ย้อนไปในวัยเด็ก.. ลุงแถวบ้านมอบของเล่นให้ แต่พอตกดึกกลับโดนผีเด็กใช้วิธีหลอกแบบตุ้งแช่เหมือนในหนังเป๊ะ! สุดท้ายมารู้ว่าผีเด็กตนนั้นเป็นลูกของลุงที่ตายไปนานแล้ว และไม่ยอมไปผุดไปเกิดเพราะหวงของเล่น!

อังคารคลุมโปง RECAP

ย้อนไปในวัยเด็ก.. ลุงแถวบ้านมอบของเล่นให้ แต่พอตกดึกกลับโดนผีเด็กใช้วิธีหลอกแบบตุ้งแช่เหมือนในหนังเป๊ะ! สุดท้ายมารู้ว่าผีเด็กตนนั้นเป็นลูกของลุงที่ตายไปนานแล้ว และไม่ยอมไปผุดไปเกิดเพราะหวงของเล่น!

23 พ.ค. 2023

       รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (16 พฤษภาคม 2566) ‘พี่ขวัญ น้ำมันพราย’ ได้โทรเข้ามาเล่าเรื่องหลอนให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟังว่า มีน้องคนหนึ่งเจอผีเด็กตามหลอกเพราะไปเอาของเล่นเขามา จนทำให้จำฝังใจ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น แท็กเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันเลย!

       พี่ขวัญเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของน้องคนหนึ่งชื่อ ‘โน้ต’ ปัจจุบันอายุ 40 กว่าปีแล้ว แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวัย 11 ขวบ ซึ่งในตอนนั้นบ้านของคุณโน้ตทำอาชีพขายปลา เปิดหน้าร้านอยู่ในตึกอาคารพานิชย์ ตึกนี้ก็มีร้านค้าอื่น ๆ แบ่งเป็นบล็อก ๆ ไป และร้านด้านในสุดเป็นร้านตัดเย็บเสื้อผ้า มีคุณลุงใจดีเป็นเจ้าของบ้าน ในตอนนั้นแก๊งค์เพื่อนของคุณโน้ตมี ‘ฝน’ และ ‘เอ’ ที่อยู่บ้านฝั่งตรงข้ามด้วย ซึ่งโน้ตกับเอเป็นผู้ชาย ส่วนฝนเป็นผู้หญิงและเป็นพี่น้องกับเอ ทั้งสามสนิทกับคุณลุงร้านตัดเย็บเสื้อผ้ามาก เพราะคุณลุงอยู่กับภรรยาสองคน นอกจากนี้คุณลุงก็ยังชอบให้เด็กทั้งสามคนไปเล่นที่บ้านเป็นประจำ มีครั้งหนึ่งที่ทั้งสามคนไปเล่นที่บ้านคุณลุงเหมือนเช่นเคย แล้วคุณลุงก็พูดว่า “เออเนี่ย ลุงซื้อปลามาเลี้ยงใหม่เป็นปลาคาร์ฟ อยู่บนดาดฟ้านะ ขึ้นไปดูเล่นสิ” ทำให้นั่นเป็นครั้งแรกที่ทั้งสามคนได้ขึ้นไปเล่นที่ดาดฟ้าของบ้านคุณลุง 

       พอขึ้นไปแล้วก็ได้เจอกับบ่อปลาคาร์ฟที่พึ่งก่อขึ้นมาใหม่ มีห้องหนึ่งอยู่ติดกับบ่อปลาคาร์ฟ ระหว่างที่กำลังดูปลาเล่นอยู่นั้น คุณโน้ตก็สงสัยว่าห้องนี้มันคือห้องของใคร หรือจะเป็นห้องพักของคนงานคุณลุงหรือเปล่า เอจึงถามคุณโน้ตว่า “เฮ้ยโน้ต นี่ห้องใครวะ” คุณโน้ตก็ตอบไปว่า “กูก็ไม่รู้ กูก็เพิ่งขึ้นมากับมึงเนี่ย” เอก็เลยบอกให้คุณโน้ตดูว่าในห้องมีใครหรือเปล่า คุณโน้ตจึงเอามือไปป้องกระจกเพื่อส่องดูเข้าไปข้างใน ภาพที่เห็นคือภายในห้องมีโต๊ะเขียนหนังสือติดกับกระจกที่กำลังส่องดู และเลยไปติดผนังฝั่งตรงข้ามเป็นเตียงเล็ก ๆ ด้านขวามือของเตียงจะเป็นตู้ไม้ที่ประตูตู้เป็นกระจก ซึ่งมีขนาดใหญ่พอสมควร แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนสะดุดตาก็คือในตู้นั้นมีของเล่นเต็มไปหมด คุณโน้ตจึงบอกกับทุกคนว่า “เฮ้ย! พวกมึงดูดิในตู้นั้นของเล่นเต็มไปหมดเลย” ทุกคนจึงหันไปมองตามทันที ระหว่างที่กำลังจ้องของเล่นอยู่นั้น ทุกคนก็สังเกตเห็นว่าโต๊ะเขียนหนังสือมันสั่นกึก ๆ ๆ และสิ่งที่เห็นก็คือค่อย ๆ มีหัวคน! ลักษณะเป็นเด็กที่อายุไล่เลี่ยกับพวกเขาโผล่ออกมาจากใต้โต๊ะ คลานลอดตรงไปยังขอบเตียง และเหมือนกำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ โดยนั่งหันหลังให้กับทั้งสามคน สักพักหนึ่งมีเสียงกิ๊ง ๆ ๆ ซึ่งเป็นเสียงกระดิ่งจากของเล่นที่เป็นรถสามล้อไขลาน หมุนออกมาจากเด็กคนนั้นและวิ่งไปทั่วห้อง ซึ่งเด็กคนนั้นที่นั่งยอง ๆ อยู่ ก็กระโดดไปจับรถสามล้อไขลาน และพอจับได้และกำลังจะหันหน้ามาทางทั้งสามคน คุณลุงก็ขึ้นมาเรียกพอดี “ทำอะไรกันอยู่น่ะ เอ้าลงมากินขนมกันเร็ว” ด้วยความเป็นเด็กทุกคนก็เลยลงไปกินขนมโดยไม่ได้สนใจอะไรต่อ 

       ผ่านไปประมาณหนึ่งอาทิตย์ เด็ก ๆ ทั้งสามคนก็มาเล่นที่ดาดฟ้าบ้านคุณลุงอีกครั้ง และรวมตัวกันไปยืนจ้องดูในห้อง ๆ นั้น เพราะมันมีของเล่นมากมาย จนคุณลุงขึ้นมาเห็นและถามว่าเด็ก ๆ ว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ คุณโน้ตจึงตอบว่า “เนี่ยลุง ในห้องนี้ทำไมมันมีของเล่นเยอะจัง” คุณลุงตอบกลับมาว่า “เอาไหมล่ะ ลุงให้” โอกาสมาถึงขนาดนี้แน่นอนทุกคนก็ตอบตกลงเอาทันที และเดินตามคุณลุงเข้าไปในห้อง ซึ่งคุณลุงก็บอกว่า “เอาไปเลย คนละสองชิ้นสามชิ้นเอาไปได้เลย” ซึ่งเอเลือกเอาเรือป๊อกแป๊ก โน้ตเลือกเอารถสามล้อไขลานที่เคยเห็นเด็กคนนั้นเล่น โดยในใจของโน๊ตก็คิดว่าอยากได้หุ่นยนต์เพิ่มอีกตัวหนึ่ง แต่ด้วยความเกรงใจคุณลุงจึงคิดว่าเอาแค่นี้ก็พอแล้ว ส่วนฝนได้ไปยืนมองตุ๊กตาตัวหนึ่งและหยิบขึ้นมาอุ้ม ระหว่างที่กำลังจะออกจากห้องจู่ ๆ ฝนก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่เอาละ” พร้อมกับนำตุ๊กตาตัวนั้นไปวางที่เตียง และทั้งสามคนก็ได้ออกมาเล่นกันที่ดาดฟ้าเหมือนเดิม

       ผ่านไปพลบค่ำ ระหว่างที่กำลังเล่นอยู่นั้น ตัวโน้ตได้หันไปมองที่ห้องนั้นอีกครั้ง เพราะในใจยังอาลัยอาวรณ์หุ่นยนต์ตัวที่อยากได้ ปรากฏว่าเขาเห็นเด็กคนเดิมคนนั้น ค่อย ๆ เอามือมาแนบกระจกแล้วส่องดูพวกเขา โน้ตจึงทักไปว่า “เฮ้ยนาย ออกมาเล่นด้วยกันดิ ถ้าไม่เล่นกันตรงนี้ไปเล่นที่บ้านเราก็ได้ บ้านใกล้ ๆ นี้เอง มาเร็ว มาเร็ว” ทำให้ฝนทักโน้ตว่า “มึงพูดไรอ่ะ มึงเป็นไร มึงชวนใคร” โน้ตเลยตอบว่า “อ้าวก็นั่นไงเด็กที่อยู่ในห้องนั้น” “มีที่ไหน มึงบ้าหรือเปล่าเนี่ย ไม่เอาละ ๆ กลับบ้านดีกว่าเย็นแล้ว” ฝนพูด แล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้านของตัวเองไป 

       พอตกกลางคืนวิถีของบ้านโน้ตก็คืออาม่าและญาติ ๆ จะนั่งดูทีวีกันจนจบ ค่อยขึ้นนอน ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณสี่ทุ่มกว่า ในตัวบ้านของโน้ตมีชั้นลอยและมีห้องอยู่ตรงนั้น โน้ตกับอาม่านอนด้วยกัน ก่อนที่จะเข้านอน ด้วยความเห่อของเล่นใหม่ โน้ตก็เอาของเล่นขึ้นไปนอนด้วยและวางตรงไว้ตรงหัวเตียง ซึ่งเตียงนอนของโน้ตและอาม่านั้นจะเป็นเตียงนอนที่ปูติดกับพื้น ระหว่างที่หลับอยู่นั้น โน้ตก็รู้สึกตัวขึ้นมาเพราะปวดฉี่ จึงพยายามเรียกอาม่าให้ตื่นไปส่งเข้าห้องน้ำ แต่อาม่าก็ไม่ตื่น โน้ตก็ปลุกอาม่าอยู่อย่างนั้นจนอาม่ารำคาญ และพูดกลับมาว่า “เออลื๊อก็ลุกไปฉี่สิ ปลุกอะไรนักหนาเล่า อั๊วจะนอน” โน้ตตัดสินใจว่า “เออลงไปฉี่เองก็ได้วะ” จากนั้นก็หยิบรถสามล้อไขลานที่วางอยู่บนหัวเตียงเพื่อจะเอาลงไปด้วย แต่ปรากฏว่าของเล่นมันหายไป! ก่อนนอนก็จำได้ว่าวางอยู่ตรงนี้ หรือว่าลืมเอาขึ้นมาด้วย ระหว่างที่กำลังหาของเล่นอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงกระดิ่งของรถสามล้อไขลานนั้นดังลงมาจากชั้นล่าง! โน้ตจึงเปิดประตูห้องนอนออกไปเพื่อไปเปิดไฟตรงชั้นลอย และไปยืนชะโงกหน้าดูที่ชั้นล่าง ซึ่งเขาก็ได้เห็นว่ารถสามล้อไขลานนั้นวิ่งออกมาจากเข่งที่มันตั้งอยู่ประตูหน้าบ้าน แล้วมาหยุดอยู่กลางบ้าน! ในใจก็คิดสงสัยว่า “ใครมาเล่นวะ” ขณะที่กำลังจะก้าวขาลงจากชั้นลอย ตาก็มองของเล่นนั้นไปด้วย แต่สิ่งที่โน้ตเห็นก็คือจู่ ๆ มีเงาดำเงาหนึ่ง วิ่งลอดจากชั้นลอยมาโผล่ตรงพื้นกลางบ้าน ตะครุบของเล่นนั้น และพยายามไขลานดังแกร๊ก ๆ จังหวะที่ปล่อยสามล้อไขลานนี้ให้วิ่งต่อ เงานั้นก็หันขวับขึ้นมามองที่โน้ต โน้ตรู้สึกกลัวและตกใจจึงวิ่งเข้าไปในห้อง และกระโดดขึ้นไปบนที่นอนบอกอาม่าว่าโดนผีหลอก ๆ แต่อาม่าก็ไม่ยอมตื่น ด้วยความที่โน้ตวิ่งเข้ามาในห้องอย่างร้อนรน ทำให้ลืมปิดประตูห้อง แสงไฟที่อยู่ตรงชั้นลอยก็สาดเข้ามาในห้องพาดมายังตรงที่โน้ตนอนพอดี โน้ตที่นอนตะแคงหันหน้าเข้าหาอาม่าเพราะกลัว ก็นึกขึ้นได้ว่าลืมปิดประตูห้อง ขณะที่กำลังจะพลิกตัวกลับไป ก็มีเสียงกิ๊ง ๆ ๆ ของรถสามล้อไขลานนั้นวิ่งเข้ามาในห้อง มาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงนอนโน้ต! โน้ตเลยแกล้งพลิกตัวมาพร้อมกับหรี่ตาไปด้วยเพราะไม่กล้ามอง และเห็นว่าของเล่นนั้นอยู่ตรงหน้าพอดี! โน้ตจึงเอื้อมมือจะไปหยิบสามล้อนั้นเพื่อเอามาเก็บไว้ใต้ผ้าห่ม ปรากฏว่าโน้ตถึงกับต้องค้างมือนั้นไว้เพราะเหลือบไปเห็นตรงประตูว่า มีเงาดำโผล่มาจากหลังประตู และจ้องมองเขาอยู่! โน้ตมองเห็นเงานั้นเพียงลูกตาที่ขาวโพลนหมดทั้งตา เมื่อตาสบตากัน เงานั้นก็วิ่งพรวดเข้ามาหาเขาทันที แล้วมาตะครุบของเล่นไว้ พร้อมกับพูดว่า “ของของกู” เท่านั้นแหละโน้ตก็ภาพตัดไปโดยไม่รู้สึกตัวอีกเลย 

       ตื่นเช้ามาอาม่าก็โวยวายโน้ตใหญ่เลยว่าทำไมปวดฉี่ถึงไม่ลุกไปฉี่ที่ห้องน้ำ เพราะที่นอนเต็มไปด้วยฉี่ของเขา ในตอนนั้นโน้ตก็ยังไม่ได้พูดอะไรให้อาม่าฟัง และหันไปเห็นว่าของเล่นนั้นยังอยู่บนหัวเตียงเหมือนเดิม จึงนำมันลงไปข้างล่างเพื่อไปกินข้าว ในตอนนั้นโน้ตก็รู้สึกใจคอไม่ดีพะอืดพะอมแปลก ๆ จนอาม่าถามว่า “ลื๊อเป็นอะไรเนี่ยไม่ยอมกินข้าวกินปลา” โน้ตก็บอกว่า “ไม่ได้เป็นอะไรเดี๋ยวจะไปเล่นบ้านเพื่อนก่อนนะ” เพื่อจะไปเล่าให้กับฝนและเอฟัง พอมาถึงบ้านเพื่อน ก็เห็นว่าเอหน้าซีดอยู่หน้าบ้าน จึงถามเอว่า “เป็นอะไรหรือเปล่า” เอก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน เหมือนโดนผีหลอก ระหว่างนั้นแม่ของเอก็เดินมาพอดี จึงได้ถามว่า “ไปทำอะไรกันมาเนี่ย เมื่อคืนเอก็โดนหลอก ร้องไห้จ๊ากเลย” เอก็ได้เล่าให้ฟังต่อว่าเมื่อคืนเกิดปวดฉี่ขึ้นมา จึงให้แม่ไปส่งเข้าห้องน้ำ ภายในห้องน้ำบ้านเอจะมีอ่างน้ำที่เป็นปูนก่อเป็นทรงสี่เหลี่ยมติดกับผนัง ระหว่างเข้าห้องน้ำอยู่นั้น เอก็เอาเรือป๊อกแป๊กนั้นไปลอยน้ำเล่น เมื่อฉี่เสร็จแล้วก็มาเล่นเรือป๊อกแป๊กต่อ แต่ระหว่างที่เล่นอยู่นั้น ก็สังเกตเห็นว่าทำไมน้ำในอ่างถึงกระเพื่อมและมีฟองอากาศปุด ๆ ออกมาจากใต้น้ำ ด้วยความสงสัยจึงชะโงกหน้าไปมอง ในอ่างน้ำค่อนข้างมืดมองไม่เห็นอะไร เอจึงจะเอื้อมมือไปหยิบเรือป๊อกแป๊ก เพราะในใจเริ่มกลัวแล้ว ปรากฏว่ามีเด็กโผล่พรวดออกมาจากกลางน้ำ มายืนอยู่ตรงขอบอ่างและพูดว่า “ของของกู!” เอตกใจกลัวจนแทบขยับไม่ได้ และได้ยินเสียงแม่ตะโกนเรียก จึงฮึดแรงเฮือกสุดท้ายรีบวิ่งออกไปหาแม่ทันที

       ส่วนฝนก็เล่าด้วยว่าจริง ๆ แล้วที่ไม่หยิบตุ๊กตาออกมาด้วย เพราะว่ารู้สึกว่าตุ๊กตามันยิ้มให้ จึงตัดสินใจไม่เอาดีกว่าเพราะกลัว คุณแม่เอได้ฟังดังนั้นจึงถามต่อว่า “แล้วไปเอาของเล่นนี้มาจากไหน” ทุกคนจึงเล่าให้ฟัง และพากันไปคืนของเล่นที่บ้านคุณลุง คุณลุงได้ทราบเรื่องทั้งหมด ก็พูดขึ้นมาว่า “อ้าวยังไม่ไปเกิดอีกเหรอ เพราะตายมาหลายปีแล้วนะ” และเล่าต่อว่าของเล่นทั้งหมดนี้เป็นของลูกชายคุณลุงเอง ซื้อให้ลูกชายไว้เล่นเมื่อนานมาแล้ว แต่ลูกชายดันมาเสียไปซะก่อนด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ที่สำคัญเมื่อตอนมีชีวิตอยู่ลูกชายเป็นคนหวงของเล่นมาก พอตายไปคนเป็นพ่อจึงตัดสินใจว่างั้นเอาของเล่นทั้งหมดขึ้นไปเก็บที่ห้องบนดาดฟ้าละกัน จะได้เล่นไปเลยคนเดียว และจะได้ไม่มีใครมายุ่งกับของเล่นของลูกอีก แต่มันก็ผ่านนานมาก ๆ แล้ว จึงคิดว่าน่าจะแบ่งของเล่นให้กับเด็กคนอื่น ๆ ได้ และเมื่อทุกคนคืนของเสร็จเรียบร้อยแม่ของเอก็เลยพาทั้งสามคนไปทำบุญกันที่วัด เพื่อที่ผีเด็กตนนั้นจะได้ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอีก 

       เมื่อฟังเรื่องนี้จบดีเจทั้ง 2 คน พูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่าหลอนมาก ขนาดผู้ใหญ่เจอผียังกลัวจนตัวสั่น แล้วนี่เป็นเด็กเจอผี จะจำฝังใจขนาดไหน เพราะขนาดตอนนี้คุณโน้ตอายุ 40 กว่าแล้วก็ยังจำเรื่องราวทุกอย่างได้แม่นอยู่เลย

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณเจเจ 'มรดกที่ไม่อยากได้รับ' l อังคารคลุมโปง X ปลายฟ้า-มิวสิค [ 11 พ.ย.2568 ]

15 พ.ย. 2025

เรื่องเล่าจากคุณเจเจ 'มรดกที่ไม่อยากได้รับ' l อังคารคลุมโปง X ปลายฟ้า-มิวสิค [ 11 พ.ย.2568 ]

เจตจำนงสุดท้ายของคนตาย เมื่อลูกพี่ลูกน้องที่แม้จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถตายตาหลับได้ เพราะห่วงเรื่องมรดก และในทุกค่ำคืนคุณเจเจ จะต้องเจอกับคนตายที่มาพร้อมความโกรธ และกลิ่นควันธูปจนนอนไม่ได้ ถ้าเธอจะอยากกลับมามีชีวิตสงบสุข ก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากทำตามความต้องการของคนตาย กลิ่นธูปในยามวิกาล ที่ลอยจนคลุ้งห้องนอน เป็นประสบการณ์ตรงจาก “คุณเจเจ” เมื่อลูกพี่ลูกน้องของเธอไม่สามารถตายตาหลับได้ และมีเรื่องที่ต้องการจะสื่อสาร ที่เข้ามาในช่วงระยะเวลาแห่งความฝันก็ตาม สามารถติดตามไปพร้อมกับ “ดีเจเซฟ – ดีเจแนน” ในรายการคลุมโปง ( 11 พฤศจิกายน 2568) คุณเจเจ มีลูกพี่ลูกน้องอยู่หนึ่งคน แต่ว่าเขาอาศัยอยู่ที่ออสเตรเลีย ปกติเธอ และลูกพี่ลูกน้องจะโทรคุยกันทุกวัน แต่อยู่มาวันนึงคุณแม่ของคุณเจเจ ก็เสียชีวิตลง เธอเลยโทรหาญาติคนนั้นเพื่อที่จะแจ้งเรื่องการเสียชีวิตของคุณแม่ แต่โทรเท่าไหร่ โทรกี่ครั้งก็ไม่มีใครรับสาย ระยะเวลาดำเนินผ่านมาเป็นเดือน เธอจึงกระวนกระวายอย่างมากว่าควรจะทำอย่างไรดี เธอเลยติดต่อสถานทูต เพราะในช่วงเวลานั้นออสเตรเลียยังคงปิดประเทศอยู่ ไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศได้เนื่องจากสถานการณ์โควิด ทางฝั่งเจ้าหน้าที่ ก็แจ้งว่า เขาไม่สามารถหาตัวคนให้เราได้ เพราะไม่ใช่ญาติทางสายเลือด หลังจากเรื่องนี้ผ่านไป ในกลางดึกคืนหนึ่ง ลูกพี่ลูกน้องก็มาเข้าฝัน บอกว่า ‘หนาว ตอนนี้นอนอยู่ที่โรงพยาบาล’พอตื่นเช้าขึ้นมา คุณเจเจเลยนึกขึ้นได้ว่า เธอเคยมีเบอร์คุณทนาย ที่ญาติเคยใช้ในตอนที่ทำเรื่องเกษียณ จึงตัดสินใจติดต่อไป คุณทนายเปรียบเสมือนตัวแทนของลูกพี่ลูกน้องของเธอ จึงสามารถช่วยตามหาได้ และก็ไปเจอว่า ตอนนี้ลูกพี่ลูกน้องของเธอนอนไม่ได้สติอยู่ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันที่เธอติดต่อไม่ได้ ทางโรงพยาบาลก็ไม่สามารถตามหาญาติ เพราะญาติของคุณเจเจ หมดสติในห้องอย่างกระทันหัน และหลังจากนั้นไม่กี่วัน เขาก็เสียชีวิต ในช่วงเวลานั้น ยังไม่สามารถเอาศพกลับมาได้ เธอจึงได้ไหว้วานคุณทนาย ที่มีภรรยาเป็นคนไทย ให้จัดการศพตามพิธีทางพุทธศาสนา หลังจากนั้นเรื่องนี้ก็จบไป คุณทนายก็โทรมาแจ้งว่า คุณเจเจได้รับมรดก เธอเลยแจ้งว่า ‘เธอไม่ได้อยากได้ ให้บริจาคไปได้เลย ถ้าเป็นของที่อยู่ที่ออสเตรเลีย’ แต่สิ่งที่ลูกพี่ลูกน้องของเธอทิ้งเอาไว้ให้ คือที่ดินผืนนึงที่เมืองไทย ซึ่งที่ดินผืนนั้น ยังคงมีลูกของ ลูกพี่ลูกน้องอาศัยอยู่ และมีมูลค่า แต่เธอก็ตัดสินใจปฏิเสธไป เพราะยังไงเราก็ไม่ใช่คนในสายเลือด เธอจึงเงียบไปหลายปี แต่สุดท้ายก็ต้องตัดสินใจกลับมาจัดการเรื่องมรดก เพราะความฝัน ในความรู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่น คุณเจเจรู้สึกว่า ลูกพี่ลูกน้องมายืนจ้องหน้า ด้วยความรู้สึกโกรธ แล้วก็เรียกให้ตื่น ตื่นๆและเรื่องเดียว ที่เธอยังไม่ได้ทำให้ลูกพี่ลูกน้องของเธอ ก็คือเรื่องมรดก ในตอนบ่ายวันนั้น คุณเจเจเลยตัดสินใจลางาน ไปที่ที่ดิน ก่อนไปเธอก็อธิษฐานในใจว่า ถ้าจะให้รู้อะไร ก็ให้รู้เรื่องกันไปในวันนี้ เพราะเธอไม่เคยติดต่อญาติที่อยู่ตรงที่ดินตรงนั้น พอไปถึงที่ประเมินที่ดิน พี่เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าคุ้นจังเลย แล้วเขาก็นึกออกขึ้นมาว่า เมื่อวานมีคนมาประเมินราคากลางของที่ดินผืนนี้เขาจะขาย เธอก็เลยกลับมาจุดธูปที่บ้านบอกว่า ผู้จัดการมรดกมันต้องใช้เวลานะ แต่ขอให้มันลุล่วง คุณทนายของลูกพี่ลูกน้องของเธอ ก็บินมาช่วยกันจัดการ จนในที่สุดเธอก็กลายเป็นผู้จัดการมรดกคุณเจเจเลยกลับไปที่ดินแห่งนั้นอีกครั้งนึง และแจ้งว่าที่ดินนี้ไม่สามารถขายได้ เพราะว่ามันติดขึ้นศาลอยู่ ทางเจ้าหน้าที่เลยบอกว่า ‘จริงๆต้องรอเดือนนึงก่อน จึงจะประกาศอย่างเป็นทางการ’ แต่ในทุกครั้งที่ทำขั้นตอนอะไร เธอจะจุดธูปคอยบอกลูกพี่ลูกน้องว่า ‘ถ้าเธออยากให้เราได้ที่ดินนี้จริงๆ ขอให้ผ่านพ้นไปด้วยดี’ สุดท้ายแล้วก็ต้องฟ้องร้องกัน ระหว่างลูกของลูกพี่ลูกน้อง และเธอผู้เป็นผู้จัดการมรดกเป็นข้อพิพาทระหว่างกัน แต่คุณเจเจก็ทำตามเจตจำนงของคนตาย ซึ่งเขาไม่อยากให้คนในครอบครัวตนเองได้ที่ดินผืนนี้ เพราะแม้แต่ในตอนที่ลูกพี่ลูกน้องเสีย คนเป็นญาติทางสายเลือดก็ไม่ได้สนใจ ที่จะทำเรื่องแจ้งตายให้ คนตายจึงตายตาไม่หลับ พยายามที่จะให้เธอเอาที่ดินมาให้ได้ จุดประสงค์ของคุณเจเจ มีแค่อยากให้ชื่อบนโฉนด มีชื่อของเธอ ส่วนญาติของลูกพี่ลูกน้องจะอยู่ก็อยู่ไป เธอแค่อยากทำให้มันจบตามจุดประสงค์ของคนตาย เพราะเขามาหาเธอบ่อยมาก แทบทุกคืน กับกลิ่นธูปในยามวิกาล….(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

บ้านนี้ใครอยู่ก็ตาย! สืบสาวราวเรื่องจึงได้ความว่าคุณยายเคยเลี้ยงปอบเพื่อทำเสน่ห์ใส่คุณตา ต่อมาเลี้ยงไม่ไหวจึงมอบให้คนอื่นไป แต่สุดท้ายมันก็วนกลับมากินคนในบ้านจนหมด มิหนำซ้ำที่ดินของบ้านยังมีบ่อเน่าที่เคยเป็นที่ทิ้งศพทหาร!

12 พ.ค. 2023

บ้านนี้ใครอยู่ก็ตาย! สืบสาวราวเรื่องจึงได้ความว่าคุณยายเคยเลี้ยงปอบเพื่อทำเสน่ห์ใส่คุณตา ต่อมาเลี้ยงไม่ไหวจึงมอบให้คนอื่นไป แต่สุดท้ายมันก็วนกลับมากินคนในบ้านจนหมด มิหนำซ้ำที่ดินของบ้านยังมีบ่อเน่าที่เคยเป็นที่ทิ้งศพทหาร!

‘ท่าปอบหยิบ’ กลายเป็นไอคอนที่ทำให้หลายคนนึกถึง ‘ผีปอบ’ แต่หลังจากที่ได้เจอเข้ากับตัวจริง ๆ ‘คุณอ๊อฟ คนเห็นผี’ ก็ได้เล่าใน ‘รายการอังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (2 พฤษภาคม 2566) ว่าผีปอบจริง ๆ แล้วไม่ได้กินตับไตไส้พุงอย่างที่พวกเรารู้กัน แล้วความจริงที่คุณอ๊อฟได้เจอมาเป็นอย่างไรนั้น ไปหาคำตอบพร้อมกันเลย! คุณอ๊อฟเล่าว่าเรื่องนี้มาจากเคสหนึ่งใน ‘รายการ The sixth sense คนเห็นผี’ เคสนี้ต้องเดินทางไปไกลถึงจังหวัดกำแพงเพชร แต่คืนก่อนที่จะไป คุณอ๊อฟกินยาไทรอยด์จึงทำให้หลับลึกไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ จนทีมงานคนอื่น ๆ ต้องออกเดินทางไปก่อน คุณอ๊อฟจึงกล่าวขอโทษทีมงาน และคิดว่าคงไปไม่ทันแล้ว แต่แล้วก็มีความรู้สึกหนึ่งที่สะกิดคุณอ๊อฟขึ้นมาว่า “ลุก แล้วไปซะ” ตอนนั้นคุณอ๊อฟก็รับรู้ได้เลยว่าเป็นเสียงพระแม่ทุรคาที่ตนนับถือ หลังจากนั้นก็เสิร์ชหาบริการรถเช่าด่วนเพื่อออกเดินทางทันที เมื่อเดินทางมาถึงจังหวัดกำแพงเพชร เส้นทางที่เข้าไปในบ้านของเคสนั้น เหมือนกับหลงเข้าไปในป่าเพราะข้างทางเป็นป่าไม้รกทึบ จะเจอบ้านคนอยู่แค่หลังเดียวต่อระยะทางประมาณหนึ่งกิโลเมตรเกือบตลอดทาง และเมื่อถึงจุดหมายและกำลังจะลงจากรถ พี่คนขับรถก็ทักขึ้นมาว่า “แล้วพี่ผู้หญิงคนนั้นจะลงไปด้วยไหมครับ” คุณอ๊อฟจึงคิดในใจว่า “เรานั่งมาตลอดทางทำไมถึงไม่เห็นใครเลย แล้วทำไมตอนเราขึ้นรถพี่คนขับรถไม่สังเกตบ้างหรอว่าขึ้นมาคนเดียว” จึงตอบกลับพี่คนขับรถไปว่า “ไม่รู้ค่ะ เดี๋ยวถามพี่เขาอีกทีนึงละกัน”จากนั้นก็ลงมาจากรถก่อน ทำให้ได้เห็นหน้าของผู้หญิงคนนั้นเต็ม ๆ และสัมผัสได้ว่าเขาพึ่งขึ้นมาบนรถตอนที่คุณอ๊อฟมองออกไปนอกหน้าต่างระหว่างเดินทางเข้ามา คุณอ๊อฟไม่ได้คิดอะไรต่อ และเมื่อถึงเวลาที่ต้องถ่ายทำรายการ ระหว่างที่คุณอ๊อฟเข้าฉากก็ได้เห็น ‘ผีกระสือ’ ครั้งแรกในชีวิต ลักษณะคือเป็นหน้าคนที่มีดวงไฟสีส้มกระพริบเป็นจังหวะวูบวาบช้า ๆ ขึ้นมา ซึ่งในตอนนั้นเห็นอยู่ไกล ๆ และทุกคนก็เห็นเหมือนกันหมด มาถึงเรื่องของเคสในวันนั้นกันบ้าง เจ้าของเคสเล่าว่าตนนั้นซื้อบ้านมาจากที่ดินแบ่งขายสำหรับให้ทำกิน เมื่ออยู่กับครอบครัวไปได้สักพัก คุณยายก็เริ่มป่วย โดยมีอาการผอมแห้ง ซูบผอมลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งเสียชีวิต ต่อมาก็เป็นคุณตาและญาติที่มีอาการเดียวกัน และอาการเหล่านั้นก็มาถึงตัวเขา เจ้าของเคสเล่าว่าเมื่อก่อนเขาเป็นคนรูปร่างอ้วนท้วมอุดมสมบูรณ์ แต่พอกลับมาอยู่บ้านหลังนี้ รูปร่างก็กลับผอมแห้ง นอกจากนี้ครอบครัวของเขาก็เลิกราแยกย้ายออกไป ทำให้เขาต้องอยู่บ้านหลังนี้คนเดียว เขาจึงกลัวว่าอาจจะต้องเสียชีวิตเหมือนกับตายายและญาติของเขาอีกเป็นแน่ ต่อมาเจ้าของเคสได้พาไปดูบริเวณรอบ ๆ บ้านแต่ก็ไม่พบอะไรเชื่อมโยงถึงปอบเลย จนกระทั่งได้ขึ้นไปดูชั้นสองของบ้าน คุณอ๊อฟสัมผัสได้ว่ามันมีอะไรอยู่ข้างบน แต่ก็ไม่รู้แน่ชัดว่า ‘สิ่งนั้น’ คืออะไร จนได้เจอกับรูปคุณตาคุณยาย และสัมผัสได้ว่าเมื่อก่อนตอนสาว ๆ คุณยายชอบคุณตา จึงไป “ทำเสน่ห์เพื่อให้คุณตาหลงรัก” และได้อยู่กินด้วยกัน แต่สุดท้ายมันเหมือนกับว่า “อยู่แต่ตัวแต่ใจไม่อยู่” นับวันก็มีแต่จะแห้งเหี่ยวลงไปเรื่อย ๆ คุณยายจึงต้องหมั่นไปเติมของและเลี้ยงสิ่งนั้นด้วยเลือด คุณยายรู้ว่าสิ่งนั้นคือปอบและเลี้ยงต่อไม่ไหว จึงเอาไปฝากบ้านข้างหน้าที่อยู่ถัดห่างออกไปจากบ้านตัวเองประมาณ 2-3 กิโลเมตรให้เลี้ยงแทน แต่คนที่บ้านหลังนั้นก็สติฟั่นเฟือน ทำให้เลี้ยงไม่ดีพอ ปอบจึงกินคนในบ้านหลังนั้นแทน และกลับมาไล่กินคุณยายเจ้าของดั้งเดิมและคนเกี่ยวข้องไปทีละคน ขณะที่กำลังสืบสาวราวเรื่องอยู่นั้น คุณอ๊อฟก็ได้เห็นสิ่งหนึ่งในเงามืด ลักษณะคือเป็นคุณยายที่หน้าตาเหมือนกับผู้หญิงที่นั่งรถเช่ามากับคุณอ๊อฟเป๊ะ!! “แถมร่างนั้นก็ค่อย ๆ คลานแบบ 4 ขา และกำลังหักคอตัวเองไปมา” เดินออกมาจากอีกห้องหนึ่ง มายืนอยู่ตรงหน้าคุณอ๊อฟก่อนที่จะหายไป! คุณอ๊อฟบอกว่า “เคยมีความคิดเกี่ยวกับปอบว่า มันจะต้องกินไส้ กินตับ หรืออะไรดิบ ๆ แต่จริง ๆ แล้ว ปอบมีลักษณะคือ มันจะค่อย ๆ กินจากจิตใจ เหมือนสะกดจิตเราว่าต้องเป็นซึมเศร้า เราจะต้องไม่คบหาสมาคมกับใคร เราจะต้องอยู่แบบนี้อยู่คนเดียว และไม่กินข้าว กระทั่งมันสูบพลังชีวิตเราไปทีละนิดจนหมด ตัวอย่างเช่น เมื่อคน ๆ หนึ่งโดนปอบสิง และมีสังคมรอบข้าง เขาจะค่อย ๆ ถอยตัวห่างออกมาจากสังคมนั้น ทำให้พลังชีวิตนอกบ้านมันเริ่มหาย และเมื่อเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านพลังชีวิตมันก็หมุนอยู่แต่ในบ้าน และหลังจากนั้นมันก็จะตัดพลังชีวิตที่หมุนเวียนอยู่ในบ้านออกไปอีกโดยทำให้คนในครอบครัวแยกกันอยู่คนละที่ ทำให้พลังงานนั้นก็จะหมุนอยู่กับแค่ตัวเอง และสาเหตุการเป็นปอบมันเกิดจากการที่คนนั้นเคยมีความอิจฉาริษยาโลภมากในจิตสุดท้ายก่อนตาย” หลังจากผ่านเหตุการณ์สยองนั้นมาได้ คุณอ๊อฟก็เล่าต่ออีกว่าทีมงานสัมผัสได้ถึงเมืองบังบด (เมืองลับแลของกำแพงเพชร) ตั้งอยู่ในพื้นที่บริเวณบ้าน ซึ่งพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ประหารคนในช่วงสงครามสมัยก่อน และเป็นที่สำหรับโยนศพของทหารลงไปในบ่อหลังบ้านเจ้าของเคสได้ยินดังนั้นก็ขนลุก เพราะที่ผ่านมาตนได้พยายามขุดลอกบ่อนั้นมาหลายครั้ง แต่ลอกยังไงก็ยังเหม็นเน่าอยู่ตลอด จึงตัดสินใจปลูกบัวแต่ก็ไม่สำเร็จอีก สุดท้ายจึงปล่อยเน่าอยู่อย่างนั้น คุณอ๊อฟจึงแนะนำไปว่าวิธีแก้ง่ายที่สุดเลยคือการย้ายออกจากที่นี่ เจ้าของเคสถึงกับอึ้งอยู่พักหนึ่ง เพราะการทิ้งถิ่นกำเนิดก็เป็นเรื่องที่ทำใจลำบาก แต่ก็มีอีกวิธีนั่นก็คือ ต้องพลิกหน้าดินโดยใช้น้ำมนต์ธรณีสารล้างพื้นดิน ต่อมาคือตัวเจ้าของเคสต้องหมั่นทำบุญ เพราะคุณอ๊อฟรู้ได้เลยว่าตัวเจ้าของเคสไม่ค่อยทำบุญ สวดมนต์ นั่งสมาธิ หรือทำทานเลย แม้แต่บุญเก่าที่เขาเคยทำมาก็ไม่มีติดตัว จึงทำให้ไม่มีสิ่งใดเป็นเกราะคุ้มครอง เจ้าของเคสก็ลังเลว่าเขาจะทำได้หรือไม่เพราะที่ผ่านมาไม่เคยทำจริง ๆ คุณอ๊อฟจึงตอบไปว่า “ลังเลไม่ได้นะมันคือชีวิตคุณ ถ้าคุณไม่ทำ คุณไม่เริ่ม เราก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว” เมื่อคุณอ๊อฟเล่าจบ ดีเจแนนก็ได้ถามคุณอ๊อฟไปว่าถ้าเกิดเจ้าของเคสตัดสินใจย้ายที่อยู่ออกไปจริง ๆ และไปใช้ชีวิตตามปกติไม่ได้ถือศีลภาวนาหรือทำบุญใด ๆ จะเป็นอย่างไร คุณอ๊อฟก็ตอบว่า “ก็อาจจะหลุดพ้นจากปอบตัวนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปเจออะไรในข้างหน้าอีกเพราะไม่มีอะไรคุ้มครองเขาไว้เลย มันเป็นเหมือนการหนีปัญหา แต่ไม่หาทางแก้ ดังนั้นต้องหมั่นทำบุญสร้างกุศลให้ตัวเอง เพื่อเป็นเกราะป้องกันจากสิ่งที่มองไม่เห็น”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณกรณ์ 'ครูพี่เลี้ยง' l อังคารคลุมโปง X NICECNX [ 18 พ.ย.2568 ]

28 พ.ย. 2025

เรื่องเล่าจากคุณกรณ์ 'ครูพี่เลี้ยง' l อังคารคลุมโปง X NICECNX [ 18 พ.ย.2568 ]

ผมเข้าไปล่าท้าผีในโรงงานร้างแห่งหนึ่ง พอเข้าไปถึงตึกที่พักของคนงานเก่าเลยขึ้นไปที่ชั้น 2 เจอเลขห้องประหลาดห้อง 2A6 พอเข้าไปก็เห็นกระถางธูปวางตามจุดเตียงนอนทุกจุด ถามรปภ.ก็ได้รู้ว่ามันคือจุดที่คนงานตายทั้งหมด ไม่เพียงแค่นั้น บานประตูที่เปิดเข้ามาก็มีสายสิญจน์โยงมัดรอบห้อง ผมเห็นท่าไม่ดีเลยรีบลงจากตึกมาชั้น 1 ระหว่างทางลงก็คิดพิเรนทร์พูดใส่ Intercom “ฮัลโหล ตึกตรงข้ามมีคนอยู่ไหม” แล้วก็ได้ยินเสียง “คลื่นสัญญาณแทรก” ดังมาตามสายทั้ง ๆ ที่ทั้งตึกไม่มีไฟฟ้าแล้ว เมื่อเดินไปตึกฝั่งตรงข้าม คนในไลฟ์สดดันบอกว่าเห็นกลุ่มคนอยู่ในตึกนั้น 20 กว่าคน! ทั้ง ๆ ที่มันเป็นตึกร้าง ผมเลยโบกมือให้กล้องที่ไลฟ์อยู่อีกฝั่งหนึ่ง และเมื่อกลับมานั่งตัดคลิป ก็เห็นว่าตอนนั้นโบกมือนั้น หัวของผมหายไป! หลังจากกลับมาก็มีแฟนคลับเปิดกล้องไลฟ์ที่วัดแห่งหนึ่ง และได้ยินเสียงวิญญาณผู้หญิงเรียกชื่อตัวเองให้เข้าไปขอขมา และช่วยให้เธอได้ไปเกิดเพราะเขากับเธอเคยเกี่ยวข้องกันในอดีตชาติ! โรงงานร้างสุดหลอน..ที่ทำให้การล่าท้าผีของเขาไม่เหมือนเดิม เมื่อพบว่าในขณะที่กำลังไลฟ์สดอยู่นั้น หัวของเขาดันหายไป! ท่ามกลางผู้คนในไลฟ์ที่รับชมอยู่ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X NICECNX’ [ 18 พ.ย.2568 ] ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ ‘ดีเจโซเซฟ’ และ ‘ดีเจมดดำ’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘นิคมอุตสาหกรรมร้าง’ เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ‘คุณกรณ์’ ได้เล่าว่า ตนเองทำงานเป็น Creator ในแพลตฟอร์มออนไลน์เขาเป็นนักเล่าเรื่องลี้ลับ และมีการลงพื้นที่ไปสำรวจสถานที่ลึกลับต่าง ๆ หรือที่เรียกกันว่า ‘ล่าท้าผี’ จนกระทั่ง ‘พี่เต๋า’ พี่ชายคนสนิทได้เอ่ยถามเขาว่า‘กรณ์อยากไปลงพื้นที่ไหม? พี่มีพื้นที่อยู่ที่หนึ่ง น่าสนใจมาก’ เต๋าเชิญชวน‘มันเป็นยังไงพี่?’ เขาถามกลับไปด้วยความสงสัย‘พื้นที่นี้มันเป็นโรงงาน’ คำเชิญชวนจากพี่ชายคนสนิทสร้างความตื่นเต้นให้แก่กรณ์ และด้วยความไม่คิดอะไรจึงคิดว่าสถานที่แห่งนั้นคงเป็น เพียงแค่โรงงานธรรมดาแห่งหนึ่งก็เท่านั้น เขาเลยตัดสินใจตอบรับคำไป‘ไปครับ เดี๋ยวไปเปิดกล้องไลฟ์สดกัน’ พอถึงวันที่นัดแนะกันในช่วงเวลาประมาณ 3 ทุ่ม กรณ์ก็ไปถึงที่โรงงานแห่งนั้น ทันทีที่ก้าวขาเข้าไป ก็พบกับรปภ.คนหนึ่งประจำการอยู่ที่หน้าโกดังทำให้เขาเกิดความสงสัยขึ้นมาว่าถ้าหากที่แห่งนี้เป็นโกดังร้างทำไมถึงมีคนอยู่? แต่ก็ได้รับคำตอบที่คลายความสงสัยนั้นจากเต๋าพี่ชายคนสนิทว่า“ที่นี่ไม่ใช่โกดังร้าง ข้างในมีทรัพย์สินอยู่ แต่มันรกร้างมา 30 ปีแล้ว” จากการกวาดสายตาสำรวจดูกรณ์พบว่า โดยรอบของโรงงานมีไฟฟ้าเปิดอยู่โดยรอบทั้งยังมีคนคอยดูแลตรวจตราอยู่สม่ำเสมอ เขาเลยคิดว่าพี่เต๋าคงจะมีการวางแผนพาเขามาแกล้งอย่างแน่นอน หลังจากนั้นกรณ์ เลยพยายามสอดส่องหาพื้นที่ที่คิดว่าจะสามารถเข้าไปไลฟ์ได้ แต่ทางด้านพี่เต๋าก็ยังคงเงียบ ไม่เอ่ยปากพูดอะไร กรจึงตัดสินใจเดินเข้าไปถามยามคนนั้น“พี่รปภ. มาอยู่กี่วันแล้วครับ”“ผมเพิ่งมาอยู่ได้แค่ 15 วันเองครับ” รปภ.ตอบกลับกรณ์“แล้วรู้จักกับพี่เต๋าได้ยังไงครับ?”ด้วยระยะเวลาการทำงานที่สั้นเลยทำให้เขาเกิดความสงสัยจึงเอ่ยถามไป“พี่เต๋าเป็นหัวหน้างานครับ คอยส่งรปภ.ลงตามพื้นที่โรงงานครับ” และเขาก็ได้รับคำตอบคลายความสงสัยกลับมา“เห็นไฟสปอร์ตไลท์ตรงนั้นไหมครับ สุดตรงนั้นไปแล้วจะวังเวงมาก ๆ ไม่มีใครกล้าเข้าไปเลยครับ”รปภ.ชี้นำไปตามทางสุดเส้นถนนที่ดูเปลี่ยว และมืดจนน่าขนลุก เดิมที่โรงงานแห่งนี้มีรปภ.คอยเฝ้าดูแลอยู่ตลอดเวลาจำนวน 15 นาย แต่เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้พวกเขาลาออกพร้อมกันทั้งหมด จนท้ายที่สุดแล้วเหลือรปภ.เพียงแค่ 2 คนเท่านั้นที่ทำงานอยู่ ยามคนที่หนึ่งจะยืนเฝ้าอยู่ตรงบริเวณข้างหน้าทางเข้า ส่วนคนที่สองจะคอยตรวจตราอยู่จุดที่สปอร์ตไลท์ส่องตามที่รปภ.ได้เกริ่นไว้ใครคราแรก เมื่อกรณ์ ได้สังเกตเห็นพี่รปภ.ที่ยืนอยู่ตรงตำแหน่งด้านในก็พบว่าลักษณะท่าทางของเขาเหมือนคนอยู่ไม่ติดกับที่ยามคนนั้นเดินวนไปวนมาอยู่ตลอดเวลาอย่างผิดวิสัย เขาเลยเดินเข้าไปถามด้วยความสงสัย“พี่เดินไปเดินมาทำไมครับ?”“ไม่สามารถอยู่กับที่ได้ครับ” คำตอบของพี่รปภ.สร้างความฉงนให้กับกรอีกครั้ง“ทำไมครับ? เกิดอะไรขึ้น”“ถ้าพร้อมแล้ว 3 ทุ่มเปิดกล้องไลฟ์สดนะครับ เดี๋ยวพาเข้าไป” เส้นทางที่เข้าไปภายในโรงงานจำเป็นที่จะต้องขับรถเข้าไป เพราะด้วยโรงงานแห่งนี้เป็นนิคมอุตสาหกรรม ที่มีขนาดพื้นที่ทั้งหมด 57 ไร่ จุดหมายของกรจะอยู่ตรงจุดที่เลยแนวไฟไป“ถ้าเลยแนวไฟตรงนี้ไปหลังจากนี้จะไม่มีใครช่วยเหลือเราได้แล้ว”ประโยคบอกเล่าธรรมดาที่ชวนผวาจากพี่รปภ.ทำเอากรถึงกับขนลุก จากการพูดคุยกรณ์ ก็ได้รับรู้ว่าตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ยังไม่เคยเปิดให้ใครเข้ามาล่าท้าผีเพราะเป็นสถานที่ปิด ดังนั้นพลังงานวิญญาณต่าง ๆ ยังจะคงอยู่ครบถ้วน และอัดแน่นเต็มพื้นที่“แล้วเราจะพากันไปที่ไหนกันครับ?” กรณ์ถามถึงตำแหน่งที่เขาจะเข้าไปล่าท้าผี“ข้างในนี้จะมีทั้งโรงพยาบาลร้าง โรงเรียนอนุบาลร้าง สหกรณ์ร้าง โรงอาหารร้าง บึงและก็อาคารที่พักของคนงานที่รกร้างอยู่ทั้งหมด 2 ตึกครับ” ในระหว่างที่พากันเข้าไปสำรวจกันข้างใน กรณ์ก็เกิดความสงสัยบางอย่างเลยเอ่ยถามพี่รปภ.ออกไป “ทำไมพี่ถึงสั่งห้ามไม่ให้รปภ.เข้ามาในนี้ครับ?” พี่รปภ.เล่าว่า เมื่อสามวันที่แล้ว มีรปภ.คนล่าสุดที่เพิ่งลาออกไป เขาเข้าไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากโรงอาหารและตรงดิ่งมาหารปภ.คนนั้นพร้อมพูดว่า “ขอข้าวกินหน่อยสิ..” ซึ่งถ้าย้อนไปเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ที่แห่งนี้เคยมีผู้หญิงคนหนึ่ง เธอไม่ใช่คนงานที่นี่ หญิงสาวคนนั้นแอบเข้ามาข้างใน และมานั่งอยู่ตรงบึง สุดท้ายก็ตัดสินใจกระโดดน้ำ หลังจากเหตุการณ์นั้นวิญญาณของหญิงสาวคนนี้ก็คอยวนเวียนหลอกหลอนรปภ.ทั้งหมดจนเป็นสาเหตุให้ทุกคนลาออกไป โดยพื้นฐานแล้วกรณ์ ไม่ใช่คนที่มีสัมผัสที่ 6 หรือเห็นผี เมื่อเดินสำรวจได้สักพักก็เจอตำแหน่งที่น่ากลัวมาก ๆ ก็คือตึกที่พักคนงานร้างทั้ง 2 ตึก ลักษณะของอาคารจะแบ่งเป็นตึก A และ B หน้าตึกจะหันเข้าหากัน กรณ์เลยเริ่มสำรวจข้างในของตึก ภายในอาคารจะมีเลขที่ห้องเรียงต่อกัน จากเลข 101 102 103 ไล่ไปจนถึง 108 และเมื่อเดินขึ้นไปยังชั้นสองของอาคาร เดินดูไล่ทีละห้องจาก 201 202 203 เดินไปเรื่อย ๆ ทันใดนั้นเอง เขาก็เจอกับห้องที่มีเลขผิดแปลกไปจากห้องอื่น ๆ “ห้อง 2A6” และมากไปกว่านั้น ลูกบิดประตูนั้นยังถูกทุบอีกด้วย ความคิดภายในหัวกรณ์ เริ่มทำงานบรรยากาศเย็นยะเยือกรอบข้าง และเลขห้องตรงหน้าเขาทำให้เขาคิดว่าห้องนี้ต้องมีอาถรรพ์อะไรบางอย่างอยู่แน่ ๆ แต่ยังไม่ที่กรจะเปิดประตูเข้าไป ทันใดนั้นเองบานเกล็ดหน้าต่างห้องก็มีเสียง “ครืดดดดดด!” เสียงบานเกล็ดที่ดังแบบไม่มีที่มาที่ไปทำเอาเขาตื่นตระหนก และด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ ของเขาสุดท้ายกรณ์ ก็ตัดสินใจเปิดบานประตูเข้าไป ภาพแรกที่กรณ์ เห็นคือภายในห้องเต็มไปด้วยล็อคเกอร์ไม้ที่ทุก ๆ ชั้นถูกเปิดไว้หมด แต่มีจุดหนึ่งที่น่าสังเกต และดูผิดแปลกคือทุกพื้นที่ในนั้นมีกระถาง และธูปที่มอดไปแล้วปักอยู่ประมาณ 4-5 จุดตามที่นอน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีใครเคยเข้ามาล่าท้าผีข้างในมาก่อน“รู้ไหมว่าจุดธูปต่าง ๆ คือจุดอะไร?” พี่รปภ.เอ่ยถามเขาท่ามกลางความเงียบ“จุดอะไรพี่”“ธูปที่จุดอยู่ทุกจุดตามที่นอน คือที่ที่คนงานเสียชีวิตทั้งหมด”คำตอบของรปถ.ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวกับบรรยากาศภายในห้องมากขึ้น เพราะหลังจากจบประโยคนั้นบานประตูในห้องก็เริ่มขยับ และส่งเสียงดังราวกับมีพลังงานอะไรบางอย่างอยู่ในห้องแห่งนี้กับเขา และเมื่อเพ่งมองดูที่ลูกบิดดี ๆ ก็พบว่าที่บานประตูนั้นมีสายสิญจน์มัดขึงไว้ กลายเป็นว่าการที่เขาเปิดเข้ามานั่นทำให้สายสิญจน์ทั้งหมดถูกดึงออกจากกัน! และเมื่อลองมองไปยังอาคารฝั่งตรงข้ามก็จะเห็นคล้ายกับมีพลังงานบางอย่างเคลือบตึกอยู่ ในระหว่างที่เขากำลังเดินลงจากชั้น 2 มันก็มีเครื่อง Intercom ที่ไม่สามารถใช้งานได้แล้วติดอยู่กับเสา กรนึกพิเรนทร์เลยหยิบขึ้นมาแกล้งทำคล้ายกับว่าส่งเสียงเรียกไปยังตึกอีกฝั่ง“ฮัลโหล ตึก B ว่าไง ส่งเสียงหน่อย” เขาส่งเสียงไปตามสายอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่พอกลับมานั่งตัดคลิปย้อนหลังดู ในจังหวะสุดท้ายที่เขากดคลิกมันกลับมีเสียง “ซืดดด...” แทรกเข้ามา มันเป็นเสียงคลื่นสัญญาณที่ไม่ควรเกิดขึ้นเพราะอาคารแห่งนั้นไม่มีการใช้งานของไฟฟ้าแล้วหลังจากลงมาจากชั้น 2 ได้ กรณ์ก็นึกสนุกขึ้นมา โดยให้พี่ชายคนสนิทตั้งกล้องไลฟ์สดถ่ายไปยังเขาที่ยืนอยู่อีกฝั่งของตึก และเขาจะโบกมือให้กล้อง และทันทีที่เขาเดินไปยังอาคารฝั่งตรงข้ามและโบกมือให้กล้องที่อยู่ทางหนึ่ง คนดูในไลฟ์ก็ต่างคอมเมนท์ไปในทางเดียวกันว่าพวกเขาเห็นกลุ่มคนหรือดวงวิญญาณยืนอยู่ในตึกนั้น 20 กว่าคน! และในจังหวะที่เขากลับมานั่งตัดคลิป สิ่งที่ปรากฎในคลิปทั้งหมดก็ทำเอาเขาถึงกับขนหัวลุก เมื่อพบว่าในช่วงเวลาที่เขาโบกมือให้กล้องอยู่นั้น หัวของเขาหายไป! จบจากการล่าท้าผี กรณ์ก็ได้ให้อาจารย์ที่รู้จักทำพิธีปัดเป่าสิ่งต่าง ๆ ที่อาจจะตามเขามาในชีวิตจริงเพื่อไม่ให้มันเกิดอะไรไม่ดีกับเขาหลังจากนี้ และพอกรได้ลงคลิปล่าท้าผีไปในโลกออนไลน์ก็เกิดกระแสตอบรับที่ดีจนผู้ชมอยากให้เขาไปอีกครั้ง และก็มีแฟนคลับคนหนึ่งขอเข้าร่วมการล่าท้าผีไปกับเขา แต่ก่อนจะถึงวันนัดแนะจะไปกัน “คุณบอย” แฟนคลับที่ขอเดินทางไปด้วยกันเขาได้เปิดกล้องไลฟ์ไปสำรวจที่บริเวณวัดและเดินไปตรงประตูน้ำ ในระหว่างที่เดินดูอยู่นั้นบอย ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงดังขึ้นมา เสียงเหมือนคนอยู่ในน้ำพูดว่า “ผู้ชาย ผู้ชาย.. ผู้ชายสองคน ต.เต่า ต.เต่า”เสียงกระซิบเรียกชื่อผู้ชาย 2 คนนั้นดังขึ้นมาหลังจากนั้นเพียงไม่นาน แต่กลายเป็นว่าชื่อแรกที่ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยออกมาคือชื่อจริง ๆ ของกรณ์ที่ตลอด 10 ปีมานี้ไม่มีใครรู้ชื่อนี้เลย หญิงสาวได้บอกกับบอยว่า 2 คนนี้เกี่ยวข้องกับเธอในอดีตมาก่อน และบอย คือคนรักที่เคยสาบานกับเธอในอดีตชาติ ทำให้พวกเขาต้องไปที่โรงงานนั้นอีกครั้ง และการกลับไปครั้งนี้ก็เพื่อไปขมากรรมในอดีต และปลดปล่อยดวงวิญญาณนั้น เพราะเขาได้รู้มาว่าสาเหตุการเสียชีวิตของน้องผู้หญิงคนนี้คือเธอได้ตั้งครรภ์กับผู้ชายคนหนึ่ง แต่ผู้ชายไม่รับรัก เธอเลยไปกระโดดที่บึงนั้น และได้สื่อสารกับบอยเพราะเธอ และเขาเคยไปสาบานรักใต้ต้นไม้ใหญ่ในอดีตชาติ ซึ่งเมื่อกรณ์ ได้ประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดก็ถึงกับขนหัวลุกอีกครั้งเพราะตรงบึงแห่งนั้น เป็นจุดที่มีต้นไม่ใหญ่ต้นหนึ่งอยู่พอดีสุดท้ายโรงงานร้างแห่งนั้นก็ไม่ได้เป็นเพียงนิคมอุตสาหกรรมธรรมดา แต่กลายเป็นจุดพลิกผันในชีวิตอีกเรื่องหนึ่งที่เขาจะจำไม่มีวันลืม..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

เรื่องเล่าจากพี่เเจ็ค ‘บ้านรีโนเวท’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 28 พ.ค. 2567]

01 มิ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากพี่เเจ็ค ‘บ้านรีโนเวท’ I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 28 พ.ค. 2567]

เรื่องนี้ ‘พี่แจ็ค The Ghost Radio’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (28 พฤษภาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ’ดีเจเคเบิ้ล’ เรื่องที่มีชื่อว่า ‘บ้านรีโนเวท’ เรื่องราวสุดหลอนนี้จะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! พี่แจ็คบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจาก ‘คุณบอย’ โดยต้องย้อนกลับไปในช่วงที่คุณบอยทำอาชีพฉีดปลวก ซึ่งตัวคุณบอยจะมีเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนในการทำธุรกิจต่าง ๆ เพื่อนของคุณบอยได้ไปรับงานจากคนที่รู้จัก ซึ่งคนนี้คือเพื่อนของเพื่อนคุณบอยและเป็นหลานเจ้าของบ้าน เขาอยากให้ไปจัดการปลวก หนู และแมลงต่าง ๆ แต่ก่อนที่จะไปทำ คุณบอยได้เข้าไปดูสถานที่จริงว่าบ้านเป็นอย่างไร ซึ่งคุณบอยบอกว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้าน 2 ชั้น ด้านล่างเป็นปูน ด้านบนเป็นไม้ บริเวณด้านล่างจะไม่ค่อยมีปัญหา แต่ด้านบนจะสำคัญกว่าเพราะเป็นไม้ จะต้องไล่ปลวกและฉีดปลวกก่อน ด้วยความที่ตัวคุณบอยเชี่ยวชาญทางด้านนี้อยู่แล้ว จึงรู้ว่าควรจะเริ่มทำอย่างไรก่อน บริเวณชั้น 2 จะมี 3 ห้องได้แก่ 2 ห้องนอน 1 ห้องโถง ก่อนที่คุณบอยจะเริ่มสำรวจ เจ้าของบ้านได้บอกให้เข้าไปดูห้องหนึ่ง เป็นห้องที่คิดว่าน่าจะเสียหายมากที่สุด คุณบอย เพื่อนคุณบอย และเจ้าของบ้านจึงขึ้นไปยังห้องนั้น คุณบอยบอกว่าแว๊บแรกที่เปิดประตูเข้าไปคือมีกลิ่นเหม็นเน่า เหมือนมีซากสัตว์ตายจำนวนมาก ตามสัญชาตญาณของคนทำงานแนวนี้สันนิษฐานว่าจะมีอยู่ 2 อย่างที่ตาย คือไม่หนูก็ตุ๊กแก จากนั้น คุณบอยก็ได้เดินไปสำรวจ ในระหว่างที่เดินสำรวจมุมต่าง ๆ คุณบอยก็ได้ไปเจอกับซากตุ๊กแกตายหลายจุด แต่มีอยู่หนึ่งตัวที่ดูแปลกไปคือมีแต่ตัวส่วนหัวหายไป ทำให้คุณบอยทราบว่าที่ห้องนี้เหม็นเพราะตุ๊กแกตาย คุณบอยจึงแจ้งกับเจ้าของบ้านว่าห้องนี้อาจจะต้องทำเยอะ ยังไม่รวมบนฝ้าที่ไม่รู้ว่าหนักขนาดไหน คุณบอยจึงจำเป็นที่จะต้องปีนขึ้นไปดู เมื่อคุณบอยเห็นก็ได้บอกว่า “หนักกว่าข้างล่างอีก” เพราะว่ามีซากตุ๊กแกนอนตายกลาดเกลื่อนเต็มไปหมด แต่คุณบอยก็คิดว่าเป็นเรื่องปกติเพราะบ้านหลังนี้อยู่ในสวนจึงไม่แปลก แต่ที่ผิดปกติคือบนฝ้ามีรอยมือคนที่เหมือนเอาตัวลากไปกับฝ้า รอยเท้า รอยมือเต็มไปหมด ที่แปลกที่สุดคือตรงไหนที่มีคานติดกับฝ้าที่มีระยะห่างเพียงแค่นิดเดียว จะมีรอยมือที่เหมือนเอาตัวลากไปกับฝ้าสามารถผ่านช่องเล็ก ๆ นั้นไปได้ เมื่อคุณบอยลงมาด้านล่าง ได้บอกกับเจ้าของบ้านว่า “ด้านบนต้องทำความสะอาดเยอะนะ” เพราะกลิ่นเหม็นมาจากด้านบนเนื่องจากมีตุ๊กแกตายเยอะ หลังจากสำรวจห้องนี้เสร็จก็ไปสำรวจห้องอื่นต่อซึ่งเป็นห้องของน้าสาว ห้องนี้ก็เละไม่ต่างกัน มองไปทางไหนก็มีซากตุ๊กแกตาย เมื่อสำรวจเสร็จคุณบอยก็มาคุยกับเจ้าของบ้านว่า “ต้องทำเยอะนะ” เวลานั้นเป็นช่วงเที่ยงพอดี คุณบอยจึงลงมาพักทานข้าว ระหว่างที่กินข้าว ด้วยความที่คุณบอยเป็นคนที่ปีนขึ้นไปสำรวจบริเวณฝ้าและรู้สึกผิดปกติจึงคิดอยากถามกับเจ้าของบ้านว่าห้องนี้เกิดอะไรขึ้น เจ้าของบ้านจึงได้เล่าว่า อดีตของบ้านหลังนี้มีน้าสาวของเจ้าของบ้านอาศัยอยู่ ซึ่งห้องที่ไปดูมาเป็นห้องของน้าสาว น้าสาวเป็นคนหน้าตาดี สวย มีผู้ชายมาจีบเยอะ วัน ๆ ก็มักจะมีหนุ่ม ๆ ขี่รถมาจีบจนเป็นกิจวัตร แต่อยู่มาวันหนึ่ง มีผู้หญิงขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดที่หน้าบ้านของน้าสาว ซึ่งบ้านหลังนี้ไม่มีรั้ว เมื่อจอดเสร็จผู้หญิงคนนี้ก็ได้หยิบห่อผ้าขาวที่พกมาปาเข้าไปในห้องของน้าสาว หลังจากนั้นก็ด่าน้าสาวพร้อมกับสาปแช่ง คนในบ้านและน้าสาวตกใจจึงพากันแห่ออกมาดู ภาพที่เห็นคือผู้หญิงคนนี้โกรธจัดยืนชี้หน้าด่าน้าสาว จนคนในบ้านต้องจับผู้หญิงคนนี้ออกไปและไล่น้าสาวกลับเข้าไปในห้อง ระหว่างที่กำลังจับผู้หญิงคนนี้ออกไปและน้าสาวกำลังกลับเข้าห้อง ขณะนั้นทุกคนได้ยินเสียงน้าสาวกรี๊ด ทุกคนจึงวิ่งกลับเข้าไปในห้อง ปรากฎว่าสิ่งที่เห็นคือน้าสาวนอนสลบอยู่ข้าง ๆ ห่อผ้า ซึ่งหลังจากที่ห่อผ้าถูกปาเข้ามาก็แตกกระจาย สิ่งที่ทุกคนเห็น คือ เป็นก้อนขาว ๆ ขุ่น ๆ มีเศษผม เศษเล็บ เต็มไปหมด เหมือนกับเป็นห่อผ้าที่ใช้ห่อกระดูกคนแล้วถูกเอามาโยนใส่เพื่อทำอะไรบางอย่าง ในช่วงชุลมุนนั้นเอง ญาติก็ช่วยกันเก็บห่อผ้าไปไว้สักที่ แล้วพาน้าสาวไปโรงพยาบาล เมื่อตรวจแล้วก็ไม่มีความผิดปกติ แต่หลังจากวันนั้น น้าสาวมักจะบ่นปวดหัว และทำตัวไม่ปกติ จากที่เป็นคนสวย เป็นมิตร กลับกลายเป็นเก็บตัวไม่ออกจากห้อง ไม่กินข้าว จนต้องนำข้าวเข้าไปในห้อง แม้จะพาไปหาหมอแต่ก็ได้ความเหมือนเดิมว่าน้าสาวไม่ได้เป็นอะไร แต่แล้ววันหนึ่งสิ่งที่ไม่ปกติก็เกิดขึ้น คนในบ้านกำลังจะเอาข้าวไปให้น้าสาว ปรากฏว่าเคาะประตูแล้วแต่ก็ไม่ยอมเปิด จึงเปิดเข้าไปดู ภาพที่เห็นคือน้าสาวนั่งอยู่ที่มุมห้องกำลังทำอะไรบางอย่าง พอเรียกน้าสาวที่ทำตัวยุกยิก น้าสาวที่กำลังทำอะไรอยู่นั้นก็หยุดทันทีแล้วหันมา สิ่งที่เห็นทำเอาคนในบ้านตกใจมาก คือ น้าสาวกำลังคาบหัวตุ๊กแกที่ถูกดึงออกมาจากตัวและเต็มไปด้วยเลือด ด้วยความที่ทุกคนในบ้านตกใจจึงรีบเข้าไปจับตัวน้าและเอาหัวตุ๊กแกออกแล้วนำส่งโรงพยาบาล โรงพยาบาลจึงแจ้งว่าอาการนี้น่าจะผิดปกติทางจิต มีใครในบ้านไปทำอะไรที่ส่งผลให้น้าสาวได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจรึป่าว ทางบ้านไม่รู้จะทำอย่างไร ไปหาพระก็แล้ว หมอดูก็แล้ว ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าอาการของน้าสาวคือ ‘โดนของ’ แต่ไม่รู้ว่าโดนอะไร แต่สิ่งที่หนักขึ้นกว่าเดิม คือทุกวันที่มีฝนตกน้าสาวจะกรีดร้องเสียงดัง โหวกเหวกโวยวายเหมือนคนเสียสติ จนกระทั่งวันหนึ่งมีเพื่อนมาเยี่ยมบ้านหลังนี้ ประจวบเหมาะกับวันนั้นเป็นวันฝนตก ทุกคนในบ้านก็เฝ้าระวังว่าน้าสาวจะกรีดร้องหรือไม่ ปรากฏว่าเมื่อฝนตกน้าสาวกลับเงียบกริบ แต่ฝ้าเพดานข้างบนมีเสียง กุกกักไปมา คนในบ้านจึงคิดว่าเป็นหนู เลยพยายามไล่ดูและเอาไม้กระทุ้งเพดาน ระหว่างที่กำลังเอาไม้กระทุ้งนั้นก็มีฝ้าแผ่นหนึ่งหลุดลงมา แล้วทุกคนก็หันไปมอง สิ่งที่ทุกคนเห็นคือ น้าสาวห้อยหัวลงมาจากฝ้าปากคาบตุ๊กแกไปด้วย แล้วน้าสาวก็วิ่งกลับเข้าไปในเพดาน พอปีนเข้าไปดูปรากฎว่าฝ้าเพดานเต็มไปด้วยซากตุ๊กแกที่น้าสาวเหมือนไปจับแล้วกิน เหมือนกับคนโรคจิต คนในบ้านเลยจับน้าสาวลงมาสงบสติ ระหว่างที่ลงมาน้าสาววิ่งเข้าไปในอีกห้อง ทุกคนจึงรีบวิ่งตามไป พอไปถึงก็เห็นน้าสาวกำลังนั่งอยู่ที่ขอบหน้าต่าง นั่งหันหลังให้ออกไปด้านนอก หันหน้าเข้ามาในบ้านแล้วแกก็เคี้ยวตุ๊กแกไปด้วย คนในบ้านจึงจะรีบวิ่งไปจับ ปรากฏน้าสาวทิ้งตัวเองหงายลงไปจากชั้น 2 นอนแน่นิ่งอยู่ด้านล่าง ทุกคนจึงรีบพาไปโรงพยาบาล วันรุ่งขึ้นหมอแจ้งว่าน้าสาวเสียชีวิตแล้ว สาเหตุการตายไม่ได้มาจากการตกจากชั้น 2 แต่เสียชีวิตจากการที่เลือดเป็นพิษที่น่าจะมาจากสิ่งที่น้าสาวกินเข้าไป ก็คือตุ๊กแกจำนวนมากที่ทั้งดิบทั้งสกปรก หลังจากจัดการพิธีศพของน้าสาวเสร็จ คนในบ้านก็คิดกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้าสาว สิ่งที่แว๊บเข้ามาในหัวคนในบ้าน คือผู้หญิงที่เคยมาโยนห่อผ้าสีขาวใส่หิ้งของน้าสาว คนในบ้านเลยคุยกันว่าห่อผ้าที่ถูกเก็บไปอยู่ที่ไหน ซึ่งก็ไม่มีใครจำได้ว่าใครเก็บและห่อผ้าถูกเก็บไว้ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่เจ้าของบ้านต้องหาให้ได้คือผู้หญิงคนนี้เป็นใคร จึงเริ่มสืบจากการไปถามคนนั้น คนนี้ ว่ารู้จักผู้หญิงลักษณะแบบนี้ไหม แล้วก็ได้คำตอบจากป้าคนหนึ่งในหมู่บ้านว่ารู้จัก บ้านอยู่ไม่ไกลกันเอง ทำให้ฉุกคิดได้ว่าทำไมรู้สึกหน้าคุ้น ๆ เพราะผู้หญิงคนนั้นเป็นคนในหมู่บ้าน เจ้าของบ้านเลยไปที่บ้านของผู้หญิงคนนี้ เมื่อไปถึงคนข้างบ้านบอกว่าบ้านหลังนี้เคยมีสามีภรรยาอยู่ แต่เสียชีวิตหมดแล้ว เหมือนคู่นี้ทะเลาะกันแล้วผู้ชายหนี ผู้หญิงจึงผูกคอตาย จากนั้นก็มีการสืบเรื่องต่อไปอีก ได้ความว่า ผู้ชายบ้านนี้เจ้าชู้ จีบผู้หญิงไปเรื่อย แต่จะมีอยู่คนหนึ่งที่ผู้ชายจะไปจีบบ่อยก็คือน้าสาว ผู้หญิงจึงจับได้ว่าสามีตัวเองมาบ้านน้าสาวบ่อย จึงทะเลาะกับผู้ชายทำให้ผู้ชายหนีออกจากบ้านไป ผู้หญิงคนนี้เสียใจมากเลยผูกคอตาย แต่ก่อนที่จะผูกคอตายผู้หญิงคนนี้ขี่มอเตอร์ไซค์ไปที่บ้านของน้าสาวก่อนแล้วทำคุณไสยใส่น้าสาว..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1