โดนหมอดูทักว่ามีคนตามแต่ไม่เชื่อ ระหว่างที่อาบน้ำก็ได้ยินเสียงคนบอกให้ช่วย ตอนเล่นเกม เพื่อนก็ได้ยินอีก! ทำใจกล้าเปิดประตูเข้าไปดูก็เจอผู้หญิงหน้าไหม้ ยืนหลังโค้งติดเพดานเป็นรูปตัวแอลในห้องนอนตัวเอง!

อังคารคลุมโปง RECAP

โดนหมอดูทักว่ามีคนตามแต่ไม่เชื่อ ระหว่างที่อาบน้ำก็ได้ยินเสียงคนบอกให้ช่วย ตอนเล่นเกม เพื่อนก็ได้ยินอีก! ทำใจกล้าเปิดประตูเข้าไปดูก็เจอผู้หญิงหน้าไหม้ ยืนหลังโค้งติดเพดานเป็นรูปตัวแอลในห้องนอนตัวเอง!

17 พ.ย. 2023

          โดนหมอดูทักว่ามีผู้หญิงและเด็กตามอยู่แต่ไม่เชื่อ จนไปพบเจอกับตัวเอง เริ่มด้วยการได้ยินเสียงแปลก ๆ ขอให้ช่วย ต่อมาแอพลิเคชันจับสัญญาณเสียงได้ สุดท้ายเจอเองกับตาด้วยภาพสุดหลอนที่ไม่อาจลืม ‘พี่แจ็ค The Ghost Radio’ ได้นำมาเล่าให้ ‘อังคารคลุมโปง X’ (14 พฤษจิกายน 2566) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ช่วย’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันได้เลย!

          พี่แจ็ค The Ghost Radio บอกว่า ‘คุณแน๊ป’ นำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเขาและบ้านของเขาเอง ซึ่งในปัจจุบันเขาก็ได้ขายบ้านหลังนี้ไปแล้ว ต้องเกริ่นก่อนว่าโครงสร้างของบ้านจะมี 2 ชั้น ซึ่งชั้นล่างเป็นร้านขายของ มีคุณพ่อคุณแม่อาศัยในชั้นนั้น ส่วนชั้นที่ 2 ก็จะเป็นชั้นของคุณแน๊ปทั้งชั้น คุณพ่อคุณแม่จึงมักจะไม่ขึ้นมายุ่งที่ชั้นสอง แต่โดยปกติแล้วคุณแน๊ปไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้ เพราะว่าทำงานต่างจังหวัด นาน ๆ ทีจะได้กลับบ้าน ซึ่งช่วงที่เกิดเรื่องเป็นช่วงวันแม่พอดี เมื่อกลับบ้านมา คุณแม่ก็พาไปทำบุญที่วัดและก็ได้ดูดวงกับหมอดูตามปกติ แต่คุณแน๊ปสังเกตเห็นว่าหมอที่ดูดวงให้คุณแม่เขาชอบหันมามองหน้าคุณแน็ปบ่อย ๆ หลังจากที่คุณแม่ดูดวงเสร็จ หมอดูก็เดินมาหาคุณแน๊ปแล้วบอกว่า “ช่วงนี้ไปทำอะไรมาหรือเปล่าเห็นเหมือนมีคนตามเป็นผู้หญิงกับเด็ก” ด้วยความที่คุณแน๊ปเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องหมอดูและไม่เชื่อเรื่องผี จึงคิดว่าถ้ามีคนมาทักว่ามีผีผู้หญิงหรือว่ามีคนตามยังพอเข้าใจได้ แต่พอบอกว่ามีเด็กตามก็แสดงว่าต้องทำแท้งหนิ ซึ่งคุณแน๊ปไม่เคยทำ ไม่เคยไปเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ จึงคิดว่าหมอดูมั่ว

          หลังจากทำบุญกลับมา คุณแน๊ปก็ขึ้นไปชั้น 2 ตามปกติ ในระหว่างที่กำลังอาบน้ำ คุณแน๊ปก็ได้ยินเสียงแทรกเข้ามาว่า “ช่วย” พร้อมกับเสียงน้ำที่ออกมาจากฝักบัว แต่คุณแน๊ปก็คิดว่าตัวเองหูแว่วไปเอง คืนนั้นจึงนอนตามปกติ แต่ก็ฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งมีสภาพแปลก ๆ มายืนเกาะหน้าต่าง พร้อมเด็กยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วก็กวักมือพูดว่า “ช่วย ช่วย ช่วย” อยู่ซ้ำ ๆ คุณแน๊ปตกใจสะดุ้งตื่น และเริ่มเอะใจ เพราะทั้งหมอดูทัก ทั้งได้ยินเสียงตอนอาบน้ำ และความฝันชวนขนหัวลุกนี้

          วันต่อมา คุณแน๊ปนั่งเล่นเกมอยู่กับเพื่อน โดยใช้โปรแกรมที่ชื่อว่า Discord เอาไว้คุยกันระหว่างเล่นเกม ซึ่งลักษณะพิเศษของโปรแกรมคือ เมื่อพูดตรงไมค์จะมีไฟสีเขียวขึ้น ระหว่างที่กำลังจะเริ่มเกมคุณแน๊ปยังไม่ทันได้พูดอะไร เพื่อนของคุณแน๊ปก็ตอบกลับมาว่า “ช่วยไรวะ” และพอคุณแน๊ปสังเกตตรงไมค์ก็ไม่มีไฟอะไรขึ้น จากนั้นก็เล่นเกมกันต่อไม่ได้คิดอะไร แต่ในระหว่างเล่น เพื่อนคุณแน๊ปก็พูดขึ้นมาว่าอีกว่า “เสียงอะไรวะ ที่บ้านมึงเสียงโครมครามเหมือนมีคนเคาะอะไร” คุณแน๊ปจึงลองถอดหูฟังออก ปรากฏว่าก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร พอเล่นเกมเสร็จ เพื่อนก็ทักขึ้นมาอีกว่า “ได้ยินเสียงจริง ๆ นะ ตอนนี้ก็ได้ยินอยู่” คุณแน๊ปจึงลองมองไปที่รูปไมค์ แต่พอครั้งนี้มีไฟเขียวขึ้นเหมือนได้รับสัญญาณเสียง! คุณแน๊ปจึงถอดหูฟังออก ปรากฏว่าได้ยินเสียงคนเคาะประตู “ก๊อก ๆ” เขาจึงถามกลับไปว่า “แม่หรอ” แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ คุณแน๊ปลุกเอาหูไปแนบประตูปรากฏว่าได้ยินเสียงเป็นเสียงเด็กร้อง เสียงของตก และเสียงผู้หญิงร้องว่า “ช่วย ช่วย ช่วย….”

          คุณแน๊ปตัดสินใจเปิดประตู พอเปิดออกไปก็เจอแต่ความว่างเปล่า!  จากนั้นจึงเดินออกมาสำรวจ พอมองไปห้องพระก็ไม่เจออะไร แต่พอเปิดประตูห้องนอนตัวเองเท่านั้นแหละ! ปรากฏว่าสิ่งที่เขาเห็นคือ ผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่บนเตียง แต่หลังของผู้หญิงคนนั้นโค้งไปตามเพดานที่อยู่ข้างบน เหมือนรูปตัวแอล ซึ่งผู้หญิงคนนั้นสูงมาก หันมามองหน้าคุณแน๊ปแล้วอ้าปาก ใบหน้าส่วนหนึ่งมีผมปิดไว้ ส่วนที่มองเห็นเต็มไปด้วยรอยไฟไหม้

          คุณแน๊ปตกใจทำอะไรไม่ถูกจึงค่อย ๆ เดินถอยหลังลงบันได ทำให้คุณแน๊ปค่อย ๆ เห็นภาพทั้งห้องกว้างขึ้น ซึ่งนอกจากมีผู้หญิงแล้ว ยังเห็นเป็นเด็กอีก 3 คน นอนดิ้นทับกันอยู่ใต้เตียง ในขณะที่ผู้หญิงบนเตียงก็มองเขาอยู่ คุณแน๊ปจึงวิ่งเสียงดังลงมาข้างล่างจนพ่อกับแม่ตื่น!  คุณแน๊ปรีบบอกว่าข้างบนมีผีและขอไปอยู่บ้านเพื่อน ซึ่งเพื่อนคนนี้คือคนที่เล่นเกมด้วยกันนั่นเอง

          เมื่อมาถึงบ้านเพื่อน เพื่อนก็ตกใจและงงเพราะว่ายังได้ยินเสียงคุณแน๊ปคุยกับใครไม่รู้ใน Discord ที่บ้าน คุณแน๊ปลองเอาหูฟังมาใส่แต่ว่าก็ไม่ได้ยิน พอตอนเช้ามาก็เล่าเรื่องนี้ให้คุณพ่อคุณแม่ฟังว่าสิ่งที่เห็นมีลักษณะอย่างไร พ่อกับแม่จึงบอกกับคุณแน๊ปว่า ย้อนกลับไปเมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมก่อนที่คุณแน๊ปจะมา ซอยฝั่งตรงข้ามเกิดเหตุไฟไหม้บ้าน ซึ่งบ้านหลังนี้เป็นลูกค้าของบ้านคุณแน๊ปที่คุณแน๊ปรู้จักเป็นอย่างดี คนที่เสียชีวิตโดนไฟคลอก คือ คุณแม่และลูก 3 คน ซึ่งคุณแน๊ปก็สนิท ก่อนหน้านั้นไม่กี่เดือนก็ไปบ้านเขา และยังคุยกันอยู่เลยว่าจะซื้อของมาฝากลูกเขา แต่เรื่องหลอนที่คุณแน๊ปเจอนั้น ชาวบ้านแถวนั้นก็ไม่ได้เจออะไร หรืออาจเพราะเคยเกริ่นว่าจะซื้อของมาฝากทำให้มีจิตสื่อกันบางอย่างก็เป็นได้

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เสียงปริศนาหลังกระต๊อบทำเสียวสันหลัง! พอมองลอดผ่านช่อง ก็เห็น...ระยะประชิดจนภาพติดตา!

10 มี.ค. 2023

เสียงปริศนาหลังกระต๊อบทำเสียวสันหลัง! พอมองลอดผ่านช่อง ก็เห็น...ระยะประชิดจนภาพติดตา!

ความเชื่อเรื่อง "ผีกระสือ" ที่มักจะเรืองแสงออกหากินของสดคาวและเน่าเหม็นในยามวิกาลมีมาอย่างยาวนานในบ้านเรา “พี่วิทย์ พชรพล” และครอบครัวก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เชื่อว่ากระสือมีจริง โดยอิงจากประสบการณ์ขนหัวลุก ที่พี่สาวแท้ ๆ ของพี่วิทย์เห็นมากับตา! โดยเรื่องนี้พี่วิทย์ได้นำมาเล่าให้ชาว “อังคารคลุมโปง X” (7 มีนาคม 2566) ได้เสียวสันหลังไปพร้อม กัน เรื่องจะเป็นยังไงนั้น ติดตามอ่านกันได้เลย! พี่วิทย์เล่าว่าต้องย้อนกลับไปเมื่อประมาณพี่วิทย์อายุแค่ 3 ขวบ ขณะที่ยังอาศัยอยู่ในย่านปากเกร็ด จ.นนทบุรี ครอบครัวที่เริ่มมีฐานะดีขึ้น จึงมีแพลนว่าจะสร้างบ้านที่สวนฝรั่ง ระหว่างที่กำลังสร้างบ้าน ก็พักอาศัยอยู่ในกระต๊อบหลังเล็กชั่วคราวไปก่อน พี่วิทย์และพี่ ๆ ในครอบครัวก็ชอบไปตกปลาหลังกระต๊อบ เพราะมีน้ำท่วมบ่อย และมีปลิงตัวเล็ก ๆ ทำให้พ่อมักจะห้ามไม่ให้เด็ก ๆ ในครอบครัวมาเล่นบริเวณนี้ นอกจากนั้น หลังกระต๊อบก็มีไส้ไก่ หรือพวกของเน่าเสียถูกนำมาทิ้งไว้ พี่วิทย์อธิบายกระต๊อบหลังนั้นคร่าว ๆ ว่าทำจากไม้อัดยาว ๆ เรียงต่อกันทำให้จะมีช่องเล็ก ๆ ส่วนหลังคาเป็นสังกะสี ในทุก ๆ คืน จะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างอยู่ข้างหลัง พี่สาวของพี่วิทย์ 2 คน ที่นอนอยู่ติดกับกำแพงไม้ก็นึกสงสัย และอยากรู้ให้ได้ว่ามันคือเสียงอะไร ทั้ง 2 ส่องลอดผ่านช่องแผ่นไม้กระต๊อบในระยะประชิด ก็เห็นเป็นผู้หญิงแก่ผมยาวยุ่งรุงรังกำลังกินไส้ไก่ด้วยความมูมมาม ที่สำคัญคือมีแสงไฟเล็ก ๆ ส่องสว่างขึ้นแล้วก็ดับ! พี่สาวของพี่วิทย์บอกว่า “ทุกครั้งที่พี่เล่า ภาพนั้นยังติดตาพี่อยู่เลยวิทย์” พี่วิทย์เชื่อว่าสิ่งนั้นคือ “กระสือ” ทั้งยังย้ำอย่างชัดเจนว่าไม่ได้โกหก และเล่าเสริมว่า “พี่สาวพี่ยังบอกอีกนะ ว่าตอนนั้นเขากินอย่างอร่อย เห็นหน้าไม่ชัดแต่ก็เห็นเป็นคนแก่ หลังจากเขากินเสร็จ เขาก็ลอยออกไป แต่ลอยต่ำ ๆ นะไม่ได้ลอยสูง จากนั้นก็หายไป!” และยังเล่าอีกว่าพอเช้าวันถัดมา “ลุงขาว” พี่ชายแท้ ๆ ของพ่อพี่วิทย์เดินมาบอกว่า “เนี่ย ยายคนนี้ (กระสือ) แกเอาปากไปเช็ดคราบเลือกที่ผ้าขาวม้า” พ่อพี่วิทย์ก็บอกว่า “เมื่อคืนลูกสาว 2 คนก็เห็น” แม้ตอนนั้นพี่วิทย์จะยังเด็กมาก แต่ก็จำได้ว่าหลังกระต๊อบนั้นมีน้ำท่วมขัง พี่วิทย์ชอบเอาขาไปเล่นแล้วก็ไปตกปลากับพวกพี่ ๆ แต่พ่อก็จะมาอุ้มพี่วิทย์ออกไป เพราะมีปลิงมาเกาะ แล้วยังจำได้อีกว่าหลังกระต๊อบจะมีกลิ่นเหม็นมาก เพราะทิ้งของเน่าของเสีย อย่างไส้ไก่ไว้..(เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ติดตามฟังเรื่องเต็มได้ที่

ทำพรอพถ่ายหนังไม่ทัน เลยขอยืมของจริงซะเลย! “ผมมั่นใจเลยว่าตายายเป็นสิ่งแรกที่ผมจะหยิบมาด้วย ..แต่หายังไงก็ไม่เจอ!” พอเอาของกลับไปคืน ตายายดันอยู่ที่เดิมเฉยเลย!

16 มี.ค. 2023

ทำพรอพถ่ายหนังไม่ทัน เลยขอยืมของจริงซะเลย! “ผมมั่นใจเลยว่าตายายเป็นสิ่งแรกที่ผมจะหยิบมาด้วย ..แต่หายังไงก็ไม่เจอ!” พอเอาของกลับไปคืน ตายายดันอยู่ที่เดิมเฉยเลย!

ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “หุ่นพยนต์” อย่าง “พี่ไมค์ ภณธฤต” และนักแสดงคู่ใจ “อัพ ภูมิพัฒน์” ได้นำเรื่องหลอนมาเล่าให้ชาว “อังคารคลุมโปง X” (14 มีนาคม 2566) ได้ฟัง ทำเอา “ดีเจแนน” และ “ดีเจเจ็ม” แทบจะร้องกรี๊ดลั่นสตูดิโอ! หนึ่งในเรื่องหลอนที่ต้องขนหัวลุกไปตาม ๆ กันคือเรื่องที่มีชื่อว่า “ตายายไม่ไปถ่ายหนัง” เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ติดตามอ่านกันได้เลย! พี่ไมค์เล่าว่า เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เกิดขึ้นในช่วงที่พี่ไมค์ยังทำงานเป็นฝ่ายอาร์ตให้กับกองถ่าย ซึ่งจะมีหน้าที่เตรียมอุปกรณ์ประกอบฉาก และเซ็ตแต่ละฉากให้ดูสมจริงเพื่อใช้ในการถ่ายภาพยนตร์ ในตอนนั้นพี่ไมค์ได้รับโปรเจคให้ทำภาพยนตร์เรื่อง “ศพเด็ก 2002” ซึ่งมีเค้าโครงมาจากข่าวที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศสะเทือนขวัญกับการพบศพทารกจำนวนมากถึง 2,002 ศพ สถานที่คือวัดไผ่เงินโชตนาราม เมื่อทราบว่าจะมีการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ ทีมอาร์ตของพี่ไมค์ก็จัดเตรียมอุปกรณ์เพื่อใช้ในการถ่ายทำ หนึ่งในนั้นคือโกดังวัดไผ่เงินและศาลที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ซึ่งพี่ไมค์กับทีมงานต้องสร้างขึ้นมาเอง จึงเดินทางไปสถานที่จริง เพื่อวัดสัดส่วน ความกว้าง ความสูง และรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อให้มีความสมจริงมากที่สุด จากนั้นก็วางแผนว่าจะสร้างในโรงเรียนแห่งหนึ่งย่านพระราม 9 หลังจากที่สร้างเสร็จแล้ว เป็นเวลาจวนพลบค่ำ ปรากกฎว่าพี่ไมค์ดันลืมองค์ประกอบสำคัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป เช่น พวงมาลัยแห้ง เหล่าบริวาร และของเซ่นไหว้ เพื่อความสมจริง ของเหล่านั้นจึงจำเป็นต้องดูเก่า พี่ไมค์คิดว่าถ้าจะไปหาซื้อใหม่ตอนนั้นก็คงไม่ทัน จึงต่อสายหาสัปเหร่อ (ตอนนั้นยังไม่ถูกจับไป) เพื่อขออนุญาตขอ “ของจริง” มาใช้ และจะซื้อของใหม่เข้าไปถวายแทน ทางสัปเหร่อของวัดก็ไม่ได้ว่าอะไร และบอกว่า “ถ้าจะเอาก็มาขอเขาก่อน” สิ้นสุดการสนทนา พี่ไมค์และทีมงานก็เดินทางไปที่วัดเพื่อนำบริวารของจริงทุกอย่างที่มี ไปประกอบฉากอย่างที่ตั้งใจ และนำของใหม่ที่พึ่งซื้อหน้าวัดเข้าไปสับเปลี่ยน พร้อมทั้งบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง จากนั้นของจริงก็ถูกนำมาใช้ระกอบฉาก เรียกได้ว่าออกมา “สมบูรณ์แบบ” พอเสร็จงาน พี่ไมค์ก็เดินทางกลับบ้าน ซึ่งตอนนั้นพึ่งจะเช่าบ้านใหม่และมีหลานอยู่ด้วย ตกดึกหลานก็บอกว่าได้ยินเสียง “กุกกัก กุกกัก” เป็นเหมือนเสียงคนเดินอยู่ในบ้าน พี่ไมค์บอกว่าบ้านหลังนั้นไม่มีศาลแต่มีตี่จู่เอี๊ยะ (ศาลเจ้าตามความเชื่อของคนไทยเชื้อสายจีน) จึงคิดในใจว่าหลานเราไปทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า หรือเป็นเพราะพี่ไมค์ที่ย้ายบ้านเข้ามาใหม่แต่ไม่ได้ไหว้ตี่จู่เอี๊ยะเลย พี่ไมค์เล่าว่าได้ยินเสียงคนเดินอยู่ที่บ้านแบบนั้นอยู่ 3 วัน ตามระยะเวลาที่ไปถ่ายทำภาพยนตร์ จนกระทั่งวันสุดท้าย พี่ไมค์เล่าเรื่องที่เจอให้กับพี่คนขับรถฟัง พี่คนขับรถได้แต่ยิ้มกรุ้มกริ่ม พี่ไมค์จึงปรึกษาว่า “เอายังไงดี เพราะบ้านหลังนี้ก็พึ่งเช่า ผมยังไม่พร้อมจะย้าย” พี่คนขับรถก็บอกว่า “ไมค์ น้ามีเรื่องอยากจะบอกนะ ของที่ไมค์ไปเอาเขามา ไมค์ได้ไหว้ที่โรงเรียนนั้นมั้ย?” พี่ไมค์ตอบกลับไปว่าไม่ได้ไหว้ เพราะตอนนั้นสถานการณ์ค่อนข้างเร่งรัด พี่คนขับรถจึงบอกว่า “ไมค์อ่ะทำพลาดแล้ว ไมค์ไปเอาของเขามา แต่ไม่ได้ไปจุดธูปไหว้เจ้าที่ที่โรงเรียน เขาก็เลยไปไหนไม่ได้ เขาก็เลยมาหาไมค์ เลยมาหาที่บ้าน” พอถึงวันถ่ายทำวันสุดท้าย จากเดิมที่คิดว่าจะทิ้งเพราะมีของใหม่ไปเปลี่ยนแทนแล้ว ก็ตั้งใจว่าจะนำของทุกอย่างที่ยืมมาไปคืนให้หมด แต่พอเก็บไปเก็บมา “คิน” หนึ่งในทีมอาร์ตของพี่ไมค์ก็ต้องตกใจ และบอกกับพี่ไมค์ว่า “เห้ยพี่ ของไม่ครบอ่ะ” พี่ไมค์ก็ตกใจว่าทำไมไม่ครบ เพราะฉากนี้ไม่ได้เปลี่ยนอะไร เป็นการตั้งไว้เฉย ๆ จึงไม่น่าทำให้ของหายได้ ส่วนของที่หายคือ “ตา-ยาย” ของสำคัญที่ไม่ควรจะหาย แต่หายังไงก็หาไม่เจอ! ทุกคนในทีมมั่นใจเต็มร้อยว่าเอามาหมด ของสำคัญอย่างตายายเราจะลืมเอามาได้อย่างไร แถมศาลยังเล็ก ๆ เราซื้อของใหม่เข้าไปเปลี่ยนด้วย ยังไงก็ต้องเอามา พี่ไมค์ถึงกับขนลุกและพูดกับคินว่า “โหยคิน ถ้ากลับไปที่ศาลแล้วเขาอยู่ที่ศาล เราจะทำยังไงวะ” แม้จะดูเหมือนเป็นการคุยกันเล่น ๆ แต่ลึก ๆ ในใจ ทุกคนในทีมก็หวังว่าจะไม่เจอสิ่งที่พูดไป พอกลับไปถึงศาลที่วัด พี่ไมค์เล่าว่าภาพมันเหมือนกับฉากในภาพยนตร์ไม่มีผิด พี่ไมค์กับคินก็คิดในใจว่า “อย่าอยู่นะ อย่ามีนะ” พอเดินเข้าไปใกล้ศาลเรื่อย ๆ ก็แง้มดูข้างใน พี่ไมค์บอกว่า “นั่งเดี่ยว ๆ อยู่เลย” ซึ่งรวมอยู่กับของใหม่ที่เอามาเปลี่ยนแทน กลายเป็นมีตายายเก่าและตายายใหม่อยู่ด้วยกัน! นั่นทำให้พี่ไมค์คิดแล้วคิดอีก และหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ว่าทำไม “ตายาย” ถึงอยู่ที่ศาลเดิม เพราะนั่นคือสิ่งแรกที่พี่ไมค์จะนำมาด้วย และก็นำของใหม่เข้าไปสับเปลี่ยน สุดท้ายก็หาเหตุผลไม่ได้ หลังจากนั้นพี่ไมค์ก็นำเรื่องนี้ไปเล่าให้พระอาจารย์ที่วัดฟัง ท่านก็บอกว่า “ไม่ต้องคิดไรมากโยม ก็แสดงว่าเขาไม่ไป”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนเต็ม ๆ ได้ที่

เปลี่ยนบรรยากาศไปเล่าเรื่องผีในลานวัด แล้วดันตรงกับวันโกนพอดี เจอวิญญาณเดินเข้าออกเป็นว่าเล่น! ระหว่างถ่ายก็เจอวิญญาณกวนจนไมค์ใช้งานไม่ได้ แถมยังเห็นเจ้ากรรมนายเวรของแขกรับเชิญมาร่วมแจมด้วย!

25 ก.ค. 2023

เปลี่ยนบรรยากาศไปเล่าเรื่องผีในลานวัด แล้วดันตรงกับวันโกนพอดี เจอวิญญาณเดินเข้าออกเป็นว่าเล่น! ระหว่างถ่ายก็เจอวิญญาณกวนจนไมค์ใช้งานไม่ได้ แถมยังเห็นเจ้ากรรมนายเวรของแขกรับเชิญมาร่วมแจมด้วย!

สำหรับรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ครั้งนี้ (11 กรกฎาคม 2566) ยังอยู่กับ ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจแนน’ เช่นเคย มาพร้อม ‘คุณอุ๋มอิ๋ม คนเห็นผี’ ที่จะมาเล่าเรื่องหลอนชวนผวาขณะถ่ายรายการเรื่องเล่าแคมป์ไฟ รายการเล่าเรื่องผีของคุณอุ๋มอิ๋มเอง เรื่องจะหลอนขนาดไหน ปิดไฟแล้วไปอ่านกันเลย! เรื่องราวในครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนที่คุณอุ๋มอิ๋มจะมารายการอังคารคลุมโปงเพียงไม่กี่วัน เป็นช่วงขณะที่กำลังถ่ายทำรายการเรื่องเล่าแคมป์ไฟอยู่บริเวณลานวัด ซึ่งปกติแล้ว รายการจะมีสถานที่ประจำในการถ่ายทำอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ทีมงานเห็นว่าลานวัดตรงนี้ให้บรรยากาศหลอนชวนขนหัวลุกมากกว่า จึงตัดสินใจเปลี่ยนมาถ่ายทำที่สถานที่แห่งนี้แทน เมื่อวันถ่ายทำมาถึง ฝนก็ตกลงมาตลอดทั้งวัน ในช่วงเย็นบรรยากาศยังไม่น่ากลัวเท่าไหร่ พอถึงเวลาถ่ายทำรายการประมาณ 2 ทุ่ม ฝนหยุดตก และบริเวณนั้นก็ไม่มีไฟฟ้า ทีมงานจึงต้องเตรียมอุปกรณ์ไปเอง นอกจากนี้บริเวณที่ถ่ายทำนั้นยังมีต้นหูกระโจงสูงใหญ่กางออกแกมกับไม้ต้นเล็ก ๆ อยู่ริมคลอง ถัดจากจุดที่ทีมงานและคุณอุ๋มอิ๋มอยู่ มีต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของคนในหมู่บ้านและยังมีชุดไทยอีกประมาณ 30 ชุดวางเรียงราย ด้านหลังเป็นห้องน้ำเก่าที่ไม่มีใครใช้แล้ว เมื่อสำรวจมาถึงตรงนี้ ทีมงานถึงกับพูดออกมาเลยว่าถ่ายรายการจบเมื่อไหร่ จะไปนั่งสมาธิโชว์ให้ทุกคนดูตรงห้องน้ำ ก่อนเริ่มถ่ายรายการ มีทีมงานเดินเข้ามาบอกคุณอุ๋มอิ๋มว่า “วันนี้เป็นวันโกน” ปกติคุณอุ๋มอิ๋มเป็นคนเห็นผีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าวันนี้ จะเป็นวันที่ได้เห็นเยอะขนาดนี้! คุณอุ๋มอิ๋มบอกกับดีเจทั้งสองคนฟังว่า “มันเหมือนคนมาเดินตลาดนัด” ทั้งเห็นออกเข้าวัด เดินสวนเข้าด้านข้างเยอะเต็มไปหมด แต่คุณอุ๋มอิ๋มก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเป็นเรื่องปกติของวันโกนที่วิญญาณจะถูกปล่อยออกมาขอส่วนบุญ รายการเล่าเรื่องผีของคนอุ๋มอิ๋มนี้ จะเชิญแขกรับเชิญมาเล่าประสบการณ์หลอนที่เคยเจอมา หลังจากเริ่มถ่ายทำรายการทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี กระทั่งถึงคิวแขกรับเชิญคนที่สอง คุณอุ๋มอิ๋มเริ่มได้ยินเสียงฝีเท้าดังเป็นจังหวะ แต่ก็พยายามคิดว่าเป็นเสียงของน้ำที่ไหลลงมาจากต้นหูกระโจง แต่สิ่งที่ได้ยินกับสิ่งที่คิดไว้น่าจะไม่ใช่สิ่งเดียวกัน หลังจากนั้นแขกรับเชิญและคุณอุ๋มอิ๋มก็เริ่มสัมผัสได้ถึงพลังงานอะไรบางอย่าง! จึงตกลงกันว่าจะไม่หันไปทัก อย่างไรก็ดี สายตาคุณอุ๋มอิ๋มก็หันไปเห็นชายร่างท้วมใหญ่ ตัดผมเกรียน แต่งกายด้วยสีดำทั้งตัว เดินวูบผ่านข้างหลังไป! คุณอุ๋มอิ๋คิดว่าวิญญาณดวงนี้คงแค่อยากลองมาทักทายเท่านั้น แต่เมื่อดวงวิญญาณนี้เดินผ่านไป เขาก็เดินกลับมาอีกครั้ง! จังหวะนั้นทั้งคุณอุ๋มอิ๋มและแขกรับเชิญต่างหันหลังพร้อมกัน เสียงที่ได้ยินก็ยังคงเหมือนเดิม และเมื่อเธอหันไปบอกตากล้อง ตากล้องก็บอกว่าเขาก็ได้ยินเช่นกัน! รายการยังต้องดำเนินต่อไป คุณอุ๋มอิ๋มคิดว่าตอนนี้ผีคงสนุกกับการที่จะได้แกล้งพวกเธอ จากนั้น คุณอุ๋มอิ๋มก็เห็นวิญญาณเดินมาข้างหลังแขกรับเชิญแล้วก็เป่าไปที่หูของเขา! คุณอุ๋มอิ๋มคิดในใจว่า “อย่ากลัวนะ” และสิ่งที่แขกรับเชิญคนนี้แสดงออกมาเป็นเพียงแต่การปัดหู เหมือนมีแมลงมาตอม ซึ่งก็โชคดีที่เขาเป็นคนไม่กลัวผี เขาบอกกับคุณอุ๋มอิ๋มว่าเดี๋ยวรอให้ถ่ายเทปนี้จบก่อน จากนั้นจะไปเคลียร์ คุณอุ๋มอิ๋มจำเป็นต้องใช้สถานที่ตรงนี้ถ่ายทำรายการต่อให้เสร็จ เธอจึงขอให้ผีอย่าพึ่งรบกวน แต่ยิ่งพูดก็ดูเหมือนจะยิ่งได้ใจกว่าเดิม คุณอุ๋มอิ๋มเหลือบไปมองแขกรับเชิญผู้หญิงอีกคนหนึ่งและพบว่ามีเจ้ากรรมนายเวรตามเธอมาเป็นจำนวนมาก! คุณอุ๋มอิ๋มคิดว่าตนคงเข้าแอดมิดแน่นอน ถ้าบอกผู้หญิงคนนั้นไปว่าตอนนี้ว่าคุณอุ๋มอิ๋มเห็นอะไร และในตอนที่แขกรับเชิญหญิงคนนั้นเดินกลับมาจากการเปลี่ยนเสื้อ ก็มีวิญญาณประมาณ 3 - 4 ตนจิ้มไปที่หลังของแขกรับเชิญคนนั้นตลอดเวลา คุณอุ๋มอิ๋มสงสัยว่าพวกเขาจะจิ้มไปทำไม แต่ก็ห้ามใจไว้ไม่พูดหรือสื่อสารอะไรออกไป รายการจำเป็นต้องถ่ายทำต่อ แขกรับเชิญผู้หญิงก็เริ่มเล่าเรื่องของเธอ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเจ้ากรรมนายเวรที่ตามติดตัวพอดี แต่ไม่ทันไรทีมงานก็ต้องบอกให้หยุดเล่าก่อน เพราะมีสัญญาณรบกวนในไมค์ตลอดเวลา พอเปลี่ยนไมค์อีกครั้งก็ยังแทรกเหมือนเดิม ประสบการณ์ทำให้คุณอุ๋มอิ๋มตระหนักได้ว่าอะไรแบบนี้เกิดจากมีวิญญาณพยายามที่จะรบกวนการทำงาน คุณอุ๋มอิ๋มคิดว่าสิ่งที่ตามแขกรับเชิญคนนี้อยู่น่าจะไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวรกลุ่มเดิมกับในเรื่องที่เล่า เพราะเจ้าของเรื่องเธอเล่าว่ามันเกิดขึ้นมาเมื่อ 20 กว่าปีแล้ว เมื่อตากล้องพยายามเปลี่ยนไมค์เป็นครั้งที่ 3 ก็ปรากฎว่าไม่เป็นผลสำเร็จ คุณอุ๋มอิ๋มจึงตัดสินใจนำ “กระบองอากง” เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ออกมาตั้งไว้ข้างหลัง และคราวนี้ก็ไม่เสียงใด ๆ มารบกวนอีกเลย.. เมื่อเรื่องถูกเล่าไปสักพัก คุณอุ๋มอิ๋มก็เริ่มได้กลิ่นเน่าของคนโชยมา ในใจก็เริ่มถามกับดวงวิญญาณต่าง ๆ ที่มาป่วนการถ่ายทำในครั้งนี้ว่าพวกเขาต้องการอะไร สักพักก็มีร่างผู้หญิงคนหนึ่ง ผมหยักศก ตาโบ๋ ใส่เสื้อผ้าเก่าทรุดโทรม สูงประมาณ 150 เซนติเมตร ปรากฏขึ้นมาข้างหลังแขกรับเชิญ วิญญาณตนนี้จิ้มไปมาที่หัวของแขกรับเชิญ ตอนนั้นคุณอุ๋มอิ๋มไม่ได้แผ่บุญให้กับวิญญาณตนนี้ เธอบอกกับวิญญาณตนนี้ว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้นมันผิด แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล ในที่สุดก็อาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มาช่วยแทน! คุณอุ๋มอิ๋มขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์พาวิญญาณผู้หญิงตนนี้ไปสู่ภพภูมิที่ดี และหากตนมีเศษเสี้ยวของบุญในลักษณะที่วิญญาณตนนี้ต้องการก็ขอให้เขาได้รับมันไป และยังขอให้สิ่งเร้นลับที่เจอปล่อยมือจากแขกรับเชิญ แต่คุณอุ๋มอิ๋มก็ช่วยได้เพียงดวงวิญญาณนี้ดวงเดียวเท่านั้น ส่วนที่เหลือนั้นคุณอุ๋มอิ๋มไม่สามารถช่วยได้ หลังจากถ่ายรายการเสร็จในวันนั้น คุณอุ๋มอิ๋มก็นำเรื่องนี้มาเล่าให้กับทีมงานของเธอฟัง สิ่งที่น่าสนใจก็คือคืนนั้นไม่ใช่แค่คุณอุ๋มอิ๋มคนเดียวที่ได้กลิ่นศพเน่า แต่ทุกคนในกองก็ได้กลิ่นนั้นเหมือนกัน!(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ข้อห้ามเพียงอย่างเดียวของร้านอิซากายะแห่งนี้คือห้ามรับโทรศัพท์ แต่ด้วยความอยากรู้เลยรับสาย แต่กลับไม่ได้ยินเสียงอะไร ลองอีกรอบสอง ปลายสายพูดกลับมาว่า ผมอยู่ข้างหลัง.. หันมามองผมหน่อย!! ตกใจหลอนจนไม่กล้าไปทำงานอีก !

28 เม.ย. 2024

ข้อห้ามเพียงอย่างเดียวของร้านอิซากายะแห่งนี้คือห้ามรับโทรศัพท์ แต่ด้วยความอยากรู้เลยรับสาย แต่กลับไม่ได้ยินเสียงอะไร ลองอีกรอบสอง ปลายสายพูดกลับมาว่า ผมอยู่ข้างหลัง.. หันมามองผมหน่อย!! ตกใจหลอนจนไม่กล้าไปทำงานอีก !

เรื่องนี้ ‘คุณต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ ได้นำเรื่องเล่าสุดหลอนจากประเทศญี่ปุ่น มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 เมษายน 2567) ขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘เวลาเดิม’เป็นเรื่องราวของเด็กพาร์ทไทม์ที่อยากจะลองดีจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! ต้นกล้าเล่าว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของผู้ชายชาวญี่ปุ่น ให้ชื่อสมมุติว่า ‘อาคิยะ’ ตัวเขานั้นกำลังหางานพาร์ทไทม์ จึงถามกับเพื่อนว่า “มีที่ไหน แนะนำบ้างไหม?” เพื่อนตอบว่า “ตอนนี้ไม่มีเลยว่ะ” แต่อาคิยะนึกขึ้นได้ว่า เพื่อนของตนทำงานอยู่ที่ร้านอิซากายะแห่งหนึ่ง จึงถามเพื่อนว่า “แล้วที่ทำอยู่ไม่รับเพิ่มแล้วหรอ” เพื่อนรีบตอบปัดเสียงแข็งกลับมาว่า “กูออกมาแล้ว” อาคิยะเกิดความสงสัยจึงถามต่อว่า “ทำไมถึงออกล่ะ?” แต่เพื่อนกลับแสดงท่าทีมีพิรุธแปลก ๆ ตอบเพียงว่า “เรื่องของกู กูอยากออก” อาคิยะจึงขอว่า “ถ้ามึงไม่ทำแล้ว.. กูขอได้ไหม เพราะตอนที่มึงทำอยู่ เจ้าของร้านก็ดูใจดี มีข้าวให้กิน มีเวลาให้พัก” ครั้งนี้เพื่อนกลับดูมีพิรุธกว่าเดิม และยังเตือนอีกว่า “อย่าเลย มันเดินทางลำบากน่ะ” อาคิยะจึงตอบปัดขำ ๆ ไปว่า “เดินทางลำบากมันเรื่องของกู ไม่เกี่ยวกับมึงไง มีอะไรก็แนะนำมาเถอะ อย่ามากั๊กกัน” สุดท้ายเพื่อนก็ยอมบอก หลังจากได้ข้อมูลร้านมา อาคิยะก็ทำการติดต่อร้านอิซากายะแห่งนั้นไป เมื่อถึงวันสมัครสัมภาษณ์งาน อาคิยะก็เตรียมความพร้อม ทั้งเรซูเม่และเอกสารทุกอย่างไปครบ แต่ยังไม่ทันได้ตอบสัมภาษณ์ทุกคำถาม ทางหัวหน้าก็ถามกลับมาทันทีว่า “เริ่มทำงานได้วันไหน วันนี้เลยไหม พร้อมทำงานหรือยัง?” อาคิยะตั้งตัวไม่ทัน แต่ก็ตอบกลับไปว่า “เริ่มวันนี้เลยก็ได้ครับ” หลังจากนั้นก็ถูกส่งต่อให้รุ่นพี่สอนงาน เมื่ออาคิยะเข้าใจหน้าที่ทุกอย่าง ก่อนที่จะแยกย้าย พี่ที่ร้านก็กำชับบางอย่างว่า “พี่ลืมบอกไป ร้านเราน่ะ ถ้ามีโทรศัพท์โทรเข้ามา ไม่ต้องรับนะ เพราะว่าคนชอบคิดว่าร้านอิซากายะเรามีเดลิเวอรี ก็เลยชอบโทรมา ถ้าจะรับก็แค่ช่วงกลางวันแล้วกัน ตอนนั้นจะมีคนโทรมาส่งของ แต่หลังช่วงเย็นมันไม่มี ไม่ต้องรับนะ” หลังจากนั้นอาคิยะก็เริ่มทำงาน เขาทำงานกะดึก ซึ่งการทำงานก็ดูเหมือนว่าจะปกติทั่วไป แต่กลับมีบางอย่างแปลก ๆ อาคิยะสังเกตได้ว่า ร้านอิซากายะแห่งนี้ มีพนักงานช่วงกะดึกเพียงแค่ 2 คน คืออาคิยะและรุ่นพี่ ทั้งที่ตอนกลางคืนที่ร้านค่อนข้างยุ่ง แต่กลับไม่มีพนักงานคนอื่นอยู่เลย ส่วนหัวหน้าก็จะแอบหนีกลับไปก่อนทุกครั้ง เขาจึงถามกับหัวหน้าและก็ได้คำตอบว่า “ตอนนี้ญี่ปุ่นกำลังขาดแคลนแรงงาน แต่เดี๋ยวหัวหน้าให้เงินเดือนเพิ่ม” สุดท้ายอาคิยะก็ต้องทำงานต่อไป นอกจากนี้ยังมีเรื่องแปลก ๆ เกี่ยวกับโทรศัพท์ อย่างที่หัวหน้าเคยบอกว่า ทุกวันที่ร้านจะมีสายโทรศัพท์โทรเข้ามาเวลาเดิม เป็นช่วงเวลาหลังปิดร้านพอดี และตอนที่ตัวเขาเองกำลังจะกลับบ้าน อาคิยะก็ท่องจำไว้เสมอกับคำที่หัวหน้าเคยบอกว่า “ไม่ต้องรับสายนะ” อาคิยะก็ไม่เคยรับโทรศัพท์เลย จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง ระหว่างที่อาคิยะกำลังเก็บของอยู่คนเดียว เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น อะไรดลใจก็ไม่ทราบได้ อาคิยะยกหูรับสายทันที เสียงจากปลายสาย เป็นเสียงคล้ายคนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งเขาเองไม่สามารถจับใจความได้ อาคิยะก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าคงโทรผิด จึงเลือกที่จะวางสายไป ช่วงเย็นของอีกวัน ขณะที่รุ่นพี่กำลังยืนล้างจานอยู่ อาคิยะก็เล่าเหตุการณ์ที่เจอให้รุ่นพี่ฟังว่า “เมื่อวาน.. ผมน่ะ รับสายโทรศัพท์ที่มันดังในร้านทุกวัน” หลังอาคิยะพูดจบ รุ่นพี่ก็เผลอปล่อยจานจนหล่นแตก แล้วถามกลับว่า “แล้วมึงได้ฟังไหม ได้ยินที่เขาพูดหรือเปล่า?” อาคิยะตอบว่า “ได้ยินนะครับพี่ แต่เขาพูดไม่รู้เรื่อง” รุ่นพี่บอกต่อว่า “อ๋อ เออดีแล้ว แต่วันหลังไม่ต้องรับนะ” แต่อาคิยะจับพิรุธได้ว่า รุ่นพี่มีอาการแปลก ๆ จนเขาตั้งข้อสงสัยขึ้นมาว่า นี่คงเป็น ‘โทรศัพท์ผีสิง’ มันจะต้องมีเรื่องราวลึกลับบางอย่างกับสายโทรศัพท์นี้แน่นอน อาคิยะจึงเริ่มวางแผน แกล้งทำงานช้า ๆ ปล่อยให้รุ่นพี่กลับบ้านไปก่อน เขาจะได้อยู่ร้านเพียงคนเดียว ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน จากนั้นเขาจึงมานั่งรอสายโทรศัพท์ เมื่อใกล้ถึงเวลา โทรศัพท์ก็ดัง กริ๊งงงง… ตรงตามเวลาเป๊ะ อาคิยะหัวใจเต้นแรง ตึกตัก.. ตึกตัก เมื่อยกหูรับสาย “สวัสดีครับ..” ก็ไร้การตอบกลับจากเสียงปลายสายเหมือนเดิม ได้ยินเพียงเสียงคนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่สามารถเข้าใจได้ เมื่อเขากำลังจะวางสายลง เสียงก็เริ่มชัดเจนขึ้นจนได้ยินว่า “ผมอยู่ข้างหลัง ผมอยู่ข้างหลัง ผมอยู่ข้างหลัง.. หันมามองผมหน่อย ผมอยู่ข้างหลัง” ปลายสายพูดย้ำหลายครั้ง และเป็นจังหวะเดียวกับที่อาคิยะกำลังจะเหลือบไปมองข้างหลัง เขาสัมผัสได้ทันทีว่า มีคนหรืออะไรบางอย่างยืนอยู่ข้างหลังเขาจริง ๆ ! อากิยะรีบวางโทรศัพท์ แล้ววิ่งกลับบ้านทันที ! โดยที่ไม่มาทำงานอีกเลย เวลาผ่านไปจนกระทั่ง อากิยะได้เจอเพื่อนที่แนะนำร้านอิซากายะแห่งนี้ให้ เพื่อนก็ถามว่า “เป็นยังไงล่ะมึง” อาคิยะบอกว่า “แล้วทำไม ไม่บอกตั้งแต่แรกว่าที่ร้านมีผี” เพื่อนก็อธิบายให้ฟังว่า “ถึงบอกไป มึงก็ไม่เชื่อ กลัวโดนหาว่าโกหกอีก แต่สิ่งที่มึงสัมผัสตอนนั้น คือของแท้หมดเลย มึงคงเจอผีจริงๆ” เพื่อนเล่าให้ฟังว่า ที่ร้านเคยมีพนักงานคนหนึ่ง เป็นคนที่ขยันทำงาน และทุ่มเทให้กับงานมาก แต่ทุ่มเทเท่าไหร่ก็เหมือนจะไม่พอ เกิดความกดดัน จนท้ายที่สุดก็จบชีวิตตัวเอง คิดว่าสาเหตุเป็นเพราะเครียดเรื่องงาน ซึ่งหลังจากพนักงานคนนี้ได้จากไป ทุกวันเวลาเดิมก็จะมีเสียงโทรศัพท์โทรเข้ามาเสมอ เพื่อที่จะบอกใครสักคนว่า “ผมอยู่ข้างหลัง.. หันมากลับมาดูหน่อย.. ผมที่กำลังตั้งใจทำงานอยู่..” ซึ่งคนที่พนักงานคนนั้นพยายามที่จะโทรหา ก็คือ ‘หัวหน้า’ นั่นเอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1