คู่รักเดินหลงเข้าไปในป่าจนเจอกระท่อมจึงหยุดพัก แต่กลับเจอ 2 ลุงนายพรานประหลาดหลอกผีจนวิ่งหนีไป! สักพักเจ้าหน้าที่ก็ตามมาที่กระท่อม พบว่า 2 ลุงนายพรานคือนักโทษหนีคดี สุดท้ายแล้ว ดันเป็นสองลุงนายพรานนั่นแหละ ที่โดนผีหลอก!

อังคารคลุมโปง RECAP

คู่รักเดินหลงเข้าไปในป่าจนเจอกระท่อมจึงหยุดพัก แต่กลับเจอ 2 ลุงนายพรานประหลาดหลอกผีจนวิ่งหนีไป! สักพักเจ้าหน้าที่ก็ตามมาที่กระท่อม พบว่า 2 ลุงนายพรานคือนักโทษหนีคดี สุดท้ายแล้ว ดันเป็นสองลุงนายพรานนั่นแหละ ที่โดนผีหลอก!

04 ก.ย. 2023

จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อกลุ่มวัยรุ่นเข้าไปกางเต็นท์ในอุทยานแห่งหนึ่ง แล้วดันมีคู่รักเดินหลงหายเข้าไปในป่า เจ้าหน้าที่ระดมกำลังเร่งค้นหา สุดท้ายก็ไปเจอสองลุงนายพรานที่ทำตัวน่าสงสัยในกระท่อมกลางป่า เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อนั้น ‘พี่แจ็ค The Ghost Radio’ ได้นำความหลอนกลางป่าลึกมาเล่าไว้ในรายการ ‘อังคารคลุมโปงX’ (29 สิงหาคม 2566) ที่ผ่านมาแล้ว ตามไปอ่านพร้อมกันเลย!

พี่แจ็คบอกว่าผู้ที่นำเรื่องเล่ามาถ่ายทอดคือ ‘คุณวิน’ ซึ่งมีพี่ชายชื่อว่า ‘พี่ชาติ’ ทำงานอยู่ที่อุทยานแห่งชาติแห่งหนึ่ง พี่ชาติเล่าว่าต้องย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว ทางผู้ใหญ่บ้านและเจ้าหน้าที่อุทยานได้รับแจ้งจากกลุ่มวัยรุ่นประมาณ 5-6 คนที่เข้าไปกางเต็นท์ในอุทยานว่าเพื่อนในกลุ่มหายไป เจ้าหน้าก็สอบถาม ทางกลุ่มวัยรุ่นก็บอกว่า พวกเขามาเที่ยวกันหลายคน มี 2 คนที่เป็นแฟนกัน ชื่อว่า ‘ต้น’ และ ‘แอน’ ตัวผู้หญิงอย่างแอนอยากจะไปทำธุระส่วนตัวจึงขอให้ต้นไปด้วยกัน แต่เวลาผ่านไปสักพัก ทั้ง 2 คนก็ไม่มีวี่แววจะกลับมา เพื่อนในกลุ่มช่วยกันเรียกหาเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ พวกเขาจึงรีบออกมาเพื่อแจ้งเจ้าหน้าที่

เมื่อเจ้าหน้าที่ได้รับเรื่อง ก็ขอให้กลุ่มวัยรุ่นพาไปที่จุดสุดท้ายที่ยังเห็น 2 คนนั้น เมื่อเดินตามเข้าไปยังเส้นทางที่ทั้ง 2 คนใช้เดินเข้าไปในป่าก็เจอกับจุดตัดที่เป็นหน้าผาข้างล่างเป็นน้ำ จึงคิดว่าน่าจะมีความเป็นไปได้ที่ 2 คนนี้อาจจะพลาดลื่นตกลงไปในน้ำ เจ้าหน้าที่จึงกระจายกำลังค้นหาบริเวณน้ำข้างล่างด้วย แต่หาอย่างไรก็หาไม่เจอ ผู้ใหญ่บ้านจึงถามเจ้าหน้าที่ว่ารัศมีที่จะลอยออกไปมันจะไปที่ไหนได้บ้าง ไปทางหมู่บ้านได้หรือไม่ เจ้าหน้าที่จึงบอกว่าทางที่น้ำไหลไปนั้นไม่ใช่ทางหมู่บ้านมันเป็นทางเข้าป่า แต่จะมีจุดหนึ่งที่มีกระท่อมอยู่ข้างในป่า ไม่แน่ว่าทั้ง 2 คนนั้นอาจจะไปอยู่ที่นั่นก็เป็นได้ จึงแบ่งกำลังออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกยังค้นหาในรัศมีเดิม อีกกลุ่มจะมีพี่ชาติ ผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่ออกค้นหาตามทางที่ไปกระท่อม

เมื่อตัดภาพกลับมายังฝั่งผู้สูญหายอย่างคุณแอนและคุณต้น ทั้ง 2 เดินเข้าไปหาที่ทำธุระส่วนตัวกันในป่าที่ทั้งรกทั้งชื้นท่ามกลางแสงสลัว ทำให้เกิดอุบัติเหตุลื่นตกลงไปในน้ำ เป้ที่สะพายมาด้วยก็หลุดและไหลไปตามน้ำ ทั้งคู่พยายามกระเสือกกระสนเอาตัวรอดเพื่อขึ้นจากน้ำและพยายามจะเดินกลับไปทางเดิม แต่เพราะตรงนี้เป็นพื้นที่ป่า เดินยังไงก็หลงทิศ จนกระทั่งเจอกระท่อมร้าง เมื่อเปิดเข้าไปก็มีข้าวของที่ไม่ได้ใช้มานานแล้ว ทั้งคู่จึงตกลงกันว่าจะพักอยู่ที่นี่ก่อนเพราะเวลามืดแล้ว แต่คุณแอนที่เป็นผู้หญิงก็กลัว ทั้งเรื่องของสัตว์ป่าและคุยกันว่า “คืนนี้เราจะเจอผีมั้ย?” สิ้นเสียงนี้ประตูกระท่อมก็เปิดอ้าทันที! ร่างของผู้ชายกำยำหน้าตาดุดันมีอายุลักษณะคล้ายนายพรานก็ปรากฏตัวขึ้น เขาเดินเข้ามาแล้วถามว่า “พวกมึงเป็นใคร! เข้ามาในกระท่องนี้ได้ยังไง!” ทั้งสองตกใจกลัวและรีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง เมื่อเล่าจบ ‘ลุงดำ’ นายพรานคนนั้นก็บอกว่า “ตอนแรกนึกว่าเป็นโจรเข้ามาขโมยของ เห็นเงาตะคุ่ม ๆ ก็เลยเดินตามมาดู” เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ลุงดำจึงอาสาพาทั้งสองไปส่งในตอนเช้า จากนั้นก็บอกว่าจะไปหาอะไรมาให้กิน และบอกทิ้งท้ายไว้ว่า “ถ้าลุงออกไป ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไร ห้ามทัก ห้ามเปิดประตู ห้ามทำอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้ตัวเองเป็นอันตรายเด็ดขาด เพราะนอกจากสัตว์แล้ว.. ที่นี่ผีดุมาก!” จากนั้นลุงดำก็ออกจากกระท่อมไป ทั้งสองคนสงสัยว่าทำไมลุงดำต้องย้ำเรื่องผีขนาดนี้ จึงพยายามคุยกันเพื่อให้เกิดความผ่อนคลาย แต่ไม่นาน ประตูกระท่อมก็เปิดออกมาทันทีอีกครั้ง! เป็นลุงดำที่เปิดประตูเข้ามา ลุงดำยืนค้างนิ่งอยู่อย่างนั้น ทั้งคู่ตกใจสบถกันไปคนละทาง แต่ลุงดำกลับพูดขึ้นมาว่า “พวกมึงเป็นใคร เข้ามาในนี้ได้ยังไง ใครอนุญาตให้เข้ามา!” คุณต้นและคุณแอนสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นจึงบอกไปว่า “เดี๋ยว ๆ เมื่อกี้พวกเราก็เจอลุงแล้วไง ลุงบอกว่าให้พวกเราอยู่ตรงนี้ก่อน พรุ่งนี้เช้าลุงจะไปส่ง แล้วลุงก็ออกไปหาอะไรมาให้พวกเรากินไง” แต่พอคุยไปคุยมา ลุงที่เดินเข้ามาก็บอกว่า “มึงเจอละ คนที่พวกมึงเจอคือพี่ชายข้าชื่อดำ ไอ้ดำน่ะมันตายไปนานแล้ว! บ้านหลังนี้ก็เป็นบ้านของดำด้วย เขาเป็นคนหวงบ้านมาก แต่คงไม่เป็นไรหรอก เขาคงพยายามจะช่วยแหละ ไม่ต้องกลัว ๆ” ถามไถ่ไปมาก็ได้ความว่าลุงคนนี้ชื่อ ‘ลุงแดง’ ตอนเช้าลุงจะพาไปส่ง ส่วนตอนนี้ให้รออยู่ในกระท่อม ลุงจะออกไปหาอะไรมาให้กิน และย้ำกับทั้งคู่ว่า “ห้ามเปิดประตู ล็อคประตูไว้ด้วย ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด ได้ยินเสียงอะไรก็ห้ามทัก เพราะที่นี่ผีดุมาก” พูดเหมือนกันเป๊ะ! เมื่อลุงแดงออกไป ทั้งคู่ก็ล็อคประตู ระหว่างนั้นก็คุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ทันไรประตูก็เปิดออกอีกครั้ง! เป็นลุงแดงที่ถือจานข้าวเข้ามา “อ่ะนี่ เอาข้าวมาให้” ทั้งคู่ก็บอกว่า “ตกใจหมดเลยลุง ขอบคุณละลุงแดงที่เอาข้าวมาให้” ลุงได้ยินก็ตกใจแล้วบอกว่า “แดงไหน! ข้าชื่อดำ! แดงมันไข้ป่าตายไปแล้ว! โดนมันหลอกแล้ว” (พี่แจ็คเล่าเสริมอีกว่าลุงแดงและลุงดำเป็นฝาแฝดกัน ถ้าไม่เห็นในที่สว่างก็คล้ายกันมาจนแยกไม่ออก) คุณแอมและคุณต้นได้ยินเข้าก็งงหนักมากกว่าเดิม จึงบอกไปว่า “ลุง! ขอโทษนะคะ พวกเราไม่อยู่ละดีกว่า” ทั้งคู่รีบออกมาจากกระท่อมหลังนั้น แต่ก็เจอลุงนายพรานยืนอยู่หน้ากระท่อม! เหตุการณ์ตอนนี้คือมีลุงคนนึงยืนอยู่หน้ากระท่อม และอีกคนอยู่ข้างในกระท่อม ทั้งคู่ยืนเถียงกันไปมาว่า “มึงจะมาแย่ง 2 คนนี้ไปจากกูไม่ได้ กูเห็นก่อน กูจะเอามันไปอยู่ด้วย!” ลุงในกระท่อมก็บอกว่า “กูก็ไม่ยอมเหมือนกัน กูจะกินมัน!” คุณแอมและคุณต้นได้ยินก็ตกใจวิ่งเตลิดหายไป พร้อมกับเสียงหัวเราะของลุงทั้งสองคน!

หลังจากคุณแอมและคุณต้นหายลับเข้าไป ลุงดำก็บอกกับลุงแดงว่า “แดง มึงไปเอากระเป๋าที่มึงเก็บไว้มา” ปรากฏว่าทั้งสองคนนี้เป็นโจรฝาแฝดที่สะกดรอยตามมายังกระท่อมและแอบฟังว่าคุณแอมและคุณต้นคุยอะไรกัน เมื่อได้ความว่าเป็นคนหลงทาง ซ้ำยังกลัวผี และในกระเป๋าที่พวกตนเก็บได้นั้นมีของมีค่าอยู่จึงออกอุบายหลอกเหยื่อ ระหว่างที่กำลังรื้อกระเป๋าอยู่นั้น ก็มีเสียงกลุ่มคนเดินมา เป็นเสียงของเจ้าหน้าที่กับผู้ใหญ่บ้านนั่นเอง ลุงแดงกับลุงดำก็รีบเอากระเป๋าไปซ่อนไว้ใต้แคร่ในกระท่อมแล้วออกมาต้อนรับหน้าตาเฉย ผู้ใหญ่บ้านก็เอ่ยทักไปว่า “อ้าว มาได้ยังไง ทำงานอยู่ในเมืองไม่ใช่เหรอ กระท่อมนี้เป็นของพ่อข้า ไม่เคยเข้ามาเลยนะ” ลุงทั้งสองก็ตอบกลับว่า “พวกเราอยากมาดูว่ากระท่อมที่นี่มันเป็นยังไง ก็เลยพากันมา” จากนั้นผู้ใหญ่บ้านก็เอารูปของคุณแอมและคุณต้นให้สองลุงดู ลุงทั้งสองรีบปฏิเสธทันทีว่าไม่เคยเห็น แต่เจ้าหน้าที่ก็เห็นพิรุธเหล่านั้น จึงเข้าไปค้นในกระท่อมก็เจอกระเป๋าที่ซ่อนไว้ จึงถามไปว่า “นี่มันกระเป๋านักท่องเที่ยวชัด ๆ ไปเอาของแบบนี้มาจากไหน?” สองลุงอึกอักและบอกว่า “พวกเราเก็บได้จากน้ำ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นของใคร ไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้ขโมยใครมานะ” ผู้ใหญ่บ้านจึงบอกให้นายพรานทั้งสองคนช่วยเจ้าหน้าที่ค้นหาคนหายเพราะทั้งสองเชี่ยวชาญพื้นที่บริเวณนั้นมาก ระหว่างนั้นก็มีเสียงวอ (วิทยุสื่อสาร) บอกว่า “เจอ 2 คนที่หายแล้ว เจออยู่ในน้ำ น่าจะเสียชีวิตไปหลายวันแล้ว” ลุงนายพรานสองคนก็มองหน้ากันเลิ่กลัก เจ้าหน้าที่เห็นความผิดปกติอีกครั้งก็เค้นถามว่า “ทำไมต้องตกใจด้วย ไหนบอกไม่รู้จักไง” สุดท้ายสองลุงนายพรานก็ยอมเปิดปากว่า ที่จริงแล้วนั้น ลุงแดงและลุงดำหนีคดีมาจากในเมือง ระหว่างเดินทางมากบดานที่กระท่อมก็เห็นกระเป๋าลอยน้ำอยู่จึงหยิบขึ้นมา แล้วก็เห็นชายหญิงคู่นั้นเดินโซซัดโซเซมาที่กระท่อมจึงสะกดรอยตามมา จากนั้นก็แอบฟังและออกอุบายทำผีหลอกเพื่อที่จะเอากระเป๋า สรุปแล้ว สิ่งที่ลุงแดงลุงดำหลอกคือผี!

อาจเป็นเพราะคุณแอนและคุณต้มเสียชีวิตโดยที่ไม่รู้สึกตัว ทำให้ลุงแดงและลุงดำหลอกผีสำเร็จ แต่สุดท้ายแล้วตนเองกลับเป็นฝ่ายโดนผีหลอกต่างหาก หลังจากนั้นสองลุงนายพรานก็ถูกจับเนื่องคดีที่ติดตัวมา..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ขับรถส่งนาฬิกาเรือนเก่าผ่านเส้นทางชวนสยองพร้อมกับเพื่อนที่มีอาการแปลก ๆ เจอดี! เห็นผีผู้หญิงและเด็กอ้าปากแลบลิ้นยาวเกาะติดรถมาด้วย! พอถึงวัดที่ส่งของ ก็เห็นพิธีกรรมชวนขนลุกอีก!

24 ต.ค. 2023

ขับรถส่งนาฬิกาเรือนเก่าผ่านเส้นทางชวนสยองพร้อมกับเพื่อนที่มีอาการแปลก ๆ เจอดี! เห็นผีผู้หญิงและเด็กอ้าปากแลบลิ้นยาวเกาะติดรถมาด้วย! พอถึงวัดที่ส่งของ ก็เห็นพิธีกรรมชวนขนลุกอีก!

ขับรถกลางคืนว่าน่ากลัวแล้ว แต่ยังต้องขนของเก่าชวนขนลุกผ่านเส้นทางชวนสยองพร้อมกับเพื่อนที่มักจะมีอาการแปลก ๆ อีก! เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ‘พี่แจ็ค The Ghost Radio’ ได้นำมาเล่าให้ ‘อังคารคลุมโปง X’ (17 ตุลาคม 2566) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ไม่น่ามาด้วย’ พี่แจ็คเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณโต’ ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ตัวของคุณโตเป็นเจ้าของธุรกิจรับซื้อเศษผ้า โดยจะขับรถหกล้อจากขอนแก่นไปจังหวัดต่าง ๆ มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาต้องขับรถจากขอนแก่นไปพิษณุโลกเพื่อไปรับซื้อเศษผ้า ซึ่งมีถนนเส้นหนึ่งที่ต้องผ่านคือ ‘เส้นน้ำหนาว’ ถนนเส้นนี้มีสะพานห้วยตองที่มีเรื่องสยองชวนขนหัวลุกมากมาย ด้วยความที่คุณโตเป็นนักธุรกิจ การจะไปรถเปล่า ๆ ก็จะดูเป็นการขาดทุน เขาจึงโพสต์รายละเอียดการเดินทางลงในโซเชียลว่า วันนี้เขาจะเดินทางไปจังหวัดนี้ จะผ่านเส้นทางไหนบ้าง หากใครมีของจะเอาไปส่ง คุณโตก็จะรับบริการให้ หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง ก็มีคนติดต่อเข้ามาบอกว่า “จะให้ส่งของไปที่จังหวัดกำแพงเพชร” คุณโตก็ตอบกลับไปว่า “มันไม่ผ่านนะครับ” แต่ทางนั้นก็บอกว่า “กำแพงเพชรในที่นี้คือมันเป็นเขตรอยต่อใกล้กันกับพิษณุโลก เลยจากพิษณุโลกไปประมาณ 50 กิโลเมตร ขับออกไปนิดหน่อย เดี๋ยวเรื่องค่ารถ มาคุยกัน” ทางคุณโตจึงเรียกเงินประมาณ 3,000 – 4,000 บาท หลังจากตกลงกันได้แล้ว ทางคุณโตก็ได้เตรียมรถเรียบร้อย พอถึงเวลานัด ก็มีรถกระบะคันนึงขับเข้ามา พร้อมกับผู้ชายอายุประมาณ 60 ลงมาจากรถ ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำ และเห็นรอยสักอักขระอยู่ที่แขน นอกจากนี้ยังมีลูกน้องมาด้วย 2-3 คน ข้างหลังรถมีนาฬิกาไม้โบราณเรือนใหญ่มาด้วย คุณโตสังเกตเห็นว่านาฬิกาเรือนนี้ถูกล็อกโซ่และกุญแจมาอย่างแน่นหนา คุณลุงเจ้าของรถบอกว่าให้นำนาฬิกานี้ไปส่งที่วัดแห่งหนึ่ง และให้แผนที่กระดาษมาด้วย ตัวคุณโตก็ให้ลูกน้องมาช่วยยกนาฬิกานี้เพิ่มอีกเป็น 4-5 คน เพราะนาฬิกาเรือนนี้หนักมาก และด้วยความที่คุณโตกลัวว่าตอนอยู่บนรถลูกตุ้มนาฬิกาจะแกว่งและไปโดนตู้จนพัง เขาจึงเตรียมโฟมเพื่อที่จะช่วยไม่ให้ลูกตุ้มแกว่ง แต่ทันทีที่เขากำลังจะเปิดตู้นั้น ก็มีเสียงตะโกนขึ้นมาว่า “มึงอย่าเปิดนะ!!” ซึ่งเป็นเสียงของคุณลุง คุณโตที่เคยคุยกับคุณลุงมาแล้วก็แปลกใจ เพราะปกติแล้วคุณลุงจะพูดจาเพราะ แต่พอจะไปจับนาฬิกานี้ คุณลุงกลับดุ และยังบอกอีกว่า “ไม่ต้องไปเปิดมัน อย่าไปยุ่งกับเขา” หลังจากนั้นก็รีบคะยั้นคะยอให้คุณโตนำของไปส่ง พร้อมทั้งยัดแผนที่กระดาษและเงินจำนวน 15,000 บาทให้คุณโต ตัวคุณโตไม่ได้ดีใจแต่ตกใจ เพราะจำนวนเงินมากผิดปกติ เขาจึงสงสัยว่าหรือนี่จะเป็นของผิดกฎหมาย จึงถามคุณลุงไปว่า “ที่อยู่ในตู้นี้ ไม่มีอะไรที่ผิดกฎหมายใช่ไหมครับ” คุณลุงตอบกลับมาว่า “ไม่มี ไม่ผิด ข้างในเป็นคัมภีร์เกี่ยวกับพระไตรปิฎกทั้งหมด ไม่มีอะไร แล้วตู้นั้นเป็นตู้ไม้โบราณ รับประกันได้ ไปส่งที่วัดได้แล้ว” คุณโตเชื่อและเตรียมรถเพื่อออกเดินทางในเวลา 6 โมงเย็น เพราะส่วนตัวนั้นชอบเดินทางตอนกลางคืนมากกว่า ระหว่างนั้น มีสายโทรศัพท์จาก ‘คุณหมุย’ เพื่องของคุณโต ตัวคุณหมุยนั้นเคยประสบอุบัติเหตุต้องผ่าตัดสมองมาแล้ว ทำให้เขาอาจจะมีอาการแปลก ๆ รวมถึงมีอารมณ์และคำพูดแปลก ๆ ไปบ้าง คุณโตจึงเล่าเรื่องที่จะไปส่งของให้ฟัง ปรากฏว่าคุณหมุยขอไปด้วย ทั้งคู่จึงนัดหมายกัน กระทั่งถึงเวลารถออก ทั้งคู่ออกเดินทางจากของแก่นมุ่งหน้าสู่พิษณุโลก โดยใช้เส้นทางน้ำหนาว หลายคนที่เคยไปจะรู้กันดีว่าเส้นทางนี้เป็นภูเขา เป็นเหว และตอนกลางคืนมีรถน้อย ตรงสะพานห้วยตองก็มีเรื่องสยองกล่าวขานกันมากมาย แต่ตัวคุณโตชินกับเส้นทางนี้จึงไม่ได้กลัวอะไร เมื่อถึงจุดที่เป็นป่าเขา สัญญาณอินเตอร์เน็ตก็หายไป ทั้งรถก็เหลือแต่ความเงียบ จนกระทั่งรถกำลังขับขึ้นเนิน ซึ่งจะต้องผ่านศาลใหญ่อยู่ซ้ายมือ ระหว่างที่กำลังจะผ่านศาล คุณหมุยก็พูดขึ้นมาว่า “เออ มึงว่าคนสมัยก่อนเขารู้ได้ไงวะ ว่ากุมารชอบกินน้ำแดง” คุณโตก็ตอบว่า “มึงจะพูดทำไม” คุณหมุยก็พูดขึ้นมาอีกว่า “แล้วสมัยนั้น สมัยก่อนมีตู้กดน้ำแดงขายด้วยเหรอวะ” พูดจบยังไม่ทันขาดคำ ก็มีสัญญาณในรถดังขึ้นมา เขาก้มมองปรากฏว่า เกจ์ความร้อนของรถกำลังไปถึงตัว H เขาจึงต้องจอดรถ และให้คุณหมุยลงจากรถเพื่อหาหินมารองรถไว้ เนื่องจากยังอยู่ในเส้นทางขึ้นเนิน หลังจากหาก้อนหินมาดันล้อรถเรียบร้อยแล้ว คุณโตก็ดับรถและลงจากรถ แต่สิ่งที่ทำให้คุณโตตกใจคือ ตรงที่รถจอดห่างจากหน้าศาลมาแค่ 3 ก้าว! ซึ่งศาลตรงนี้ เป็นศาลที่คนแถวนี้เขานับถือ ว่ากันว่าห้ามเข้าไปยุ่ง ห้ามเข้าไปเล่นเด็ดขาด หลังจากที่คุณโตตรวจเช็ครถจนเสร็จ สรุปแล้วรถไม่ได้เป็นอะไร แต่หม้อน้ำเดือดเพราะรถใช้แรงในการส่งขึ้นเขาเยอะ ในระหว่างที่คุณโตกำลังเช็ครถ คุณหมุยก็หายไป คุณโตจึงมองหาคุณหมุย ปรากฏว่า เห็นคุณหมุยขึ้นไปนั่งบนรูปปั้นช้างที่อยู่หน้าศาลแล้วทำท่าเหมือนขี่ช้าง ตัวของคุณโตก็ตกใจแล้วบอกว่า “ไอ้หมุย มึงขึ้นไปทำอะไร ลงมานี่!” คุณหมุยก็หัวเราะแล้วลงมาบอกว่า “มึงจะกลัวอะไรวะ มันไม่มีอะไรหรอก” คุณโตคิดว่า นี่ไม่ดีแล้ว จึงรีบเช็คว่าน้ำแล้วก็สตาร์ตเครื่องจนติด จากนั้นก็เรียกคุณหมุยขึ้นรถทันที แต่สิ่งที่เขาเห็นบนรถคือตรงกระจกหน้ารถมีรอยมือเด็กมาแปะอยู่หน้ารถจากข้างนอก! ตัวคุณโตเองก็รู้อยู่แล้วว่าตรงนั้นมีบางสิ่งบางอย่างแน่นอน แต่เขาไม่พูดเพราะกลัวจิตตกและกลัวว่าคุณหมุยจะกลัวไปด้วย จากนั้นก็รีบขับรถออกไป แต่ระหว่างที่ถอยรถออกก็ทับหินดังแกร๊ก! คุณโตถามคุยหมุยว่า “เฮ้ยหมุย ทำไมมึงไม่เอาหินออกจากล้อวะ” คุณหมุยก็หัวเราะ แล้วคุณโตก็ขับออกไป.. ขับไปสักพัก คุณโตเห็นว่าคุณหมุยนั่งชูมือขึ้นมา มือซ้ายชู 5 นิ้ว มือขวาชูขึ้นมา 2 นิ้ว คุณโตจึงถามว่า “หมุยมึงทำอะไร” คุณหมุยตอบกลับมาว่า “กูกำลังจะนับดูว่า กูจะเจอผู้หญิงคนนี้อีกกี่ครั้ง” คุณโตได้ยินเข้าก็ตกใจ เพราะเขาไม่เห็นผู้หญิงอะไรทั้งนั้น แต่คุณโตก็คิดว่าคุณหมุยไม่ใช่คนโกหก หากเจออะไรก็จะพูดออกมาแบบนั้น ระหว่างนั้น คุณโตก็ขับรถไปด้วยความระแวง สลับกับมองนิ้วไปด้วย เพราะในใจก็หวังว่าคุณหมุยจะไม่ชูนิ้วขึ้นมาอีก ปรากฏว่าขับไปได้อีกนิดเดียว คุณหมุยก็ชูนิ้วที่แปดขึ้นมา คุณโตตกใจแล้วกวาดสายตามองไปรอบ ๆ จนไปสะดุดอยู่ที่กระจกข้างรถ นั่นทำให้คุณโตหัวใจแทบวาย! สิ่งที่เขาเห็นคือ มีผู้หญิงมายืนเกาะข้างรถและมีเด็กกอดคอมาด้วย แล้วก็เข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ทำให้คุณโตเห็นว่าผู้หญิงคนนี้อ้าปากแล้วแลบลิ้นยาวมาด้วย! แล้วด้วยความที่เกาะอยู่ข้างรถ ลิ้นนั้นจึงโดนลมพัดสะบัดไป และในระหว่างที่คุณโตกำลังตกใจ ปรากฏว่ามีเท้าหนึ่งยื่นมาจากในรถแล้วก็ถีบไปที่หัวผู้หญิงคนนั้น ทำให้ผู้หญิงคนนั้นหลุดกระเด็นหายจากรถไป! หลังจากนั้นเจอเหตุการณ์นั้น คุณโตตกใจจนปัสสาวะราด แต่ก็ต้องประคองสติ เพื่อขับรถต่อไป จนไปถึงที่ปั๊ม และตัดสินใจนอนที่ปั๊ม พอรุ่งเช้า คุณโตก็รีบขับไปที่วัดทันที เป็นวัดที่เขาถูกว่าจ้างให้ไปส่งของนั่นเอง พอขับไปถึง ก็ได้เจอพระรูปหนึ่งเป็นหลวงตาที่อายุมากแล้ว หลวงตาท่านก็เดินมาหา แล้วเอากุญแจขึ้นไปไขจนโซ่ที่คล้องหลุดออก จากนั้นก็เปิดลิ้นชัก สิ่งที่คุณโตเห็นหลังจากเปิดลิ้นชักคือ หลวงตาหยิบเอาคัมภีร์พระไตรปิฎกออกมา แล้วก็เอาคัมภีร์พระไตรปิฎกใส่พานที่ลูกศิษย์ถือเดินตามมาจนหมด แล้วเปิดลิ้นชักอีกอัน หยิบของออกมา สิ่งที่คุณโตเห็นคือ เหมือนเป็นเส้นผมคน หลวงตาก็หยิบใส่พาน ตัวคุณโตตกใจว่ามันคืออะไร หลวงตาที่เห็นคุณโตตกใจก็เลยบอกว่า “ไม่มีอะไร อันนี้คือหางช้าง” ซึ่งเป็นของศักดิ์สิทธิ์ บางคนก็นับถือ บางคนเอาไว้ป้องกันภัย หลังจากเอาของออกมาจากนาฬิกาแล้ว ก็ให้ลูกศิษย์ยกนาฬิกาลง ซึ่งใช้แค่ 2 คน ยกลงมาแบบสบาย ๆ แล้วใส่รถเข็นไว้ หลวงตาก็ให้คุณโตเข็นรถตามไป จนไปหยุดที่ริมน้ำ หลวงตาก็ให้คุณโตเอาของวางไว้ตรงนี้ แล้วก็สวดท่องคาถา หลังจากนั้นหลวงตาก็เอามือตบตู้ 3 ที แล้วพูดว่า “ไป ไป” แล้วลูกศิษย์ก็ยกรถเข็นเทตู้นาฬิกาทิ้งลงไปในแม่น้ำ คุณโตก็ได้แต่เกิดคำถามในใจว่า ทำไมถึงต้องขนตู้นาฬิกานี้มา 500 กิโลเมตรเพื่อมาทิ้งน้ำที่วัดนี้ด้วย แต่คุณโตก็ไม่ได้ถามเพราะว่าหมดหน้าที่ของคุณโตแล้ว หลังจากนั้นคุณโตก็กลับมาขึ้นรถ ในจังหวะที่กำลังถอยรถอยู่นั้น คนโบกรถก็พูดว่า “เฮ้ย! เดี๋ยว ๆ อะไรวะเนี่ย” คุณโตลงจากรถไปดูตรงบริเวณล้อ ปรากฏว่า มีหัวตุ๊กตาทหารที่แตก แล้วหัวติดอยู่ในล้อ คุณโตจึงหยิบออกมาดูแล้วถามคุณหมุยว่า “หมุย อันนี้มันมายังไงวะ” คุณหมุยตอบกลับว่า “ก็มึงให้กู เอาหินไปรองรถตอนที่รถเสียจำได้ไหม กูหาหินไม่ได้ แต่กูเห็นไอ้ตุ๊กตานี่มันอยู่หน้าศาล กูก็เลยหยิบเอามารองรถ” คุณโตก็ไม่รู้จะด่าอะไรพูดได้แค่ว่า “โถ่ หมุย” เพราะรู้อยู่แล้วว่าคุณหมุยเป็นอย่างนั้น นั่นทำให้คุณโตเข้าใจว่าสิ่งที่เจอมาตลอดคือเขามาทวง คุณโตจึงขับกลับเอาไปคืน ระหว่างทางที่ไปคุณโตก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าเจอนะ ไม่เอาแล้ว ปรากฏว่าพอจะถึงศาล ก็เจอผู้หญิงยืนอยู่หน้าศาล! แต่ครั้งนี้ไม่ได้มาน่ากลัวแบบคราวก่อน ด้วยความที่ช็อกและกลัวว่าเขาจะโกรธหนัก เพราะเอาแค่หัวไปคืน คุณโตคิดว่าจะไปหาซื้อให้ใหม่ และพยายามขับรถต่อไป ระหว่างที่กำลังจะขับรถผ่านจุดนั้น คุณหมุยก็เอามือตีไหล่คุณโตแล้วพูดว่า “เฮ้ย ๆ มึงเห็นปะ!” แล้วคุณโตก็ขับรถต่อไปโดยไม่หันมาคุยกับคุณหมุยอีกเลยจนถึงบ้าน จนกระทั่งคืนหนึ่ง คุณโตฝันว่า ผู้หญิงคนนี้มาว่า “รู้ว่าไม่ได้ตั้งใจ แต่ช่วยเอาของเล่นลูกเขามาคืนได้ไหม” คุณโตก็รับปากไปและไปหาซื้อตุ๊กตาไปคืนให้ที่เดิม และที่สำคัญคือไม่ไปกับคุณหมุยแล้ว..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เปิดร้านทำผมใกล้สถานศึกษาจนได้รู้จักกับน้องคนหนึ่ง ทั้งคู่เกิดความรู้สึกดี ๆ ให้กัน คืนหนึ่งรุ่นน้องมานอนพักที่ร้าน จากนั้นก็ฝันว่าน้องคนนั้นตาย! พอตื่นมาก็เห็นข่าวว่าน้องโดนยิงตาย แต่ไม่เชื่อ จึงขึ้นไปเช็คที่ห้องนอน ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เลย!

14 ก.ย. 2023

เปิดร้านทำผมใกล้สถานศึกษาจนได้รู้จักกับน้องคนหนึ่ง ทั้งคู่เกิดความรู้สึกดี ๆ ให้กัน คืนหนึ่งรุ่นน้องมานอนพักที่ร้าน จากนั้นก็ฝันว่าน้องคนนั้นตาย! พอตื่นมาก็เห็นข่าวว่าน้องโดนยิงตาย แต่ไม่เชื่อ จึงขึ้นไปเช็คที่ห้องนอน ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เลย!

เมื่อความรักเกิดขึ้นได้ทุกช่วงเวลา แต่กลับถูกความตายมาพลัดพราก ทำให้ความสัมพันธ์ยังคลุมเครือไม่ได้ไปต่อ เรื่องราวความรักสีดำครั้งนี้จะเป็นยังไง รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 กันยายน 2566) ขอต้อนรับ ‘พี่ขวัญ น้ำมันพราย’ พบกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ที่จะมาร่วมปิดไฟ แล้วเปิดประสบการณ์ความรักสุดหลอนกันในค่ำคืนนี้! ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน เรื่องราวเกิดขึ้นกับ LGBTQ ท่านหนึ่ง ชื่อว่า ‘พี่แอน’ อดีตเคยเป็นลูกจ้างร้านเสริมสวยร้านหนึ่ง สะสมประสบการณ์เก็บเงินจนเติบโตกลายเป็นเจ้าของร้านเสริมสวยแถวมหาวิทยาลัยย่านรังสิต หลังจากเปิดมาได้ปีกว่าก็มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการจำนวนมาก พี่แอนจึงตัดสินใจจ้างลูกน้องให้มาช่วยงานที่ร้าน ตัวพี่แอนเองมักจะสนิทสนมกับนักศึกษาหลายคน แต่มีนักศึกษาผู้ชายคนหนึ่ง มักจะมากับกลุ่มเพื่อนบ่อย ๆ แต่ตัวน้องผู้ชายไม่เคยตัดผมที่ร้านเลย และด้วยความหน้าตาดี เรียบร้อย พี่แอนก็เกิดความรู้สึกดี มีใจให้กับนักศึกษาหนุ่มคนนี้ เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งสองเริ่มรู้จักกันมากขึ้นเรื่อย ๆ น้องคนนี้มีชื่อว่า ‘นัท’ เป็นเด็กต่างจังหวัดเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ หางานพิเศษทำเพื่อส่งตัวเองเรียน พี่แอนเองก็ไม่กล้าบอกคนอื่นว่ามีตนเองมีใจให้กับนัท เพราะกลัวนัทจะอาย พี่แอนจึงทำได้เพียงบอกให้นัทมาตัดผมฟรีที่ร้าน แต่ห้ามบอกใครว่าได้ตัดผมฟรี นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งคู่ได้มีโอกาสเจอกันอยู่บ่อยครั้ง วันหนึ่งนัทมานั่งในร้านทำผมด้วยหน้าตาที่เศร้าหมอง พี่แอนจึงเดินเข้าไปถามว่า “นัทเป็นอะไร?ปกติจะร่าเริงกว่านี้” นัทเล่าเรื่องราวให้ฟังถึงปัญหาที่ตนกำลังพบเจอ ทั้งหางานพิเศษไม่ได้ ไม่มีเงิน แต่ที่ตัดสินใจเล่าให้ฟัง ไม่ได้ต้องการให้พี่แอนมาช่วย เพราะอยากจะหาเงินให้ได้ด้วยตัวเอง เหตุการณ์นี้ทำให้รู้ว่าความจริงแล้ว ทั้งนัทและพี่แอนก็ต่างมีความรู้สึกดี ๆให้กัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้สานความสัมพันธ์เกินกว่าพี่น้อง อยู่มาวันหนึ่งขณะที่พี่แอนกำลังดึงบานประตูเหล็กลงมาเพื่อปิดร้าน ระหว่างนั้นสายตาก็มองออกไปข้างนอก เห็นโต๊ะหินอ่อนที่ตั้งอยู่เยื้อง ๆ กับหน้าร้าน มีคนนั่งอยู่ พี่แอนก้มลงไปมองด้วยความสงสัย ทำให้เห็นว่าคนที่นั่งอยู่คือนัท จึงตะโกนออกไปว่า “นัท นัททำอะไรลูก” นัทหันหน้ามามองที่พี่แอนแล้วตอบกลับว่า “พี่แอน ผมปวดหัว” พี่แอนจึงตัดสินใจพานัทเข้ามานั่งในร้านเพื่อที่จะพูดคุย และยังหายามาให้ พี่แอนบอกกับนัทด้วยความห่วงใยว่า “นัท ถ้าไม่ไหว ไม่ต้องคิดอะไรมาก นอนที่นี่ก็ได้นะ ไม่ต้องกลัว พี่ไม่ทำอะไรหรอก” นัทก็นั่งซึมน้ำตาไหล พูดซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ ว่า “พี่แอน ผมปวดหัว ผมไม่ไหวแล้วพี่ ปวดหัวมากเลยพี่แอน” สักพักพี่แอนตัดสินใจอีกครั้งที่จะจับมือนัทขึ้นไปบนห้อง แล้วบอกว่า “นอนที่นี่แหละ ไม่ต้องกลัว พี่ไม่บอกใครว่านัทอยู่ที่นี่” ข้างบนห้องจะมีทีวีตั้งอยู่ปลายเตียง มีที่นอนประมาณ 5-6 ฟุตตั้งอยู่ นัทนอนลงบนที่นอนด้วยท่าตะแคงและหันหน้าไปทางกำแพง ส่วนพี่แอนเข้าไปอาบน้ำ เมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นนัทกำลังนอนอยู่จึงเรียก “นัท นัท นัท นัทโอเคนะ” แต่ก็เงียบไม่มีเสียงตอบกลับ พี่แอนคิดในใจว่าสงสัยนัทจะหลับไปแล้ว พี่แอนจึงล้มตัวนอนลงข้าง ๆ โดยเว้นระยะไว้ให้ห่างจากนัท เพราะกลัวนัทตื่นมาจะตกใจ สถานการณ์ในตอนนั้นก็ต่างคนต่างนอน แต่แล้วจู่ ๆ พี่แอนก็ลืมตาขึ้นมา หันไปเห็นประตูฝั่งระเบียงเปิดอยู่ และเห็นเป็นคนกำลังยืนที่ระเบียง พอสายตาเริ่มปรับโฟกัสได้ก็พยายามมองว่าคนนั้นเป็นใคร แล้วตัดสินใจหันไปมองข้าง ๆ ที่นัทกำลังนอนอยู่ แต่สิ่งที่เห็นคือ นัทหายไป! พี่แอนเบนสายตากลับไปมองที่ระเบียงอีกครั้ง แต่คนที่ยืนอยู่คือนัท! พี่แอนรีบลุกขึ้นไปที่ระเบียงพร้อมกับส่งเสียง “นัท ไปทำอะไรตรงนั้นลูก” นัทก็หันหน้ามาตอบว่า “พี่แอนผมไม่ไหวแล้ว ผมปวดหัว” จากนั้นค่อย ๆ ปีนระเบียง และนั่งลงที่ขอบปูนเพื่อให้ขาห้อยไปด้านล่าง ด้วยความตกใจพี่แอนก็พูดขึ้นว่า “อย่า อย่า อย่า ลงมาเดี๋ยวตก!” นัทหันมาพูดซ้ำอีกว่า “พี่แอน ผมปวดหัว” จังหวะที่พี่แอนกำลังจะเอื้อมมือจับไหล่ สิ่งที่เห็นคือหน้าอีกข้างของนัทเลือดไหลออกมาเต็มไปหมด แล้วนัทก็พูดขึ้นอีกว่า “พี่แอน ผมปวดหัว” จากนั้นก็ทิ้งตัวลงไปด้านล่างทันที! ด้วยความตกใจ พี่แอนก็ส่งเสียงกรี๊ดดังลั่น “นัท!!!” และสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมา เห็นว่าตัวเองนอนอยู่กับที่ แล้วหันไปมองที่นัทอีกครั้งก็ตกใจขึ้นอีก เพราะนัทนอนตะแคงจ้องตาโตมาที่พี่แอน แล้วพูดขึ้นว่า “พี่แอน ผมรักพี่นะ” พี่แอนตกใจส่งเสียงออกมา “เห้ยย!!” แล้วสะดุ้งตื่นอีกครั้ง กลายเป็นความฝันซ้ำสองรอบ! ลืมตามาอีกทีหันไปมองที่นัท ยังคงนอนนิ่ง ตะแคงไปทางกำแพงท่าเดิม แต่ตัวนัทเต็มไปด้วยเหงื่อ หัวเปียกเต็มไปหมด พี่แอนเองไม่กล้าจับนัท กลัวจะทำให้นัทตกใจตื่น จึงต่างคนต่างนอนไปแบบเดิม รุ่งเช้าพี่แอนลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเตรียมลงไปเปิดร้าน สายตาก็หันไปมองที่นัทอีกครั้ง นัทก็ยังคงนอนอยู่ท่าเดิม พี่แอนคิดว่าจะลงไปใส่บาตรพระ แล้วเปิดร้านตามปกติ และปล่อยให้นัทได้นอนพักไปก่อน ขณะที่กำลังใส่บาตรหน้าร้านตัวเอง หลวงพ่อกำลังจะเดินบิณฑบาตต่อ แต่ก็หยุดชะงักแล้วมองขึ้นไปด้านบนชั้นสอง พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “โยม ยังไงก็อย่าลืมหมั่นทำบุญให้เค้าบ่อย ๆนะ” พี่แอนก็สงสัยแต่ไม่ได้ถามอะไรต่อ จากนั้นก็เปิดร้านทำความสะอาดกับน้องพนักงานที่ช่วยกันตามปกติ และเปิดทีวีขึ้น จังหวะนั้นก็มีเสียงอ่านข่าวดังขึ้น “ย่านรังสิต เกิดเหตุนักศึกษายิงกันเสียชีวิต จับคนร้ายได้แล้วแต่ดันยิงผิดคน” น้องพนักงานก็บ่นขึ้นว่า “ดูในข่าวดิพี่แอน ทำไมเดี๋ยวนี้คนมันใจร้ายเนอะ ฆ่ากันตายง่ายจังเลย เห้ย! พี่แอน ทำไมรถในข่าวมันเหมือนรถพี่นัทจัง” พี่แอนตอบกลับด้วยความไม่สนใจ “จะบ้าหรอไม่ใช่หรอก” จากนั้นก็ทำความสะอาดร้านต่อ จนกระทั่งมีโทรศัพท์โทรเข้ามาเป็นสายของลูกค้าโทรเข้ามาเพื่อที่จะจองคิวทำผม ไม่นานลูกค้าคนนั้นก็เข้ามาที่ร้าน และบังเอิญว่าเขาเป็นเพื่อนของนัท แล้วก็พูดขึ้นมาว่า “พี่แอนรู้ข่าวยัง นัทถูกยิงตาย” พี่แอนตกใจแต่ก็ไม่เชื่อแล้วพูดว่า “ถูกยิงยังไง จะบ้าหรอ ไม่จริงไม่เชื่อหรอก อย่ามาเล่น ไม่เอา!” เพื่อนของนัทยังคงยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง จนพี่แอนเกิดความโมโห เพราะรู้ว่านัทนอนอยู่ด้านบน พี่แอนพูดขึ้นมาอีกว่า “คือแบบนี้ ที่ไม่เชื่อเพราะนัทมันนอนอยู่ข้างบน ไม่กล้าตั้งแต่แรก บอกเพราะกลัวจะหาว่าอย่างนู้นอย่างนี้กัน เมื่อคืนมันไม่สบาย ก็เลยมาหา” เพื่อนก็ยังยืนยันอีกว่า “พี่แอน ไม่จริงหรอกนัทมันตายแล้วพี่” พี่แอนทนไม่ไหวจึงตัดสินใจพาทุกคนไปพิสูจน์ความจริง “ถ้านัทไม่อยู่เดี๋ยวให้คนละ 500 เลย แต่ถ้ามันนอนอยู่จ่ายมาด้วยคนละ 500 ด้วย” ทั้งสามคนพากันขึ้นไปดูที่ชั้นสอง แง้มประตูให้เปิดออกช้า ๆ ด้วยความมืดพี่แอนก็มองเห็นว่านัทลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง “นั่นไง เห็นไหมมันนั่งอยู่ในห้อง” พอเปิดประตูจนสุดปรากฏว่า ไม่มีใครอยู่ในห้องเลย มีเพียงความเงียบเท่านั้น พี่แอนเริ่มรู้สึกแปลก ๆ แต่ก็ยังไม่เชื่อ “ต้องมีดิ เมื่อกี้ยังเห็นนัทมันนั่งอยู่เลย เมื่อคืนก็อยู่ด้วยกัน” ด้วยความที่ใจไม่ดีแล้ว ลูกค้าหลายคนก็พูดถึงเรื่องนัทกันอย่างต่อเนื่อง พี่แอนจึงรีบปิดร้าน เพื่อจะเดินทางไปดูศพที่ถูกยิง แล้วสุดท้ายภาพที่เห็นก็คือศพนัทจริง ๆ เมื่อรู้ความจริงทำให้พี่แอนหดหู่ใจคอไม่ดี จึงตัดสินใจปิดร้าน 3 วัน เพื่อกลับต่างจังหวัด จากนั้นก็กลับมาเปิดร้านอีกครั้ง เมื่อกลับมาถึงร้านลูกน้องก็รีบเดินเข้ามาบอกกับพี่แอนว่า “พี่แอน มีคนเขาพูดกันว่า เห็นนัทมาที่หน้าร้านพี่แอนทุกคืนเลย” แต่พี่แอนเองก็ไม่เชื่อ จนอยู่มาวันหนึ่ง พี่แอนกำลังกำลังดึงบานประตูเหล็กลงมาล็อคเพื่อปิดร้านตามปกติ แต่จังหวะที่กำลังจะหันหลังกลับ ก็มีเสียงเคาะประตูเหล็กดังขึ้น ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง! “พี่แอน พี่แอน นัทเอง!” ตัวพี่แอนก็ลืมว่านัทตายแล้ว จึงตอบกลับแบบไม่ทันคิด “อ้าว! นัทเข้ามาก่อน เดี๋ยวพี่เปิดประตูให้” เมื่อกำลังเอื้อมมือไปเปิดกุญแจ ก็นึกขึ้นได้ว่านัทตายแล้ว ด้วยความสงสัยก็ส่งเสียงออกไปอีกครั้งว่า “นัทแน่นะ” แม้ในใจยังคิดสับสนกับตัวเองว่าใครมาแกล้ง หรือว่าเป็นนัทจริง ๆ คิดในใจวนไปวนมา จนมีเสียงดังขึ้น “ไม่มีใครแกล้งหรอก ผมมาลาพี่นะ” ด้วยความสงสารนัท พี่แอนรวบรวมความกล้าตัดสินใจ ไขกุญแจแล้วเปิดประตูบานเหล็กขึ้น สิ่งที่เห็นคือ ความว่างเปล่า มีแต่เสียงหมาหอนค่อย ๆ ดังขึ้นเท่านั้น หลังจากเหตุการณ์คืนนั้นพี่แอนก้ไม่เคยเห็นหรือได้ยินเสียงนัทอีกเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปขอเนื้อคู่ที่ไต้หวัน แต่ดันโดนตามกลับมาจับ...ถึงประเทศไทย! สิ่งนี้คือคำใบ้สู่รักแท้หรือเพียงแค่ประสบการณ์ขนหัวลุกส่วนบุคคล

30 มิ.ย. 2023

ไปขอเนื้อคู่ที่ไต้หวัน แต่ดันโดนตามกลับมาจับ...ถึงประเทศไทย! สิ่งนี้คือคำใบ้สู่รักแท้หรือเพียงแค่ประสบการณ์ขนหัวลุกส่วนบุคคล

วันนี้ ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจแนน’ รับหน้าที่จัดรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (6 มิ.ย. 66) เช่นเคย คนที่โทรมาเล่าเรื่องราวในครั้งนี้ชื่อว่า ‘คุณแบงค์’ เขามาพร้อมกับภารกิจตามหารักแท้ ซึ่งต้องแลกมากับเรื่องเขย่าขวัญในค่ำคืนนี้ ถ้าพร้อมแล้วไปอ่านกันเลย! เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา คุณแบงค์อาศัยอยู่ในคอนโดที่พึ่งสร้างขึ้นใหม่ เขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าสถานที่แห่งนี้ ‘คลีน’ ซึ่งหมายความว่า ไม่น่าจะมีอะไรน่ากลัวอาศัยอยู่ เขากับน้องสาว 1 คนพักด้วยกันที่ห้องบนชั้น 14 ของตึก ด้วยความที่คอนโดแห่งนี้อยู่ในตัวเมืองและคุณแบงค์เองก็นอนอยู่ฝั่งข้างที่ติดผ้าม่าน เขาจึงสามารถเห็นบริเวณภายในห้องตอนกลางคืนผ่านแสงที่ส่องผ่านเข้ามา ในคืนหนึ่งขณะที่คุณแบงค์กำลังนอนหลับอยู่ เขาฝันว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจะบุกเข้ามาในห้อง ได้ยินเสียงเหมือนมีคนวิ่งบนหลังคา ทุบห้อง ข่วนห้อง คล้ายพยายามจะทำให้เขากับน้องกลัว และมันก็ได้ผลจริง ๆ ในฝันน้องสาวบอกให้แกล้งหลับกัน เพื่อหลอกตัวอะไรก็ตามที่กำลังพยายามจะพังเข้ามาในห้อง แล้วพอเขาข่มตาหลับลง ‘มัน’ ก็ได้เข้ามาในห้อง! เขาสัมผัสได้ถึงสิ่งนั้นที่ลอยผ่านตัวเขาไปมา แล้วสักพักหนึ่งก็มีเหมือนเศษผ้าปาดผ่านหน้าเขาไป ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นแส้หางม้า ทันใดนั้นน้องสาวคุณแบงค์กรีดร้องและพูดขึ้นว่า “มีอะไรไม่รู้มาจับอวัยวะเพศ” คุณแบงค์รับรู้ว่ามีมือเล็ก ๆ นุ่ม ๆ มาจั๊กจี้ที่รักแร้ของเขาและในเวลาต่อมาก็มาตะครุบอวัยะเพศของเขา! คุณแบงค์ตกใจจนตื่นขึ้นจากฝัน ณ ขณะนั้นห้องทั้งห้องของเขาก็เปลี่ยนจากสีดำมืดเป็นสีแดงเหมือนกับห้องเชือด ตัดภาพไปด้านซ้ายของเขา ฝั่งที่เป็นผ้าม่าน เขาเห็นลิงหน้าสีแดงสดกำลังแหวกม่านโผล่หัวของมันเข้ามา ระหว่างเขากับลิงตัวนี้อยู่ห่างกันเพียงเมตรเดียวเท่านั้น เขาไม่รู้จะทำอะไรจึงได้แต่นอนนิ่ง ๆ อยู่ประมาณ 10 นาที ก่อนจะเริ่มตกตะกอนทางความคิดกับตัวเองได้ว่า ไม่ว่าสิ่งนี้จะเป็นคน ผี ปีศาจ สัตว์ประหลาด หรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็ไม่น่าจะใช้ของไทยแน่นอน! “หรือว่าจะเป็นของที่เราเอาเข้ามา” คุณแบงค์คิดกับตัวเอง พอเขาเริ่มตั้งสติได้ จึงขยับตัวสะบัดผ้าม่านและผ้าห่ม สักพักห้องของเขาจากสีแดงก็กลับกลายเป็นความมืดดังเดิม หน้าของเจ้าจ๋อที่เขาเห็นก็ค่อย ๆ เลือนหายไปตามลำดับ ดีเจแนนถามคุณแบงค์ว่าน้องสาวของเขาเห็นเหมือนกับที่เขาเห็นด้วยรึเปล่า คุณแบงค์จึงตอบกลับว่าตอนแรกเขาคิดว่าน้องน่าจะเห็นด้วย แต่พอถามถึงเรื่องลิงตัวนี้ตอนเช้า น้องสาวของเขากลับตอบว่า เธอนั้นหลับอยู่ตลอดเวลาไม่รู้เรื่องอะไรเลย เหมือนกับว่าสิ่งที่คุณแบงค์เห็นและประสบพบเจอในค่ำคืนนั้น มีเพียงแต่เขาคนเดียวที่สัมผัสถึงได้ ดีเจทั้งสองพยายามสอบถามคุณแบงค์ต่อว่า แล้วคุณแบงค์พอจะทราบที่มาที่ไปของลิงตัวนี้หรือไม่ คุณแบงค์ก็บอกว่าเมื่อเขากลับมาย้อนนึกดูแล้วก็พบว่าคืนนั้น เขาได้เอาวัตถุมงคลชิ้นหนึ่งสอดไว้ใต้หมอนก่อนนอน ย้อนไปเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา คุณแบงค์พึ่งจะเลิกกับแฟน ประจวบเหมาะกับจังหวะที่เขาไปเที่ยวที่ไต้หวันกับเพื่อนพอดี เขาเดินทางไปวัดหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องการขอพรเกี่ยวกับความรัก สิ่งที่เขาได้กลับมาจากวัดในวันนั้นคือด้ายแดง ขณะที่เขาไปขอพรเขาก็สัมผัสได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่แห่งนี้ เช่นเดียวกันกับเพื่อนของเขา เพื่อนของเขาได้ขอพรว่า หากแฟนคนที่อยู่ด้วยกันในปัจจุบันเป็นคนที่ใช่จริง ก็ขอให้คบกันไปตราบนานเท่านาน แต่ถ้าไม่ใช่คู่กันจริงก็ขอให้เลิกกันโดยเร็วที่สุด แล้วหลังกลับจากไต้หวันได้สองสัปดาห์ เพื่อนของเขากับแฟนก็เลิกกัน... คุณแบงค์ได้อธิษฐานขอคนรักพร้อมบอกชื่อที่อยู่ของตนไปด้วย เขาเลยสันนิษฐานน่าจะเป็นเรื่องนี้นี่เองที่ทำให้เทพท่านมาหาเขาตอนกลางคืน เขาคิดว่าท่านน่าจะมาหาเขาเพื่อ ‘ดูตัว’ อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้ในภายหลังว่าวัดแห่งนั้นที่เขาไปไหว้ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับไต้หวันเลย แต่ทั้งเพื่อนที่เป็นหมอดูที่เป็นเพื่อนของเขามีข้อเสนอว่า ลิงตัวนี้อาจมาในลักษณะของการเป็นคำใบ้บอกถึงเนื้อคู่ของเขา และเมื่อลองตรวจตามปีนักษัตร เขาสามารถวิเคราะห์ได้เบื้องต้นว่าอาจเป็นคนอายุ 19 หรือ 31 ปี แต่เรื่องนี้คุณแบงค์ก็ไม่ได้ปักใจเชื่อในทันทีว่ามันเป็นเหมือนที่เขาคิดไว้ คงต้องรอดูกันไปเรื่อย ๆ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

หนุ่มไรเดอร์วิ่งงานกะดึก ได้ออเดอร์ส่งอาหารแต่ลูกค้าขอให้ซื้อธูปไปด้วย พอถึงหมุดหมายก็พบว่าเป็นบ้านร้าง แถมลูกค้ายังบอกอีกว่า “ถ้าส่งเสร็จแล้วให้ขับรถออกไป อย่าหันมามองเด็ดขาด” แต่ด้วยความห้าว! จึงหันกลับไปมอง ...เท่านั้นแหล่ะ บิดรถสุดกำลัง!

07 เม.ย. 2023

หนุ่มไรเดอร์วิ่งงานกะดึก ได้ออเดอร์ส่งอาหารแต่ลูกค้าขอให้ซื้อธูปไปด้วย พอถึงหมุดหมายก็พบว่าเป็นบ้านร้าง แถมลูกค้ายังบอกอีกว่า “ถ้าส่งเสร็จแล้วให้ขับรถออกไป อย่าหันมามองเด็ดขาด” แต่ด้วยความห้าว! จึงหันกลับไปมอง ...เท่านั้นแหล่ะ บิดรถสุดกำลัง!

เรื่องราวในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมานั้น (21 มีนาคม 2566) ได้มีสายจาก ‘คุณอาร์ท’ ไรเดอร์หนุ่มที่ได้เจอประสบการณ์ขวัญผวาขณะขับรถไปส่งอาหารกะกลางคืน ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ ต้องเสียวสันหลังวาบ! เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เชิญอ่านกันได้เลย! คุณอาร์ทเล่าว่า ตนเองนั้นทำอาชีพไรเดอร์เป็นหลักได้เกือบหนึ่งปีแล้ว ส่วนใหญ่จะรับงานช่วงกลางคืน เพราะอากาศไม่ร้อนและรถไม่ติด คืนที่เกิดเรื่อง คุณอาร์ทจำได้ขึ้นใจว่าเป็นคืนสิ้นปี วันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมานี้เอง ถึงแม้จะเป็นคืนเคาท์ดาวน์ แต่คุณอาร์ทก็ยังรับงานเป็นปกติ เมื่อได้รับออเดอร์จากร้านอาหารก็ขับรถจักรยานยนต์ไปรับอย่างที่เคยทำ เมื่อถึงที่ร้านก็ได้บังเอิญเจอพี่ไรเดอร์ที่รู้จักกัน ระหว่างที่รออาหารก็ทักทายพูดคุยกันทั่ว ๆ ไปว่า “ได้ออเดอร์หรอ? แล้วต้องเอาไปส่งแถวไหน?” คุณอาร์ทไม่รู้จักสถานที่เพราะไม่เคยไปส่งเลยไม่รู้จะบอกยังไง จึงยื่นโทรศัพท์ที่ปักหมุดสถานที่นั้นให้พี่ไรเดอร์ดู ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็ถอดสี! คุณอาร์ทเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของพี่ไรเดอร์ก็ถามกลับไปว่า “พี่ป่วยรึเปล่า? เป็นอะไรมั้ยพี่?” แต่พี่ไรเดอร์ก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไร และถามกลับมาว่า “ไปคนเดียวหรอ?” คุณอาร์ทได้ยินก็ตอบติดเล่นไปว่า “ไปคนเดียวดิพี่ ผมไม่ได้พาแฟนด้วยด้วยหนิ” แล้วเขาก็รีบยิงคำถามกลับมาว่า “แล้วเคยไปที่นี่มั้ย?” คุณอาร์ทที่แม้จะงงกับคำถาม แต่ก็ตอบกลับไปว่า “ไม่เคยไป ไม่รู้ชื่อหมู่บ้านด้วย” พอตอบไปแบบนั้นพี่ไรเดอร์ก็บอกว่า “ไม่ต้องกลัวผีหรอก กลัวคนดีกว่า” คำพูดนั้นตงิดใจคุณอาร์ทขึ้นมา จึงนึกถึงตอนที่พี่ไรเดอร์คนนี้หน้าถอดสีเมื่อเห็นโลเคชั่นบนโทรศัพท์ คุณอาร์ทเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อยแต่ก็ไม่กล้าถามอะไรต่อ เพราะหากได้ยินเรื่องเล่านั้นขึ้นมา คุณอาร์ทจะกลัวกว่าเดิม... พอคุณอาร์ทรับอาหารเสร็จ พี่ไรเดอร์ก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “มีไฟแช็คมั้ย?” คุณอาร์ทก็สงสัยถามกลับไปว่า “ถามทำไมอ่ะพี่ พี่จะดูดบุหรี่หรอ?” เขาก็ตอบว่า “ถ้าไม่มีเดี๋ยวพี่ให้ยืม” ทันใดนั้นก็มีข้อความของลูกค้าเด้งขึ้นมาว่า “น้องไรเดอร์คะ แวะร้านขายของชำซื้อธูปให้พี่มัดนึงได้มั้ย?” พี่ไรเดอร์ที่เห็นข้อความนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “นี่ไง พี่ถึงได้ถามว่ามีไฟแช็คหรือเปล่า จะได้ให้ยืมไป” คุณอาร์ทได้ยินดังนั้นก็ยิ่งรู้สึกงงเข้าไปใหญ่ และไม่เข้าใจว่านี่มันเรื่องอะไร แต่ก็ตอบตกลงไปเพราะลูกค้าบอกว่าจะให้ทิปพิเศษ เมื่อซื้อของตามที่ลูกค้าบอกแล้ว คุณอาร์ทก็ขับรถมุ่งหน้าสู่โลเคชั่นตามที่หมุดหมายเอาไว้.. ห่างจากร้านอาหารประมาณ 5 กิโลเมตร คุณอาร์ทก็มาถึงหน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แต่ก็รู้สึกแปลกใจเพราะวันนี้เป็นคืนสิ้นปี คนส่วนใหญ่ก็จะเลี้ยงสังสรรค์ฉลองเคาท์ดาวน์กัน แต่ที่นี่กลับไร้วี่แวว มีเพียงบ้านบริเวณด้านหน้าไม่กี่หลังที่เปิดไฟอยู่ ส่วนบ้านที่คุณอาร์ทต้องไปส่งอยู่ท้ายหมู่บ้าน เป็นบ้านในซอย 7 หลังที่ 4 ซึ่งบ้านในซอยนี้ล้วนแล้วแต่มีป้ายประกาศยึดทรัพย์จากธนาคารแทบทุกหลัง คุณอาร์ทจึงโทรกลับไปถามลูกค้า เพราะอาจจะปักหมุดผิด แต่ลูกค้าก็บอกว่า “ที่นี่แหล่ะ ถึงแล้ว” และลูกค้ายังบอกอีกว่า “น้องไรเดอร์คะ รบกวนเปิดกล่องข้าวและจุดธูปปักให้หน่อยได้มั้ย” คุณอาร์ทจึงบอกไปว่า “โห่พี่ นี่มันจะนอกเหนือหน้าที่ของผมแล้วนะครับ” แต่ลูกค้าก็ยังยืนกรานว่าจะให้ทำแถมยังเพิ่มทิปพิเศษให้อีก คุณอาร์ทยอมจำนนจึงยอมทำตาม และในใจลึก ๆ ก็เริ่มรู้สึกกลัว จึงรีบทำแบบส่ง ๆ ไป พอใกล้จะเสร็จลูกค้าก็ยังบอกอีกว่า “น้อง ถ้าน้องทำเสร็จแล้ว ให้เดินไปที่รถและรีบขับออกไปเลย ไม่ว่ายังไงอย่าหันกลับไปมองนะ” ได้ยินดังนั้นคุณอาร์ทก็ทำตาม แต่ด้วยความที่ห้ามความห้าวของตัวเองไว้ไม่ไหว จึงแอบชำเลืองหันไปมอง ภาพที่เห็นทำให้คุณอาร์ทต้องขนลุกไปทั้งตัว! เพราะมันคือเงาดำ ๆ รุมกินข้าวกล่องที่เปิดอยู่ เท่านั้นยังไม่พอ หนึ่งในเงาดำนั้นรู้ว่าคุณอาร์ทมอง จึงทำท่าจะพุ่งเข้ามาหา! คุณอาร์ทตกใจมากจึงรีบตั้งสติแล้วรีบขับรถออกมาให้พ้นหมู่บ้านนั้นทันที! คุณอาร์ทขับรถกลับมาที่ร้านอาหารอีกครั้ง และพบว่าพี่ไรเดอร์คนเดิมยังนั่งอยู่ เมื่อเห็นคุณอาร์ก็ส่งยิ้มอย่างมีเลศนัยมาให้และถามว่า “เป็นไง เรียบร้อยมั้ย” คุณอาร์ทที่ทั้งกลัวและหัวเสียจึงตอบไปว่า “โหย เรียบร้อยอะไรพี่ ผมโดนผีหลอกมาเนี่ย” พี่ไรเดอร์จึงเลยบอกว่า “ตอนไปครั้งแรกพี่ก็โดนแบบเอ็งนี่แหละ เค้าโดนกันมาหมดแล้ว และที่พี่ไม่บอก เพราะอยากให้เอ็งได้รู้ไง” คุณอาร์ทจึงถามพี่ไรเดอร์ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันมีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่ พี่ไรเดอร์บอกว่า “บ้านหลังนี้ไม่เคยมีประวัติอะไรทั้งนั้น เป็นบ้านคนทั่ว ๆ ไป แต่พอไม่มีคนอยู่ ผีก็มาอาศัยอยู่แทน ทำให้มีคนมาขอสิ่งต่าง ๆ กับผีเหล่านี้ และพอได้ตามใจหวัง เลยเลี้ยงอาหารผีเป็นการตอบแทน” เช้าวันถัดมา คุณอาร์ทยังค้างคาใจกับเรื่องนี้ไม่หาย จึงกลับไปดูบ้านหลังนั้นอีกครั้ง พอไปถึงก็เห็นว่ากล่องข้าวที่วางทิ้งไว้ประมาณ 30-40 กล่อง มีเศษธูปเกลื่อนเต็มหน้าบ้าน มีผ้าสามสีผูกไว้กับต้นไม้ใกล้ ๆ กันเต็มไปหมด! พอคุณอาร์ทนึกย้อนกลับไปก็พบว่าเมื่อคืนนี้คุณอาร์ทไม่เห็นวี่วแววของสิ่งเหล่านี้เลยทั้ง ๆ ที่ไฟก็ส่องถึง จึงกลับไปเล่าเรื่องนี้ให้พี่ไรเดอร์คนเดิมฟังอีกครั้ง ซึ่งพี่เขาก็ได้เล่าประสบการณ์ของตัวเองว่าเจอมาหนักกว่าคุณอาร์มาก นั่นก็คือเจอผีตามถึงบ้าน เพราะพี่เขาเป็นคนไม่เชื่อ แถมในวันนั้นก็ยังลบหลู่โดยการจุดธูปเสร็จก็เอาเท้าเขี่ยกล่องข้าวและบอกว่า “อ่ะกิน ๆ แ*ก ๆ ไอ้พวกผีไม่มีญาติ” ถึงขั้นต้องไปหาหลวงพ่อที่วัดให้ช่วยเพราะผีตามหลอกหลอนไม่หยุด และจนถึงปัจจุบันออเดอร์เลี้ยงอาหารผีที่บ้านหลังนี้ก็มีมาเรื่อย ๆ ซึ่งคนที่กดรับคำสั่งก็มักจะเป็นไรเดอร์หน้าใหม่ที่ยังไม่เคยเจอ ซึ่งหากมาถามคุณอาร์ท คุณอาร์ทก็จะไม่บอกเช่นกัน “เพราะถ้าเรารู้ นายก็ต้องรู้ด้วย” เรื่องหลอนจากการส่งอาหารกลางดึกยังไม่หมดเพียงเท่านี้ คุณอาร์ทเล่าอีกว่ามีครั้งหนึ่งได้รับออเดอร์ให้ไปส่งอาหารที่หอพักนักศึกษา โดยเส้นทางนี้มีถนนสองเลน ไฟข้างทางก็ส่องลงมาตามถนน คุณอาร์ทเห็นไกล ๆ ว่ามีอะไรสักอย่างสีขาวใหญ่ ๆ ยาว ๆ อยู่ตรงถนน จึงคิดว่าคงมีสุนัขมานอนขวาง และขับเบี่ยงไปทางซ้ายเพื่อที่จะหลบ แต่เมื่อยิ่งขับไปใกล้เท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นชัดว่ามันคือผ้าขาวที่ห่อเป็นรูปร่างคล้ายศพ คุณอาร์ทก็ทำใจดีสู้เสือโดยการขับรถผ่านแบบไม่มอง แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จึงหันไปดูว่ามีอะไรตามมามั้ย ซึ่งความท้าทายนั้นก็สนองแด่คุณอาร์ท เพราะสิ่งนั้นมันกลิ้งตาม! คุณอาร์ทเห็นเข้าก็บิดรถสุดกำลังจนถึงคอสะพานที่มีไฟสว่างๆ ผ้าขาวห่อศพนั้นมันก็ค่อยๆหายไปแบบไร้ร่องรอยทันที! และนี่คือเรื่องหลอนชวนผวาจากคุณอาร์ท ไรเดอร์ส่งอาหารกะดึก ที่นอกจากจะต้องระวังเรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนนแล้ว ยังต้องระวังออเดอร์แปลก ๆ ที่อาจพาความหลอนมาส่งแทนด้วย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1