ครูตรีเล่าเรื่อง ‘โทรศัพท์สาธารณะ’ I อังคารคลุมโปง X ครูตรีมีเรื่องเล่า [ 21 พ.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

ครูตรีเล่าเรื่อง ‘โทรศัพท์สาธารณะ’ I อังคารคลุมโปง X ครูตรีมีเรื่องเล่า [ 21 พ.ค. 2567]

27 พ.ค. 2024

        เรื่องนี้ ‘ครูตรีมีเรื่องเล่า’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (21 พฤษภาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ และ ‘ดีเจแนน’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘โทรศัพท์สาธารณะ’ เรื่องราวสุดหลอนนี้จะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย!

        เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ ‘คุณชาติ’ ฝากครูตรีมาเล่า ตอนนั้นคุณชาติมีแฟนมีคนหนึ่งชื่อ ‘คุณมิว’ (นามสมมุติ) คบกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย เรียนคณะเดียวกัน ตัวติดกันตลอด พอทั้งคู่เรียนจบก็แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ทั้งคู่ต้องห่างกัน ซึ่งคุณชาติกับคุณมิวต้องแยกกันอยู่ เพราะสถานที่ทำงานไม่สามารถทำให้อยู่ด้วยกันได้เหมือนตอนเรียนมหาลัย

        คุณชาติย้ายมาอยู่กับแม่ ซึ่งที่ทำงานของคุณชาติอยู่ห่างจากบ้านค่อนข้างไกล ส่วนคุณมิวนั้นมีที่ทำงานอยู่ใกล้บ้าน ดังนั้นเวลากลับบ้าน คุณมิวก็จะถึงบ้านก่อน แต่คุณชาติกว่าจะเดินทางมาถึงบ้านต้องใช้เวลา เฉลี่ยเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ด้วยความที่อยู่ไกลกัน แล้วสมัยนั้นโทรศัพท์มือถือค่าบริการแพงมาก จะมีก็แต่โทรศัพท์บ้านอยู่เครื่องหนึ่ง ซึ่งบ้านของคุณชาติอยู่นอกเหนือพื้นที่ให้บริการโทรศัพท์บ้าน

        ด้วยความที่ทั้งคู่ทำงานไกลกัน คุณชาติจึงต้องใช้โทรศัพท์สาธารณะเพื่อจะได้ติดต่อกับคุณมิว คุณมิวจึงตั้งกฎเหล็กสำคัญไว้ใช้สำหรับทั้งคู่คือ ทุกครั้งที่กลับบ้านต้องโทรหากัน ทั้งคู่จะตกลงกันก่อนว่าจะคุยกัน 5 บาท หรือ 10 บาท (ในสมัยนั้น 1 บาท คุยได้ 3 นาที) หากคุยไม่ครบเวลาที่กำหนดกันไว้ คุณมิวก็จะงอนและทะเลาะกัน ดังนั้นถ้าตกลงกันแล้วต้องคุยให้ครบเวลาตามที่ตกลงกันไว้

        จากนั้นคุณชาติก็เล่าต่อว่า ปกติเวลาเลิกงานคุณชาติจะนั่งรถสาธารณะกลับบ้านทุกวัน ซึ่งลักษณะซอยบ้านนั้น ถ้าลงรถสาธารณะแล้ว กว่าจะเดินเข้าถึงตัวบ้าน จะมีระยะทางประมาณ 600 เมตร  และถ้าลงจากรถสาธารณะแล้วเดินเท้าเข้าไปในซอย ไม่นานจะเจอบ้านหลังหนึ่งซึ่งเป็นแหล่งแสงสว่างแหล่งแรกของซอยนี้ จากนั้นเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณถึงกลางซอย ก็จะพบเสาไฟฟ้าที่ให้แสงสว่างเป็นไฟทาง ซึ่งไฟสมัยนั้นจะเป็นไฟสลัว และถัดจากเสาไฟฟ้าไปอีกประมาณ 15 ก้าว ก็จะเจอตู้โทรศัพท์สาธารณะตั้งอยู่หนึ่งตู้

        คุณชาติจะใช้โทรศัพท์สาธารณะตู้นี้มาโดยตลอด เมื่อไหร่ก็ตามที่กลับจากที่ทำงาน ก็จะนัดกับคุณมิวโทรคุยกัน เช่น วันนี้จะคุย 5 บาท ก็หยอดเหรียญ 5 บาท แล้วก็คุยกันไปเรื่อย ๆ พอคุยใกล้จะเสร็จเวลาตัวเลขก็ถอยหลัง 5 4 3 2 จนเหลือบาทสุดท้าย คุณชาติก็จะบอกกับแฟนที่อยู่ปลายสายว่า

        “เออเธอ มันจะหมดเงินแล้ว แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวเรากลับบ้านก่อน”

        จากนั้นคุณชาติก็วางโทรศัพท์แล้วก็เดินออกจากตู้ นี่คือสิ่งคุณชาติทำเป็นกิจวัตรประจำวัน

        มีอยู่วันหนึ่ง วันนั้นคุณชาตินั่งรถสาธารณะมาลงที่ปากซอยบ้านเวลาประมาณ 2 ทุ่ม พอลงจากรถเสร็จ ก็เดินเข้าซอยบ้านไปเรื่อย ๆ ก็จะพบเสาไฟฟ้าต้นเดิม ทุกอย่างบริเวณนั้นเหมือนเดิมทุกอย่าง เดินจนมาถึงตู้โทรศัพท์สาธารณะตู้ประจำ แล้วก็เดินเข้าไปข้างในตู้ จากนั้น ก็หยอดเหรียญ 5 บาท เพราะวันนี้นัดกันว่าจะคุยกัน 5 บาท ระหว่างที่คุณชาติโทรอยู่ ตัวเลขเงินก็จะลดลง 5 4 3 2  พอเลข 2 ขึ้น คุณชาติก็มองออกไปข้างนอกตู้โทรศัพท์ กลับพบผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่หลังเสาไฟฟ้าต้นนั้น แล้วเอียงคอชะโงกมองมาที่คุณชาติ!

        คุณชาติคิดว่าผู้ชายคนนั้นน่าจะมารอคุยโทรศัพท์ต่อเป็นแน่ แต่ผู้ชายคนนั้นเขามารยาทดีมาก ไม่มายืนกดดันคุณชาติที่หน้าตู้โทรศัพท์สาธารณะเลย แล้วตอนนี้เหลือเงินแค่ 2 บาท นั่นก็คือเหลือเวลาอีก 6 นาที ทั้งคู่ก็คุยกันจนหมดเวลา จากนั้นคุณชาติก็บอกกับแฟนว่า

        “เออเธอแค่นี้นะ เงินที่หยอดไปมันหมดแล้ว”

        คุณชาติก็วางสายโทรศัพท์แล้วเดินออกจากตู้โทรศัพท์สาธารณะ ซึ่งคุณชาติก็บอกว่า ตัวเขาก็หันกลับมามอง ผู้ชายคนนั้นก็ยังยืนอยู่เสาไฟฟ้าที่เดิมแล้วเอียงคอชะโงกหน้ามองคุณชาติเหมือนเดิม คุณชาติคิดว่าเขาคงรอให้เราไปก่อน แล้วเดี๋ยวเขาก็จะคงเดินมาเข้าไปใช้โทรศัพท์สาธารณะเอง ไม่น่าจะมีอะไรคุณชาติก็เดินกลับบ้านไป

        เช้าวันต่อมาคุณชาติก็ไปทำงานเหมือนเดิมตามปกติ แต่วันนี้มีการประชุมหลายอย่าง ที่บริษัทก็มีปัญหาด้วย จากเดิมที่เคยกลับบ้านเฉลี่ยเวลาประมาณ 2 ทุ่ม ทำให้วันนี้นั่งรถสาธารณะมาลงที่ปากซอยบ้านถึงเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ซึ่งดึกกว่าเดิม เมื่อนั่งรถสาธารณะมาลงหน้าปากซอยบ้าน ก็เดินผ่านบ้านหลังนั้นที่เป็นแหล่งแสงสว่างแสงแรก พอเดินไปเรื่อย ๆ ก็ผ่านเสาไฟฟ้าไปจนถึงตู้โทรศัพท์ แต่วันนี้เป็นวันที่คุณชาติ ตกลงกับแฟนไปเมื่อวานว่าวันนี้เราจะคุยกัน 10 บาท คือครึ่งชั่วโมง คุณชาติก็หยอดเงินไป 10 บาท จากนั้นก็เริ่มโทรคุยกับแฟน ซึ่งระหว่างที่คุยโทรศัพท์ ตาก็มองนั่นมองนี่ไปเรื่อย คุณชาติก็ไม่เจอใคร แต่สักพักหนึ่งขณะที่คุณชาติหันหลังให้กับตู้โทรศัพท์สาธารณะ แล้วหันหน้าไปอีกทางหนึ่งเพื่อคุยกับแฟนเพลิน ๆ จนตัวเลขหน้าตู้โทรศัพท์มันก็ลดลงจนเหลือ 4 บาท คุณชาติก็หันกลับมา คุณชาติก็ได้พบกับผู้ชายคนเดิมยืนอยู่หลังเสาไฟฟ้าอีกแล้วในลักษณะชะโงกหน้ามองมาที่คุณชาติเหมือนเดิม แต่ไม่ได้มีท่าทีว่าจะเร่งหรือเดินเข้ามาหาคุณชาติ

        ตอนนั้นอารมณ์ของคุณชาติไม่ได้คิดเรื่องกลัวผีหรืออะไรเลย คุณชาติกำลังคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นโจรหรือเปล่า หรือจะมาปล้นจี้มั้ย จากเดิมที่คุยกับแฟนสบาย ๆ ก็เริ่มเกิดความรู้สึกหวาดระแวง คุยโทรศัพท์ไปก็แอบเหลือบตามองไป ประมาณว่า ถ้ามองตรง ๆ เดี๋ยวเขาจะรู้ว่าเรารู้ตัวแล้ว ถ้าเกิดเขาทำอะไรตอนนี้คงจะหนีไม่ทันเพราะ ยังอยู่ในตู้โทรศัพท์แบบนี้

        คุณชาติก็แอบเหลือบตามองไป แกล้งหมุนตัวไป แต่ตั้งแต่ 4 บาท 3 บาท 2 บาท จนเหลือบาทสุดท้าย ผู้ชายคนนั้นก็ยืนอยู่ที่เดิมด้วยลักษณะท่าทางเดิม ไม่ขยับไปไหน คุณชาติเริ่มรู้สึกว่ามันเริ่มหลอน เพราะการที่มีคนหนึ่งแอบมองอยู่ด้วยลักษณะแบบนั้นมันน่ากลัว พอถึงบาทสุดท้ายคุณชาติบอกกับแฟนที่อยู่ปลายสายว่า

        “เธอแค่นี้ก่อนนะเราหมดเงินแล้ว”

        พอวางสายเสร็จคุณชาติก็รีบเดินออกไป ไม่หันกลับมามองด้วยซ้ำว่าผู้ชายคนนี้ออกมาจากเสาหรือยัง

        วันรุ่งขึ้นเป็นอีกวันที่คุณชาตินัดกับแฟนว่าจะคุยกัน 10 บาท และวันนี้เหมือนเดิมคืองานที่บริษัทมีปัญหาเคลียร์ไม่ลงตัว พอนั่งรถสาธารณะมาถึงหน้าปากซอยบ้านก็เป็นเวลาประมาณ 3 ทุ่ม จากนั้นก็เดินเรื่อย ๆ ผ่านบ้านหลังนั้นเหมือนเดิม เดินมาจนถึงเสาไฟฟ้า คราวนี้เพื่อความชัวร์ คุณชาติกลัวว่าผู้ชายคนนั้นจะมายืนรออีกหรือเปล่า เพราะว่าถ้าคิดในแง่ดีเขาอาจจะมายืนรอคิวต่อโทรศัพท์ ถ้าคิดให้แง่ร้ายอาจจะมารอดูท่าทีว่าจะมาปล้นเราหรือเปล่า คุณชาติจึงยืนรอตรงเสาไฟฟ้า ประมาณว่าถ้าเกิดผู้ชายคนนั้นจะเข้ามาร้าย อย่างน้อยจะได้ตะโกนดัง ๆ บ้านหลังแรกต้นซอยก็จะได้ยิน เพราะถ้าอยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะซึ่งอันตรายกว่ามาก คุณชาติยืนรอตรงนั้นเกือบประมาณ 5 นาทีก็ไม่เจอผู้ชายคนนั้น จึงคิดว่าคงไม่มีเหตุการณ์แบบเมื่อวานเกิดขึ้นแล้ว

        หลังจากนั้นคุณชาติก็เข้าตู้โทรศัพท์สาธารณะ แล้วก็หยอดเหรียญ ตัวเลขมันก็เริ่มถอยหลังจาก 10 ก็เป็น 9 เป็น 8 คุยไปเรื่อย ๆ ระหว่างนั้นตาก็มองรอบๆ มองไปเรื่อย ๆ ก็ไม่เจอใครที่เสาไฟฟ้านั้น คุณชาติก็เลยเกิดความสบายใจขึ้นเพราะไม่เจอผู้ชายคนนั้น และตอนนี้มั่นใจแล้วว่ามันเป็นแค่ความบังเอิญ คุณชาติก็คุยไปหัวเราะไป แต่มันจะมีจังหวะที่เขาหันไปอีกด้านหนึ่งแล้วหัวเราะ พอหันกลับมา ก็เจอผู้ชายคนนั้นยืนเอียงคอชะโงกมองอยู่หลังเสาไฟฟ้า ซึ่งมันเป็นช่วงจังหวะไม่กี่วินาที! ซึ่งไม่กี่วินาทีนั้นเขาจะวิ่งมาจากไหนเราต้องเห็น แต่อยู่ ๆ มายืนลักษณะเดิม  คุณชาติก็เริ่มมองตัวเลขในโทรศัพท์ เหลือ 4 บาท ตอนนั้นก็ต้องตัดสินใจว่าจะวางแล้วหนีหรือยังไงดี แต่ผู้ชายคนนั้นไม่มีท่าทีว่าจะขยับหรืออะไรเลย ระหว่างที่คุณชาติคิดอย่างหวาดระแวงแฟนก็พูดไปเรื่อย ๆ

        ดูเวลาในโทรศัพท์ตอนนั้นก็เหลือ 3 บาท ลดลงมาเหลือ 2 เท่ากับเหลือเวลาอีก 6 นาที ถ้าวางตอนนี้แล้วขอตัวจากแฟนเลยเพื่อความปลอดภัยของตัวเองมันก็ได้ แต่มีสิทธิ์ที่จะทะเลาะกับแฟนสูงมาก คุณชาติจึงคิดว่า ระหว่างที่ผู้ชายคนนั้นไม่มีท่าทีจะมาทำร้ายคุณชาติ และแฟนที่ถ้าคุณชาติวางสายตอนนี้อาจจะมีปัญหากัน คุณชาติก็เลยตัดสินใจได้ว่า คุยกับแฟนต่อ พอคุยจนเหลือบาทสุดท้าย คุณชาติก็บอกแฟนว่า

        “เธอเงินหมดแล้วแค่นี้นะ”

        คุณชาติก็รีบเดินออกมาจากตู้โทรศัพท์ พอจังหวะที่เดินออกมาก็ยังเห็นผู้ชายคนนั้นยืนเอียงคอชะโงกหน้าอยู่หลังเสาไฟฟ้า วันนี้คุณชาติโทรศัพท์คุยกับแฟนนานเกือบครึ่งชั่วโมง แล้วเขามายืนรอเป็น 10 นาทีเลย คุณชาติเริ่มรู้สึกระแวง เลยรีบเดินออกไป แต่ก็มีหันเหลือบตาไปมองทางขวาว่าผู้ชายคนนั้นวิ่งตามหรือเดินตามมามั้ย ปรากฎว่าผู้ชายคนนั้นไม่อยู่ที่เสาไฟฟ้าแล้ว คุณชาติก็พูดออกมาว่าเลย

        “เห้ย! แล้วหายไปไหน”

        ด้วยความระแวงจึงรีบเดินจ้ำออกจากตรงนั้น ปรากฎว่าได้ยินเสียงปิดประตูดัง ปั้งงงงง!!!! มาจากตู้โทรศัพท์สาธารณะตู้นั้นที่คุณชาติพึ่งใช้บริการไปเมื่อกี้ พอคุณชาติได้ยินเสียงที่ดังมากจาตู้โทรศัพท์สาธารณะ ก็สะดุ้งแล้วหันกลับมามองที่ตู้โทรศัพท์อีกครั้งหนึ่ง สิ่งที่เขาเห็นคือ ผู้ชายคนนั้นนอนอยู่ในตู้โทรศัพท์ ในลักษณะเหมือนกึ่งนั่งกึ่งนอน แล้วขาก็ยันไว้กับตู้โทรศัพท์ ส่วนคอเอียงไปด้านหนึ่งแล้วก็มีเลือดไหลออกมา มือก็ห้อยไปด้านข้าง ส่วนหูโทรศัพท์สาธารณะก็ห้อยมาด้านข้างเหมือนกัน คุณชาติเห็นแบบนั้นก็ร้องลั่นวิ่งกลับบ้าน แล้วก็รีบวิ่งมาบอกคุณแม่ว่า

        “ผมเจอผี ผมเจอผี!”

        แล้วก็เล่าทุกอย่าง แม่ก็บอกว่า

        “ใจเย็น ตาฟาดหรือเปล่า”

        คุณชาติก็ตอบกลับคุณแม่ว่า

        “ไม่ฟาดแม่ลักษณะแบบนี้เลย”

        แม่ก็บอก “เราก็อยู่มาตั้งนานแล้วไม่เคยเจอเลยนะ”

        สุดท้ายพอได้เห็นเหตุการณ์นั้นคุณชาติก็ไข้ขึ้นสูง วันรุ่งขึ้นคุณชาติไม่ได้ไปทำงาน ตอนเย็นแม่ก็เอาข้าวต้มมาให้ แม่ก็บอกว่ากับคุณชาติว่า

        “แม่รู้แล้วนะ แม่ไปเล่าให้ป้าข้างบ้านฟัง ว่าชาติอ่ะโดนผีหลอกมา”

        ป้าข้างบ้านก็บอกกับแม่คุณชาติว่า “อ้าวว…ไม่รู้เรื่องหรอ?”

        แม่ถามว่าเรื่องอะไร จากนั้นคุณป้าข้างบ้านก็เล่าให้ฟังว่า เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นตรงกับที่คุณชาติกับแม่ไปต่างจังหวัดหนึ่งสัปดาห์ ทั้งคู่จึงไม่รู้เหตุการณ์นี้

        เหตุการณ์นี้คือ มีผู้ชายคนหนึ่งเข้าไปในตู้โทรศัพท์สาธารณะ แล้วก็มีวัยรุ่นคนหนึ่งเปิดประตูเข้าไปแล้วเอามีดจี้เพื่อจะปล้นเอาเงิน ผู้ชายในตู้โทรศัพท์ก็ยื่นเอาเงินให้วัยรุ่นคนนั้นแต่โดยดีโดยที่ไม่มีการขัดขืน โจรวัยรุ่นคนนั้นรับเงินมาแล้วแล้วก็วิ่งหนี แต่อยู่ ๆ ผู้ชายคนนั้นไม่รู้ว่าคิดอะไรขึ้นมา เปิดประตูวิ่งไล่โจรเพื่อจะไปเอาเงินคืน พอวิ่งมาถึงเสาไฟฟ้าต้นนั้น และเกิดการต่อสู้กันขึ้นมา จนสุดท้ายโจรวัยรุ่นก็เอามีดมาปาดที่คอผู้ชายคนนั้น แล้วโจรก็วิ่งหนีหายไป ส่วนผู้ชายคนนั้นก็กระเสือกกระสนมาที่ตู้โทรศัพท์เพื่อจะโทรขอความช่วยเหลือ แต่สุดท้ายก็ไม่ทัน ผู้ชายคนนั้นเสียชีวิตคาตู้โทรศัพท์สาธารณะ โดยสภาพศพตรงกับสิ่งที่คุณชาติเห็นทุกอย่าง..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

เปิดร้านทำผมใกล้สถานศึกษาจนได้รู้จักกับน้องคนหนึ่ง ทั้งคู่เกิดความรู้สึกดี ๆ ให้กัน คืนหนึ่งรุ่นน้องมานอนพักที่ร้าน จากนั้นก็ฝันว่าน้องคนนั้นตาย! พอตื่นมาก็เห็นข่าวว่าน้องโดนยิงตาย แต่ไม่เชื่อ จึงขึ้นไปเช็คที่ห้องนอน ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เลย!

14 ก.ย. 2023

เปิดร้านทำผมใกล้สถานศึกษาจนได้รู้จักกับน้องคนหนึ่ง ทั้งคู่เกิดความรู้สึกดี ๆ ให้กัน คืนหนึ่งรุ่นน้องมานอนพักที่ร้าน จากนั้นก็ฝันว่าน้องคนนั้นตาย! พอตื่นมาก็เห็นข่าวว่าน้องโดนยิงตาย แต่ไม่เชื่อ จึงขึ้นไปเช็คที่ห้องนอน ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เลย!

เมื่อความรักเกิดขึ้นได้ทุกช่วงเวลา แต่กลับถูกความตายมาพลัดพราก ทำให้ความสัมพันธ์ยังคลุมเครือไม่ได้ไปต่อ เรื่องราวความรักสีดำครั้งนี้จะเป็นยังไง รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 กันยายน 2566) ขอต้อนรับ ‘พี่ขวัญ น้ำมันพราย’ พบกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ที่จะมาร่วมปิดไฟ แล้วเปิดประสบการณ์ความรักสุดหลอนกันในค่ำคืนนี้! ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน เรื่องราวเกิดขึ้นกับ LGBTQ ท่านหนึ่ง ชื่อว่า ‘พี่แอน’ อดีตเคยเป็นลูกจ้างร้านเสริมสวยร้านหนึ่ง สะสมประสบการณ์เก็บเงินจนเติบโตกลายเป็นเจ้าของร้านเสริมสวยแถวมหาวิทยาลัยย่านรังสิต หลังจากเปิดมาได้ปีกว่าก็มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการจำนวนมาก พี่แอนจึงตัดสินใจจ้างลูกน้องให้มาช่วยงานที่ร้าน ตัวพี่แอนเองมักจะสนิทสนมกับนักศึกษาหลายคน แต่มีนักศึกษาผู้ชายคนหนึ่ง มักจะมากับกลุ่มเพื่อนบ่อย ๆ แต่ตัวน้องผู้ชายไม่เคยตัดผมที่ร้านเลย และด้วยความหน้าตาดี เรียบร้อย พี่แอนก็เกิดความรู้สึกดี มีใจให้กับนักศึกษาหนุ่มคนนี้ เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งสองเริ่มรู้จักกันมากขึ้นเรื่อย ๆ น้องคนนี้มีชื่อว่า ‘นัท’ เป็นเด็กต่างจังหวัดเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ หางานพิเศษทำเพื่อส่งตัวเองเรียน พี่แอนเองก็ไม่กล้าบอกคนอื่นว่ามีตนเองมีใจให้กับนัท เพราะกลัวนัทจะอาย พี่แอนจึงทำได้เพียงบอกให้นัทมาตัดผมฟรีที่ร้าน แต่ห้ามบอกใครว่าได้ตัดผมฟรี นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งคู่ได้มีโอกาสเจอกันอยู่บ่อยครั้ง วันหนึ่งนัทมานั่งในร้านทำผมด้วยหน้าตาที่เศร้าหมอง พี่แอนจึงเดินเข้าไปถามว่า “นัทเป็นอะไร?ปกติจะร่าเริงกว่านี้” นัทเล่าเรื่องราวให้ฟังถึงปัญหาที่ตนกำลังพบเจอ ทั้งหางานพิเศษไม่ได้ ไม่มีเงิน แต่ที่ตัดสินใจเล่าให้ฟัง ไม่ได้ต้องการให้พี่แอนมาช่วย เพราะอยากจะหาเงินให้ได้ด้วยตัวเอง เหตุการณ์นี้ทำให้รู้ว่าความจริงแล้ว ทั้งนัทและพี่แอนก็ต่างมีความรู้สึกดี ๆให้กัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้สานความสัมพันธ์เกินกว่าพี่น้อง อยู่มาวันหนึ่งขณะที่พี่แอนกำลังดึงบานประตูเหล็กลงมาเพื่อปิดร้าน ระหว่างนั้นสายตาก็มองออกไปข้างนอก เห็นโต๊ะหินอ่อนที่ตั้งอยู่เยื้อง ๆ กับหน้าร้าน มีคนนั่งอยู่ พี่แอนก้มลงไปมองด้วยความสงสัย ทำให้เห็นว่าคนที่นั่งอยู่คือนัท จึงตะโกนออกไปว่า “นัท นัททำอะไรลูก” นัทหันหน้ามามองที่พี่แอนแล้วตอบกลับว่า “พี่แอน ผมปวดหัว” พี่แอนจึงตัดสินใจพานัทเข้ามานั่งในร้านเพื่อที่จะพูดคุย และยังหายามาให้ พี่แอนบอกกับนัทด้วยความห่วงใยว่า “นัท ถ้าไม่ไหว ไม่ต้องคิดอะไรมาก นอนที่นี่ก็ได้นะ ไม่ต้องกลัว พี่ไม่ทำอะไรหรอก” นัทก็นั่งซึมน้ำตาไหล พูดซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ ว่า “พี่แอน ผมปวดหัว ผมไม่ไหวแล้วพี่ ปวดหัวมากเลยพี่แอน” สักพักพี่แอนตัดสินใจอีกครั้งที่จะจับมือนัทขึ้นไปบนห้อง แล้วบอกว่า “นอนที่นี่แหละ ไม่ต้องกลัว พี่ไม่บอกใครว่านัทอยู่ที่นี่” ข้างบนห้องจะมีทีวีตั้งอยู่ปลายเตียง มีที่นอนประมาณ 5-6 ฟุตตั้งอยู่ นัทนอนลงบนที่นอนด้วยท่าตะแคงและหันหน้าไปทางกำแพง ส่วนพี่แอนเข้าไปอาบน้ำ เมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นนัทกำลังนอนอยู่จึงเรียก “นัท นัท นัท นัทโอเคนะ” แต่ก็เงียบไม่มีเสียงตอบกลับ พี่แอนคิดในใจว่าสงสัยนัทจะหลับไปแล้ว พี่แอนจึงล้มตัวนอนลงข้าง ๆ โดยเว้นระยะไว้ให้ห่างจากนัท เพราะกลัวนัทตื่นมาจะตกใจ สถานการณ์ในตอนนั้นก็ต่างคนต่างนอน แต่แล้วจู่ ๆ พี่แอนก็ลืมตาขึ้นมา หันไปเห็นประตูฝั่งระเบียงเปิดอยู่ และเห็นเป็นคนกำลังยืนที่ระเบียง พอสายตาเริ่มปรับโฟกัสได้ก็พยายามมองว่าคนนั้นเป็นใคร แล้วตัดสินใจหันไปมองข้าง ๆ ที่นัทกำลังนอนอยู่ แต่สิ่งที่เห็นคือ นัทหายไป! พี่แอนเบนสายตากลับไปมองที่ระเบียงอีกครั้ง แต่คนที่ยืนอยู่คือนัท! พี่แอนรีบลุกขึ้นไปที่ระเบียงพร้อมกับส่งเสียง “นัท ไปทำอะไรตรงนั้นลูก” นัทก็หันหน้ามาตอบว่า “พี่แอนผมไม่ไหวแล้ว ผมปวดหัว” จากนั้นค่อย ๆ ปีนระเบียง และนั่งลงที่ขอบปูนเพื่อให้ขาห้อยไปด้านล่าง ด้วยความตกใจพี่แอนก็พูดขึ้นว่า “อย่า อย่า อย่า ลงมาเดี๋ยวตก!” นัทหันมาพูดซ้ำอีกว่า “พี่แอน ผมปวดหัว” จังหวะที่พี่แอนกำลังจะเอื้อมมือจับไหล่ สิ่งที่เห็นคือหน้าอีกข้างของนัทเลือดไหลออกมาเต็มไปหมด แล้วนัทก็พูดขึ้นอีกว่า “พี่แอน ผมปวดหัว” จากนั้นก็ทิ้งตัวลงไปด้านล่างทันที! ด้วยความตกใจ พี่แอนก็ส่งเสียงกรี๊ดดังลั่น “นัท!!!” และสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมา เห็นว่าตัวเองนอนอยู่กับที่ แล้วหันไปมองที่นัทอีกครั้งก็ตกใจขึ้นอีก เพราะนัทนอนตะแคงจ้องตาโตมาที่พี่แอน แล้วพูดขึ้นว่า “พี่แอน ผมรักพี่นะ” พี่แอนตกใจส่งเสียงออกมา “เห้ยย!!” แล้วสะดุ้งตื่นอีกครั้ง กลายเป็นความฝันซ้ำสองรอบ! ลืมตามาอีกทีหันไปมองที่นัท ยังคงนอนนิ่ง ตะแคงไปทางกำแพงท่าเดิม แต่ตัวนัทเต็มไปด้วยเหงื่อ หัวเปียกเต็มไปหมด พี่แอนเองไม่กล้าจับนัท กลัวจะทำให้นัทตกใจตื่น จึงต่างคนต่างนอนไปแบบเดิม รุ่งเช้าพี่แอนลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเตรียมลงไปเปิดร้าน สายตาก็หันไปมองที่นัทอีกครั้ง นัทก็ยังคงนอนอยู่ท่าเดิม พี่แอนคิดว่าจะลงไปใส่บาตรพระ แล้วเปิดร้านตามปกติ และปล่อยให้นัทได้นอนพักไปก่อน ขณะที่กำลังใส่บาตรหน้าร้านตัวเอง หลวงพ่อกำลังจะเดินบิณฑบาตต่อ แต่ก็หยุดชะงักแล้วมองขึ้นไปด้านบนชั้นสอง พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “โยม ยังไงก็อย่าลืมหมั่นทำบุญให้เค้าบ่อย ๆนะ” พี่แอนก็สงสัยแต่ไม่ได้ถามอะไรต่อ จากนั้นก็เปิดร้านทำความสะอาดกับน้องพนักงานที่ช่วยกันตามปกติ และเปิดทีวีขึ้น จังหวะนั้นก็มีเสียงอ่านข่าวดังขึ้น “ย่านรังสิต เกิดเหตุนักศึกษายิงกันเสียชีวิต จับคนร้ายได้แล้วแต่ดันยิงผิดคน” น้องพนักงานก็บ่นขึ้นว่า “ดูในข่าวดิพี่แอน ทำไมเดี๋ยวนี้คนมันใจร้ายเนอะ ฆ่ากันตายง่ายจังเลย เห้ย! พี่แอน ทำไมรถในข่าวมันเหมือนรถพี่นัทจัง” พี่แอนตอบกลับด้วยความไม่สนใจ “จะบ้าหรอไม่ใช่หรอก” จากนั้นก็ทำความสะอาดร้านต่อ จนกระทั่งมีโทรศัพท์โทรเข้ามาเป็นสายของลูกค้าโทรเข้ามาเพื่อที่จะจองคิวทำผม ไม่นานลูกค้าคนนั้นก็เข้ามาที่ร้าน และบังเอิญว่าเขาเป็นเพื่อนของนัท แล้วก็พูดขึ้นมาว่า “พี่แอนรู้ข่าวยัง นัทถูกยิงตาย” พี่แอนตกใจแต่ก็ไม่เชื่อแล้วพูดว่า “ถูกยิงยังไง จะบ้าหรอ ไม่จริงไม่เชื่อหรอก อย่ามาเล่น ไม่เอา!” เพื่อนของนัทยังคงยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง จนพี่แอนเกิดความโมโห เพราะรู้ว่านัทนอนอยู่ด้านบน พี่แอนพูดขึ้นมาอีกว่า “คือแบบนี้ ที่ไม่เชื่อเพราะนัทมันนอนอยู่ข้างบน ไม่กล้าตั้งแต่แรก บอกเพราะกลัวจะหาว่าอย่างนู้นอย่างนี้กัน เมื่อคืนมันไม่สบาย ก็เลยมาหา” เพื่อนก็ยังยืนยันอีกว่า “พี่แอน ไม่จริงหรอกนัทมันตายแล้วพี่” พี่แอนทนไม่ไหวจึงตัดสินใจพาทุกคนไปพิสูจน์ความจริง “ถ้านัทไม่อยู่เดี๋ยวให้คนละ 500 เลย แต่ถ้ามันนอนอยู่จ่ายมาด้วยคนละ 500 ด้วย” ทั้งสามคนพากันขึ้นไปดูที่ชั้นสอง แง้มประตูให้เปิดออกช้า ๆ ด้วยความมืดพี่แอนก็มองเห็นว่านัทลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง “นั่นไง เห็นไหมมันนั่งอยู่ในห้อง” พอเปิดประตูจนสุดปรากฏว่า ไม่มีใครอยู่ในห้องเลย มีเพียงความเงียบเท่านั้น พี่แอนเริ่มรู้สึกแปลก ๆ แต่ก็ยังไม่เชื่อ “ต้องมีดิ เมื่อกี้ยังเห็นนัทมันนั่งอยู่เลย เมื่อคืนก็อยู่ด้วยกัน” ด้วยความที่ใจไม่ดีแล้ว ลูกค้าหลายคนก็พูดถึงเรื่องนัทกันอย่างต่อเนื่อง พี่แอนจึงรีบปิดร้าน เพื่อจะเดินทางไปดูศพที่ถูกยิง แล้วสุดท้ายภาพที่เห็นก็คือศพนัทจริง ๆ เมื่อรู้ความจริงทำให้พี่แอนหดหู่ใจคอไม่ดี จึงตัดสินใจปิดร้าน 3 วัน เพื่อกลับต่างจังหวัด จากนั้นก็กลับมาเปิดร้านอีกครั้ง เมื่อกลับมาถึงร้านลูกน้องก็รีบเดินเข้ามาบอกกับพี่แอนว่า “พี่แอน มีคนเขาพูดกันว่า เห็นนัทมาที่หน้าร้านพี่แอนทุกคืนเลย” แต่พี่แอนเองก็ไม่เชื่อ จนอยู่มาวันหนึ่ง พี่แอนกำลังกำลังดึงบานประตูเหล็กลงมาล็อคเพื่อปิดร้านตามปกติ แต่จังหวะที่กำลังจะหันหลังกลับ ก็มีเสียงเคาะประตูเหล็กดังขึ้น ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง! “พี่แอน พี่แอน นัทเอง!” ตัวพี่แอนก็ลืมว่านัทตายแล้ว จึงตอบกลับแบบไม่ทันคิด “อ้าว! นัทเข้ามาก่อน เดี๋ยวพี่เปิดประตูให้” เมื่อกำลังเอื้อมมือไปเปิดกุญแจ ก็นึกขึ้นได้ว่านัทตายแล้ว ด้วยความสงสัยก็ส่งเสียงออกไปอีกครั้งว่า “นัทแน่นะ” แม้ในใจยังคิดสับสนกับตัวเองว่าใครมาแกล้ง หรือว่าเป็นนัทจริง ๆ คิดในใจวนไปวนมา จนมีเสียงดังขึ้น “ไม่มีใครแกล้งหรอก ผมมาลาพี่นะ” ด้วยความสงสารนัท พี่แอนรวบรวมความกล้าตัดสินใจ ไขกุญแจแล้วเปิดประตูบานเหล็กขึ้น สิ่งที่เห็นคือ ความว่างเปล่า มีแต่เสียงหมาหอนค่อย ๆ ดังขึ้นเท่านั้น หลังจากเหตุการณ์คืนนั้นพี่แอนก้ไม่เคยเห็นหรือได้ยินเสียงนัทอีกเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณเต้ย ผีเหรียญ 'คนขวัญเเหลว' l อังคารคลุมโปง X เป้ ก๊อก ก๊อก ก๊อก [25 ก.พ. 2568 ]

02 มี.ค. 2025

เรื่องเล่าจากคุณเต้ย ผีเหรียญ 'คนขวัญเเหลว' l อังคารคลุมโปง X เป้ ก๊อก ก๊อก ก๊อก [25 ก.พ. 2568 ]

จะเป็นอย่างไร ถ้านาน ๆ ทีจะได้กลับบ้านเกิด แต่ดันได้เจอกับ “คนที่ไม่อยู่แล้ว” แบบไม่รู้ตัว!? เรื่องนี้ ‘คุณเต้ย ผีเหรียญ‘ ได้นำมาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (25 กุมภาพันธ์ 2568) เมื่อเล่าจบทั้ง ’ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม‘ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพีคสุด! ถ้าพร้อมแล้วไปอ่านกันเลย! ‘คุณเต้ย ผีเหรียญ’ เล่าว่าเจ้าของเรื่องคือ ‘คุณเม่น’ เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในปี 2567 เมื่อ คุณเม่น เดินทางกลับมายังบ้านเกิด หลังจากทำงานขุดเจาะน้ำมันในต่างประเทศเป็นเวลานาน การเดินทางกลับล่าช้าไปมาก เนื่องจากสถานการณ์โควิดในช่วงก่อนหน้านั้น เมื่อกลับถึงบ้านในจังหวัดทางภาคเหนือ ทางบ้านของคุณเม่นได้จัด ‘พิธีฮ้องขวัญ’ หรือ ‘สู่ขวัญ’ ตามประเพณีท้องถิ่น โดยหมอทำขวัญทางภาคเหนือจะเรียกกันว่า ‘หมอมด’ (หมอมด หรือหมอทำขวัญ หรือหมอพื้นบ้าน ที่ทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ เช่น พิธีสู่ขวัญ (ฮ้องขวัญ) เพื่อเรียกขวัญให้กลับมาอยู่กับร่างกาย หรือทำพิธีปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกจากตัวคน) โดยเขาได้เตือนคุณเม่นว่า ให้ระวังตัวเพราะว่าตอนนั้นอายุของคุณเม่นอยู่ในช่วงเบญเพสพอดี อีกทั้งยังกล่าวว่าคุณเม่นเป็น คนขวัญแหลว หรือ ขวัญอ่อน อาจถูกสิ่งไม่ดีรังควานได้ หลังจากทำพิธีผ่านไป 1 วัน คุณเม่นออกเดินทางไปเยี่ยมญาติ พร้อมนำของฝากไปมอบให้แต่ละบ้าน จนกระทั่งไปถึงบ้านหลังสุดท้าย ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน ‘พี่ตาล’ พี่ชายที่เคยสนิทกันมากในวัยเด็ก แต่ด้วยปัญหาความขัดแย้งระหว่างผู้ใหญ่ในครอบครัว ทำให้พวกเขาไม่ได้ติดต่อกันมานานหลายปี ด้วยความคิดถึง เม่นจึงตัดสินใจไปหาโดยไม่แจ้งล่วงหน้า เนื่องจากขาดการติดต่อไปเป็นเวลานาน เลยทำให้ไม่มีช่องทางการติดต่อ เมื่อไปถึงหน้าบ้านพี่ตาล เวลาราว 6 โมงเย็น บริเวณรอบบ้านเปลี่ยนแปลงไปมาก จากพื้นที่ว่างเปล่ากลายเป็นบ้านเรียงราย และประตูหน้าบ้านของพี่ตาลถูกคล้องโซ่ปิดไว้ คุณเม่นลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจกลับ ทันใดนั้น เสียงเรียกดังขึ้นจากในบ้าน “ใครมา?” เสียงนั้นเป็นของ ‘ยายไทย’ ยายของพี่ตาล คุณเม่นจึงตอบกลับไปว่าเขามาหาพี่ตาล ยายไทยกล่าวว่า “ตาลยังไม่กลับบ้าน” ก่อนจะชวนคุณเม่นเข้าไปนั่งรอในบ้าน ทั้งสองพูดคุยกันเกือบสิบนาที แต่พี่ตาลก็ยังไม่กลับมา เวลานั้น ฟ้าเริ่มมืด คุณเม่นจึงขอตัวกลับก่อน ขณะที่กำลังเดินออกไป เสียงตะโกนโวยวายก็ดังขึ้นจากข้างบ้าน “ใครน่ะ!? เข้ามาทำอะไรบ้านคนอื่น!?” คุณเม่นหันไปตามเสียง ก็พบ อาม่าท่านหนึ่ง เดินถือไม้เท้า ขากะเผลกแล้วพูดว่า “บ้านนี้มีแต่อาตาลคนเดียว! ซี้ซั้ว! ขโมย! ขโมยขึ้นบ้าน!” คุณเม่นพยายามอธิบาย แต่ดูเหมือนอาม่าจะไม่ฟัง กลับตะโกนโวยวายเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ เวลานั้นฟ้ามืดสนิทแล้ว คุณเม่นกลัวว่าชาวบ้านจะเข้าใจผิด จึงรีบวิ่งออกจากบ้านไปขึ้นรถแล้วขับกลับบ้านทันที เมื่อกลับมาถึงบ้าน คุณเม่นพบว่าพ่อและแม่แต่งกายด้วยชุดดำ กำลังจะออกไปงานศพที่หมู่บ้านข้าง ๆ เขาจึงยังไม่ได้เล่าเรื่องที่เพิ่งพบเจอ จนกระทั่งสามทุ่มกว่า พ่อแม่กลับมาถึงบ้าน คุณเม่นจึงตัดสินใจเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ทันทีที่พูดจบ แม่ของคุณเม่นกลับมีสีหน้าตกใจ ก่อนจะเอ่ยว่า “ยายไทยเสียไปนานแล้วนะ…” คำพูดนั้นทำให้คุณเม่นขนลุกไปทั้งตัว “เป็นไปไม่ได้… ผมเพิ่งคุยกับท่านมา!” พ่อของคุณเม่นได้เดินเข้ามาสมทบ และยืนยันว่าจริง “ยายไทยเสียไปตั้งแต่ช่วงโควิด ตอนที่ลูกยังอยู่ต่างประเทศ” แม้จะมีการส่งข่าวไป แต่ด้วยความวุ่นวายในช่วงนั้น ทำให้เขาอาจลืมไปแล้ว เขาพยายามคิดทบทวนถึงสิ่งที่ได้ยิน แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน ตกลงแล้ว…เขาเจอผีจริง ๆ ใช่ไหม? เมื่อพ่อแม่ยืนยันเรื่องการเสียชีวิตของยายไทย รวมถึงสิ่งที่เขาได้พบเจอ มันทำให้เม่นแน่ใจว่านี่คือ ครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับวิญญาณแบบเต็ม ๆ โดยไม่รู้ตัว พ่อแม่พยายามปลอบใจ บอกว่า “ท่านคงคิดถึง เพราะเลี้ยงลูกมาตั้งแต่เด็ก” พร้อมกำชับให้คุณเม่นไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ยายไทย เช้าวันรุ่งขึ้น คุณเม่นไปทำบุญตามที่พ่อแม่แนะนำ และความหวาดกลัวก็เริ่มผ่อนคลายลง กลายเป็นเพียงความคิดถึง ตกเย็น พ่อแม่ชวนเม่นไปงานศพของเพื่อนบ้านเก่าสมัยเด็ก ๆ เม่นรับปากและเดินทางไปด้วยกัน เมื่อไปถึงศาลา เขากำลังจะเดินไปไหว้ศพ แต่แล้วภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เข่าทรุดลงแทบจะล้มทั้งยืน ในกรอบรูปของผู้เสียชีวิต คือใบหน้าของอาม่าที่ไล่เขาเมื่อวาน! เม่นพยายามตั้งสติ ก่อนจะสอบถามข้อมูลจากลูกหลานของอาม่าและได้ทราบว่า อาม่าเพิ่งเสียจากอาการหัวใจวายเมื่อสองวันก่อน ที่สำคัญ ลูกหลานยังบอกว่า “อาม่าขาไม่ค่อยดี เวลาจะเดินไปไหนต้องใช้ไม้เท้าพยุง” ทุกอย่างตรงกับสิ่งที่เขาเห็นไม่มีผิด… เท่ากับว่าเย็นวันนั้น คุณเม่นได้คุยกับวิญญาณถึง 2 ดวงในวันเดียวกันโดยที่ไม่รู้ตัวว่านั่นไม่ใช่คน ซึ่งเขาก็คิดว่ามันอาจจะเป็นเพราะเขาขวัญแหลวแบบที่หมอมดบอก จนทำให้เขาสื่อสารกับดวงวิญญาณได้(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เหตุเกิดที่สะพานพระราม 8 เคยเจอคุณลุงขับแท็กซี่มาช่วยชีวิต 10 ปีต่อมา กลับมาช่วยชีวิตเพื่อนอีกครั้ง จะโทรไปขอบคุณกลับเจอเรื่องแปลก!

23 ม.ค. 2024

เหตุเกิดที่สะพานพระราม 8 เคยเจอคุณลุงขับแท็กซี่มาช่วยชีวิต 10 ปีต่อมา กลับมาช่วยชีวิตเพื่อนอีกครั้ง จะโทรไปขอบคุณกลับเจอเรื่องแปลก!

เรื่องนี้ ‘ใหม่ รอเรน PowerPuff Guy’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (16 มกราคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นกับคุณใหม่ เมื่อประมาณ 10 ที่แล้ว แต่ดันบังเอิญคล้ายคลึงกับเรื่องของเพื่อน ซึ่งเกิดในช่วงปลายปีที่ผ่านมา! เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย เล่าย้อนกลับไปสมัยที่คุณใหม่เรียนมหาวิทยาลัย อยู่ชั้นปีที่ 2 ด้วยความที่คุณใหม่ชอบปาร์ตี้กับเพื่อน ๆ และชอบไปเที่ยวที่ถนนข้าวสาร หลังจากเที่ยวเสร็จ ก็จะชวนเพื่อน ๆ ประมาณ 9 คน ไปนั่งเล่น เม้าท์มอยกันต่อที่สะพานพระราม 8 ในกลุ่มเพื่อนนี้ก็จะมีผู้หญิงคนหนึ่ง เวลาเมาจะชอบตะโกนโวยวาย ทะเลาะกับแฟน และก็ด่าเสียงดังขึ้นมาว่า “มึงสิตอแหล” พอพูดเสร็จ ปรากฏว่าเด็กถิ่นแถวนั้น ก็เข้าใจผิดคิดว่าฝั่งคุณใหม่ไปตะโกนด่าเขา จึงมีปากเสียงกัน กลุ่มคุณใหม่วิ่งหนีขึ้นสะพานมาเรื่อย ๆ จนมาถึงทางตันที่กลางสะพาน ถ้าวิ่งไปฝั่งขวาจะเป็นกลุ่มของเด็กถิ่นอีกกลุ่มที่เป็นแก๊งเดียวกัน อีกฝั่งก็ลงไม่ได้ โดนล้อมไว้หมด จนมีรถแท็กซี่คันหนึ่งขับผ่านมา เป็นแท็กซี่เก่ามาก เปิดไฟว่างไว้อยู่ คุณใหม่จึงโบก รถแท็กซี่ก็จอด คุณใหม่ก็บอกกับคุณลุงแท็กซี่ไปว่า “ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม พวกหนูขอขึ้นรถไปก่อนได้มั้ย” คุณลุงแท็กซี่ก็ไม่พูดอะไร คุณลุงแท็กซี่ดูเป็นคนมีอายุมากแล้ว ร่างกายผอม ผมและหนวดมีสีขาว มีเครายาว จากนั้นกลุ่มเพื่อนคุณใหม่ก็ขึ้นรถมา 9 คน ข้างหน้านั่ง 2 คน ข้างหลังอีก 7 คน ตั้งแต่ขึ้นรถมา คุณลุงแท็กซี่ไม่พูดอะไรเลย คุณลุงก็มาส่งไกลประมาณหนึ่งที่รู้สึกว่าปลอดภัย กลุ่มเพื่อนและคุณใหม่ก็ลงจากรถ ขอบคุณและจ่ายเงินปกติ คุณใหม่ก็คิดกับตัวเองว่า ‘รอดได้ไง ถ้าอยู่ตรงนั้นจะรอดมั้ย ยังดีที่มีแท็กซี่ผ่านมา’ เรื่องนี้ก็ผ่านไปหลายปี จนกระทั่งเพื่อนคุณใหม่ที่พึ่งรู้จักกัน เขาป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ได้มาเล่าให้ฟังว่า เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา ไปที่สะพานพระราม 8 คนเดียว เพื่อตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง จึงโทรเรียกรถแท็กซี่มารับ รถแท็กซี่คันนี้เป็นคันใหม่ แต่คนขับเป็นคนแก่ ผมขาว หนวดขาว คนขับก็ถามว่า “ไอ้หนู จะไปไหน” เพื่อนคุณใหม่ก็บอกว่า “ไปสะพานพระราม 8 ครับ” ลุงก็ขับไปพอถึงกลางสะพาน เพื่อนก็บอกให้จอด พอส่งเสร็จคุณลุงแท็กซี่ก็ไป เพื่อนก็ไปนั่งตรงขอบสะพานหันหน้ามาฝั่งถนน แล้วอยู่ดี ๆ คุณลุงแท็กซี่คันเดิมก็วนรถกลับมาจอดรถตรงหน้า คุณลุงลงมาจากรถและเดินมาหาเพื่อน พร้อมกับหยิบน้ำเปล่ามา 1 ขวด แล้วก็ถามเพื่อนว่า “เอ็งทำอาชีพอะไร ได้เงินเดือนเท่าไหร่” เพื่อนก็ตอบไป คุณลุงแท็กซี่ก็พูดอีกว่า “ได้เงินเดือนขนาดนี้ ลุงไม่คิดสั้นหรอก ลุงได้วันละ 300 ยังทนอยู่เลย” จากนั้นคุณลุงแท็กซี่ก็ยื่นน้ำให้ดื่ม พอเพื่อนดื่มน้ำเสร็จก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว คุณลุงแท็กซี่ก็บอกว่า “อย่าพึ่งเป็นอะไร ปีหน้าเองจะดัง” พูดเสร็จลุงก็บอกว่าจะไปส่งที่บ้าน ระหว่างทางเพื่อนก็แอบถ่ายรูปด้านหลังคุณลุงเพื่อจะส่งให้เพื่อนอีกคนว่ากำลังกลับแล้วนะ พอถึงคอนโดก็ร่ำลากับคุณลุงแท็กซี่ ต่อมา เพื่อนก็นำเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนอีกคนฟัง เพื่อนก็บอกให้โทรไปขอบคุณคุณลุงแท็กซี่คนนั้น เพื่อนก็กำลังจะโทร ปรากฏว่าไม่มีเบอร์โทรคุณลุงแท็กซี่คนนั้นแล้ว และรูปที่เคยส่งให้เพื่อน ไฟล์รูปก็เสียหมด พอคุณใหม่ฟังจบ ก็รู้สึกว่ามันคุ้นเหมือนเคยเกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เหมือนลุงคนนี้ที่เคยเจอที่สะพานพระราม 8 คุณใหม่เดาว่า คุณลุงแท็กซี่คนนี้อาจจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มาช่วยก็เป็นไปได้..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณต้น สาลิกาผี 'ล่า ท้า ตาย' l อังคารคลุมโปง X มอสหลง-เดียร์น่า [ 2 ธ.ค.2568 ]

09 ธ.ค. 2025

เรื่องเล่าจากคุณต้น สาลิกาผี 'ล่า ท้า ตาย' l อังคารคลุมโปง X มอสหลง-เดียร์น่า [ 2 ธ.ค.2568 ]

เรื่องราวของกลุ่มวัยรุ่นที่ชอบท้าผี ด้วยความเชื่อว่า “ไม่เชื่อ ต้องหลบหลู่” ก่อนจะบุกเข้าไปในบ้านร้างที่เคยเป็นตำหนักทรงเจ้าสถานที่ซึ่งเคยเกิดคดีฆาตกรรมสุดสยอง วิญญาณหญิงสาวผู้ถูกแขวนคอไม่เคยไปไหน และคืนที่พวกเขาเข้าไปทำให้กลายเป็นคืนสุดท้ายของหลายชีวิต… เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X มอสหลง-เดียร์น่า’ (2 ธันวาคม 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ล่า ท้า ตาย’ ‘คุณต้น สาลิกาผี’ ได้เล่าเรื่องราวของผู้ชายชื่อว่า ดอน ย้อนกลับไปเมื่อกว่า 30 ปีก่อน… สมัยนั้นกลุ่มของดอนเป็นพวกที่ชอบ ล่า ท้า ผี ไปตามบ้านร้างสถานที่แปลก ๆ เพื่อพิสูจน์ว่า “ผีไม่มีจริง” พวกเขามีสโลแกนกันว่า“ไม่เชื่อ ต้องหลบหลู่”หลังพ้นช่วงลอยกระทงปลายปี เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มบอกว่ามีสถานที่ใหม่ที่อยากให้ไปลอง เป็นสำนักร้างที่คนเล่าว่า เฮี้ยนสุด ๆ สถานที่ตรงนั้นเดิมเป็นที่ดินเปล่า ก่อนจะมีครอบครัวหนึ่งมาเช่า และสร้างเป็นตำหนักคล้ายสำนักเจ้าทรง ช่วงแรกมีคนแห่เข้ามาไม่ขาดสาย จึงมีการจ้างแรงงานมาสร้างต่อเติมเพิ่มซึ่งมีคนงานชาวพม่าชาย 2 คน ได้ลงมือข่มขืนคนงานหญิงชาวพม่าคนหนึ่ง ก่อนจะจับเธอ ‘แขวนคอทั้งที่ยังมีชีวิต’ แล้วจัดฉากให้เหมือนฆ่าตัวตาย หลังจากวันนั้น… สถานที่แห่งนี้เริ่มกลายเป็นที่ต้องห้ามคนที่ตั้งใจจะไปทำพิธี มักขับรถหลงทาง บางคนรถตกน้ำ บางคนไปถึงหน้าบ้านกลับเห็นร่างผู้หญิงแขวนคอห้อยอยู่ตรงหน้า จนสุดท้ายคนไม่เข้ามาอีก สำนักขาดรายได้เจ้าของบ้านพยายามขาย แต่ไม่มีใครกล้าซื้อ จึงนิมนต์หลวงพ่อมาทำพิธีสะเดาะเคราะห์แต่ระหว่างพิธี…ลมเย็นจัดพัดวูบเข้ามาทั้งบ้านหลวงพ่อที่นั่งสวดมนต์อยู่ จู่ ๆ ก็ ‘นิ่งไป’ ก่อนจะลุกขึ้น เดินไปหยิบเชือกและพยายามจะ…แขวนคอตัวเอง น้ำเสียงที่เปล่งออกมาคล้ายภาษาพม่า คนในบ้านแตกตื่น ช่วยกันยื้อจนหลวงพ่อได้สติ ก่อนจะรีบหนีกลับวัดทันที และไม่กลับมาอีกเลย บ้านหลังนี้จึงถูกปล่อยร้าง… แบบที่ไม่เคยมีใครกล้าเข้าไปอีก สามเดือนถัดมา… กลุ่มของดอนรู้ข่าว และตัดสินใจไปพิสูจน์ คืนวันนั้นพวกเขาไปกัน 5 คน ผู้ชาย 4 คน ผู้หญิง 1 คน พอไปถึง พวกเขาเห็นกลุ่มวัยรุ่นอีกกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ก่อนแล้ว และพูดทิ้งท้ายไว้ว่า‘ไม่เห็นมีอะไรเลย เสียเวลาเปล่า’กลุ่มของดอนกำลังจะถอดใจกลับ…แต่จู่ ๆ ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งปั่นจักรยานเข้ามา หน้าตาดูอายุไล่เลี่ยกัน เขาพูดขึ้นว่า‘พี่จะกลับแล้วเหรอ…เข้าไปข้างในยังล่ะ?’ ทุกคนส่ายหน้า…ชายหนุ่มคนนั้นล้วงของบางอย่างออกมาจากกระเป๋ามันคือ เชือก เพื่อนของดอนถามติดตลกแต่เสียงสั่น‘อย่าบอกนะ…ว่าเป็นเชือกที่ใช้แขวนคอ?’ ชายคนนั้นไม่ตอบแค่หันหลัง แล้วเดินนำเข้าไปในบ้าน ทำให้พวกเขาทั้งหมดเดินตามเข้าไป ระหว่างเดินชายคนนั้นพูดขึ้นมาเสียงเรียบ ๆ ว่า‘ผมเอง…ที่เป็นคนเจอศพคนแรก’‘…แล้วก็เป็นคนเอาศพลงมา’มีคนถามต่อทันที‘แล้วเอาเชือกมาไว้ทำไม?’คำตอบที่ได้คือ‘เห็นมูลนิธิเอาแต่ศพ…เชือกเลยไม่มีใครเก็บ ผมก็เลยเก็บไว้’เขาพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาก่อนจะพาทุกคนเดินลึกเข้าไปในบ้านร้าง บรรยากาศข้างในเงียบผิดปกติไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดจนเพื่อนของดอนถามขึ้นว่า‘แล้วตรงไหนที่เขาแขวนคอตัวเอง?’ชายหนุ่มคนนั้นค่อย ๆ หันมาแล้วเงยหน้ามองไปที่เพดานทุกคนเงยหน้าตามและทันทีที่สายตาไปถึง พวกเขาเห็นร่างผู้หญิงลิ้นจุกปาก กำลังดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเชือกก่อนที่ร่างนั้นจะตกลงมาต่อหน้าทุกคน เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังขึ้น เชือกค่อย ๆ รัดแน่น ลูกตาถลนออกจากเบ้า… ทุกคนแตกกระเจิง วิ่งหนีคนละทิศละทางแต่เมื่อรวมกลุ่มกันได้อีกครั้ง พวกเขาเพิ่งรู้ว่าชายหนุ่มคนนั้น หายไป ขณะที่กำลังวิ่งหาทางออก ไฟฉายของใครคนหนึ่งส่องขึ้นไปบนเพดานอีกครั้งสิ่งที่เห็นคือ…ชายหนุ่มคนนั้น ถูกแขวนคออยู่และมีร่างของผู้หญิงคนนั้นอยู่ด้านหลังมือของเธอกำลัง ‘กระชากเชือก’ ให้แน่นขึ้นเรื่อย ๆทุกคนกรีดร้องและวิ่งหนีออกจากบ้านได้สำเร็จแต่ก่อนจะขึ้นรถ…พวกเขาได้ยินเสียงชายคนนั้นดังตามมาเบา ๆ‘น่ากลัวไหมล่ะ…’‘ผมบอกพวกพี่แล้ว…ว่ามันน่ากลัว’น้ำเสียงนั้น…เหมือนคนที่กำลังจะขาดใจตาย ระหว่างขับรถหนี ตามสองข้างทางที่มีต้นไม้ทุกคนเห็นร่างของ ‘ผู้หญิง’ และ ‘ชายหนุ่มคนนั้น’ ห้อยตัวลงมาทีละต้น ภาพที่เห็นดิ้นทุรนทุราย จนทำให้คนขับเสียหลักรถพุ่งตกข้างทางคืนนั้น…มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 3 คน เจ้าหน้าที่พบว่าศพทุกคนมีรอย ‘เชือก’ ที่ลำคอ ผู้หญิงที่รอดชีวิตมาได้เหลือสภาพเกือบเป็นอัมพาต และต่อมาไม่นาน ขณะที่เธอกำลังข้ามถนนไปซื้อของมีรถฝ่าไฟแดงชนเธอเสียชีวิตคาที่เวลาต่อมา…ความจริงก็ถูกเปิดเผย ชายหนุ่มที่พวกเขาพบในบ้านคือ ‘คนงานชาย’ ที่เป็นคนข่มขืนผู้หญิงคนนั้นและเป็นคน ‘จัดฉากแขวนคอ’ จากนั้นโทรแจ้งตำรวจเอง หลายวันต่อมา เขาเริ่มถูกผีหลอกอย่างหนักจนเสียสติสุดท้ายกลับไปแขวนคอตายที่บ้านหลังเดิม หลังจากเหตุการณ์นั้น ดอนยังมีชีวิตอยู่… แต่ทุกคืนเขามองเห็นร่างเพื่อน ๆ ของเขาชายหนุ่มคนนั้น และผู้หญิงพม่าคนนั้น… แขวนคออยู่บนเพดานบ้าน บางคืน เขาลุกขึ้นมาละเมอพยายามใช้เชือกผูกคอตัวเองดีที่ครอบครัวช่วยไว้ทันสุดท้าย… ดอนตัดสินใจ “บวช”และอุทิศส่วนกุศลให้ทุกวิญญาณ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

album

0
0.8
1