‘ใหม่ รอเรน’ ถูกไหว้วานให้มาช่วยทำธีสิสในยามวิกาล!

อังคารคลุมโปง RECAP

‘ใหม่ รอเรน’ ถูกไหว้วานให้มาช่วยทำธีสิสในยามวิกาล!

06 ต.ค. 2023

       เรื่องหลอนในครั้งนี้ มาจากประสบการณ์ตรงของอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังอย่าง ‘ใหม่ รอเรน’ กับเรื่องหลอนในรั้วมหาวิทยาลัยที่ชื่อว่า ‘ธีสิสสยอง’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 ตุลาคม 2566) พร้อมด้วย ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านพร้อมกันเลย!

       ย้อนกลับไปในสมัยที่คุณใหม่ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในช่วงนั้นคุณใหม่เองบอกว่าเธอพักอยู่ที่หอพักนอกจึงทำให้เธอสะดวกสบายเรื่องเวลาจะออกไปไหนมาไหน เพราะไม่ได้มีกฎ เข้า-ออก ที่ตายตัวเหมือนกับหอภายในมหาวิทยาลัย ด้วยเหตุนี้เอง คุณใหม่จึงถูกไหว้วานจากรุ่นพี่ที่รู้จัก นามสมมุติ ‘พี่ส้ม’ ให้มาช่วยทำโปรเจกต์จบในเวลากลางคืนที่คณะของพี่ส้ม เนื่องจากพี่ส้มนั้นเรียนเภสัชและกำลังทำการทดลองในห้องแล็บเกี่ยวกับสารเคมี แต่ด้วยระยะทางจากบ้านของพี่ส้มมายังมหาวิทยาลัยค่อนข้างไกล และการทดลองนี้จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนย้ายสารเคมีอยู่ตลอด จึงทำให้พี่ส้มไม่สามารถที่จะทำการทดลองในเวลากลางคืนได้ เธอจึงได้ไหว้วานให้คุณใหม่ มาช่วยรับผิดชอบให้แทนในยามวิกาล

       คุณใหม่เล่าว่า บรรยากาศของคณะแพทยศาสตร์ค่อนข้างวังเวงมาก และยังต้องเดินผ่านห้องของอาจารย์ใหญ่อยู่บ่อยครั้ง ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวที่นี่ในเวลากลางคืนเป็นอย่างมาก และด้วยความที่คุณใหม่เองนั้นไม่ได้ศึกษาในคณะนี้ จึงไม่มีบัตรนักศึกษาประจำคณะ นั่นทำให้เธอต้องคอยหลบเจ้าหน้าที่เพื่อขึ้นไปที่ตึกในทุก ๆ คืน จากประสบการณ์ครั้งนี้ คุณใหม่เล่าว่าตัวเธอไม่ได้พบเจออะไรในระหว่างทำการทดลอง แต่ด้วยบรรยากาศของคณะแพทยศาสตร์ประกอบกับร่างอาจารย์ใหญ่ที่เธอต้องเจอในระหว่างทางเดิน ก็ทำเอาคุณใหม่รู้สึกขนลุกอยู่เหมือนกัน

       ไม่นานหลังจากที่คุณใหม่ช่วยพี่ส้มทำการทดลองสำเร็จ พี่ส้มก็เล่าเรื่องสยองระหว่างที่กำลังทำการทดลองให้คุณใหม่ฟัง พี่ส้มเล่าว่าส่วนตัวพี่ส้มเองเป็นคนชอบร้องเพลงมาก และในวันนั้นเธอกำลังทำการทดลองกับเพื่อนในห้องแล็บอยู่ 2 คน จังหวะที่เธอร้องเพลงพร้อมกับตบเท้าเป็นจังหวะดนตรี จู่ๆ หลังจากที่เธอหยุดร้องเพลงและเงียบไป ปรากฏว่าเธอได้ยินเสียงเท้าแทรกเข้ามาคล้ายกับสิ่งที่เธอทำไปเมื่อสักครู่ แต่ด้วยเธอเรียนสายแพทย์ก็ไม่ได้คิดหรือเอะใจอะไร เพราะคิดเพียงว่ามันเป็นเสียงสะท้อนจากห้องแล็บเท่านั้น

       วันต่อมา พี่ส้มก็มาทำการทดลองตามปกติ และยังอธิบายลักษณะของห้องทดลองเพิ่มเติมว่า ห้องแล็บเป็นห้องที่ค่อนข้างกว้าง มีโต๊ะยาวสำหรับการทดลองสองฝั่ง และมีตู้ไว้เก็บสารเคมีและอุปกรณ์ทดลองต่าง ๆ เป็นตู้กระจกยาว ซึ่งอุปกรณ์แต่ละอย่างก็อยู่กระจัดกระจายกัน ในระหว่างที่พี่ส้มกำลังจะเดินไปหยิบอุปกรณ์จากอีกจุดนึงไปยังอีกจุดนึง จู่ ๆ พี่ส้มก็เริ่มสังเกตเห็นเงาของตัวเองในกระจกเงานั้นมีลักษณะคล้ายกับผู้หญิง แต่เงานั้นไม่ได้ขยับตามตัวเธอไป และเห็นว่ามันกำลังเดินสวนกับเธออยู่หลายรอบ! พี่ส้มเริ่มเอะใจว่ามี ‘บางอย่าง’ อยู่กับเธอในห้องนี้ จากนั้น พี่ส้มและเพื่อนจึงตัดสินใจเก็บของ และเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างให้เร็วที่สุด จากนั้นก็กลับบ้านไป

       วันที่ 3 สำหรับการทดลองสารเคมีของพี่ส้มก็เป็นไปอย่างปกติ หลังจากที่ทำการทดลองเสร็จก็ชวนเพื่อนกลับบ้านเพราะตอนนั้นกำลังจะมืดแล้ว ขณะที่พี่ส้มกำลังเอื้อมมือไปเปิดประตู จู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังดันประตูสวนมาเพื่อเปิดมันมาจากด้านนอก! แต่ที่แปลกคือไม่มีใครอยู่ข้างนอกห้องนั้นเลย และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้พี่ส้มไม่กล้าเล่าให้คุณใหม่ฟัง เพราะกลัวว่าถ้ารู้จะทำให้คุณใหม่หวาดกลัวจนไม่กล้าที่จะมาที่นี่

       หลังจากที่พี่ส้มเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณใหม่ฟัง คุณใหม่ก็ได้ทราบถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องแบบนี้กับพี่ส้มว่า มีนักศึกษาสาวคนหนึ่ง เธอต้องเข้ามาทำธีสิสจบเช่นเดียวกันกับพี่ส้ม ในวันนั้นเธอเกิดเคราะห์ร้ายประสบอุบัติเหตุ จนเสียชีวิต แต่ด้วยจิตสุดท้ายต้องมาที่ทำการทดลองที่มหาวิทยาลัย ทำให้ทุกคนเห็นเธอในลักษณะแบบนั้นนั่นเอง

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากโนอาร์ ‘นางรำ’ I อังคารคลุมโปง X โนอาร์ ล่าท้าผี [ 7 พ.ค. 2567]

12 พ.ค. 2024

เรื่องเล่าจากโนอาร์ ‘นางรำ’ I อังคารคลุมโปง X โนอาร์ ล่าท้าผี [ 7 พ.ค. 2567]

เรื่องนี้ ‘โนอาร์ ล่าท้าผี’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (7 พฤษภาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจแนน’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘นางรำ’ เรื่องราวสุดหลอนนี้จะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! โนอาร์เล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เจอมาก่อนที่จะทำล่าท้าผี เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต ตอนที่ยังเรียนอยู่โรงเรียนวัด ช่วงประมาณ ม.2 - ม.3 ซึ่งรั้วโรงเรียนกับรั้ววัดคือรั้วเดียวกัน แต่ฝั่งรั้วของวัดจะมีรูปผู้ที่เสียชีวิตติดอยู่รอบรั้ว ส่วนฝั่งโรงเรียนไม่มี โนอาร์เป็นเด็กกิจกรรมที่สนิทกับครูนาฏศิลป์ แม้ว่าตนจะไม่ได้เป็นเด็กนาฏศิลป์ แต่ก็มักจะเข้าไปช่วยงานหากชมรมนาฏศิลป์มีงานแสดงทั้งข้างนอกและข้างในโรงเรียน เช่น ยกของ หรือช่วยจัดอุปกรณ์ต่าง ๆ ในตอนนั้น โนอาร์มีเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชายอยู่ 2 คน ในขณะนั้นทางโรงเรียนได้จัดงานประจำสัปดาห์ เป็นงานที่จัดขึ้นปีละครั้ง มีประมาณ 3 - 5 วัน ในคืนแรก โนอาร์ได้รับหน้าที่จัดอุปกรณ์ประกอบฉากบนเวที เมื่องานวันแรกจบ คนก็ทยอยกลับบ้าน เหลือเพียงโนอาร์กับเพื่อนอีก 2 คนที่อยู่เก็บของ ระหว่างที่โนอาร์กำลังเก็บของอยู่บนเวที อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียง เหมือนเสียงดนตรีไทยที่ดังมาจากห้องนาฏศิลป์ แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไรเพราะคิดว่าอยู่ในช่วงวันงาน และคิดว่าคงจะเป็นพวกนางรำมาซ้อมตามปกติ ในตอนนั้นก็ได้ยินทั้งเสียงเครื่องดนตรีไทย มีทั้ง เสียงระนาด เสียงปี่ เสียงฉิ่ง ครบทุกอย่างบรรเลงเป็นเพลง โนอาร์ไม่รู้ว่ามันคือเพลงอะไร จากนั้นเพื่อนสนิทคนหนึ่งก็พูดว่า “โชว์ของนาฏศิลป์วันนี้เขาโชว์จบไปแล้วนะ แล้วทำไมเขาถึงยังซ้อมอยู่” โนอาร์ตอบไปตามประสาเด็กห้าวที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีว่า “เขาก็อาจจะซ้อมงานอื่นหรือเปล่า?” แล้วพูดต่อว่า “นี่มัน 5 ทุ่มแล้วนะ มึงอย่าไปคิดมาก รีบเก็บของให้เสร็จจะได้กลับบ้าน” ระหว่างที่คุยกับเพื่อนอยู่นั้น เสียงดนตรีไทยจากห้องนาฏศิลป์ก็ยังคงบรรเลงอยู่ตลอด โนอาร์กับเพื่อนก็รีบเก็บของเอาไว้หลังเวที เพราะงานวันที่ 2 ก็ต้องนำออกมาจัดใหม่ หลังจากเก็บของเสร็จ ก็ต่างแยกย้ายกลับบ้าน ถัดมาคืนที่ 2 โนอาร์รองานจบเพื่อที่จะเก็บของ โนอาร์คิดในใจว่า ‘หากได้ยินเสียงหรือว่ายังมีคนอยู่ในห้องนาฏศิลป์อีก จะไปแอบดู’ จากนั้นก็บอกกับเพื่อนไปว่า “เดี๋ยวพวกเรา 3 คน จะเข้าไปดูหลังจากที่เก็บของเสร็จแล้ว” เพื่อนอีกสองคนพยักหน้าเห็นด้วยและตอบตกลง เวลาประมาณ 3-4 ทุ่ม คนก็เริ่มทยอยกลับ เมื่อโชว์สุดท้ายจบ โนอาร์กับเพื่อนก็เก็บของเหมือนเมื่อวาน ระหว่างที่เก็บของก็ได้ยินเสียงมาจากห้องนาฏศิลป์อีก แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เสียงเครื่องดนตรีแบบวันแรก แต่เป็นเสียง ‘เอื้อน’ ที่ถูกเปล่งออกมาจากผู้หญิง หลังจากได้ยินเสียงนี้ ด้วยความที่เป็นเด็กผู้ชาย โนอาร์คิดในใจว่า ‘ขอไปดูหน่อยดีกว่า เพราะเป็นนางรำด้วยคงจะสวยน่าดู’ จากนั้นก็เอ่ยปากชวนเพื่อนว่า “เห้ยพวกมึง เสียงผู้หญิงว่ะ” จากนั้นโนอาร์และเพื่อนก็รีบเก็บของ แล้วรีบเดินไปตามเสียงเอื้อนที่ได้ยิน ซึ่งต้นเสียงมากจากห้องนาฏศิลป์ ห้องนาฏศิลป์กับเวทีอยู่ไม่ไกล ห่างกันแค่ช่วงตึกเท่านั้น ลักษณะประตูของห้องนาฏศิลป์จะเป็นแบบบานเลื่อน ฟิล์มกระจกห้องเป็นแบบทึบ หากจะดูก็ต้องเอาหน้าทาบกระจกเพื่อที่จะได้เห็นข้างใน ภายในห้องนาฏศิลป์ก็จะมี ชุดไทย อุปกรณ์แต่งหน้าแต่งตัว เครื่องดนตรีไทย เศียรพ่อแก่ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับนาฏศิลป์ทั่วไป เมื่อเดินมาถึง โนอาร์ก็รู้สึกผิดสังเกต เพราะในห้องไม่ได้เปิดไฟ ถ้ามีคนมาซ้อมอย่างน้อยก็ต้องเปิดไฟ จะได้ซ้อมแบบสะดวก แต่ในห้องนาฏศิลป์ตอนนั้นกลับมืดสนิท ที่สำคัญคือยังมีเสียงเอื้อนดังออกมาจากห้อง โนอาร์ก็บอกกับเพื่อนว่า “เขาอาจจะซ้อมแบบไม่เปิดไฟหรือเปล่า?” เขายังคิดในแง่บวก แล้วก็บอกกับเพื่อนต่อว่า “เห้ย ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเข้าไปดูก็รู้เอง” ตอนนั้นเอง โนอาร์และเพื่อนยังยืนอยู่ที่หน้าห้องนาฏศิลป์ เสียงเอื้อนยังดังอยู่ แต่มองไม่เห็นอะไรเลยเพราะมืดมาก โนอาร์บอกกับเพื่อนอีกว่า “เห้ย เราแอบดูดีกว่า” พูดจบ โนอาร์และเพื่อนก็เอาหน้าทาบไปตรงกระจกเพื่อดู ก็ได้เห็นเหมือนเป็นผู้หญิง นั่งท่าเทพธิดาหันหลังไม่เห็นหน้า เธอมีผมยาวเกือบจรดพื้น ชุดที่ใส่ท่อนบนเป็นเสื้อนักเรียน ส่วนท่อนล่างจะนุ่งเป็นโจงกระเบนสีแดง แล้วเธอก็ทำท่ารำ พร้อมกับเปล่งเสียงเอื้อนออกมา ผู้หญิงคนนั้นทำแบบนั้นไปเรื่อย ๆ โนอาร์แปลกใจว่าทำไมเธอคนนั้นถึงไม่เปิดไฟ โนอาร์ส่งซิกกับเพื่อนว่า “เดี๋ยวกูจะเลื่อนประตูนะ แล้วมึงก็เอามือเอื้อมไปเปิดสวิตช์ไฟ” เนื่องจากสวิตช์ไฟอยู่ข้างประตูสามารถเอื้อมมือเข้าไปเปิดได้ เธอคนนั้นยังคงรำแล้วเอื้อนเสียงอยู่ โนอาร์มองไม่เห็นหน้าของเธอ แต่ก็มีจังหวะที่เธอกระแทกเสียงที่เปล่งออกมาให้ดังขึ้นกว่าเดิม จังหวะนั้นเธอก็ค่อย ๆ หันหน้ามา แต่โนอาร์กับเพื่อนก็ยังไม่เห็นหน้าของเธออยู่ดี เห็นแค่เสี้ยวหูกับมือที่รำอยู่เท่านั้น พอเห็นแบบนั้น โนอาร์ก็ส่งสัญญาณ 1 2 3 พอถึง 3 โนอาร์ก็เลื่อนประตู เพื่อนก็เอื้อมมือเปิดสวิตช์ไฟตามที่วางแผนกันเอาไว้ พอเปิดไฟจนห้องสว่าง แต่กลับไม่พบใครนั่งอยู่ตรงกลางห้องนั้นเลยแม้แต่คนเดียว! พอเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า เพื่อนอีกคนที่ไม่ได้เปิดสวิตช์ไฟและไม่ได้เปิดประตูก็ช็อค เพราะเพื่อนเห็นตอนจังหวะที่ผู้หญิงคนนั้นกระแทกเสียง แล้วเธอกำลังหันหน้ามา เพื่อนคนนี้เห็นว่าเธอคนนี้ไม่มีหน้า ในจังหวะที่เปิดไฟพอดี พอเห็นแบบนั้นก็ยืนค้างไปเลย แต่โนอาร์กับเพื่อนอีกคนที่เป็นคนเปิดสวิตช์ไฟก็รีบวิ่งหนีออกไปทันที! เช้าวันต่อมา ก็เล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง ไม่นานเรื่องนี้ก็หลุดไปถึงหูครูนาฏศิลป์ ครูก็บอกว่า“ผู้หญิงคนนั้นน่าจะเป็นรุ่นพี่ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจากด้านนอก เหมือนประมาณว่า เขาเป็นเด็กนาฏศิลป์เนี่ยแหล่ะ แล้วเขาใส่เสื้อนักเรียน นุ่งโจงกระเบนสีแดง ตามที่เห็นเลย แล้วเขาก็ไปเสียชีวิตด้านนอกเพราะอุบัติเหตุ ช่วงนั้นก็มีการทำบุญห้องนาฏศิลป์กันยกใหญ่เลย คนในโรงเรียนก็เริ่มกลัวเริ่มหลอนเพราะมันติดวัดด้วย” หลังจากคืนนั้นก็ทำให้โนอาร์และเพื่อน ๆ ที่ชอบแอ๊วสาวหลอนไปเลย ไม่กล้าไปแอบดูสาวที่ไหนอีกแล้ว(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณหนองน้ำ 'ผีนักวิ่ง' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 17 ธ.ค. 2567 ]

28 ธ.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณหนองน้ำ 'ผีนักวิ่ง' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 17 ธ.ค. 2567 ]

‘คุณหนองน้ำ’ สายจากทางบ้านได้นำเรื่อง ‘ผีนักวิ่ง’ มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (17 ธันวาคม 2567) ฟังกัน มาดูกันว่า ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ จะรู้สึกอย่างไร เรื่องราวจะหลอนขนาดไหน ไปอ่านพร้อมกันเลย! ‘คุณหนองน้ำ’ เกริ่นก่อนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของรุ่นพี่ที่รู้จักกันชื่อ ‘พี่กอล์ฟ’ เป็นชายหนุ่มวัยกลางคน ที่อยู่ในแวดวงไตรกีฬา วิ่ง ปั่นจักรยาน และว่ายน้ำ ซึ่งเรื่องที่พี่กอล์ฟได้นำมาเล่าให้คุณหนองน้ำฟัง เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2020 ตอนนั้นพี่กอล์ฟได้มีโอกาสไปวิ่งเทรล ที่จังหวัดเชียงใหม่ การวิ่งเทรล คือ การวิ่งในรูปแบบของการผจญภัยตามบริเวณหรือพื้นที่ธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นป่า ภูเขา เป็นเส้นทางที่ขรุขระ เนิน ดิน หิน ทราย และที่แน่นอนก็คือ เส้นทางวิ่งจะมีความแตกต่างจากการวิ่งแบบปกติในเมืองอย่างสิ้นเชิง ซึ่งพี่กอล์ฟวิ่งเทรลในระยะทาง 93 กิโลเมตร เป็นระยะทางที่ไกลมาก และจะเริ่มออกตัวในช่วงเวลากลางคืน โดยนักวิ่งส่วนใหญ่จะมีอุปกรณ์คู่ใจเวลาวิ่งในป่าคือ Headlamp (ไฟฉายคาดศีรษะ) และสิ่งนี้นั่นเองที่ทำให้พี่กอล์ฟไปเจอกับบางสิ่งบางอย่างในป่านั้น.. หลังจากที่ปล่อยตัวตอนกลางคืน ขณะที่พี่กอล์ฟวิ่งไปได้ระยะประมาณ 50 กิโลเมตร ระหว่างทางมีฝนตกลงมาอยู่ตลอด ทำให้การวิ่งเป็นไปได้ยากมากขึ้น เพราะว่าเส้นทางที่มันลื่นบวกกับตอนนั้นเป็นเวลากลางคืนอีกด้วย จึงทำให้วิสัยทัศน์ในการมองเห็นนั้นแคบลง สิ่งที่เกิดขึ้นคือเวลานักวิ่ง วิ่งไปเรื่อย ๆ นักวิ่งแต่ละคนจะค่อย ๆ ห่างกันไป จนเริ่มไม่เห็นไฟจาก Headlamp ของคนอื่นแล้ว เมื่อระยะทางเริ่มไกลขึ้น พี่กอล์ฟรู้สึกว่าไฟบนหัวของตัวเองเริ่มติด ๆ ดับ ๆ จากนั้นพี่กอล์ฟรู้สึกว่า มีอะไรบางอย่างลอยอยู่ทางซ้ายมือ ในตอนแรกพี่กอล์ฟคิดว่าตัวเองตาฝาด สุดท้ายก็ตัดสินใจหันไปดู สิ่งที่เห็นคือ ‘คุณยาย ผมประบ่า เสื้อผ้ามอมแมม’ มาตะคอกใส่พี่กอล์ฟว่า “มึงออกไป!!” หลังจากเจอสิ่งที่เกิดขึ้น พี่กอล์ฟตกใจมาก ไม่คิดว่าตัวเองจะมาเจออะไรแบบนี้ เพราะว่าตัวพี่กอล์ฟเป็นคนที่ลงสมัครงานวิ่งเยอะมาก แต่ก็ไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลย เรียกได้ว่าไม่เคยเจอผีมาก่อนในชีวิต หลังจากที่คุณยายพูดเสร็จ แค่แว๊บตาเดียวคุณยายคนนี้ก็หายไป แต่ด้วยความตกใจจึงทำให้ขาที่วิ่งอยู่ตอนนั้น วิ่งเร็วขึ้นไปอีก และคิดในใจว่าต้องวิ่งไปหานักวิ่งกลุ่มอื่น ๆ หลังจากที่เจอนักวิ่งกลุ่มอื่นแล้ว เพราะความตกใจที่ยังคงมีอยู่ ทำให้ความเร็วในการวิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนวิ่งหลุดนักวิ่งกลุ่มนั้นออกมาอยู่คนเดียวอีกครั้ง เพราะคิดเพียงแค่ว่าทำอย่างไรก็ได้ให้ออกไปจากตรงนี้ให้ได้ สักพักหนึ่ง พี่กอล์ฟได้เหลือบไปเห็นศาลระหว่างทาง เป็นศาลไม้เก่า ๆ ที่ดูขลังมาก หลังจากที่เห็นศาลนั้น พี่กอล์ฟก็ได้ยินเสียงลอยตามลมมาอีกครั้ง เป็นเสียงในระยะที่ใกล้มาก มาจากทางด้านซ้ายมือ พูดว่า “ทำไมมึงยังไม่ไป!!” แต่รอบนี้พี่กอล์ฟมองไม่เห็นตัวคุณยายแล้ว ในขณะนั้นพี่กอล์ฟรู้สึกว่า ‘วิ่งต่อได้ แต่ใจกับความคิดตอนนั้นคือเหม่อไม่รู้ตัวแล้วว่าวิ่งไปทางไหน’ สติอย่างเดียวของพี่กอล์ฟคือพยายามตามหาริบบิ้นที่ผูกไว้ตามต้นไม้ ที่ผูกไว้เพื่อบอกว่าจุดในไหนที่เป็นจุดพักต่อไป และสุดท้ายจากระยะทาง 93 กิโลเมตร พี่กอล์ฟวิ่งไปได้เพียง 63 กิโลเมตรเท่านั้น เพราะพี่กอล์ฟตัดสินใจขอ DNF (Did not finish) หรือก็คือเมื่อลงแข่งขันแล้วแต่วิ่งไม่จบ เช่น เหนื่อยไม่วิ่งต่อแล้วหรือหลงทางจนไม่สามารถไปถึงเส้นชัยได้ เพราะคิดว่าถ้าวิ่งต่อไปอาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ จึงตัดสินใจขอ DNF เมื่อกลับลงมาแล้ว อีกวันหนึ่งหลังจากที่พูดคุยกับนักวิ่งท่านอื่น ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มีใครเห็นศาลนั้นเลย..เหตุการณ์ที่ 2 เป็นเรื่องของคุณหนองน้ำเอง เป็นตอนที่คุณหนองน้ำปั่นจักรยานอยู่ ณ ที่หนึ่งในช่วงวันปีใหม่ ซึ่งแถวนั้นแทบไม่มีคนเลย ในขณะที่คุณหนองน้ำกำลังปั่นจักรยานผ่านจุดแลนด์มาร์คศาลจุดหนึ่ง จู่ ๆ คุณหนองน้ำก็ได้ยินเสียงผู้หญิงจากทางด้านขวาพูดว่า “จ๊ะเอ๋” ในใจตอนนั้นคิดว่าเป็นพี่ที่รู้จักกัน มาปั่นอยู่ข้าง ๆ แต่พอหันไปดูกับไม่เห็นใครอยู่เลย..เหตุการณ์ที่ 3 อีกเหตุการณ์หนึ่ง เป็นพี่ที่รู้จักกัน พี่คนนั้นได้วิ่งผ่านวัด และได้เจอกับแม่ชีคนหนึ่งยืนอยู่หน้าวัด ยิ้มให้ และพูดว่า “เข้ามาทานข้าวต้มก่อนไหม เข้ามากินข้าวก่อนไหมหนู”แต่พี่คนนั้นตอบกลับไปว่า “อ๋อไม่ค่ะ ไม่เป็นไร” เพราะตอนนั้นพี่เขากำลังวิ่งอยู่ หลังจากวิ่งเสร็จกลับมาที่งาน ก็มีการคุยกันกับนักวิ่งคนอื่น ๆ ในเรื่องต่าง ๆ จนมาถึงเรื่องของพี่คนนี้เล่าว่า ‘เมื่อเช้าวิ่งผ่านวัด ๆ หนึ่งแล้วเจอแม่ชีมาเรียก ให้ไปกินข้าวที่วัด’ คนในพื้นที่จึงถามขึ้นมาว่า “วัดไหนนะคะ” หลังจากที่บอกชื่อวัดไป คนในพื้นที่คนนั้นก็ตอบกลับมาว่า “วัดนี้เป็นวัดร้างนะ แต่ในอดีตเคยมีแม่ชีอยู่ที่นี่จริง ๆ แต่หลังจากที่แม่ชีคนนี้เสีย วัดนี้ก็ไม่ได้มีใครเข้ามาบูรณะต่อ”เหตุการณ์ที่ 4 เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องของพี่อีกท่านหนึ่ง ในขณะที่พี่คนนี้วิ่งงานเทรลอยู่ ระหว่างวิ่งนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นว่ามีคนวิ่งนำหน้า พี่คนนี้จึงวิ่งตามไปเพราะคิดว่าตัวเองวิ่งหลุดกลุ่ม ปรากฏว่าที่วิ่งไปไม่มีใครอยู่เลย จนเจ้าหน้าที่มาตามกลับ และบอกว่า “ตรงนี้มันไม่ใช่เส้นทางที่ให้นักวิ่งผ่านนะ มันผิดเส้นทาง”เหตุการณ์ที่ 5 เป็นเรื่องของแฟนคุณหนองน้ำ แฟนคุณหนองน้ำได้ไปซ้อมวิ่งในช่วงเช้า สถานที่ใกล้กรุงเทพฯ หลังจากที่วิ่งขึ้นเขาลูกหนึ่งไป ซึ่งเป็นปกติที่เวลาขึ้นเขานักวิ่งจะใส่ Headlamp แต่แสงไฟดันไปส่องเห็น ‘คนที่นอนอยู่บนถนน เป็นผู้ชายหัวโล้น นอนในลักษณะเอาหัวพาดไปที่ถนน นอนหันหลัง’ แฟนคุณหนองน้ำคิดว่าจะไม่ข้ามคน ๆ นี้จึงวิ่งเบี่ยงตัวออกไป ในขณะที่กำลังจะวิ่งผ่าน เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวผู้ชายที่นอนอยู่ก็หายไป หลังจากนั้นแฟนคุณหนองน้ำจึงไปทำบุญที่วัด ซึ่งวัดนี้เป็นเหมือนจุดรวมของปรักหักพังจากการบูชาและศาลที่ไม่ได้บูชาแล้ว แฟนคุณหนองน้ำก็ได้มีโอกาสคุยกับเจ้าอาวาสของวัดนี้ และได้เล่าสิ่งที่ตัวเองเจอในตอนเช้า เจ้าอาวาสก็ได้ตอบกลับมาว่า “เป็นธรรมดาแหละโยม เพราะตรงนี้เป็นจุดที่หลายคนเอาโกศมาทิ้ง แต่ไม่ได้ทำพิธี เลยอาจจะทำให้เจอได้บ้าง” จึงทำให้หลาย ๆ คนที่ใช้เส้นทางเจอกับผู้ชายคนนี้..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณเป้ ‘ห้องนี้ห้ามเข้า’ I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ขวัญ อุษามณี [ 8 ต.ค. 2567]

12 ต.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณเป้ ‘ห้องนี้ห้ามเข้า’ I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ขวัญ อุษามณี [ 8 ต.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง X (8 ตุลาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘คุณเป้‘ ที่ได้มาเล่าเรื่อง ’ห้องนี้ห้ามเข้า’ ให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม‘ และแฟนรายการฟัง ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นภายในบ้านที่ต่างประเทศ ทนไม่ไหวจนต้องย้ายออกจากบ้านทันที! เรื่องราวจะเป็นยังไง จะหลอนขนาดไหน ไปอ่านพร้อมกันเลย! คุณเป้เล่าว่าเป็นเรื่องของน้องที่ต่างประเทศคนหนึ่ง เขาชื่อ ‘อิงอิง’ เป็นคนจีนที่สอนหนังสือชั้นอนุบาลในสิงค์โปร์ ในตอนนั้นคุณอิงอิงกำลังหาที่พักใหม่เนื่องจากที่เดิมไกลจากโรงเรียนมาก ต้องใช้เวลาในการเดินทางไปโรงเรียน 3-4 ชั่วโมง จนได้ไปเจอป้ายติดประกาศตามกำแพงจึงตัดสินใจโทรไป มีคุณลุงแก่ ๆ รับสาย ก็ได้เจรจาพูดคุยกันเกี่ยวกับที่พักเเล้วก็ได้นัดเจอกัน ต่อมาเมื่อถึงเวลาที่นัดประมาณ 6 โมงครึ่ง คุณลุงก็นั่งรออยู่ตรงทางเข้า ลักษณะภายนอกของคุณลุงดูไม่ค่อยเป็นมิตร แต่คุณลุงก็ได้พาคุณอิงอิงเดินเข้าไปเรื่อย ๆ จนไปเจอบ้านชั้นเดี่ยวหลังหนึ่ง เมื่อเดินสำรวจรอบบ้านเเล้วคุณอิงอิงก็ถูกใจบ้านหลังนี้ การเดินทางไปโรงเรียนก็สะดวกเเละไวกว่าที่เก่า คุณลุงเห็นว่าคุณอิงอิงชอบจึงได้พูดคุยเเละบอกกฎของบ้านว่า “ห้องนี้มี 2 ห้องนอนนะ ทางขวามือเป็นห้องเก่าของลุงเอง ซึ่งตอนนี้ไม่ได้อยู่เเล้ว ใครมาถามหาลุงก็บอกไปนะว่าลุงไม่อยู่ ห้ามพาใครมาอยู่ที่บ้านหลังนี้เเละที่สำคัญคือห้องตรงนั้นที่เป็นห้องเก็บของ ห้ามเด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามเข้าไปในห้องนี้ ถ้าลุงรู้ไล่ออกจากบ้านทันที ยกเลิกทุกอย่าง ค่าน้ำค่าไฟหนูจ่ายเเค่ค่าน้ำอย่างเดียวนะ ค่าไฟลุงจ่ายเองทั้งหมด“ เมื่อได้ยินดังนั้น คุณอิงอิงก็รู้สึกแปลก ๆ เเต่คุณลุงบอกราคาเช่าที่ถูกมาก ทำเอาตนลบความแปลกนั้นออกไปจากสมองทันที จึงตัดสินใจที่จะเช่าบ้านหลังนี้ เเล้วก็ได้ย้ายของเข้ามาทันที ไม่นานหลังจากนั้น ก็ย้ายของเข้ามา ด้วยความเพลียจากการที่ตนจัดห้องจึงทำให้เผลอหลับไปในช่วงค่ำ ในตอนนั้นก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในห้อง! เเล้วเสียงก็เงียบไป.. วันต่อมา คุณอิงอิงกลับมาจากโรงเรียนก็ทำธุระส่วนตัวเเล้วก็เข้านอน ในช่วงกลางดึกก็ได้ยินเสียงเหมือนเดิมเเต่รอบนี้มีเสียงทุบประตูด้วย! ปึ้งง ปึ้งงง! เเละตนก็ได้ยินว่า “พอแล้วว ไม่ทำแล้ว” เเล้วเสียงนั้นก็เงียบไป ณ ตอนนั้นเองคุณอิงอิงก็คิดว่าอาจจะเป็นเสียงข้างบ้านทะเลาะกัน จนผ่านไปเรื่อย ๆ เหตุการณ์ในบ้านก็เริ่มหนักขึ้น จนตนรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มันแปลก.. คืนหนึ่งในขณะที่ตนนอนอยู่ ก็รู้สึกว่าหนาวผิดปกติจึงจะลุกไปปิดหน้าต่างเเละประตู เมื่อหันไปดูที่หน้าต่างปรากฎว่าหน้าต่างปิดอยู่ จึงลุกไปปิดประตู เเต่ในขณะที่กำลังจะปิดก็มีไอเย็นบางอย่างที่อยู่ภายในบ้านตามพื้น ตนสัมผัสได้จากเท้าเปล่าเเละสงสัยว่ามาจากไหน จึงเดิมตามไอเย็นนั้นไป ปรากฎว่าไอเย็นนั้นที่ตนสัมผัสได้มันมาจากห้องเก็บของ! เเต่ห้องมันล็อคไว้อยู่เเล้วคุณลุงก็สั่งห้ามเข้า ตนไม่อยากยุ่งเพราะกลัวว่าจะโดนไล่ออกจากบ้าน จนเวลาผ่านไป.. ในคืนหนึ่ง คุณอิงอิงก็รู้สึกว่ามีเสียง กึ๊กกึก แกกแกกก! ดังอยู่ข้าง ๆ หู จึงลืมตาเเล้วปรากฎว่า กลายเป็นมือของตัวเองที่กำลังหมุนลูกบิดประห้องเก็บของ! ตนตกใจมากเพราะกำลังนอนอยู่เเล้วฝันละเมอมาห้องนี้ เเต่ในขณะนั้นก็มีเสียงร้องไห้สะอื้นมาจากห้องนี้! จนทำให้เริ่มรู้สึกกลัวเเละก็ได้กลับไปทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ ตั้งเเต่คืนแรกที่เจอภายในบ้าน จนทำให้ตนรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มันต้องมีอะไรเเน่นอน ในเช้าวันถัดมา คุณอิงอิงก็ได้เล่าเรื่องสิ่งที่เจอในบ้านหลังนี้ให้เพื่อนที่โรงเรียนฟัง เเต่กลับโดนเพื่อนบอกว่า “มึงฝันละเมอไปเองรึเปล่า?” ตนก็รู้สึกว่าไม่น่ามาเล่าให้เพื่อนฟัง เเต่ก็มีเพื่อนคนหนึ่งที่เชื่อเรื่องนี้เเละสัมผัสได้ว่าเรื่องที่คุณอิงอิงเล่าเป็นเรื่องจริง จึงได้เเอบเอาสร้อยประคำ 1 เส้นให้ คุณอิงอิงจึงรู้สึกสบายใจที่ได้สร้อยประคำเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เเล้วตนก็ได้บอกว่า “ถ้าคืนนี้มันมีเหตุการณ์เเบบนี้อีกนะ ไม่เอาเเล้ว” จากนั้นก็เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าลาก วางอยู่ใกล้ตัวเพื่อที่จะได้สามารถย้ายออกทันที เเละตนก็ได้หลับไป.. แล้วในคืนนั้น ตนก็สะดุ้งตื่นกลางดึกเหมือนเดิม เพราะรู้สึกว่าเหมือนใครกำลังคร่อมตนอยู่! เเต่มองไม่เห็นเพราะในห้องมันมืด เเล้วก็มีเสียงเหมือนมีดที่กำลังกรีดตามผนังห้อง! สักพักเสียงนั้นก็หยุดไปเเต่กลับมาแทงบนเตียงนอน เเทงนับไม่ถ้วน! เเล้วก็มีเสียงเข้ามาในห้องว่า “หยุด พอได้เเล้ว ชั้นผิดไปแล้ว ชั้นขอโทษ” ในตอนนั้นคุณอิงอิงตกใจก็กรี๊ดสุดเสียงเพราะกลัว เมื่อได้โอกาสตนจึงคว้ากระเป๋าเเล้วรีบวิ่งออกจากห้องนั้นทันที เเต่ในขณะที่กำลังจะออกจากบ้าน สายตาของตนเห็นสร้อยประคำที่เพื่อนให้ไว้ เเขวนอยู่ตรงหน้าประตู! ตนรู้สึกว่าสร้อยนั้นเป็นของสำคัญจึงรีบไปเอาสร้อยนั้น เเล้วในขณะที่กำลังจะคว้าก็มีรอยแกะสลักเป็นตัวอักษรภาษาจีนว่า ช่วยด้วย! นาทีนั้นตนคิดว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะช่วยใคร จึงรีบคว้าสร้อยนั้นเเล้ววิ่งออกไปจากบ้าน ในตอนนั้นเป็นเวลาประมาณตี 4 กว่า จึงได้ไปนั่งอยู่ตามร้านขายของข้างทางจนเช้า เเล้วได้นั่งรถไปที่โรงเรียน เมื่อถึงโรงเรียนก็รีบโทรหาคุณลุงทันที ในใจตนคิดว่าจะย้ายออกจาก ไม่อยู่เเล้วบ้านหลังนี้ สักพักหนึ่งคุณลุงก็รับสายเเล้วพูดว่า “เออ โอเคตกลง” ทั้ง ๆ ที่คุณอิงอิงยังไม่ได้พูดอะไรเลย เหมือนรู้ว่ากำลังจะพูดอะไร ตนจึงเอาของไปเก็บเเละย้ายพักอยู่กับเพื่อนชั่วคราว ผ่านไปประมาณ 1 เดือน ขณะที่กำลังดื่มกาแฟกับเพื่อนอยู่ในตอนเช้า คุณอิงอิงก็เห็นรูปผู้ชายคนหนึ่งอยู่ตรงปกหนังสือพิมพ์ที่เพื่อนกำลังอ่าน ตนรู้สึกแปลกใจเพราะคุ้นผู้ชายคนนี้มาก ๆ จึงขอยืมหนังสือพิมพ์เพื่อนมา เเล้วคลี่อ่าน เมื่อตนเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นก็ช็อค! ตกใจมาก เพราะเขาคือคุณลุงเจ้าของบ้านที่ตนไปเช่า ข่าวในหนังสือพิมพ์เขาเขียนว่า “เจ้าของบ้านถูกจับข้อหาฆาตกรรมภรรยาตัวเองภายในบ้าน! สาเหตุเกิดจากการหึงหวงภรรยาทะเลาะกันเรื่องชู้สาว ครอบครัวผู้หญิงมีการติดต่อมาอยู่เรื่อย ๆ เเต่ไม่มีการตอบกลับ จึงได้เเจ้งเรื่องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ไปตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้ไปตรวจสอบที่บ้านหลังนี้เเล้วก็ได้พบศพอยู่ในตู้เเช่เย็นภายในห้องเก็บของ! สภาพศพตามร่างกายถูกเเทงพรุนทั้งตัว! ตามใบหน้าถูกกรีดจนจำใบหน้าไม่ได้!” เมื่อคุณอิงอิงอ่านข่าวจบก็ถึงกับช็อค! เพราะไม่คิดว่าตนจะนอนอยู่กับศพเป็นเวลา 1 สัปดาห์เเละก็หายสงสัยเรื่องค่าไฟที่คุณลุงบอกว่าจะจ่ายเอง เป็นเพราะว่าเขาเปิดตู้เเช่เย็นตลอดเพื่อแช่ศพภรรยาตัวเองไว้นั่นเอง!(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

อยากผูกมิตรกับเพื่อนบ้านชั้นบน จึงนำพิซซ่าขึ้นไปให้ แต่กลับมาเจอผู้หญิงแปลก ๆ โผล่มาแค่ครึ่งหน้า พร้อมกับลูกชายอีก 2 คน แถมห้องยังมีกลิ่นแปลก ๆ อีก! เมื่อโทร.แจ้งให้ตำรวจมาตรวจสอบ ก็พบว่า.. นี่มันคือคดีฆาตกรรม!

25 พ.ค. 2023

อยากผูกมิตรกับเพื่อนบ้านชั้นบน จึงนำพิซซ่าขึ้นไปให้ แต่กลับมาเจอผู้หญิงแปลก ๆ โผล่มาแค่ครึ่งหน้า พร้อมกับลูกชายอีก 2 คน แถมห้องยังมีกลิ่นแปลก ๆ อีก! เมื่อโทร.แจ้งให้ตำรวจมาตรวจสอบ ก็พบว่า.. นี่มันคือคดีฆาตกรรม!

ครั้งแรกของการโคจรมาพบกัน ระหว่าง ‘คืนพุธมุดผ้าห่ม’ และ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 พฤษภาคม 2566) กับเรื่องหลอนสิบกะโหลกจาก ‘ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ ที่ทำเอา ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และทีมงานอึ้งทั้งสตู! กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘เด็กชั้นบน’ ต้นกล้าเกริ่นว่าเรื่องนี้เคยเล่าไปเมื่อหลายปีก่อน เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น มีผู้ชายคนหนึ่ง นามสมมุติ ‘ฮิโรชิ’ พนักงานที่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน กระทั่งประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เขาจึงต้องพักฟื้นตัวอยู่ที่ห้อง พอต้องอยู่ห้องตลอด ฮิโรชิก็เริ่มสังเกตสภาพแวดล้อมของห้องตัวเอง ในช่วงเย็น ฮิโรชิจะได้ยินเสียงฝีเท้าเด็กจากห้องชั้นบน หรือบางครั้งที่ฮิโรชิเปิดหน้าต่างรับลม ก็จะได้ยินเสียงเด็กหัวเราะคุยเล่นกันอยู่ข้างบน เย็นวันหนึ่ง ฮิโรชิสั่งพิซซ่าโปรโมชัน 1 แถม 1 มา แต่กินไม่หมด คิดในใจว่าถ้าเก็บไว้แล้วเอามาอุ่นกินอีกรอบก็คงจะไม่อร่อย ทันใดนั้น ฮิโรชิก็คิดถึงห้องชั้นบนที่มีเด็กอาศัยอยู่ขึ้นมา และอยากผูกสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน จึงนำพิซซ่า 1 ถาดเดินขึ้นไปให้ห้องชั้นบน ณ ตอนนั้น ก็เป็นช่วงหัวค่ำเข้าไปแล้ว.. เมื่อเดินมาหยุดที่หน้าประตูห้องชั้นบน ฮิโรชิก็กดกริ่งที่หน้าห้อง แต่ก็ไร้เสียงตอบรับจากฝั่งตรงข้าม ฮิโรชิกดกริ่งอีกครั้ง เวลาผ่านไปไม่กี่อึดใจ ก็มีเสียงผู้หญิงตอบกลับมาว่า “ค่า ใครคะ?” ฮิโรชิจึงรีบบอกไปว่า “ขอโทษนะครับ ผมไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน ผมอยู่ห้องชั้นล่าง แล้วเคยได้ยินบ่อย ๆ ว่าห้องของคุณมีเด็กอาศัยอยู่ ผมเลยเอาพิซซ่ามาให้ครับ” แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า “ไม่เป็นไรค่ะ เรากินข้าวเย็นกันแล้ว” ฮิโรชิที่ตั้งใจจะเอาพิซซ่ามาให้ก็พูดไปว่า “ถือซะว่าเป็นการทักทายของเพื่อนบ้านละกันครับ ยังไงช่วยรับไว้หน่อยนะครับ” สิ้นเสียงฮิโรชิ ผู้หญิงคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า “โอเคค่ะ” จากนั้นประตูก็เปิดออกช้า ๆ เมื่อประตูแง้มเปิดออก แต่กลับไม่มีแสงไฟลอดออกมาจากห้องเลย กลายเป็นแสงจากทางเดินที่ช่วยให้ฮิโรชิเห็นหน้าครึ่งหนึ่งของผู้หญิงที่เขาสนทนามาด้วยตลอด เธอยื่นหน้าออกมาแค่ครึ่งหน้า ตาลอย และมีกลิ่นแปลก ๆ ลอยออกมาจากห้องด้วย ฮิโรชิอึ้งอยู่ไม่กี่วิก็รีบกุลีกุจอยื่นของให้ “นี่ พิซซ่าครับ” แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “คือ.. ไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะ” ฮิโรชิยังคงคะยั้นคะยอให้เธอรับ แต่เธอยังยืนกรานว่า “ไม่เอาค่ะ งั้นขอรบกวนแค่นี้นะคะ เชิญกลับได้แล้วค่ะ” ฮิโรชิได้ยินดังนั้นก็ถอดใจ และเตรียมจะถอยหลังกลับ แต่ก็สังเกตเห็นหน้าเด็ก 2 คนโผล่ออกมาครึ่งหน้าข้างล่างผู้หญิงคนนั้น ฮิโรชิก็พูดขึ้นว่า “หนูอยากกินพิซซ่าหรือเปล่า? งั้นวางไว้ตรงนี้ก็แล้วกันนะ” จากนั้น ผู้หญิงคนนั้นก็กล่าวขอบคุณเสียงเบา ฮิโรชิวางพิซซ่าไว้หน้าห้องแล้วเดินออกมา เสียงปิดประตูก็ดัง “ตึง” ตามหลังมา ฮิโรชิคิดในใจว่าครอบครัวนี้แปลก ๆ อยู่กันยังไงในห้องมืด ๆ แถมพอมีคนมา ยังเปิดประตูไว้นิดเดียวแล้วโผล่มาแค่ครึ่งหน้าอีก “ไม่น่ามาเลย” ฮิโรชิคิดในใจ ระหว่างที่กำลังจะเปิดประตูบันไดหนีไฟเพื่อเดินลงไปห้องตัวเองนั้น ฮิโรชิก็รู้สึกเหมือนว่ามีบางสิ่งบางอย่างมองมาที่เขาอยู่ พอหันหลังกลับไป เขาก็เห็นว่ามุมทางเดิน (ลักษณะทางเดินจากประตูหนีไฟและห้องนั้นเป็นรูปตัว L) มี 3 คนโผล่มาครึ่งหน้า เป็นแม่และลูก 2 คน จ้องมองมาที่ฮิโรชิอยู่! ฮิโรชิรู้สึกแปลกใจมากกว่าเดิม และคิดว่าถ้ามีคนแอบมอง เราจะเห็นไหล่ของเขาบ้าง แต่ฮิโรชิเห็นแค่หัว! เหมือนเอาหัวมาเรียงกันยังไงยังนั้น! ฮิโรชิรีบเดินลงมาข้างล่าง แต่กลับไม่อยากเข้าห้องตัวเอง อยากออกไปสูดอากาศข้างนอกมากกว่า เมื่อเดินออกมาข้างแล้ว ฮิโรชิก็ตัดสินใจโทร.หาตำรวจ และแจ้งว่าเจอเพื่อนบ้านแปลก ๆ อยากให้ตำรวจมาตรวจสอบ เมื่อตำรวจมาถึง ฮิโรชิที่ยืนรออยู่ข้างหน้าอะพาร์ตเมนต์ ก็ได้ยินเสียงตำรวจวิ่งลงมาหน้าตาตื่น และบอกว่า “มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น!” หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ก็เริ่มมาตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง จนได้ผลสรุปว่า “คุณพ่อของครอบครัวห้องชั้นบน ฆาตกรรมลูกกับเมียตัวเองด้วยการตัดคอ และยังพบหัวในห้องนั้นอีกด้วย เมื่อตามรอยเลือดไปก็พบว่าฆาตกรแอบซ่อนอยู่ในห้องของคุณฮิโรชิ!” นั่นหมายความว่า ถ้าตอนนั้นฮิโรชิตัดสินใจกลับเข้าห้อง เขาก็อาจกลายเป็นเหยื่อในคดีฆาตกรรมนี้ก็เป็นได้! ส่วนหัวที่โผล่มา เป็นเพราะฆาตกรจับหัวให้โผล่มาคุยกับฮิโรชินั่นเอง! ต้นกล้าปิดท้ายว่า “เรื่องนี้เป็นเหมือนกับตำนานเมือง” และยังเสริมอีกว่า ธรรมเนียมของประเทศญี่ปุ่น การนำของไปให้เพื่อนบ้านถือเป็นการผูกมิตรที่ดี และส่วนใหญ่เรื่องหลอนก็มาจากสถานการณ์แบบนี้ได้เช่นกัน (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1