เรื่องเล่าจากคุณเคน 'ออฟฟิศโซนหลอน' I อังคารคลุมโปง X เต๋อ ฉันทวิชช์ - เสือ พิชย [ 3 ธ.ค. 2567 ]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณเคน 'ออฟฟิศโซนหลอน' I อังคารคลุมโปง X เต๋อ ฉันทวิชช์ - เสือ พิชย [ 3 ธ.ค. 2567 ]

15 ธ.ค. 2024

       รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 ธันวาคม 2567) ที่ผ่านมา มีเรื่องเล่าจาก ‘คุณเคน’ ที่ทำเอา 3 ดีเจ ‘ดีเจมดดำ’ ‘ดีเจแนน’ ‘ดีเจโซเซฟ’ จะเป็นอย่างไรไปอ่านกันเลย!!!

       ‘คุณเคน’ เล่าว่าย้อนกลับไปเมื่อ 11 ปีก่อน เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ออฟฟิศกลางใจเมืองย่านราชประสงค์ คุณเคนเข้าไปทำงานโดยที่ไม่เคยรู้ว่ามีเหตุการณ์พื้นถล่มที่ตึกนี้มาก่อน เนื่องจากตอนที่เกิดเรื่อง คุณเคนไม่ได้อยู่ประเทศไทยจึงไม่ทราบเรื่อง

       เมื่อกลับประเทศไทยก็ได้เข้าทำงานที่ตึกแห่งนี้ ออฟฟิศของคุณเคนอยู่ชั้นที่ 16 ส่วนชั้น 17-20 จะเป็นร้านอาหาร (ปัจจุบันร้านอาหารไม่มีแล้ว เหลือเพียงร้านอาหารที่มีไว้เฉพาะงานอีเว้นท์เท่านั้น) คุณเคนมีตำแหน่งเป็นเซลล์ที่จะคอยดูแลทุกอย่างของการจัดงานเลี้ยงของบริษัทนี้

       ในช่วงแรก ๆ ที่เข้ามาทำงานนั้น คุณเคนจะนั่งทำงานอยู่ห้องใน ห้องในคือห้องที่มีหลายคนนั่งอยู่รวมกัน รอบข้างจะแบ่งเป็นห้องส่วนตัว ส่วนตรงกลางจะมีฉากกั้นเพื่อให้เป็นสัดส่วน ลักษณะงานนั้นจำเป็นต้องอยู่ออฟฟิศดึก ๆ เป็นประจำ ส่วนใหญ่ก็ต้องอยู่คนเดียว

       ช่วงแรกคุณเคนไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใด ๆ แต่พอเริ่มมืด เวลา 2 ทุ่มกว่า ทุกคนในออฟฟิศกลับบ้านกันหมดแล้ว ในชั้นนี้ทั้งเงียบและมืด คุณเคนก็มักจะได้ยินเสียง ก๊อกแก๊ก ก๊อกแก๊ก ก๊อกแก๊ก และเสียงกระดาษหล่น คุณเคนสงสัยอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงติดสินใจเดินเข้าไปดู สิ่งที่เห็นก็คือกระดาษหล่นจริง ๆ แต่ดูจากรูปการณ์แล้วน่าจะเป็นไปได้ยาก เพราะกระดาษที่วางอยู่มันจะหล่นลงจากโต๊ะได้อย่างไร คุณเคนทำเพียงแค่สงสัยแต่ก็ไม่ได้กลัวอะไรจึงกลับไปนั่งทำงานต่อ เป็นแบบนี้อยู่หลายคืน บางคืนเขาก็มักจะได้เสียงโทรทัศน์เปิด แต่เมื่อเดินออกไปดูก็เห็นว่าโทรทัศน์ปิดอยู่เสียอย่างนั้น

       เมื่อทำงานไปได้ระยะหนึ่ง คุณเคนได้ย้ายที่นั่งไปอยู่โซนนอกห้อง แต่ก็ยังคงต้องนั่งทำงานอยู่คนเดียวดึก ๆ ดื่น ๆ เช่นเคย ขออธิบายเพิ่มเติมว่าโต๊ะของแผนกบัญชีจะมีเครื่องคิดเลขที่เอาไว้ให้แผนกคิดคำนวณเป็นเครื่องคิดเลขแบบเสียบปลั๊ก ในวันหนึ่ง น่าจะมีคนในออฟฟิศเสียบปลั๊กทิ้งไว้ เพราะอยู่ ๆ เครื่องคิดเลขก็พิมพ์จนกระดาษออกมาจากเครื่องคิดเลขคล้าย ๆ มีคนกำลังใช้งานอยู่! คุณเคนนั่งมองเครื่องคิดเลขที่กำลังทำงานและคิดว่า ‘เครื่องจะหยุดทำงานตอนไหน’ ผ่านไปสักพักก็ยังไม่หยุด เขาจึงพูดออกมาว่า

       “มึงหยุดนะ คนจะทำงาน”

       เครื่องคิดเลขก็ยังไม่หยุด เขาจึงตัดสินใจเดินไปถอดปลั๊กออก หลังจากนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น

       แต่ที่น่าตกใจก็คือ อยู่ ๆ ก็มีเสียงคุยกันผ่านช่องเพดาน! ซึ่งคุณเคนอยู่ที่ออฟฟิศคนเดียว ในตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 5 ทุ่ม เขาก็คิดว่ามันคงไม่มีใครมาคุยกันเวลานี้แน่นอน เมื่อเดินไปดูทั่วออฟฟิศก็ไม่เจออะไรแต่สิ่งที่ได้ยินเป็นเสียงพูดคุยที่ไม่ใช่ภาษาไทย ไม่ใช่ภาษาที่เข้าใจได้ จากนั้นก็พยายามหาต้นเสียงแต่ก็หาไม่เจอความหลอนยิ่งทวีคูณมากขึ้น เมื่อคืนหนึ่ง คุณเคนอยู่ชั้น 16 ข้างบนเป็นชั้น 17 ที่เอาไว้จัดงานบ่อย ๆ อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงมีคนขนของอยู่ข้างบนชั้น 17 ดัง ตึ้งตั้ง ๆ !!! คุณเคนไม่ได้กลัวแต่ตอนนั้นเขารู้สึกว่ามันรบกวนสมาธิการทำงานมาก เพราะเขาอยากรีบทำงานให้เสร็จ เมื่อข้างบนเสียงดังไม่หยุดก็เกิดความโมโห จึงกดลิฟต์ขึ้นไปที่ชั้น 17 เพื่อจะต่อว่า แต่แล้วก็ไม่มีใครอยู่บนชั้น 17 เลย! คุณเคนคิดว่าตนคงโดนหลอกแล้วเป็นแน่ จึงรีบกลับลงมาทำงานต่อให้เสร็จ

       หลังจากนั้นผ่านไป เป็นช่วงที่คุณเคนกำลังจะลาออก ตอนนั้นเขากำลังเดินไปเข้าห้องน้ำ ห้องน้ำที่ออฟฟิศจะแบ่งแยกห้องน้ำชายหญิง ห้องน้ำผู้ชายจะอยู่ข้างในสุด ส่วนห้องน้ำหญิงจะอยู่ก่อนถึงห้องน้ำผู้ชาย ตอนนั้นดึกมากแล้ว เขาจึงเข้าห้องน้ำผู้หญิง เพราะมีห้องหนึ่งที่มีสายชำระ จึงเลือกที่จะเข้าห้องนั้น และคิดว่าคงไม่มีใครมาเข้าห้องน้ำแล้ว แต่เขากลับได้ยินเสียงคนเดินอยู่บริเวณหน้าห้องน้ำ ซึ่งโดยปกติแล้วบริเวณหน้าห้องน้ำจะมียามคอยเฝ้าตรวจตรา และจะมีห้องแคนทีนอยู่ใกล้ ๆ ห้องน้ำ ซึ่งห้องแคนทีนนี้บางทียามก็มักจะมากินข้าว ทำให้คุณเคนไม่แน่ใจว่าใช่ยามหรือเปล่า จึงนั่งเงียบเพื่อฟังเสียงว.

       ตอนแรกเขาได้ยินเสียงว. สักพักเสียงว.และเสียงเดินก็ค่อย ๆ ไกลออกไป แต่ก็ยังได้ยินเสียงเดินอยู่บริเวณข้างหน้าแต่ไม่มีเสียงว. พอเสียงเดินหายไปสักพัก น้ำในตรงอ่างล้างมือก็เปิดเอง ซึ่งเป็นระบบเซนเซอร์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำให้คุณเคนหลอนสุด ๆ จนเขาคิดในใจว่าถ้ามาจริงขออีกรอบหนึ่ง มันก็มาจริง ๆ ตามที่ใจเขาคิดแต่มันแรงขึ้น! เหมือนกับว่ากำลังโกรธที่คุณเคนไปท้าทาย คุณเคนบอกว่าตอนนั้นเขาขนลุกไปทั้งตัว บรรยากาศตรงนั้นเปลี่ยนไป รู้สึกเย็นยะเยือก คุณเคนรู้สึกอึดอัดจนทนไม่ไหวและอยู่ไม่ได้ จึงเก็บของแล้วรีบออกจากออฟฟิศทันที

       อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่ยามเล่าให้คุณเคนฟัง ยามเล่าว่า เขาต้องมานอนเฝ้าของที่ชั้น 17 ขณะที่กำลังนอนอยู่ ก็มีผู้หญิงใส่ชุดไทย มารำไทยอยู่ตรงหน้า!

       อีกเรื่องเล่าหนึ่งเป็นเรื่องเล่าของลูกค้า คุณเคนบอกว่ามีลูกค้าที่เคยมาที่ชั้น 18 ซึ่งชั้นนี้จะมีห้อง Private อยู่ แต่ต้องเดินผ่านโซน Outdoor และต้องเดินขึ้นบันไดเพื่อที่จะไปถึงห้อง Private คุณเคนเล่าว่า ลูกค้าเคยเห็นคนยืนอยู่ข้างในห้องมืด ๆ ยืนจ้องมาที่ลูกค้าที่กำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ ลูกค้าก็สงสัยว่าคนนั้นคือใคร จึงบอกกับพนักงานให้ขึ้นไปดู แต่พอพนักงานมองไปที่ห้องนั้น พนังงานกลับไม่เห็นใครยืนอยู่!

       คุณเคยทิ้งท้ายว่าใครมาที่นี่ก็จะโดนกันเกือบทุกคน อย่างเช่นคนที่ดูแลตึกที่ต้องมาทำงานในช่วงเช้า ประมาณ 7 โมงครึ่ง ก็มักจะไม่เปิดไฟเวลาเดินดูตึก พอจะเข้าห้องน้ำ ก็ไปเปิดไฟแล้วเข้าห้องน้ำเลย เขาจะทำแบบนี้เป็นประจำ และมักจะรู้สึกว่ามีคนเดินตาม มีคนเปิดไฟตามทางเดินให้

       อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครรู้คือ คนที่อยู่มานานก่อนที่จะสร้างชั้น 17 – 18 ขึ้นมา ชั้น 19 จะมีการสร้างเพดานที่เอาไว้เก็บชนวน คนที่อยู่มาแรก ๆ บอกว่า เขาเคยรู้มาว่าคนที่มาทำงานที่นี่เป็นช่างไฟ มากัน 3 คน เพราะตอนเข้ามาก็มีการเซ็นชื่อเพื่อเข้ามาในตึก แต่ตอนออกเขากลับเจอแค่ 2 คน เขาพยายามเดินตามหาอีกคนที่หายไป แต่พยายามหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้ จึงคิดว่าน่าจะกลับบ้านหรือมีเหตุจำเป็นที่จะต้องกลับ ส่วนช่างไฟอีก 2 คนก็เก็บของกลับ ปรากฏว่าช่างไฟอีก 2 คนก็หายไปด้วย จนเขาได้กลิ่นแปลก ๆ ที่ชั้น 19 ปรากฏว่ากลายเป็นศพเสียชีวิตอยู่ตรงนั้น สันนิษฐานว่าอาจโดนไฟดูดตาย

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ความเชื่อ ความศรัทธา ความมุ่งมั่นที่จะทำเพื่อสังคม และเหตุผลของ ‘โตโน่ ภาคิน’ ชายที่ขอไม่ยอมแพ้ให้กับกระแสดรามา

03 มี.ค. 2023

ความเชื่อ ความศรัทธา ความมุ่งมั่นที่จะทำเพื่อสังคม และเหตุผลของ ‘โตโน่ ภาคิน’ ชายที่ขอไม่ยอมแพ้ให้กับกระแสดรามา

ใน “รายการอังคารคลุมโปง X” ที่ผ่านมา (21 กุมภาพันธ์ 2566) “ดีเจแนน” และ “ดีเจเจ็ม” ได้พูดคุยถึงเรื่องราวลี้ลับและความเชื่อที่เกิดขึ้นกับ “โตโน่ ภาคิน” ชายผู้ตัดสินใจจะว่ายน้ำข้ามแม่น้ำโขง เพื่อรับบริจาคเงินซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้โรงพยาบาลนครพนม (ฝั่งไทย) และ โรงพยาบาลแขวงคำม่วน (ฝั่งลาว) ในโครงการที่ชื่อว่า “One Man and The River” ซึ่งในตอนท้ายได้เงินบริจาคถล่มทลายไปกว่า 80 ล้านบาท โตโน่เล่าว่าเรื่องที่พบเจอนั้นไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเกี่ยวกับผีแต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องของความเชื่อ เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ใกล้จะถึงวันว่ายน้ำ ตอนนั้นยังซ้อมอยู่ที่กรุงเทพฯ โตโน่ได้ฝันเห็นคน 7 คน มี 2 คนเข้ามาคุยกับโตโน่ ใส่เสื้อสีแดงและสีขาว ส่วนอีก 5 คน ยืนอยู่เกาะกลางน้ำ มองไปแล้วสวยงามมาก ซึ่งโตโน่เองก็จำไม่ได้ว่าเรื่องที่คุยกับ 2 คนนั้นเป็นเรื่องอะไร คืนต่อมาก็ฝันเห็นพญานาคอยู่ใต้แม่น้ำโขง โตโน่คิดเพียงแค่ว่าอาจจะเพราะใกล้ถึงวันภารกิจแล้ว ใจเราอาจจะคิดถึง แล้วเก็บไปฝันก็เป็นได้ พอมาถึงจังหวัดนครพนม จากที่ก่อนหน้านี้เจอดรามาหนัก ๆ พอมาถึงโตโน่ก็รู้สึกได้ถึงความรักและกำลังใจจากทุกคนที่มาคอยเอาใจช่วยที่นี่ จากนั้นก็มีชาวบ้านจากจังหวัดน่าน ชื่อว่า “พี่กัน” เขาได้มอบเสื้อให้โตโน่ 2 ตัว ตัวแรกเป็นลายพญาศรีสัตตนาคราช ส่วนอีกตัวเป็นลายปู่ศรีสุนโธ ซึ่งคนที่เขียนลายนี้เป็นเพื่อนของ อ.ถวัลย์ ดัชนี เขาไม่ได้เขียนรูปมาหลาย 10 ปีแล้ว แต่อยู่ ๆ เขาก็อยากจะเขียนให้โตโน่ โตโน่ได้รับมาก็รู้สึกขอบคุณ และตั้งใจว่าวันพรุ่งนี้ ที่จะต้องไปไหว้พระธาตุพนม ตนจะใส่เสื้อลายพญาศรีสัตตนาคราชไป ซึ่งไม่ได้บอกใคร เมื่อวันไหว้พระธาตุพนมมาถึง ก็มีพระอาจารย์มากมาย หนึ่งในนั้นมีพระอาจารย์ท่านนึง พาโตโน่ขึ้นไปไหว้พระธาตุพนม และพูดกับโตโน่ว่า “ดีใจด้วยนะ มาอยู่ มาประทับทั้งบ่าซ้ายบ่าขวาแล้วนะ” นั่นทำให้โตโน่รู้สึกใจชื้นมากยิ่งขึ้น พอออกมาจากพระธาตุพนม ยอดบริจาคจากเดิมอยู่ที่ 7 ล้าน ก็เพิ่มขึ้นมาเป็น 15 ล้านอย่างไม่น่าเชื่อ! พอคืนวันที่ 2 ทางทีมก็ได้ประชุมกัน พบว่าสภาพอากาศของวันว่ายจะมีพายุเข้า โตโน่ก็รู้สึกเป็นห่วงทั้งชาวบ้านที่มาคอยให้กำลังใจ ทั้งทีมงาน แพทย์ และพยาบาล โตโน่จึงนึกถึงฝัน ที่เคยฝันว่าเห็น 7 คน อาจจะสื่อถึงพญาศรีสัตตนาคราชที่ดูแลพระธาตุพนม เพราะมี 7 ตนเท่ากัน และคิดในใจว่า “พ่อเอ้ย ถ้าจริง อยากให้เป็นยังไงก็เป็นยังงั้นเลย ถ้าฝนตก ผมจะถือว่าพ่อไม่อยากให้ผมร้อน ผมจะลงไปว่าย ผมจะทำให้เขา จะได้กี่บาทผมไม่รู้” จากนั้นวันจริงก็มาถึง ในระหว่างที่ทำพิธีบวงสรวงก่อนว่าย ปรากฏว่าฝนไม่ตก กลายเป็นวันที่อากาศแจ่มใส โตโน่บอกว่าตนเองว่ายน้ำได้สบายมาก นอกจากนี้โตโน่ยังบอกอีกว่ามีความบังเอิญอีกหนึ่งอย่าง ในวันนั้นโตโน่ใส่พญาศรีสัตตนาคราช และบอกว่า “พระอาจารย์เทพนรินทร์ที่มาทำพิธีให้ ท่านมาจากอุดร / พระอาจารย์ที่ทัก ท่านอยู่นครพนม / ส่วนพี่กันที่เอาเสื้อมาให้ มาจากน่าน และทั้ง 3 คนไม่รู้จักกัน อยู่ ๆ พระอาจารย์เทพนรินทร์ถอดเหรียญปู่ศรีสุนโธให้ผม มันเลยตรงมาก ๆ กับที่พระอาจารย์ที่พระธาตุพนมบอกว่า มาทั้งซ้ายและขวานะ” นอกจากนี้โตโน่ยังเล่าเสริมอีกว่า โตโน่ไม่เคยมีความรู้เรื่องพญาศรีสัตตนาคราช หรือปู่ศรีสุนโธมาก่อนเลย ไม่เคยทราบที่มาที่ไป หรือประวัติเกี่ยวกับท่านเลย รู้แค่ว่าอยากจะช่วยสานสัมพันธ์ให้ไทย-ลาว ท่านผู้ว่าเองก็บอกว่าเราไม่มีสัมพันธ์กันมา 3 ปีแล้ว เพราะสถานการณ์โควิด ครั้งนี้จึงเป็นการช่วยเชื่อมสัมพันธ์ให้ไทยกับลาวอีกครั้ง ก่อนปิดท้ายว่า “ผมขอขอบคุณทุกคน ทั้งคนไทย คนลาว และทุกคนที่ช่วยกันทำให้วันนั้นมันเกิดขึ้น ผมไม่รู้จะตอบแทนทุกคนยังไง ทุกคืนที่ผมนอน (ตอนอยู่นครพนม) อยู่ ๆ ผมก็อยากฟังพระสวด ตื่นเช้ามาก็อยากจะรำ” คำตอบนั้นทำให้ทั้งสตูดิโอถึงกับอึ้ง โตโน่จึงเสริมว่า “ก่อนหน้านี้ที่ลานพญาศรีสัตตนาคราช ท่านผู้ว่าบอกว่าวันที่ 7 เดือน 7 พญาศรีสัตตนาคราชชอบคนรำ แต่ผมรำไม่เป็น ให้ผมช่วยอย่างอื่นเถอะ แล้วพอได้มาที่นครพนม 3 วันนั้น มันเหมือนกับเชื่อมอะไรบางอย่าง แล้วก็รู้สึกได้ยินเสียงพูดว่า รำให้พ่อดูหน่อย” โตโน่ยังเสริมอีกว่า ทุกเช้าจะตื่นมานั่งสมาธิ แล้วจะเปิดฟังพระสวดไปด้วย ปรากฏว่าอัลกอริทึมรันเพลย์ลิสต์เพลงพญาศรีสัตตนาคราช “ผมเลยรำ รำคนเดียวในห้อง แล้วผมก็รู้สึกในใจว่า ผมทำเต็มที่นะพ่อ เท่าที่ผมจะทำได้แล้ว ผมอยากให้คนไทยและคนลาวรักกัน ผมช่วยได้เท่านี้นะพ่อ ส่วนการว่ายน้ำพรุ่งนี้ มันจะเป็นยังไงก็ขอให้มันเป็นไปในแบบของมัน ยอดบริจาคผมไม่สนว่าจะได้เท่าไหร่ หรือมันจะเกิดอะไรขึ้นกับผม แล้วแต่จะเป็น..” หลังจากว่ายน้ำเสร็จ โตโน่กล่าวว่า “ผมไม่รู้จะขอบคุณทุกคนยังไง นั่นเป็นที่มา ที่ผมอยากบวชให้ เพราะพญาศรีสัตตนาคราชบวชไม่ได้ ผมอยากเป็นตัวแทน เพราะได้ยินว่าผู้เฒ่าผู้แก่บอกผมว่าผมเป็นลูก ด้วยความเชื่อของผม ในเมื่อตอนนี้ผมทำให้ได้ ผมบวชให้” โตโน่เสริมว่า โปรเจ็ค “One Man and The River” ตอนนี้ทางด้านฝั่งลาวอยู่ในขั้นตอนของการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ต่างประเทศ เพราะบางอย่างไม่มีในบ้านเรา คาดว่าจะเสร็จสิ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม ส่วนทางฝั่งไทยนั้น ตอนแรกโตโน่คิดว่าจะได้แค่เตียงเด็ก แต่พอยอดบริจาคพุ่งขนาดนี้ ทำให้ซื้อได้ทั้งศูนย์หัวใจและหลอดเลือด มอบให้กับจังหวัดนครพนม แต่ต้องใช้เวลาในการสร้าง เพราะไม่ใช่แค่เรื่องอุปกรณ์ และในตอนท้ายดีเจเจ็มได้กล่าวชื่นชมความศรัทธา ความเชื่อ และความมุ่งมั่นของโตโน่(เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ติดตามฟังเรื่องเต็มได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณปอนด์ ‘ตู้คอนเทนเนอร์’ l อังคารคลุมโปง X บอย ฉีดปลวก [ 10 มิ.ย.2568 ]

18 มิ.ย. 2025

เรื่องเล่าจากคุณปอนด์ ‘ตู้คอนเทนเนอร์’ l อังคารคลุมโปง X บอย ฉีดปลวก [ 10 มิ.ย.2568 ]

‘คุณปอนด์’ ได้เข้ามาเล่าเรื่องราวที่ตนนั้นได้ไปรื้อถอนโรงงานเก่า ทำให้เขาต้องเจอเรื่องราวสุดหลอน เกี่ยวกับวิญญาณที่ตายอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ เรื่องราวทั้งหมดจะจบลงอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (10 มิถุนายน 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ตู้คอนเทนเนอร์’ ที่ใครได้ฟังก็ต้องขนลุกไปตามกัน! คุณปอนด์ทำธุรกิจรับรื้อถอนโรงงานเก่า วันหนึ่งเขาได้รับการติดต่อจากนายหน้ารายหนึ่ง ให้ไปทำการรื้อโรงงานร้างในกรุงเทพฯ ที่ถูกปิดทิ้งร้างมานานกว่า 3-4 ปี เมื่อถึงวันนัด คุณปอนด์ก็จัดทีมพร้อมรถไปที่หน้างานตามปกติ โดยเริ่มลงมือรื้อถอนช่วงเช้า ทุกอย่างก็ดูจะเป็นไปด้วยดี แต่ช่วงพักเที่ยง จู่ ๆ รถขนของที่เพิ่งซื้อมาใหม่กลับสตาร์ทไม่ติด ทั้ง ๆ ที่ยังซื้อมาไม่นาน ช่วงประมาณหนึ่งทุ่ม ฝนเริ่มโปรยลงมา ปัญหาคือ หลังคาโรงงานที่คนงานรื้อไปหมดแล้ว ทำให้ไม่มีที่หลบฝน ทุกคนวิ่งหาที่หลบฝน จนมาเจอกับตู้คอนเทนเนอร์ใบหนึ่ง จึงพากันเข้าไปหลบฝน และกินอาหารเย็นกันข้างใน อาหารมื้อนั้นคือส้มตำกับข้าวเหนียว คนงานนั่งล้อมวงกันปั้นข้าวเหนียวกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ยกเว้น ‘เจ้าขัน’ หนึ่งในคนงานที่ดูมีท่าทีแปลก ๆ คุณปอนด์สังเกตว่า เจ้าขันพยายามจะปั้นข้าวเหนียวเข้าปากหลายรอบ แต่ข้าวกลับหล่นทุกครั้ง จนคุณปอนด์อดแซวไม่ได้ “วันนี้สงสัยจะทำงานหนัก ขนาดปั้นข้าวยังไม่มีแรงเลย” ทันใดนั้น เจ้าขันหยิบข้าวเหนียวปั้นโยนเข้าไปในตู้คอนเทนเนอร์ แล้วพูดเสียงแข็งว่า “จะกินก็กินดี ๆ ทำไมต้องแย่งจากปากด้วย?” คำพูดนั้นทำเอาทั้งวงเงียบกริบ ทุกคนเริ่มรู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ และในคืนนั้นเองเวลาประมาณสี่ทุ่ม คุณปอนด์ได้รับสายจาก ‘ตี๋’ ลูกน้องอีกคนโทรมาบอกว่า “รถชนเสาไฟหน้าบ้าน อยู่ดี ๆ ก็เห็นเสาไฟฟ้าอยู่ด้านหน้า แล้วรถมันก็ไหลไปชน” คุณปอนด์ฟังแล้วก็แปลกใจ เพราะตี๋เป็นคนขับรถระมัดระวังมาก ตีสี่กว่า สายโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นข่าวว่าเจ้าขันขับรถไปชนที่ด่านจ่ายเงินมอเตอร์เวย์ โชคดีไม่มีใครบาดเจ็บ แต่สองอุบัติเหตุภายในคืนเดียวทำให้คุณปอนด์เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ รุ่งเช้าเขากลับมาที่ไซต์งานเพื่อตรวจดูว่ามีอะไรต้องเคลื่อนย้ายเพิ่มเติม หนึ่งในสิ่งที่เหลืออยู่คือ ตู้คอนเทนเนอร์ คุณปอนด์จึงเรียกรถเครนมายกตู้ไป แต่ไม่ว่าจะใช้แรงเท่าไหร่ตู้ก็ไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว คิดว่าอาจจะมีของหนักอยู่ในตู้ จึงให้คนงานช่วยกันเปิดรื้อของข้างในออกทั้งหมด แต่เมื่อเปิดฝ้าภายในตู้ออกมา ทุกคนต้องชะงัก... บนฝ้าเต็มไปด้วยสายสิญจน์เก่า ๆ เขียนอักขระแปลกตาคล้ายอักษรขอมสีแดง พอผู้จัดการเห็นดังนั้นก็รีบไปซื้อดอกไม้ ธูปเทียนมาไหว้ในทันที แต่คุณปอนด์ที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้ก็ยังดื้อดึง เรียกรถเครนมาเพิ่มอีกคัน... แต่ตู้ก็ยังไม่ขยับ สุดท้ายเขาตัดสินใจทิ้งตู้ใบนี้ไว้ไม่แตะอีก ต่อมาได้ลองสอบถามคุณป้าคนหนึ่งที่อาศัยอยู่แถวนั้น ป้าเล่าว่า... “ตู้ใบนั้นน่ะ เมื่อก่อนเคยมีคนงานอยู่ข้างใน เป็นพ่อแม่ลูกกัน แต่เกิดอะไรบางอย่างไม่รู้... เสียชีวิตกันหมดทั้ง 3 คน ข้างในตู้นั่นแหละ” คำพูดของคุณป้าทำให้คุณปอนด์นึกถึงคืนวันแรกที่รื้อของมาวางไว้หลังบ้านพักคนงาน มีลูกน้องคนหนึ่งมาบอกว่า ฝันเห็นคน 3 คนมานั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียง หลังจากเหตุการณ์นั้น คุณปอนด์ก็ทิ้งตู้คอนเทนเนอร์นั้นไว้และไม่มีใครแตะต้องมันอีก(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรียนหมอไม่ค่อยเข้าใจ ได้รุ่นพี่มาช่วยสอนจนคะแนนดีขึ้น ก่อนปิดเทอมไปสารภาพรักกับเขา แต่เขาตอบกลับมาว่า “ถ้าคุณรู้จักผมมากกว่านี้ คุณอาจจะเปลี่ยนใจ” แล้วเขาก็หายไปเลย!

02 มี.ค. 2024

เรียนหมอไม่ค่อยเข้าใจ ได้รุ่นพี่มาช่วยสอนจนคะแนนดีขึ้น ก่อนปิดเทอมไปสารภาพรักกับเขา แต่เขาตอบกลับมาว่า “ถ้าคุณรู้จักผมมากกว่านี้ คุณอาจจะเปลี่ยนใจ” แล้วเขาก็หายไปเลย!

เรื่องนี้เป็นสายจาก ‘คุณสุ’ ที่ได้มาเล่าเรื่องรักชวนหลอนเกี่ยวกับนักศึกษาแพทย์และร่างอาจารย์ใหญ่ ให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (26 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ จะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันเลย! คุณสุเล่าย้อนว่าเมื่อก่อนตนนั้นเป็นพยาบาลในแผนก ICU ก่อนที่จะลาออก เพื่อนร่วมงานก็จัดปาร์ตี้เลี้ยงส่ง นั่นทำให้ ‘พี่หมอมุ่ย’ (นามสมมติ) นำเรื่องหลอนสมัยที่เขายังเป็นนักศึกษาแพทย์มาเล่าให้คุณสุฟัง หมอมุ่ยเล่าย้อนว่า ปกติแล้วนักศึกษาแพทย์จะใช้เวลาหนึ่งปีไปกับการศึกษาร่างกายมนุษย์ (Anatomy) กับร่างของอาจารย์ใหญ่ ในช่วงนั้นหมอมุ่ยมีปัญหากับการจดจำรายละเอียดต่าง ๆ ของร่างกาย มักจะจำผิดพลาดและคลาดเคลื่อนอยู่บ่อยครั้ง จึงลงการเรียนเสริมให้ตัวเอง เพื่อที่ตนเองนั้นจะสามารถเรียนทันนักศึกษาคนอื่นและสอบได้ เพราะหากต้องมาสอบแก้ทีหลังจะเสียเวลาไปกันใหญ่ วันหนึ่ง ขณะที่หมอมุ่ยเรียนเสริมอยู่ เขาก็รู้สึกแย่กับตนเองเพราะไม่สามารถตอบคำถามของอาจารย์ได้เลย ทั้งยังไม่เข้าใจบทเรียนที่เรียนในวันนี้ด้วย หมอมุ่ยคิดในใจว่า ‘ถ้ามีใครสักคนมาสอนให้เรารู้มากกว่านี้ โดยที่เราไม่ต้องขอเงินจากพ่อแม่เพิ่ม ไม่ต้องไปทำงานหาเงินเพื่อมาเรียนเสริม มันก็คงจะดีเนอะ’ หลังจากนั้น ก็มีรุ่นพี่คนหนึ่ง นามสมมติว่า ‘ทรงเกียรติ’ มาเป็นผู้ช่วยสอนในเรื่องของกายวิภาคศาสตร์โดยเฉพาะ รุ่นพี่คนนี้พูดกับหมอมุ่ยว่า “พี่เห็นในคลาสเรียนแล้ว น้องดูไม่ค่อยเข้าใจเลย อยากเรียนเสริมกับพี่มั้ย? เดี๋ยวพี่สอนเอง พี่สอนให้ฟรีเลย ถือว่าเป็นการช่วยรุ่นน้อง” หมอมุ่ยดีใจมากที่จะได้เรียนเสริมเป็นการส่วนตัว แถมคนที่มาสอนยังรูปหล่อหน้าตาดีอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เองทำให้หมอมุ่ยได้แต่แอบกรี๊ดอยู่ในใจ ช่วงพักทานข้าวหรือระหว่างคาบเรียน ก็เป็นช่วงเวลาที่พี่ทรงเกียรติเข้ามาช่วยสอน ระหว่างที่เรียนเสริมนั้น ปรากฏว่าผลการเรียนของหมอมุ่ยก็เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขั้นได้รับคำชมจากอาจารย์ว่า “มีพัฒนาการขึ้นนะ ขอให้รักษาผลการเรียนแบบนี้ไว้นะ” นั่นทำให้หมอมุ่ยรู้สึกภูมิใจมากขึ้นไปอีก เป็นเวลากว่า 6-7 เดือนที่พี่ทรงเกียรติมาช่วยสอน ก็เกิดความรู้สึกดี ๆ ขึ้นภายในใจของหมอมุ่ย หมอมุ่ยบอกว่า “เขาเป็นคนแรก ที่ทำให้พี่รู้สึกปลื้มจนอยากไปสารภาพรักเลย” ก่อนจบการศึกษา หมอมุ่ยตัดสินใจบอกว่าพี่ทรงเกียรติไปว่า “หนูขอบคุณนะคะที่มาช่วยสอน หนูชอบพี่นะ หนูอยากเป็นแฟนกับพี่ พี่จะรับรักหนูมั้ย? ถึงหนูจะไม่ใช่ผู้หญิงแท้ แต่หนูก็รักจริงนะ” แต่พี่ทรงเกียรติก็ตอบกลับมาว่า “ผมไม่ได้รังเกียจหรอกครับว่าคุณจะเป็นเพศอะไร ขอบคุณมากที่คุณมีความรู้สึกดี ๆ ให้กับผม แต่ถ้าคุณรู้จักผมมากกว่านี้ คุณอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้” แม้พี่ทรงเกียรติจะปฏิเสธอย่างมีมารยาท แต่หมอมุ่ยก็รู้สึกเสียใจไม่ใช่น้อย หลังจากวันนั้น หมอมุ่ยก็ไม่ได้เจอพี่ทรงเกียรติอีกเลย ไม่ว่าหมอมุ่ยจะพยายามเดินไปตึกเรียนที่คาดว่าพี่ทรงเกียรติจะอยู่แต่ก็ไม่เคยเจอ และยังไม่สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับพี่ทรงเกียรติได้เลย จนกระทั่งวันหนึ่ง ได้มีการจัดพิธีส่งร่างอาจารย์ใหญ่เพื่อนำไปฌาปนกิจ ซึ่งก่อนหน้านั้นจะมีการรวมตัวนักศึกษาเพื่อให้มากล่าวขอบคุณร่างอาจารย์ใหญ่ หมอมุ่ยบอกว่ามีชื่อนึงที่คุ้นหู และรูปก็คุ้นตาคล้ายกับพี่ทรงเกียรติอย่างไรอย่างนั้น แต่หมอมุ่ยก็ยังไม่แน่ใจเพราะเห็นในระยะไกล จนพิธีเสร็จสิ้น หมอมุ่ยจึงแอบปลีกตัวเองเดินออกไปหาร่างนั้น เพื่อที่จะไปดูป้ายชื่อว่าใช่อย่างที่ตนคิดหรือไม่ ปรากฏว่าร่างของอาจารย์ใหญ่ที่มีป้ายชื่อห้อยอยู่ รวมทั้งรูปภาพเจ้าของร่างนั้นเป็นพี่ทรงเกียรติจริง ๆ คุณสุนึกสงสัยจึงถามหมอมุ่ยไปว่า “ระหว่างนั้นเขาไม่มีอะไรแปลก ๆ เลยหรอคะหมอ?” หมอมุ่ยส่ายหัวและบอกว่า “ไม่เลย ทุกอย่างเหมือนกับที่เรานั่งคุยกันแบบนี้ เราแตะตัวกันได้ แล้วตอนที่เขามาสอนไม่ใช่นั่งตรงข้ามนะ เขาจะนั่งข้างขวาไม่ก็ซ้าย ใกล้ชิดหมอมาก ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกผิดแปลกอะไรเลย จะมีแค่อย่างเดียวคือ เวลาสั่งน้ำหรือสั่งขนมมาให้ พี่ทรงเกียรติจะไม่แตะอะไรเลย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่าเขาอาจจะเกรงใจเรา” นั่นคือข้อสังเกตเดียวที่เห็นจากพี่ทรงเกียรติ นอกนั้นแล้ว เขาก็เหมือนคนปกติทั่วไป นั่นทำให้หมอมุ่ยเข้าใจความหมายของพี่ทรงเกียรติที่บอกว่า “ถ้ารู้จักผมมากกว่านี้ อาจจะเปลี่ยนใจก็ได้..” คุณสุถามเพิ่มเติมว่า “ระหว่างที่ติวด้วยกัน ไม่มีใครเห็นเลยหรอ?” หมอมุ่ยก็บอกว่า “สถานที่ที่เลือกติวกันนั้น หลาย ๆ คนมักจะจดจ่อกับสิ่งที่ตนสนใจอยู่ ทำให้ไม่ได้สนใจปฏิกิริยาที่คนอื่นมอง ไม่แน่ว่าคนอื่นก็อาจจะไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติก็เป็นได้” นอกจากนี้หมอมุ่ยก็ยังไปสืบมาว่าพี่ทรงเกียรติเป็นผู้ป่วยภาวะสมองตาย แต่ข้อมูลอื่น ๆ นั้นไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนรุ่นน้องของหมอมุ่ยก็เจอบ้างเป็นบางรุ่น เช่น นักศึกษาบางคนอยากจะเรียนเพิ่ม จึงไปอยู่กับร่างอาจารย์ใหญ่เพียงลำพัง พี่ทรงเกียรติก็จะเดินมาบอกว่า “น้อง มันหมดเวลาแล้ว กลับไปก่อนมั้ย ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนมาถามพี่หรืออาจารย์ท่านอื่นก็ได้ ถ้าพวกพี่ยามเขามาปิดตึกแล้ว น้องจะกลับบ้านไม่ได้นะ” เป็นต้น หลายคนที่เจอมักบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า หากตั้งใจตามหาพี่ทรงเกียรติจะหาตัวไม่เจอ เขาจะปรากฏให้เห็นก็ต่อเมื่อเขาอยากมาเท่านั้น และนี่ก็เป็นรักแรกของหมอมุ่ยที่ยังคงจำได้ฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากลูกนัท The Ghost Radio 'ห่อหมกปลาช่อน' l อังคารคลุมโปง X เจน - ลูกนัท The Ghost [ 4 พ.ย.2568 ]

11 พ.ย. 2025

เรื่องเล่าจากลูกนัท The Ghost Radio 'ห่อหมกปลาช่อน' l อังคารคลุมโปง X เจน - ลูกนัท The Ghost [ 4 พ.ย.2568 ]

ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ ต้องออกไปหาสถานที่ตกปลา แต่รอบนี้กลับไปเจอบ่อน้ำแห่งหนึ่ง ที่ได้มีคนเข้ามาเตือนว่า ที่นี่ห้ามไป..เพราะเจ้าของที่หวงมาก แต่สุดท้ายกลับบอกให้ไปได้ เพียงแต่ต้องพูดบอกไปว่า จะเอาปลาไปทำห่อหมกปลาช่อนให้ตากินนะ สุดท้ายหลังจากตกปลาได้ จะนำปลากลับไปฝาก กลับได้ไปรับรู้ถึงเรื่องราวบางอย่าง ที่ทำให้ต้องรู้สึกเสียน้ำตา.. คุณลูกนัท’ ได้มาเล่าเรื่องราวของ ‘คุณเก่ง’ ที่ได้เดินทางไปบ่อตกปลาในทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ในระหว่างทางกลับได้ไปพบตายายคู่หนึ่ง เข้ามาเตือนว่าอย่าไปที่บ่อแห่งนี้ เพราะว่าเจ้าของเก่า…หวงที่ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X เจน - ลูกนัท The Ghost’ (4 พฤศจิกายน 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ห่อหมกปลาช่อน’เหตุการณ์ย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เก่งมีงานอดิเรกเป็นการตกปลา ในทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ จนกระทั่ง เก่งไปเจอสถานที่แห่งหนึ่ง ที่เหมาะแก่การตกปลาเป็นอย่างมากเช้ามืดในวันรุ่งขึ้น เก่งเริ่มออกเดินทางขี่มอเตอร์ไซค์ ไปถึงยังที่หมายในช่วงเช้าตรู่ ภาพตรงหน้าที่ปรากฏ กลับทำให้เก่งรู้สึกเฟลขึ้นมา เพราะความไม่ตรงปกจากที่ดูรูปมา เก่งรู้สึกเสียดายถ้าจะต้องกลับในทันที จึงเปิดแผนที่เพื่อหาสถานที่อื่นแทน และได้เจอกับบ่อน้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลมาก จึงตัดสินใจที่จะเดินทางไปยังสถานที่แห่งนั้น แต่ในระหว่างทางบังเอิญไปพบกับบ้านไม้ ลักษณะสองชั้น ใต้ถุนสูงโปร่ง ที่มีคนอาศัยอยู่ เป็นตายายคู่หนึ่ง เก่งจึงเข้าไปสอบถามเส้นทางในการไปตกปลา แต่ก็ได้คำตอบกลับมาว่า บ่อน้ำแห่งนี้เจ้าที่หวงมาก มีแต่คุณตาเท่านั้นที่ไปตกได้ เก่งจึงตัดสินใจที่จะกลับมือเปล่า แต่ทันทีที่จะกลับ คุณตากลับตะโกนเรียกว่า “จะตกก็ไปตก เจ้าของที่ไม่ได้อยู่แล้ว แต่บอกเขาไปด้วยนะว่า ตาให้ไปตกแล้วจะเอาปลาไปทำห่อหมกปลาช่อนให้ตากิน” เก่งได้แต่นึกในใจว่า เจ้าของที่ไม่อยู่ได้อยู่แล้ว จะให้ไปบอกกับใคร หลังจากนั้น เก่งก็ได้เดินทางไปจนถึงบ่อ และได้เริ่มตกปลาที่บริเวณนั้น เวลาผ่านไป 1 - 2 ชัวโมง ตกได้ปลาแต่ปรากฏว่าปลาที่ได้เป็นปลาตัวเล็ก ๆ เก่งนึกได้ถึงคำพูดของคุณตาก่อนหน้า เลยพูดเอ่ยขึ้น ตามที่คุณตาได้บอกไว้...หลังจากนั้นไม่นาน ปรากฏว่า ได้ปลาช่อนตัวใหญ่มาก ตกมาได้ถึง 6 ตัว เก่งจึงคิดที่จะนำปลาที่ได้มา ไปฝากไว้ที่บ้านของตา แต่พอเดินทางไปถึง บ้านกลับปิดสนิท และมีบรรยากาศที่เงียบสงัด จึงตัดใจที่จะกลับมาในภายหลัง ในระหว่างนั้นเก่งขับมอเตอร์ไซค์ ออกไปหาร้านข้าว ก็ไปเจอกับร้านข้าวแห่งหนึ่ง และได้จอดแวะทาน แต่ป้าร้านข้าวก็ได้ทักถามขึ้นมาว่า “ทำไมเราถึงมาจากทางนั้น ไปตกปลามาหรอ?” เก่งตอบกลับไปว่า “ผมไปตกปลา ที่บ่อตรงนั้นมา”ป้าทำสีหน้าตกใจ เพราะด้วยความที่เจ้าของเป็นคนหวงที่มาก และไม่ให้ใครเข้าไปตกปลา แต่เก่งก็ตอบกลับไปว่า “คุณตาบ้านข้างหน้าบ่อ เขาบอกว่าให้ตกได้” ป้าร้านข้าวทำสีหน้างุนงง และได้พูดตอบแบบนิ่ง ๆ “เอ็งไม่กลัวผีหรอ” เก่งยิ่งเกิดอาการงง? กับคำพูดของป้า แต่หลังจากทานข้าวเสร็จ เก่งก็เดินทางกลับไปยังบ่อตกปลา แต่ระหว่างทางได้แวะบ้านของตาอีกครั้ง และได้เห็นตายืนอยู่ริมรั้วบ้าน เก่งจึงเอ่ยทักว่าเอาปลามาฝาก แต่ตาก็ตอบปฏิเสธในทันที และบอกว่าเอาไปทำไม่ไหวหรอก เพราะว่าแก่แล้ว เก่งนึกในใจว่าจะเอาปลากลับไปทำ และรอบหน้าจะนำมาฝากตากับยาย หลังจากคิดเสร็จเก่งก็เดินทางกลับบ้านในทันที แต่ระหว่างทางได้แวะร้านข้าวในอีกครั้ง ป้ารีบเดินเข้ามาถามในทันที “เจอลุงไหม เอ็งนี่ท่าจะไม่กลัวผีจริง ๆ” เก่งได้แต่ทำหน้าครุ่นคิดไปอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นป้าก็ได้เริ่มเล่าเรื่องราวบางอย่างให้เก่งฟัง ในอดีต คุณตามีชื่อว่า ‘ตาแม้น’ เป็นหนุ่มหล่อ และเป็นที่ชื่นชอบของสาว ๆ หนึ่งในคนที่ชอบตาแม้น มีชื่อว่า “ยายมา” เป็นเจ้าของบ่อตกปลา ยายแม้นเป็นคนที่หวงบ่อมาก แต่ตาแม้นเป็นคนเดียว ที่ยายมาให้มาตกปลาได้ และเวลาตกได้จะนำปลา ไปให้ยายมาทำห่อหมกปลาช่อนให้กิน ทั้งสองคนก็คอยดูแลกัน และกันอยู่เรื่อย ๆแต่พอเวลาผ่านไป ตาแม้นกลับไปมีอะไรกับ ยายมี พี่สาวของ ยายมา ด้วยความโกรธของยายมา จึงทำยาสั่งให้ทั้งคู่เกิดอาการอยากกินห่อหมกปลาช่อน หลังจากที่ทั้งคู่ได้กินเข้าไปก็เสียชีวิตลงในทันที เวลาผ่านไปยายมา เกิดความเสียใจ ที่เสียคนรักไปทั้ง 2 คน จึงรู้สึกตรอมใจ และได้ผูกคอเสียชีวิตลงในบ้านหลังนั้น หลังจากที่ได้ยินและรับรู้เรื่องราวทั้งหมด เก่งจึงกลับบ้านไปทำห่อหมกปลาช่อนในเช้าวันถัดมา เก่งได้นำห่อหมกปลาช่อน จากปลาที่ตกได้ นำมาจุดธูปให้คุณตา และคุณยาย(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1