ความเชื่อ ความศรัทธา ความมุ่งมั่นที่จะทำเพื่อสังคม และเหตุผลของ ‘โตโน่ ภาคิน’ ชายที่ขอไม่ยอมแพ้ให้กับกระแสดรามา

อังคารคลุมโปง RECAP

ความเชื่อ ความศรัทธา ความมุ่งมั่นที่จะทำเพื่อสังคม และเหตุผลของ ‘โตโน่ ภาคิน’ ชายที่ขอไม่ยอมแพ้ให้กับกระแสดรามา

03 มี.ค. 2023

     ใน “รายการอังคารคลุมโปง X” ที่ผ่านมา (21 กุมภาพันธ์ 2566) “ดีเจแนน” และ “ดีเจเจ็ม” ได้พูดคุยถึงเรื่องราวลี้ลับและความเชื่อที่เกิดขึ้นกับ “โตโน่ ภาคิน” ชายผู้ตัดสินใจจะว่ายน้ำข้ามแม่น้ำโขง เพื่อรับบริจาคเงินซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้โรงพยาบาลนครพนม (ฝั่งไทย) และ โรงพยาบาลแขวงคำม่วน (ฝั่งลาว) ในโครงการที่ชื่อว่า “One Man and The River” ซึ่งในตอนท้ายได้เงินบริจาคถล่มทลายไปกว่า 80 ล้านบาท

     โตโน่เล่าว่าเรื่องที่พบเจอนั้นไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเกี่ยวกับผีแต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องของความเชื่อ เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ใกล้จะถึงวันว่ายน้ำ ตอนนั้นยังซ้อมอยู่ที่กรุงเทพฯ โตโน่ได้ฝันเห็นคน 7 คน มี 2 คนเข้ามาคุยกับโตโน่ ใส่เสื้อสีแดงและสีขาว ส่วนอีก 5 คน ยืนอยู่เกาะกลางน้ำ มองไปแล้วสวยงามมาก ซึ่งโตโน่เองก็จำไม่ได้ว่าเรื่องที่คุยกับ 2 คนนั้นเป็นเรื่องอะไร คืนต่อมาก็ฝันเห็นพญานาคอยู่ใต้แม่น้ำโขง โตโน่คิดเพียงแค่ว่าอาจจะเพราะใกล้ถึงวันภารกิจแล้ว ใจเราอาจจะคิดถึง แล้วเก็บไปฝันก็เป็นได้

     พอมาถึงจังหวัดนครพนม จากที่ก่อนหน้านี้เจอดรามาหนัก ๆ พอมาถึงโตโน่ก็รู้สึกได้ถึงความรักและกำลังใจจากทุกคนที่มาคอยเอาใจช่วยที่นี่ จากนั้นก็มีชาวบ้านจากจังหวัดน่าน ชื่อว่า “พี่กัน” เขาได้มอบเสื้อให้โตโน่ 2 ตัว ตัวแรกเป็นลายพญาศรีสัตตนาคราช ส่วนอีกตัวเป็นลายปู่ศรีสุนโธ ซึ่งคนที่เขียนลายนี้เป็นเพื่อนของ อ.ถวัลย์ ดัชนี เขาไม่ได้เขียนรูปมาหลาย 10 ปีแล้ว แต่อยู่ ๆ เขาก็อยากจะเขียนให้โตโน่ โตโน่ได้รับมาก็รู้สึกขอบคุณ และตั้งใจว่าวันพรุ่งนี้ ที่จะต้องไปไหว้พระธาตุพนม ตนจะใส่เสื้อลายพญาศรีสัตตนาคราชไป ซึ่งไม่ได้บอกใคร

     เมื่อวันไหว้พระธาตุพนมมาถึง ก็มีพระอาจารย์มากมาย หนึ่งในนั้นมีพระอาจารย์ท่านนึง พาโตโน่ขึ้นไปไหว้พระธาตุพนม และพูดกับโตโน่ว่า “ดีใจด้วยนะ มาอยู่ มาประทับทั้งบ่าซ้ายบ่าขวาแล้วนะ” นั่นทำให้โตโน่รู้สึกใจชื้นมากยิ่งขึ้น พอออกมาจากพระธาตุพนม ยอดบริจาคจากเดิมอยู่ที่ 7 ล้าน ก็เพิ่มขึ้นมาเป็น 15 ล้านอย่างไม่น่าเชื่อ!

     พอคืนวันที่ 2 ทางทีมก็ได้ประชุมกัน พบว่าสภาพอากาศของวันว่ายจะมีพายุเข้า โตโน่ก็รู้สึกเป็นห่วงทั้งชาวบ้านที่มาคอยให้กำลังใจ ทั้งทีมงาน แพทย์ และพยาบาล โตโน่จึงนึกถึงฝัน ที่เคยฝันว่าเห็น 7 คน อาจจะสื่อถึงพญาศรีสัตตนาคราชที่ดูแลพระธาตุพนม เพราะมี 7 ตนเท่ากัน และคิดในใจว่า “พ่อเอ้ย ถ้าจริง อยากให้เป็นยังไงก็เป็นยังงั้นเลย ถ้าฝนตก ผมจะถือว่าพ่อไม่อยากให้ผมร้อน ผมจะลงไปว่าย ผมจะทำให้เขา จะได้กี่บาทผมไม่รู้”

     จากนั้นวันจริงก็มาถึง ในระหว่างที่ทำพิธีบวงสรวงก่อนว่าย ปรากฏว่าฝนไม่ตก กลายเป็นวันที่อากาศแจ่มใส โตโน่บอกว่าตนเองว่ายน้ำได้สบายมาก นอกจากนี้โตโน่ยังบอกอีกว่ามีความบังเอิญอีกหนึ่งอย่าง ในวันนั้นโตโน่ใส่พญาศรีสัตตนาคราช และบอกว่า “พระอาจารย์เทพนรินทร์ที่มาทำพิธีให้ ท่านมาจากอุดร / พระอาจารย์ที่ทัก ท่านอยู่นครพนม / ส่วนพี่กันที่เอาเสื้อมาให้ มาจากน่าน และทั้ง 3 คนไม่รู้จักกัน อยู่ ๆ พระอาจารย์เทพนรินทร์ถอดเหรียญปู่ศรีสุนโธให้ผม มันเลยตรงมาก ๆ กับที่พระอาจารย์ที่พระธาตุพนมบอกว่า มาทั้งซ้ายและขวานะ”

     นอกจากนี้โตโน่ยังเล่าเสริมอีกว่า โตโน่ไม่เคยมีความรู้เรื่องพญาศรีสัตตนาคราช หรือปู่ศรีสุนโธมาก่อนเลย ไม่เคยทราบที่มาที่ไป หรือประวัติเกี่ยวกับท่านเลย รู้แค่ว่าอยากจะช่วยสานสัมพันธ์ให้ไทย-ลาว ท่านผู้ว่าเองก็บอกว่าเราไม่มีสัมพันธ์กันมา 3 ปีแล้ว เพราะสถานการณ์โควิด ครั้งนี้จึงเป็นการช่วยเชื่อมสัมพันธ์ให้ไทยกับลาวอีกครั้ง ก่อนปิดท้ายว่า “ผมขอขอบคุณทุกคน ทั้งคนไทย คนลาว และทุกคนที่ช่วยกันทำให้วันนั้นมันเกิดขึ้น ผมไม่รู้จะตอบแทนทุกคนยังไง ทุกคืนที่ผมนอน (ตอนอยู่นครพนม) อยู่ ๆ ผมก็อยากฟังพระสวด ตื่นเช้ามาก็อยากจะรำ” คำตอบนั้นทำให้ทั้งสตูดิโอถึงกับอึ้ง โตโน่จึงเสริมว่า “ก่อนหน้านี้ที่ลานพญาศรีสัตตนาคราช ท่านผู้ว่าบอกว่าวันที่ 7 เดือน 7 พญาศรีสัตตนาคราชชอบคนรำ แต่ผมรำไม่เป็น ให้ผมช่วยอย่างอื่นเถอะ แล้วพอได้มาที่นครพนม 3 วันนั้น มันเหมือนกับเชื่อมอะไรบางอย่าง แล้วก็รู้สึกได้ยินเสียงพูดว่า รำให้พ่อดูหน่อย” โตโน่ยังเสริมอีกว่า ทุกเช้าจะตื่นมานั่งสมาธิ แล้วจะเปิดฟังพระสวดไปด้วย ปรากฏว่าอัลกอริทึมรันเพลย์ลิสต์เพลงพญาศรีสัตตนาคราช “ผมเลยรำ รำคนเดียวในห้อง แล้วผมก็รู้สึกในใจว่า ผมทำเต็มที่นะพ่อ เท่าที่ผมจะทำได้แล้ว ผมอยากให้คนไทยและคนลาวรักกัน ผมช่วยได้เท่านี้นะพ่อ ส่วนการว่ายน้ำพรุ่งนี้ มันจะเป็นยังไงก็ขอให้มันเป็นไปในแบบของมัน ยอดบริจาคผมไม่สนว่าจะได้เท่าไหร่ หรือมันจะเกิดอะไรขึ้นกับผม แล้วแต่จะเป็น..”

     หลังจากว่ายน้ำเสร็จ โตโน่กล่าวว่า “ผมไม่รู้จะขอบคุณทุกคนยังไง นั่นเป็นที่มา ที่ผมอยากบวชให้ เพราะพญาศรีสัตตนาคราชบวชไม่ได้ ผมอยากเป็นตัวแทน เพราะได้ยินว่าผู้เฒ่าผู้แก่บอกผมว่าผมเป็นลูก ด้วยความเชื่อของผม ในเมื่อตอนนี้ผมทำให้ได้ ผมบวชให้”

     โตโน่เสริมว่า โปรเจ็ค “One Man and The River” ตอนนี้ทางด้านฝั่งลาวอยู่ในขั้นตอนของการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ต่างประเทศ เพราะบางอย่างไม่มีในบ้านเรา คาดว่าจะเสร็จสิ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม ส่วนทางฝั่งไทยนั้น ตอนแรกโตโน่คิดว่าจะได้แค่เตียงเด็ก แต่พอยอดบริจาคพุ่งขนาดนี้ ทำให้ซื้อได้ทั้งศูนย์หัวใจและหลอดเลือด มอบให้กับจังหวัดนครพนม แต่ต้องใช้เวลาในการสร้าง เพราะไม่ใช่แค่เรื่องอุปกรณ์ และในตอนท้ายดีเจเจ็มได้กล่าวชื่นชมความศรัทธา ความเชื่อ และความมุ่งมั่นของโตโน่

(เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ติดตามฟังเรื่องเต็มได้ที่
 

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณมิ้น หัตถา ‘คนผูกดวง’ l อังคารคลุมโปง X เบคกี้ - พิม [8 เม.ย 2568]

14 เม.ย. 2025

เรื่องเล่าจากคุณมิ้น หัตถา ‘คนผูกดวง’ l อังคารคลุมโปง X เบคกี้ - พิม [8 เม.ย 2568]

ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (7 เมษายน 2568) ‘คุณมิ้น หัตถา’ นักเล่าเรื่องขวัญใจโซเชียล มาพร้อมกับเรื่อง ‘คนผูกดวง’ ประสบการณ์สัมผัสกับสิ่งลี้ลับของ ‘เมย์’ รุ่นน้องที่สนิทกัน ซึ่งเหตุการณ์แปลก ๆ เริ่มคืบคลานเข้ามาในชีวิตหลังจากเข้าร่วมพิธีกรรบางอย่าง ตามไปฟังเรื่องนี้แบบเต็ม ๆ พร้อมกันกับ ‘ดีเจมดดำ’, ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ความห่วงใยของแม่ คือความรักบริสุทธิ์ที่ไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน แต่เมื่อความรักนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความยึดมั่นในความเชื่อบางอย่าง การกระทำที่มองว่าเป็นการเสริมดวงเสริมบารมี อาจกลับกลายเป็นประตูที่เปิดพาชีวิตลูกสาวให้ก้าวเข้าสู่โลกของสิ่งลี้ลับโดยไม่รู้ตัว ‘เมย์’ หญิงสาววัยทำงานผู้ที่กำลังมีชีวิตเรียบง่าย เป็นมิตรกับทุกคน ไม่ได้เชื่อหรือสนใจเรื่องดวง โชคชะตา หรือพิธีกรรมใด ๆ แต่เธอกลับต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่เหนือคำอธิบาย หลังจากแม่ของเธอพาไปพบ ‘พ่อหมอ’ ชื่อดังจากประเทศเพื่อนบ้าน ผู้มีชื่อเสียงด้านการดูดวงและประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ แม่ของเมย์เชื่อมั่นในเรื่องดวงชะตาเป็นอย่างมาก ตำหนักไหนว่าดี สำนักไหนว่าแม่น ก็ไม่เคยพลาด จนวันหนึ่งได้พบพ่อหมอผู้ทำนายว่า เมย์เป็น ‘ดวงเชิดชูแม่’ มีชะตาแต่งงานกับเศรษฐี มีเกณฑ์ช่วยยกระดับชีวิตครอบครัวให้รุ่งเรืองได้ หากมีการทำพิธีเพื่อผูกดวงและรับขันครูเพื่อคุ้มครองชะตา แม้เมย์จะลังเลและไม่เชื่อ แต่สุดท้ายก็ยอมเข้าพิธีเพื่อความสบายใจของแม่ ภาพที่เธอจำได้ติดตาในวันนั้น คือพ่อหมอให้ชูขันเงินเหนือหัว สวดคาถาแปลกประหลาด และเอ่ยประโยคที่ทำให้เธอขนลุก “ต่อไปนี้ ข้าขอรับไว้กับตัว” จากวันนั้น ชีวิตของเมย์ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป.. แม้จะได้งานใหม่ เงินเดือนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งแม่ของเธอเชื่อว่านั่นคือผลจากการผูกดวง แต่สิ่งที่ตามมาคือข้อบังคับในการไหว้ครูทุกวันโกน ต้องมีเครื่องเซ่นทั้งเหล้า เนื้อสัตว์ ดอกไม้ และบทสวดที่ต้องท่องทุกครั้ง โดยมีข้อแม้สำคัญคือ เมย์ต้องร่วมพิธีด้วยทุกครั้ง ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม หลังจากที่ผ่านเวลาไป 3-4 เดือนหลังเข้าพิธีรับขันครู เหตุการณ์แปลกประหลาดมากมายก็เริ่มเกิดขึ้น มีคนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน และคนใกล้ตัว เห็นเมย์ปรากฏตัวในสถานที่ต่าง ๆ ในเวลาเดียวกับที่เธอยืนยันว่าไม่ได้อยู่ตรงนั้น เช่น ขณะที่เธออยู่บ้าน กลับมีคนเห็นเธอในออฟฟิศ หรือแม้แต่ในซูเปอร์มาร์เก็ตหน้าปากซอย ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่คำเล่าลือ หากแต่เป็นภาพที่หลายคนยืนยันว่า แน่ใจว่าใช่เมย์แน่นอน สิ่งเหล่านี้ทำให้เมย์เริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง เครียด กังวล และเริ่มสงสัยว่า พิธีกรรมในวันนั้นอาจไม่ได้มีแค่ครูบาอาจารย์มาคุ้มครอง แต่มีบางสิ่งตามมาโดยไม่ตั้งใจด้วย เมย์ตัดสินใจปรึกษา ‘คุณมิ้น หัตถา’ และน้องสาว ซึ่งเป็นผู้มีเซ้นส์ไวต่อสิ่งลี้ลับ หลังเล่าทุกอย่างให้ฟัง คุณมิ้นได้ให้คำแนะนำว่า ของแบบนี้ต้องแก้ที่ต้นเหตุ สิ่งที่น่าขนลุกกว่านั้น คือระหว่างทางที่คุณมิ้นกับน้องสาวขับรถไปส่งเมย์กลับบ้าน ในกระจกมองหลังของรถ พวกเธอกลับเห็น ‘เงาผู้หญิงผมดำยาว’ ลักษณะคล้ายเมย์ทุกอย่าง ยองตัวนั่งอยู่บนไหล่ของเธอ พร้อมเสียงกรีดร้องปริศนา ที่ตะโกนดังชัดเข้ามาในรถว่า “มึงอย่ามายุ่งเรื่องของกู!!” นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีใครสามารถติดต่อเมย์ได้อีกเลย เวลาล่วงเลยไปเกือบ 4 ปี ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ จากโซเชียล ไม่มีแม้แต่ข้อความจาก LINE ที่เคยใช้พูดคุยกัน เบอร์โทรศัพท์ก็กลายเป็นเบอร์ที่ไม่สามารถติดต่อได้ เพื่อนสนิทคนหนึ่งของเมย์บอกว่า ครั้งสุดท้ายที่เจอเมย์คือเมื่อปีที่แล้ว และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ใครสักคนได้เห็นเธอ ไม่มีใครล่วงรู้ได้เลยว่า ชะตากรรมของเมย์ในตอนนี้เป็นอย่างไร เธอยังมีชีวิตอยู่ดีหรือไม่ หรือพิธีกรรมที่เคยทำไว้ ได้พาชีวิตของเธอหลุดเข้าไปในโลกอีกใบที่ยากจะหาทางกลับออกมา เรื่องทั้งหมดนี้ เกิดจากความรักของแม่ ที่อยากให้ลูกประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ใครจะรู้ว่าหนทางนั้น กลับนำพาให้ลูกต้องหายไปจากชีวิตทุกคนโดยไม่มีคำลา..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

หนุ่มนักศึกษาเช่าบ้านอยู่กับเพื่อน กลับมาเจอผีผู้หญิงคลานออกมาจากตี่จู่เอี๊ยะ! โทรถามเพื่อนก็บอกว่าไม่มีคนอยู่บ้าน คืนนั้นจึงตั้งวงกินเหล้า พอเริ่มเมาก็ปากเสียตะโกนถามว่า “ถ้ามึงมีอยู่จริง มึงมาทำให้กูรู้ว่ามึงตายยังไง!”

01 ธ.ค. 2023

หนุ่มนักศึกษาเช่าบ้านอยู่กับเพื่อน กลับมาเจอผีผู้หญิงคลานออกมาจากตี่จู่เอี๊ยะ! โทรถามเพื่อนก็บอกว่าไม่มีคนอยู่บ้าน คืนนั้นจึงตั้งวงกินเหล้า พอเริ่มเมาก็ปากเสียตะโกนถามว่า “ถ้ามึงมีอยู่จริง มึงมาทำให้กูรู้ว่ามึงตายยังไง!”

เรื่องสยองขวัญนี้ มีชื่อเรื่องว่า ‘เรื่องผีมีอยู่จริง’ โดย ‘คุณณัฐผี’ แขกรับเชิญในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 พฤศจิกายน 2566) พร้อมด้วย ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันเลย! เรื่องราวความสยองนี้ เป็นประสบการณ์ตรงจากคุณณัฐ เริ่มขึ้นเมื่อเขาได้ย้ายเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยในกรุงเทพมหานคร จึงตัดสินใจที่จะเช่าบ้านและอยู่กับเพื่อนหลายคน เพราะคุณณัฐและเพื่อน ชอบเล่นดนตรีกันมาก จึงคิดว่าเช่าบ้านอยู่ด้วยกันก็จะสะดวกมากกว่า ซึ่งบ้านเช่าหลังนี้เป็นอาคารอาคารพาณิชย์หลังเก่า มีทั้งหมด 4 ชั้น เคยเป็นร้านเกมส์มาก่อน ทำให้ประตูด้านหน้าเป็นกระจก ภายในตัวบ้านจะค่อนข้างโล่ง และลึกยาวเข้าไป ด้านหลังเป็นบันไดสำหรับใช้ขึ้นไปยังชั้น 2 หลังบันไดจะมี ‘ตี่จู่เอี๊ยะ’ ตั้งไว้บริเวณนั้น ในแต่ละชั้นของบ้านจะถูกแบ่งโซนไว้อย่างชัดเจน โดยชั้น 2 ถูกแต่งเติมเป็นห้องนอน 2 ห้อง ส่วนชั้น 3 เปลี่ยนให้เป็นสตูดิโอสำหรับซ้อมดนตรีและห้องอัด และชั้นสุดท้ายคือชั้น 4 เป็นห้องนอนอีก 1 ห้อง วันหนึ่ง หลังจากที่คุณณัฐกลับมาจากการทำธุระข้างนอก เวลาตอนนั้นประมาณ 3 ทุ่มกว่า เขาสังเกตเห็นว่าไฟยังคงเปิดไว้จึงคิดว่ามีคนอยู่ในบ้าน ขณะที่กำลังจะเปิดประตู ปรากฏว่าประตูดันล็อก จึงตัดสินใจส่องผ่านกระจกเข้าไปดูว่ามีใครอยู่ข้างในหรือไม่ ระหว่างที่กวาดสายตาไปรอบ ๆ เพื่อมองหาคนช่วยเปิดประตู สายตาดันไปเจอกับมือของผู้หญิงกำลังยืนขึ้นมาจากด้านหลังของตี่จู่เอี๊ยะ! เหมือนกับว่ากำลังพยายามผลักตัวเองให้ลุกขึ้นมา ไม่นานหัวก็โผล่พ้นขึ้นมาพร้อมกับค่อย ๆ เอาคางมาวางไว้ที่กำแพง! คุณณัฐคิดว่าคงเป็นพี่ที่รู้จัก จึงเรียกชื่อไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีการตอบกลับจากใครเลย จึงตัดสินใจเพ่งเล็งดูอีกครั้ง ปรากฏว่าผู้หญิงคนนั้นก็ยังคงมองอยู่ในลักษณะเดิม คือจ้องมองมาที่คุณณัฐ แต่สิ่งที่น่าขนลุกไปกว่านั้นคือเขาเห็นว่าผู้หญิงที่กำลังสบตาด้วยนั้นไม่มีจมูกและปาก! ดวงตากลมโต ใบหน้าขาวซีด! คุณณัฐผีเห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งหนีไป ระว่างที่วิ่งอยู่ก็เห็นตู้โทรศัพท์จึงตัดสินใจว่าจะโทรไปหารุ่นพี่ แต่ปลายสายกลับบอกว่าไม่มีใครอยู่ที่บ้าน ทุกออกไปเดินห้างกันหมด เมื่อได้ยินแบบนั้น คุณณัฐก็รู้สึกกลัวมาก รีบบอกให้รุ่นพี่รีบกลับมาที่บ้านทันที! เมื่อทุกคนกลับมาถึงบ้าน ก็มีการตั้งวงสังสรรค์นับสิบคนได้ พอเริ่มกริ่มได้ที่ก็คิดอยากลองทำอะไรแผลง ๆ เริ่มจาก ‘พี่ปอ’ (รุ่นพี่ของคุณณัฐ) ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ถ้ามึงมีอยู่จริง มึงมาทำให้กูรู้ว่ามึงตายยังไง!” หลังจากท้าทายเสร็จ ไม่นานทุกคนก็เมากันหมด จึงพากันหลับรวมกันอยู่ที่ชั้น 4 รุ่งขึ้น พี่ปอก็มาปลุกทุกคน แล้วพูดว่า “เห้ย กูรู้แล้ว เขาตายยังไง!” ทุกคนตกใจสะดุ้ง แล้วรีบถามถึงเรื่องราวจากพี่ปอ พี่ปอเล่าว่า หลังจากที่เลิกจากวงเหล้า พี่ปอก็เข้าไปนอนในห้องกับแฟน ปรากฏว่าระหว่างที่หลับ ก็ฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผมยาว ใส่ชุดสีขาว ในฝันเธอพูดว่า “มึงอยากเห็นกูตายใช่มั๊ย งั้นมึงดู!” หลังจากผู้หญิงคนนั้นพูดจบ พี่ปอก็เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ก่อนเธอจะเสียชีวิต เธอถูกผู้ชายฉุดมาข่มขืน หลักจากโดนกระทำชำเราจนสาแก่ใจชายโฉด ก็ถูกฆ่าโดยการถูกขวานฝ่ามาที่หน้า! เธอทุรนทุรายอยู่นาน แต่สุดท้ายก็เสียชีวิตไปในที่สุด ในตอนนั้นพี่ปอคิดว่าเป็นแค่ฝัน แต่หลังจากที่ตื่นนอนก็ได้หาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อ ปรากฏว่าเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นจริง จึงคิดว่าจะหาวันไปทำบุญให้ ก่อนวันที่จะไปทำบุญก็มีการเตรียมของก่อน 1 วัน ในคืนนั้น ทุกคนเข้านอนกันตามปกติ แต่ที่แปลกคือคืนนั้นทุกคนฝันคล้ายกันว่ามีผู้หญิงมาเข้าฝัน เธอพูดด้วยน้ำเสียงโกรธแค้นว่า “พวกมึงจะไล่กูใช่มั๊ย!” รุ่งขึ้นทุกคนจึงมารวมตัวกัน และได้เล่าสิ่งที่ฝันสู่กันฟัง จากนั้นจึงตัดสินใจพากันจุดธูปเพื่อบอกว่าไม่ได้มีเจตนาจะไล่แต่อย่างใด แค่จะไปทำบุญให้เท่านั้นเอง หลังจากทำบุญเสร็จทุกคนที่อยู่บ้านหลังนี้ก็ไม่ได้เจอกับผู้หญิงคนนี้อีกเลย กลับกลายเป็นว่าคนที่แวะเวียนมามักจะเจอเรื่องราวแปลก ๆ อยู่เสมอ ทั้งเห็นว่ามีบางอย่างเดินผ่านบ้าง ประตูปิดเองบ้าง พอคิดว่าคนแกล้งแต่เมื่อออกไปดูก็จะไม่เห็นใครเลย สุดท้ายแล้ว ทุกคนก็ตัดสินใจที่จะไม่เช่าต่อ และย้ายออกไป หลังจากนั้นไม่นาน ผู้เช่าใหม่ก็ได้มาเช่าต่อ เพื่อเปิดเป็นร้านทำสปาในชั้นแรก ชั้นที่ 2 ให้บริการอบไอน้ำ เมื่อมีลูกค้ามาใช้บริการที่ร้านก็มักจะรู้สึกว่ามีคนแอบมองอยู่ตลอดเวลา บางทีเจ้าของร้านเอง ก็สัมผัสถึงดวงวิญญาณของผู้หญิงคนนี้ได้เหมือนกัน วันหนึ่ง เธอสวดมนต์อยู่ที่ชั้น 4 ในระหว่างที่กำลังสวดมนต์อยู่ ลูกก็ขึ้นมาหา แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือ แม่กำลังนั่งสวดมนต์ปกติ แต่ตัวแม่งอผิดปกติ เหมือนกับว่ากระดูกงอหักไป เพราะเห็นผู้หญิงกำลังนั่งค่อมบริเวณไหล่อยู่! จากนั้นจึงถามแม่ว่า “แม่เป็นอะไร” เธอตอบว่า “ไม่ได้เป็นอะไร แต่รู้สึกว่าปวดตัวแปลก ๆ” หลักจากนั้นทั้งคู่ก็เดินลงมาชั้นล่าง ลูกชายจึงตัดสินใจเล่าสิ่งที่เห็นให้แม่ฟังทั้งหมด หลังจากนั้นแม่ก็เจอเรื่องสุดหลอนมาโดยตลอด จนต้องเลิกกิจการ ในขณะที่เธอและลูกชายกำลังขนย้ายสัมภาระอยู่นั้น ก็มองไปที่รูปภาพที่เธอบูชา จึงคิดว่าจะนำไปด้วย ในขณะที่มือเอื้อมไปหยิบกรอบรูป และดึงด้ายสายสิญจน์ออก ปรากฏว่าผ้ายัญก็หลุดออกมา ทั้ง ๆ ที่ถูกแปะไว้คนละจุดกับด้ายสายสิญจน์ เธอรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ตัดสินใจเก็บสัมภาระให้เสร็จเร็ว ๆ หลังจากปิดกิจการก็ย้ายกลับมาอยูบ้าน คืนหนึ่งระหว่างที่นอนหลับ ก็ฝันเห็นผู้หญิงคนนั้น ในฝันเธอบอกว่า “หนูขอบคุณมากนะ หนูออกจากที่นั่นได้แล้ว” และฝันแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง จนคืนหนึ่ง เธอก็ฝันถึงผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง เธอมาบอกว่า “พี่ หนูไปก่อนนะ” หลังจากนั้นก็ไม่เคยฝันเห็นผู้หญิงคนนั้นอีกเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากต้อม พุธพาหลอน ’ฝังจนตาย‘ l อังคารคลุมโปง X ต้อม พุธพาหลอน [ 30 ก.ย.2568 ]

13 ต.ค. 2025

เรื่องเล่าจากต้อม พุธพาหลอน ’ฝังจนตาย‘ l อังคารคลุมโปง X ต้อม พุธพาหลอน [ 30 ก.ย.2568 ]

เมื่อนักศึกษาแพทย์ต้องศึกษาร่างของอาจารย์ใหญ่ ซึ่งปกติแล้วอวัยวะภายในของร่างอาจารย์ใหญ่ก็ไม่ควรจะมีสิ่งแปลกปลอมปะปน แต่กลับมีเข็มหมุดปักอยู่ภายในร่างนับสิบเข็ม เมื่อผ่าออกมาก็พบเข้ากับสัตว์เลื้อยคลานทั้งเป็นและตายหลากชนิด! นี่คือเรื่องสุดหลอนที่ถูกถ่ายทอดโดย ‘คุณต้อม พุธพาหลอน’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ฝังจนตาย’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X ต้อม พุธพาหลอน’ (30 กันยายน 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 7 ปีก่อน ‘คุณอิง’ นักศึกษาแพทย์สาวหน้าตาน่ารักที่กำลังศึกษาอยู่ในสถานศึกษาแห่งหนึ่ง งานอดิเรกของอิงคือการแต่งตัวคอสเพลย์ไปตามงานต่าง ๆ โดยเธอได้เล่าว่า ช่วงนั้นเธอกำลังศึกษาอยู่ในปีท้าย ๆ ของมหาวิทยาลัย กำหนดการของนักศึกษาช่วงปีปลายจะต้องเรียนเกี่ยวกับร่างของ ‘อาจารย์ใหญ่’ มีการผ่าตัดและเรียนรู้เรื่องเส้นเลือดและอวัยวะภายในต่าง ๆ ในร่างการของคนเรา ด้วยสภาพของศพที่จำเป็นต้องแช่อยู่ในฟอร์มาลีน ทำให้ภายในห้องตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นของฟอร์มาลีน แม้จะพยายามใช้ยาดมหรือยาหม่องมาช่วยบรรเทากลิ่นให้จางลงแต่ก็ไม่เป็นผล รุ่นพี่จึงให้คำแนะนำว่าทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวเองเกิดการชินให้ได้มากที่สุดเพราะทุกคนต้องเรียนอยู่กับอาจารย์ใหญ่เป็นเวลาเกือบปี การเรียนของอิงจะมีการแบ่งกันเป็นกลุ่ม กลุ่มของอิงมีสมาชิกอยู่ประมาณ 3-4 คน ลักษณะของอาจารย์ใหญ่จะมีผ้าสีขาวคลุมแบ่งเป็นช่อง เอาไว้เพื่อให้ดูเฉพาะอวัยวะส่วนที่ต้องศึกษา ส่วนหน้าตาของศพไม่ได้มีการห้ามไว้จึงสามารถเปิดเผยให้นักศึกษาดูได้หากต้องการศึกษาเพิ่ม แต่ตัวของอิงนั้นด้วยความหวาดกลัวจึงไม่ได้อยากเห็นสักเท่าไหร่ ในช่วงแรก อาจารย์จะสอนเรื่องของเส้นเลือดภายในร่างกาย ระหว่างที่กลุ่มของอิงกำลังศึกษาดูเส้นเลือดตามร่างกาย เดิมทีอวัยวะบางส่วนในร่างกายหากมีการผ่าไปศึกษาแล้วจะต้องนำออกเพื่อรอการไปทำบุญร่วมกับร่างนั้น ร่างกายของอาจารย์ใหญ่สัมผัสผิวหนังจะแห้งกร้านคล้ายคลึงกับที่เห็นในภาพยนตร์ นักศึกษายังคงผ่าดูเส้นเลือดภายในไปเรื่อย ๆ ในระหว่างที่อาจารย์สอนอยู่ อิงก็ได้พบเข็มหมุดอยู่ภายในเส้นเลือดของร่างตรงใบหน้า ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็ไม่ควรมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาอยู่ในนั้นได้ สิ่งนี้สร้างความสงสัยให้กับอิงเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากมีการนำร่างเข้าไปแช่ในฟอร์มาลีนแล้วนั่นแปลว่าจะต้องมีการตรวจสอบสภาพร่างกายของศพมาแล้วว่าไม่มีอะไรแปลกปลอมอยู่ภายในเรือนร่าง และเมื่อตรวจไปได้สักพักก็พบว่าเข็มที่อยู่ภายในร่างไม่ได้มีเพียงแค่ 1-2 เล่ม แต่กลับมีอยู่ภายในนั้นมากกว่า 10 เล่ม! เห็นอย่างนั้นอิงจึงเรียกอาจารย์มาดู ตัวอาจารย์เองพอเห็นเรือนร่างที่เต็มไปด้วยเข็มหมุดสีหน้าก็เปลี่ยนไป อาการตกตะลึงหน้าเหวอนั้นทำเอาทุกคนต่างสับสนกับสิ่งตรงหน้า แต่ด้วยความมึนงงและความไม่สมเหตุสมผลของการมีเข็มหมุดอยู่ภายในร่างกายจึงทำให้อาจารย์คิดว่าคงเป็นฝีมือกลั่นแกล้งของนักศึกษาที่อาจเล่นพิเรนทร์นำเข็มมาใส่ในร่างของอาจารย์ใหญ่ จึงได้เอ่ยตักเตือนกลุ่มของอิงไป ทางฝั่งอิงนั้นก็ได้ปฏิเสธไปว่ากลุ่มของเธอไม่ได้เป็นคนทำ หลังจบการเรียนการสอนก็ทำการนำผ้าไปปิดแผลตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย และในจังหวะที่มีเพียงเสียงก้าวเดินของกลุ่มนักศึกษาที่กำลังออกจากห้อง ก็มีเสียงร้องของตุ๊กแกดังออกมาท่ามกลางความเงียบสงัด ทำให้ทุกฝีเท้าของอิงและเพื่อน ๆ หยุดชะงักและเกิดความสงสัยว่าเพราะอะไรถึงมีเสียงร้องของสัตว์เลื้อยคลานชนิดนั้นดังออกมาจากห้องเรียน ชั่วโมงเรียนถัดมา ในคราวนี้จะเป็นการเรียนเกี่ยวกับปอดและกระเพาะของมนุษย์ ซึ่งในระหว่างที่อิงกำลังกรีดใบมีดตรวจสอบร่างกายของร่างชายคนหนึ่งอยู่นั้น จู่ ๆ อวัยวะที่ควรจะแน่นิ่งกลับมีการกระตุกและสั่นไหวราวกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่! และในจังหวะที่จะต้องตรวจสอบตรงส่วนของกระเพาะอาหาร ตัวของอิงที่กำลังดูในส่วนของหน้าท้องก็สังเกตเห็นความปิดปกติของกระเพาะอาหารที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ ทั้ง ๆ ที่เมื่อมีการแช่ฟอร์มาลีนอวัยวะต่าง ๆ ก็ควรที่จะต้องหดตัวลง นอกจากว่าภายในเรือนร่างนั้นจะมีบางสิ่งบางอย่างกักเก็บเอาไว้ ระหว่างที่ตรวจสอบ ทันทีที่ใบมีดกรีดฝังลงไปในกระเพาะของร่างเปลือยเปล่าตรงหน้าก็รับรู้ได้ถึงการขยับของอวัยวะภายใน อิงตัดสินใจผ่าลงไปจนสุด และพบกับคำตอบของการเคลื่อนไหวในร่างกายนั้นที่ทำเอาเธอถึงกับช็อค! เพราะภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของอิงนั้นคือซากของตุ๊กแกที่อยู่ภายในกระเพาะของร่างอาจารย์ใหญ่! ซากของสัตว์เลื้อยคลานที่มีทั้งเป็นและตาย บางตัวสภาพเน่าเปื่อยและอีกประมาณ 4-5 ตัวที่กำลังมุดอยู่ภายในอวัยวะนั้น พอแผลถูกผ่าเปิด ตุ๊กแกตัวที่ยังมีชีวิตอยู่ก็รีบออกมาจากรอยแผลและวิ่งผ่านไปท่ามกลางเสียงกรีดร้องของนักศึกษาที่หวาดกลัวอยู่ในห้อง และพอตรวจสอบลึกลงไปในร่างกายก็พบว่าไม่ได้มีเพียงแค่ตุ๊กแก แต่ยังมีตะขาบ หนอนและสัตว์อีกมากมายที่ต่างหลบอยู่ข้างในกระเพาะของเรือนร่างนั้นอีกด้วย ความหวาดกลัวและตื่นตระหนกทำให้มือของอิงเลื่อนไปโดนผ้าที่ปกคลุมร่างของอาจารย์ใหญ่ไว้ เผยเห็นใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่ง ทั้งที่ในความเป็นจริงหน้าตาของศพควรจะแน่นิ่งไม่มีความรู้สึกอะไร แต่สีหน้าของชายหนุ่มคนนั้นมันแสดงออกว่ากำลังเจ็บปวดและทรมานอยู่ราวกับว่าเขานั้นยังมีชีวิตอยู่! เหตุการณ์ชุลมุนนั้นทำให้คาบเรียนต้องหยุดลง หลังจากผ่านมาได้ไม่นาน ตัวของอิงก็ได้มาทราบเรื่องราวจากเพื่อน ๆ ที่เล่ากันมาปากต่อปากว่า โดยปกติแล้ว อาจารย์ผู้สอนจะต้องไปนำพระไปทำพิธีถอนของให้ผู้ชายคนนี้ที่ตายไปแล้ว เพราะมีความเชื่อที่ว่าของขลังต่าง ๆ ต่อให้ร่างกายจะตายไปแล้วแต่ของเหล่านั้นก็ยังคงทำงานอยู่และกัดกินผู้ชายคนนั้นไปตลอด และเมื่ออิงกลับมาเรียนวิชาเดิมก็ได้พบว่าร่างของอาจารย์ใหญ่นั้นก็ได้แทนที่เป็นร่างอื่นไปแล้ว.. (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

Retrospect ต้องไปเล่นคอนเสิร์ตที่ต่างจังหวัด แล้วได้เข้าพักโรงแรมที่เป็นเหมือนโรงพยาบาลเก่า!

21 ก.ย. 2023

Retrospect ต้องไปเล่นคอนเสิร์ตที่ต่างจังหวัด แล้วได้เข้าพักโรงแรมที่เป็นเหมือนโรงพยาบาลเก่า!

จะเป็นอย่างไรเมื่อ ‘Retrospect’ วงร็อกแนวหน้าของเมืองไทย เจอเรื่องหลอนที่ทำให้ทั้งวงนอนกันไม่ได้! ทั้งเสียงเคาะและเสียงกรี๊ดมากันให้ครบ เรื่องนี้ทำเอาแฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (12 กันยายน 2566) รวมทั้ง ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ถึงขั้นอ้าปากค้าง! จะอึ้งตามกันขนาดไหน ตามไปอ่านกันเลย! ย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับวง Retrospect โดยตรง ในวันนั้นทุกคนเข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่งที่จังหวัดนครปฐม โดยปกติแล้ว โรงแรมธรรมดาที่ไม่ได้ใหญ่โตมากในสมัยนั้น ควรจะเป็นทางบันไดเดินขึ้นลงธรรมดาไม่ได้เอื้อต่อคนที่ต้องใช้รถเข็น แต่ที่โรงแรมแห่งนี้ มีทางเดินสำหรับคนใช้รถเข็นแทบทุกจุด ราวกับว่าก่อนจะเป็นโรงแรม ที่นี่อาจเป็นโรงพยาบาลหรือสถานที่ที่มีคนป่วยใช้รถเข็นอยู่มาก่อน วง Retrospect คิดได้เพียงเท่านั้น แต่ก็เข้าพักตามปกติ เมื่อเดินเข้าไปยังล็อบบี้ ทุกคนก็มองเห็นว่า มีเส้นทางเดินลงไปยังชั้นใต้ดิน แต่มีไม้อัดปิดกั้นไว้เต็มไปหมด และมีศาลตี่จู้เอี๊ยะตั้งอยู่ด้านหน้า ทุกคนยังไม่ได้คิดอะไรเช่นเดิม ต่างคนต่างแยกย้ายเก็บของ ไปทานข้าว เตรียมซาวด์เช็ค และเล่นคอนเสิร์ตตามปกติ เมื่อถึงเวลาประมาณเที่ยงคืนหลังเล่นคอนเสิร์ตจบ ทุกคนก็กลับมายังโรงแรม และแยกย้ายอาบน้ำเตรียมตัวนอน โดยพี่บอมนอนพักร่วมกับเพื่อนชาวต่างชาติที่ชื่อว่า ‘เดวิด’ ลักษณะของห้องมีห้องน้ำ ถัดมาเป็นเตียง 2 เตียง ถัดไปเป็นระเบียง พี่บอมคิดว่าการแบ่งสัดส่วนเช่นนี้ดูคล้ายกับห้องในโรงพยาบาลอย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะนอน พี่บอมปิดไฟห้องจนมืดมีเพียงแสงจากโทรทัศน์เท่านั้น สายตาหันไปมองด้านข้างก็พบว่าเดวิดหลับไปแล้ว ตัวพี่บอมเองก็เริ่มง่วงกำลังจะหลับตาลง จู่ ๆ ก็มีเสียงดังขึ้น ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง! ดังขึ้นรัว ๆ แต่ในตอนนั้นไม่คิดถึงเรื่องผีแม้แต่น้อย คิดว่าเพื่อนมาเคาะเรียก เพื่อชวนไปสังสรรค์ เพราะตามปกติของวงจะมีห้องที่รวมตัวกันเรียกว่า ‘ห้องงาน’ พี่บอมจึงลุกขึ้นไปเปิดประตู แต่สิ่งที่เห็นมีแต่ความว่างเปล่า! พอชะโงกหน้ามองซ้ายขวาปรากฏว่าไม่มีคน ทุกอย่างตรงนั้นเงียบสนิท จึงตัดสินใจปิดประตูหันหลังเข้าห้อง แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงได้ไม่นาน เสียง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง! ก็ดังขึ้นอีก ซึ่งรอบนี้เสียงไม่ได้ดังมาจากประตูหน้าห้อง แต่ดังมาจากห้องน้ำภายในห้อง! พี่บอมเริ่มรู้สึกตัวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ปกติแล้ว ระหว่างนั้นก็พยายามจ้องไปบริเวณที่มีเสียง เสียงก็ดังขึ้นอีก และค่อย ๆ ย้ายมาจากห้องน้ำ เป็นดังมาจากตู้เสื้อผ้า เคาะไล่มาเรื่อย ๆ จนมาถึงโต๊ะตั้งโทรทัศน์! ตอนนั้นพี่บอมเริ่มมีความรู้สึกกลัว แต่ยังไม่รู้ว่าจะต้องรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร สายตาก็หันไปมองที่เดวิดอีกครั้ง ทำให้ยังมีความรู้สึกอุ่นใจขึ้นเพราะมีเพื่อนอยู่ด้านข้าง พี่บอมพยายามจะจ้องไปที่โต๊ะวางโทรทัศน์ แต่จังหวะนั้น ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง! ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากใต้เตียง! ในตอนนั้นพี่บอมก็สัมผัสได้ถึงแรงกระแทกของเตียง จึงตัดสินใจลุกวิ่งหนีทันที แล้วทิ้งเดวิดให้นอนอยู่ในห้อง! เมื่อวิ่งออกมาถึงห้องงานก็รีบเปิดประตูเข้าไป แต่ดันเจอเซอร์ไพรส์กว่า เพราะภาพที่เห็นคือทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่หมดแล้ว ซึ่งปกติทั้งวงจะไม่ค่อยมารวมตัวกันเยอะขนาดนี้ พี่บอมเดินเข้าไปขอเครื่องดื่ม แล้วนั่งลงโดยที่ยังไม่เล่าอะไร แต่แล้วสมาชิกในวงก็พูดขึ้นมาว่า “พี่เจอแล้วใช่ไหม” เพราะทุกคนที่นั่งอยู่ทั้ง 11 คนเจอเหมือนกันทุกคน แต่ยังพูดไม่ทันจบประโยค เสียง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง! ก็ดังขึ้นที่หน้าห้อง เมื่อเดินไปเปิดประตูอีกครั้ง สิ่งที่เห็นคือความว่างเปล่าและความเงียบเช่นเดิม เพียงเท่านั้นทุกคนมองหน้ากันแล้วคิดตรงกันว่า ‘ใช่แน่นอน’ จากนั้นก็ลงความเห็นตรงกันว่าจะออกไปข้างนอก แต่พี่บอมก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังมีเดวิดนอนอยู่ในห้อง แล้วตำแหน่งห้องงานและห้องที่เดวิดนอน อยู่ห่างกันคนละฝั่ง (โรงแรมมีลิฟต์ตรงกลาง ห้องงานอยู่ฝั่งซ้ายสุด ส่วนห้องที่เดวิดนอนอยู่ฝั่งขวาสุด) พี่บอมจึงชวนทุกคนออกไปด้วยกัน กลายเป็นทั้งหมดเดินเกาะแขนกันไปเพื่อที่จะไปเรียกเดวิดออกมา ระหว่างทางทุกคนค่อย ๆ เดินช้า ๆ ขณะที่กำลังเดิน ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นซ้ำอีก แต่รอบนี้ดังจากในห้อง เป็นจังหวะแบบที่เมื่อห้องด้านซ้ายดัง ห้องด้านขวาจะดังต่อ สลับกันอย่างต่อเนื่อง! ยังไม่ทันจะถึงห้องของเดวิด เสียงเคาะก็ดังขึ้นก็ไล่มาจนถึงห้องด้านขวาของทุกคน เมื่อทุกสายตามองไปทางประตูด้านขวา เสียงเคาะนั้นกลายเป็นเสียงผู้หญิงกรี๊ดดังขึ้นจากห้องด้านซ้ายแทน! จังหวะนั้นทุกคนส่งเสียงพร้อมกัน “ไป มึงไปปปป!” แล้วก็ตัดสินใจไปนั่งที่ร้านข้าวต้มแถวนั้นจนถึงเช้า เมื่อฟ้าเริ่มสว่าง ทุกคนก็กลับเข้าไปยังที่โรงแรมนั้นอีกครั้ง สิ่งที่เห็นคือ เดวิดยังคงนอนอยู่ท่าเดิมตื่นมาด้วยความไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น และยังยืนยันว่านอนหลับสบายปกติ ทุกคนในวงจึงตัดสินใจเข้าไปถามพนักงานที่ทำงานในโรงแรม คำตอบที่ได้มาคือ ตามปกติแล้วจะเจอที่ชั้น 5 และทั้งชั้นจะไม่มีคนเลย (แต่ที่ Retrospect เจอคือชั้น 4) แต่ทุกเวลาหกโมงเย็น ประตูจะเปิดเองทุกห้อง พร้อมกับเสียงโทรทัศน์ที่เป็นเสียงเพลงชาติเปิดดังขึ้นเอง เมื่อเพลงจบลงโทรทัศน์จะดับเองโดยไม่มีสาเหตุ ส่วนประตูทุกห้องก็จะปิดกลับตามเดิมแบบไร้สาเหตุเช่นกัน! เรื่องหลอนยังไม่จบเพียงเท่านี้ พี่บอมเล่าว่าเมื่อย้อนกลับไปวันที่เข้าพัก ก่อนที่จะไปเล่นคอนเสิร์ต ทุกคนได้มีโอกาสไปทานข้าวร่วมกับเจ้าของโรงแรม โดยเจ้าของเป็นคนออกค่าอาหารให้ทั้งหมด และหลังจากคืนที่เกิดเหตุการณ์เสียงเคาะนั้นจบลงไปได้ไม่นาน ก็มีข่าวว่า เจ้าของได้เสียชีวิตลงจากเหตุฆาตกรรม!(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1