เรื่องเล่าจากพี่เนตร ‘ห่าก้อม’ l อังคารคลุมโปง X เนตร คืนปล่อยผี [ 16 ก.ย.2568 ]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากพี่เนตร ‘ห่าก้อม’ l อังคารคลุมโปง X เนตร คืนปล่อยผี [ 16 ก.ย.2568 ]

24 ก.ย. 2025

         ‘คุณเนตร คืนปล่อยผี’ ได้มาเล่าเรื่องราวของ ‘คุณต้นอ้อ’ เธอเป็นพนักงานบนรถทัวร์ คืนหนึ่ง เธอได้กับพบผู้โดยสารที่แต่งกายมิดชิด ใส่ฮู้ด ใส่แมส และใส่แว่นดำทั้งที่เป็นเวลากลางคืน นอกจากนี้ยังมีอาการไอเสียงดังตลอดทางอีกด้วย!

         ผู้โดยสารปริศนาคนนี้เธอป่วยเป็นอะไรกันแน่?

         เหตุใดต้องใส่แว่นตาดำทั้งที่เป็นเวลากลางคืน?

         หาคำตอบไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง x เนตร คืนปล่อยผี’ (16 กันยายน 2568) กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ห่าก้อม’

         เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับ ‘คุณต้นอ้อ’ ขณะที่ยังเป็นพนักงานบริการบนทัวร์ ย้อนกลับไปเมื่อ 15 ปีก่อน เธอทำงานอยู่บนรถทัวร์ VIP มีคนขับคู่ใจชื่อว่า ‘พี่ประทีป’ อายุราว 50 ปี เป็นคนที่ขับรถใจเย็นและใจดีมาก

         ในคืนนั้นเอง รถทัวร์ต้องออกเดินทางเวลา 4 ทุ่ม และจะถึงปลายทางในเช้าวันถัดไป ต้นอ้อทำงานปกติโดยเริ่มจากเช็คชื่อผู้โดยสาร ขณะนั้นเหลือเวลาเพียง 5 นาทีที่รถจะต้องออกเดินทางแล้ว แต่ก็พบว่าขาดผู้โดยสารไปหนึ่งคน ไม่นานกี่อึดใจ ผู้โดยสารคนสุดท้ายก็ขึ้นรถได้ทันเวลา ผู้โดยสารคนนี้เป็นผู้หญิงแต่งตัวมิดชิด ใส่เสื้อฮู้ด ใส่แมส และยังมีแว่นดำ เธอเดินไปนั่งเบาะเดี่ยวท้ายรถ จากนั้น รถทัวร์ก็ออกเดินทาง..

         ผ่านไปได้ไม่นาน ต้นอ้อก็เริ่มสังเกตเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นมีอาการไอ จนกระทั่งเสียงไอของเธอดังขึ้นเรื่อย ๆ ต้นอ้อรู้สึกเป็นห่วง จึงเดินเข้าไปถามว่า

         “คุณพี่คะ รับยาไหม มียาอมนะคะ”

         เธอหันมามองต้นอ้อครู่หนึ่งแล้วหันกลับไปส่ายหัว การกระทำแปลก ๆ นี้ ทำให้เบาะที่นั่งใกล้ ๆ ขยับตัวถอยห่าง

         เดินทางไปได้ 1 ชั่วโมง ใกล้จะถึงจุดแวะพักแล้ว ผู้หญิงคนนั้นยิ่งไอหนักกว่าเดิม รอบข้างเริ่มสงสัยและเกร็งว่าเธออาจจะป่วยหนัก ต้นอ้อที่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็นำถุงพลาสติกไปให้ ผู้หญิงคนนั้นคว้าถุงพลาสติกไปอย่างรวดเร็ว ต้นอ้อถามอีกครั้งว่า

         “ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ช่วยไหมคะ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

         ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับ กระทั่งรถทัวร์เดินทางมาถึงจุดพักรถ ผู้โดยสารหลายคนลงจากรถไปทานอาหาร เว้นเพียงแต่ผู้หญิงแมสดำคนนั้น ต้นอ้อจึงปรึกษากับพี่ประทีปว่า

         “พี่ตอนนี้มีน้องคนหนึ่ง ไม่สบายหนักเลย เราจะเอายังไงดี”

         พี่ประทีปจึงไปปรึกษานายท่า นายท่าให้คำปรึกษาว่า “ต้นอ้อ ขึ้นไปเรียกเขาซิ ถ้ายังไงมาบอกพี่”

         ต้นอ้อเดินขึ้นไปบนรถได้ไม่ทันไร ก็รีบวิ่งลงมา พร้อมกับพูดว่า “พี่หนูกลัว!! หนูไม่ขึ้นไปแล้วพี่!”

         ต้นอ้อเล่าว่าขณะที่กำลังขึ้นรถเพื่อบอกให้ผู้หญิงคนนั้นลงไปทานอาหารข้างล่าง ก็เห็นว่าเธอกำลังถอดแว่น แต่ดวงตากลับเป็นสีขาวขุ่น ไม่มีตาดำ! และหันมาพูดกับต้นอ้อด้วยน้ำเสียงดุดันว่า

         “กูไม่กิน!”

         น้ำเสียงของผู้หญิงคนนั้นดูแก่เกินอายุ เพราะต้นอ้อคิดว่าเธอน่าจะอายุราว 35 ปีเท่านั้น หลังจากที่วิ่งลงมา คู่สามีภรรยาที่นั่งข้างผู้หญิงคนนั้นก็เดินมาแล้วเอ่ยถามว่า

         “พี่มีอะไรกันบนรถหรือเปล่า แต่หนูรู้นะว่ามี” พร้อมพูดต่อว่า

         “พี่รู้ไหม พี่หญิงคนนั้นที่มา พอเขาถอดแมส ถอดแว่นออก เขาแลบลิ้นออกมาพี่! แล้วลิ้นเขายาวออกมาเลย ตวัดไป ตวัดมา สักพักเขาหันหน้ามาหาหนู หนูใส่หูฟังตกใจมากเลยหันไปกอดแฟน”

         ระหว่างที่กำลังคุยกับคู่สามีภรรยาอยู่นั้น ผู้หญิงคนนั้นก็หันมามอง แต่ใบหน้าต่างจากที่คู่สามีภรรยาเห็นก่อนหน้านี้มาก ทั้งคู่จึงบอกกับต้นอ้อว่า

         “หนูไม่ไปแล้วนะพี่ หนูกลัว จะให้หนูกลับตอนไหนก็ได้พี่”

         ไม่นานก็มีเสียงผีเท้าหนักเดินมา ตึบ! ตึบ! ตึบ! ตึบ! แล้วหยุดตรงบันได ร่างนั้นคือหญิงหลังค่อมที่ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับแลบลิ้น จากนั้นก็วิ่งกระโจนหายไปบริเวณป่าหลังรถทันที! ทุกคนช็อคกับเหตการณ์ที่เกิดขึ้น พี่ประทีปจึงบอกว่า

         “ต้นอ้อ เธอใช่ไหมที่เป็นคนไปเก็บกวาดที่นั่งตรงนั้น สิ่งที่เอ็งไปเก็บมามันอยู่ไหน”

         เนื่องจากต้นอ้อเป็นพนักงานบนรถทัวร์ เธอจึงมีหน้าที่คอยดูแลและทำความสะอาดรถด้วย ต้นอ้อดูสิ่งที่ตนเก็บมา ปรากฏว่ามันเป็นลักษณะเลือดที่มีสีดำสนิท พี่ประทีปจึงรีบบอกว่า

          “มึงได้ไปจับหรือเปล่า ไม่ดีแล้ว เดี๋ยวออกรถไป เอ็งไปกับพี่เลยนะ แล้วขอลงก่อนเลย เดี๋ยวให้คนขับคนที่สองมาขับต่อ”

         ต้นอ้อเริ่มใจไม่ดี แต่พี่ประทีปก็ได้บอกเป็นระยะว่า “ถ้าน้ำลายเหนียวให้กินน้ำเข้าไปเยอะ ๆ”

         ต้นอ้อตอบกลับว่า “ไม่เห็นจะเหนียวเลย”

         ผ่านไปไม่นาน เธอรู้สึกน้ำลายเริ่มเหนียว จมูกเริ่มมีกลิ่นเหม็น ทั้งที่คนอื่นรู้สึกปกติ และยังมีอาการมองไม่เห็น ตาพร่ามัว เมื่อรถทัวร์เดินทางมีถึงจุดพักรถที่ 2 พี่ประทีปก็ได้โทรศัพท์ติดต่อไปยังบ้านพักหลังหนึ่ง มีชื่อว่า ‘บ้านอาจารย์ยูน’ เป็นบ้านที่พี่ประทีปเป็นลูกศิษย์ เมื่อไปถึงอาจารย์ก็เอ่ยขึ้นมาทันทีว่า

         “นี่มันผีอีจำเนียน”

         ผีจำเนียนคือผีที่เคยเป็นคู่อริกับอาจารย์ยูน ท่านเคยไปล่าแต่ไม่สำเร็จ รอบนี้ท่านจึงได้ทำพิธี โดยให้ต้นอ้อไปอยู่ในโอ่งพร้อมปิดฝาเขียนยันต์ เริ่มทำพิธีล้าง แต่ผ่านไปไม่ถึง 15 นาที บริเวณรอบก็มีเสียงร้อง คล้ายเสียงชะนี อาจารย์รับรู้ได้ว่ามันมาแล้ว และยังอธิบายเพิ่มอีกว่า

         “คนที่มีอาการแบบนี้กำลังจะเปลี่ยนร่าง กำลังจะต้องหาร่างใหม่”

         แต่ด้วยความที่ต้นอ้อเธอเป็นคนดี คอยทำบุญอยู่ตลอด ทำให้หลุดจากตรงนี้ได้ จากที่ต้นอ้อไม่เคยเชื่อเรื่องลี้ลับมาก่อน ก็เชื่อหมดใจเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัว และเรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเรื่องที่ ‘คุณต้นอ้อ’ ได้ไปพบตอนไปทำงานบริการบนรถทัวร์..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องหลอน ๆ ของคนมีเซนส์ หลังย้ายไปทำงานที่พังงา

21 มี.ค. 2023

เรื่องหลอน ๆ ของคนมีเซนส์ หลังย้ายไปทำงานที่พังงา

เรื่องหลอน ๆ ของคนมีเซนส์ หลังย้ายไปทำงานที่พังงา คืนหนึ่ง.. ต้องไปส่งเอกสารด่วน ขากลับขับผ่านโค้งหักศอก ตรงนั้นมีศาลตั้งอยู่ด้วย! พยายามมองแค่ทางตรงแล้ว แต่หางตาดันสะดุด ทำให้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น! สติหลุด ทั้งกรี๊ด ทั้งร้องไห้ ขับต่อแทบไม่ไหวจนต้องจอดพัก แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ก่อให้เกิดคลื่นน้ำขนาดยักษ์ที่เรารู้จักและหวาดกลัวอย่าง ‘สึนามิ’ พัดถล่มเข้าชายฝั่งหลายจังหวัดทางภาคใต้ในประเทศไทย ส่งผลให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่ทั้งโลกไม่อาจลืมเลือน หนึ่งในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นยักษ์เต็ม ๆ คือ จ.พังงา และยังเป็นจุดหมายปลายทางของ ‘คุณแนน’ สายจากทางบ้านที่พบเจอกับประสบการณ์หลอนทันทีที่ได้มาถึง ทำเอา ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจมดดำ’ ถึงกับอ้าปากค้างในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (14 มีนาคม 2566) กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ย้ายไปพังงา’ คุณแนนเล่าว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์เมื่อ 13 ปีก่อน ตอนนั้นคุณแนนได้บรรจุเป็นราชการครั้งแรก ได้ทำงานอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งในจังหวัดพังงา แต่เดิมนั้นคุณแนนอาศัยอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี จึงใช้เวลาเดินทางไปที่พังงานานหลายชั่วโมง ด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ทำงาน รวมทั้งบรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยทะเลที่สวยงาม และความเหน็ดเหนื่อยจากเดินทางไกล ทำให้คุณแนนไม่ได้บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง และผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยทันทีที่เดินทางไปถึงบ้านพักข้าราชการ.. ทันทีที่หลับ คุณแนนก็ฝันว่าตัวเองนั้นนั่งอยู่ที่ท้ายกระบะ สักพักก็มีคนโยนศพขึ้นมาบนรถ! โยนมาจนเต็มหลังกระบะและเบียดพื้นที่ของคุณแนน ตอนนั้นคุณแนนรู้ตัวแล้วว่ากำลังฝันอยู่ แต่ก็ขยับตัวไม่ได้ จากนั้นก็พยายามพูดแต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่ส่งเสียง “อึกอัก อึกอัก” ไม่เป็นภาษา จนพี่ที่อยู่บ้านพักเดียวกันตื่นขึ้นมาเขย่าตัวคุณแนนและตะโกนเรียกเสียงดังจนคุณแนนตื่นขึ้นมาจากภวังค์นั้น และบอกว่า “เห้ยพี่ หนูฝันร้าย” เมื่อชาวบ้านทราบข่าวก็ถามขึ้นมาว่า “พอลงเกาะมาเนี่ย ได้ไหว้ ได้ขอเจ้าที่เจ้าทางบ้างหรือเปล่า” คุณแนนก็ตอบไปว่า “ไม่ได้ขอเลยค่ะ” เมื่อได้ยินดังนั้นก็พาคุณแนนไปที่หน้าหาดเพื่อทำพิธีไหว้เจ้าที่เจ้าทาง จะได้ทำงานและอยู่อาศัยที่นี่ได้อย่างราบรื่น คุณแนนเล่าเสริมอีกว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์สึนามิถล่ม จำนวนประชากรที่เกานี้มีประมาณ 500 - 600 คน จนปีที่คุณแนนบรรจุเข้าไปทำงาน เหลือประชากรเพียง 200 กว่าคนเท่านั้น นอกจากจะไปไหว้ที่หน้าหาดแล้ว ชาวบ้านยังพาคุณแนนไปไหว้ที่ศาลพ่อตาหินกอง ลักษณะคือเป็นศาลที่ตั้งอยู่บนหิน ซึ่งเป็นจุดเดียวที่ไม่โดนสึนามิแม้จะตั้งอยู่หน้าหาดก็ตาม หลังจากนั้นคุณแนนก็ไม่เจออะไรพิศวงจนกระทั่ง.. เวลาผ่านไปสักพัก ในคืนที่คุณแนนต้องนอนคนเดียว เพราะเพื่อนร่วมงานหลายคนส่วนใหญ่เป็นคนใต้ที่มาจากจังหวัดใกล้เคียง เช่น นครศรีธรรมราชบ้าง สุราษฎร์ธานีบ้าง พัทลุงบ้าง เขาก็จะกลับบ้านในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ คุณแนนเล่าว่าทุกครั้งที่ต้องนอนคนเดียว จะรู้สึกเหมือนว่าถูกผีอำ แล้วก็จะเห็นบางสิ่งบางอย่างอยู่ที่ปลายเท้า บางครั้งก็เป็นเด็ก บางครั้งก็เป็นผู้ชายแก่ หรือคนท้องบ้าง เรียกได้ว่ามาทุกรูปแบบ ทุกครั้งที่เจอคุณแนนก็จะสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้ตลอด บางคนก็ไปง่าย แต่กับบางคนก็ต้องใช้เวลาสวดนาน คุณเล่าเสริมอีกว่าเขาจะมาปรากฏโดยที่ไม่ได้พูดหรือสื่อสารอะไร เหมือนมายืนมองเราเฉย ๆ แต่ก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่หลอนขนลุกจนคุณแนนจำได้ถึงทุกวันนี้.. คุณแนนเล่าให้ฟังว่าอำเภอที่อาศัยอยู่นั้นค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมือง ต้องใช้เวลาเดินทางกว่า 2 ชั่วโมง แถมที่นี่ยังมีฝนตกแทบจะตลอดเวลา วันนั้นต้องไปส่งเอกสารด่วนในตัวเมือง คุณแนนจึงรีบออกเดินทางเพราะรู้ดีว่าเส้นทางขากลับที่จะต้องผ่านหากว่ายิ่งมืดก็ยิ่งอันตราย เส้นทางที่ว่าจะมีลักษณะเป็นทางโค้งหักศอกหากหลุดโค้งก็เท่ากับตกเหว นอกจากนั้นยังมีศาลตั้งอยู่ด้วย ทุกครั้งที่ผ่านคุณแนนก็จะรู้สึกอึดอัดใจทุกครั้ง แต่ด้วยงานที่ยังค้างคาและกว่าจะสะสางเสร็จ เวลากลับก็ล่วงเลยมาถึงหนึ่งทุ่ม คุณแนนตั้งใจว่าจะไม่วอกแวกและจะตั้งสติในการขับรถเพียงอย่างเดียว พี่ที่นั่งมาด้วยก็รู้ดีว่าคุณแนนสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง เขาก็พยายามหาเรื่องอื่นคุยกับคุณแนน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเครียด พอใกล้จะถึงทางโค้ง พี่เขาก็จับขาคุณแนน แล้วก็บอกว่า “พี่อยู่นี่นะ ไม่ต้องกลัว เราอยู่ด้วยกัน” คุณแนนก็พยายามมองแค่ทางตรง แต่ก็ต้องเสียสมาธิเพราะมีอะไรบางอย่างดึงความสนใจอยู่ที่หางตา! คุณแนนเผลอหันไปมองเข้าเต็ม ๆ ภาพที่เห็นคือศพหน้าเละที่ถูกผ้าห่อเต็มไปด้วยเลือดสีแดงยืนอยู่ตรงศาล! คุณแนนเห็นแบบนั้นก็ร้องกรี๊ดออกมาทันที สติแทบไม่อยู่กับตัว! พี่ที่นั่งมาด้วยก็พยายามช่วยตั้งสติ เพราะกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ คุณแนนพอเริ่มได้สติก็พยายามขับรถให้ผ่านตรงนั้นไปแม้จะยังร้องไห้และช็อคกับสิ่งที่เห็น เมื่อขับผ่านจุดนั้นก็จอดรถและรวบรวมสติให้ได้มากที่สุด เมื่อทุกอย่างเริ่มโอเคขึ้น ก็ขับรถกลับที่พักอย่างปลอดภัย ปัจจุบันนี้คุณแนนได้ย้ายกลับมาทำงานที่จังหวัดสุพรณบุรีแล้ว แต่ก็ยังคงมีความรู้สึกสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้คิดร้ายอะไร ขอแค่ถ้าอยากได้อะไรก็ให้มาบอกดี ๆ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ติดตามฟังเรื่องเต็มได้ที่

เรื่องเล่าจากอาจารย์มิ้น ‘ผีสาวช่วยงานวิจัย’ l อังคารคลุมโปง X หญิง รฐา - ก๊ก ปริญญา [ุ6 พ.ค.2568]

18 พ.ค. 2025

เรื่องเล่าจากอาจารย์มิ้น ‘ผีสาวช่วยงานวิจัย’ l อังคารคลุมโปง X หญิง รฐา - ก๊ก ปริญญา [ุ6 พ.ค.2568]

เมื่อต้องไปเรียนไกลถึงต่างประเทศ ต้องพบเจอกับความยากลำบาก แต่ระหว่างที่ทำวิจัยอยู่นั้น งานทุกอย่างกลับราบรื่นไปได้ด้วยดี ..หรืออาจเป็นเพราะมีบางอย่างช่วยเหลืออยู่! นี่คือเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ผีสาวช่วยงานวิจัย’ จาก ‘อาจารย์มิ้นท์’ ที่ได้นำมาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (6 พฤษภาคม 2568) พร้อมกับ ‘ดีเจเเนน’ ‘ดีเจเจ็ม’ และ‘ดีเจมดดำ’ เรื่องราวสุดหลอนนี้จะเป็นอย่างไร ปิดไฟแล้วอ่านไปพร้อมกันเลย! อาจารย์มิ้นท์ได้เล่าว่า ตนเองได้ทุนไปทำวิจัยที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นระยะเวลา 2 เดือน แม้จะอยู่ญี่ปุ่นแล้วอาจารย์มิ้นท์ก็ยังต้องเรียนภาษาจีนกับเหล่าซือที่ไทยอยู่ เธอจึงเปลี่ยนมาเรียนออนไลน์แทน แต่วันแรกที่ไปทำวิจัยที่นั่นกลับพบว่าอินเทอร์เน็ตใช้งานไม่ได้ ต้องใช้อินเทอร์เน็ตจากมือถือแทน นอกจากนี้อาจารย์มิ้นท์ยังเล่าอีกว่า เหล่าซือที่สอนภาษาจีนของตนนั้นเป็นลูกหลานครูหมอโนราห์และเป็นคนเห็นผี ระหว่างที่กำลังเรียนภาษาจีนอยู่นั้น ในช่วงแรกเหล่าซือก็มีอาการตกใจแปลก ๆ อาจารย์มิ้นท์ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจ เมื่อเรียนเสร็จก็ถามเหล่าซือว่าเกิดอะไรขึ้น เหล่าซือบอกว่า “มีผู้หญิงผมยาว ชุดขาวอยู่นอกหน้าต่าง” จากนั้นเหล่าซือก็บอกให้อาจารย์มิ้นท์เดินไปดูที่ระเบียง ปรากฏว่าที่ตึกแห่งนี้ไม่มีระเบียง ทำให้แน่ใจได้ว่า ไม่มีทางที่จะมีคนยืนอยู่ข้างนอกหน้าต่างอย่างแน่นอน เนื่องจากเหล่าซือคนนี้สามารถสื่อสารกับดวงวิญญาณได้ จึงบอกกับอาจารย์มิ้นท์ว่าผีสาวตนนั้นเป็นวิญญาณที่อยู่ที่นั่นมาหลายร้อยปีแล้ว และในวันนั้นเอง อาจารย์มิ้นท์ก็มีงานที่ต้องส่งด่วนในวันรุ่งขึ้น แต่อินเทอร์เน็ตก็ยังใช้งานไม่ได้ จึงคิดอยากท้าทายวิญญาณสาวตนนั้นว่า “ถ้าทำให้อินเทอร์เน็ตติดได้ จะถวายอาหารชุดใหญ่ให้” ปรากฏว่าอินเทอร์เน็ตกลับมาใช้งานได้ปกติ และสามารถส่งงานได้ทัน อาจารย์มิ้นท์จึงได้เตรียมอาหารชุดใหญ่เอาไว้สำหรับวิญญาณสาวตนนั้น และทำเป็นประจำทุกสัปดาห์ ชีวิตของอาจารย์มิ้นท์วนเวียนอยู่กับห้องนี้วันแล้ววันเล่า จนกระทั่งคืนหนึ่ง อาจารย์อีกคนได้เดินมาที่โต๊ะอาจารย์มิ้นท์ในระหว่างที่กำลังทานข้าวอยู่ จากนั้นเขาก็ทำหน้าตกใจ พออาจารย์มิ้นท์ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็บอกว่า “เห็นเหมือนคนกำลังนั่งกินข้าวกับอาจารย์มิ้นท์อยู่” อาจารย์มิ้นท์รู้ทันทีว่าเป็นวิญญาณสาวตนนั้นอย่างแน่นอน เมื่อใช้ชีวิตมาสักระยะในห้องทำงานห้องเดิม เธอก็เกิดความสงสัยว่าวิญญาณตนนั้นยังอยู่ที่เดิมหรือไม่?และ วิญญาณสาวตนนั้นรู้หรือไม่ว่าเธอไปที่ไหน ทำอะไรมาบ้าง จึงได้ลองถามเหล่าซือที่สามารถสื่อสารกับดวงวิญญาณดูอีกครั้ง สรุปว่าวิญญาณสาวตนนั้นสามารถบอกกับเหล่าซือได้หมดว่าอาจารย์มิ้นท์ทำอะไรมาบ้าง อาจารย์มิ้นท์ก็ได้เล่าว่า ก่อนหน้านี้เธอเคยขอวิญญาณตนนั้นว่า ‘ขอให้งานที่ทำอยู่สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี’ เธอจึงคิดว่าที่ผ่านมาระหว่างที่ทำงานวิจัย ไม่ว่าจะติดต่อสถานที่ไหนในญี่ปุ่นก็เรียบง่าย อาจเป็นเพราะวิญญาณสาวช่วยเอาไว้ก็เป็นได้..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เสียชีวิตแล้วแต่จิตยังคิดถึงงาน! เรื่องราวของคนทำงานที่รักงานมาก ป่วยเป็นมะเร็งก็ยังมาทำงาน เสียชีวิตแล้วก็ยังมาทำงาน พอมีน้องเข้ามาใหม่ ก็ยังช่วยสอนงานน้องอีก!

15 ธ.ค. 2023

เสียชีวิตแล้วแต่จิตยังคิดถึงงาน! เรื่องราวของคนทำงานที่รักงานมาก ป่วยเป็นมะเร็งก็ยังมาทำงาน เสียชีวิตแล้วก็ยังมาทำงาน พอมีน้องเข้ามาใหม่ ก็ยังช่วยสอนงานน้องอีก!

พี่ในบริษัทรักงานมาก ป่วยเป็นมะเร็งก็ยังมาทำงาน จนเสียชีวิตแล้วก็ยังมาทำงาน พอบริษัทมีน้องใหม่เข้ามา ยังมาช่วยสอนงานให้น้องอีก เรื่องนี้ ‘คุณต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (12 ธันวาคม 2566) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘พี่สา’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันได้เลย! ต้นกล้าบอกว่าเรื่องนี้ ‘Base on true story’ เป็นเรื่องจากเพื่อนที่ทำงานบริษัทญี่ปุ่นในไทย มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่บางนา ในบริษัทจะมีพี่คนหนึ่ง ชื่อว่า ‘พี่สา’ เป็นพี่ที่ดีและเป็นที่รักของคนในทีมมาก เพราะพี่สาจะคอยอาสาช่วยงานคนในทีมอยู่เสมอ แม้ว่าตัวพี่สาเองจะป่วยเป็นโรคมะเร็งก็ตาม ตอนนั้นเอง อาการพี่สาไม่สู้ดีนักและกำลังรักษาตัวด้วยการทำคีโมอยู่ ผลข้างเคียงของการทำคีโมนั้นเอง ทำให้พี่สาต้องใส่วิกผมมาทำงานทุกวัน จนกระทั่งมีอยู่สัปดาห์หนึ่ง พี่สาไม่มาทำงานที่บริษัทเลย แต่ทุกคนในทีมไม่ได้รู้สึกสงสัยหรือตั้งคำถามอะไร เพราะคิดว่าพี่สาคง work from home พร้อมกับรักษาตัวอยู่ที่บ้านไปด้วย ปรากฏว่าหลังจากนั้น ทุกคนก็ต้องตกใจ เพราะทราบข่าวว่าพี่สาเสียชีวิตแล้ว ทุกคนเสียใจมากเพราะรู้สึกรักและผูกพันกับพี่สา อีกทั้งยังรู้สึกซาบซึ้งที่แม้แต่ช่วงสุดท้ายของชีวิต พี่สายังมอบให้กับการทำงาน ด้วยความที่ทุกคนเสียใจ และเพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับพี่สา คนในทีมจึงนำดอกไม้ไปวางไว้บนโต๊ะทำงานของพี่สา พร้อมพูดออกไปว่า “พี่ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวน้องใหม่ที่มา พวกผมจะดูแลกันเอง พี่พักผ่อนให้เต็มที่เลย พี่ทำงานมาหนักมากแล้ว” ในวันนั้นเป็นวันที่ทางทีมต้องไปโรงงาน ซึ่งโรงงานจะอยู่คนละที่กับสำนักงานใหญ่ พอตอนเย็นถึงเวลาเลิกงาน คนในทีมก็ได้ชวนกันไปดื่มสังสรรค์ตามปกติ แต่มีพี่คนหนึ่งชื่อ ‘พี่เสือ’ เขาอาสานำอุปกรณ์ไปเก็บที่สำนักงานใหญ่ให้ พอเวลาผ่านไป ร้านก็ใกล้จะปิดเพราะดึกมากแล้ว ปรากฏว่ามีโทรศัพท์โทรหาคนในทีม ซึ่งคนที่โทรมานั่นก็คือพี่เสือนั่นเอง เขาโทรมาแล้วบอกว่า “มารับกูที กูออกจากห้องน้ำไม่ได้ พี่สาเขามา ไม่กล้าออกจากห้องน้ำ” ทุกคนจึงไปรับพี่เสือที่สำนักงานใหญ่ เพราะปกติแล้วพี่เสือเป็นคนแมน ๆ ทะมัดทะแมง ตั้งใจทำงาน แต่น้ำเสียงที่โทรมาเหมือนกับว่าเขากำลังกลัวมากจริง ๆ เมื่อทั้งทีมไปถึงสำนักงานใหญ่ ทั้งชั้นปิดไฟมืดสนิท จึงเดินไปเปิดสวิตช์ไฟ แล้วเข้าไปรับพี่เสือที่ห้องน้ำ ปรากฏว่าพี่เสือไม่มีแม้แต่แรงที่จะเดิน แขนขาอ่อนแรง ต้องเดินเกาะแขนคนในทีมออกมา ระหว่างนั้น คนในทีมก็คะยั้นคะยอให้พี่เสือเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่พี่เสือบอกว่าขอออกไปจากตรงนี้ก่อนแล้วจะเล่าให้ฟัง พอเดินออกมาจากโซนออฟฟิศแล้ว พี่เสือก็เริ่มเล่าว่า ตอนมาเก็บอุปกรณ์เขาแสกนนิ้วเข้าตามปกติ แต่รู้สึกปวดท้องจึงไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างที่อยู่ในห้องน้ำ ก็ได้ยินเสียงคนแสกนนิ้ว แล้วก็เสียงเดิน ต๊อก ต๊อก ต๊อก .. เดินตรงมาหยุดที่หน้าห้องน้ำที่พี่เสือเข้าอยู่ จากนั้นเคาะประตู ก๊อก ก๊อก ก๊อก .. พี่เสือนึกว่าเป็นพี่ยามจึงตะโกนบอกว่า “พี่ยามรึเปล่าครับ พอดีเอาของมาเก็บแปปนึง เดี๋ยวก็ไปละพี่ อย่าพึ่งปิดไฟนะ” แต่ก็ยังมีเสียงเคาะประตูอยู่ แล้วก็มีเสียงพูดขึ้นมาว่า “เสือ..พี่หยิบวิกพี่ไม่ถึง” ณ ตอนนั้นพี่เสือคิดว่าคงเป็นพี่สาแน่ ๆ เพราะในออฟฟิศไม่มีใครใส่วิกนอกจากพี่สา จากนั้นก็พูดขึ้นมาอีกว่า “พี่หยิบวิกพี่ไม่ถึง ช่วยหยิบวิกให้พี่หน่อยได้มั้ย พี่สูงไม่พอ มันขึ้นไปอยู่ตรงนั้น ช่วยหยิบให้หน่อย” พี่เสือรู้สึกกลัวแต่ด้วยความอยากรู้จึงเงยหน้าขึ้นไปมอง ปรากฎว่าเห็นเป็นวิกผมวางไว้อยู่ตรงนั้นในห้องน้ำจริง ๆ! แต่พี่เสือก็ไม่กล้าหยิบ รวมไปถึงไม่กล้าเปิดประตูออกไปด้วย พี่สาจึงพูดต่ออีกว่า “เร็วเสือ..หยิบให้พี่หน่อย พี่หยิบไม่ถึง ไม่รู้ว่ามันขึ้นไปอยู่บนนั้นได้ยังไง” พี่เสือนั่งกลัวจนตัวสั่นอยู่ในห้องน้ำไม่กล้าออกไปไหน จึงได้โทรไปหาทีมให้รีบมาหานั่นเอง เมื่อพี่เสือเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดจบ คนในทีมก็อยากรู้ว่ามีวิกผมในห้องน้ำจริงหรือไม่ จึงเข้าไปหาในห้องน้ำ ปรากฏว่ามีวิกผมวางไว้ตรงตำแหน่งที่พี่เสือเล่าจริง ๆ จนกระทั่งถึงเวลาแยกย้ายปิดไฟกลับ ทุกคนในทีมก็สังเกตว่าในเมื่อไฟปิดหมดแล้ว แต่ทำไมในออฟฟิศยังคงมีแสงสว่างอยู่ ปรากฏว่าจอคอมของพี่สายังเปิดอยู่ พอเห็นแบบนั้นทำให้ทุกคนในทีมต่างรีบแยกย้ายกันกลับบ้านอย่างรวดเร็ว! ถัดมาเช้าของอีกวัน พี่เสือยังคงรู้สึกค้างคาใจกับเรื่องเมื่อคืน จึงได้ขอเช็คประวัติการแสกนลายนิ้วมือเข้าออฟฟิศ ปรากฏว่าคนที่แสกนลายนิ้วมือต่อจากพี่เสือเมื่อคืนนั่นก็คือพี่สานั่นเอง! พอเวลาผ่านไปเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ถูกนำไปเล่าต่อกันในออฟฟิศ ทำให้ทุกคนกลัวกันมาก ขนาดที่หัวหน้าสั่งให้ย้ายไปนั่งที่พี่สา เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้หัวหน้ามากขึ้น แต่ก็ไม่มีใครยอมย้าย กระทั่งมีพนักงานน้องใหม่เข้ามา ซึ่งไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น จึงให้น้องใหม่ไปนั่งโต๊ะของพี่สา เวลาผ่านไปไม่กี่วัน พนักงานน้องใหม่ก็มาเล่าให้ฟังว่า “ทำงานยากมาก แต่อาจจะเป็นเพราะเครียดงาน หรืออาจจะยังปรับตัวไม่ได้ แต่คือหนูได้ยินเสียงกระซิบข้าง ๆ หูตลอดว่า ‘ทำตรงนี้สิ...กดตรงนี้สิ’ เหมือนมีคนมาสอนข้าง ๆ หูอยู่ตลอด” จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังมีใครกล้าไปนั่งโต๊ะของพี่สา รวมถึงข้าวของต่าง ๆ ของพี่สาก็ยังคงอยู่ในตู้เก็บของ และวิกผมก็ยังคงอยู่ในตู้เหมือนเดิม..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณต้น สาลิกาผี 'ล่า ท้า ตาย' l อังคารคลุมโปง X มอสหลง-เดียร์น่า [ 2 ธ.ค.2568 ]

09 ธ.ค. 2025

เรื่องเล่าจากคุณต้น สาลิกาผี 'ล่า ท้า ตาย' l อังคารคลุมโปง X มอสหลง-เดียร์น่า [ 2 ธ.ค.2568 ]

เรื่องราวของกลุ่มวัยรุ่นที่ชอบท้าผี ด้วยความเชื่อว่า “ไม่เชื่อ ต้องหลบหลู่” ก่อนจะบุกเข้าไปในบ้านร้างที่เคยเป็นตำหนักทรงเจ้าสถานที่ซึ่งเคยเกิดคดีฆาตกรรมสุดสยอง วิญญาณหญิงสาวผู้ถูกแขวนคอไม่เคยไปไหน และคืนที่พวกเขาเข้าไปทำให้กลายเป็นคืนสุดท้ายของหลายชีวิต… เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X มอสหลง-เดียร์น่า’ (2 ธันวาคม 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ล่า ท้า ตาย’ ‘คุณต้น สาลิกาผี’ ได้เล่าเรื่องราวของผู้ชายชื่อว่า ดอน ย้อนกลับไปเมื่อกว่า 30 ปีก่อน… สมัยนั้นกลุ่มของดอนเป็นพวกที่ชอบ ล่า ท้า ผี ไปตามบ้านร้างสถานที่แปลก ๆ เพื่อพิสูจน์ว่า “ผีไม่มีจริง” พวกเขามีสโลแกนกันว่า“ไม่เชื่อ ต้องหลบหลู่”หลังพ้นช่วงลอยกระทงปลายปี เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มบอกว่ามีสถานที่ใหม่ที่อยากให้ไปลอง เป็นสำนักร้างที่คนเล่าว่า เฮี้ยนสุด ๆ สถานที่ตรงนั้นเดิมเป็นที่ดินเปล่า ก่อนจะมีครอบครัวหนึ่งมาเช่า และสร้างเป็นตำหนักคล้ายสำนักเจ้าทรง ช่วงแรกมีคนแห่เข้ามาไม่ขาดสาย จึงมีการจ้างแรงงานมาสร้างต่อเติมเพิ่มซึ่งมีคนงานชาวพม่าชาย 2 คน ได้ลงมือข่มขืนคนงานหญิงชาวพม่าคนหนึ่ง ก่อนจะจับเธอ ‘แขวนคอทั้งที่ยังมีชีวิต’ แล้วจัดฉากให้เหมือนฆ่าตัวตาย หลังจากวันนั้น… สถานที่แห่งนี้เริ่มกลายเป็นที่ต้องห้ามคนที่ตั้งใจจะไปทำพิธี มักขับรถหลงทาง บางคนรถตกน้ำ บางคนไปถึงหน้าบ้านกลับเห็นร่างผู้หญิงแขวนคอห้อยอยู่ตรงหน้า จนสุดท้ายคนไม่เข้ามาอีก สำนักขาดรายได้เจ้าของบ้านพยายามขาย แต่ไม่มีใครกล้าซื้อ จึงนิมนต์หลวงพ่อมาทำพิธีสะเดาะเคราะห์แต่ระหว่างพิธี…ลมเย็นจัดพัดวูบเข้ามาทั้งบ้านหลวงพ่อที่นั่งสวดมนต์อยู่ จู่ ๆ ก็ ‘นิ่งไป’ ก่อนจะลุกขึ้น เดินไปหยิบเชือกและพยายามจะ…แขวนคอตัวเอง น้ำเสียงที่เปล่งออกมาคล้ายภาษาพม่า คนในบ้านแตกตื่น ช่วยกันยื้อจนหลวงพ่อได้สติ ก่อนจะรีบหนีกลับวัดทันที และไม่กลับมาอีกเลย บ้านหลังนี้จึงถูกปล่อยร้าง… แบบที่ไม่เคยมีใครกล้าเข้าไปอีก สามเดือนถัดมา… กลุ่มของดอนรู้ข่าว และตัดสินใจไปพิสูจน์ คืนวันนั้นพวกเขาไปกัน 5 คน ผู้ชาย 4 คน ผู้หญิง 1 คน พอไปถึง พวกเขาเห็นกลุ่มวัยรุ่นอีกกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ก่อนแล้ว และพูดทิ้งท้ายไว้ว่า‘ไม่เห็นมีอะไรเลย เสียเวลาเปล่า’กลุ่มของดอนกำลังจะถอดใจกลับ…แต่จู่ ๆ ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งปั่นจักรยานเข้ามา หน้าตาดูอายุไล่เลี่ยกัน เขาพูดขึ้นว่า‘พี่จะกลับแล้วเหรอ…เข้าไปข้างในยังล่ะ?’ ทุกคนส่ายหน้า…ชายหนุ่มคนนั้นล้วงของบางอย่างออกมาจากกระเป๋ามันคือ เชือก เพื่อนของดอนถามติดตลกแต่เสียงสั่น‘อย่าบอกนะ…ว่าเป็นเชือกที่ใช้แขวนคอ?’ ชายคนนั้นไม่ตอบแค่หันหลัง แล้วเดินนำเข้าไปในบ้าน ทำให้พวกเขาทั้งหมดเดินตามเข้าไป ระหว่างเดินชายคนนั้นพูดขึ้นมาเสียงเรียบ ๆ ว่า‘ผมเอง…ที่เป็นคนเจอศพคนแรก’‘…แล้วก็เป็นคนเอาศพลงมา’มีคนถามต่อทันที‘แล้วเอาเชือกมาไว้ทำไม?’คำตอบที่ได้คือ‘เห็นมูลนิธิเอาแต่ศพ…เชือกเลยไม่มีใครเก็บ ผมก็เลยเก็บไว้’เขาพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาก่อนจะพาทุกคนเดินลึกเข้าไปในบ้านร้าง บรรยากาศข้างในเงียบผิดปกติไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดจนเพื่อนของดอนถามขึ้นว่า‘แล้วตรงไหนที่เขาแขวนคอตัวเอง?’ชายหนุ่มคนนั้นค่อย ๆ หันมาแล้วเงยหน้ามองไปที่เพดานทุกคนเงยหน้าตามและทันทีที่สายตาไปถึง พวกเขาเห็นร่างผู้หญิงลิ้นจุกปาก กำลังดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเชือกก่อนที่ร่างนั้นจะตกลงมาต่อหน้าทุกคน เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังขึ้น เชือกค่อย ๆ รัดแน่น ลูกตาถลนออกจากเบ้า… ทุกคนแตกกระเจิง วิ่งหนีคนละทิศละทางแต่เมื่อรวมกลุ่มกันได้อีกครั้ง พวกเขาเพิ่งรู้ว่าชายหนุ่มคนนั้น หายไป ขณะที่กำลังวิ่งหาทางออก ไฟฉายของใครคนหนึ่งส่องขึ้นไปบนเพดานอีกครั้งสิ่งที่เห็นคือ…ชายหนุ่มคนนั้น ถูกแขวนคออยู่และมีร่างของผู้หญิงคนนั้นอยู่ด้านหลังมือของเธอกำลัง ‘กระชากเชือก’ ให้แน่นขึ้นเรื่อย ๆทุกคนกรีดร้องและวิ่งหนีออกจากบ้านได้สำเร็จแต่ก่อนจะขึ้นรถ…พวกเขาได้ยินเสียงชายคนนั้นดังตามมาเบา ๆ‘น่ากลัวไหมล่ะ…’‘ผมบอกพวกพี่แล้ว…ว่ามันน่ากลัว’น้ำเสียงนั้น…เหมือนคนที่กำลังจะขาดใจตาย ระหว่างขับรถหนี ตามสองข้างทางที่มีต้นไม้ทุกคนเห็นร่างของ ‘ผู้หญิง’ และ ‘ชายหนุ่มคนนั้น’ ห้อยตัวลงมาทีละต้น ภาพที่เห็นดิ้นทุรนทุราย จนทำให้คนขับเสียหลักรถพุ่งตกข้างทางคืนนั้น…มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 3 คน เจ้าหน้าที่พบว่าศพทุกคนมีรอย ‘เชือก’ ที่ลำคอ ผู้หญิงที่รอดชีวิตมาได้เหลือสภาพเกือบเป็นอัมพาต และต่อมาไม่นาน ขณะที่เธอกำลังข้ามถนนไปซื้อของมีรถฝ่าไฟแดงชนเธอเสียชีวิตคาที่เวลาต่อมา…ความจริงก็ถูกเปิดเผย ชายหนุ่มที่พวกเขาพบในบ้านคือ ‘คนงานชาย’ ที่เป็นคนข่มขืนผู้หญิงคนนั้นและเป็นคน ‘จัดฉากแขวนคอ’ จากนั้นโทรแจ้งตำรวจเอง หลายวันต่อมา เขาเริ่มถูกผีหลอกอย่างหนักจนเสียสติสุดท้ายกลับไปแขวนคอตายที่บ้านหลังเดิม หลังจากเหตุการณ์นั้น ดอนยังมีชีวิตอยู่… แต่ทุกคืนเขามองเห็นร่างเพื่อน ๆ ของเขาชายหนุ่มคนนั้น และผู้หญิงพม่าคนนั้น… แขวนคออยู่บนเพดานบ้าน บางคืน เขาลุกขึ้นมาละเมอพยายามใช้เชือกผูกคอตัวเองดีที่ครอบครัวช่วยไว้ทันสุดท้าย… ดอนตัดสินใจ “บวช”และอุทิศส่วนกุศลให้ทุกวิญญาณ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

album

0
0.8
1