พ่อแม่ใจสลาย.. ลูกสาวพลัดตกน้ำเสียชีวิต! มาเข้าฝันชาวบ้านบอกว่า “เขาไม่ให้หนูมา” เชิญวิญญาณกลับบ้านหลายครั้งก็ไม่เป็นผล จนได้มาดูดวง ถึงรู้ความจริง!

อังคารคลุมโปง RECAP

พ่อแม่ใจสลาย.. ลูกสาวพลัดตกน้ำเสียชีวิต! มาเข้าฝันชาวบ้านบอกว่า “เขาไม่ให้หนูมา” เชิญวิญญาณกลับบ้านหลายครั้งก็ไม่เป็นผล จนได้มาดูดวง ถึงรู้ความจริง!

21 ธ.ค. 2023

       ฟังเรื่องสยองจากเรื่อง ‘ลูกสาวมึง กูขอนะ’ โดย ‘คุณขวัญ’ ไปพร้อมกับ ‘ดีเจมดดำ’ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในรายการอังคารคลุมโปง X (19 ธันวาคม 2566) เรื่องจะหลอนแค่ไหน ไปอ่านกันเลย!

       จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อนสมัยนั้นคุณขวัญมีอาชีพเป็นหมอดู และมีโอกาสได้เดินทางไปดูดวงที่ต่างอำเภอให้กับลูกดวงที่นัดไว้ เมื่อชาวบ้านละแวกนั้นทราบข่าวว่ามีหมอดูมาที่หมู่บ้านก็ให้ความสนใจ จึงได้ต่อคิวเพื่อดูดวงด้วย

       หลังจากที่ดูดวงให้ลูกดวงเสร็จก็เป็นคิวของสามีภรรยาคู่หนึ่ง ชื่อ ‘คุณโบว์’ และ ‘คุณแบงค์’ (นามสมมุติ) คุณแบงค์ดูดวงก่อนเป็นลำดับแรก แต่ยังไม่ทันได้เริ่ม คุณขวัญกลับเห็นเป็นภาพเด็กผู้หญิงผมสั้น ใส่เสื้อสีเขียวมะนาว ยืนบริเวณบ่อน้ำ และกำลังจ้องมองไปตรงนั้น เธอยืนนิ่ง และไม่ได้พูดอะไร คุณขวัญเห็นเช่นนั้น จึงถามกับคุณแบงค์ว่ารู้จักใครที่มีลักษณะแบบนี้หรือไม่ หลังจากที่คุณแบงค์ได้ยินคำถามก็เงียบไปสักพัก พร้อมกับน้ำตาคลอ จากนั้นน้ำตาก็ไหลออกมา คุณแบงค์เล่าว่า “ลูกสาวผมเองครับ น้องจมน้ำเสียชีวิตเมื่อปีที่แล้ว” จากนั้นก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับลูกสาวให้คุณขวัญฟังว่า คุณโบว์ตั้งครรภ์ได้ 8 เดือน เป็นการท้องลูกคนแรก คุณโบว์รู้สึกปวดท้องมาก รุ่งขึ้นจึงเธอจึงรีบไปหาหมอเพื่อสอบถามอาการเบื้องต้น ปรากฏว่าคุณหมอแจ้งว่าลูกมีภาวะหัวใจล้มเหลว เนื่องจากขาดออกซิเจนเฉียบพลัน ซึ่งคุณหมอได้วินิจฉัยว่าเกิดจากสาเหตุสายรกพันคอ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกของคุณโบว์เสียชีวิตไป

       หนึ่งปีผ่านไปหลังจากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น คุณโบว์ได้ตั้งครรภ์อีกครั้ง ตอนนั้นอายุครรภ์ได้ 4 เดือน คุณโบว์มีอาการปวดท้องซ้ำอีกครั้ง แต่เธอคิดว่าอาจจะเป็นเพียงอาการปวดท้องธรรมดา จึงตัดสินใจเข้าไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ แต่ปรากฏว่าในระหว่างที่เธอกำลังนั่งบนชักโครก เธอได้แท้งลูกอีกคนออกมาทันที! เธอตกใจมาก และรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

       เรื่องราวร้าย ๆ ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้จิตใจสามีภรรยาคู่นี้เศร้าหมอง แต่ไม่นานคุณโบว์ก็ได้ตั้งครรภ์อีกครั้งเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งครั้งนี้เธอคลอดได้ตามปกติ น้องเป็นเด็กผู้หญิงชื่อว่า ‘น้องน้ำ’ (นามสมมุติ) ชีวิตช่วงนั้นกำลังไปได้ดี จนน้องน้ำอายุได้ 7 ขวบ

       วันหนึ่ง น้องน้ำได้ไปเล่นกับเพื่อน เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทกัน พวกเขาไปที่ฟาร์มหมูในวันหยุด และในวันเดียวกัน ขณะที่คุณแบงค์และคุณโบว์กำลังจะออกไปขายของ จึงคิดว่าจะแวะรับลูกสาวไปด้วย แต่วันนั้นเป็นวันหยุด น้องน้ำอยากเล่นกับเพื่อนมากกว่าจึงปฏิเสธที่จะไปกับพ่อแม่ในวันนั้น

       2-3 ชั่วโมงต่อมา คุณโบว์ได้รับโทรศัพท์จาก ‘แม่นิด’ (นามสมมุติ) แม่ของคุณแบงค์ พูดกับเธอว่า “น้องน้ำพลัดตกน้ำ และยังไม่พบร่าง” คุณโบว์ได้ยินเช่นนั้น ก็รีบโทรหาสามี ให้ไปยังจุดเกิดเหตุ เพราะทั้งคู่แยกกันไปขายของคนละที่

       เมื่อคุณแบงค์มาถึงที่เกิดเหตุก็เห็นชาวบ้านกำลังมุงกันเยอะมาก แต่บางส่วนก็ช่วยดำน้ำหาร่างของน้องน้ำ เพราะยังไม่พบร่างของลุงและน้องน้ำในตอนนั้น คุณแบงค์จึงตัดสินใจที่จะลงไปช่วยหาลูกสาวอีกคน ขณะที่กำลังดำลงไปในน้ำ เขาก็รู้สึกว่ามีเท้าของใครบางคนมาสัมผัสตัว เขาจึงค่อย ๆ ดึงร่างนั้นขึ้นไปเหนือน้ำ ปรากฏว่าร่างนั้นคือลูกสาวของคุณแบงค์เอง ขณะที่นำร่างของน้องขึ้นมา ร่างของน้องก็อ้วกออกมาเป็นขนมจีนน้ำยาที่กินไปก่อนจะมาเล่นที่บ่อน้ำ จนกลายเป็นภาพติดตาของคุณแบงค์มาจนถึงทุกวันนี้ นั่นทำให้เขาไม่กินขนมจีนน้ำยาอีกเลย ไม่นานชาวบ้านที่กำลังดำน้ำอยู่ก็พบร่างของลุง ชาวบ้านจึงรีบนำร่างของทั้งคู่ส่งโรงพยาบาลทันที จากนั้นก็นิมนต์พระมาทำพิธีเรียกดวงวิญญาณกลับบ้าน ชาวบ้านเล่าว่าเหตุการณ์พลัดตกน้ำครั้งนี้มีถึง 3 ราย เสียชีวิต 2 รายเป็นน้องน้ำและลุงของน้องน้ำ แต่เพื่อนที่ไปเล่นด้วยในวันนั้นรอดมาได้

       หลังจากนำร่างของทั้งคู่กลับมาทำพิธีกรรมทางศาสนา ชาวบ้านก็มารวมตัวกันที่บ้านของคุณแบงค์เพื่อมาช่วยงานศพ ในคืนนั้น ขณะที่คุณโบว์นอนหลับก็รู้สึกว่าเหมือนมีใครเดินอยู่บริเวณศีรษะ สักพักก็เหมือนมีมือกำลังมาดึงเส้นผมอยู่บ่อยครั้ง ตอนนั้นคุณโบว์คิดว่าเป็นน้องน้ำ เธอจึงไม่กล้าที่จะลืมตาหันไปมอง เพราะกลัวว่าลูกสาวจะหายไป จึงให้ลูกสาวดึงเส้นผมต่อไป

       หลังจากที่น้องน้ำจากไปครบ 100 วัน ทางครอบครัวตัดสินใจจะทำบุญให้ ระหว่างที่กำลังจัดเตรียมงาน ก็มีญาติคนหนึ่งรู้สึกเหมือนว่ามีอาการไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่นานเธอก็พูดขึ้นมาว่า “หนูพาเพื่อนมาด้วย แต่เพื่อนเข้ามาไม่ได้ เพราะเจ้าที่ไม่ให้เข้า อยากกินขนมจีนจังเลย” แล้วก็ร้องไห้ออกมา! คุณแม่นิดได้ยินเช่นนั้น ก็นำขนมจีนไปวางไว้ที่รูปน้องน้ำ คุณแบงค์สงสัยจึงถามแม่นิดว่าทำไมถึงมีขนมจีนมาวางตรงนี้ ทั้ง ๆ อาหารที่เตรียมไว้ก็เยอะอยู่แล้ว แม่นิดเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ฟัง ทั้งคู่รู้สึกไม่สบายใจจึงนิมนต์พระให้เรียกดวงวิญญาณลูกสาวกลับบ้านเพราะคิดว่าน้องน้ำยังกลับบ้านไม่ได้

       หนึ่งเดือนต่อมา ชาวบ้านในละแวกนั้นเล่าให้ฟังว่าน้องน้ำมาเข้าฝัน “อยากกินเฟรนช์ฟรายส์จังเลย แต่เค้าไม่ให้หนูมา เค้าตีหนู” ทุกคนได้ยินแบบนั้นก็สงสัยว่าคือใคร ใครไม่ให้มา คุณโบว์และคุณแบงค์เริ่มกังวลขึ้นอีกครั้ง เพราะมีหลายคนที่มาเล่าให้ทั้งคู่ฟังว่าน้องน้ำมาเข้าฝัน จึงคิดว่าลูกสาวยังไม่สามารถกลับบ้านได้ และตัดสินใจไปนิมนต์พระเรียกดวงวิญญาณลูกสาวกลับบ้านอีกครั้ง

       หลังจากที่คุณแบงค์ได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับลูกสาวให้คุณขวัญฟัง ในวันถัดมา คุณขวัญจึงตัดสินใจที่จะไปยังสถานที่เกิดเหตุ แต่ถึงกับต้องขนหัวลุก เพราะสิ่งที่คุณขวัญเห็นคือร่างของวิญญาณสีดำมืด ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง กำลังโอบกอดร่างของน้องน้ำอยู่! คุณขวัญจึงรีบให้คุณโบว์จุดธูปเรียกลูกสาวกลับบ้านทันที และให้คุณแบงค์สตาร์ทรถรอ ภาพที่คุณขวัญเห็นหลังจากนั้นคือน้องน้ำพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากบ่อน้ำ จนมายืนอยู่ข้างหลังของคุณโบว์ คุณขวัญจึงบอกกับคุณโบว์ให้รีบไปที่รถ และห้ามหันหลังมองไปที่บ่อน้ำอีกเด็ดขาด!

       ขณะที่ทั้งหมดกำลังเดินไปที่รถ คุณขวัญก็ได้ยินเสียงของใครบางคนพูดขึ้นมาว่า “หนูจะไปไหน” ดวงวิญญาณของน้องน้ำที่ได้ยินดังนั้นก็ทำท่าว่าจะหันไปมอง คุณขวัญพูดขึ้นมาทันที “อย่าหันไปมองเด็ดขาด รีบเดินตามแม่ไป” จากนั้นทุกคนก็รีบขึ้นรถทันที

       หลังจากที่ทั้งหมดกลับมาถึงบ้าน คุณขวัญก็ได้เล่าทุกอย่างให้กับทุกคนฟังว่าจริง ๆ แล้วที่น้องน้ำยังไม่สามารถกลับบ้านได้ ก็เพราะมีดวงวิญญาณของผีพรายควบคุมดวงวิญญาณของน้องน้ำอยู่ และตั้งแต่ที่เธอได้ไปทำพิธี ดวงวิญญาณของน้องน้ำก็สามารถกลับบ้านได้ และดวงวิญญาณของน้องน้ำก็ไม่ได้มาปรากฏให้ใครเห็นอีกเลย..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากโนอาร์ 'กองทัพผีที่เวียดนาม' I อังคารคลุมโปง X โนอาร์ ล่าท้าผี [17 ก.ย. 2567]

22 ก.ย. 2024

เรื่องเล่าจากโนอาร์ 'กองทัพผีที่เวียดนาม' I อังคารคลุมโปง X โนอาร์ ล่าท้าผี [17 ก.ย. 2567]

เรื่องราวนี้ ’คุณโนอาร์’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (17 กันยายน 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจ็ม’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘กองทัพผีที่เวียดนาม’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! คุณโนอาร์เล่าว่า เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่าน ตนได้เดินทางจากกรุงเทพฯไปเวียดนาม ซึ่งก็มีแพลนที่จะไปเที่ยว แต่คิดว่า ‘ไหน ๆ ก็จะไปเที่ยวแล้ว ขอแวะเรื่องงานสักหน่อย’ จึงหาข้อมูลสถานที่ แต่โรงพยาบาลร้างหรือตึกร้างนั้น ไม่สามารถเข้าได้ด้วยเรื่องกฎหมายของเวียดนาม แต่ก็ได้แฟนคลับชาวเวียดนามมาเป็นไกด์เพื่อพาไปสถานที่เที่ยวต่าง ๆ โดยมีสมาชิก 3 คนคือ ตนเอง แฟน และน้องทีมงาน เมื่อไปถึงก็ไปเที่ยวตามปกติ พอตกเย็น ตนก็ถามกับไกด์ว่า “พอจะมีสถานที่ที่ผมจะไปสำรวจได้มั้ย?” ไกด์จึงพาไปที่วัดของเวียดนาม โดยมีสุสาน พระที่นั่นลักษณะคล้ายพระจีนแต่อาจจะนับถือคนละนิกาย ไกด์บอกว่า ที่เวียดนามนั้นไม่เหมือนไทย เวลาสำรวจต้องระวังเรื่องคนเข้ามาเสพยา หรืออะไรต่าง ๆ ตนก็โอเคเข้าใจข้อจำกัดและข้อควรระวัง พอมาถึงที่วัด ไกด์ก็รออยู่บนรถ ไม่ลงมาด้วย เพราะเขาเป็นคนกลัวผี คนที่ไปสำรวจก็จะมีแค่พวกของตน 3 คน ด้วยความที่ตนไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไรเพราะต่างที่ต่างถิ่น จึงหาจุดที่สามารถตั้งกองเล็ก ๆ ได้ ด้านในวัดจะมีสุสานทั้งฝั่งซ้ายและขวา ซึ่งจะมีรูปปั้นเจ้าแม่องค์ใหญ่ แล้วรูปปั้นนั้นหันหน้าประจบกันตรงกลาง ตนจึงเลือกสำรวจสุสานทางฝั่งซ้ายก่อน ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับฮวงซุ้ยของประเทศไทย แต่ที่นี่ถ้าใครมีเงินหน่อยก็จะเป็นศาลา มีม้าหินอ่อนนั่งได้ด้านใน โดยปกติแล้ว ที่สุสานมักจะมีรูปภาพเป็นขาวดำ แต่ที่นี่ตนรู้สึกกลัวเพราะเห็นมีว่าหลายรายที่ในรูปของเขา ทำตาโต ตาขาวใหญ่ ตาดำเล็ก แล้วทำหน้าดุ ตนก็คิดว่าคงเป็นเพราะวัฒนธรรมของเขา จึงสำรวจต่อ ระหว่างที่สำรวจก็ได้กลิ่นแปลก ๆ ลอยมาแตะจมูก จึงเดินลึกเข้าไปอีกเป็นกิโลเมตร ตรงนั้นเหมือนจะมีหลุมศพพันกว่าราย คุณโนอาร์คิดว่าถ้าจะเดินสำรวจอย่างเดียว คนดูคงจะไม่ตื่นเต้น จึงได้เริ่มทำการนอนขวางลงตรงปลายเท้าของหลุมศพ แต่ก็ไม่รู้จะท้าทายเป็นภาษาเวียดนามอย่างไร จึงผิวปาก เเล้วก็พูดภาษาไทยว่า “มาเลยนะครับ ถ้าอยู่ในสถานที่ตรงนี้” แล้วก็มีเสียงตรงพุ่มหญ้า เหมือนเป็นเสียงอะไรบางอย่างวิ่งลุยมาหาตน! คุณโนอาร์จึงเด้งตัวลุกขึ้นมาแล้วพยายามมองรอบ ๆ เพราะคิดว่าอาจจะเป็นสุนัข แต่ก็ไม่มีอะไร ระหว่างนั้นต้นหญ้าก็ขยับ ตอนแรกคิดว่าลม แต่ต้นไม้รอบ ๆ กลับนิ่ง จึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปสำรวจข้างในต่อ เมื่อเดินลึกเข้าไป หลุมศพเริ่มดูเป็นหลุมศพของคนมีฐานะมากขึ้น เหมือนเป็นการไล่ระดับ บางหลุมมีลูกกรง บางหลุมมีศาลา เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และรูปภาพของแต่ละหลุมก็ดูหน้าดุขึ้นเช่นกัน บางศาลาก็มีหลายหลุมศพในศาลาเดียว ขณะที่กำลังจะเดินผ่านสุสานหลุมศพที่มีลูกกรง ยังไม่ทันเดินผ่าน ลูกกรงก็สั่น กึ้งๆๆๆ เหมือนมีใครเขย่า! คุณโนอาร์ก็วางกล้อง แล้วเดินไปใกล้ ๆ ลูกกรงสั่นต่อหน้าต่อตา ตนจึงมองผ่านเข้าไปด้านในลูกกรง ด้านในจะมีหลุมศพอีก 2 หลุม เป็นหลุมที่ก่อด้วยปูนขึ้นมา หลุมนี้พิเศษตรงที่มีตัวอักษรเยอะ มีป้ายเขียนอะไรบางอย่าง ซึ่งตนก็ไม่ทราบ แล้วก็มีเสียงพูดขึ้นมาเป็นภาษาเวียดนาม ตอนแรกนึกว่าเสียงชาวบ้านแถวนั้นตะโกนมา แต่ก็ไม่รู้ว่าเสียงมาจากทิศทางไหน ตนจำคำนั้นได้ แต่ไม่รู้ความหมาย ก็ทำได้แค่จำไว้ก่อน พอสำรวจต่ออีกนิด รู้สึกว่ามันลึกเกินไป จึงคิดว่าค่อยกลับมาสำรวจใหม่ จากนั้นออกมาหาไกด์ แล้วนั่งรถกลับไปที่โรงแรม ต้องบอกว่าตัวสุสานและโรงแรม ห่างกันประมาณ 10 กิโลเมตร ห้องที่จองไว้แบ่งเป็น 2 ห้อง อยู่ชั้น 2 คือห้องของตนและแฟน กับอีกห้องเป็นของน้องทีมงาน ซึ่งอยู่ตรงข้าม หลังจากแยกกันเข้าห้อง ต่างคนก็ต่างทำธุระส่วนตัวเพื่อเข้านอน ช่วงประมาณตี 1-2 ก็ได้ยินเสียงคนเดินไปมาหน้าห้อง คุณโนอาร์คิดว่าคงเป็นเสียงของแขกท่านอื่น แต่รู้สึกเอะใจ หากเป็นแขกท่านอื่นต้องเดินไปฝั่งขวา เพราะฝั่งซ้ายมันมีแค่ห้องของตน และห้องของน้องทีมงาน เมื่อมองไปทางประตู ใต้ประตูจะแสงลอดออกมา ก็เห็นว่ามีเงาเหมือนคนเดินอยู่ด้านนอก คุณโนอาร์ก็พยายามไม่คิดอะไร ตั้งใจว่าจะนอนให้หลับเพราะพรุ่งนี้ต้องไปเที่ยวกันต่อ แต่เสียงเท้ามันเดินถี่ขึ้น ดังขึ้น เหมือนเดินกันอยู่หลายคน คุณโนอาร์สะดุ้งตื่น เดินออกมาเปิดไฟ แล้วไปเปิดประตูดูหน้าห้อง ก็ไม่พบอะไร พยายามสังเกตุไปที่ห้องน้องทีมงาน ก็ไม่มีใครเดิน จึงปิดประตู แล้วกลับมานอน แต่เหมือนแฟนได้ยินเสียงเคาะประตูทั้งที่คุณโนอาร์ไม่ได้ยิน แฟนจึงเดินไปเปิดประตู คุณโนอาร์จึงถามว่า “เปิดประตูทำไม?” แฟนก็หันมาแต่ไม่ตอบอะไร ทำแค่หน้ามึน ๆ งง ๆ แล้วก็กลับมานอนที่เตียงเหมือนเดิม ทั้งตนและแฟนก็เริ่มนอนไม่หลับ เพราะรู้สึกได้ว่าต้องมีอะไรบางอย่างแน่นอน.. พอเวลาผ่านไปครึ่งชม คุณโนอาร์ก็รู้สึกง่วง และได้ยินคล้ายเสียงเพลง เป็นเสียงดนตรีอย่างเดียวไม่มีเสียงร้อง คุณโนอาร์จึงเดินไปเปิดประตูอีกรอบ พอเปิดประตู เสียงกลับเงียบสนิท คราวนี้ตนคิดว่า ‘ถ้าเป็นสิ่งที่ตามมาจากสุสานตนควรต้องทำอย่างไรดี เพราะถ้าเป็นที่ไทยคงสวดมนต์ไปแล้ว แต่ที่นี่เวียดนาม เขาต้องทำยังไงกันนะ’ แล้วก็เดินกลับมาที่เตียง ตอนนั้นคุณโนอาร์ยังลังเลอยู่ว่าเป็นผีหรืออะไร จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์นี้.. อยู่ ๆ กรอบแอร์ก็เด้งเปิดออกมาเอง แล้วก็มีเสียง ติ๊ด คุณโนอาร์ก็ตกใจ คิดว่านอนไม่ได้แล้ว และเริ่มลังเลจะย้ายโรงแรม คืนนั้นตื่นมาหลายรอบมาก จนกระทั่งนึกออกว่า ตอนที่อยู่สุสานมีเสียงพูดอะไรลอยมา ด้วยความที่จำได้ จึงหาบนอินเตอร์เน็ตเพื่อแปลภาษา แล้วถามไกด์ ซึ่งมันแปลว่า กองทัพ ตนจึงถามไกด์อีกว่า “สุสานที่ตนไปมันคือสุสานอะไร?” แต่ไกด์ก็ไม่ตอบ หลังจากนั้นก็นัดกันว่าจะไปที่นั่นอีก หลังจากผ่านคืนนั้นมา ตอนกลางวันก็ใช้ชีวิตปกติ จนตกเย็นก็กลับไปที่สุสานนั้น ครั้งนี้ไปกันหลายคนเพื่อไปดูบริเวณหลุมในคืนแรก คุณโนอาร์ลืมสังเกตุไปว่า ป้ายที่ติดรูปของหลุมศพ มีสัญลักษณ์นาซี จึงรู้ว่า นี่คือสุสานทหารเวียดนาม หลังจากนั้นไกด์ก็ได้พาทั้ง 3 คนไปไหว้ ไปสะเดาะเคราะห์ แล้วให้ขอว่า ‘อย่าตามมา อย่ามาเอาชีวิต’ เพราะไกด์บอกว่า ”ทหารเวียดนามนี่เฮี้ยน ถ้าเขาตาม เขาเอาถึงชีวิต“ และยังทราบอีกว่าที่ตรงนั้นมีหลุมศพเป็นพันหลุม ทั้งหมดนั่นคือทหารเวียดนาม ส่วนหลุมศพที่มีศาลา มีลูกกรง ตรงนั้นคือหลุมศพของนายพล(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ได้ดีเพราะเซ่นสัมภเวสี! เฮงจริง! ปังจริง! แต่...

06 ต.ค. 2023

ได้ดีเพราะเซ่นสัมภเวสี! เฮงจริง! ปังจริง! แต่...

เตรียมตัวรับความหลอน ชวนขนลุกกันได้เลย! เพราะสายจาก ‘คุณจอย’ ได้โทรมาเล่าประสบการณ์หลอนจากต่างแดน จนทำให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ถึงกับอ้าปากค้าง! เรื่องราวจะหลอนแค่ไหน ตามไปฟังกันได้กับรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 ตุลาคม 2566) แต่ถ้าอยากจะอ่านเอง ก็ปิดไฟแล้วแท็กเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันเลย! เรื่องนี้เกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรงของคุณจอย ย้อนกลับไปก่อนที่จะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 คุณจอยมีโอกาสได้ไปทำงานร้องเพลงที่ประเทศมาเลเซีย ส่วนตัวคุณจอยนั้นไม่ได้เป็นสายมู แต่เห็นเพื่อนเริ่มเฮง ๆ ปัง ๆ ในขณะที่ตัวเองกลับไม่มียอด (รายได้) เหมือนคนอื่น ๆ เลย จึงเกิดความสงสัยว่าเขาทำยังไงกัน วันหนึ่ง มีเพื่อนที่ร้องเพลงด้วยกันมาชวนว่า “วันพระใหญ่เนี่ย เราไปมูกันนะ เดี๋ยวพาไปไหว้อากงที่ตั้งอยู่หลังร้าน” ของที่ใช้ไหว้คือ ‘ไก่ทั้งตัวกับเบียร์ดำ’ ซึ่งว่ากันว่าเป็นของที่อากงชอบ ในทุกวันพระเพื่อน ๆ ก็จะเตรียมของเพื่อไหว้อากงเป็นประจำ คุณจอยมีเพื่อนที่นอนในห้องพักเดียวกัน 3 คน มีเพื่อนคนนึงที่จะลงไปทานข้าวด้วยกัน ซึ่งก็เป็นประจำทุกครั้งหลังทานข้าวเสร็จ เพื่อนจะขอสั่งกลับอีกหนึ่งกล่อง ในตอนนั้นคุณจอยคิดว่าเพื่อนคงจะเก็บเอาไว้ทานทีหลัง แต่ไม่ใช่ สิ่งที่เห็นคือ เพื่อนคนนั้นกลับไปร้านที่ทำงานร้องเพลง เพื่อไปเอาธูปมาหนึ่งดอก แล้วหันมาพูดกับคุณจอยว่า “มานี่ เดี๋ยวกูพาไปทำอะไร มึงอยากปังใช่ไหม” จากนั้นเขาก็พาเดินไปที่หลังร้านแล้วจุดธูปปักไปที่กล่องข้าว แต่สิ่งที่กำลังไหว้ไม่ใช่อากงอย่างที่คุณจอยคิดในตอนแรก กลายเป็นการไหว้สัมภเวสีแทน! คุณจอยเองก็ไม่ได้คิดอะไร คิดเพียงว่าลองดูไม่เสียหาย เมื่อเตรียมทุกอย่างครบแล้ว เพื่อนคุณจอยก็เริ่มพาทำพิธีไหว้ “มึงอธิฐานนะว่า วันนี้ขอให้ได้ยอดเยอะ ๆ นะ ถ้าได้แล้วเดี๋ยวจะได้กินแบบนี้ทุกวัน” เพื่อนคุณจอยเล่าว่า เขาทำแบบนี้มาโดยตลอด และตั้งแต่เริ่มไหว้ชีวิตก็ดี ได้ยอดเยอะขึ้นมาโดยตลอด ตัวคุณจอยก็คิดว่าลองดูไม่เสียหาย ซึ่งในการไหว้ก็จะมีข้อห้ามกันว่า ‘ห้ามนำหมูมาไหว้โดยเด็ดขาด’ วันแรกที่คุณจอยไหว้ ปรากฎว่าได้ยอดขึ้นจริง ๆ ตอนนั้นคุณจอยเองก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะปกติต้องทำงานเหนื่อยมาก ๆ กว่าจะได้แต่ละบาท แต่หลังจากที่ไปไหว้สัมภเวสี ในคืนนั้นก็ทำงานโดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยและยังมีคนให้พวงมาลัยให้ดอกไม้มากกว่าทุก ๆ คืนด้วย ทำให้หลังจากนั้น เพื่อนและคุณจอยก็พากันไหว้แบบนี้ทุกวันก่อนเริ่มงาน ไม่นาน ก็มีเหตุที่ทำให้เพื่อนคนสนิทคนนั้นต้องเลิกทำงาน และกลับบ้านเกิดไป ทำให้คุณจอยต้องไปไหว้เพียงคนเดียว แม้ยอดรายได้ของคุณจอยจะขึ้น ๆ ลง ๆ ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่จะได้ยอดดีเป็นส่วนใหญ่ วันหนึ่ง มีคนเข้ามาทำงานใหม่ ให้นามสมมุตว่า ‘พี่ส้ม’ และเริ่มสนิทสนมกับคุณจอย คุณจอยจึงตัดสินใจแนะนำว่าตัวคุณจอยทำอะไรเพื่อให้มียอดดี ในตอนแรกพี่ส้มก็ไม่รู้ว่าคุณจอยทำอะไร คิดเพียงว่าไหว้อากงตามปกติที่ทุกคนไหว้กัน แต่พอพี่ส้มรู้ว่าสิ่งที่คุณจอยทำคือการซื้อข้าวไปวางไว้ให้สัมภเวสีแล้วอธิฐาน พี่ส้มก็รีบตอบกลับคุณจอยทันทีว่า “พี่ไม่เอา พี่ไม่ทำ” ตัวคุณจอยก็ยืนยันกลับไปว่าการที่ทำแบบนี้มันได้ผลจริง เพราะคุณจอยสัมผัสเองกลับตัวมาแล้ว แต่พี่ส้มก็บอกว่า “สัมภเวสีนะจอย มันน่ากลัวไหม แล้วถ้าเกิดเราทำอะไรไม่ถูกใจเขา หรือถ้าเขาอยากได้อะไรที่มากกว่านั้น เราจะทำยังไง” หลังจากประโยคนี้จบลง คุณจอยก็เริ่มคิดและเกิดความสับสนขึ้นกับตัวเอง เพราะสิ่งที่ได้รับกลับมาก็เป็นสิ่งที่คุณจอยต้องการจริง ๆ และเพื่อนที่พามาไหว้ก็ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นที่ไม่ดีกับเขาเลย พี่ส้มที่เป็นสายธรรมมะ ชอบเข้าวัดทำบุญ เคยบวชเป็นพราหมณ์มาก่อน จึงแนะนำให้คุณจอยอธิษฐานว่านี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่นำอาหารมาไหว้ คุณจอยจึงตัดสินใจที่จะเชื่อและอธิฐานในใจว่า “ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะให้แล้วนะ ต่อไปถ้าจะช่วยเหลือกันก็ช่วย แต่ถ้าไม่ได้กินแล้ว แล้วจะไม่ช่วยเหลือก็ไม่เป็นไร” จนเวลาผ่านไปได้ประมาณ 3 วัน เริ่มมีเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้น คุณจอยรู้สึกว่าได้ยินเสียงเท้า เดินตามหลังขณะที่กำลังก้าวขึ้นบันได แต่เมื่อหยุดและหันหลังกลับไปดูสิ่งที่เห็นคือความว่างเปล่า และเสียงเท้าที่ได้ยินนั้นก็เงียบหายไป วันถัดมาคุณจอยก็ได้ยินเสียงเท้าตามหลังแบบเดิมขึ้นซ้ำอีก แต่ในครั้งนี้เสียงเท้านั้นเริ่มดังขึ้นใกล้ตัวคุณจอยเข้ามาทุกที คุณจอยตัดสินใจหันหลังกลับไปดู แต่ก็ไม่เจออะไรและเสียงก็หายเงียบไปเช่นเดิม คุณจอยเริ่มรู้สึกแปลก ๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะเดิมทีคุณจอยได้ยินเสียงแปลก ๆ อยู่บ่อยครั้ง และสิ่งที่เจอเป็นเพียงแค่เสียงไม่ได้มีอะไรน่ากลัว ต่อมาคืนหนึ่งคุณจอยขึ้นมานอนที่ห้องคนเดียว ตัวคุณจอยเองคิดว่าเพื่อน ๆ คงไปสังสรรค์กันและช่วงเช้าจะกลับเข้ามาที่ห้องตามปกติ บรรยากาศในห้องนอนของคุณจอยเป็นห้องที่เมื่อปิดไฟและปิดประตู ภายในห้องจะมืดสนิท เพราะในห้องไม่มีหน้าต่าง มีเพียงแสงส่องผ่านช่องเล็ก ๆ จากประตูเข้ามาในห้องเพียงเท่านั้น ในขณะที่คุณจอยกำลังล้มตัวนอนและหลับตา จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนอยู่บนห้อง คุณจอยลืมตาขึ้นมาดู ในใจคิดว่าอาจจะเป็นเพื่อนร่วมห้องกลับมาแล้ว แต่พอลืมตาขึ้นมา ทุกอย่างมืดสนิท และเสียงนั้นก็หายไป! คุณจอยหลับตาอีกครั้งเพื่อที่จะนอนต่อ แต่เมื่อหลับตาได้ไม่นาน ก็มีเสียงลมหายใจเบา ๆ เป่ามาที่หูข้างซ้าย คุณจอยตัดสินใจที่จะลืมตาขึ้นมาดูทันที ปรากฏว่าคุณจอยไม่สามารถขยับตัวได้เลย! ความรู้สึกในตอนนั้นเหมือนโดนผีอำ คุณจอยพยายามกรอกตาไปมองยังฝั่งที่ได้ยินเสียง ภาพที่เห็นจะเบลอ ๆ เนื่องจากในห้องมืดมีเพียงแสงไฟสลัว เห็นเป็นผู้หญิงผมประบ่า ค่อย ๆ อ้าปากขึ้นเรื่อย ๆ จนปากเปิดกว้างไปถึงจมูก ทำให้เห็นเพียงตากับปากเท่านั้น! ทำท่าทางเหมือนตุ๊กตาล้มลุก โดยค่อย ๆ เอนตัวล้มมาที่ตัวคุณจอยที่นอนอยู่บนเตียง และค่อย ๆ เอนตัวออก และโน้มตัวล้มมาที่คุณจอย และเอนตัวออกอีกครั้ง ล้ม ๆ ลุก ๆ พร้อมกับเสียงลมหายใจเบา ๆ อยู่ได้สักพักนึง เสียงลมหายใจนั้นก็กลายเป็นเสียงกรีดร้องแหลมปี๊ดขึ้นมา!!! ตอนนั้นคุณจอยทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากนอนท่อนบทสวดมนต์ภายในใจและร้องไห้ ตัวแข็งทื่อ แต่ผู้หญิงผมประบ่าก็ยังไม่หยุดง่าย ๆ ยังคงล้มลุกและส่งเสียงกรีดร้องดังขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มมีน้ำอะไรสักอย่างไหลออกมาจากปากกว้าง ๆ ของผู้หญิงคนนั้น โดยคุณจอยสัมผัสได้เลยว่าขณะที่ผู้หญิงคนนั้นโน้มตัวลงมา น้ำจากปากก็ไหลมาโดนตัวคุณจอยจนเนื้อตัวและเสื้อผ้าเปียกไปหมด! เวลาผ่านไป ท่าทีของผู้หญิงคนนั้นยังคงทำพฤติกรรมล้มลุก เดิม ๆ ซ้ำ ๆ ใส่คุณจอยโดยไม่เกรงกลัวบทสวดมนต์อะไรทั้งสิ้น คุณจอยเริ่มรู้สึกไม่ไหว เพราะสวดมนต์ก็ช่วยไม่ได้ ในตอนนั้นเหลือเพียงความคิดเดียวคือการนึกถึงบุพการี “พ่อจ๋า แม่จ๋าช่วยด้วย” สักพักคุณจอยรู้สึกหลุดพ้นเริ่มขยับตัวได้ และร่างผู้หญิงคนนั้นก็หายไปทันที คุณจอยรีบลุกขึ้นไปเปิดไฟ สิ่งที่เห็นเหลือเพียงน้ำอะไรไม่รู้เปียกเต็มตัวคุณจอยไปหมด! ในความคิดคุณจอยคิดว่าอาจจะเป็นเหงื่อจากตัวคุณจอยเอง แต่มันก็เปียกเพียงแค่ฝั่งซ้าย ฝั่งที่ร่างผู้หญิงคนนั้นอยู่เพียงฝั่งเดียว หลังจากนั้นคุณจอยเปิดประตูออกไปและไปนั่งบริเวณห้องครัวด้านนอก ตัวคุณจอยเองก็ไม่รู้ทำไมต้องนั่งอยู่เฉย ๆที่ตรงนั้น รู้เพียงว่านอนไม่ได้และทำอะไรไม่ได้เลยสักพักคุณจอยตัดสินใจเดินไปหาพี่ส้ม และก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง เมื่อเล่าจบพี่ส้มก็พูดขึ้นมาทันที “พี่ว่าแล้ว เพราะเราไม่ได้ให้เขาหรือเปล่า” ตัวคุณจอยก็เพิ่งเอะใจคิดได้ว่า คืนที่บอกว่าจะเลิกให้ข้าวให้น้ำ ทางสัมภเวสีเขารับรู้และพอใจหรือไม่พอใจแค่ไหนก็ไม่รู้ และด้วยความที่คุณจอยคอยเลี้ยงให้ข้าวให้น้ำเป็นเวลานาน จนเหลือเวลาทำงานอีกเพียงสองอาทิตย์สุดท้ายเท่านั้นก่อนที่จะต้องเดินทางกลับบ้าน แต่จู่ ๆ ก็มาหยุดให้ข้าวให้น้ำทำให้เจอกับเหตุการณ์หลอนในคืนนั้นเกิดขึ้น หลังจากนั้น คุณจอยตัดสินใจไปไหว้ขออากงหลังร้าน เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยดูแลปกป้องดูแลคนทั้งตึก และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนในร้านก็นับถือและไหว้ ทำให้คุณจอยจากคนที่ไม่เคยไปไหว้ ก็ไหว้ ขออากงทุกวัน โดยเฉพาะวันพระใหญ่ยิ่งห้ามลืมไหว้เด็ดขาด โดยคุณจอยจะไหว้ขอให้ช่วย อย่าให้มีสิ่งไม่ดีมาถึงตัวอีกเลย หลังจากหันมาไหว้อากงก็ยังได้ยินเสียงคนเดินตาม หรือเสียงของตกหล่นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์แรง ๆ แบบคืนนั้นอีกเลย...(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ตู้ในตำนานของห้องซ้อมวงโยธวาทิต ที่ถูกปิดล็อกเอาไว้อย่างดี จู่ ๆ แม่กุญแจก็แกว่งเองเสียงดัง! หัวหน้าวงจึงนั่งสมาธิเพื่อสื่อสาร แต่แล้วเขาก็ลุกขึ้นมาบีบคอคนในวงโดยที่ไม่รู้ตัว! สุดท้ายจำได้ว่าในสมาธินั้นเจอพ่อแก่มาบอกว่าไม่พอใจที่มีคนไม่เคารพเครื่องดนตรี!

04 ก.ย. 2023

ตู้ในตำนานของห้องซ้อมวงโยธวาทิต ที่ถูกปิดล็อกเอาไว้อย่างดี จู่ ๆ แม่กุญแจก็แกว่งเองเสียงดัง! หัวหน้าวงจึงนั่งสมาธิเพื่อสื่อสาร แต่แล้วเขาก็ลุกขึ้นมาบีบคอคนในวงโดยที่ไม่รู้ตัว! สุดท้ายจำได้ว่าในสมาธินั้นเจอพ่อแก่มาบอกว่าไม่พอใจที่มีคนไม่เคารพเครื่องดนตรี!

‘อังคารคลุมโปง X’ (29 สิงหาคม 2566) ที่ผ่านมา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ได้เปิดไมค์ต้อนรับ ‘คุณไอซ์’ สายจากทางบ้านที่โทรมาเล่าประสบการณ์หลอนสมัยที่ยังอยู่ในวงโยธวาทิตของโรงเรียน กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ตู้ลับในห้องวงโย’ จะชวนขนลุกขนาดไหน ตั้งสติให้ดีแล้วไปอ่านต่อกันเลย! ย้อนกลับไปช่วงมัธยม คุณไอซ์เคยเป็นเด็กวงโยธวาทิตของโรงเรียนแห่งหนึ่ง โดยปกติแล้ว วงโยฯจะต้องอยู่ซ้อมตั้งแต่บ่ายสองถึงห้าโมงเย็น ในบริเวณที่ซ้อมนั้นจะเป็นลักษณะห้อง 2 ส่วน คือห้องเล็กเป็นห้องพักครู และห้องใหญ่เป็นห้องสำหรับซ้อม ซึ่งสามารถมองทะลุหากันได้ แต่จะไม่มีหน้าต่าง เป็นห้องที่บุผนังด้วยแผงไข่ และมีตู้เหล็กไว้เก็บเครื่องดนตรี ในวันนั้นเหตุการณ์เกิดขึ้นประมาณบ่าย 3-4 โมงเย็น มีคนที่ยังอยู่ซ้อมทั้งหมดหกคน หนึ่งในนั้นเป็นพี่ผู้ชายคนนึง ซึ่งเป็นมือกลองประจำวง กำลังนั่งตีกลองชุดอยู่ ตำแหน่งของกลองชุดนั้นตั้งอยู่หน้าตู้เก็บเครื่องดนตรี ขณะที่เขากำลังตีกลองอยู่สักพัก เขาก็วิ่งกรี๊ดออกมา! และตะโกนโวยวายหาหัวหน้าวง ซึ่งเป็นคนที่ค่อนข้างมีเซนส์ว่า “พี่ที พี่ที พี่ ผมเห็นอะไรไม่รู้ วาร์ปออกมาตรงตู้ ผมเห็นจริง ๆนะ ” แต่ทุกคนก็บอกกลับไปว่า “ คิดมาก มันเป็นห้องปิด มีแค่ไฟหลอด เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะมีอะไร” ในจังหวะที่เถียงกันอยู่นั้น สายตาคุณไอซ์ก็เหลือบไปเห็นตู้หนึ่ง มันเป็นตู้ที่เคยมีตำนานว่าเคยมีคนเจอบางสิ่งบางอย่างกันบ่อย ตรงนั้นเป็นตู้ที่ล็อกแม่กุญแจ แต่จู่ ๆ แม่กุญแจนั้นมันก็แกว่งและมีเสียงขึ้นดัง “แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก” ตีกับตู้เหล็กโดยไม่มีเหตุผล! แล้วพี่มือกลองที่วิ่งออกมา เขาก็ตะโกนออกมาอีกครั้ง “เห้ยพี่! เห้ยเนี่ย เห้ยทำไมแม่กุญแจมันแกว่งแบบนั้นอะ เห้ย! ” พอเขาพูดขึ้นมา แม่กุญแจก็แกว่งแรงขึ้นอีก แรงขึ้นเรื่อย ๆ คุณไอซ์และเพื่อนผู้หญิงก็รีบวิ่งลงมาก่อน เพื่อนผู้ชายตัดสินใจเข้าไปรอที่ห้องพักครู ส่วนพี่ทีจะเข้าไปดูเพียงคนเดียวว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ที่ห้องซ้อม จังหวะที่พี่ทีเข้าไปในห้อง เขานั่งลงทำสมาธิ เหมือนพยายามที่จะสื่อ และพูดคุยว่าเกิดอะไรขึ้น ตรงนี้มีใคร ต้องการจะทำอะไรถึงได้มีน้องเห็นเป็นแสงวาร์ปออกมา และแม่กุญแจแกว่งได้ยังไงทั้ง ๆ ที่เป็นห้องปิด และไม่มีลมเลย... สักพักพี่ทีก็เดินออกมาจากห้องซ้อมใหญ่ และเดินตรงมาบีบคอเพื่อนผู้ชาย ที่ยืนรออยู่ที่ห้องพักครู เพื่อนที่ถูกบีบคอเริ่มทนไม่ไหวจึงพูดขึ้นมาว่า “ถ้าพี่ไม่ปล่อยผม ผมจะต่อยหน้าพี่จริง ๆนะ!” แล้วเพื่อนก็ต่อยเข้าที่หน้าด้านขวาจริง ๆ พี่ทีก็ล้มลงไป จากนั้นเพื่อนคนที่ถูกบีบคอก็รีบวิ่งหนีออกและกลับบ้านทันที หลังจากนั้น พอพี่ทีรู้สึกตัว เขาก็เล่าว่าตอนที่นั่งสมาธิ เขาเห็นว่ามีพ่อแก่ที่เป็นครูมาบอกว่า “ทำไมมีคนเอาขลุ่ยเพียงออ ไปเช็ดกระโปรงแบบนั้น” เขาเลยมาแสดงให้เห็นว่าเขาไม่พอใจ ให้ไปทำพิธีขอขมาเครื่องดนตรีก่อน ใครที่อยู่สายดนตรีไทยอยู่แล้ว เขาจะถือกันว่าห้ามทำพฤติกรรมที่แสดงถึงการไม่เคารพเครื่องดนตรี เพราะของทุกชิ้นมีครูดูแล..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ย้ายเข้าหอใหม่ แต่มีห้องว่างอยู่ห้องเดียวคือห้องตัวอย่าง ตั้งแต่เข้าไปพักก็เจอเรื่องแปลก ๆ มากมาย ทั้งตัวโดนผ้ามัดแน่น ทั้งโดนแก้ผ้าและตื่นมาก็ปากฉีกอีก! แถมเจอผีเยาะเย้ยว่าสวดมนต์ไปก็ทำอะไรไม่ได้!

16 พ.ย. 2023

ย้ายเข้าหอใหม่ แต่มีห้องว่างอยู่ห้องเดียวคือห้องตัวอย่าง ตั้งแต่เข้าไปพักก็เจอเรื่องแปลก ๆ มากมาย ทั้งตัวโดนผ้ามัดแน่น ทั้งโดนแก้ผ้าและตื่นมาก็ปากฉีกอีก! แถมเจอผีเยาะเย้ยว่าสวดมนต์ไปก็ทำอะไรไม่ได้!

เมื่อต้องย้ายเข้าหอใหม่ แต่ชั้นที่จะไปอยู่ดันไม่มีห้องว่าง มีแค่ห้องตัวอย่างที่อยู่ใกล้กับลิฟต์ ทำให้ต้องเจอเรื่องแปลกประหลาดชวนขนหัวลุก! เรื่องหลอนจาก ‘คุณต้น “Wolftone’ ที่มาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (7 พฤศจิกายน 2566) พร้อมเจอกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เรื่องนี้จะประหลาดอย่างไรนั้น ไปอ่านพร้อมกันเลย! เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในสมัยที่คุณต้นเรียนอยู่มหาวิทยาลัยย่านนครปฐม เป็นช่วงระหว่างปี 1 ขึ้นปี 2 ช่วงนั้นเขาย้ายหอพักจากหอพักเก่าไปหอพักหนึ่ง ซึ่งมีเพื่อนที่เรียนด้วยกันอยู่ที่นั่นชื่อ ‘คุณเบนซ์’ เขาจึงชวนคุณต้นย้ายเข้าไป คุณเบนซ์พักอยู่ที่ชั้น 2 ในวันที่ไปเลือกห้อง คุณต้นจึงไม่ได้ไปดูชั้นอื่นเลยนอกจากชั้น 2 เพราะว่าต้องการที่จะอยู่ใกล้ ๆ กัน ไปเรียนจะได้สะดวก แต่ชั้น 2 ไม่มีห้องไหนว่าง ยกเว้นห้องตัวอย่าง เลขที่ 207 ลักษณะของห้องนี้คือ เมื่อออกจากลิฟต์แล้วเลี้ยวซ้ายก็จะถึงเลย เรียกได้ว่าอยู่เยื้องกับลิฟต์ หากเปิดประตูเข้าไปก็เหมือนห้องทั่วไป ทางซ้ายมีห้องน้ำ มีเตียง ถัดไปเป็นโซฟาและตู้ คุณต้นจึงตัดสินใจเลือกห้องนั้น เขาใช้ชีวิตอยู่ในห้องนั้นประมาณ 1 - 2 เดือน จนคุณต้นเริ่มสนิทกับคนในหอ สนิทกับ รปภ. คุณป้าแม่บ้าน และคุณป้าพนักงาน ซึ่งพวกเขาก็มักจะนั่งสังสรรค์อยู่ใต้หอพักก่อนจะขึ้นนอนเป็นประจำ ส่วนคุณต้นก็จะนั่งอยู่กับคุณลุงรปภ. เป็นประจำ มีอยู่วันหนึ่งพวกเขานั่งสังสรรค์กันตามปกติ แต่มีเพื่อนของคุณต้น ชื่อ ‘คุณคิน’ เข้ามานั่งร่วมวงด้วย พวกเขาก็นั่งกินกันไปเรื่อย ๆ จนถึงตี 1 - 2 ก็เริ่มเมา จากนั้นจึงขึ้นไปนอน คุณคินก็ไม่ได้กลับไปที่หอพักตัวเองเพราะหอพักเขาอยู่ไกล คุณต้นจึงพาคุณคินขึ้นมานอนที่ห้องของตัวเอง โดยคุณคินนอนบนเตียง ส่วนคุณต้นนอนอยู่ที่โซฟา ไม่นานทั้งคู่ก็หลับไป เช้าวันต่อมา คุณต้นตื่นเพราะเสียงของเพื่อนที่พูดว่า “ต้น มึงทำอะไรอยู่เนี่ย มึงแกล้งมึงเล่นอะไรอยู่เนี่ย” ด้วยความสะลึมสะลือ เขาจึงตื่นขึ้นไปดู สิ่งที่เขาเห็นคือ คุณคินโดนห่อด้วยผ้าห่มแน่น ๆ เหมือนกับนุ่งผ้าออกมาจากห้องน้ำ เหมือนกับข้าวต้มมัดที่แน่น ๆ ซึ่งผิดธรรมชาติจากการห่มผ้าทั่วไป แล้วที่แปลกกว่านั้นคือ คุณคินไม่ได้สวมเสื้อผ้า แต่เสื้อผ้าทั้งหมดไปกองอยู่หน้าห้องน้ำ และชุ่มไปด้วยน้ำ! คุณคินตกใจมากจึงหันมาถามคุณต้นว่า “แกล้งอะไร” คุณต้นยังมึนงง เพราะตนไม่ได้ทำอะไร จำได้ว่าต่างคนต่างนอน พอตื่นมาก็เจอสภาพแบบนี้แล้ว แต่หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็ไปเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง ทุกคนก็ขำขันคิดเพียงว่าเป็นเรื่องโจ๊กเล่าสนุกเท่านั้น หลังจากนั้นผ่านไป 2 สัปดาห์ คุณคินก็ไปสังสรรค์กับเพื่อนอีกกลุ่มที่บ้านพักของเพื่อน คราวนี้ก็คล้าย ๆ กัน คือนั่งดื่มกันไปเรื่อย ๆ แต่ครั้งนี้ คุณคินขึ้นไปนอนที่ห้องของเพื่อน ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กันกับห้องพักคุณต้น หลังจากภาพตัดหลับไป เหตุการณ์แปลก ๆ ตอนเช้า ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้หนักกว่าครั้งแรก เพราะคุณคินตื่นมาพร้อมกับเสื้อที่ชุ่มไปด้วยน้ำ เมื่อจับที่ปากก็รู้สึกเจ็บมาก เขาจึงรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำเพื่อดูตัวเองในกระจก ก็เห็นว่าตัวเอง ปากแตก ปากข้างล่างฉีกประมาณ 4 เซนติเมตร มีเลือดอาบเต็มเสื้อ ฟันแตกผ่าครึ่งแล้วฝังไปในริมฝีปากล่าง และที่แปลกไปกว่านั้นคือ เขามีสำลีอยู่รอบตัว ทีแรกคิดว่าอาจจะล้มแล้วเพื่อนมาช่วยทำแผล จึงถามเพื่อน ๆ ที่นอนด้วยกัน สรุปว่าไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพิ่งมารู้ตอนเช้าพร้อมกันนี่เอง ทุกคนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นคุณต้นก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องผิดปกติ แต่แล้วเหตุการณ์แบบนั้นก็ไม่เกิดขึ้นกับคุณคินอีก ไปเกิดกับคุณต้นแทน.. ผ่านเหตุการณ์นั้นไปอีกประมาณ 2 สัปดาห์ วันหนึ่งหลังจากกลับจากเรียนคุณต้นก็มานอนพักที่ห้องตามปกติ ไม่ได้ดื่มหรือมีอาการมึนเมาแต่อย่างใด เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นตอนเช้าอีกครั้ง คุณต้นโดนห่อเป็นข้าวต้มมัด โดนรัดแน่นมากและโดนแก้ผ้าด้วย ส่วนเสื้อผ้าไปกองอยู่หน้าห้องน้ำ และชุ่มไปด้วยน้ำเหมือนครั้งก่อน! แล้วหลังจากนั้น คุณต้นก็เจอเหตุการ์ณแบบนี้อีก 3 – 4 ครั้ง กระทั่งคืนก่อนจะถึงครั้งสุดท้ายที่คุณต้นทนไม่ไหว คืนนั้นเขาก็นอนปกติ เขารู้สึกว่าเขาโดนกดที่หน้าอกแรงมาก เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตนมีอาการผีอำ เมื่อเขาพยายามลืมตา ก็รู้สึกได้ว่าสิ่งที่กำลังกดเขาอยู่คือผู้หญิง! เขาพยายามลืมตาและสวดมนต์ แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า “มึงไม่ได้ผลหรอก มึงทำไปเลย มันไม่ได้ผล สวดไปเลย มีพระหรอ” ราวกับกำลังเยาะเย้ยคุณต้น ผ่านไปไม่นาน คุณต้นก็ลุกขึ้นมาได้ จากนั้นก็รีบหยิบโทรศัพท์โทรหาคุณเบนซ์บอกว่า “กูโดนแล้ว กูเริ่มไม่ไหวแล้ว มันมากเกินไปแล้วนี่มันครั้งที่ 4 ครั้งที่ 5 แล้วไม่ไหวแล้ว” แต่คุณต้นก็ตอบกลับไปว่า “โอเค ไม่เป็นไร งั้นอยู่ไปก่อน ดูกันไปก่อน” จนมาถึงเหตุการณ์สุดท้าย เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้คุณต้นตัดสินใจย้ายออกจากห้องนั้นไปห้องอื่นเลยคือ…! วันนั้นคุณต้นนั่งดื่มกับเพื่อนตามปกติ แต่ครั้งนี้เพื่อนเล่าให้ฟังว่า เวลาประมาณ 5 ทุ่ม อยู่ ๆ คุณต้นก็เดินขึ้นไปบนห้องแบบไม่บอกใคร หายไปจากวงสังสรรค์นั้นแล้วก็ขึ้นไปนอน ซึ่งคุณต้นรู้ตัวแค่ว่าตอนนั้นเหมือนมีบางอย่างบอกเขาว่าต้องขึ้นไปข้างบนและไปนอนได้แล้ว ความจำสุดท้ายของคุณต้นคือ เขาเปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วก็วาร์ปหลับไป ตื่นเช้ามาอีกที ก็ได้ยินเสียงคุณเบนซ์เรียก “ต้น มึงโดนอีกแล้วว่ะ มึงย้ายห้องเหอะ กูสงสารมึง” ทันทีที่คุณเบนซ์เห็นหน้าคุณต้นก็อึ้งไปสักพักเพราะว่าเสื้อผ้าของคุณต้นนั้นชุ่มไปด้วยเลือด ปากของคุณต้นนั้นฉีกไปประมาณ 3 เซนติเมตร นั่นทำให้คุณต้นไม่อยากทนอีกต่อไป จึงไปถามกับรปภ. และคุณป้าพนักงานว่า ชั้น 2 มีเหตุการณ์อะไรมาก่อนหรือไม่ แต่พวกเขาก็ไม่ยอมปริปากบอกจนคุณต้นต้องพยายามเค้นถาม จึงได้คำตอบมาว่า บริเวณลิฟท์ชั้น 2 จะมีผู้หญิงคนหนึ่งวนเวียนอยู่ตรงนั้น ป้าแม่บ้านเห็นประจำ และมักจะเห็นเดินไปเดินมาบริเวณห้อง 207 ที่คุณต้นอยู่ รปภ.และแม่บ้านบอกมาแค่นั้น คุณต้นก็สืบไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนี้คือใคร จนกระทั่งเหตุการณ์สุดท้าย หลังจากที่คุณต้นย้ายห้องไปแล้ว เหตุการณ์นี้เป็นการการันตีว่าสิ่งที่คุณต้นเห็นและทำทั้งหมดเป็นคนคนเดียวกัน นั่นคือเมื่อคุณต้นย้ายห้องไป ในคืนหนึ่งก็ฝันว่า กำลังจะไปเรียน พอเปิดประตูแล้วหันไปทางซ้าย ซึ่งเป็นห้อง 207 ที่เคยอยู่ เขาก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผิวสีเหลือง ผมประบ่า แต่ไม่เห็นหน้า แล้วร่างนั้นก็ถอยหลังค่อย ๆ หายไปในเงา แล้วคุณต้นก็สะดุ้งตื่น! นั่นทำให้คุณต้นได้รู้ว่าคือคนเดียวกันกับที่เคยกดคุณต้น แต่ว่าก็หาสาเหตุไม่ได้ว่าสิ่งที่เจอมันคืออะไร แล้วผู้หญิงคนนั้นคือใคร..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1