เรื่องเล่าจากครูตรี ‘ห้องนั้น...ยังมีคนอยู่’ l อังคารคลุมโปง X ครูตรีมีเรื่องเล่า [ 24 มิ.ย.2568 ]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากครูตรี ‘ห้องนั้น...ยังมีคนอยู่’ l อังคารคลุมโปง X ครูตรีมีเรื่องเล่า [ 24 มิ.ย.2568 ]

10 ก.ค. 2025

          ‘ครูตรีมีเรื่องเล่า’ ได้เข้ามาเล่าเรื่องราวสุดหลอนของ ‘เกด’ นักเรียนตัวแทนแข่งขันวิชาการ ที่ต้องไปแข่งขันต่างจังหวัด นำไปสู่การค้างคืนจนเจอดี เพราะห้องนี้มี…อยู่ด้วย!! เกดจะต้องเจอกับอะไร? สามารถติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (24 มิถุนายน 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ ในเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ห้องนั้น…ยังมีคนอยู่’

          ย้อนกลับไปในสมัยที่ครูตรีพึ่งจะได้เป็นครูใหม่ ๆ มีนักเรียนคนหนึ่ง เธอชื่อ ‘เกด’ เป็นเด็กนักเรียนในโรงเรียนขนาดเล็กที่ไม่มีทุน หากต้องการทุนหรือสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนต้องไปทำการแข่งขัน เช่น การแข่งขันวิชาการหรืองานประดิษฐ์ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเกดต้องไปแข่งขันวิชาการระดับจังหวัด โดยจะมีการเดินทางข้ามจังหวัด โรงเรียนมีให้ 2 ทางเลือกคือ

          1. ไปค้างคืน แต่ต้องนอนค้างที่โรงแรม

          2. ไป-กลับ แต่ต้องมาถึงโรงเรียนเวลาตีสามครึ่ง

          ในสมัยนั้น การเดินทางไป-กลับเป็นเรื่องที่ยากลำบาก จึงเลือกทางที่หนึ่งและให้โรงเรียนเจ้าภาพจัดหาที่พักให้ ทางโรงเรียนเจ้าภาพจึงจัดห้องไว้ให้ 6 ห้อง คือห้องชั้นประถมศึกษาปีที่ 1- 6 เผื่อโรงเรียนอื่น ๆ จะมาพักด้วย ทีมจากโรงเรียนเกดมีทั้งหมด 5 คน เป็นคุณครู 2 คน และนักเรียน 3 คน

          เมื่อถึงวันที่ต้องเดินทาง ก็มีรถตู้สภาพค่อนข้างเก่ามารับ ขณะเดินทางเกิดฝนตกหนัก รถตู้หลังคารั่วทำให้นักเรียนต้องย้ายไปนั่งกันเป็นกระจุก เมื่อรถเลี้ยวเข้าตัวอำเภอก็ได้แวะร้านสะดวกซื้อให้นักเรียนลงไปซื้อของ ช่วงนั้นฝนตกปรอย ๆ จึงมีเพียงเกดคนเดียวเท่านั้นที่ลงไปซื้อ ผ่านไปไม่นาน ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักทำให้เกดต้องวิ่งฝ่าฝนขึ้นรถ จนตัวเปียกชุ่มอยู่นานนับชั่วโมงกว่าจะถึงโรงเรียน

          เมื่อถึงโรงเรียนก็รีบไปลงทะเบียนรับห้องพักเพื่อที่จะได้รีบเปลี่ยนชุด ซึ่งเกดได้เป็นห้องชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และในช่วงนั้นตรงกับวันหยุดปิดเทอมจึงไม่มีนักเรียนคนอื่นนอกจากเด็กที่มาแข่งขัน

          บรรยากาศในห้องนี้มีกลิ่นอับจากเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ชื้นจากฝนตก รอบ ๆ มีฝุ่นเขรอะเนื่องจากเป็นช่วงปิดภาคเรียน ทำให้ไม่มีนักเรียนเข้ามาใช้งาน และไม่ได้ทำความสะอาด เมื่อเดินเข้าไปก็เจอที่นอน ซึ่งเป็นฟูกเบาะสีเขียวเรียงอยู่หน้ากระดานดำทั้งหมด 5 อัน จากนั้น นักเรียนและคุณครูก็เอาของไปเก็บประจำที่ และปล่อยให้พักผ่อนตามอัธยาศัย โดยตกลงกันว่าจะเจอกันอีกครั้งเวลา 16.00 น. เพื่อไปเดินดูสถานที่จริงในการแข่งขันของวันพรุ่งนี้

          เมื่อถึงเวลา 16.00 น. ทุกคนเดินไปดูสถานที่ โดยห้องที่ใช้สอบวิชาการจะต้องเดินข้ามสนามไป ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตึกห้องพัก เมื่อทราบห้องแข่งแล้ว เกดก็เกิดอาการปวดหัว เริ่มมีไข้ อาจเป็นเพราะตากฝนแล้วตากแอร์เป็นเวลานาน ครูจึงให้กลับไปพักผ่อนก่อน ส่วนอีก 3 คนยังคงไปกับครูเพื่อดูสถานที่ต่อ

          ระหว่างที่เกดเดินทางกลับห้องพักนั้น เกดเห็นลุงคนหนึ่งคล้ายภารโรงกำลังหาของอยู่ในห้องเก็บของขนาดใหญ่ของโรงเรียน จึงจะเข้าไปช่วยหาแต่เกิดอาการปวดหัวเสียก่อน ทำให้เปลี่ยนใจไม่เข้าไป

          เวลาล่วงเลยไปถึงเวลา 17.00 น. ฟ้ายังไม่มืด เกดจึงไม่ได้เปิดไฟและนอนหลับไป ผ่านไปไม่นานก็มีเสียงแว่วว่า

          “หนูหนาว”

          เกดพยายามบอกตัวเองว่าไม่มีอะไร สักพักก็มีเสียงแว่วอีกรอบว่า

          “หนูหนาว”

          เกดยังไม่ปักใจเชื่อ จากนั้นก็มีเสียง ครืดด ครืดด เป็นเสียงลากเก้าอี้เข้ามาใกล้กระดานดำ ซึ่งเป็นบริเวณที่เกดนอนอยู่ เธอจึงตัดสินใจลืมตา ปรากฏว่าก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ประจวบเหมาะกับช่วงเวลานั้นมีเพื่อนโรงเรียนอื่นเข้ามาพักห้องข้าง ๆ พอดี เกดคิดในแง่ดีว่าอาจจะเป็นเสียงจากห้องข้าง ๆ จึงพลิกตัวนอนหงายและหลับต่อ

          เวลาล่วงเลยไปนานจนกระทั่งเกดรู้สึกว่ามีน้ำเย็น ๆ หยดลงบนใบหน้า แต่ก็คิดว่าฝ้ารั่วจึงขยับที่นอน ทันใดนั้นสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อลืมตากลับเห็นเป็นผู้ชายหน้าบวม ตาแดง  ยืนก้มหน้าลงมาจ้องอยู่ น้ำที่หยดใส่หน้าก็เป็นน้ำจากผู้ชายคนนี้ เกดพยายามขยับตัวก็ทำไม่ได้ จะกรี๊ดก็ไม่ได้ จึงพยายามเกร็งและหันหน้าหลบ แต่ก็พบเข้ากับต้นตอเจ้าของเสียง “หนูหนาว” เป็นเด็กผู้ชายยืนอยู่ข้าง ๆ ลักษณะบวมน้ำไม่ต่างจากคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า!

          โชคดีที่จู่ ๆ ก็มีเสียงเปิดประตู-เปิดไฟ ซึ่งเป็นคุณครูและเพื่อนกลับมาพอดี ทำให้ทั้ง 2 ร่างนี้หายไป เกดตั้งสติได้ก็โผเข้ากอดครูทันที เธอร้องไห้และเล่าเรื่องที่เจอให้ฟัง ครูก็เชื่อทุกอย่าง จึงสั่งให้เกดไปนั่งรวมตัวกับเพื่อนและครูจะไปหาคำตอบให้ ครูไปถามทุกคนที่พอจะเกี่ยวข้อง ตั้งแต่คุณครูโรงเรียนนี้ ป้าแม่บ้าน ภารโรง ฯลฯ เขากลับตอบว่าไม่เคยมีใครเจอเรื่องนี้ในโรงเรียน จะเป็นไปได้มั๊ยที่นักเรียนป่วยจึงคิดไปเอง ครูจึงไม่กล้าเถียงต่อ และปล่อยเหตุการณ์ครั้งนี้ไป

          เช้าวันแข่งขันวิชาการ ตามกำหนดการหากชนะจะมีการมอบรางวัลเวลา 15.30 น. แต่ผลกลายเป็นทุกคนตกรอบแรก สามารถกลับบ้านได้ ครูจึงประสานรถตู้โรงเรียนให้มารับแต่รถกลับไม่ว่าง ต้องรอให้ถึงเวลาที่กำหนด ระหว่างรอมีโรงเรียนที่เป็นทางผ่าน ครูจึงขออนุญาตเขาติดรถกลับไปด้วย เขาตอบตกลง ระหว่างนั่งบนรถก็พูดคุยว่าการแข่งขันพลาดตรงไหน จนเข้าสู่เรื่องเมื่อคืน..

          “เมื่อวานนี้ลูกศิษย์ของหนูถูกผีหลอก”

          ครูเล่าเรื่องให้อีกโรงเรียนฟัง ปรากฏว่ามีครูคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า

          “น่าจะเป็นยิ่ง”

          ทุกคนทำหน้าสงสัย ครูจึงบอกว่าเคยอยู่ที่นี่มาก่อนจะแต่งงานและย้ายไป

          เรื่องเกิดเมื่อปี พ.ศ. 2554 จังหวัดนี้เป็นจังหวัดที่น้ำท่วมสูงมิดหลังคา ในปีนั้นน้ำไหลเร็วมาก ‘ยิ่ง’ คือเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนนี้ ช่วงนั้นปิดเทอมมีการดูแลโรงเรียนเป็นเรื่องปกติ ยิ่งจึงพาลูกมาด้วย ลูกก็วิ่งเล่นตามประสาเด็ก แต่เมื่อน้ำมายิ่งออกตามหาลูกเพื่อที่จะพากลับบ้าน แต่กลับหาไม่เจอ จากนั้นทุกคนก็อพยพกันไปหมด หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบไปจนน้ำลดและเมื่อมีการเข้ามาเคลียร์พื้นที่ก็พบศพของยิ่งและลูกอยู่ในห้องชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หรือห้องพักของเกดนั่นเอง ความจริงที่ห้องนั้นอับและชื้นเป็นเพราะห้องตรงนั้นไม่ได้มีการเปิดใช้งาน เนื่องจากอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถใช้งานได้แล้ว

          คุณครูไม่พูดจบแค่นี้ ยังพูดขึ้นมาว่า

          “ดีนะ ไม่เจอลุงชัด”

          ทุกคนบนรถสงสัยว่าคือใคร ?

          ‘ลุงชัด’ เป็นพ่อของยิ่งซึ่งเป็นภารโรงของโรงเรียนนี้ หลังจากยิ่งและหลานตาย เขาก็ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า ทำงานได้ระยะหนึ่งก็ลาออกไป ก่อนลาออกได้มีการตามหากรอบรูปที่มี ลุงชัด ยิ่งและลูก ที่ถูกถ่ายในวันพ่อ ภาพนี้หายไปช่วงน้ำท่วม นอกจากนี้ พวกโต๊ะเก้าอี้ที่ผุพังจากน้ำท่วมจะถูกรวมไว้ในห้องเก็บของขนาดใหญ่ทั้งหมด ลุงชัดจะมาค้นหาภาพทุกวัน ทุกคนก็เข้าใจได้ เพราะนั่นอาจเป็นสิ่งเดียวที่พอจะทำให้ยิ่งและหลานยังอยู่ในความทรงจำของลุงชัด

          วันหนึ่งในช่วงปิดเทอม ครูเวรเดินตรวจโรงเรียนก็พบว่าลุงชัดนอนเสียชีวิตอยู่ในห้องเก็บของด้วยโรคประจำตัว สภาพขึ้นอืดเนื่องจากเสียชีวิตไปหลายวัน หลังจากเคลียร์เรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่โรงเรียนต้องเจอคือไม่ว่าใครที่กลับเย็น-ค่ำ จะพบกับลุงภารโรงเดินไปมาเหมือนหาอะไรบางอย่าง ครั้งหนึ่งเคยมีเหตุการณ์เด็กลืมการบ้านไว้จึงกลับมาเอาในตอนเย็น แต่ห้องดันปิดแล้ว เดินลงมาเจอกับลุงภารโรงจึงวิ่งไปขอให้เปิดห้องให้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือลุงภารโรงหันมาพร้อมกับใบหน้าที่เละ เด็กช็อคร้องไห้วิ่งกลับไปหาพ่อ จนไข้ขึ้น ไม่นานก็ลาออกจากโรงเรียนไป หลังจากนั้นช่วงเย็นก็จะไม่มีใครเดินไปแถวห้องเก็บของเลย เกดจึงบอกว่า

          “จริง ๆ หนูก็เจอเหมือนกัน ดีที่ปวดหัวจึงไม่เดินเข้าไปทัก”

          หลังจากนั้นเวลาเกดไปแข่งขันวิชาการจะเลือกการแข่งแบบไปเช้าเย็นกลับเสมอ ไม่ค้างคืนที่โรงเรียนไหนอีกเลย..

 (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากพี่ยม เเท็กซี่ผี ‘ผู้โดยสารขากลับ’ l อังคารคลุมโปง X โดนัท Howtozghost [25 มี.ค. 2568 ]

03 เม.ย. 2025

เรื่องเล่าจากพี่ยม เเท็กซี่ผี ‘ผู้โดยสารขากลับ’ l อังคารคลุมโปง X โดนัท Howtozghost [25 มี.ค. 2568 ]

ขับแท็กซี่มา 40 ปี ฟังเรื่องเล่าผีมาก็เยอะ แต่ใครจะคิดว่าในวันที่ตั้งใจจะขับรถกลับบ้าน จะได้เจอดีเข้าก่อน! เรื่องราวสุดหลอนนี้จะเป็นอย่างไร? ติดตามได้กับเรื่องที่มีชื่อว่า “ผู้โดยสารขากลับ” จาก “คุณยม” ในรายการ “อังคารคลุมโปง X” (25 มีนาคม 2568) พร้อมด้วย “ดีเจแนน”, “ดีเจเจ็ม” และ “ดีเจมดดำ” “คุณยม” ได้นำเรื่อง “ผู้โดยสารขากลับ” มาเล่า โดยคุณยมได้เล่าว่า.. คุณยมได้ขับรถแท็กซี่มา 40 ปี รับงานผ่านแอปพลิเคชัน ด้านหน้าคอนโซลรถ จะติดสติกเกอร์รายการผีไว้หลายรายการ ผู้โดยสารมักจะทักว่า “พี่ เป็นเอฟซีรายการนี้หรอ” คุณยมจะบอกว่า “ใช่” และบอกไปว่าเป็นนักเล่า นอกจากนี้ คุณยมก็มักจะหาเรื่องเล่าแปลก ๆ ใหม่ ๆ จากผู้โดยสารฟังเสมอ ในตอนนี้คุณยมขับรถในช่วงเวลากลางวันได้ 2 ปีแล้ว และในวันที่เกิดเหตุ คุณยมไม่สามารถขับรถในช่วงเวลากลางวันได้เพราะอากาศที่ร้อน พอถึงช่วงบ่ายก็จะกลับเข้าบ้าน แล้วมาขับอีกครั้งตอนประมาณ 1 ทุ่ม จนถึง ตี 1 ใน วันเกิดเหตุนั้น คุณยมก็รับผู้โดยสารตามปกติ จุดหมายคือ จากสีลมไปส่งที่ซอยแบริ่ง และผู้โดยสารคนนี้ก็มีเรื่องเล่าให้คุณยมฟัง คุณยมก็ฟังเรื่องเล่านั้น แต่ไม่ได้มีท่าทีสนใจอะไร หลังจากที่ออกมาจากซอยแบริ่งจะเจอกับทางแยก ทางซ้ายจะไปสำโรง ส่วนขวาจะไปทางบางนาแล้วจะไปโผล่เส้นสุขุมวิท และจากประสบการณ์ที่คุณยมได้ขับรถมาตลอด ถ้าวิ่งไปเส้นพระโขนง-อ่อนนุช มักจะไม่มีผู้โดยสาร ณ ตอนนั้นก็เป็นเวลา 5 ทุ่มแล้ว คุณยมจึงตัดสินใจขับรถไปทางสำโรง เพื่อเข้าถนนปู่เจ้าสมิงพรายเพื่อจะกลับบ้าน แต่สายตาคุณยมก็มองข้างทางไปเรื่อย ๆ และเปิดแอปพลิเคชันรับงาน ในใจของคุณยมตอนนั้นก็ถอดใจแล้ว หากไม่มีผู้โดยสาร ก็จะขับรถกลับบ้านทันที คุณยมขับรถตรงไปเรื่อย ๆ จนเข้าเส้นถนนปู่เจ้าสมิงพาย และเส้นทางนี้จะมีสะพานข้ามคลองสูง อยู่สะพานเดียว เมื่อคุณยมขับรถลงจากสะพาน ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ใส่เสื้อแจ็คเก็ตสีเขียวรูดซิบจนถึงคอ คล้ายกับบริษัทขนส่งแห่งหนึ่ง ผมสั้นประมาณไหล่ ยืนโบกรถอยู่ และเพราะละแวกนั้นไม่ได้มืด และมีธนาคารตั้งอยู่ ทำให้ยังมีไฟสว่างอยู่บริเวณนั้น คุณยมจึงเปิดไฟเลี้ยวแล้วเข้าไปจอด จังหวะที่เลี้ยวเข้าไปจอด ผู้หญิงคนนั้นก็เดินมาทางหน้ารถของคุณยม เพื่อจะบอกจุดหมายที่จะไป และยังไม่ทันได้เปิดประตู ผู้หญิงคนนั้นก็ชะงัก แล้วถอยหลังกลับไป ในจังหวะเดียวกันนั้นก็มีเสียงประตูเปิดและปิดจากทางประตูหลังที่นั่งของผู้โดยสาร คุณยมจึงมองไปที่กระจกมองหลัง ว่าใครขึ้นมา แต่ก็ยังไม่ทันจะได้มอง ก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นมาว่า “ปะ ข้ามสะพานภูมิพล” ณ ตอนนั้นคุณยมก็รู้สึกดีใจ เพราะเป็นทิศทางเดียวกัน เมื่อลงจากสะพานภูมิพลก็จะสามารถกลับบ้านได้สะดวก และระยะทางจากจุดที่รับกับจุดหมายก็ห่างเพียงแค่ 1 กิโลกว่า แต่ระหว่างนั้นคุณยมก็รู้สึกขนลุกบริเวณแขนด้านซ้ายก่อน และขนแขนด้านขวาก็ลุกตาม ซึ่งความรู้สึกแรกที่คุณยมได้รับรู้คือ เหมือนมีคนกำลังจ้องอยู่ตลอดเวลาระหว่างขับรถ คุณยมจึงเหลือบตาไปมองกระจกหลัง พอมองไปก็เห็นว่าเป็นดวงตาสีดำสนิท มีขนาดใหญ่ และจ้องมาที่กระจกมองหลัง คุณยมรู้สึกตกใจจึงหลบตา และคิดว่า ‘ตาของผู้โดยสารแปลกจัง’ และจังหวะที่โค้งขึ้นสะพาน คุณยมก็จึงเร่งความเร็วขึ้น โดยปกติผู้โดยสารมักจะเอียงตัวตามแรงโค้ง แต่เมื่อคุณยมมองที่กระจกหลังอีกครั้ง ผู้โดยสารคนนี้ก็นั่งจ้องมาที่กระจกหลังอยู่แล้ว สายตาที่ต้องมาเป็นสายตาดุ ๆ คุณยมจึงตกใจอีกครั้งว่า ‘มองทำไม’ และคุณยมหันมองผู้โดยสารคนนี้ถึง 3 ครั้ง ซึ่งโดยปกติแล้วคุณยมจะไม่มองผู้โดยสารแบบนี้ แต่เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้คุณยมอดที่จะมองไม่ได้ และเมื่อขึ้นสะพานมาจนถึงทางตรง ก็จะเจอกับทางแยก ทางลงด้านซ้ายจะไปพระประแดง ด้านขวาจะไปพระราม 3 คุณยมจึงถามผู้โดยสารว่าจะไปทางด้านซ้ายหรือขวา แต่ก็ไม่เสียงตอบกลับ คุณยมจึงถามย้ำอีกครั้ง “คุณจะให้ผมเลี้ยวไปทางไหนครับ ไปทางพระราม 3 หรือ พระประแดงครับ” และเสียงที่ตอบกลับมาก็เป็นเสียงของผู้หญิงที่สั่นเครือ “พระราม 3” ทำให้คุณยมต้องหันกลับไปดูที่กระจกมองหลังอีกครั้ง สิ่งที่พบคือ เปลือกตาโพลนออกมาเป็นสีดำสนิท ใบหน้าก็เห็นเป็นสีดำ คุณยมจึงคิดอยากจะปรับกระจกมองหลังให้ต่ำลงเพื่อจะได้เห็นชัดขึ้น แต่ในใจก็ไม่กล้า จึงขับรถไปตามที่ผู้โดยสารบอก และจะกลับบ้านทันที ในจังหวะที่ขับตรงมาทางพระราม 3 ทางข้างหน้าจะเป็น 3 แยก คุณยมจึงถามผู้โดยสารอีกว่า “จะให้ผมเลี้ยวซ้ายหรือขวา หรือจะเข้าซอยธนูรักษ์ครับ” แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา คุณยมจึงถามซ้ำอีกครั้ง “จะเลี้ยวซ้ายหรือขวา หรือเข้าซอยธนูรักษ์ครับ ผมจะได้ไปส่งคุณได้ถูก” แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบกลับมาแม้แต่นิดเดียว และในตอนนั้นแขนของคุณยมก็เริ่มมีอาการขนลุก ขาเริ่มชา คุณยมจึงปล่อยรถให้ไหลลงไปตามทาง และคิดในใจว่า ‘หรือเราจะเจออีกแล้ว’ หลังจากที่ลงสะพานมา คุณยมจึงพยายามเอารถจอดข้างทางก่อนถึงซอยธนูรักษ์ และลงจากรถด้วยขาที่เริ่มไม่มีแรง เพื่อจะไปเปิดประตูด้านหลังดูว่ามีผู้โดยสารอยู่หรือเปล่า และเมื่อเปิดประตูด้านหลังทางขวา ก็ไม่พบใครนั่งอยู่ คุณยมจึงได้รู้ทันทีว่าตัวเองนั้นเจอดีเข้าอีกแล้ว จากนั้นก็เลือกเดินไปเปิดประตูข้างทางด้านซ้ายเพื่อเชิญเขาลง และบอกไปว่า “วันนี้พี่คงไม่ได้ตังแล้ว พี่จะกลับบ้านเลย พี่ส่งน้องได้แค่นี้ ต่างคนต่างไปแล้วกัน ถ้ามีโอกาสหน้าเราคงจะได้เจอกันอีก“ หลังจากนั้นคุณยมก็มานั่งลงที่ฟุตบาท แล้วก้มศรีษะลงนึกย้อนถึงเหตุการณ์ที่เจอ และคิดว่าน้องคนแรกที่ชะงักก่อนที่จะได้ขึ้นรถ คงเห็นอะไรบางอย่าง และนั้นยิ่งทำให้คุณยมมั่นใจว่า สิ่งที่ตัวเองเห็นมาตลอดทางนั้น ไม่ได้ตาฝาดไป ยิ่งไปกว่านั่นดวงตาที่ได้มองไป เป็นดวงตาที่คุณยมจะจดจำและฝั่งอยู่ในใจไปอีกนาน(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เปิดร้านทำผมใกล้สถานศึกษาจนได้รู้จักกับน้องคนหนึ่ง ทั้งคู่เกิดความรู้สึกดี ๆ ให้กัน คืนหนึ่งรุ่นน้องมานอนพักที่ร้าน จากนั้นก็ฝันว่าน้องคนนั้นตาย! พอตื่นมาก็เห็นข่าวว่าน้องโดนยิงตาย แต่ไม่เชื่อ จึงขึ้นไปเช็คที่ห้องนอน ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เลย!

14 ก.ย. 2023

เปิดร้านทำผมใกล้สถานศึกษาจนได้รู้จักกับน้องคนหนึ่ง ทั้งคู่เกิดความรู้สึกดี ๆ ให้กัน คืนหนึ่งรุ่นน้องมานอนพักที่ร้าน จากนั้นก็ฝันว่าน้องคนนั้นตาย! พอตื่นมาก็เห็นข่าวว่าน้องโดนยิงตาย แต่ไม่เชื่อ จึงขึ้นไปเช็คที่ห้องนอน ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เลย!

เมื่อความรักเกิดขึ้นได้ทุกช่วงเวลา แต่กลับถูกความตายมาพลัดพราก ทำให้ความสัมพันธ์ยังคลุมเครือไม่ได้ไปต่อ เรื่องราวความรักสีดำครั้งนี้จะเป็นยังไง รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 กันยายน 2566) ขอต้อนรับ ‘พี่ขวัญ น้ำมันพราย’ พบกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ที่จะมาร่วมปิดไฟ แล้วเปิดประสบการณ์ความรักสุดหลอนกันในค่ำคืนนี้! ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน เรื่องราวเกิดขึ้นกับ LGBTQ ท่านหนึ่ง ชื่อว่า ‘พี่แอน’ อดีตเคยเป็นลูกจ้างร้านเสริมสวยร้านหนึ่ง สะสมประสบการณ์เก็บเงินจนเติบโตกลายเป็นเจ้าของร้านเสริมสวยแถวมหาวิทยาลัยย่านรังสิต หลังจากเปิดมาได้ปีกว่าก็มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการจำนวนมาก พี่แอนจึงตัดสินใจจ้างลูกน้องให้มาช่วยงานที่ร้าน ตัวพี่แอนเองมักจะสนิทสนมกับนักศึกษาหลายคน แต่มีนักศึกษาผู้ชายคนหนึ่ง มักจะมากับกลุ่มเพื่อนบ่อย ๆ แต่ตัวน้องผู้ชายไม่เคยตัดผมที่ร้านเลย และด้วยความหน้าตาดี เรียบร้อย พี่แอนก็เกิดความรู้สึกดี มีใจให้กับนักศึกษาหนุ่มคนนี้ เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งสองเริ่มรู้จักกันมากขึ้นเรื่อย ๆ น้องคนนี้มีชื่อว่า ‘นัท’ เป็นเด็กต่างจังหวัดเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ หางานพิเศษทำเพื่อส่งตัวเองเรียน พี่แอนเองก็ไม่กล้าบอกคนอื่นว่ามีตนเองมีใจให้กับนัท เพราะกลัวนัทจะอาย พี่แอนจึงทำได้เพียงบอกให้นัทมาตัดผมฟรีที่ร้าน แต่ห้ามบอกใครว่าได้ตัดผมฟรี นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งคู่ได้มีโอกาสเจอกันอยู่บ่อยครั้ง วันหนึ่งนัทมานั่งในร้านทำผมด้วยหน้าตาที่เศร้าหมอง พี่แอนจึงเดินเข้าไปถามว่า “นัทเป็นอะไร?ปกติจะร่าเริงกว่านี้” นัทเล่าเรื่องราวให้ฟังถึงปัญหาที่ตนกำลังพบเจอ ทั้งหางานพิเศษไม่ได้ ไม่มีเงิน แต่ที่ตัดสินใจเล่าให้ฟัง ไม่ได้ต้องการให้พี่แอนมาช่วย เพราะอยากจะหาเงินให้ได้ด้วยตัวเอง เหตุการณ์นี้ทำให้รู้ว่าความจริงแล้ว ทั้งนัทและพี่แอนก็ต่างมีความรู้สึกดี ๆให้กัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้สานความสัมพันธ์เกินกว่าพี่น้อง อยู่มาวันหนึ่งขณะที่พี่แอนกำลังดึงบานประตูเหล็กลงมาเพื่อปิดร้าน ระหว่างนั้นสายตาก็มองออกไปข้างนอก เห็นโต๊ะหินอ่อนที่ตั้งอยู่เยื้อง ๆ กับหน้าร้าน มีคนนั่งอยู่ พี่แอนก้มลงไปมองด้วยความสงสัย ทำให้เห็นว่าคนที่นั่งอยู่คือนัท จึงตะโกนออกไปว่า “นัท นัททำอะไรลูก” นัทหันหน้ามามองที่พี่แอนแล้วตอบกลับว่า “พี่แอน ผมปวดหัว” พี่แอนจึงตัดสินใจพานัทเข้ามานั่งในร้านเพื่อที่จะพูดคุย และยังหายามาให้ พี่แอนบอกกับนัทด้วยความห่วงใยว่า “นัท ถ้าไม่ไหว ไม่ต้องคิดอะไรมาก นอนที่นี่ก็ได้นะ ไม่ต้องกลัว พี่ไม่ทำอะไรหรอก” นัทก็นั่งซึมน้ำตาไหล พูดซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ ว่า “พี่แอน ผมปวดหัว ผมไม่ไหวแล้วพี่ ปวดหัวมากเลยพี่แอน” สักพักพี่แอนตัดสินใจอีกครั้งที่จะจับมือนัทขึ้นไปบนห้อง แล้วบอกว่า “นอนที่นี่แหละ ไม่ต้องกลัว พี่ไม่บอกใครว่านัทอยู่ที่นี่” ข้างบนห้องจะมีทีวีตั้งอยู่ปลายเตียง มีที่นอนประมาณ 5-6 ฟุตตั้งอยู่ นัทนอนลงบนที่นอนด้วยท่าตะแคงและหันหน้าไปทางกำแพง ส่วนพี่แอนเข้าไปอาบน้ำ เมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นนัทกำลังนอนอยู่จึงเรียก “นัท นัท นัท นัทโอเคนะ” แต่ก็เงียบไม่มีเสียงตอบกลับ พี่แอนคิดในใจว่าสงสัยนัทจะหลับไปแล้ว พี่แอนจึงล้มตัวนอนลงข้าง ๆ โดยเว้นระยะไว้ให้ห่างจากนัท เพราะกลัวนัทตื่นมาจะตกใจ สถานการณ์ในตอนนั้นก็ต่างคนต่างนอน แต่แล้วจู่ ๆ พี่แอนก็ลืมตาขึ้นมา หันไปเห็นประตูฝั่งระเบียงเปิดอยู่ และเห็นเป็นคนกำลังยืนที่ระเบียง พอสายตาเริ่มปรับโฟกัสได้ก็พยายามมองว่าคนนั้นเป็นใคร แล้วตัดสินใจหันไปมองข้าง ๆ ที่นัทกำลังนอนอยู่ แต่สิ่งที่เห็นคือ นัทหายไป! พี่แอนเบนสายตากลับไปมองที่ระเบียงอีกครั้ง แต่คนที่ยืนอยู่คือนัท! พี่แอนรีบลุกขึ้นไปที่ระเบียงพร้อมกับส่งเสียง “นัท ไปทำอะไรตรงนั้นลูก” นัทก็หันหน้ามาตอบว่า “พี่แอนผมไม่ไหวแล้ว ผมปวดหัว” จากนั้นค่อย ๆ ปีนระเบียง และนั่งลงที่ขอบปูนเพื่อให้ขาห้อยไปด้านล่าง ด้วยความตกใจพี่แอนก็พูดขึ้นว่า “อย่า อย่า อย่า ลงมาเดี๋ยวตก!” นัทหันมาพูดซ้ำอีกว่า “พี่แอน ผมปวดหัว” จังหวะที่พี่แอนกำลังจะเอื้อมมือจับไหล่ สิ่งที่เห็นคือหน้าอีกข้างของนัทเลือดไหลออกมาเต็มไปหมด แล้วนัทก็พูดขึ้นอีกว่า “พี่แอน ผมปวดหัว” จากนั้นก็ทิ้งตัวลงไปด้านล่างทันที! ด้วยความตกใจ พี่แอนก็ส่งเสียงกรี๊ดดังลั่น “นัท!!!” และสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมา เห็นว่าตัวเองนอนอยู่กับที่ แล้วหันไปมองที่นัทอีกครั้งก็ตกใจขึ้นอีก เพราะนัทนอนตะแคงจ้องตาโตมาที่พี่แอน แล้วพูดขึ้นว่า “พี่แอน ผมรักพี่นะ” พี่แอนตกใจส่งเสียงออกมา “เห้ยย!!” แล้วสะดุ้งตื่นอีกครั้ง กลายเป็นความฝันซ้ำสองรอบ! ลืมตามาอีกทีหันไปมองที่นัท ยังคงนอนนิ่ง ตะแคงไปทางกำแพงท่าเดิม แต่ตัวนัทเต็มไปด้วยเหงื่อ หัวเปียกเต็มไปหมด พี่แอนเองไม่กล้าจับนัท กลัวจะทำให้นัทตกใจตื่น จึงต่างคนต่างนอนไปแบบเดิม รุ่งเช้าพี่แอนลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเตรียมลงไปเปิดร้าน สายตาก็หันไปมองที่นัทอีกครั้ง นัทก็ยังคงนอนอยู่ท่าเดิม พี่แอนคิดว่าจะลงไปใส่บาตรพระ แล้วเปิดร้านตามปกติ และปล่อยให้นัทได้นอนพักไปก่อน ขณะที่กำลังใส่บาตรหน้าร้านตัวเอง หลวงพ่อกำลังจะเดินบิณฑบาตต่อ แต่ก็หยุดชะงักแล้วมองขึ้นไปด้านบนชั้นสอง พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “โยม ยังไงก็อย่าลืมหมั่นทำบุญให้เค้าบ่อย ๆนะ” พี่แอนก็สงสัยแต่ไม่ได้ถามอะไรต่อ จากนั้นก็เปิดร้านทำความสะอาดกับน้องพนักงานที่ช่วยกันตามปกติ และเปิดทีวีขึ้น จังหวะนั้นก็มีเสียงอ่านข่าวดังขึ้น “ย่านรังสิต เกิดเหตุนักศึกษายิงกันเสียชีวิต จับคนร้ายได้แล้วแต่ดันยิงผิดคน” น้องพนักงานก็บ่นขึ้นว่า “ดูในข่าวดิพี่แอน ทำไมเดี๋ยวนี้คนมันใจร้ายเนอะ ฆ่ากันตายง่ายจังเลย เห้ย! พี่แอน ทำไมรถในข่าวมันเหมือนรถพี่นัทจัง” พี่แอนตอบกลับด้วยความไม่สนใจ “จะบ้าหรอไม่ใช่หรอก” จากนั้นก็ทำความสะอาดร้านต่อ จนกระทั่งมีโทรศัพท์โทรเข้ามาเป็นสายของลูกค้าโทรเข้ามาเพื่อที่จะจองคิวทำผม ไม่นานลูกค้าคนนั้นก็เข้ามาที่ร้าน และบังเอิญว่าเขาเป็นเพื่อนของนัท แล้วก็พูดขึ้นมาว่า “พี่แอนรู้ข่าวยัง นัทถูกยิงตาย” พี่แอนตกใจแต่ก็ไม่เชื่อแล้วพูดว่า “ถูกยิงยังไง จะบ้าหรอ ไม่จริงไม่เชื่อหรอก อย่ามาเล่น ไม่เอา!” เพื่อนของนัทยังคงยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง จนพี่แอนเกิดความโมโห เพราะรู้ว่านัทนอนอยู่ด้านบน พี่แอนพูดขึ้นมาอีกว่า “คือแบบนี้ ที่ไม่เชื่อเพราะนัทมันนอนอยู่ข้างบน ไม่กล้าตั้งแต่แรก บอกเพราะกลัวจะหาว่าอย่างนู้นอย่างนี้กัน เมื่อคืนมันไม่สบาย ก็เลยมาหา” เพื่อนก็ยังยืนยันอีกว่า “พี่แอน ไม่จริงหรอกนัทมันตายแล้วพี่” พี่แอนทนไม่ไหวจึงตัดสินใจพาทุกคนไปพิสูจน์ความจริง “ถ้านัทไม่อยู่เดี๋ยวให้คนละ 500 เลย แต่ถ้ามันนอนอยู่จ่ายมาด้วยคนละ 500 ด้วย” ทั้งสามคนพากันขึ้นไปดูที่ชั้นสอง แง้มประตูให้เปิดออกช้า ๆ ด้วยความมืดพี่แอนก็มองเห็นว่านัทลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง “นั่นไง เห็นไหมมันนั่งอยู่ในห้อง” พอเปิดประตูจนสุดปรากฏว่า ไม่มีใครอยู่ในห้องเลย มีเพียงความเงียบเท่านั้น พี่แอนเริ่มรู้สึกแปลก ๆ แต่ก็ยังไม่เชื่อ “ต้องมีดิ เมื่อกี้ยังเห็นนัทมันนั่งอยู่เลย เมื่อคืนก็อยู่ด้วยกัน” ด้วยความที่ใจไม่ดีแล้ว ลูกค้าหลายคนก็พูดถึงเรื่องนัทกันอย่างต่อเนื่อง พี่แอนจึงรีบปิดร้าน เพื่อจะเดินทางไปดูศพที่ถูกยิง แล้วสุดท้ายภาพที่เห็นก็คือศพนัทจริง ๆ เมื่อรู้ความจริงทำให้พี่แอนหดหู่ใจคอไม่ดี จึงตัดสินใจปิดร้าน 3 วัน เพื่อกลับต่างจังหวัด จากนั้นก็กลับมาเปิดร้านอีกครั้ง เมื่อกลับมาถึงร้านลูกน้องก็รีบเดินเข้ามาบอกกับพี่แอนว่า “พี่แอน มีคนเขาพูดกันว่า เห็นนัทมาที่หน้าร้านพี่แอนทุกคืนเลย” แต่พี่แอนเองก็ไม่เชื่อ จนอยู่มาวันหนึ่ง พี่แอนกำลังกำลังดึงบานประตูเหล็กลงมาล็อคเพื่อปิดร้านตามปกติ แต่จังหวะที่กำลังจะหันหลังกลับ ก็มีเสียงเคาะประตูเหล็กดังขึ้น ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง! “พี่แอน พี่แอน นัทเอง!” ตัวพี่แอนก็ลืมว่านัทตายแล้ว จึงตอบกลับแบบไม่ทันคิด “อ้าว! นัทเข้ามาก่อน เดี๋ยวพี่เปิดประตูให้” เมื่อกำลังเอื้อมมือไปเปิดกุญแจ ก็นึกขึ้นได้ว่านัทตายแล้ว ด้วยความสงสัยก็ส่งเสียงออกไปอีกครั้งว่า “นัทแน่นะ” แม้ในใจยังคิดสับสนกับตัวเองว่าใครมาแกล้ง หรือว่าเป็นนัทจริง ๆ คิดในใจวนไปวนมา จนมีเสียงดังขึ้น “ไม่มีใครแกล้งหรอก ผมมาลาพี่นะ” ด้วยความสงสารนัท พี่แอนรวบรวมความกล้าตัดสินใจ ไขกุญแจแล้วเปิดประตูบานเหล็กขึ้น สิ่งที่เห็นคือ ความว่างเปล่า มีแต่เสียงหมาหอนค่อย ๆ ดังขึ้นเท่านั้น หลังจากเหตุการณ์คืนนั้นพี่แอนก้ไม่เคยเห็นหรือได้ยินเสียงนัทอีกเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

อยู่ในช่วงดวงตก ปัญหาหลายอย่างรุมเร้า จับพลัดจับพลูได้มาอยู่อะพาร์ตเมนต์ กะจะหนีร้อนมาพึ่งเย็น แต่ดันทำให้สัมผัสที่ 6 เปิดขึ้นแบบเต็มคาราเบล เพราะห้องที่อยู่นั้นเต็มไปด้วยผีมาตามก่อกวน!

19 พ.ค. 2023

อยู่ในช่วงดวงตก ปัญหาหลายอย่างรุมเร้า จับพลัดจับพลูได้มาอยู่อะพาร์ตเมนต์ กะจะหนีร้อนมาพึ่งเย็น แต่ดันทำให้สัมผัสที่ 6 เปิดขึ้นแบบเต็มคาราเบล เพราะห้องที่อยู่นั้นเต็มไปด้วยผีมาตามก่อกวน!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (9 พฤษภาคม 2566) ได้มีสายจาก ‘คุณอ้อ’ โทรมาเล่าเรื่องของตัวเองที่ดวงตกจนเจอดี ให้กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ ฟัง เรื่องราวจะหลอนสักแค่ไหน ไปติดตามกันได้เลย! คุณอ้อเล่าว่า เรื่องในครั้งนี้เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ตอนนั้นอายุประมาณ 37 ปี และมีแพลนจะแต่งงาน แต่คงเป็นช่วงที่ดวงตัวเองตก เพราะมีเหตุการณ์แย่ ๆ เกิดขึ้นหลายอย่าง ทั้งเลิกกับแฟน สูญเสียบ้านและรถ ไปพร้อมกัน เหลือก็แต่ชีวิตของตัวคุณอ้อเอง และการดวงตกในครั้งนี้ ทำให้เกิดผลกระทบกับตัวคุณอ้ออีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือคุณอ้อมีสัมผัสที่ 6 ทำให้เห็นผีได้ เมื่อออกมาจากบ้านแฟน ก็มาอยู่อะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ สิ่งที่เจอในสัปดาห์แรกคือผีผู้หญิงวัยกลางคนมาหลอกด้วยสภาพหน้าเละครึ่งร่าง ทำให้คุณอ้อนอนไม่ได้ ต้องเปิดไฟและทีวีทิ้งไว้ทั้งคืน คุณอ้อทนไม่ไหวจึงบอกกับผีตนนั้นไปว่า “คุณคะ หนูหนีร้อนมาพึ่งเย็นนะ หนูขอมาอยู่ร่วมกับคุณนะคะ แล้วพรุ่งนี้หนูไปทำบุญให้” พอตื่นเช้ามาสิ่งที่เกิดขึ้นคืออาการปวดไหล่ที่ทรมานมาก ๆ คุณอ้อจึงคิดว่าเดี๋ยวพอทำบุญเสร็จจะไปนอนนวดตัว และเมื่อถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลเรียบร้อย ปรากฏว่าอาการปวดเมื่อยไหล่ก็หายเป็นปลิดทิ้ง คุณอ้อถึงกับตะลึงในใจอยู่สักพักเพราะเคยเห็นแต่ในทีวีหรือฟังเรื่องเล่าจากคนอื่นไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเองแบบนี้ หลังจากเจอเคสแรกแบบสยองขวัญไป คุณอ้อก็บอกกับผีในห้องนั้นว่า “ฉันขอไม่เห็นนะ เพราะฉันไม่ไหวจริง ๆ ถ้าคุณมาเละ มาแบบน่ากลัว ฉันจะแช่งให้คุณถึงที่สุดเอาให้ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด” จนกระทั่งผ่านไป 3 – 4 วัน คุณอ้อก็เจอผีอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นผีผู้หญิงวัยกลางคนที่มาในสภาพสวยดูดี ใส่เสื้อคอบัวสีชมพู ตามที่คุณอ้อได้บอกไว้ว่าขอเจอในสภาพดี แต่คุณอ้อก็คิดในใจว่าเขาจะเอาอะไรอีกนะ เพราะทำบุญให้ไปแล้ว หลังจากนั้นก็ตัดสินใจไปทำบุญให้อีกครั้ง ต่อมาก็ได้เจอผีอีกตนหนึ่ง แถมมาแบบพีคและหลอนที่สุดอีกด้วย! เพราะทุกครั้งที่นอนหงาย คุณอ้อมักจะโดนผีตนนี้อำทำให้หายใจไม่ออก คุณอ้อจึงกลัวการนอนหงายมาก และเปลี่ยนมานอนตะแคงแทน ในครั้งนี้คุณอ้อก็ยังคงเจอเช่นเคยแถมยังเป็นคืนวันโกน ทำให้เห็นชัดเลยทั้งร่าง! ผีตนนั้นเดินมาที่ปลายเตียงก่อนจะเดินเข้ามาข้าง ๆ และจับไหล่ จับคอคุณอ้อแล้วบอกว่า “นอนหงายสิ นอนหงายสิ!” ตอนนั้นคุณอ้ออยากย้ายออกจากอะพาร์ตเมนต์นี้มาก แต่ได้ซื้อบ้านไว้แล้ว และต้องรอให้ครบเก้าเดือนก่อนถึงจะย้ายเข้าไปอยู่ได้ ทำให้ตอนนั้นที่พึ่งเดียวที่มีคือหมอดู และหมอดูก็ทักมาขึ้นมาว่า “ห้องอื่นมีเยอะแยะไม่อยู่เนาะ มาอยู่ชั้นห้า เปิดลิฟต์ออกมาเลี้ยวซ้ายมืดทั้งชั้น แถมเข้าห้องไปมีแต่ผีเต็มไปหมด” คุณอ้อคิดในใจ “แม่นมาก รู้ได้ยังไง” และหมอดูก็แนะนำวิธีแก้ปัญหาโดยให้จุดธูปบอกเขา ว่าเราหนีร้อนมาเพิ่งเย็นขออยู่แบบประนีประนอม ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันนะ และต้องใส่ประคำของพระอาจารย์นอนตลอดด้วย ไม่งั้นมันนอนไม่ได้ ต่อมาคนที่ทำให้คุณอ้อมั่นใจมาก ว่าสิ่งที่เจอมันมีจริง ก็คือเพื่อนของคุณอ้อที่มาเที่ยวห้อง คุณอ้อบอกว่า “ห้องเรามีแบบนี้นะ ถ้าเธอจะนอนให้ใส่ประคำนอน” แต่ตอนนั้นเพื่อนของคุณอ้อพาแฟนมานอนด้วยในตอนที่คุณอ้อไม่อยู่ห้อง ด้วยความที่เพื่อนคนนั้นเป็นคนดวงแข็งจึงไม่เจออะไร แต่แฟนของเพื่อนฝันว่ามีคนมาเคาะห้องเสียงดัง ปังปังปัง! พอไปส่องดูที่ตาแมว ก็เห็นว่าเป็นผู้ชายผมประบ่า เปลือยท่อนบน ใส่กางเกงขาก๊วย ซึ่งเป็นลักษณะแบบเดียวกันที่คุณอ้อเองก็เคยเจอ หลังจากนั้นแฟนของเพื่อนก็เจอผีตนนั้นอีก แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้มาในฝัน เขามาแบบเสียงไล่ดังอยู่ข้างหูว่า “ชิ่ว ออกไป ออกไป!!“ สุดท้ายก็อยู่ไม่ได้จึงพากันกลับ เมื่อผ่านไปจนครบเก้าเดือน ก็ถึงเวลาที่คุณอ้อต้องย้ายออกจากที่แห่งนี้ แต่ก่อนจะย้ายก็เกิดความสงสัยว่า ในห้องนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงมีผีเยอะขนาดนี้ จึงไปถามคุณป้าที่อยู่ร้านขายของข้างล่างตึกว่า “คุณป้าหนูถามหน่อย ที่นี่มันมีอะไรแปลก ๆ มั้ย” ป้าก็ตอบมาว่า “อ้อมี บางวันนะ เห็นคนเดินเข้ามาเป็นผู้หญิงวัยกลางคน บางวันก็เป็นผู้หญิงแบบสาวสวยหน่อยใส่เสื้อชมพูคอบัว บางวันก็เป็นผู้ชายผมประบ่าใส่กางเกงขาก๊วย ซึ่งป้าก็ยืนยันว่าไม่ใช่คนที่พักอะพาร์ตเมนต์ นี้แน่นอน ซึ่งเดิมทีอะพาร์ตเมนต์นี้เคยมีต้นโพธิ์ต้นใหญ่ที่คนมักจะเอาศาลเก่ามาทิ้ง แล้วเอาผ้าหลากสีมาผูกไว้ แต่เจ้าของที่ตรงนี้เป็นคนนับถือศาสนาคริสต์ ทำให้ตอนสร้างอะพาร์ตเมนต์ต้องตัดต้นโพธิ์ออก และไม่ได้ตั้งศาลพระภูมิใหม่ไว้ เหมือนกับว่าไปรื้อบ้านเขาออก แล้วเขาไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนเลยพากันไปอยู่ในห้องของอะพาร์ตเมนต์นี้แทน” หลังเล่าจบก็เลยย้อนถามคุณอ้อก็มาว่า “ทำไมหรอหนู หนูเจอหรอ” คุณอ้อพยักหน้าบอกว่า “ใช่ เจอครบตามที่ป้าบอกเลย” นอกจากนี้ คุณอ้อเคยมีเคสที่หนักกว่าตอนที่อยู่ในอะพาร์ตเมนต์นี้ คือการโดนผีเข้า ด้วยความที่คุณอ้อได้ไปเจอคนนู้นคนนี้มา และในบ้านของคนนั้นมีคนตายไป แต่วิญญาณสื่อสารกับใครไม่ได้ พอได้มาเจอคุณอ้อที่อยู่ในช่วงดวงตก จึงเข้าสิงร่างแทน ซึ่งคุณอ้อเล่าว่ารู้สึกตัวว่ามีคนมาอยู่ด้วยกัน แต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ภาพที่คนอื่นเห็นตอนนั้นคือ คุณอ้อร้องไห้พลั่งพรูเล่าหลายสิ่งหลายอย่างที่วิญญาณตนนั้นต้องการออกมา และเมื่อจบเหตุการณ์นั้น ทำให้คุณอ้อรู้สึกไม่ดี และเราคิดว่ามันไม่ควรจะมาเกาะติดกับตัวขนาดนี้ ที่สำคัญเลยคือทำให้สุขภาพคุณอ้อแย่ลงไปด้วย ป่วยง่ายขึ้น หรือแม้แต่ป่วยไม่รู้สาเหตุ และหลังจากเหตุการณ์เหล่านั้น คุณอ้อก็กลายเป็นคนที่มีสัมผัสที่ 6 แรงขึ้น ต้องปรับตัวให้อยู่กับสิ่งเหล่านั้นให้ได้ พร้อมกับหันมาพึ่งในเรื่องของการสวดมนต์นั่งสมาธิ เพราะไม่อยากเจอเหมือนเคสที่ผ่าน ๆ มา พร้อมกับบอกข้อคิดแก่คนที่ได้ฟังเรื่องราวของตนว่า “สัมผัสที่ 6 นี้เราไม่สามารถปฏิเสธมันได้ แต่เราเลือกที่จะอยู่ร่วมกับมันได้ และสามารถเป็นประโยชน์ให้กับคนอื่นได้ โดยที่ต้องไม่กระทบเรา” (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจาก ‘เป้ MVL’ วนกลับมาที่เดิม I อังคารคลุมโปง X เป้ MVL [ 16 ก.ค. 2567]

21 ก.ค. 2024

เรื่องเล่าจาก ‘เป้ MVL’ วนกลับมาที่เดิม I อังคารคลุมโปง X เป้ MVL [ 16 ก.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ‘คุณเป้ MVL‘ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (16 กรกฎาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ‘ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ’วนกลับมาที่เดิม‘ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! คุณเป้เล่าว่า สมัยก่อนทัวร์คอนเสิร์ตเยอะมาก ต้องไปแสดงที่ต่างจังหวัด ก่อนหน้านั้นเรื่องการเดินทาง การแสดง และการเข้าพักที่โรงเเรมก็ปกติทุกอย่าง จนมาถึงจังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน เมื่อมาถึงสถานที่ที่จัดคอนเสิร์ตก็มีแฟนคลับมาต้อนรับ เเล้วแฟนคลับคนหนี่งก็ถามกับคุณเป้ว่า “พี่พักโรงเเรมไหน” เพื่อนในวงคุณเป้จึงบอกชื่อโรงเเรมไป แต่เมื่อแฟนคลับทุกคนรู้ชื่อโรงเเรมก็ถึงกับนิ่ง ทำตัวมีพิรุธ เเล้วถามคุณเป้อีกครั้งว่าโรงเเรมชื่ออะไร คุณเป้จึงตอบชื่อโรงเเรมไป แฟนคลับได้เเต่ตอบคำว่า “ค่ะ” คุณเป้จึงสงสัยว่าโรงเเรมมันมีอะไร เมื่อคุยกับเเฟนคลับเสร็จก็ไป Soundcheck ระหว่างนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อเสร็จจาก Soundcheck ก็มีรุ่นน้องเข้ามาถามคุณเป้ว่า “พักที่ไหนหรอ เดี๋ยวผมไปส่ง” คุณเป้จึงตอบชื่อโรงเเรมไป รุ่นน้องได้ตอบกลับทันทีว่า ”เขายังเปิดอยู่หรอพี่ ยังมีคนไปพักอยู่หรอพี่?” คุณเป้จึงสงสัยอีกครั้งว่าโรงเเรมมันมีอะไร แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจากใคร เมื่อมาถึงโรงเเรม ก่อนตนจะลงจากรถ รุ่นน้องคนนั้นก็ได้ตบไหล่คุณเป้พร้อมกับพูดว่า “สู้ ๆ นะพี่ เป็นไปได้ กินดื่มถึงเช้า เก็บของ เเล้วค่อยออกนะ” ในคืนนั้นก็มีน้องหลายวงในค่ายที่พักอยู่ด้วย ทุกคนก็ไปทำธุระส่วนตัวเเล้วไปแสดงคอนเสิร์ตกัน เมื่อแสดงเสร็จก็กลับมาที่โรงเเรมในช่วงเวลาเที่ยงคืน ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อน ผ่านไปไม่นานในช่วงเวลาไม่ถึงตี 2 ทุกคนก็ลงมารวมตัวกันข้างล่างโดยมิได้นัดหมายพร้อมกับเรื่องเล่าของเเต่ละคนรวมถึงตัวคุณเป้เองด้วย คุณเป้รู้สึกว่าทุกคนต้องโดนอะไรในห้อง จึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?” เพื่อนตอบกลับว่า “พี่เจออะไร?” คุณเป้จึงเล่าว่า ตนรู้สึกเหนื่อยจากการแสดงคอนเสิร์ต เมื่อเอนตัวลงไปนอน ตนรู้สึกเหมือนมีมดกัดหรือมีเสี้ยนตำหลัง เวลาที่พลิกตัวก็เหมือนมีอะไรมาขูดอยู่ตลอดเวลา จนตนเผลอหลับไป เเล้วก็ฝันว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาในห้อง มุดเข้ามาในผ้าห่มจากปลายเตียง เเล้วเอามือข่วนหลัง ในฝันมันเจ็บจนตนสะดุ้งตื่น คุณเป้รู้สึกแปลกเพราะตนเจ็บหลังจริง ๆ จึงไปส่องกระจกเเล้วก็เห็นว่ามีรอยข่วนอยู่เต็มหลังของตน! คุณเป้คิดว่าสถานการณ์ไม่ดีจึงรีบใส่เสื้อผ้าเเล้วลงไปข้างล่าง เพื่อนคนหนึ่งของคุณเป้เล่าว่า “กำลังจะนอนก็ปิดผ้าม่าน ผ้าม่านเป็นม่านที่ต้องใช้ไม้ก้านลากเพราะมีฐานเป็นโซ่ถ่วง เมื่อปิดเสร็จก็เข้านอน สักพักผ้าม่านนั้นค่อย ๆ เลื่อนเปิดเองต่อหน้าต่อตา! แต่ก็ใจดีสู้เสือคิดว่าลูกปืนลื่นไหลไปเอง จึงได้ปิดม่านอีกครั้งเเล้วกลับมาเข้านอน สักพักก็มีเสียงดัง ครี๊ดดดดดด! มันคือเสียงผ้าม่านที่เปิดเองจนสุดมุม!” ส่วนเพื่อนอีกคนหนึ่งก็เล่าว่า “เจอฝักบัวเปิดเองในขณะที่กำลังเช็ดผมอยู่ต่อหน้า พอหันไปฝักบัวก็ปิดทันที เมื่อกลับมาเข้านอนก็ได้ยินเสียงฝักบัวเปิดอีกครั้ง พอเดินไปห้องน้ำเห็นน้ำไหลอยู่ พอมองฝักบัวก็ค่อย ๆ ปิดเอง!” ในตอนเช้าคุณเป้จึงไปถามกับลุงยามจึงได้คำตอบว่า “มันไม่ใช่โรงเเรมใหม่ มันรีโนเวท เมื่อก่อนเป็นโรงพยาบาลเก่า” และเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา คุณเป้ได้วนกลับมานอนที่โรงเเรมเเห่งนี้อีกครั้ง..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1