 3 คุณกรก็ปลุกคุณกิ๊ฟ แล้วบอกว่า “เจ้ ตื่นเร็ว!! อยู่ไม่ได้แล้ว นอนไม่ได้เลย” คุณกิ๊ฟก็บอกว่า “อะไรของแก ฉันพึ่งจะได้นอนเอง” คุณกรบอกต่อว่า “ถ้าไม่ตื่น จะไปแล้วนะ” ด้วยความที่คุณกิ๊ฟเคยเที่ยวกับคุณกรมา ก่อน เวลาคุณกรเจออะไรเขาก็จะพูดแบบนี้ คุณกิ๊ฟจึงรู้สึกว่าต้องมีอะไรแน่ ๆ จากนั้นก็รีบลุกขึ้น แล้วหันไปปลุกคุณโก้ หลังจากนั้นก็ออกจากห้อง และคุณกรก็บอกว่า “เจ้ ไปเจอกันที่ล็อบบี้เลยนะ เดี๋ยวจะไปปลุกป๊ากับม๊าก่อน” คุณกิ๊ฟก็ลงลิฟต์ไปกับคุณโก้ และลงไปนั่งที่ล็อบบี้ จากนั้นก็รอกันจนถึงตี 5 เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อห้องอาหารเปิดก็ไปรับประทานอาหาร ในระหว่างนั้น คุณกิ๊ฟก็ถามคุณกรว่า “แกเจออะไร? ” คุณกรตอบว่า “เดี๋ยวค่อยเล่า ๆ” หลังจากนั้นก็ขึ้นรถออกจากโรงแรม ซึ่งคุณกิ๊ฟรับหน้าที่เป็นคนขับรถ คุณกิ๊ฟจึงถามอีกครั้งว่า “เกิดอะไรขึ้น?” คุณกรเล่าว่า หลังจากที่ล้มตัวลงนอน เขาฝันว่ามีคนมาเคาะประตู ซึ่งในฝันเขาอยู่คนเดียว เขาจึงส่องไปที่ตาแมวเห็นเป็นพนักงานที่ล็อบบี้ คุณกรก็สังสัยว่ามาทำไม จึงเปิดประตูและถามว่า “มีอะไรครับ” พนักงานก็ตอบว่า “พี่คะ ผู้หญิงที่อยู่ห้อง 705 ที่พี่เจออะค่ะ ตอนประมาณเย็น ๆ เขามีเรื่องให้หนูมาบอกพี่” คุณกรก็พูดว่า “บอกอะไร? ผมไม่อยากรู้” คุณกรรู้สึกว่ามันไม่ปกติจึงบอกต่อไปว่า “ผมไม่ฟัง ผมไม่รับรู้ ผมมาทำบุญคุณไม่ต้องมาบอกผม” พนักงานก็บอกว่า “พี่คะ ขอร้องค่ะ ช่วยฟังหน่อย คือเขาอะบอกให้หนูมาบอกพี่จริง ๆ เขามีเรื่องทุกข์ใจมาก” แต่คุณกรก็ไม่ฟัง และพยายามดันประตูปิด จากนั้นฝั่งตรงข้ามก็คุกเข่าและพูดว่า “อ๋อ โอเคได้” เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นกลับกลายเป็นหน้าผู้หญิงที่อยู่ห้อง 705! คุณกรตกใจมาก แล้วเขาก็บอกว่า “กูบอกให้มึงฟัง มึงก็ไม่ฟัง มึงอยากลองดีหรอ?!” จากนั้นก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดและนำเลือดมาทาตัว หลักจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน และเดินเข้ามาหาคุณกรเรื่อย ๆ คุณกรบอกว่า เมื่อเขาเดินเข้ามา รู้สึกว่าภาพบรรยากาศในห้องมันเปลี่ยนไป ห้องนั้นกลายเป็นห้องมืด ๆ มีม่านเก่า ๆ โซฟาเก่า ๆ จากนั้นเขาหันไปที่ระเบียง เตรียมตัวจะเปิดประตูออกไป แต่ตรงนั้นกลับเปลี่ยนเป็นลูกกรงเล็ก ๆ คุณกรก็ตกใจ หันมาอีกที ผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่า “กูบอกมึงแล้วไง มึงอยากลองดี!” ด้วยความที่คุณกรกลัวมากจึงสวดมนต์ เมื่อสวดมนต์เสร็จ เขาก็บอกว่า “สวดมนต์หรอ กูไม่กลัวหรอก” คุณกรคิดว่าทำอย่างไรดีที่จะให้ตัวเองตื่น จึงสวดมนต์บทที่แรงขึ้น หลังจากนั้นก็หลุดออกมาได้! เมื่อหลุดออกมา จึงมาปลุกคุณกิ๊ฟกับคุณโก้ และในระหว่างที่คุณกรลงบันไดมานั้น คุณกรบอกว่า เมื่อมองเข้าไป ตรงบันได ถ้าหันหน้าเข้าห้อง ขวามือจะเป็นเหมือนทางเดินเข้าไปที่เป็นห้อง ๆ เป็นทางเดินระเบียง มีผู้หญิงมากวักมือเรียกกันเยอะมาก คุณกิ๊ฟจึงบอกว่า “ไม่เป็นไร เราไปไหว้เจ้า ทำใจสบาย ๆ ทำบุญให้เขาละกัน” คุณกรตัดสินใจจึงโทรหาเพื่อนที่เป็นคนภูเก็ตเพื่อจะถามเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น และได้นัดเจอกัน เมื่อเพื่อนรู้ชื่อโรงแรมที่คุณกรเข้าพักก็ถามขึ้นมาว่า “ทำไมถึงตัดสินใจนอนโรงแรมนี้หรอ?” คุณกรก็บอกว่า “ป๊ากับม๊ามาทีไรก็พักที่นี่ เพราะใกล้กับศาลเจ้าที่นับถือ” เพื่อนของคุณกรจึงบอกว่า “แกไม่รู้หรอว่าคนภูเก็ต ไม่มีใครเขามานอนที่นี่สักคน” คุณกรถามกลับว่า “ทำไมอะ มันเกิดอะไรขึ้น? ” เพื่อนของคุณกรก็ไม่อยากเล่า แต่ในที่สุดเขาก็ยอมและให้คุณแม่ของเขาเป็นคนเล่าแทน คุณแม่เล่าย้อนไปเมื่อ 20-30 ปีก่อน บริเวณที่โรงแรมนั้นตั้งอยู่เคยเป็น ‘ซ่องโสเภณีเก่า’ ได้เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ตึก ผู้หญิงที่อยู่ในนั้นถูกไฟคลอกเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เมื่อทราบที่มาที่ไป คุณกิ๊ฟยังต้องนอนต่ออีก 1 คืน แต่ก็คิดว่าคงไม่มีอะไร เพราะย้ายห้องแล้วคงตามมาไม่ได้ และรุ่งเช้าก็ได้กลับบ้านแล้ว คืนสุดท้ายจะเป็นคืนทำบุญใหญ่ รุ่งเช้าจะมีการส่งเจ้าขึ้นสวรรค์ คุณกิ๊ฟก็เดินไปร่วมงานเทศกาลที่โรงเจ ในระหว่างนั้นก็ทำบุญ คุณกิ๊ฟก็บอกกับคุณกรว่า “ไม่เป็นไร เมื่อคืนเราเจอแล้ว วันนี้เราตั้งใจอุทิศบุญให้เขาเลย เธอเห็นหน้าเขาแล้วหนิ” คุณกิ๊ฟเล่าว่า ภาพที่คุณกรเห็นครั้งนั้นในห้อง 705 คือเห็นเป็นโซฟาเก่า ๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งเหม่อมองไปข้างนอกหน้าต่าง แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้ว่าคุณกรเห็น ลักษณะการแต่งตัวคือใส่เสื้อคอกระเช้า และนุ่งผ้าถุงลายดอกเก่า ๆ คุณกิ๊ฟจึงบอกให้คุณกรนึกถึงหน้าผู้หญิงคนนั้น คุณกรก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้และขอให้มารับบุญนี้ หลังจากนั้นคุณกรก็ได้ยินเสียงผู้หญิงพูดขึ้นมาว่า “กูไม่เอา!” คุณกรไม่รู้จะทำอย่างไร คุณกิ๊ฟจึงบอกว่า “ช่างเถอะ เราจิตเป็นกุศลแต่ถ้าเขาไม่รับก็เรื่องของเขา” แล้วคุณกิ๊ฟก็ได้ของขลังกลับมา จึงนำมาวางรอบ ๆ เตียงเพื่อไม่ให้ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาได้ แต่ปรากฏว่าคืนนั้นกลับไม่ได้นอนอีกคืน เพราะผู้หญิงคนนั้นมาระราน เคาะตู้ เคาะเตียง และเหมือนมีเสียงคนเดินรอบ ๆ เตียงตลอดเวลา จนกระทั่งเช้าจึงรีบออกจากห้องไปที่ล็อบบี้ แล้วเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมแห่งนั้น(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1