เจอศพที่เกิดอุบัติเหตุเป็นคนแรก แฟนเขาโทรมาว่า “ขอคุยกับแฟนหน่อย” แต่ไม่กล้าบอกความจริงว่าตายแล้ว เมื่อถูกขอร้องจนใจอ่อน จึงยื่นมือถือไปใกล้ศพ แรกๆก็คุยฝ่ายเดียว หลังๆเหมือนคุยโต้ตอบกันจึงหันมาดู ปรากฏว่าศพนั้นกำลังพูดอยู่จริงๆ

อังคารคลุมโปง RECAP

เจอศพที่เกิดอุบัติเหตุเป็นคนแรก แฟนเขาโทรมาว่า “ขอคุยกับแฟนหน่อย” แต่ไม่กล้าบอกความจริงว่าตายแล้ว เมื่อถูกขอร้องจนใจอ่อน จึงยื่นมือถือไปใกล้ศพ แรกๆก็คุยฝ่ายเดียว หลังๆเหมือนคุยโต้ตอบกันจึงหันมาดู ปรากฏว่าศพนั้นกำลังพูดอยู่จริงๆ

29 พ.ค. 2023

       ‘ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ มาเยือนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 พฤษภาคม 2566) ทั้งที งานนี้ขนเอาความหลอนมาฝาก ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เต็มกระเป๋า! จะหลอนแค่ไหน แท็กเพื่อนมาอ่านไปด้วยกันเลย!

       ต้นกล้าเล่าว่าที่ญี่ปุ่นจะมีงานเทศกาลที่คล้ายกับงานวัดบ้านเรา เป็นเรื่องที่เกิดกับผู้หญิงคนหนึ่ง นามสมมุติว่า ‘ยูริ’ เธอได้ไปขายของในงานเทศกาลนี้ และได้สนิทกับพี่ผู้หญิงอีกคนที่เต็นท์ข้าง ๆ ให้นามสมมุติว่า ‘จุนโกะ’ หลังจากงานเทศกาลเลิก เต็นท์อื่นก็พากันเก็บของกลับไปจนหมด เหลือแค่ยูริและจุนโกะ แต่ถึงแม้จุนโกะจะของเยอะ และต้องใช้เวลานานพอสมควรในการเก็บของ แต่เธอก็เก็บจนเสร็จและกลับไป สุดท้ายก็เหลือเพียงยูริคนเดียว เทศกาลนี้จัดอยู่ในศาลเจ้า บรรยากาศก็เริ่มวังเวง ยูริเริ่มกลัวจึงเก็บของเท่าที่ไหว และคิดว่าพรุ่งนี้ค่อยกลับมาเก็บอีกรอบ จากนั้นก็ขับรถออกมา ระยะทางจากศาลเจ้าและตัวเมืองเป็นถนนที่อยู่บนภูเขา และยังมีป่าทึบสองข้างทาง..

       เมื่อขับรถออกมา จนผ่านทางที่ไม่มีไฟข้างถนน ยูริก็เห็นว่าข้างหน้ามีไฟสีแดงสว่างอยู่ จึงขับรถเข้าไปก็เห็นว่าเป็นไฟท้ายรถ ยูริคิดในใจว่า “รถใครมาจอดอยู่ตรงนี้” เมื่อยิ่งเข้าไปใกล้ ก็ยิ่งเห็นว่ารถคันนั้นเกิดอุบัติเหตุชนกับต้นไม้ข้างทาง  แถมยังเป็นรถคันเดียวกับพี่จุนโกะที่อยู่เต็นท์ข้าง ๆ ด้วย ยูริตกใจมาก เธอหันไปมองรอบ ๆ ก็ไม่พบใคร ไม่มีแม้แต่รถสักคันขับผ่านมา เธอจึงหยิบโทรศัพท์เพื่อโทรไปยังสายด่วนฉุกเฉิน และแจ้งว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ปลายสายก็ถามว่า “แล้วรถที่เกิดอุบัติเหตุนั้นคนที่อยู่ข้างในเป็นอย่างไรบ้าง” ยูริตอบไปว่า “ไม่รู้เลยค่ะ ไม่กล้าเข้าไปดู” ปลายสายก็พูดต่อว่า “รบกวนเข้าไปดูใกล้ ๆ แล้วช่วยเช็คให้หน่อยนะครับ เผื่อเขาต้องการความช่วยเหลือ” เธอจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปและก็เห็นว่า “ครึ่งตัวของพี่จุนโกะพาดกระเด็นออกมานอกตัวรถ หัวห้อยจนผมสยายลงมาพร้อมกับแขนที่ชุ่มไปด้วยเลือดแนบกับประตูฝั่งคนขับ” ยูริเห็นสภาพดังนั้นก็กลัว และไม่กล้าเข้าไปเช็คมากกว่านี้ จึงบอกปลายสายไปว่า “คิดว่าเขาน่าจะมีสตินะคะ” ปลายสายก็พูดเสริมอีกว่า “ขอโทษนะครับเค้ายังหายใจทางจมูก หรือ ทางปากอยู่ไหม รบกวนเอามือไปทาบให้หน่อย” ในใจยูริรู้สึกกลัวมาก แต่ก็ฮึดขึ้นมา จากนั้นก็เดินเข้าไปใกล้ ๆ จนเห็นว่า พี่จุนโกะหัวแตกจนเลือดไหลอาบเต็มหน้า ไหลหยดลงมาตามแขน ยูริค่อย ๆ รวบรวมความกล้าอีกครั้ง แล้วยื่นมือไปทาบตรงจมูก แต่กลับรู้สึกอะไรไม่ได้เลยแม้กระทั่งลมหายใจ! ยูริรู้ได้ในทันทีว่าพี่จุนโกะคงเสียชีวิตแล้ว จึงตอบปลายสายไปว่า “เขาไม่หายใจแล้วค่ะ” ปลายสายก็ตอบรับและแจ้งว่าให้รอสักครู่ เพราะมีรถพยาบาลและรถกู้ภัยกำลังเดินทางมาแล้ว จากนั้นก็วางสายไป 

       ในตอนนี้ ยูริต้องอยู่ลำพังกับศพ! เธอจึงถอยออกมาจากตัวรถ ในใจก็คิดว่า “ไม่น่ามาอยู่ตรงนี้เลย” พร้อมกับแสดงความเสียใจที่คนรู้จักต้องมาตาย สักพักก็มีเสียงโทรเข้าจากโทรศัพท์ดังขึ้น เธอจึงหยิบของตัวเองขึ้นมาดู ปรากฏว่าไม่ใช่ เมื่อมองเข้าไปในรถก็พบว่าเป็นโทรศัพท์ของพี่จุนโกะ เธอชั่งใจอยู่ชั่วครู่ว่าจะรับหรือไม่รับดี แต่ความรู้สึกก็บอกว่าถ้าเป็นครอบครัวเขาโทรมา เราก็ควรจะเป็นพลเมืองดีแจ้งให้เขาทราบ จึงตัดสินใจจะหยิบโทรศัพท์มารับสาย แต่โทรศัพท์มันดันอยู่ที่เบาะอีกฝั่งของศพ จะเดินไปเปิดประตูฝั่งนั้นก็ไม่ได้เพราะมันชนติดอยู่กับต้นไม้ เสียงโทรศัพท์ก็ดังอยู่อย่างนั้น เธอจึงเอามือล้วงผ่านศพเข้าไปหยิบโทรศัพท์ จนหน้าเธอกับพี่จุนโกะแทบจะติดกัน! เมื่อรับสายเสียงจากปลายสายก็พูดว่า “ฮัลโหล ๆ  เธออยู่ไหนแล้ว” ยูริจึงตอบไปว่า “อ๋อนี่ไม่ใช่ค่ะ” ปลายสายจึงขอจึงพูดว่า “ขอสายแฟนผมหน่อยครับ” ด้วยความที่ไม่กล้าบอกว่าจุนโกะเสียชีวิตแล้ว เธอจึงตอบไปว่า “พอดีแฟนคุณประสบอุบัติเหตุค่ะ ตอนนี้เขาไม่มีสติเลย เขาอาการค่อนข้างหนัก” แฟนจุนโกะจึงพูดด้วยอาการตกใจว่า “หรอครับ!? งั้นรบกวนช่วยเปิดลำโพงโทรศัพท์ให้หน่อยได้มั้ยครับ ผมจะได้ส่งเสียงเรียกเค้า เผื่อเค้าได้สติคืนมา” ยูริตอบไปว่า “จะดีหรอคะ?” แต่แฟนจุนโกะก็ยังยืนยันและตอบกลับมาว่า “เผื่อเขาได้ยินเสียงคนที่รักแล้วอาจจะได้สติกลับมา นะ ๆ ผมรบกวนหน่อย” เธอจึงยอมทำตามนั้น แฟนจุนโกะก็เรียก “เธอ เธอ ได้ยินหรือเปล่า??” อยู่อย่างนั้น ระยะห่างของยูริกับตัวรถค่อนข้างไกล เธอจึงเขยิบเข้าไปใกล้ ๆ และยื่นโทรศัพท์เข้าไปที่หน้าศพ เธอไม่กล้ามองภาพที่อยู่ตรงหน้าจึงหันไปอีกทางในขณะที่แขนก็ยื่นอยู่อย่างนั้น ปลายสายก็พยายามเรียกจุนโกะ จนเงียบไปได้ครู่หนึ่งก็พูดขึ้นมาประมาณว่า “อ้อหรอ อ่าวจริงหรอ  เป็นอย่างงี้หรอ ไม่เป็นไรนะเธอ ตั้งสติไว้นะ” เหมือนทั้งคู่กับกำลังพูดคุยโต้ตอบกันอยู่! ยูริจึงหันหน้ากลับมาดูและพบว่าภาพที่เธอเห็นคือ “จากศพที่หัวที่เอียงห้อยอยู่ มันตั้งขึ้นมาพิงกับเบาะ แล้วปากขยับพูดกับโทรศัพท์ด้วยถ้อยคำที่ฟังไม่เป็นภาษาเพราะมีเลือดไหลกกอยู่เต็มปาก!” เธอตกใจกลัวกับภาพสยดสยองตรงหน้าจนมือไม้อ่อนเผลอปล่อยโทรศัพท์ทิ้งลงตรงนั้น แล้ววิ่งกลับไปนั่งตัวสั่นอยู่ในรถของตัวเอง!

       กระทั่งรถพยาบาลเดินทางมาถึง เมื่อเจ้าหน้าที่จัดการพื้นที่เกิดเหตุเรียบร้อย ยูริก็เดินทางไปที่โรงพยาบาลด้วย  เพราะเธอคือคนที่เจอและแจ้งเหตุเป็นคนแรก แพทย์ได้ยืนยันการเสียชีวิตของจุนโกะ และยูริก็คิดขึ้นมาว่า “อ้าวแล้วที่เขาคุยกับแฟนเขาล่ะ??” จนเมื่อแฟนของจุนโกะมาถึงก็ร้องไห้คร่ำครวญเสียใจ และพูดกับยูริว่า “แต่อย่างน้อยในช่วงเวลาสุดท้ายของเขา ผมก็ได้ยินเสียงเขาอีกครั้งหนึ่ง” ทำให้เธอคิดว่าภาพที่เห็นในตอนนั้นคงไม่ใช่ภาพจริง แต่เป็นภาพวิญญาณของจุนโกะที่อยากสื่อสารกับแฟนตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากไปนั่นเอง..

 

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ล่าความหลอนที่โบสถ์เก่า พอไปถึงก็เจอป้ายืนอยู่คนเดียวเลยเข้าไปทัก

29 มี.ค. 2024

ล่าความหลอนที่โบสถ์เก่า พอไปถึงก็เจอป้ายืนอยู่คนเดียวเลยเข้าไปทัก

เรื่องนี้ ‘คุณโนอาร์’ จากเพจ ‘โนอาร์-Noah’ ได้นำเรื่องดล่าสุดหลอนที่เจอเข้ากับตัวเองมาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (19 มีนาคม 2567) ได้ขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘เจอป้าที่โบสถ์เก่า’ ‘คุณโนอาร์’ เล่าว่าเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (10 มีนาคม 2567) ได้เดินทางไปยังโบสถ์ที่เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ‘พี่นาค 4’ ตามคำแนะนำของผู้กำกับอย่าง ‘พี่ไมค์-ภณธฤต โชติกฤษฎาโสภณ’ เพื่อพิสูจน์และสัมผัสประสบการณ์หลอนด้วยตนเอง คุณโนอาร์และแฟนใช้เวลาเดินทางกว่า 2 ชั่วโมงก็ถึงโบสถ์ซึ่งเป็นเวลาโพล้เพล้ ที่โบสถ์แห่งนั้นมีบ่อน้ำคั่นกลางต้นไม้ เมื่อไปถึงก็จัดแจงตั้งกล้องหันไปทางโบสถ์ไลฟ์สดพูดคุยกับแฟนคลับ ระหว่างที่กำลังไลฟ์สดอยู่นั้น ก็มีคุณป้าท่านหนึ่งเดินมาจากต้นโพธิ์ด้านหลังคุณโนอาร์ คุณโนอาร์เหลือบมองเห็นจึงสลับให้แฟนทำหน้าที่พูดไลฟ์แทน ส่วนคุณโนอาร์ก็ลุกไปหาคุณป้าที่ต้นโพธิ์ ระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้น คุณป้าก็พูดขึ้นมาทั้ง ๆ ที่คุณโนอาร์ยังไม่ได้พูดอะไรว่า “มาหา เพราะเป็นห่วง” คุณโนอาร์ได้ยินก็คิดว่าคุณป้าท่านนี้อาจจะเป็นชาวบ้านละแวกนี้ จึงถามกลับไปว่า “ป้าเป็น FC ผมหรือเปล่าครับ?” แต่คุณป้ากลับไม่ตอบอะไร หลังจากเงียบไปสักพัก คุณป้าก็พูดประโยคเดิมว่า “มาหา เพราะเป็นห่วง” คุณโนอาร์จึงบอกไปว่า “ประมาณ 2-3 ทุ่ม ผมจะเริ่มสำรวจโบสถ์ ป้าจะไปที่โบสถ์กับผมมั้ย?” คุณป้าก็ตอบกลับมาว่า “ป้าอยู่ที่นี่มานาน ยังไม่เคยเข้าไปสักครั้ง” ได้ยินดังนั้น คุณโนอาร์ก็เริ่มรู้สึกแปลกใจ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ ในระหว่างที่คุยกันอยู่นั้น คุณโนอาร์ก็มองไปที่ตาของคุณป้า สังเกตได้ว่าดวงตาของคุณป้าไม่กะพริบเหมือนคนปกติทั่วไป แต่ก็คิดเพียงว่าเป็นบุคลิกของคุณป้าเท่านั้น หลังจากไลฟ์ช่วงเย็นจบไป ก็ถึงเวลาที่จะต้องเข้าไปเก็บภาพด้านในของโบสถ์ ตอนนั้นเป็นเวลา 2-3 ทุ่มตามที่วางแผนไว้ คุณโนอาร์เดินอ้อมบ่อน้ำเข้าไปในโบสถ์ เมื่อถึงหน้าโบสถ์ก็มีแมวดำกระโดดออกมาจากข้างใน ตนนั้นรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ก็เดินเข้าไปสำรวจต่อไป ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียง ก๊อกแก๊ก ก๊อกแก๊ก จากคานไม้ด้านบน ตอนนั้นคุณโนอาร์คิดเพียงว่าอาจจะเป็นเสียงนก จึงหันหลังมองย้อนกลับไปที่ต้นโพธิ์ ก็เห็นว่าแฟนของตนนั้นยืนถือตะเกียงอยู่ข้างคุณป้าปริศนาท่านนั้น เมื่อเห็นดังนั้นก็สบายใจที่แฟนไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว เมื่อสำรวจไปได้สักพัก คุณโนอาร์ก็เดินกลับออกมายังรถที่จอดไว้ใกล้ต้นโพธิ์ จากนั้นก็พูดกับคุณป้าว่า “พรุ่งนี้ผมจะมาอีกรอบ” คุณป้าจึงตอบกลับมาว่า “พรุ่งนี้ จะมาอีกใช่มั้ย?” คุณโนอาร์ย้ำคำตอบเดิมไปว่า “ใช่ครับ” แต่คุณป้าก็ถามคำถามเดิมซ้ำไปซ้ำมา ในตอนนั้นคุณโนอาร์คิดเพียงว่าคุณป้าท่านนี้อาจจะได้ยินไม่ค่อยชัด คุณโนอาร์จึงต้องตอบแบบเดิมอยู่ 3-4 รอบ จากนั้นจึงบอกคุณป้าไปว่า “ผมจะเข้าไปเก็บภาพบรรยากาศข้างในอีกรอบ อีกครึ่งชั่วโมงก็เสร็จครับ” เมื่อบอกคุณป้าเสร็จ ตนก็เดินเข้าไปในโบสถ์อีกครั้ง เมื่อเก็บภาพบรรยากาศรอบโบสถ์เสร็จเรียบร้อยก็กลับมาที่รถอีกครั้ง รอบนี้คุณโนอาร์ตั้งใจจะไปหยิบน้ำดื่มที่หลังรถเพื่อมาดื่มและจะให้คุณป้าด้วย แต่เมื่อเดินมาที่หลังรถก็ไม่พบคุณป้าแล้ว คุณโนอาร์ย้อนกลับไปว่าช่วงเวลาที่ตนเข้าไปเก็บภาพในโบสถ์นั้น แฟนก็ยืนคุยกับคุณป้า แต่แฟนรู้สึกว่ายุงเยอะจนทนไม่ไหว จึงบอกคุณป้าไปว่า “หนูขอเข้าไปรอในรถนะคะ ตรงนี้ยุงเยอะมากเลย” คุณป้าไม่ตอบอะไรกลับมา จากนั้นแฟนก็เดินขึ้นรถ และคิดว่าคุณป้าน่าจะยืนอยู่ข้างนอกคนเดียวพร้อมกับตะเกียงที่แฟนเคยถือเอาไว้ เมื่อคุณโนอาร์มาถึงรถและเดินไปข้างหลังแต่ไม่เห็นคุณป้าจึงคิดว่าน่าจะกลับไปแล้ว ส่วนแฟนเองก็ไม่ได้สังเกตว่าคุณป้าไปไหนหรือกลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เดินทางกลับ วันถัดมา รอบนี้จะเป็นการถ่ายทำที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเพราะมีทีมงานมาช่วยถ่ายด้วย ฝ่ายทีมงานเดินทางมาถึงก่อนคุณโนอาร์ครึ่งชั่วโมง เมื่อตนมาถึงก็ถามทีมงานว่า “มีใครเข้ามาหรือยัง?” เพราะตนจำได้ว่าคุณป้าบอกว่าจะเข้ามาหา แต่ทีมงานส่ายหัวและบอกว่า “ยังไม่มีใครเข้ามานะ” ได้ยินดังนั้นคุณโนอาร์ก็คิดว่าคุณป้าอาจจะมาเวลาเดียวกับเมื่อวานจึงไม่ได้คิดอะไร หลังจากนั้นทีมงานก็จัดแจงสถานที่ ปูเสื่อเพื่อพักผ่อนและรอเวลา เมื่อถึงเวลาทุ่มครึ่ง คุณป้าก็ยังไม่ปรากฏตัว จากนั้นก็ถึงเวลาไลฟ์สด คุณโนอาร์ต้องไปยืนที่หน้าต้นโพธิ์เพื่อถ่ายเปิดรายการ เวลานั้นคุณโนอาร์เหลือบมองเห็นกรอบรูปอยู่ข้างหลังตากล้อง เมื่อเห็นรูปชัดขึ้นตนก็อุทานออกมาว่า “ป้า! ในรูป!” คุณโนอาร์จึงเรียกให้แฟนมาดู แฟนก็พูดว่า “เห้ย! ป้านี่นา!” ทีมงานทุกคนก็ตกใจ เพราะในช่วงที่ทีมงานมาถึงก่อนนั้น ไม่มีใครสังเกตเห็นรูปนี้เลย นอกจากนี้ยังมีถุงอัฐิห่อวางไว้ข้าง ๆ กันอีกด้วย คุณโนอาร์จึงเล่าเรื่องเมื่อวานให้ทีมงานฟัง หลังจากได้ฟังก็มีข้อถกกันมากมาย คิดไปต่าง ๆ นานาว่าคุณป้าอาจจะมีแฝด แต่การถ่ายรายการก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป สรุปแล้วในวันที่สองนั้น คุณป้าก็ไม่ปรากฏตัวออกมา คุณโนอาร์จึงโพสต์เรื่องราวที่เจอลงในเฟสบุ๊ค หลังจากนั้นก็มีการแชร์ออกไปมากมาย แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อมีคนทักเข้ามาบอกว่าเป็นคนในครอบครัวของคุณป้า! ตอนแรกคุณโนอาร์ยังไม่เชื่อ จึงขอตรวจสอบข้อมูล บุคคลปริศนาก็ส่งมาให้ทั้งรูปถ่ายงานศพของคุณป้า และส่งนามสกุลในบัตรประชาชนเพื่อยืนยันว่าเป็นคนในครอบครัวจริง นั่นทำให้คุณโนอาร์เชื่อว่านี่คือลูกของคุณป้าอย่างแน่นอน ลูกของคุณป้าบอกว่า “ถ้าคุณไม่โพสต์ ก็คงจะไม่มีใครรู้เลย” คุณโนอาร์จึงสอบถามต้นสายปลายเหตุว่า รูปของคุณป้าไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร? ลูกของคุณป้าเล่าว่าตนเองก็ไม่มั่นใจว่าใครนำมาทิ้ง แต่คุณแม่เสียไปตั้งแต่ปี 2559 ด้วยอุบัติเหตุรถชน หลังจากทำพิธีชาปณกิจศพเสร็จ ลูกหลานและคนในครอบครัวของคุณป้าต่างก็แยกย้ายไปใช้ชีวิตที่อื่น ส่วนรูปของคุณป้านั้นเก็บเอาไว้ที่บ้านหลังเก่า คิดว่าอาจจะเป็นเจ้าของคนใหม่หรือคนในครอบครัวที่บอกไม่ได้ว่าเป็นใครเอามาทิ้งก็เป็นได้ คุณโนอาร์จึงนัดวันเวลากับลูกของป้าเพื่อรับรูปและอัฐิ เวลาผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ทางคุณโนอาร์และครอบครัวก็ได้พบกัน ทางครอบครัวถามคุณโนอาร์ว่า “ตอนที่เห็นป้า รูปร่างเป็นยังไง ใส่เสื้อผ้ายังไง” คุณโนอาร์ก็เล่ารายละเอียดที่จำได้ให้ฟัง ปรากฏว่าข้อมูลเหล่านั้นตรงกันหมด จากนั้นหลวงพ่อก็ช่วยทำพิธีสวดมนต์เพื่อที่จะได้นำรูปนั้นไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่ (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

วัยรุ่นม.3 รวมตัวกันไปเที่ยวทะเล ได้ที่พักทาวน์เฮ้าส์ติดกันสองหลัง เจอเหตุการณ์แปลก ๆ ชวนเสียว ทั้งเสียงกรี๊ด เสียงเดิน จนผวานอนไม่ได้!

08 ธ.ค. 2023

วัยรุ่นม.3 รวมตัวกันไปเที่ยวทะเล ได้ที่พักทาวน์เฮ้าส์ติดกันสองหลัง เจอเหตุการณ์แปลก ๆ ชวนเสียว ทั้งเสียงกรี๊ด เสียงเดิน จนผวานอนไม่ได้!

ไปเที่ยวประจำปีกับเพื่อน ๆ ตามปกติ แต่กลับเจอดีจากสถานที่ที่ไปพัก เรื่องนี้ ‘พี่แจ๊ค’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 ธันวาคม 2566) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ม.3 เทอม1’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันได้เลย! พี่แจ็ค The Ghost Radio บอกว่า ‘คุณเอิร์ท’ นำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง โดยต้องเล่าย้อนกลับไปสมัย Hi5 คุณเอิร์ทกับกลุ่มเพื่อนมักจะมีการนัดไปเที่ยวประจำปี กลุ่มนี้สนิทกันมาตั้งแต่ ม.1 เทอมหนึ่ง จนขึ้น ม.2 เทอมหนึ่ง ก็มีการรวมตัวนัดคุย และเก็บเงินรายอาทิตย์ไว้ไปเที่ยวกัน เมื่อเก็บเงินครบจึงไปเที่ยวทะเลด้วยกัน พอมารอบนี้ ม.2 เทอมสอง ก็ไปเที่ยวกันอีก แต่รอบนี้ไปเที่ยวป่าเที่ยวเขา พอขึ้น ม.3 เทอมหนึ่ง ทุกคนก็รวมตัวกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไปเที่ยวทะเล เพราะว่าอยากกลับไปที่พักเดิมที่เคยไปในรอบแรก จึงรวมตัวกันได้ 14 คน เหมารถตู้กันไป และสมัยนั้นยังต้องโทรไปจองโรงแรม เพราะยังไม่แอปพลิเคชันอำนวยความสะดวกสบาย เมื่อไปถึงที่พักในจังหวัดเพชรบุรี ปรากฎว่าเข้าพักไม่ได้ เพราะแขกที่พักก่อนหน้านั้นขออยู่ต่ออีกหนึ่งคืน คุณเอิร์ทกับเพื่อนก็รู้สึกเคว้งจึงไปนั่งปรึกษากันอยู่ริมทะเล งานนี้นอกจากจะมีวัยรุ่น 14 คนแล้ว ยังมีคุณ ‘แม่ของคุณเอิร์ท’ ไปด้วย ระหว่างที่นั่งปรึกษากันอยู่นั้น ก็มีวินมอเตอไซค์ขับผ่านมา แล้วถามว่า “นั่งทำอะไรกัน ได้ที่พักกันหรือยังหนุ่ม ๆ ?” เด็ก ๆ จึงบอกไปว่าต้องการที่พัก และโจทย์คือต้องอยู่ด้วยกันทั้ง 14 คน ทางวินมอเตอไซค์จึงขับรถนำรถตู้พาไปดูโรงแรม พอไปถึงที่แรกเป็นบ้านสองหลังติดกัน นอนได้ 14 คน แต่ไม่มีแอร์จึงขอผ่านไปก่อน อีกที่ เป็นบ้านสองหลังเหมือนกันแต่ไม่ตอบโจทย์ เพราะมีหลังอื่นขั้นตรงกลาง กระทั่งมาที่สุดท้าย เป็นบ้านสองหลังติดกัน มีแอร์ ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นทาวน์เฮ้าส์สองหลัง สองชั้น รวมสองหลังมีประมาณ 4 ห้องนอน รวมห้องโถงอีก ทุกคนโอเค ทางคุณแม่ของคุณเอิร์ทจึงไปติดต่อกับเจ้าของที่พักให้ บ้านทั้งสองหลังจะแบ่งเป็นสายเล่นเกมอยู่หลังที่หนึ่ง ส่วนหลังที่สองมีแม่ของคุณเอิร์ทอยู่ด้วย แล้วก็มีคุณเอิร์ท รวมถึงเพื่อน ๆ อีกประมาณนึง ระหว่างที่ขนของเข้าบ้านหลังแรกอยู่ คุณเอิร์ทก็หันมามองบ้านหลังที่สอง เห็นเพื่อนคนหนึ่งกำลังไขประตูแต่ไขไม่ออก คุณเอิร์ทจึงไปช่วยเพื่อน และนำกุญแจไปไขแทน สรุปก็คือไขไม่ออกจริง ๆ เหมือนติดอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน คุณเอิร์ททั้งทุบกลอน ทั้งไข ทั้งเขย่าประตู ด้วยความที่เป็นวัยรุ่นอารมณ์ร้อนเลยพูดกับประตูไปว่า “ถ้ามึงไม่เปิด ถ้าเปิดไม่ออก กูจะพังแล้วนะ” สิ้นเสียงคุณเอิร์ท ก็มีเสียงลูกบิดกลอนประตูดังก๊อก! แล้วประตูก็เปิดดังเอี๊ยดดดด! ณ ตอนนั้นคุณเอิร์ทกับเพื่อนยืนมองหน้ากัน แต่ก็คิดว่ามันคงเป็นจังหวะที่ทุบแล้วมันหลุดมาพอดี ในระหว่างที่ขนของเข้าบ้านหลังแรกคุณเอิร์ทรู้สึกว่าร้อน แต่ก็คิดว่าเป็นเรื่องปกติเพราะยังไม่ได้เปิดแอร์ แต่พอเป็นบ้านหลังที่สอง เขากลับรู้สึกเย็นเหมือนเปิดแอร์ทิ้งไว้ ขออธิบายภายในบ้านเพิ่มเติมว่า จากประตูที่คุณเอิร์ทยืนอยู่ มองไปข้างหลังจะเป็นเหมือนกับประตูที่ออกไปข้างนอก เป็นลานซักล้างและข้างประตูมีบานเกร็ด คุณเอิร์ทบอกว่าจังหวะที่ประตูเปิดเข้าไป คุณเอิร์ทมองไปที่บานเกร็ดเห็นเป็นเหมือนผ้าขาว ๆ พลิ้ว ๆ เหมือนคนตากผ้าไว้ จึงคิดว่าแขกคนเก่าอาจจะลืม คุณเอิร์ทจึงเดินไปเปิดประตูหลังบ้าน พอเปิดประตูเสร็จ สิ่งที่คุณเอิร์ทเห็นเป็นผ้าสีขาวกลับไม่มี! คุณเอิร์ทคิดว่าตัวเองตาฝาด จึงยืนนิ่ง ๆ อยู่สักพักนึง แล้วก็สะดุ้งเพราะเพื่อนทั้งหมดวิ่งกรูขึ้นไปข้างบนเสียงดังเฮฮาโวกเวกโวยวาย ความสนุกของเพื่อน ๆ ก็แผ่กลบบรรยากาศอันน่าสยองนี้ไป.. นอกจากบ้านที่คุณเอิร์ทมาพักแล้ว ฝั่งตรงข้ามก็มีอีกหลัง ซึ่งเป็นของพี่ ๆ น้อง ๆ ชาว LGBTQ พอพวกเขาเห็นกลุ่มคุณเอิร์ธที่เป็นวัยรุ่น จึงแซวข้ามไปข้ามมา สนุกสนานกันไป มีบางเวลาที่บ้านหลังแรกเล่นเกมกันไม่ออกไปไหน ส่วนหลังที่สอง คุณเอิร์ทกับกลุ่มเพื่อนก็ไปเล่นน้ำ ในระหว่างทางเดินไปเล่นน้ำ จะมีเพื่อนคนหนึ่งของคุณเอิร์ทค่อนข้างหน้าตาดี จึงโดนพี่ ๆ ชาว LGBTQ แซวว่ามีแฟนหรือยังตามประสาทั่วไป ในจังหวะที่คุณเอิร์ทกับเพื่อนเล่นน้ำนั้น ตัดภาพมาที่บ้านหลังแรก มีเพื่อนของคุณเอิร์ทคนหนึ่งนอนอยู่ข้างบน ขณะที่คนอื่นกำลังเล่นเกมกันอยู่ เพื่อนที่นอนอยู่ก็ฝันเห็นเป็นผู้หญิงใส่ชุดเดรสสีขาว ถักผมเปียคาดหน้าผาก มายืนมองเพื่อนคนนี้อยู่ที่ปลายเตียง แล้วเขาก็สะดุ้งตื่น จากนั้นก็นำเรื่องนี้มาเล่าให้กับเพื่อน ๆ ที่เล่นเกมอยู่ฟัง เพื่อน ๆ ก็บอกว่าสงสัยเห็นสาวที่ร้านสะดวกซื้อแล้วคิดมาก แล้วเรื่องนี้ก็ผ่านไป ตัดภาพที่ฝั่งของคุณเอิร์ท หลังจากเล่นน้ำกันเสร็จ เพื่อนคนหนึ่งชื่อ ‘คุณปาร์ค’ ก็เดินไปบ้านหลังที่สอง ซึ่งบ้านหลังนี้ก็มีเพื่อนบางส่วน และมีคุณแม่ของคุณเอิร์ทอยู่ คุณปาร์คไปเคาะประตูบ้านเพื่อที่จะอาบน้ำ ปรากฏว่ายืนเคาะอยู่ครึ่งชั่วโมง ก็ไม่มีใครมาเปิด จนกระทั่งเพื่อนออกมาเปิดประตู เพื่อนก็งงว่า “ทำไมไม่เคาะประตูทำไมถึงไม่เรียก มายืนค้างหน้าประตูทำไม” คุณปาร์คจึงตอบไปว่า “เรียกตั้งนานแล้ว ทั้งเคาะ ทั้งตะโกนเรียก แต่ก็ไม่มีใครได้ยิน” จากนั้นก็เข้าไปอาบน้ำตามปกติ ขณะที่คุณปาร์คกำลังอาบน้ำ เขาสังเกตเห็นว่าตรงท่อระบายน้ำมีเส้นผมของผู้หญิง เขาคิดว่ามันเป็นของแขกคนก่อน พออาบน้ำเสร็จก็มานอนที่เตียง แล้วก็เคลิ้มหลับ คุณปาร์คก็ฝันเห็นผู้หญิงผมยาวใส่ชุดเดรสสีขาว ทรงผมถักเปียคาดหน้าผาก ยืนอยู่ที่ปลายเตียง แล้วค่อย ๆ เดินมาหาคุณปาร์ค ค่อย ๆ คุกเข่าคลานขึ้นมาบนเตียง แล้วก็เอามือมาจับที่แขนของคุณปาร์ค แต่ว่าจังหวะที่มือจับ คุณปาร์คสะดุ้งตื่น เพราะเพื่อนมาสะกิดพอดี คุณปาร์คไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ได้แต่เก็บไว้ในใจ ตัดภาพมาที่ข้างล่าง ขณะนี้เป็นเวลาช่วงเย็น ตัวคุณแม่นั่งอยู่ข้างล่าง ส่วนคุณเอิร์ทไปปั่นจักรยานกับเพื่อน คุณแม่จึงโทรสั่งอาหารที่ดีลไว้กับที่พักให้มาส่ง เมื่ออาหารมาส่ง คุณแม่ก็บอกว่าเข้ามาได้เลย แต่คนส่งอาหารก็ยืนอ้ำอึ้งอยู่หน้าประตูไม่ยอมเข้ามา จนกระทั่งคุณแม่ต้องให้เพื่อนคนนึงเดินเอาเงินไปให้และไปเอาอาหารเข้ามา หลังจากนั้นแต่ละบ้านก็แยกกันกินข้าว พอกินข้าวเสร็จ กลุ่มเพื่อน ๆ ก็ขึ้นไปข้างบน มีเพื่อนคนหนึ่งจะหาครีมทาตัว ก็ช่วยกันหาครีม ปรากฏว่าหลอดครีมทาตัวที่เขาวางไว้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งมันไปอยู่ใต้เตียง ก็คิดว่าใครมาแกล้ง หรือผีหลอก จากนั้นก็เล่นปิดไฟหลอกผีกันไปมา โครมครามกันอยู่ข้างบน คุณแม่ที่นั่งอยู่ข้างล่างก็ได้ยินเสียงเด็ก ๆ พอเด็ก ๆ เล่นกันเสร็จก็ลงมานั่งดูทีวีกันข้างล่าง ปรากฏว่าตอนที่เด็ก ๆ ทั้งหมดลงมา คุณแม่ที่นั่งอยู่ข้างล่างก็ได้ยินเสียงบนห้องเป็นเสียงกรี๊ด! เสียงปิดประตูปั๊งงงงง! เสียงเดิน เสียงย่ำเท้า คุณแม่จึงถามเด็ก ๆ ว่า “ได้ยินมั้ย?” เด็ก ๆ ตอบว่า “ไม่ได้ยิน” ต้องบอกก่อนว่าคุณแม่ของคุณเอิร์ทเป็นคนมีจิตสัมผัส คุณแม่จึงบอกว่า “มาลองจับตัวแม่” พอทุกคนจับตัวแม่เสร็จปุ๊ป พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ได้ยิน” ตอนแรกเป็นเสียงเหมือนอยู่ไกล ๆ แต่พอไปๆ มา ๆ ก็แน่ใจว่าเสียงอยู่ชั้นสองของบ้าน พอเป็นเสียงกรี๊ด ก็กรี๊ดดังมาก ทุกคนจึงมานั่งกระจุกตัวอยู่กับคุณแม่ จังหวะนั้นคุณเอิร์ทก็เปิดประตูเข้ามาบ้านพอดี พอเห็นเพื่อนตัวเองนั่งเกาะแม่อยู่ คุณแม่ก็บอกว่าให้เงียบ ๆ แล้วถามว่า “เอิร์ทได้ยินมั้ย?” ด้วยความที่คุณเอิร์ทก็มีจิตสัมผัสเหมือนกัน จึงตอบว่า “ได้ยินเป็นเสียงผู้หญิง แต่ตอนแรกคิดว่าเป็นเสียงมาจากทีวี” พอหันไปมองที่ทีวีแต่ทีวีก็ปิดอยู่ คุณเอิร์ทจึงตั้งใจฟัง ปรากฏว่าได้ยินเป็นเสียงกรี๊ดข้างบน จากนั้นก็ปิดประตูแล้วก็วิ่ง คุณแม่จึงหันขึ้นไปข้างบนแล้วบอกว่า “ถ้ามึงไม่หยุด กูจะแช่ง” พอพูดจบ ก็ได้ยินเสียงปิดประตูปั๊งงง! แล้วก็เสียงกรี๊ด แล้วก็เสียงวิ่งดัง ๆ ตอนนั้นทุกคนกลัวมาก คุณแม่จึงบอกว่า “ให้ไปตามเพื่อนหลังแรกมาช่วยขนของที่นี่ แล้วเราไปอยู่หลังแรกกันก่อน” แต่ก็ไม่มีใครกล้าไป คุณเอิร์ทกับคุณปาร์คจึงอาสา พอเปิดประตูออกมาจากบ้านก็เดินผ่านหน้าบ้านชาว LGBTQ ซึ่งตอนนั้นพวกเขากำลังล้างรถกันอยู่ จึงแซวว่า “แหมม..มีแฟนแล้วก็ไม่บอก พาแฟนมาด้วยสวยเชียวนะ” ทั้งคู่ก็ตกใจเพราะไม่ได้มีผู้หญิงคนไหนมาด้วย จากนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปบ้านหลังแรก บ้านหลังแรกที่นั่งเล่นเกมกันอยู่ก็ตกใจ จึงแซวว่า “โดนผีหลอกมาเหรอ” แล้วก็ขำกัน ส่วนตัวของคุณปาร์คก็วิ่งขึ้นไปนอนคลุมโปงอยู่ข้างบน คุณเอิร์ทจึงตอบเพื่อนไปว่า “ใช่ กูโดนผีหลอก” แล้วก็เล่ารายละเอียดให้เพื่อนฟัง พร้อมบอกให้เพื่อน ๆ ไปช่วยกันเก็บของที่บ้านหลังที่สอง เมื่อไปถึงบ้านหลังที่สอง ก็รีบเก็บของจากข้างล่างขึ้นไปเก็บข้างบน ซึ่งข้างบนจะมีอยู่สองห้อง ห้องซ้ายกับห้องขวา ห้องหนึ่งเปิดประตูเก็บของเรียบร้อย ในตอนนั้นคุณเอิร์ทยืนอยู่ระหว่างทางห้องหนึ่งกับห้องสอง เขาก็ถามเพื่อนว่า “ของเก็บหมดยัง” เพื่อน ๆ จึงตอบไปว่า “เก็บหมดแล้วมั้ง” คุณเอิร์ทจึงหันไปมองห้องสอง แล้วพูดว่า “แล้วห้องนี้เก็บหรือยัง” พอพูดจบ ประตูก็ปิดเข้าหาหน้าดังปั๊งง! ใส่หน้าคุณเอิร์ท ทันใดนั้น ทุกคนที่อยู่บนนั้นก็รีบวิ่งลงมาข้างล่าง วิ่งไปขึ้นรถตู้ แต่คุณแม่ไม่อยู่ ทุกคนจึงรอคุณแม่มา เพราะคุณแม่ไปถามเจ้าของบ้านเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น พอคุณแม่กลับมา ก็ขึ้นรถตู้เรียบร้อย รถก็ขับออกมา ทางด้านบ้านฝั่ง LGBTQ ก็ยังคงแซวอยู่ว่า “กลับแล้วหรอ” แต่ในระหว่างที่รถออกมา คุณเอิร์ทมองไปที่พี่ ๆ กลุ่มนั้น ก็เห็นว่าเขามองรถและมองบ้านสลับกันไปมา แล้ววิ่งหนีเข้าไปในบ้านตัวเอง เหมือนมองประมาณว่า ‘มึงลืมใครไว้ที่บ้านหลังนี้หรือเปล่า’ พอรถตู้ออกมาได้สักพัก ภายในรถก็นั่งคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น คุณแม่บอกว่า “เจ้าของบ้านแทนที่จะตอบ กลับไม่ตอบแล้วทำท่าอึกอัก แล้วก็บอกว่าเดี๋ยวจะลดราคาให้” จนกระทั่งคุณแม่พูดถึงความผิดปกติของบ้าน คือบ้านสองหลังเหมือนกันทุกอย่าง ยกเว้นตรงบันได บันไดบ้านหลังแรกเป็นบันไดไม้เวลาเดินขึ้นลงจะเห็นเท้าปกติ แต่บ้านหลังที่สองมีปูนถูกก่อขึ้นมาปิดใต้บันไดเอาไว้ จึงถามว่า “ตรงใต้บันไดมีอะไรหรือเปล่า เพราะมันไม่หมือนหลังหนึ่ง” ปรากฏว่าเจ้าของบ้านเล่าว่า “สมัยก่อน มีผู้หญิงผู้ชายเคยมาเช่าอยู่ แต่ทะเลาะกันยังไงก็ไม่รู้ผู้ชายลงมือฆ่าผู้หญิง เอาศพไปไว้ใต้บันได พยายามให้แม่บ้านมาทำความสะอาดแล้ว แต่มันทำความสะอาดไม่ได้ คราบเลือดคราบน้ำหนองมันไม่หาย จึงโบกปูนขึ้นมาปิดเพื่อที่จะไม่ให้มีใครเห็น ก็คิดว่ามันคงจะไม่มีอะไร” หลังจากนั้นระหว่างที่รถแวะจอดกินข้าว เพื่อนของคุณเอิร์ทได้นำไปเล่าให้กับป้า ๆ ที่ทำอาหารฟัง ป้าจึงบอกว่า “ยังไปพักกันอยู่อีกเหรอ ที่นี่ไม่มีใครไปพักนานแล้วนะ” หลังจากนั้นก็ได้แวะวัด ปรากฏว่ามีพระทักว่า “โยมไปเจออะไรกันมา หนักนะเนี่ย” พระท่านก็พรมน้ำมนต์ให้ คุณเอิร์ทจึงติดใจมาตลอดว่าทำไม่ถึงถูกพระทักแบบนี้ และไม่รู้จะทำอย่างไรดี ตอนนั้นมีคนรู้จักแนะนำให้ไปหาคนทรง คนทรงบอกว่า “เหมือนกับคนนี้ดวงซวยที่ไปเจอไปเห็นอะไร” เขาบอกว่ามีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ชื่อ ‘คุณเย็น’ ตอนที่จะเข้าไปเก็บของจากบ้านที่สองไปบ้านแรก คุณเย็นเปิดประตูเข้าไปแล้วยืนนิ่ง ๆ น้ำตาไหลร้องไห้ คุณเย็นบอกว่าพอเปิดประตูเข้าไป มองผ่านประตูข้างหลังที่มันทะลุไปพื้นที่ซักล้าง ก็เห็นเป็นผู้หญิงคนนั้น ยืนมองเขาผ่านหน้าช่องบานเกร็ด เขาบอกสิ่งที่เขาจำได้ว่าเป็นผู้หญิงคนเดียวกับที่มาเข้าฝัน ซึ่งไม่รู้ว่ามายืนตรงนี้ได้ยังไง เขาก็จึงยืนช็อคอยู่แบบนั้น คนทรงบอกว่า “ที่ไปเจอมาแบบนี้เพราะว่าจิตเราเปิด พอจิตเราเปิดเราจะมองเห็นอะไรอย่างอื่นด้วย” เพื่อนจึงตอบว่า “ใช่” เพราะหลังจากกลับจากไปเที่ยววันนั้น เขาฝันทุกวัน เห็นเป็นผู้ชายจะมาเอาชีวิต ซึ่งผู้ชายคนนี้เป็นใครก็ไม่รู้ พอมาคุยกับคนที่เป็นคนทรงจึงได้รู้ว่าคนนี้คือ เจ้ากรรมนายเวรที่จะมาเอาชีวิตหลังจากที่จิตเปิด สิ่งเดียวที่ทำได้คือไปบวช เพื่อนคนนี้จึงไปบวชเณร หลังจากที่บวชเสร็จก็ใช้ชีวิตตามปกติ จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าผู้หญิงที่เจอที่ที่พักนั้นยังอยู่หรือเปล่า..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

โศกนาฏกรรมเครื่องบินตกคือจุดเริ่มต้นของเรื่องสยอง! เมื่อสืบหาความจริงจึงพบว่ามีคนแอบหยิบของมีค่าออกจากที่เกิดเหตุ จากนั้นก็วุ่นทั้งหมู่บ้าน! เพราะมีร่างไหม้เกรียมศีรษะขาดออกมาหลอกหลอนจนแทบนอนไม่ได้!

31 ต.ค. 2023

โศกนาฏกรรมเครื่องบินตกคือจุดเริ่มต้นของเรื่องสยอง! เมื่อสืบหาความจริงจึงพบว่ามีคนแอบหยิบของมีค่าออกจากที่เกิดเหตุ จากนั้นก็วุ่นทั้งหมู่บ้าน! เพราะมีร่างไหม้เกรียมศีรษะขาดออกมาหลอกหลอนจนแทบนอนไม่ได้!

ติดตามเรื่องราวความสยอง จากเรื่อง ‘คืนสยองหลอนทั้งหมู่บ้าน’ โดย ‘คุณรุ้ง’ ไปพร้อมกับ ‘ดีเจมดดำ’, ‘ดีเจเคเบิ้ล’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (24 ตุลาคม 2566) ไปอ่านพร้อมกันเลย! ย้อนกลับไปเมื่อ 31 ปีก่อน มีเหตุโศกนาฎกรรมสุดช็อค ที่เครื่องบินของสายการบินประเทศเพื่อนบ้านตก เนื่องจากขณะเครื่องลดระดับลงจอด มีฝนตกหนักและทัศนวิสัยไม่ดี มีรายงานว่าเครื่องถูกฟ้าผ่านักบินลดระดับความสูงไม่ถูกต้อง จนนำเครื่องลงจอดผิดเป้าหมายและตกลงในที่สุด ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้พบผู้โดยสารและลูกเรือเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ทุกคนในบริเวณนั้นต่างพากันออกมาดูเหตุการณ์ยังสถานที่เกิดเหตุ ในตอนแรกตัวคุณรุ้งเองก็ไม่ได้สนใจ แค่รับรู้ว่ามีข่าวเครื่องบินตกบริเวณใกล้บ้าน เย็นวันนั้น เพื่อนของคุณรุ้ง นามสมมุติ ‘เจิด’ ชวนไปดูสถานที่เกิดเหตุ เธอจึงตัดสินใจไปด้วย ในสถานที่เกิดเหตุมีซากเครื่องบินและสัมภาระของผู้โดยสารกระจัดกระจายอยู่บ้าง และมีบางส่วนที่เจ้าหน้าที่ได้เก็บกวาดไปแล้ว จากนั้นก็ต่างพากันแยกย้ายกันกลับบ้าน ในคืนนั้น ขณะที่คุณรุ้งนอนหลับก็สะดุ้งตื่นด้วยอาการปวดปัสสาวะ จึงตัดสินใจลุกไปเข้าห้องน้ำ ในระหว่างทางสายตาก็หันไปทางหน้าต่างซึ่งทะลุเห็นบริเวณหน้าบ้าน ปรากฏว่าเธอสังเกตเห็นมีบางคนยืนอยู่บริเวณนั้น แสงไฟจากถนนส่องลงมากระทบตัวคนนั้น และก็ค่อย ๆ หันลำตัวก็เข้ามาทางบ้านของเธอ! ในใจคุณรุ้งตอนนั้นคิดแค่ว่าเป็นแค่ใครบางคนที่กำลังทำอะไรบางอย่าง เมื่อเข้าห้องน้ำเสร็จเธอก็กลับไปนอนตามปกติ คืนต่อมา เหตุการณ์นั้นก็เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้คุณรุ้งรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังเดินอยู่บริเวณนอกบ้าน ตอนแรกเธอคิดว่าเป็นขโมยขึ้นบ้าน จึงตัดสินใจแอบส่องออกไปจากผ่านหน้าต่าง ปรากฎเธอเห็นผู้ชายเดินตัดหน้าไป จากนั้นผู้ชายคนนั้นก็หยุดชะงักตรงบริเวณหน้าต่าง เหมือนกับว่ารับรู้ว่ามีคนแอบมอง! ไม่นานก็ค่อย ๆ หันกลับมาอย่างช้า ๆ และจ้องมาทางตัวคุณรุ้ง! ในตอนนั้นคุณรุ้งตกใจจนขนลุก เพราะสิ่งที่กำลังยืนประจันหน้าเธออยู่นั้น เป็นร่างกายที่มีรอยไหม้เกรียมและศีรษะขาดหายไป! คุณรุ้งเห็นเช่นนั้นก็รีบวิ่งกลับไปยังห้อง แล้วนอนคลุมโปงทันที ขณะที่เธอรู้สึกกลัวอยู่ใต้ผ้าห่ม หูก็ดันไปได้ยินเสียงเท้าเดินฉับ ๆ ภายในบ้าน คล้ายกับสิ่งนั้นกำลังพยายามหาอะไรบางอย่าง! ในตอนเช้าคุณรุ้งเล่าทุกอย่างให้คุณแม่ฟัง จากนั้นเธอถึงกลับต้องขนหัวลุกอีกครั้ง เพราะแม่เล่าว่าทุกคนในหมู่บ้านได้มาเล่าว่าเจอเหตุการณ์คล้ายกันกับคุณรุ้ง! หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจิดได้มาบอกกับคุณรุ้งว่า ในวันที่ทั้งคู่ไปยังสถานที่เกิดเหตุ เจิดบังเอิญไปเหยียบกับอะไรบางอย่าง พอยกเท้าขึ้นปรากฎว่าเป็นแหวนทอง จึงตัดสินใจเก็บกลับมาด้วยเพราะคิดว่าคงมีมูลค่า จากนั้นคุณเจิดก็ตั้งใจจะขายแหวนวงนี้ แต่คุณรุ้งบอกว่าให้นำไปคืน จึงตัดสินใจกลับไปยังสถานที่เกิดเหตุ และโยนแหวนนี้ทิ้งไป เหตุการณ์หลอนชวนขนหัวลุกที่หลาย ๆ บ้านเจอ ก็อาจเป็นเพราะเจ้าของแหวนอยากจะได้ของคืน จึงต้องมาตามหาทุกบ้านในบริเวณนั้นนั่นเอง..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

Epic time ถ่ายรายการผีที่ต้องไปนอนบ้านคนอื่น จนทีมงานเจอดี วิ่งหนีแทบไม่ทัน

09 ก.พ. 2024

Epic time ถ่ายรายการผีที่ต้องไปนอนบ้านคนอื่น จนทีมงานเจอดี วิ่งหนีแทบไม่ทัน

เรื่องนี้ ‘คุณทับทิม’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (6 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องที่เกิดในรายการ ‘Epic Ghost Camp’ อีพีที่เป็นบ้านของน้องสตรีมเมอร์คนหนึ่ง ซึ่งทางเจ้าของบ้านได้มีการชักชวนด้วยตัวเอง เพราะมั่นใจว่าบ้านของตัวเองโหดที่สุด ตั้งแต่รายการนี้ไปถ่ายทำมา เรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย โดยเรื่องนี้ที่คุณทับทิมได้นำมาเล่าเป็นประสบการณ์จากรายการ Epic Ghost Camp EP ที่ไปถ่ายทำที่บ้านของ ‘คุณต้น’ (นามสมมติ) สตรีมเมอร์คนหนึ่ง โดยรายการนี้ พิธีกรหลักคือ ‘คุณเอก’ และ ‘คุณทับทิม’ ยูทูปเบอร์จากช่องดังอย่าง Epic Time จะเข้าไปรับฟังเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในบ้านกับเจ้าของบ้านก่อน ส่วนทีมงานจะอยู่ข้างนอกไม่ได้เข้าไปฟังด้วย เพื่อป้องกันการเตี้ยม นอกจากนี้รายการยังให้ทีมงานไปนอนตรงจุดที่มีเรื่องราวต่าง ๆ ในบริเวณบ้าน ด้วยการจับฉลากอีกด้วย เมื่อเริ่มถ่ายทำ คุณต้นก็เล่าเรื่องหลอนให้คุณเอกและคุณทับทิมฟังว่า สิ่งที่เกิดกับบ้านหลังนี้คือ เวลาอยู่คนเดียวมักจะได้ยินเสียงเหมือนกับมีคนกำลังเดินขึ้นลงบันได อธิบายเพิ่มเติมว่าบ้านหลังนี้จะมี 1 ห้อง ที่เป็นห้องนอนสำหรับทีมงานของคุณต้น และเล่าให้ฟังอีกว่า วันหนึ่งมีทีมงานคนหนึ่งนอนหลับอยู่ในห้องตามปกติ อยู่ ๆ ก็เจอเงาสีดำ รูปร่างคล้ายกับกุมารทอง แต่ไม่เห็นใบหน้า มายืนอยู่ข้าง ๆ ซึ่งก่อนหน้าที่ทางทีมงานของคุณต้นจะเจอดี ตอนเช้าได้มีการท้าทายว่า “ถ้าบ้านหลังนี้มีผีจริง ๆ คืนนี้ขอเจอหน่อย อยากเจอ” ที่พูดไปแบบนั้นเพราะทีมงานคนอื่นได้เจอกันหมดแล้ว เหลือเขาคนเดียวที่ยังไม่เคยเจอ และสุดท้ายก็ได้เจอดีเข้าจริง ๆ คุณต้นยังเล่าเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองอีกว่า ขณะที่เขากำลังนั่งเล่นเกมอยู่คนเดียว อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูแบบรัว ๆ “ปึง ปึง ปึง!” ครั้งแรกเขาก็ไม่ได้สนใจ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าบ้านตนเองมีอะไรบางอย่างอยู่ จึงนั่งเล่นเกมต่อ เวลาก็ผ่านไปไม่ถึง 20 วินาที เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูอีก ครั้งนี้เคาะเสียงดังมาก “ปึง ปึง ปึง!!” จนประตูสั่น เขาจึงตัดสินใจวิ่งไปเปิดประตู แต่กลับไม่พบอะไรเลย! และอีกเหตุการณ์ที่หนักที่สุดตั้งแต่เคยเจอมาในบ้านนี้ก็คือ คุณแม่ของคุณต้นถูกผีเข้าสิง! ซึ่งเป็นผีกุมารทองที่คุณแม่เป็นคนเลี้ยงไว้เอง คุณต้นเล่าลักษณะตอนที่คุณแม่ถูกเข้าสิงว่า “คุณแม่มีอาการเสียงเปลี่ยนไป เป็นเหมือนกับเสียงของเด็ก และก็มีแรงเยอะผิดปกติ ขนาดผู้ชายจับ 4 คนจับยังไม่อยู่” เมื่อเล่าเรื่องหลอนกันพอสังเขป ทางรายการก็ให้ทีมงานเข้าไปในบ้าน เพื่อจับสลากเลือกจุดที่จะนอน เพื่อให้แต่ละคนได้จุดที่นอนแตกต่างกันไป ซึ่งคุณทับทิมก็ได้นอนด้วย เป็นจุดที่ต้องนอนในห้องของทีมงานที่เคยเจอกุมารทอง แต่สุดท้ายคุณทับทิมก็ไม่เจออะไร ทางด้านทีมงาน ก็มีทีมงานคนหนึ่งเขามีสัมผัสที่หก ได้ไปนอนอยู่หน้าห้องของทีมงานคุณต้น ซึ่งอยู่ตรงทางขึ้นลงบันได จุดนี้เป็นจุดที่เจอดีเยอะมาก อันแรกคือ จุดที่ทีมงานนอน ด้านบนจะมีหิ้งพระ ข้างหิ้งพระก็จะเป็นแจกันดอกบัว ทีมงานคนนี้ก็กวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้อง จังหวะที่สายตามองขึ้นไปเห็นหิ้งพระ ดอกบัวที่อยู่ในแจกันขยับเอง ทั้งที่แจกันก็ยังตั้งอยู่นิ่ง ๆ ในขณะที่กำลังพักกล้อง อยู่ดี ๆ ทีมงานคนเดิมก็มีอาการแปลก ๆ ยืนเอาหลังพิงกำแพงแล้วก็ค่อย ๆ รูดตัวลงไปกับกำแพง พร้อมกับเอามือปิดหน้า คุณเอกที่ดูผ่านมอนิเตอร์ เห็นท่าทางอาการเริ่มไม่ค่อยดี จึงใช้วอไปถามทีมงานคนนี้ว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งทางทีมงานก็ตอบว่า “มีผู้ชายตัวเล็ก ๆ มานั่งชันเข่าอยู่ข้าง ๆ” จากนั้นทีมงานคนเดิมก็เห็น ผู้ชายตัวเล็กคนเดิม ไปนั่งห้อยขาลงมาจากตู้เสื้อผ้า คุณเอกก็ได้มีการวอถามซ้ำอีกว่า “ยังเห็นอยู่ไหม เขาไปหรือยัง” ทีมงานก็เงยหน้าขึ้นไปมอง แล้วก็ตอบว่า “ยังอยู่ค่ะ” ต่อมามีเหตุการณ์ที่ทีมงานคนเดิมวิ่งลงบันไดพร้อมกับกรี๊ดเสียงดังมาก ทุกคนที่ยังนอนตามจุดต่าง ๆ ก็ตกใจ และกลัวว่าทีมงานคนนี้จะตกบันได ก็ได้มีการมารวมตัวกันที่กลางบ้าน ทีมงานคนนี้ก็เล่าให้ฟังว่า ‘จังหวะที่กำลังเดินลงบันใดมาข้างล่าง เขามองไปตรงชานพักบันไดกลางบ้าน ด้านซ้ายจะเป็นหน้าต่างระบายอากาศ เขาเห็นเป็นเหมือนผู้หญิง ผมยาว ๆ อยู่ข้างนอก เขาตกใจจึงวิ่งกรี๊ดลงมา’ ซึ่งทีมงานอีกคน ที่นอนอยู่บริเวณด้านล่าง เป็นผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด จึงสาธิตให้ดูว่า ‘เห็นทีมงานคนนี้หันหน้าออกไปที่หน้าต่าง แล้วก็ตกใจกรี๊ดแล้วก็วิ่งลงมา’ หลังจากคลิปนี้ได้เผยแพร่ออกไป ก็มีคอมเมนต์จากแฟนคลับว่า นาทีที่ 25.53 เห็นเงาหน้าผู้หญิงที่หน้าต่าง ซึ่งจังหวะนั้นเป็นจังหวะที่ทีมงานคนที่เห็นเหตุการณ์กำลังสาธิตอยู่ พอทีมงานคนที่สาธิตเดินจากบันไดมาถึงข้างล่าง หน้าของผู้หญิงก็หันออกไปแล้วก็หายไปแล้ว(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1