เรื่องเล่าจากอาจารย์มิ้น ‘ผีสาวช่วยงานวิจัย’ l อังคารคลุมโปง X หญิง รฐา - ก๊ก ปริญญา [ุ6 พ.ค.2568]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากอาจารย์มิ้น ‘ผีสาวช่วยงานวิจัย’ l อังคารคลุมโปง X หญิง รฐา - ก๊ก ปริญญา [ุ6 พ.ค.2568]

18 พ.ค. 2025

        เมื่อต้องไปเรียนไกลถึงต่างประเทศ ต้องพบเจอกับความยากลำบาก แต่ระหว่างที่ทำวิจัยอยู่นั้น งานทุกอย่างกลับราบรื่นไปได้ด้วยดี ..หรืออาจเป็นเพราะมีบางอย่างช่วยเหลืออยู่! นี่คือเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ผีสาวช่วยงานวิจัย’ จาก ‘อาจารย์มิ้นท์’ ที่ได้นำมาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (6 พฤษภาคม 2568) พร้อมกับ ‘ดีเจเเนน’ ‘ดีเจเจ็ม’ และ‘ดีเจมดดำ’ เรื่องราวสุดหลอนนี้จะเป็นอย่างไร ปิดไฟแล้วอ่านไปพร้อมกันเลย!

        อาจารย์มิ้นท์ได้เล่าว่า ตนเองได้ทุนไปทำวิจัยที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นระยะเวลา 2 เดือน แม้จะอยู่ญี่ปุ่นแล้วอาจารย์มิ้นท์ก็ยังต้องเรียนภาษาจีนกับเหล่าซือที่ไทยอยู่ เธอจึงเปลี่ยนมาเรียนออนไลน์แทน แต่วันแรกที่ไปทำวิจัยที่นั่นกลับพบว่าอินเทอร์เน็ตใช้งานไม่ได้ ต้องใช้อินเทอร์เน็ตจากมือถือแทน นอกจากนี้อาจารย์มิ้นท์ยังเล่าอีกว่า เหล่าซือที่สอนภาษาจีนของตนนั้นเป็นลูกหลานครูหมอโนราห์และเป็นคนเห็นผี

        ระหว่างที่กำลังเรียนภาษาจีนอยู่นั้น ในช่วงแรกเหล่าซือก็มีอาการตกใจแปลก ๆ อาจารย์มิ้นท์ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจ เมื่อเรียนเสร็จก็ถามเหล่าซือว่าเกิดอะไรขึ้น เหล่าซือบอกว่า “มีผู้หญิงผมยาว ชุดขาวอยู่นอกหน้าต่าง”

        จากนั้นเหล่าซือก็บอกให้อาจารย์มิ้นท์เดินไปดูที่ระเบียง ปรากฏว่าที่ตึกแห่งนี้ไม่มีระเบียง ทำให้แน่ใจได้ว่า ไม่มีทางที่จะมีคนยืนอยู่ข้างนอกหน้าต่างอย่างแน่นอน

        เนื่องจากเหล่าซือคนนี้สามารถสื่อสารกับดวงวิญญาณได้ จึงบอกกับอาจารย์มิ้นท์ว่าผีสาวตนนั้นเป็นวิญญาณที่อยู่ที่นั่นมาหลายร้อยปีแล้ว

        และในวันนั้นเอง อาจารย์มิ้นท์ก็มีงานที่ต้องส่งด่วนในวันรุ่งขึ้น แต่อินเทอร์เน็ตก็ยังใช้งานไม่ได้ จึงคิดอยากท้าทายวิญญาณสาวตนนั้นว่า “ถ้าทำให้อินเทอร์เน็ตติดได้ จะถวายอาหารชุดใหญ่ให้” ปรากฏว่าอินเทอร์เน็ตกลับมาใช้งานได้ปกติ และสามารถส่งงานได้ทัน อาจารย์มิ้นท์จึงได้เตรียมอาหารชุดใหญ่เอาไว้สำหรับวิญญาณสาวตนนั้น และทำเป็นประจำทุกสัปดาห์

        ชีวิตของอาจารย์มิ้นท์วนเวียนอยู่กับห้องนี้วันแล้ววันเล่า จนกระทั่งคืนหนึ่ง อาจารย์อีกคนได้เดินมาที่โต๊ะอาจารย์มิ้นท์ในระหว่างที่กำลังทานข้าวอยู่ จากนั้นเขาก็ทำหน้าตกใจ พออาจารย์มิ้นท์ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็บอกว่า “เห็นเหมือนคนกำลังนั่งกินข้าวกับอาจารย์มิ้นท์อยู่”

        อาจารย์มิ้นท์รู้ทันทีว่าเป็นวิญญาณสาวตนนั้นอย่างแน่นอน

        เมื่อใช้ชีวิตมาสักระยะในห้องทำงานห้องเดิม เธอก็เกิดความสงสัยว่าวิญญาณตนนั้นยังอยู่ที่เดิมหรือไม่?และ วิญญาณสาวตนนั้นรู้หรือไม่ว่าเธอไปที่ไหน ทำอะไรมาบ้าง จึงได้ลองถามเหล่าซือที่สามารถสื่อสารกับดวงวิญญาณดูอีกครั้ง สรุปว่าวิญญาณสาวตนนั้นสามารถบอกกับเหล่าซือได้หมดว่าอาจารย์มิ้นท์ทำอะไรมาบ้าง อาจารย์มิ้นท์ก็ได้เล่าว่า ก่อนหน้านี้เธอเคยขอวิญญาณตนนั้นว่า ‘ขอให้งานที่ทำอยู่สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี’ เธอจึงคิดว่าที่ผ่านมาระหว่างที่ทำงานวิจัย ไม่ว่าจะติดต่อสถานที่ไหนในญี่ปุ่นก็เรียบง่าย อาจเป็นเพราะวิญญาณสาวช่วยเอาไว้ก็เป็นได้..

 (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม ‘บ่อตกปลาที่ปลาชุม’ l อังคารคลุมโปง X ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม [22 เม.ย 2568]

26 เม.ย. 2025

เรื่องเล่าจากต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม ‘บ่อตกปลาที่ปลาชุม’ l อังคารคลุมโปง X ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม [22 เม.ย 2568]

‘ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ ได้มาเล่าเรื่องสุดหลอนใน ‘อังคารคลุมโปง X (22 เมษายน 2568)’ พร้อมกับ 2 ดีเจ อย่าง ’ดีเจเเนน’ เเละ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องมีชื่อว่า ‘บ่อตกปลาที่ปลาชุม’ ที่ทำเอาขนหัวลุกกับเหตุการณ์นี้เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไม่สามารถทำให้ลืมลงได้เลย คุณต้นกล้าได้เล่าว่า เรื่องราวในครั้งนี้เป็นเรื่องของคุณเอ (นามสมมุติ) ตัวของคุณเอ มีความชื่นชอบในเรื่องของการตกปลาเพราะได้ไปกับคุณพ่อบ่อย ๆ ในตอนเด็ก ปกติคุณเอเเละคุณพ่อ จะชอบเปลี่ยนสถานที่ตกปลาบ่อยครั้ง จนได้ไปเจอที่หนึ่งที่อยู่กับใต้สะพาน เวลาผ่านไป จนคุณเอโตขึ้น เเต่คุณพ่อเสียชีวิตไปเพราะอาการป่วย หลังจากนั้น คุณเอก็ไม่ได้ไปตกปลาบ่อยเหมือนเมื่อก่อน วันหนึ่ง คุณเอต้องทำการเก็บของของคุณพ่อก็ได้ไปเจอกับเบ็ดตกปลาของคุณพ่อ จึงทำให้รู้สึกนึกถึงอดีตเเละอยากที่จะไปตกปลาอีกครั้ง คุณเอจึงได้ชวนพี่ชาย หลังจากตกลงกันได้ พี่่ชายก็ได้ออกไปตกปลาในตอนเช้าก่อนเพราะคุณเอยังไม่สามารถไปได้ แต่พี่ชายคุณเอกลับมาถึงบ้านในตอนกลางคืน ซึ่งต่างจากปกติ เพราะส่วนใหญ่พี่ชายของคุณเอจะกลับมาในช่วงเย็น ในตอนที่พี่ชายคุณเอกลับมาถึงบ้าน พี่ชายคุณเอได้พูดว่า “อย่า อย่าไปที่ตกปลาตรงนั้นเด็ดขาด” พี่ชายคุณเอได้พูดออกมาด้วยสีหน้าซีดเผือด เหมือนได้เจอกับอะไรบางอย่างที่น่ากลัวมาก คุณเอจึงได้เอ่ยปากถามอีกเรื่องว่า “เเล้วของที่เอาไปละพี่ พวกเบ็ดตกปลา กระติกน้ำเเข็งไรเงี้ย” พี่ชายได้บอกว่า “เเค่กูวิ่งออกมาจากตรงนั้นได้ก็ดีเเล้ว” คุณเอรู้สึกโกรธ เพราะเบ็ดตกปลาคันนั้นเป็นของคุณพ่อที่เสียไปเเล้ว คุณเอจึงตัดสินใจที่จะไปนำเบ็ดตกปลากลับมา ในขณะที่กำลังขับรถออกไป ระหว่างทางก็ได้เจอกับคนกลุ่มหนึ่งที่เดินขวางอยู่กลางถนน ลักษณะคล้ายกับครอบครัวที่มีพ่อเเม่ที่เดินจูงมือลูกอยู่ คุณเอพยายามทำทุกอย่างทั้ง บีบเเตร เปิดไฟสูง ตะโกนเรียกว่าให้หลบทาง แต่ก็ไม่เป็นผล คุณเอจึงคิดว่า ‘หรือเราไม่ควรไปในตอนนี้’ จึงตัดสินใจที่จะกลับบ้านก่อน เเต่ในขณะที่กลับรถ ครอบครัวนั้นก็ได้หันหน้ากลับมาเเละขอโทษที่ขวางทาง ในรุ่งเช้าของวันถัดมา คุณเอก็ได้ทำการขับรถไปยังที่ตกปลา ได้เจอกับจุดที่พี่ชายของคุณเอที่มาตกปลาเมื่อวาน ซึ่งของทุกอย่างก็ยังอยู่ดี ทั้งเบ็ดตกปลาเเละถังน้ำแข็ง เเต่คุณเอกลับรู้สึกถึงบรรยากาศเเปลก ๆ ทั้งกลิ่นเหม็นเน่าเเละเสียงของอีกาที่ร้องตลอดเวลา นอกจานี้ ช่วงเวลาที่คุณเอเดินทางไปคือเวลาเที่ยงตรง เเต่บรรยากาศที่เจอคือมีความอึมครึม คุณเอจึงตัดสินใจที่จะเก็บของเเละกลับไป ในตอนที่กำลังจะยกกระติกน้ำเเข็งขึ้น คุณเอรู้สึกว่ากระติกน้ำเเข็งมีความหนักเเละมีกลิ่นเน่าเหม็นออกมา ทั้ง ๆ ทีพี่ชายของคุณเอพึ่งจะเดินทางมาเมื่อวาน ก็ไม่ควรที่ปลาจะเน่าเสียได้เร็วขนาดนี้ คุณเอจึงได้ตัดสินใจที่จะเก็บของอย่างอื่นก่อน ขณะที่คุณเอหันหน้าไปทางต้นไม้ที่อยู่ริมทะเลสาบ คุณเอได้พบกับร่างของผู้ชายคนหนึ่งที่เเขวนคอ อยู่ใต้ต้นไม้ คุณเอรู้สึกตกใจเพราะในตอนเเรกคุณเอสนใจเเค่การเก็บอุปกรณ์ จึงคิดว่าควรเเจ้งตำรวจดีหรือไม่ หรือปล่อยไปดีเพราะไม่อยากให้วุ่นวายกับตัวเอง เมื่อคิดไปคิดมาได้สักพัก คุณเอก็ได้ตัดสินใจขับรถไปยังสถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุด พอได้เจอเเละเล่าเรื่องให้ฟัง คุณเอก็ได้ทำการขับรถมายังที่เกิดเหตุกับคุณตำรวจ ระหว่างทาง ก็ได้มีการพูดคุยจนถึงสถานที่ที่คุณเอมาตกปลา ทั้งคู่ได้ลงจากรถ เเต่อยู่ดี ๆ ตำรวจคนนั้นก็ได้หยุดเดินเเละพูดขึ้นว่า “ไอหนุ่ม เดี๋ยวพี่เรียกคู่หูพี่มาเเทนดีกว่า พอดีพี่ลืมไปว่า พี่มีคดีด่วน” ท่าทีของตำรวจดูเหมือนไม่กล้าที่จะเดินเข้าไป เเละคุณตำรวจได้บอกให้คุณเอไปเก็บของ จากนั้นตำรวจคนนั้นก็รออยู่บนรถ เหตุการณ์นี้ทำให้คุณเอรู้สึกเเปลก ๆ เพราะคุณตำรวจคนนั้นได้พูดทิ้งท้ายว่า “วันนี้ ไม่มี ไม่มีศพอะไรทั้งนั้น” คุณเอจึงบอกไปว่า “ถือว่าผมเเจ้งพี่เเล้วนะ เเต่พี่ละเลยหน้าที่เอง” จากนั้น คุณเอก็ได้ลงไปด้านล่างเพื่อจะเก็บของทุกอย่าง ในขณะที่กำลังจะเอาเบ็ดตกปลาขึ้นมาจากน้ำ คุณเอรู้สึกได้ถึงเเรงต้านบางอย่างที่ดึงเอ็นเบ็ดเอาไว้ พอสาวเอ็นขึ้นมาเรื่อย ๆ คุณเอก็ได้พบว่าสิ่งที่ติดขึ้นมาด้วยไม่ใช่ปลา เเต่กลับเป็นหัวคนโผล่ขึ้นมาจากน้ำ! สิ่งนั้นทำให้คุณเอตกใจมากจนโยนคันเบ็ดทิ้ง เเละได้พบว่าที่เเห่งนี้ไม่ได้มีเเค่ศพเดียวที่อยู่บนต้นไม้ เเต่มีอีกหนึ่งศพที่อยู่ในบ่อน้ำ คุณเอจึงตัดสินใจตัดสายเอ็นทิ้ง เเละไปยกถังน้ำเเข็งต่อ เเต่ด้วยความหนักของถังน้ำเเข็ง จึงต้องเทของทุกอย่างในถังน้ำเเข็งทิ้ง จากนั้นก็ได้เปิดถังน้ำเเข็งออก เเต่สิ่งที่อยู่ในถังน้้ำเเข็งนั้นกลับทำให้ต้องตกใจมากกว่าเดิม เพราะในถังน้ำเเข็ง มีหัวของคนอยู่ในนั้นถึงสองหัว ที่ปากของหัวนั้นก็คาบปลาไว้ในปากอยู่ เเละดวงตาของหัวนั้นก็จ้องมองมา! คุณเอจึงตัดสินใจเก็บเเค่คันเบ็ดขึ้นมาเเละทิ้งถังน้ำเเข็งไว้ ขณะที่ปีนขึ้นมาบนเนินเพื่อที่จะกลับไปที่รถ คุณเอได้หันหลังกลับมามองอีกครั้ง เเต่ศพที่เเขวนคออยู่บนตนไม้ก็ได้หันกลับมาจ้องมองคุณเอ ทั้งยังส่งเสียงร้องที่เหมือนกับอีกา คุณเอรู้ได้ทันทีว่า เสียงร้องของอีกาที่ตนได้ยิน เเท้จริงแล้วเป็นเสียงของศพที่เเขวนคออยู่บนต้นไม้นั้นเอง! คุณเอวิ่งกลับมาที่รถเเละขับรถกลับไปที่สถานีตำรวจ ขณะที่ขับกลับไป คุณเอได้ถามกับคุณตำรวจว่า “ทำไมพี่ถึงไม่กล้าลงไป พี่เจออะไรตอนมาถึง?” คุณตำรวจได้ตอบกลับว่า “เอ็งเห็นสะพานตรงที่เราจอดรถไหม พี่เห็นคนหลายคนยืนโบกมือให้เรา” หลังจากนั้น คุณเอก็ได้คิดขึ้นมาว่า ถ้าตัดสินใจที่จะไปตั้งเเต่เมื่อคืน จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เเละได้คิดอีกเรื่องหนึ่งว่า ผู้ชายกับเด็กที่มาเดินขวางรถเมื่อคืน มีลักษณะคล้ายกับคุณพ่อของคุณเอที่เสียไปเเล้ว เเละตัวของเด็กผู้ชายก็มีความคล้ายกับคุณเอในวัยเด็ก เหมือนกับว่าคุณพ่อของคุณเอได้มาเตือนลูกชายของตนเองว่า อย่าไปที่นั่นในตอนกลางคืนเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณดาว ‘บนบาน’ l อังคารคลุมโปง X ตั้ม The Shock [ 22 ก.ค.2568 ]

04 ส.ค. 2025

เรื่องเล่าจากคุณดาว ‘บนบาน’ l อังคารคลุมโปง X ตั้ม The Shock [ 22 ก.ค.2568 ]

‘คุณดาว’ ได้เข้ามาเล่าเรื่องเกี่ยวของการไปบนบานกับศาลไม้เปล่าหลังหนึ่ง ที่ได้มีการขอโชคขอลาภแล้วดันลืมแก้บน จนทำให้ต้องเจอกับวิญญาณตามมาทวงสัญญา เรื่องราวทั้งหมดจะจบลงอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (22 กรกฎาคม 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจมดดำ’ ในเรื่องที่มีชื่อว่า ‘บนบาน’ ที่ทำให้อาจทำให้คุณไม่กล้าบนบานศาลกล่าวอีกเลย.. คุณดาวได้เล่าว่า ทุกครั้งที่ไปนอนต่างที่ต่างถิ่นก็จะไหว้ศาลพระภูมิตลอด ไปนอนบ้านแฟนก็จะไหว้ตลอด แต่ไม่เคยสังเกตว่าในศาลนั้นไม่มีอะไรอยู่ข้างใน ขณะเดียวกัน ทางบ้านของแฟนชอบเก็บของเก่า เช่น เรือเก่า เกวียน ส่วนใหญ่ทำจากไม้ ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเป็นไม้อะไร หรือของแต่ละชิ้นมีเรื่องราวเป็นมาอย่างไร นอกจากนี้ ยังมีศาลไม้เปล่าตั้งอยู่ที่บ้านด้วย วันหนึ่ง คุณดาวพูดกับศาลหลังนั้นว่า “ถ้าถูกหวยงวดนี้จะเอานางรำมาถวายให้” ไม่นานหลังจากนั้น คุณดาวก็โชคดีจริง ๆ ความดีใจล้นหลามจนลืมไปว่า ตนเองได้ ‘บนบาน’ กับศาลเอาไว้ กระทั่งได้ออกไปสังสรรค์กับที่ทำงาน และมีคนถามขึ้นมาว่า “วันนี้หวยออกนะ ซื้อยัง” นั่นทำให้คุณดาวนึกขึ้นได้ว่าได้บนเอาไว้ จึงคิดว่ากลับไปจะซื้อของถวาย ระหว่างที่สังสรรค์กัน ก็มีการเล่นไพ่เกิดขึ้น คุณดาวนึงเภาวนาในใจอีกครั้งว่า ‘ขอให้มีโชคลาภ จะได้ซื้อพวงมาลัยให้เพิ่ม’ แล้วคุณดาวก็สมหวังปรารถนา ไม่นาน วงสังสรรค์ก็เริ่มแยกย้าย แต่ก็มีบางส่วนที่อยากสนุกต่อ จึงชวนกันไปเล่นไพ่อีกห้อง แต่คุณดาวกลับหากระเป๋าสตางค์ไม่เจอ จึงโทรศัพท์ไปหาแฟน เพื่อขอให้แฟนไหว้ขอศาลให้เจอกระเป๋าสตางค์ เวลาผ่านไปจนกระทั่งเช้า คุณดาวตื่นมาก็พบว่ากระเป๋าสตางค์ไม่ได้หายไปไหน แต่วางอยู่ที่เดิมตลอด คุณดาวเดินทางกลับบ้าน และรีบเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ขณะนั้น หางตาก็สังเกตเห็นนางรำชุดสีเขียว หน้าขาว ปากแดง ยืนรำอยู่! ไม่นาน นางรำก็ขึ้นเตียงมาหา คุณดาวตกใจสะดุ้งตื่น ตั้งใจว่าจะรีบโทรหาแฟนเพื่อเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ไม่ว่าจะโทรไปกี่ครั้ง แฟนก็ไม่รับสาย จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังแว่วเข้ามาในหู คุณดาวคิดในใจว่า ‘เลิกงานพรุ่งนี้ หนูจะรีบถวายให้ ตอนนี้หนูเหนื่อย ขอพักก่อนนะคะ’ ไม่นานเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นแฟนที่โทรกลับมานั่นเอง คุณดาวจึงรีบบอกให้แฟนจุดธูปบอกศาลอีกครั้ง จากนั้นวันรุ่งขึ้น ก็รีบไปแก้บนที่ศาลทันที หลังจากนั้น ก็ไม่มีเหตุการณ์ชวนขนหัวลุกเกิดขึ้นกับคุณดาวอีกเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

คู่รักนักสะสมตาดีเจอตู้เสื้อผ้ามือสาม พอซื้อกลับมาก็เจอเหตุการณ์ชวนสยอง มีเสียงตะกุกตะกัก ประตูตู้เสื้อผ้าก็เปิด-ปิดเอง! แถมยังฉายภาพนองเลือดให้ดูสด ๆ เหมือนไปอยู่ในเหตุการณ์จริง!

13 พ.ย. 2023

คู่รักนักสะสมตาดีเจอตู้เสื้อผ้ามือสาม พอซื้อกลับมาก็เจอเหตุการณ์ชวนสยอง มีเสียงตะกุกตะกัก ประตูตู้เสื้อผ้าก็เปิด-ปิดเอง! แถมยังฉายภาพนองเลือดให้ดูสด ๆ เหมือนไปอยู่ในเหตุการณ์จริง!

‘อังคารคลุมโปง X’ (7 พฤศจิกายน 2566) ที่ผ่านมา อยู่กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เปิดไมค์ต้อนรับ ‘คุณต้น’ ที่นำเรื่องหลอนชวนเสียวสันหลังจากประสบการณ์การซื้อของมือสอง ที่มีของแถมชวนขนหัวลุกติดมาด้วย! ถ้าพร้อมแล้ว เปิดไฟให้สลัวแล้วไปอ่านกันเลย! คุณต้นเล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับพี่ชายคนหนึ่ง นามสมมติว่า ‘พี่เอก’ ความหลอนถูกนำมาเล่าต่อ ๆ กันว่า พี่เอกชื่นชอบของเก่าและสะสมของมือสอง-มือสาม จนวันหนึ่งได้มีโอกาสไปเดินตลาดกับแฟน จู่ ๆ ก็สะดุดตาเข้ากับตู้ใบหนึ่ง ซึ่งเป็นตู้เสื้อผ้าเก่า ราวกับมีอะไรบางอย่างมาดึงดูด จึงหยุดเดินและไปดูตู้นี้ใกล้ ๆ พี่เอกเดินวนดูไปดูมาก็เกิดความรู้สึกอยากทราบราคาตู้ใบนี้ จึงเอ่ยปากถามกับคนขาย ปรากฏว่าตู้ใบนี้ราคาถูกมาก เพียงหกร้อยบาทเท่านั้น หากเทียบกับขนาดตู้ที่ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป เมื่อทราบราคา จึงตัดสินใจซื้อตู้ใบนี้ ท่าทีของแฟนเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เนื่องจากที่ห้องของทั้งคู่ก็ยังไม่มีตู้เสื้อผ้า หลังจากตกลงซื้อขายกันเรียบร้อย ทางร้านก็ให้คนมายกขึ้นรถ ทุกอย่างก็ยังดูปกติดี แต่ในระหว่างทางที่กำลังขับรถนั้น พี่เอกก็รู้สึกว่าท้ายรถหนักแปลก ๆ เหมือนมีหลายคนนั่งอยู่ท้ายรถ หนักกว่าที่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรยังคงขับมาจนถึงห้อง และก็คิดขึ้นมาได้ว่า ‘ถ้าหนักขนาดนี้ จะยกกับแฟนแค่สองคนไหวเหรอ’ แต่ก็คงจะทำอะไรไม่ได้ต้องลองยกดูก่อน ปรากฏว่าทุกอย่างก็ปกติดี ไม่ได้หนักเหมือนตอนที่อยู่ท้ายรถ หลังจากนั้นพี่เอกและแฟนก็นำเสื้อผ้ามาเรียงเก็บเข้าตู้ให้เรียบร้อย พร้อมกับพูดเชิงภาคภูมิใจที่ตนตาดีหาของที่สวยและราคาถูกได้อีกด้วย เช้าวันใหม่ ทั้งคู่ตื่นมาอาบน้ำไปทำงานปกติ แต่ช่วงเย็นหลังจากที่กลับมาจากทำงาน พี่เอกเปิดประตูเข้าไปในห้องก็รู้สึกว่าภายในห้องเหมือนมีร่องรอยถูกรื้อข้าวของ ตู้เสื้อผ้าก็เปิดทิ้งไว้ ทั้งคู่มองหน้ากันด้วยความสงสัย พี่เอกถามแฟนว่า “เมื่อเช้าเธอไม่ได้เก็บของก่อนออกไปเหรอ” แฟนจึงตอบกลับว่า “จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อเราก็ออกไปพร้อมกัน” ทั้งคู่จึงคิดว่าห้องอาจจะโดนงัด ทั้งคู่จึงพยายามเดินดูตามประตู หน้าต่างว่ามีร่องรอยอะไรหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีร่องรอยอะไรเลย แล้วจู่ ๆ เรื่องแปลกก็เกิดขึ้นอีก เพราะทั้งคู่รู้สึกเหมือนได้กลิ่นสาปเน่าเหม็นเหมือนกลิ่นคนตายอยู่ในห้อง! ทั้งคู่จึงพยายามเดินหาและเก็บของเข้าที่เดิม จนถึงเวลาประมาณสองทุ่ม ก็ยังไม่เจอต้นตอของกลิ่นนั้น ทั้งคู่จึงเข้านอนกันตามปกติเพราะว่าต้องไปทำงานต่อในตอนเช้า ระหว่างที่พี่เอกนอนอยู่ก็รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำจึงลุกขึ้น และจังหวะที่จะเปิดประตูปรากฏว่าพี่เอกลืมตามาดูกลับไม่ใช่ประตูห้องน้ำ แต่ดันเป็นประตูของตู้เสื้อผ้า! ซึ่งพี่เอกเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะเดินละเมอได้ขนาดนี้ เพราะตำแหน่งของห้องน้ำและตู้เสื้อผ้านั้นอยู่คนละทาง พอเห็นว่าเปิดประตูผิด จึงพยายามที่จะปิดประตูตู้แล้วไปเข้าห้องน้ำ แต่ประตูของตู้เสื้อผ้าไม่สามารถปิดได้ เหมือนมีคนยื่นอยู่แล้วใช้แขนมาค้ำไว้ พี่เอกพยายามดันประตูอยู่นาน จนคิดว่าจะปล่อยไว้แบบนี้แล้วไปเข้าห้องน้ำก่อน เมื่อเข้าห้องน้ำทำธุระจนเสร็จ ในตอนที่กำลังจะเดินก้าวขาออกจากห้องน้ำ ก็ได้ยินเสียงตู้เสื้อผ้าปิดดังปั้งงง!! พี่เอกถึงกับงงว่าจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะเมื่อสักครู่นี้พยายามปิดอยู่นานแต่ก็ปิดไม่ได้ จู่ ๆ เหมือนมีลมพัดก็ปิดได้เอง จากนั้นพี่เอกก็ล้มตัวนอนต่อ ขณะที่กำลังนอนอยู่นั้นก็รู้สึกถึงความผิดปกติที่อยู่ในตู้เหมือนมีเสียงไม้แขวนหรือเสียงอะไรบางอย่างตะกุกตะกักอยู่ในตู้ ในตอนแรกพี่เอกคิดว่าอาจจะเป็นหนู จึงตัดสินใจจะเดินไปเปิดดู แต่เมื่อเดินไปเปิดดูตู้ เสียงนั้นก็เงียบหายไป.. พี่เอกกลับมานอนต่อ ในขณะที่หลับ ก็ฝันว่าตัวเองไปนอนอยู่ข้างหน้าตู้เสื้อผ้า จากนั้นตู้ก็เปิดออกมาเอง พร้อมกับมีผู้หญิงคนหนึ่ง สวมชุดสีขาวค่อย ๆ ลอยออกมาจากตู้เสื้อผ้า ลอยมาจนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าอก แล้วก้มหน้ามามอง ตอนนั้นพี่เอกเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออกและกลัวมาก แต่ก็พยายามมองหน้าผู้หญิงคนนี้ว่าเป็นใคร จังหวะที่กำลังมอง ก็รู้สึกว่าเหมือนมีน้ำอะไรบางอย่างไหลลงมาโดนหน้า จึงค่อย ๆ เอามือลูบ ปรากฎว่าน้ำที่ไหลมาคือเลือดจากคอผู้หญิงคนนั้น! และได้เห็นว่าผู้หญิงคนนี้มีรอยตรงคอเหมือนเป็นรอยที่ถูกเฉือนด้วยของมีคมจนคอกับหัวเหมือนจะหลุดออกจากกัน! ผู้หญิงคนนี้ยังคงมองหน้าพี่เอกและชี้หน้าว่า “มึงฆ่ากู มึงฆ่ากู!!” ด้วยความตกใจกลัวพี่เอกพยายามที่จะนอนดิ้นไปดิ้นมาเพื่อให้ผู้หญิงคนนี้หลุดไปจากตัว สักพักพี่เอกก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา แต่สิ่งที่เห็นคือ มือของแฟนกำลังพาดมาตรงคอของตัวเอง แล้วอีกมือนึงของแฟนดันมีมีดอยู่ในมือ! ด้วยความตกใจกลัวจึงรีบเขย่าตัวแฟนให้ตื่น ส่วนแฟนเองก็ตกใจว่ามีมีดมาอยู่ในมือของเธอได้อย่างไร หลังจากที่เกิดเหตุการณ์แปลก ๆ ขึ้น ทั้งคู่กำลังนอนคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้น ก็มีเสียงตะกุกตะกักดังขึ้นอีกครั้ง แล้วก็กลายเป็นเสียงกรีดร้อง ในตอนแรกทั้งคู่คิดว่าหรือจะเป็นเสียงจากข้างนอกหรือเสียงจากห้องอื่น ขณะที่กำลังหาต้นตอของเสียงนั้น ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นออกมาอีกจากในตู้เสื้อผ้าอีก จากนั้นทั้งคู่เริ่มรู้สึกว่า ขยับตัวไม่ได้ ทำได้เพียงนอนนิ่งอยู่บนเตียง แล้วจู่ ๆ ตู้ใบนี้ก็เปิดออกเองพร้อมกับร่างผู้หญิงคนที่พี่เอกฝันเห็น กระเด็นออกมาจากในตู้! สักพักก็มีภาพแปลก ๆ ขึ้นมา เป็นร่างของผู้ชายคนหนึ่ง กำลังทำร้ายร่างกายผู้หญิงที่กระเด็นออกมาจากในตู้ จากนั้นผู้ชายก็เดินเข้าไปในครัวแล้วหยิบมีดขึ้นมา ส่วนผู้หญิงรีบวิ่งเข้าไปแย่งมีดจนมีดนั้นฟันโดนแขนของผู้ชาย แต่ก็ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ ยังคงแย่งมีดกันไปมา จนผู้ชายดึงมีดกลับมาได้ ด้วยความโมโหจึงใช้มีดปาดเข้าไปที่คอของผู้หญิงจนเลือดกระเด็นมาโดนทั้งคู่ที่นอนอยู่บนเตียง ฝ่ายชายหลังจากที่ปาดคอผู้หญิงเสร็จก็ได้หายตัวไปในทันที ผู้หญิงที่นอนจมกองเลือดอยู่ก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นมา แล้วหันหน้ามาชี้ที่พี่เอกแล้วพูดอีกว่า “มึงฆ่ากู มึงฆ่ากู!!” ทั้งคู่ที่นอนอยู่บนเตียงไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรกับเหตุการณ์นี้ จึงพยายามนอนหลับตา สวดมนต์ ภาวนาออกไปว่า “ไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่พวกเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ถ้าพรุ่งนี้พวกเรารอดออกไปได้เดี๋ยวจะทำบุญไปให้” ในขณะที่หลับตาภาวนาอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงดังปั้งงง!! ประตูของตู้เสื้อผ้าปิดเองอีกครั้ง จากนั้นทั้งคู่ก็รู้สึกขยับตัวได้ปกติ เหมือนได้หลุดจากการถูกอำ แต่ในคืนนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้นอนอีกเลย รุ่งเช้าวันต่อมา ทั้งคู่คิดเห็นตรงกันว่าอยากจะรู้ที่มาที่ไปของตู้เสื้อผ้านี้ จึงหยุดงานและเดินทางไปที่ร้านขายตู้ เมื่อไปถึงร้าน เจ้าของก็ได้เล่าว่า ตู้นี้ถูกซื้อต่อมาอีกทีเหมือนกัน แต่ว่ายังมีเบอร์ติดต่อคนที่นำมาขายจึงลองโทรถามให้ ปรากฏว่าพอเจ้าของร้านโทรไปประมาณ 4-5 สายก็ยังไม่มีคนรับ จนสายที่ 6 เสียงปลายสายก็พูดออกมาว่า “อ๋อจะเอาเงินคืนเหรอ โอเคโอเคเดี๋ยวจะเอาเงินไปคืนให้ แต่ของไม่ต้องเอามาคืนนะ เอาไปเลย” จากนั้นปลายสายก็ตัดสายทิ้งไป สุดท้ายพอโทรกลับไปสืบสาวราวเรื่องจนได้รู้ว่า ตู้ใบนี้เดิมถูกใช้งานอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง และโรงแรมนี้ถูกปิดตัวลงไปในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตู้เสื้อผ้าตู้นี้จึงถูกขายต่อ ๆ กันมา ซึ่งมือแรกที่เป็นคนขายตู้ใบนี้เล่าว่า ในตอนนั้นมีคู่รักคู่หนึ่งไปเที่ยวด้วยกัน แล้วเกิดทะเลาะกันหนักมาก จากนั้นตอนเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมก็มีเพียงผู้ชายรีบออกไปแค่คนเดียว ยังไม่มีใครเห็นผู้หญิง ทางพนักงานต้อนรับพูดกันว่าผู้ชายที่ออกไปเหมือนคนเล่นของ ร่างกายเต็มไปด้วยรอยสักยันต์ จากนั้นทางแม่บ้านก็เข้าไปทำความสะอาดห้อง ถึงขั้นกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ เพราะเมื่อเปิดตู้เสื้อผ้าก็ไปเจอกับศพผู้หญิงคนถูกฆ่าปาดคอนอนตายอยู่ในตู้! หลังจากที่ได้รู้เรื่องราวของตู้ใบนี้แล้ว ทั้งคู่จึงขอให้เจ้าของร้านช่วยพาเอาตู้ไปหาหลวงพ่อเพื่อจะนำไปเผา ขณะที่กำลังขนย้าย ก็มีคนเห็นว่าตรงข้างล่างของตู้เหมือนมีเป็นเป็นเศษผ้ายันต์สีแดงติดอยู่ และมีกระจุกผมที่ถูกตัดออกมาแปะไว้ด้วย เมื่อหลวงพ่อเห็นตู้จึงพูดขึ้นมาว่า “เอาเขาไปแต่ตัว แล้วยังไม่ยอมให้วิญญาณเขาไปไหนอีก เขาก็ต้องติดอยู่แต่ในนี้แหละ” จากนั้นหลวงพ่อจึงช่วยทำพิธี นำตู้ไปเผาและสวดส่งวิญญาณให้ หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีกเลย...(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ปากดีที่ค่ายธรรมมะ มาจริง! ทั้งเสียงเท้าเดิน เห็นเป็นหน้า กลับบ้านก็ยังเจอฉ่ำ! จะรดน้ำมนต์ก็ติดขัดไม่ได้ไปสักที

22 ธ.ค. 2023

ปากดีที่ค่ายธรรมมะ มาจริง! ทั้งเสียงเท้าเดิน เห็นเป็นหน้า กลับบ้านก็ยังเจอฉ่ำ! จะรดน้ำมนต์ก็ติดขัดไม่ได้ไปสักที

เมื่อต้องไปเข้าค่ายธรรมะประจำปีของโรงเรียน แต่กลับมีแขกรับเชิญสุดหลอนมาร่วมด้วย หลังจากเอ่ยปากท้า! เรื่องนี้ ‘คุณตั้น The Shock’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (19 ธันวาคม 2566) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจมดดำ’ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ผีเข้าค่ายธรรมะ’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันได้เลย! ‘คุณตั้น The Shock’ บอกว่า ‘น้องแนนสำลี’ นำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง ย้อนกลับไปเมื่อประาณ 10 ปีที่แล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งใช้เป็นค่ายอบรมธรรมะ และทุกวันนี้ วัดนั้นยังคงเปิดเป็นค่ายอยู่ น้องแนนบอกว่าตอนนั้นอยู่ม.3 จะต้องไปเข้าค่ายที่วัดแห่งนี้เป็นครั้งที่สอง ซึ่งโดยปกติแล้วจะมาเข้าค่ายที่วัดแห่งนี้ทุกปี น้องแนนยังบอกอีกว่าครั้งแรกที่ไปไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะมีเพียงคำพูดเล็ก ๆ น้อย ๆ จากพระและรุ่นพี่คอยเตือนว่าหากเป็นเด็กไม่ดีอาจจะเจอบางอย่างได้ น้องแนนที่ยังเด็กก็เชื่อฟัง ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างตั้งใจ และไม่เจออะไร แต่การไปค่ายปีนี้แตกต่างออกไปจากครั้งก่อน เนื่องจากน้องแนนโตขึ้น มีความเล่นซนเพิ่มขึ้นตามประสาเด็กทั่วไป ภายในสถานที่จัดค่ายจะมีห้องอบรมจะอยู่ที่ชั้นล่าง เป็นชั้นเดียวกับห้องนอนของเด็ก ๆ ส่วนห้องนอนอาจารย์จะอยู่ที่ชั้นสอง ห้องนอนสำหรับนักเรียนหญิงแบ่งเป็น 6 ห้อง เพื่อน ๆ และน้องแนนจึงไปสืบมาว่าห้องที่โดนผีหลอกเยอะที่สุดคือห้องที่ 4 น้องแนนจึงเลือกไปนอนห้องที่ 6 เพื่อหลีกเลี่ยงการเจอ คืนแรกที่นอนในค่ายนั้น ต้องเข้านอนเร็วประมาณ 2 - 3 ทุ่ม อีกทั้งค่ายนี้พระอาจารย์ไม่อนุญาตให้นำโทรศัพท์เข้ามา แต่ทว่าน้องแนนและเพื่อน ๆ ได้แอบเอามา และนำออกมาเล่นก่อนนอน จนกระทั่งพระอาจารย์เดินตรวจความเรียบร้อย ก็พบว่าเด็ก ๆ แอบเล่นโทรศัพท์อยู่ จึงได้ยึดโทรศัพท์ไป เด็ก ๆ เครียดมากกลัวไม่ได้คืน จึงรวมหัวนั่งปรึกษากัน แต่ก็คุยกันว่าให้รีบนอน เพราะได้ยินเสียงเล่าลือว่าที่นี่มีผี น้องแนนที่ยังโมโหเรื่องโดนยึดโทรศัพท์ก็พูดขึ้นมาว่า “ผีมาสิดี จะได้ไปบอกพระอาจารย์ขอโทรศัพท์คืน” จากนั้นก็แยกย้ายกันนอน คืนที่สอง ปรากฏว่าได้ยินเสียงตะโกนจากห้องนอนที่ 3 ว่า “มีเงาอะไรแปลก ๆ เหมือนเจอผี!” น้องแนนที่ได้ยินจึงรีบวิ่งไปห้องที่สาม น้องแนนอยากรับผิดชอบคำพูดที่ตนเผลอพูดไปเมื่อคืน จึงบอกเพื่อนในห้องนั้นว่า “เดี๋ยวเรานอนห้องนี้เอง” หลังจากนั้นน้องแนนก็เก็บของจากห้องเก่าย้ายมาห้องใหม่ รวมทั้งพาเพื่อน และรุ่นน้องในกลุ่มไปด้วย ระหว่างที่นอนอยู่นั้น ก็หันไปเห็นพี่คนหนึ่งลุกขึ้นนั่งจากฟูก มีใบหน้าของคนรุ่นพี่คนนั้นถูกกระทบด้วยแสงที่ลอดมาจากบานเกร็ด แต่ทว่า หน้าของรุ่นพี่คนนี้ไม่ใช่คนที่น้องแนนรู้จัก กลายเป็น ‘หน้าของชายแก่สีขาวซีดที่หันมาจ้องน้องแนนอยู่..!’ จนกระทั่งน้องแนนรู้สึกว่าน้องที่นอนอยู่ข้าง ๆ มีเสียงสะอื้น ซึ่งเป็นเสียงสะอื้นที่แปลกมาก เพราะเป็นเสียงของน้องปนกับเสียงของผู้ชาย น้องแนนจึงหันไปถามว่า “เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น” น้องคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า “หนูเห็นพี่..หนูเห็นเหมือนพี่แหละ” แล้วก็กรี๊ดออกมา! จากนั้นภายในห้องก็ชุลมุน ทันใดนั้น ใบหน้าของรุ่นพี่คนนั้นก็กลับมาเป็นปกติ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงตะโกนจากเพื่อนท้ายห้องว่า “ไอ้แนนไม่มีหัว!” จากนั้นเพื่อนคนที่ตะโกนก็ร้องห่มร้องไห้โวยวายอีกว่า “ผีเต็มเลย มันกำลังจะเข้ามาในห้องแล้ว ข้างนอกมีทั้งผีผู้ชาย ผีผู้หญิง ผีเด็กเต็มไปหมดเลย แล้วผีผู้หญิงอะ มันกำลังจะเปิดประตูเข้ามา ผมมันเลื้อยลอดประตูเข้ามาแล้ว!” ผ่านไปสักพัก ก็มีครูท่านหนึ่งวิ่งมา พยายามที่จะควบคุมสติทุกคน และบอกให้เด็ก ๆ ขึ้นไปชั้นสองที่เป็นห้องพระห้องใหญ่ น้องแนนบอกว่าตอนที่กำลังจะออกไป ได้ยินเหมือนเป็นเสียงฝีเท้าอยู่ที่ชั้นสองสะเทือนมาถึงชั้นที่น้องแนนอยู่ ในใจก็คิดว่าอาจารย์คงจะจัดพื้นที่เพื่อเตรียมให้เด็ก ๆ ย้ายขึ้นไป ปรากฏว่าพอขึ้นไปถึง ในห้องไม่มีใคร! เป็นห้องว่างเปล่าที่มีแค่พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ในขณะนั้นเอง น้องแนนรู้สึกว่าอยากร้องไห้ รู้สึกเศร้าโดยไม่มีเหตุผล และน้ำตาไหลก็ไม่หยุด! อาจารย์นำพระมาคล้องคอให้แต่ไม่หาย สุดท้ายอาจารย์คนนี้ต้องไปตามอาจารย์ที่เหลือมาช่วย แล้วจึงได้รู้ว่าอาจารย์กลุ่มที่เหลือ 20 กว่าคนนั้น หนีไปนอนที่รีสอร์ทกันหมดแล้ว เหตุเพราะปีที่แล้วอาจารย์กลุ่มนี้มานอนที่นี่และโดนผีหลอกนั่นเอง! เมื่ออาจารย์ที่เหลือมาถึง จึงไปตามพระอาจารย์อีกวัดมาช่วย ซึ่ง ณ ตอนนั้นไม่ได้มีแค่น้องแนนคนเดียวที่ร้องไห้ น้องผู้หญิงที่นอนสะอื้นอยู่ข้าง ๆ ก็เริ่มร้องไห้ด้วยเช่นกัน แต่น้องอาการไม่หนักเท่า อาจจะร้องเพราะตื่นตกใจ พระอาจารย์จึงมอบตะกรุดให้ แล้วบอกว่า “เป็นตะกรุดที่ถูกปลุกเสกขึ้นมาโดยเฉพาะ สำหรับเด็กที่ถูกผีหลอกที่นี่” พร้อมบอกว่า “มีอันนี้แค่อันเดียว เพราะคณะก่อนหน้า ก็โดนผีหลอกเหมือนกัน จึงแจกไปหมดแล้ว” สุดท้ายจึงเป็นน้องแนนที่ได้ตะกรุด หลังจากที่ได้มาก็น่าแปลกที่อาการเศร้าค่อย ๆ คลายหายไป เช้าวันต่อมาเป็นวันวิปัสสนา ทุกคนมานั่งร่วมกันบนอาสนะที่ถูกปูไว้ในห้องโถงใหญ่ เมื่อถึงช่วงเข้าฌาน พระอาจารย์ก็บอกให้ทุกคนเงียบ น้องแนนเริ่มรู้สึกเหมือนมีเสียงเรียกชื่อ “แนน...แนน...” อยู่ตลอดเวลา และรู้สึกอยากลืมตาขึ้นมา ขณะที่กำลังจะลืมตา มีเสียงแทรกเข้ามาที่หู ซึ่งเป็นเสียงของพระอาจารย์ บอกว่า “อย่าลืมตานะ เคยมีคนลืมตาแล้วสติเสียไปเลย” จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าพระอาจารย์ค่อย ๆ เดินออกไป ประกอบกับได้ยินเสียงเพื่อนข้างหลังที่น่าจะลืมตาขึ้นมาดู พูดว่า “กูไม่เห็นจะเห็นอะไรเลย พระอาจารย์พูดอะไรวะ” น้องแนนจึงตัดสินใจที่จะลืมตาอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงประกาศออกไมค์จากพระอาจารย์ว่า “อย่าลืมตานะ ต้องเชื่อ ถ้าไม่เชื่อ หลุดแล้วไม่มีใครช่วย” พอสิ้นเสียงพระอาจารย์ ก็มีลมพัดมา ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนมีนิ้วมือมาจับที่แขนทั้งสองข้างของน้องแนนล๊อคให้อยู่กับที่! วันเดินทางกลับในวันสุดท้าย ด้วยความที่เด็กมากันเยอะ อาจมีการพูดเล่นล่วงเกิน จึงมีการขอขมาเหล่าสัมภเวสีภูตผีวิญญาณ โดยการจุดธูปท่องคาถา และนำธูปไปปักที่พื้นนอกชายคาตามพิธีกรรม สิ่งที่เกิดขึ้นคือ น้องแนนปักธูปไม่ลง พยายามยังไงก็ปักไม่ลง นำไปปักตำแหน่งเดียวกับเพื่อนก็ปักไม่ลง ตอนนั้นน้องแนนคิดว่าในใจคิดว่า ‘เหมือนเขาไม่ยอมรับการขอขมาจากเรา’ ก็พยายามปักไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งธูปหัก! จึงนำธูปไปวางพิงไว้ เมื่อถึงเวลาจะเดินทางกลับ อาจารย์ได้ลงความเห็นว่าให้น้องแนนไปนั่งรถกับอาจารย์ ไม่ต้องไปนั่งรวมกับเพื่อน ในระหว่างที่กำลังจะเดินขึ้นรถ มีพระ 3 รูป เดินมาถามว่า “โยมเจออะไร” น้องแนนจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง พระจึงพูดออกมาว่า “ว่าแล้วไง เจอแบบนี้จริง ๆ ด้วย เขาเจอกันแบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะยังอยู่ โยม..เขาดุมากเลยนะ แต่ไม่ต้องกลัวนะ เขามาเตือน ขอให้โยมกลับบ้านปลอดภัยแล้วกัน” แล้วพระอาจารย์ก็เดินจากไป ในมุมของน้องแนนที่นั่งรถกลับกับอาจารย์ น้องแนนบอกว่าได้กลิ่นธูปตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อถึงที่หมาย เพื่อน ๆ ก็วิ่งมาหาน้องแนนอย่างตื่นตะหนกพร้อมถามว่า “มึงเจออะไรรึเปล่า บนรถกระบะอาจารย์” และเพื่อนยังบอกอีกว่า “พวกกูเจอทั้งคันเลย” เพื่อนน้องแนนเล่าว่าระหว่างที่นั่งรถกลับมา ทุกคนก็นั่งเล่นนั่งคุยตามปกติ สักพักจากรถที่มีเสียงดังก็ก็ค่อย ๆ เงียบลงเรื่อย ๆ โดยไล่จากท้ายรถมาหน้ารถ เพื่อนน้องแนนคนนี้ก็สงสัยว่าคนในรถเป็นอะไร แต่ระหว่างที่คิดอยู่รู้สึกเหมือนมีอะไรมาแตะที่ขา จึงก้มลงไปมอง ปรากฎว่าสิ่งที่เห็นคือ ‘เป็นมือคนหลายมือล้วงมาจากใต้เบาะที่นั่ง เหมือนกำลังควานหาอะไรบางอย่าง’ นั่นเป็นเหตุที่ทุกคนบนรถเงียบ และทำเป็นเมินกับสิ่งที่เห็น! ขออธิบายครอบครัวน้องแนนสั้น ๆ ว่า ที่บ้านจะมีคุณยายอยู่ด้วย ซึ่งอยู่กัน 2 คน และจะมีห้องนอนส่วนตัวแยกไป เมื่อน้องแนนมาถึงบ้านคืนแรก ในห้องน้องแนนจะมีเต็นท์กางอยู่ วันนั้นก็นอนในเต็นท์ตามปกติ จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบเที่ยงคืนน้องแนนก็สะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินอยู่รอบ ๆ เต็นท์ นอกจากนั้น ยังมีเสียงมือขูดไปตามผ้าใบเต็นท์ ในที่สุดน้องแนนไม่รู้จะทำอย่างไร กลัวก็กลัว แต่ก็พยายามรวบรวมความกล้าทั้งหมดวิ่งพุ่งไปนอนห้องคุณยาย คืนที่สอง น้องแนนสะดุ้งตื่นตอนเที่ยงคืนอีกเช่นเคย จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา แต่ระหว่างที่ถือโทรศัพท์แสงจากจอสว่างมาก ทำให้เห็นคนอยู่ที่ปลายเท้า พอค่อย ๆ ลดแสงลง สิ่งที่เห็นคือ ‘ผู้ชายแก่ที่หน้าเหมือนคนที่เจอที่วัด ใส่เสื้อขาวกางเกงสีดำ มีมุ้งพาดคออยู่ และยืนมองผ่านมุ้งอยู่ที่ปลายเตียง ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่แววตาแดงก่ำ!’ น้องแนนจึงพยายามสวดมนต์ตามบทสวดที่จำได้แต่ไม่ได้ผล จนสุดท้ายก็เผลอหลับไป ตื่นเช้ามาจึงตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ยายฟัง ยายบอกว่าเดี๋ยวจะพาไปหาหมอธรรม เมื่อไปถึง หมอธรรมก็บอกว่า “เดี๋ยวเราต้องหาฤกษ์มารดน้ำมนต์ครั้งใหญ่ แต่ทำวันนี้ไม่ได้ ต้องมีฤกษ์” น้องแนนและคุณยายจึงกลับมาบ้านเพื่อรอฤกษ์อีกครั้ง ระหว่างนั้นเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นแทบทุกวัน ไม่ว่าจะเป็น มายืนเฉย ๆ, เอาหน้ามาแนบมุ้ง, มาลูบมุ้ง จนถึงขั้นพยายามจะเอื้อมมือเข้ามาในมุ้งก็ทำมาแล้ว เรื่องนี้หนักขึ้นเรื่อย ๆ จากที่เมื่อก่อนเจอแค่ในมุ้งตอนกลางคืน แต่ตอนนี้กลับเห็นในตอนกลางวันด้วย มีอยู่วันหนึ่งน้องแนนเพิ่งตื่น และกำลังจะเดินไปอาบน้ำเพื่อไปโรงเรียน ก็เห็นชายคนนี้ยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำ แต่ก็ต้องจำใจเดินผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าไม่อยากทนเห็นอีกต่อไป จึงไปคุยกับยายว่าจะทำอย่างไร ยายบอกว่า “พอมาลองนับเวลาดูมันเลยช่วงวันที่นัดอาบน้ำมนต์ไปแล้ว” ราวกับว่าเมื่อถึงวันที่จะต้องไป ก็มักจจะเกิดเหตุอะไรบางอย่างที่ทำให้ไปไม่ได้เสมอ ไม่อาจารย์ก็เป็นคุณยายกับน้องแนนที่จะต้องติดธุระอะไรสักอย่าง ยายจึงตัดสินใจที่จะให้อาจารย์มาที่บ้านในวันนั้นเลย เพื่อที่จะทำขันธ์ 5 ให้ที่บ้าน เมื่ออาจารย์มาถึง คำแรกที่ทักคือ “โห อยู่กันเยอะเนอะ เต็มเลยอะ ผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก เต็มบ้านไปหมดเลย” หลังจากที่อาจารย์ทำพิธีให้เสร็จเรียบร้อย ก็ได้บอกน้องแนนว่าบอกว่าภายใน 3 – 7 วันนี้ ต้องไปบวชชีที่วัด น้องแนนจึงไปบวชชีเป็นเวลารวมทั้งสิ้นประมาณ 3 เดือน ในช่วงระหว่างที่บวชก็มีเจอบ้าง แต่ไม่ได้มาให้เห็นเป็นตัว มาในมุมของความรู้สึก หรืออาจจะมีฝันถึง แต่คืนสุดท้ายก่อนวันสึก ช่วงเที่ยงคืนเวลาเดิม กลับสะดุ้งตื่นขึ้นมา และได้ยินเสียงฝีเท้าคนหลายคนเดินรอบศาลา น้องแนนจึงคิดว่า ‘ยอมบวชขนาดนี้แล้ว ยังไม่ได้ผลอะไรเลยเหรอ’ แม่ชีข้าง ๆ จึงบอกว่า “หนูนอนเหอะ เขาคงรับรู้ในสิ่งที่เราทำ” น้องแนนจึงนอนหลับไป พอถึงตอนเช้าก็ไปสึกตามปกติ หลังจากที่สึกมาก็ไม่เคยต้องสะดุ้งตื่นเที่ยงคืน หรือต้องเจอวิญญาณเหล่านั้นอีกเลย.. คุณตั้นยังเสริมอีกว่า ก่อนที่น้องแนนจะมาเล่าให้คุณตั้นฟังในรายการ น้องแนนเก็บเรื่องนี้จนผ่านไป เกือบ 8 ปี ย้อนกลับไป 2 ปีก่อนจะมาเล่าในรายการ The shock น้องพยายามลำดับเรื่องและหลับไป ปรากฎว่าสะดุ้งตื่นตอนเที่ยงคืนอีกครั้ง พร้อมกับเห็นผู้ชายคนนั้นนั่งอยู่ปลายเตียง พร้อมพูดว่า “หึ!” เหมือนเขาไม่อยากให้เล่า จนเวลาผ่านไป สุดท้ายก็ตัดสินใจมาเล่า ซึ่งวันก่อนที่จะมาเล่า น้อนแนนยังฝันถึงเขา เป็นการฝันลำดับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เหมือนเขากลับมาเล่าให้ฟังว่าพรุ่งนี้จะต้องเล่าอย่างไร จากนั้นน้องแนนก็สะดุ้งตื่นเที่ยงคืนอีกครั้ง และได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดิน อีกทั้งยังมีใบหน้ามาแนบที่มุ้งเหมือนที่เคยเกิดขึ้น!(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1