เรื่องเล่าจาก 'ตั้น The Shock' เรื่อง 'เตียงนอนตาย' I อังคารคลุมโปง X ตั้น The Shock [ 23 ก.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจาก 'ตั้น The Shock' เรื่อง 'เตียงนอนตาย' I อังคารคลุมโปง X ตั้น The Shock [ 23 ก.ค. 2567]

28 ก.ค. 2024

(Trigger Warning อาจมีเนื้อหาที่แสดงถึงพฤติกรรมรุนแรงทางเพศ เกี่ยวข้องกับศพ และส่งผลกระทบต่อความรู้สึก)

       ‘คุณตั้น The Shock’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 กรกฎาคม 2567) เตรียมตัวขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘เตียงนอนตาย’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย!

       คุณตั้นเล่าว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณอัญญะ’ เรื่องเริ่มต้นที่โรงพยาบาลที่คุณอัญญะทำงานอยู่ ที่แห่งนี้จะมีเตียงหนึ่งที่เป็นตำนาน ใน 4 เดือน มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 48 ศพ เป็นตำนานที่ลือกันว่าผู้ป่วยคนไหนก็ตามที่มานอนเตียงนี้จะไม่รอด

       เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว เริ่มจากมีเวรเปลอยู่ 2 คน ที่จ้างมาทำงานใหม่ชื่อ ‘เสก’ กับ ‘อเนก’ ซึ่งตัวเสกเป็นคนไม่กลัวผี หน้าที่ของเสกคือการเข็นคนไปส่งตามที่ต่าง ๆ แต่อเนกเป็นคนกลัวผี จึงขอทำหน้าที่เป็นเคสย้ายผู้ป่วยไปตามห้องต่าง ๆ

       วันหนึ่ง อเนกเลิกงานและกำลังรอเสกที่เป็นเพื่อนสนิทเพื่อกลับบ้าน ระหว่างนั่งดื่มกาแฟรอ ก็มีคนโหวกเหวกโวยวายว่ามีอุบัติเหตุเคสใหญ่เกิดขึ้น เสกจึงรีบไปบอกอเนกว่าต้องไปช่วย ส่วนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นคือมีรถพยาบาลที่ส่งผู้ป่วยชนเข้ากับรถของชาวบ้าน ทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บเกิน 10 ราย ผู้ป่วยที่อยู่บนรถพยาบาลก็เสียชีวิต พยาบาลก็ได้รับบาดเจ็บ แต่รถชาวบ้านมีผู้เสียชีวิตหลายราย เสกก็ไปช่วยที่ห้องฉุกเฉินอย่างที่เคยทำ แต่อเนกที่ไม่เคยทำก็ไปหลบยืนอยู่ที่มุมห้อง หลบคนนู้นทีคนนี้ทีจนไปชนเตียงข้างหลัง คนอื่นเริ่มเห็นว่าอเนกเกะกะ เสกจึงบอกให้อเนกไปเอาใบส่งตัว แล้วเอาศพที่อยู่ข้างหลังไปส่งห้อง พออเนกได้ยินก็สะดุ้งโหยง เพราะเตียงที่อยู่ข้างหลังคือศพ อเนกจึงไปรับใบส่งตัวและเข็นศพไปตามทาง

       ปกติโรงพยาบาลจะเปิดเพลงบรรเลงให้คนฟัง แต่ระหว่างที่อเนกเข็นนั้น จู่ ๆ ก็มีจังหวะที่เพลงค่อย ๆ เบาลงแล้วก็ดังขึ้นเป็นเพลงปี่พาทย์ แล้วไฟก็หรี่แสงสว่างลง ระหว่างที่เข็นไปก็ได้เห็นลุงคนหนึ่งนั่งอยู่ อเนกคิดในใจว่าคนหรือผี แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าเป็นคน ขณะที่อเนกกำลังเดินผ่านไป ลุงก็ทักว่า

       “หนุ่ม ห้องรับศพไปทางไหน”

       ตัวอเนกที่กำลังไปห้องนั้นจึงตอบลุงว่า “ผมกำลังไป เดินไปด้วยกันละกัน”

       ลุงก็เดินตามหลังมา ปรากฎว่าระหว่างนั้นมีป้าคนหนึ่งเดินสวนออกมา ลุงก็ทักขึ้นมาว่า

       “อ้าวแม้นจะไปไหน”

       ป้าคนนี้เลยตอบว่า “เจอก็ดีแล้ว ถ้าไม่เจอสงสัยคงเร่ร่อนตาย”

       ตอนนั้นตัวอเนกก็รู้สึกว่าลุงกับป้าทักกันแปลก ๆ แต่ก็คิดว่าคงมีอะไร เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็มี 3 คนที่กำลังไปห้องส่งศพด้วยกัน ระหว่างทางที่กำลังเดินไป ลุงกับป้าก็คุยกันต่อประมาณว่า ลูกกับหลานจะทำอย่างไร? จะอยู่ได้ไหม?

       เมื่อไปถึงหน้าห้องส่งศพ อเนกก็ชี้ไปว่าที่นี่ห้องส่องศพ และอเนกก็ไปส่งเอกสารต่าง ๆ จากนั้นอเนกก็เข็นศพเข้าไป พอเข็นเข้าไปก็เจอกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในห้อง ซึ่งพี่คนนี้ชื่อ ‘พี่ยับ’ เป็นรุ่นใหญ่ในโรงพยาบาล พอพี่ยับรับศพไปก็พูดว่า

       “อ้าว ลุงวิเชียรมาแล้วหรอ ป้าแม้นแกรออยู่จะได้ไปด้วยกันเลย”

       แล้วตัวพี่ยับก็เปิดหน้าศพ อเนกพูดอะไรไม่ออก จนเดินถอยไปชนกับเตียงหนึ่งและกำลังจะล้มลงไปนอน พี่ยับบอกว่า

       “หยุด ถ้านอนมึงตายนะ เพราะว่าเตียงนี้ตายมาแล้ว 48 ศพ”

       และพี่ยับยังบอกว่าถ้าอยากรู้เรื่องเตียงนี้พรุ่งนี้ให้มาหา อเนกจึงกลับมาหา พี่ยับก็เล่าให้อเนกฟังว่าเตียงนี้ก่อนที่จะมีคนตาย 48 ศพ เคยมีหนึ่งเคสเป็นผู้หญิงชื่อ ‘น้องเน’ อายุประมาณ 20-25 ปี ซึ่งคนนี้เป็นคนสวยของอำเภอนี้ ปรากฎว่าวันหนึ่งเธอนอนแล้วเธอก็หลับไม่ตื่น จึงเลยกลายเป็นเรื่องแปลกว่าทำไมถึงเสียชีวิตเช่นนี้ คุณหมอพยายามชันสูตรหาว่าเป็นอะไร แล้วก็แจ้งกับทางญาติว่าขอเอาศพไว้ที่นี่ก่อนเพื่อหาสาเหตุ หลังจากรับศพมาก็มานอนปกติ แต่แปลกมากที่ศพนี้เป็นศพที่มารอชันสูตรที่สวยมาก สภาพเหมือนผู้หญิงสวยที่กำลังนอนหลับ

       ในวันแรกที่ศพมาถึง ช่วงเปลี่ยนเวรของคนเฝ้าศพ คนที่เข้ามาเฝ้าต่อรู้สึกว่าสภาพห้องเก็บศพนั้นผิดปกติ คือห้องกระจัดกระจาย และเตียงน้องเนอยู่ไม่ตรงกับตำแหน่งเดิม จนสืบสาวเรื่องไปเจอกล้องวงจรปิดและรปภ.หน้าห้องเก็บศพก็หายไป เมื่อเปิดภาพในกล้องวงจรปิดก็พบว่ามีการข่มขืนศพ และทุกคนก็ตามหาตัวรปภ.แต่ไม่เจอ จนกระทั่งรุ่งเช้า ได้รับแจ้งว่าเจอรปภ.คนนี้แล้ว แต่เจอที่ห้องฉุกเฉิน เพราะมีคนไปพบศพรปภ.ในคืนนั้นซึ่งสาเหตุการเสียชีวิตคือจมน้ำ แต่ที่แปลกคือในมือของรปภ.กำสายชื่อศพของน้องเนไว้ด้วย

       เรื่องนี้ผ่านไปประมาณหนึ่งสัปดาห์ ตัวพี่ยับต้องไปร่วมงานเลี้ยงเกษียณ แล้วกลับบ้านไม่ไหวเพราะต้องเข้าเวร แต่ไม่สามารถเข้าด้านหน้าได้เพราะมีกล้องวงจารปิดที่จะเห็นสภาพที่เมาของพี่ยับ จึงเลือกที่จะเข้าทางหน้าต่างบานเลื่อนที่หลบมุมได้ แต่หน้าต่างของห้องเก็บศพไม่ได้ใช้งานบ่อยก็มักจะมีเสียงดัง พอพี่ยับเปิดเข้าไปก็ดันได้ยินเสียงกุกกักข้างใน จึงเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น พอเข้าไปก็เจอบุรุษพยาบาลคนหนึ่งชื่อ ‘เต้’ เอาเสื้อพาดบ่าเหมือนกำลังแต่งตัว พี่ยับถามว่ามาทำอะไร เต้จึงบอกว่ามาดูเอกสารว่าศพเรียบร้อยดีหรือเปล่า แล้วก็รีบออกไป

       พอเต้ออกไปพี่ยับก็ดูว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่เจอคือผ้าของศพของน้องเนถูกถลกขึ้นและเปลือย ตัวพี่ยับเองก็ไม่กล้าบอกใครเพราะว่ามันจะกระทบต่อตัวเอง แต่เรื่องก็แดงขึ้น เพราะหลังจากนั้น 2 วัน มีคนบอกกันต่อ ๆ ว่าเต้ตาย โดยมีคนบอกว่าเห็นเต้กำลังเดินหนีอะไรบางอย่าง แล้วพยายามจะข้ามถนนและโดนรถกระบะชนเสียชีวิตคาที่ ซึ่งศพของเต้คือศพที่ 2 จากการที่มีคนมาทำแบบนี้กับน้องเน

       หลังจากนั้นเหมือนกับวิญญาณของน้องเนถูกทำร้าย คนในโรงพยาบาลจะเริ่มเห็นน้องเนออกมาเดินในตอนกลางคืน โดยจะเดินไปทั่วเพื่อให้ทุกคนเห็น พอผ่านเรื่องราวนี้ไปอีกประมาณ 2 สัปดาห์ ก็ได้เกิดเรื่องร้ายแรงที่สุดขึ้น คือ ศพน้องเนหาย ทุกคนต่างมึนงงกับเหตุการณ์นี้มาก และวันนั้นไม่ใช่เวรเฝ้าศพของพี่ยับ เมื่อรู้ว่าศพหาย ทุกคนจึงมาไล่ดูกล้องวงจรปิดกัน ภาพที่เห็นคือ กลุ่มวัยรุ่นประมาณ 5 คน ใส่ชุดของคนทำงานในโรงพยาบาล ที่ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน แล้วเข็นศพน้องเนออกทางประตูที่รับศพด้านหลัง จากนั้นก็นำศพของน้องเนใส่ท้ายรถแล้วขับออกไป

       เมื่อทุกคนไล่ตามไป ก็ไปเจอรถของเด็กวัยรุ่น 5 คนจอดอยู่ที่อาคารร้างแห่งหนึ่ง ขณะที่ตำรวจและพยาบาลกำลังขึ้นไปที่อาคารร้างแห่งนี้ ได้มองไปที่อาคารร้าง และเห็นเป็นกองไฟกำลังเผาไหม้ จึงรีบเข้าไปในอาคาร พร้อมกับอุปกรณ์ดับเพลิง เมื่อไปถึงก็พบว่า ศพน้องเนกำลังถูกเผาจนเกรียมและไหม้หมด! ตำรวจจึงสงสัยว่าคนทำหายไปไหน เพราะรถที่ขับมาก็ยังอยู่ที่เดิม ตำรวจจึงพยายามตามหา ผลปรากฏว่า วัยรุ่นทั้ง 5 คนที่นำศพน้องเนมาเผานั้นไม่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ได้ เพราะเสียชีวิตทั้งหมด! บางศพตกบันไดคอหักตาย บางศพถูกแทง ทำให้ไม่สามารถมีใครรู้ได้ ว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากสาเหตุอะไร

       ตัดกลับมาที่ศพของน้องเน ศพของน้องถูกไหม้เกรียมไม่ได้สวยเหมือนเดิม แล้วก็ถูกนำกลับมาที่โรงพยาบาล และทางโรงพยาบาลกลัวว่าญาติของน้องเนจะมาเอาเรื่อง จึงตัดสินใจแจ้งกับญาติว่าศพของน้องเนนั้นเสียชีวิตตามธรรมชาติ โรงพยาบาลจะนำศพไปเผาแล้วนำเถ้ากระดูกมาให้ และเรื่องราวของน้องเนก็จบลงตรงนี้

       แต่เมื่อนำศพน้องเนออกจากเตียงนี้ ก็เท่ากลับว่าตอนนี้เตียงนี้เป็นเตียงเปล่า ที่จะถูกเวียนใช้ต่อในโรงพยาบาล โดยเตียงนี้ได้ถูกดึงไปใช้ในส่วนของผู้ป่วยกึ่งวิกฤต

       เมื่ออเนกได้ฟังเรื่องราวนี้จากพี่ยับ ก็รู็สึกไม่สบายใจเพราะตัวของอเนกเองได้เผลอนอนไปแล้ว พี่ยับจึงบอกว่าให้ทำใจเพราะไม่รู้จะช่วยยังไง อเนกเองจึงตัดสินใจว่า จะตื่นเช้ามาทำบุญทุกวัน เพื่ออุทิศส่วนบุญให้กับน้องเน แล้วกลับมาบอกพี่ยับว่า “ผมทำบุญแล้ว ไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้น”

       แต่ในขณะที่อเนกกำลังเดินออกจากห้องเก็บศพ ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะตามหลังจึงคิดในใจว่า ตัวอเนกเองนั้นจะรอดหรือไม่ เมื่อถึงช่วงสิ้นเดือนเมษายน อเนกรู้สึกว่าเลขที่เตียงของน้องเนน่าเอามาลุ้นโชค ปรากฏว่าอเนกถูกรางวัลจึงนำเงินบางส่วนไปทำบุญให้น้องเน และยังไม่ลืมที่จะนึกถึงพี่ยับคนที่เล่าเรื่องราวนี้ให้ฟัง จึงตั้งใจจะไปเลี้ยงพี่ยับด้วย

       พอไปเรียกพี่ยับที่หน้าห้องพักพนักงานก็ไม่มีเสียงตอบรับ อเนกจึงลองเปิดประตูเข้าไปเห็นพี่ยับนั่งอยู่กลางห้อง อเนกซึ่งไม่ได้คิดสงสัยอะไรจึงรีบเอาอาหารไปจัดวางและกินกับพี่ยับอย่างสนุกสนาน เมื่อมีอาการกรึ่ม ๆ ทั้งสองได้มีการพูดคุยกันมากขึ้น จู่ ๆ พี่ยับก็เริ่มดึงดราม่าด้วยการบอกว่า

       "อเนกพี่ขออะไรสักอย่างได้ไหม"

       อเนกจึงตอบว่า "ถ้าไม่ได้ให้ไปตาย ผมทำได้ทุกอย่างเลยพี่"

       พี่ยับจึงพูดกับอเนกว่า "หากวันหนึ่งพี่ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ ช่วยปลดปล่อยเขาได้ไหม"

       อเนกมีอาการงงและสงสัย ระหว่างนั้นพี่ยับจึงยื่นกำไลข้อเท้าของเด็กพร้อมกับผ้าชิ้นหนึ่งที่เหมือนชุดผู้ป่วย อเนกจึงถามว่าของใคร พี่ยับบอกว่าเป็นของน้องเนทั้งกำไลและชุด อเนกจึงตอบตกลงแบบปัด ๆ เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีอะไร

       หลังจากนั้น 2 - 3 วัน เสกเพื่อนรักของอเนกรู้ว่าอเนกถูกรางวัลที่ได้เลขมาจากเตียงน้องเน จึงขอให้อเนกเลี้ยงแต่อเนกบอกว่า เงินนั้นเหลือน้อยแล้วเพราะนำไปเลี้ยงพี่ยับแล้ว ตัวเสกจึงเงียบไปและถามว่า

       “เลี้ยงพี่ยับไปวันไหน”

       อเนกตอบกลับไป “ว่าประมาณ 2 - 3 วันที่แล้ว”

       เสกถามกลับอีกว่า “ล้อกันเล่นรึเปล่า เพราะพี่ยับตายไปเป็นอาทิตย์แล้ว” เสกอธิบายเพิ่มว่าเพราะตัวเสกเป็นคนเข็นศพพี่ยับออกมาจากรถพยาบาลที่เกิดอุบัติเหตุรถชน ในขณะที่กำลังเข็นเตียงพี่ยับ พี่ยับกลับยิ้มและดูไม่มีสติทั้งที่คนโดนรถชนจะต้องมีบาดแผลตามร่างกายและรู้สึกเจ็บปวด แต่การช่วยพี่ยับไม่เป็นผล พี่ยับเสียชีวิต ส่วนกำไลและผ้าที่พี่ยับฝากไว้กับอเนก อเนกก็ขอให้เสกช่วยนำไปคืนด้วยกัน แต่เสกไม่ว่างที่จะไปด้วย อเนกจึงตัดสินใจนำของไปที่ห้องพี่ยับ โดยนำกำไลไปวางที่หัวเตียงของพี่ยับแล้วพูดว่า

       "ผมไม่รู้จะทำยังไง ผมขอเอามาคืนแล้วกัน"

       ระหว่างที่อเนกกำลังออกจากห้องก็ได้ยินเสียงคนพูดว่า "มึงสัญญากับกูแล้ว ทำไมมึงไม่ทำ"

       หลังจากนั้น อเนกก็ช็อกแล้วหลับไป รู้สึกตัวอีกทีก็เห็นตัวเองถูกมัดอยู่บนเตียงที่กำลังถูกเข็นเข้าโรงพยาบาล เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นพี่ยับชะโงกหน้ามองตัวเองและบอกว่า

       "มึงสัญญาแล้ว มึงต้องช่วยปลดปล่อยเค้า" ย้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น

       จนมาถึงจุดหนึ่ง ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาสัมผัสที่เท้าพร้อมกลิ่นไหม้ เมื่อมองลงไปก็เห็นศพน้องเนกำลังจะคลานขึ้นมาบนตัว และพูดว่า

       “แกต้องช่วยฉัน แกต้องปล่อยฉัน หวยก็ให้แล้ว ไม่อย่างนั้นจะเป็นเหมือนศพอื่น ๆ!”

       อเนกที่นึกอะไรไม่ออกจึงนึกถึงพระคุณพ่อแม่ และตะโกนว่า "แม่ช่วยด้วย" หลังจากนั้นน้องเนก็ค่อย ๆ หายไปพร้อมกับได้ยินเสียงแผ่เมตตาของแม่ เมื่อน้องเนถอยไปแล้วแต่ก็ยังพูดอยู่ว่าให้ช่วย

       เมื่ออเนกฟื้น เสกก็เล่าว่ามีคนเจออเนกสลบอยู่ที่ตึกพนักงาน พยาบาลจึงนำของที่ติดตัวอเนกมาคืนนั่นก็คือกำไลและผ้า อเนกจึงตัดสินใจเก็บไว้กับตัวเพราะไม่รู้ต้องทำอย่างไร แต่ก็ได้คำแนะนำว่าให้นำไปหล่อพระพุทธรูป เพราะถ้าเอาไปไว้กับคนไม่ดี วิญญาณของน้องเนก็จะไม่ถูกปลดปล่อย

       หลังจากนั้นอเนกก็ได้ยินว่าก่อนที่พี่ยับจะเสียชีวิต พี่ยับเดินยิ้มแล้วพูดว่า "ลูก พ่อขอโทษ" แล้วเดินข้ามถนนไปด้วยจึงถูกรถชน ทุกคนสืบสาวราวเรื่องจนไปรู้ว่าในวันที่เผาศพน้องเน คนที่มารับเถ้ากระดูกคือภรรยาเก่าพี่ยับและน้องเนก็คือลูกพี่ยับ และในคืนก่อนที่พี่ยับเมาทุกคนก็สงสัยว่าไปทำอะไรศพน้องเนหรือไม่..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณออโต้ เดอะโกส ‘แอปหาคู่’ l อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [29 เม.ย 2568]

04 พ.ค. 2025

เรื่องเล่าจากคุณออโต้ เดอะโกส ‘แอปหาคู่’ l อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [29 เม.ย 2568]

ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (29 เมษายน 2568) มีเรื่องราวสุดหลอนจาก ‘คุณออโต้’ เมื่อน้องชายของคุณออโต้ได้มีการเล่นเเอปหาคู่จนได้ไปเจอกับเรื่องราวหลอนเเละน่ากลัวที่ทำให้จำไม่เคยลืม หลอนไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ แล้วคุณจะรู้ว่าบางครั้งคนที่เราคุยในเเอปนั้นอาจจะไม่ใช่คนเป็นก็ได้.. ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 7 ปีที่เเล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของน้องชายของคุณออโต้ ที่ชื่อว่า ‘ออฟ’ในช่วงนั้น คุณออฟได้มีการทำงานเป็นหัวหน้าของบริษัทโทรศัพท์เเห่งหนึ่งในภาคอีสาน ซึ่งก็ได้มีการจัดงานเลี้ยงขึ้นในบริษัท มีการกินเลี้ยงกันตั้งเเต่เวลา 4 โมงเย็น ถึง 4 ทุ่ม โดยตัวคุณออฟต้องออกจากงานเลี้ยงมาก่อนเนื่องด้วยมีธุระในตอนเช้าของอีกวัน โดยระยะทางที่คุณออฟต้องขับรถกลับนั้นประมาณ 130 กิโลเมตร ทุุกอย่างก็ดูเหมือนจะปกติ เเต่พอถึงประมาณครึ่งทาง ด้วยความล้าจากการทำงาน ทำให้คุณออฟตัดสินใจเเวะพักที่ปั๊มน้้ำมันเเห่งหนึ่ง ในตอนนั้นเอง เเอปหาคู่ที่คุณออฟเล่นก็ได้มีการเเจ้งเตือนดังขึ้นทำให้คุณออฟได้เข้าไปดูในเเอปนั้น เเละพบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตาโปรไฟล์ทุกอย่างตรงกับสเปคของคุณออฟเป็นอย่างมาก คุณออฟจึงตัดสินใจที่คุยกับผู้หญิงคนนั้นตามประสาหนุ่มโสด จากในตอนเเรกที่คุณออฟอยู่ในอาการง่วง ก็ตื่นในทันทีเมื่อได้คุยกับผู้หญิงคนนั้น เเต่ในขณะที่คุย คุณออฟก็ได้เอ๊ะใจกับประโยคหนึ่งที่ผู้หญิงคนนั้นได้พิมพ์มา เธอพิมพ์มาว่า “พี่เนี่ยชอบทำบุญเนอะ พี่คงจะมีบุญเยอะ” ซึ่งถือเป็นประโยคสนทนาที่ค่อนข้างเเปลกกับคนที่พึ่งจะคุยกัน เเต่ในตอนนั้นคุณออฟคิดเเค่ว่าผู้หญิงคนนั้นคงจะสังเกตุจากโปรไฟล์คุณออฟ หลังจากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็ได้ถามกับคุณออฟอีกรอบว่า “พี่จะไปไหนต่อหรอ” คุณออฟจึงตอบไปว่า “กำลังจะกลับบ้าน” ทางผู้หญิงถามอีกครั้งว่า “พี่ไม่อยากเจอหน้าหนูหรอ” ซึ่งในมุมนี้สามารถมองในเเง่ร้ายได้ว่า ถ้าผู้หญิงคนนี้เป็นนกต่อเพื่อจะล่อให้คุณออฟไปหาที่่หอพัก อาจจะมีการชิงทรัพย์หรือเกิดเหตุร้ายขึ้นได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว คุณออฟก็เริ่มใจอ่อนเพราะผู้หญิงคนนี้ตื้อหลายรอบ คุณออฟจึงได้ทำการบอกลูกพี่ลูกน้องก่อนว่าจะไปรับผู้หญิงคนนี้ไปเที่ยวด้วย เเละในช่วงนั้นตรงกับเทศกาลปีใหม่พอดี ทั้งคู่จึงตกลงกันว่าจะไปเที่ยวที่ผับเเห่งหนึ่ง จากนั้นคุณออฟก็บอกผู้หญิงคนนั้น เเละทำการขับรถไปรับตามโลเคชั่น ระหว่างที่ขับไป สองข้างทางก็มีเเต่ป่า ต้นไม้ เเต่พอใกล้จะถึงจุดหมายทางด้านหน้ากลับมีหอพักเรียงรายอยู่มากมาย พอจอดรถเข้าที่เรียบร้อย คุณออฟก็ถ่ายรูปเเละส่งไปให้น้องชายอีกคน เผื่อจะมีเหตุฉุกเฉินจะได้สามารถมาช่วยได้ทัน ในระหว่างที่คุณออฟกำลังส่งข้อความ ก็ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งมาเคาะที่กระจกรถฝั่งทางด้านคนขับ ในตอนนั้นคุณออฟก็ได้เห็นตัวจริงของผู้หญิงคนนั้นว่าสวยกว่าในรูปอีก ทุกความกังวลได้หายไปในทันที นอกจากนี้ เมื่อสังเกตรอบข้างก็พบว่ามีรถยนต์ และรถมอเตอร์ไซต์จอดอยู่ คงไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้น คุณออฟได้พูดบอกกับผู้หญิงคนนั้นให้ขึ้นรถเพราะตนจะพาไปทานข้าว ผู้หญิงก็ได้ตอบว่า “พี่รอเเปปนึงได้ไหม หนูขอทำงานก่อนต้องส่งพรุ่งนี้เช้า พี่เข้ามานั่งที่ห้องก่อน” ได้ยินดังนั้น คุณออฟก็ตัดสินใจที่จะตามผู้หญิงคนนั้นไป ในจังหวะที่ผู้หญิงคนนั้นเปิดประตูห้อง คุณออฟก็ได้กลิ่นเหม็นอับชื้นลอยออกมาจากภายในห้อง เเต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พอเข้าไปด้านในของห้อง อีกหนึ่งเรื่องที่เเปลกประหลาดคือ ผู้หญิงคนนั้นปิดไฟมืดทั้งห้อง เเต่เปิดเพียงเเค่โคมไฟอันเดียวที่โต๊ะทำงาน คุณออฟนั่งรอผู้หญิงคนนั้นทำงาน เเต่ด้วยความเหนื่อยล้าจากเรื่องงาน ทำให้คุณออฟเผลอหลับไป ในช่วงจังหวะที่หลับไป คุณออฟได้ฝันเห็นคนมากมายยืนล้อมตัวคุณออฟไว้ภายในห้องนั้น ทั้งคนเเก่ เด็ก วัยรุ่น ยืนล้อมเเละพูดว่า “เฮ้ย ไอนี้มันบุญเยอะ ขอบุญจากมันหน่อยดิ” ฝันนั้นทำให้คุณออฟสะดุ้งตื่นขึ้นมา เเละมองรอบ ๆ ห้อง คุณออฟก็เห็นว่าทุกอย่างยังปกติดี ห้องยังเหมือนเดิม ผู้หญิงคนนั้นก็ยังทำงานอยู่เหมือนเดิม คุณออฟจึงได้นอนพักอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะรอให้ผู้หญิงคนนั้นทำงานเสร็จ เเต่สักพัก คุณออฟก็ได้ยินเสียงของน้องผู้หญิงคนนั้น ทำเสียงประมาณว่า ‘โจ๊ะ โจ้ จิง โจ๊ะ’ ด้วยความสงสัย คุณออฟเงยหน้าเพื่อที่จะมองดูจึงได้เห็นว่า ผู้หญิงคนนั้นกำลังทำท่ารำอยู่ พอทำเสร็จก็ได้จดอะไรบางอย่างลงไปในสมุดที่โต๊ะนั้น ตอนเเรกคุณออฟคิดว่าผู้หญิงคนนี้คงเรียนด้านนาฎศิลป์หรืออะไรบางอย่าง เเต่หลังจากที่ผู้หญิงคนนี้รำเสร็จ ผู้หญิงคนนั้นได้หันหน้ามาเเละยิ้มถามกับคุณออฟว่า “พี่ หนูรำสวยรึป่าว?” คุณออฟก็ได้พูดชมเเละเผลอหลับไปอีกครั้ง เวลาผ่านไปไม่รู้นานเท่าไหร่ ผู้หญิงคนนี้ได้เข้ามาสะกิดคุณออฟ เเละพูดบอกว่า “ไปพี่ เสร็จเเล้ว ตอนนี้ทุกเวลาเราสองคนต้องไปเเล้ว” เเต่ตอนนั้นก็เป็นเวลาประมาณ ตี 1 เกือบจะ ตี 2 เเล้ว คุณออฟจึงได้บอกไปว่าตนไม่ไหวเเล้ว เพราะเหนื่อยและเพลีย จึงได้ขอนอนค้างที่นี่ เเล้วในตอนเช้าค่อยไปหาอะไรกินด้วยกัน ผู้หญิงคนนั้นก็ทำหน้าไม่พอใจเเละเดินหายเข้าไปในความมืด จนกระทั่งเวลาประมาณ 6 โมงเช้า คุณออฟตื่นขึ้นอีกครั้งเพราะมีมดเเละเเมลงมากัดคุณออฟ ในตอนที่ลืมตาขึ้น เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้คุณออฟถึงกับต้องตกใจ เพราะตอนที่ตื่นขึ้น คุณออฟไม่ได้อยู่ในหอพัก เเต่กลับนอนอยู่ในตึกร้างที่ยังสร้างไม่เสร็จ ตอนเเรกคุณออฟคิดว่าตนโดนปล้น เเต่พอสำรวจตัวเอง ทุกอย่างก็ยังอยู่ครบ พอมองไปทางที่รถของคุณออฟที่จอดอยู่ คุณออฟก็ถึงกับต้องตกใจอีกครั้ง เพราะว่ารถของคุณออฟจอดอยู่บริเวณดงหญ้าที่สูงมาก เเละไม่ได้มีอาคารหรือหอพักอยู่บริเวณรอบ ๆ เลย พอสำรวจไปเรื่อย คุณออฟจึงได้เห็นว่าในตรงนั้นมีที่เก็บกระดูกของคนตายอยู่ เเละพอมองไปอีกจึงได้รู้ว่าตนอยู่ใกล้กับวัดร้าง เป็นวัดที่เหมือนขาดการดูเเลมานานมาก ๆ คุณออฟจึงรีบทำการขับรถออกมาจากบริเวณตรงนั้น เเละพักตั้งสติที่ร้านขายของชำไม่ใกล้ไม่ไกลก่อน หลังจากจอดพักไม่นาน ก็ได้มีเเม่ค้าคนหนึ่งเดินเข้ามาถามกับตัวคุณออฟว่า “ไอหนุ่ม มาจากไหนเนี่ย” อาจจะเพราะคุณออฟยังใส่ชุดทำงานอยู่จึงโดนถามเเบบนั้น เมื่อตั้งสติได้คุณออฟก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ที่ตนเจอให้กับเเม่ค้าฟัง เเต่เเม่ค้าคนนี้กลับพูดว่า “เจออีกเเล้วหรอเนี่ย” จากนั้น เเม่ค้าก็ได้เล่าให้ฟังถึงประวัติของพื้นที่ตรงนี้ว่า สมัยก่อนพื้นที่ตรงนี้เคยเป็นสถานปฎิบัติธรรม คอยช่วยรักษาคนที่เป็นโรคเอดส์ เเต่เพราะขาดการดูเเลซ่อมเเซมจึงถูกปล่อยให้รกร้าง พอได้ยินเเบบนั้นคุณออฟก็เช็คโทรศัพท์ของตัวเอง เเละได้พบข้อความของน้องชายเกือบ 100 กว่าข้อความ คุณออฟได้โทรกลับไป น้องชายของคุณออฟได้พูดขึ้นว่า “พี่ เมื่อคืนพี่ไปไหนมา เเล้วส่งรูปบ้าอะไรมาให้ผมเนี่ย” คุณออฟตอบไปด้วยความมึนงงว่า “ก็รูปหอพักที่พี่ไปไง” พอดูรูปภาพนั้นอีกที คุณออฟได้เห็นว่ารูปที่ตนส่งไปคือ รูปป่าเเละรูปที่เก็บกระดูกของคนตาย ในตอนนั้นคุณออฟจึงได้ทำการขับรถไปที่หอพักของน้องชาย เพื่อที่จะกลับมาดูสถานที่นี้อีกครั้งด้วยกัน เเละได้พบว่า สถานที่ที่คุณออฟมาในเมื่อคืนก็คือวัดที่ถูกทิ้งร้างไปเเล้ว หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น คุณออโต้ก็ได้ถามกับคุณออฟว่า “เเล้วทำไมเขาถึงบอกว่า มึงมีบุญเยอะวะ” คุณออฟจึงได้เล่าว่า “อีก 2 เดือนในตอนนั้น กำลังจะบวช อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงคนนั้น อยากจะได้ส่วนบุญของก็เป็นไปได้..”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณบอส 'ปริศนาเส้นทางเดินป่าไมล์ 58' l อังคารคลุมโปง X เจน-สาวแอน The Ghost [ 26 ส.ค.2568 ]

13 ก.ย. 2025

เรื่องเล่าจากคุณบอส 'ปริศนาเส้นทางเดินป่าไมล์ 58' l อังคารคลุมโปง X เจน-สาวแอน The Ghost [ 26 ส.ค.2568 ]

นี่คือเรื่องราวปริศนาของนักเดินเทรล เมื่อเขาได้เข้าไปเดินป่าในเส้นทางเดินเท้าที่ยาวที่สุดในโลก แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็ไม่พบความเคลื่อนไหวของเขาอีกเลย เจ้าหน้าที่อุทยานได้ปูพรมค้นหา แต่กลับพบเพียงเต็นท์และข้าวของเครื่องใช้ในสภาพปกติ ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ หรือแม่กระทั่งรอยเท้าของสิ่งใด เขาหายตัวไปได้อย่างไร? มีเบาแสอะไรที่จะช่วยตามหาตัวชายผู้นี้ และ ‘อะไร’ ทำให้เขาหายไป.. หาคำตอบได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (26 สิงหาคม 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจมดดำ’ ในเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ปริศนาเส้นทางเดินป่าไมล์ 58’ เรื่องราวนี้เป็นเรื่องของ ‘เดวิด บาโร’ เขาเป็นนักเดินเทรล ชอบเดินป่า ตั้งแคมป์คนเดียวเป็นส่วนใหญ่ ย้อนกลับไปเมื่อปี 2014 เขาตัดสินใจที่จะไปเดินในเส้นทาง Appalachian Trail ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเท้าที่ยาวที่สุดในโลก คืนก่อนที่จะเดินทาง เขาได้มีการโพสต์ผ่านโซเชียลไว้ว่า “คืนนี้ตั้งใจจะไปตั้งแคมป์ใกล้ไมล์ 58 ก่อนถึงวันพรุ่งนี้ถ้ามีสัญญาณจะไลฟ์ให้ดู” แต่หลังจากโพสต์นี้ก็ไม่มีโพสต์อื่นอัปเดตอีกเลย หลังจากเขาหายตัวไปสักพัก ทางบ้านก็เริ่มเป็นกังวลและเป็นห่วง จึงทำการประสานงานกับ NPS (National Park Service) หรือ หน่วยงานอุทยานแห่งชาติ ให้ส่งกำลังคนเข้าตามหา วันถัดไปในเวลาเช้าตรู่ หน่วยพิทักษ์พันธุ์ป่าได้ออกสำรวจเส้นทางบริเวณไมล์ 58 เพื่อตามหาพิกัดที่เดวิดได้ไปตั้งแคมป์ ผ่านไป 3-4 ชั่วโมงก็พบกับแคมป์ของเขา แต่สิ่งที่แปลกคือสภาพของแคมป์ยังสมบูรณ์ เต็นท์ถูกกางไว้อย่างดี เสื้อผ้าพับเรียบร้อยราวกับไม่เคยมีใครหยิบมาใช้งาน อาหารไฟเบอร์ที่วางอยู่บนโต๊ะยังไม่มีการถูกเปิดออก รวมถึงวิทยุสื่อสารของเขามีการกดค้างเหมือนต้องการส่งสัญญาณสื่อสารกับใครบางคน เมื่อเจ้าหน้าที่เดินสำรวจรอบเต็นท์ก็ไม่พบร่องรอยการต่อสู้ ทุกอย่างอยู่ในสภาพปกติ จึงทำการนำวิทยุสื่อสารของเขาไปย้อนฟังว่าเหตุการณ์ก่อนที่จะหายตัวไป เขาได้ติดต่อหรือสื่อสารกับใครบ้าง แต่ก็พบกับความแปลกอีกครั้งนั่นก็คือเสียงในวิทยุสื่อสารเป็นเสียงฝนตกกระหน่ำซ่าสลับกับเสียงหอบหายใจ เจ้าหน้าที่จึงสันนิษฐานว่าเป็นเสียงของเดวิดที่กำลังกลัวบางอย่างอยู่ ต่อมา มีเจ้าหน้าที่พบสมุดจดบันทึกของเขาอยู่ในกระเป๋าด้านข้างเต็นท์จึงหยิบขึ้นมาอ่าน แล้วพบว่าสมุดบันทึกนี้มีทั้งหมด 4 หน้า หน้าที่ 1 คือ รายละเอียดเส้นทางที่จะเดินทางต่อหลังจากตั้งแคมป์ตรงนี้ หน้าที่ 2 คือ รายการอาหารที่จะต้องจัดสรรให้เพียงพอกับการเดินป่าครั้งนี้ แต่สิ่งที่แปลกและแตกต่างออกไปคือหน้าที่ 3 และ 4 ซึ่งเป็นบันทึกเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนที่เขาจะหายตัวไป หน้าที่ 3 ย่อหน้าแรก เขียนไว้ว่า “คืนนี้ฝนตกหนักมาก รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเดินรอบเต็นท์ แต่จากประสบการณ์ที่เดินเทรลมาเยอะ สามารถบอกได้ว่านี่ไม่ใช่เสียงของกวาง ไม่ใช่หมาและไม่ใช่สัตว์ป่า แต่เป็นเสียงเหมือนคนเดินลากขาอยู่รอบเต็นท์” ย่อหน้าที่สอง เขียนไว้ว่า “ผมไม่เปิดไฟ เพราะผมไม่อยากให้มันรู้ว่าผมอยู่ในนี้” ส่วนหน้าที่ 4 เป็นหน้าที่ตกใจที่สุด ซึ่งถูกบันทึกไว้ว่า “มันปลอมเสียงฝนได้” เขาเขียนประโยคนี้ซ้ำถึง 7 ครั้ง ราวกับกำลังหวาดกลัว จริง ๆ แล้วแม้ในวิทยุสื่อสารจะมีเสียงฝนตกหนัก แต่ตั้งแต่วันที่เขาหายตัวไปจนถึงวันที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ไม่มีรายงานว่าบริเวณนั้นมีฝนตกแต่อย่างใด อากาศปลอดโปร่ง ใบไม้แห้ง พื้นดินไม่เปียกชุ่ม หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จึงกระจายกำลังคนเพื่อค้นหาเพิ่มอีก 35 คนไปตามแนวพื้นที่ ใช้ทั้งสุนัขดมกลิ่น โดรน และอุปกรณ์จับความร้อน แต่ก็ไม่พบตัวเดวิด ทั้งนี้ บริเวณโดยรอบก็ไม่มีรอยเท้าที่แสดงให้เห็นถึงการวิ่งหลบหนี การที่เดวิดหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้ ทำให้การตามหาตัวยากขึ้นไปอีก นอกจากนี้พื้นที่ตรงนั้นยังเป็นพื้นที่เงียบสงัด ถึงขั้นที่ว่าเหยียบอะไรก็มีเสียงดังขึ้นจนได้ยินไปทั่วบริเวณ เจ้าหน้าที่ปูพรมค้นหาผ่านไปอีก 1 วัน ก็พบกับกล้องโกโปรที่ถูกใบไม้ทับเอาไว้และฝังอยู่ใต้ต้นไม้อีกที ซึ่งห่างออกไปจากพื้นที่ตั้งแคมป์ประมาณ 300 เมตร เนื้อหาภายในกล้องมีคลิปความยาว 2.48 นาที เมื่อเปิดดูก็ได้ยินเสียงฝนซ่าดังวนลูปไป เจ้าหน้าที่ได้นำไปให้ผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์เสียงฟัง ก็ได้รู้ว่ามีความผิดปกติเหมือนมีคนจงใจส่งสัญญาณอะไรบางอย่างเพื่อหลอกและก่อกวนให้คุณเดวิดนั้นสับสน เสียงซ่าดังยาวนานถึง 2 นาทีแล้วหยุด หลังจากนั้นเป็นเสียงซู่ซ่าที่ฟังไม่ออก หากต้องการถอดความต้องใช้วิธีสโคปเส้นความคมชัดของเสียงเพื่อให้ออกมาเป็นรูปประโยค จึงจะจับใจความได้ และประโยคนั้นก็คือคำว่า.. “เราเห็นนายแล้ว นายคิดว่าจะมุดในถุงนอนได้ตลอดหรอ” หลังจากนั้นคลิปก็ตัดและเสียงก็หายไป เจ้าหน้าที่กระจายตัวค้นหานับเดือนก็หาไม่เจอ จึงประกาศเป็นบุคคลหายสาปสูญเพราะไม่เจอเบาะแสอะไรที่จะตามต่อได้ เรื่องราวผ่านไปเป็นเวลา 3 ปี มีนักเดินป่า 2 คนพบกระดูกมนุษย์ส่วนท่อนแขนในเส้นทางไมล์ 58 จึงนำลงมาให้เจ้าหน้าที่ได้พิสูจน์ DNA เพื่อระบุตัวตน เมื่อทำการตรวจสอบก็พบว่าตรงกับ DNA ของเดวิด แต่เมื่อตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนดูแล้วกลับพบว่า กระดูกชิ้นนี้ไม่เหมือนกระดูกที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมา 3 ปี เนื่องจากไม่มีร่องรอยการย่อยสลายตามธรรมชาติ ไม่มีตะไคร่และหินปูน แต่เหมือนกระดูกชิ้นใหม่ที่ถูกนำมาวางไว้ไม่เกิน 1 สัปดาห์ และมีการค้นพบกระดูกเพียงแค่ชิ้นส่วนแขนเท่านั้น จึงไม่สามารถระบุว่าเป็นผู้เสียชีวิตได้ ทำให้ปัจจุบันเดวิดยังคงเป็นผู้สูญหายต่อไป นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังสันนิษฐานเพิ่มเติมว่าจากหลักฐานคลิปเสียงและสมุดโน้ตของเขานั้น เป็นไปได้ว่าอาจจะมีสิ่งมีชีวิตอื่น เช่น สัตว์นักล่าที่พยายามเลียนแบบปล่อยเสียงคลื่นความถี่เพื่อให้เหยื่อสับสนและหลอกล่อเหยื่อ แต่จนถึงตอนนี้ คดีนี้ก็ยังคงเป็นคดีที่ยังปิดไม่ได้ต่อไป..เขียน: กัญญาพร จันทร์ลอยเรียบเรียง: วันทนีย์ ไชยชาติภาพ: กิตติพงษ์ นาคทอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

ห้องรวมความหลอน!! เรื่องราวของคนไข้ห้องรวม ที่ห้ามเรียกพยาบาลกลางดึก เพราะไม่รู้ว่า ที่เดินมาจะเป็นคนหรือผี!!

26 ม.ค. 2024

ห้องรวมความหลอน!! เรื่องราวของคนไข้ห้องรวม ที่ห้ามเรียกพยาบาลกลางดึก เพราะไม่รู้ว่า ที่เดินมาจะเป็นคนหรือผี!!

ต้องแอดมิทนอนห้องรวมที่โรงพยาบาล แต่บรรยากาศของคนไข้ที่นี่แปลกชอบกล เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับ ‘คุณไก่’ โดย ‘ครูตรี’ ได้นำเรื่องนี้มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 มกราคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านเลย คุณไก่เล่าว่า ย้อนไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา คุณไก่ไม่สบาย อาหารเป็นพิษ มีอาการอาเจียน ท้องเสีย มีไข้สูง แฟนคุณไก่จึงตัดสินใจพาไปโรงพยาบาลใกล้บ้านหมอสั่งให้คุณไก่แอดมิทเพราะมีไข้ขึ้นสูง คุณไก่จึงขอห้องพิเศษเพื่อที่จะให้แฟนอยู่ด้วยได้ แต่ทางโรงพยาบาลแจ้งว่าห้องพิเศษเต็มหมดทุกห้อง เหลือแค่ห้องรวมที่มีเตียงว่าอยู่เพียงแค่ 2 เตียง คุณไก่จึงตัดสินใจพักอยู่ที่ห้องรวม บุรุษพยาบาลเข็นรถที่คุณไก่นั่ง เข้าไปยังห้องพักรวม คุณไก่บอกว่า “ตอนไปถึงหนูแทบอยากจะกลับ ต่อให้ต้องคลานกลับก็อยากกลับ” ด้วยความที่เป็นโรงพยาบาลเล็ก ๆ แสงไฟก็ไม่ได้มากมายนัก ภายในห้องพักรวม จะมีทั้งหมด 8 เตียง แบ่งเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งละ 4 เตียง และกั้นระหว่างเตียงด้วยผ้าม่าน จากที่คุณไก่สังเกตุ มีเตียงว่างอยู่ 2 เตียง คือเตียงที่ 2 จากฝั่งขวา และเตียงในสุดฝั่งซ้าย คุณไก่ได้ไปนอนที่เตียงฝั่งขวา หลังจากคุณไก่ได้เตียงนอน แฟนของคุณไก่ก็บอกว่า “เฝ้าไม่ได้นะ เพราะมันเป็นห้องรวม และที่สำคัญตอนนี้มันดึกแล้ว เราต้องกลับแล้ว” หลังจากแฟนคุณไก่กลับไป คุณไก่ก็นอนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็มีพยาบาลเดินเข้ามาเช็คคนไข้แต่ละเตียงจนเสร็จแล้วก็เดินออกไป คุณไก่ก็นอนเล่นต่อจนได้ยินเสียงเตียงข้าง ๆ ไอหนักมาก คุณไก่จึงลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า “ขอโทษนะคะ ให้หนูเรียกพยาบาลให้ไหม” หลังจากพูดจบ เสียงไอขอเตียงฝั่งขวาก็ค่อย ๆ เบาลงเหลือเพียงเสียงไอในลำคอ คุณไก่ก็เอนตัวลงนอนต่อ แต่ด้วยอาการอาหารเป็นพิษกำเริบ จึงทำให้ปวดหนักต้องไปห้องน้ำและต้องเข็นน้ำเกลือไปด้วย ทำให้ไปห้องน้ำไม่ทัน คุณไก่ก็ใช้เวลาพอสมควรในการจัดการความเรียบร้อยของตัวเองจนเสร็จจึงกลับมาที่เตียง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเตียงสุดท้ายที่ว่างอยู่มีผ้าม่านปิดแสดงว่ามีคนมาอยู่แล้ว หลังจากคุณไก่มาถึงเตียงก็นอนเช่นโทรศัพท์จนเผลอหลับไป มาสะดุ้งตื่นเพราะเสียงไอจากเตียงเดิมข้าง ๆคุณไก่จึงลุกขึ้นเปิดผ้าม่านเตรียมจะเรียกพยาบาล แต่สายตาไปเห็นคุณยายนั่งอยู่บนเตียง นั่งจ้องเตียงข้างคุณไก่ หันมาหาคุณไก่แล้วบอกว่า “จุ๊ จุ๊ จุ๊ ผี ๆ” คุณไก่สังเกตุเห็นว่ามีการเลื่อนผ้าม่านออก คุณยายคนนั้นก็บอกอีกเหมือนเดิมว่า “จุ๊ จุ๊ จุ๊ ผี ๆ” คุณไก่จึงปิดผ้าม่านของเตียงตัวเองและนอนลง สักพักหนึ่งมีเสียงเคาะผ้าม่านจากทางฝั่งซ้ายและมีมือเลื่อนผ้าม่านออก เจอคุณป้าคนหนึ่งบอกว่า “หนู นอนไปเหอะ อย่าอะไรเลย พักผ่อน ๆ เดี๋ยวก็เช้าแล้ว” คุณไก่ตัดสินใจนอน เอาผ้ามาคลุมและหลับไป มารู้ตัวอีกทีนึงคือแฟนมาปลุก ระหว่างที่คุณไก่เล่าเรื่องทุกอย่างให้แฟนฟัง คุณหมอก็เดินมาตรวจคนไข้แต่ละเตียง จนมาถึงเตียงคุณไก่ คุณหมอบอกว่า “หลังจากให้น้ำเกลือไปคืนนึงแล้ว อาการดีขึ้น วันนี้ก็กลับบ้านได้แล้ว” คุณไก่จึงรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แฟนก็เก็บของที่เตียงให้ หลังจากกลับมาจากห้องน้ำ เห็นคุณหมอกำลังตรวจคนไข้เตียงข้าง ๆ ก็เบาใจว่าเป็นคนที่อยู่เตียงนั้นไม่ใช่ผี ก่อนกลับ คุณไก่ก็หันไปเห็นคุณยายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามและเดินไปไหว้ เพื่อที่เวลาหันกลับมาจะได้เห็นคนไข้เตียงข้าง ๆ เรียกได้ว่าเป็นการเนียนแอบดู คุณไก่ก็เดินไปลาคุณยายและหันหลังกลับมา เห็นคุณตาที่มีอายุมากนอนอยู่เตียงข้าง ๆ (เตียงที่ต้องการจะแอบเนียนดู) ก็เดินมาหาแฟนกำลังจะกลับ ก็เห็นคุณป้าเตียงข้าง ๆ ที่เตือนเมื่อคืนนี้ แล้วจึงเดินไปบอกว่า ”สวัสดีค่ะคุณป้า หนูกลับแล้วนะคะ“ ป้าก็บอกว่า “ก็บอกแล้วนอนไปเดี๋ยว เช้าแล้วก็ได้กลับ” คุณไก่ก็เกิดคำถามอยู่ในใจว่า ทำไมถึงย้ำให้นอน คุณไก่เลยถามป้าไปว่า “ป้า หนูถามหน่อยสิ ทำไมถึงเชียร์ให้หนูนอนจังเลยอะ มีอะไรหรอป้า ป้าบอกหนูหน่อยสิ” คุณไก่ตื้อจนป้ายอมบอก ป้าเล่าให้ฟังว่า “ที่นี่เป็นโรงพยาบาลเล็ก ๆ และมีพยาบาลคนหนึ่ง ที่ต้องมาเข้ากระดึก กำลังจะมาที่โรงพยาบาล แต่โดนรถเบียด จนมอเตอร์ไซค์ล้มแล้วหน้าฝั่งซ้ายไถลไปกับพื้น แต่ปรากฏว่า มีหลาย ๆ คน เห็นพยาบาลคนนี้ มาเดินตรวจคนไข้ตามปกติทั้งที่หน้ายังเละ โดยเฉพาะก่อนที่จะปิดห้องจะมีพยาบาลเดินเข้ามาเช็ด บางวันก็ไม่ใช่พยาบาลจริง แต่เป็นพยาบาลคนที่หน้าเละเดินเข้ามาตรวจห้อง คนที่รู้เรื่องราวนี้ก็จะปิดผ้าม่านตรงปลายเท้าตลอด” ครูตรียังเล่าเสริมอีกว่า “เคยมีคนไข้เรียกพยาบาลเพราะหายใจไม่ออกและนอนรอพยาบาลเดินมา ปรากฏว่าเป็นพยาบาลที่หน้าฝั่งซ้ายเละเดินมา บ้างคนก็เจอเข็นรถอยู่ในโรงพยาบาล” นั่นหมายความว่าคนไข้ทั้งหมดในห้องเตียงรวมที่คุณไก่เจอนั้น เป็นคนไข้ปกติ แต่พยาบาลที่เดินเข้ามา อาจจะเป็นพยาบาลที่เป็นคนจริง ๆ หรือไม่ก็อาจจะเป็นผีก็ได้ เพราะในคืนนั้น หลังจากที่คุณไก่ได้ยินเสียงไอ ก็อาสาเรียกพยาบาลให้ แต่คุณยายกลับบอกว่า “จุ๊ จุ๊ จุ๊ ผี ๆ” ก็เพราะกลัวว่าอาจจะเป็นวิญญาณของพยาบาลหน้าเละที่เสียชีวิตไปแล้วมาเดินตรวจอาการก็เป็นได้..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากอาร์ต ‘สุสานบ้านเช่า’ l อังคารคลุมโปง X อาร์ต คืนลอยอังคาร [ 7 ต.ค.2568 ]

20 ต.ค. 2025

เรื่องเล่าจากอาร์ต ‘สุสานบ้านเช่า’ l อังคารคลุมโปง X อาร์ต คืนลอยอังคาร [ 7 ต.ค.2568 ]

ครอบครัว 4 คน ประกอบไปด้วย พ่อ แม่ พี่ และน้อง ได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านเช่าที่เป็นไม้และมีใต้ถุน บ้านหลังนี้มีห้องน้ำอยู่นอกตัวบ้าน คืนหนึ่ง พี่ชายปวดปัสสาวะ เขาเลือกที่จะทำธุระกลางบ้าน โดยให้น้ำไหลลงรูผ่านพื้นไม้ลงไปยังใต้ถุน และนี่คือจุดเริ่มต้นของความหลอนที่จะตามหลอกทุกคนในบ้าน ถึงขั้นเอาชีวิตของคนในบ้านไปด้วย! สามารถติดตามไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง x อาร์ต คืนลอยอังคาร’ (7 ตุลาคม 2568) เรื่องนี้ถ่ายทอดโดย 'คุณอาร์ต คืนลอยอังคาร' ซึ่งได้ฟังมาจาก 'คุณกิ๊บ น้ำมันผี' เขาเล่าว่าได้เรียกรถแท็กซี่คันหนึ่งเพื่อที่จะกลับบ้าน เมื่อคุณกิ๊บขึ้นรถ ลุงแท็กซี่ก็ถามขึ้นมาว่า “เห้ย หนุ่ม เอ็งมาทำอะไรที่ตึกนี้เนี่ย” คุณกิ๊บก็ได้ตอบกลับไปว่า “ผมมาอัดรายการเรื่องผี” จากนั้นลุงแท็กซี่ก็ชวนคุยเพื่อให้บรรยากาศระหว่างทางกลับบ้านไม่เงียบเหงาจนเกินไป “ลองฟังเรื่องลุงมั้ยล่ะ เผื่อจะเอาไปเล่าในรายการอื่นได้” ลุงแท็กซี่แนะนำตัวเองว่าตนชื่อ ‘ต๋อง’ และเล่าว่า.. ย้อนกลับไปเมื่อห้าสิบปีก่อน ตอนนั้นลุงต๋องมีครอบครัวที่อยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 คน มี พ่อ แม่ ลุงต๋อง และน้องชาย ครอบครัวทำอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ทำให้ต้องย้ายที่อยู่บ่อยครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ครอบครัวลุงต๋องได้ย้ายไปอยู่ทางภาคใต้ที่บ้านเช่าหลังหนึ่ง เป็นบ้านไม้ยกสูงติดริมคลอง ใต้บ้านจะเต็มไปด้วยโคลนหรือขี้เลน ด้านหลังเป็นพื้นที่กว้างให้เด็กวิ่งเล่นกันได้ บ้านหลังนี้เป็นบ้านมีชั้นเดียว ห้องน้ำตั้งอยู่ด้านนอก และในบ้านมีสองห้องนอน หนึ่งห้องโถง และหนึ่งห้องครัว จนกระทั่งคืนหนึ่ง ลุงต๋องในวัยเด็กรู้สึกปวดปัสสาวะ จึงตื่นขึ้นมากลางดึก แต่ไม่กล้าไปเข้าห้องน้ำเพราะห้องน้ำอยู่นอกตัวบ้านและบรรยากาศตอนกลางคืนนั้นน่ากลัว ลุงต๋องจึงตัดสินใจเดินมาที่กลางบ้าน ก็ได้เห็นว่าที่พื้นมีรู เหมือนตะปูหลุดออกไป ลุงต๋องจัดการดึงออก และทำธุระตรงนั้นด้วยความมักง่าย เมื่อทำธุระเสร็จ ก็กลับเข้ามานอนในห้อง ลุงต๋องฝันว่าในบ้านที่ตนเองอยู่ มีผู้ชายแก่คนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วก็ถามว่า ‘เห้ยไอหนุ่ม เอ็งเป็นใครเนี่ย’ ลุงต๋องตอบกลับไปว่า ‘ผมมากับพ่อครับ ผมมาอาศัยอยู่ที่นี่’ ชายแก่เอ่ยไล่ตะเพิดให้ออกไป เพราะที่นี่เป็นบ้านของเขา ลุงต๋องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะความกลัว แต่ตัวลุงต๋องก็ยังไม่เล่าให้พ่อแม่ฟัง เรื่องราวผ่านไปจนกระทั่งกลางดึกคืนหนึ่ง เขาปวดปัสสาวะอีกครั้ง จึงคิดว่าไปที่ประจำตรงนั้น แต่ตอนที่ปล่อยน้ำลงไป ก็ได้ยินเสียงน้ำกระทบที่ต่างออกไป เป็นเสียงเหมือนน้ำกระทบกับอย่างอื่นที่ไม่ใช่โคลน ด้วยความอยากรู้ ลุงต๋องจึงชะโงกหน้ามองผ่านรูนั้นลงไปที่ช่องข้างล่าง ในความมืดนั้นมีผู้ชายแก่นั่งอยู่ ชายแก่เอากระป๋องมารองรับน้ำนั้น ด้วยความตกใจกับสิ่งที่เห็น ลุงต๋องก็รีบวิ่งกลับไปที่ห้อง แต่ก็ได้ยินเสียงจากข้างล่างตะโกนขึ้นมาว่า ‘มึงมาเยี่ยวรดหัวกูทำไม’ ลุงต๋องเปิดประตูห้องนอนเข้าไป น้องชายที่ควรจะนอนอยู่กลับไม่อยู่บนเตียง พอมองซ้ายมองขวาอย่างลนลานบวกกับความกลัวในใจ กลายเป็นว่าน้องชายไปนอนอยู่ที่มุมเตียงแทน ลุงต๊องเห็นดังนั้นก็รีบถามน้องชายว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นน้องชายก็ชี้ไปที่หน้าต่าง พอมองตามไปก็เห็นว่ามีผู้หญิงแก่คนหนึ่งกำลังนั่งยองอยู่บนวงกบหน้าต่างพร้อมกับเท้ามือจับเอาไว้ ลุงต๊องร้องลั่นดังออกมา พ่อกับแม่รีบเข้ามาดู พร้อมกับฟังเรื่องทั้งหมด แต่ท่านก็ยังไม่เชื่อ เช้าวันต่อมา พ่อก็ออกไปทำงาน ส่วนแม่ก็เป็นแม่บ้านคอยดูแลเด็ก ๆ อยู่ที่บ้าน ในขณะที่กำลังทำอาหารอยู่นั้น แม่ก็รู้ราวกับมีคนเดินวนไปมาอยู่ในบ้านตลอด แต่พอหันไปมองก็ไม่พบอะไร ตกดึกมา แม่ก็ฝันว่ามีผู้ชายกับผู้หญิงคู่หนึ่งที่ค่อนข้างมีอายุเดินเข้ามาหาแล้วต่อว่า ‘เอ็งสอนลูกยังไง ให้ให้มาวิ่งเหยียบหัวอยู่ได้ ทำไมไม่สอนลูกเลย แล้วเป็นใครมาอยู่ในบ้านนี้ได้ยังไง’ พอจบประโยคไม้ของบ้านก็ลั่น แม่สะดุ้งตื่นเพราะเสียงไม้ ทำให้นึกย้อนไปถึงเรื่องที่ลูกเล่าให้ฟัง แม่จึงปรึกษากับพ่อว่าจะไปถามเจ้าของบ้านว่าที่นี่มีอะไรหรือไม่ เมื่อพ่อไปถามก็ได้ใจความว่าเขาเป็นเพียงคนดูแล ส่วนเจ้าของไม่ได้อยู่แล้ว แต่บ้านนี้ไม่มีอะไร ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ได้ยินดังนั้นครอบครัวของลุงต๊องก็ทำอะไรไม่ได้ จึงใช้ชีวิตอยู่กันต่อไป แต่มีอยู่วันหนึ่ง ลุงต๋องป่วยหนักมาก แม่ก็หายาให้กิน และคิดว่าเป็นเพียงอาการไข้ธรรมดาแต่พอผ่านไป 2-3 วัน ก็ยังไม่ดีขึ้น จึงตั้งใจว่าจะพาไปหาหมอ แต่ก่อนที่จะได้ไปแม่ก็ฝันอีกว่า ผู้หญิงแก่กับผู้ชายแก่เข้ามาในบ้านและไล่พวกเขาให้ออกไป พร้อมกับทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ‘ถ้าไม่รีบออกไปในสองวัน จะเอาลูกไปอยู่ด้วยนะ’ แม่นำความฝันไปเล่าให้พ่อฟัง แต่ก็ยังไม่สามารถย้ายบ้านได้ พ่อบอกให้รออีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ให้งานเสร็จเรียบร้อยก่อน นั่นทำให้แม่เป็นกังวลมาก เพราะกลัวว่าความฝันจะกลายเป็นเรื่องจริง ในเมื่อไม่สามารถย้ายบ้านได้ในทันที และลุงต๊องยังไม่หายจากอาการป่วย แม่จึงพาลุงต๊องไปหาหมอ จากนั้นอาการไข้ก็หาย พ่อที่เห็นเช่นนั้นก็บอกว่า “นี่ไง มันไม่มีอะไร ก็ใช้ชีวิตอยู่มาจนครบกำหนดสองวัน ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น” จนเกือบวันที่เจ็ด พ่อพาลูกไปตลาด แต่ในระหว่างที่กำลังขับรถกลับบ้าน น้องคนเล็กก็กระแอมเหมือนอะไรติดคอ และแถวนั้นอยู่ใกล้โรงพยาบาลพอดี จึงได้ไปหาหมอ หมอก็ค่อย ๆ ล้วงคอ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เพราะน้องคนเล็กเสียชีวิตตรงนั้นอย่างกะทันหัน สิ่งที่ติดคอคือดินขี้โคลนเต็มคอ ไม่มีใครสามารถให้คำตอบในเรื่องนี้ได้ว่าโคลนนั้นมาอยู่ในคอของน้องได้อย่างไร หลังจากเหตุการณ์นั้น พ่อก็ได้ถามกับคนดูแลบ้านอีกครั้ง ท้ายที่สุดเขาก็ยอมสารภาพว่า เจ้าของบ้านหลังนี้เสียชีวิตไปแล้ว สามีเสียชีวิตจากโรคประจำตัว ส่วนภรรยาตรอมใจ ศพของทั้งคู่ไม่ได้ถูกเผา แต่ฝังอยู่หลังบ้าน บริเวณที่เด็กวิ่งเล่นกัน ซึ่งเมื่อสังเกตดูจะเห็นว่าหลังบ้านมีลูกระนาดสองอันที่นูนขึ้นมา นั่นก็คือหลุมศพของเจ้าของบ้านนั่นเอง พอจัดงานศพเสร็จ กลางดึกแม่ก็ฝันอีกครั้ง เห็นเป็นชายแก่หญิงแก่ มาบอกว่า ‘กูเอาลูกมึงมาแล้วนะ’ และยังเห็นผู้ชายคนนั้นดึงคอเสื้อลูกตัวเองให้มาหาเธอ แม่สะดุ้งตื่นขึ้นมาเจอพ่อที่กำลังนั่งตัวสั่นอยู่ พ่อเองก็เล่าว่าฝันเหมือนกัน พวกเขาไม่สามารถทำอะไรให้น้องได้เลย นอกจากทำบุญอย่างหนัก และออกมาจากบ้านหลังนั้น เวลาล่วงเลยผ่านมาเป็นสิบปี ลุงต๋องอายุประมาณ 17 ปี เขาฝันว่าน้องชายมาหา มาขอบคุณที่คอยทำบุญให้เขามาตลอดสิบปี วันนี้เขารอดแล้ว เขาหลุดพ้นแล้ว และหลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยฝันถึงน้องชายอีกเลย และนี่คือเรื่องราวของลุงคนขับแท็กซี่ที่สูญเสียน้องชายไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1