เรื่องเล่าจากคุณมิ้น หัตถา ‘คนผูกดวง’ l อังคารคลุมโปง X เบคกี้ - พิม [8 เม.ย 2568]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณมิ้น หัตถา ‘คนผูกดวง’ l อังคารคลุมโปง X เบคกี้ - พิม [8 เม.ย 2568]

14 เม.ย. 2025

        ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (7 เมษายน 2568) ‘คุณมิ้น หัตถา’ นักเล่าเรื่องขวัญใจโซเชียล มาพร้อมกับเรื่อง ‘คนผูกดวง’ ประสบการณ์สัมผัสกับสิ่งลี้ลับของ ‘เมย์’ รุ่นน้องที่สนิทกัน ซึ่งเหตุการณ์แปลก ๆ เริ่มคืบคลานเข้ามาในชีวิตหลังจากเข้าร่วมพิธีกรรบางอย่าง ตามไปฟังเรื่องนี้แบบเต็ม ๆ พร้อมกันกับ ‘ดีเจมดดำ’, ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’

        ความห่วงใยของแม่ คือความรักบริสุทธิ์ที่ไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน แต่เมื่อความรักนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความยึดมั่นในความเชื่อบางอย่าง การกระทำที่มองว่าเป็นการเสริมดวงเสริมบารมี อาจกลับกลายเป็นประตูที่เปิดพาชีวิตลูกสาวให้ก้าวเข้าสู่โลกของสิ่งลี้ลับโดยไม่รู้ตัว

        ‘เมย์’ หญิงสาววัยทำงานผู้ที่กำลังมีชีวิตเรียบง่าย เป็นมิตรกับทุกคน ไม่ได้เชื่อหรือสนใจเรื่องดวง โชคชะตา หรือพิธีกรรมใด ๆ แต่เธอกลับต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่เหนือคำอธิบาย หลังจากแม่ของเธอพาไปพบ ‘พ่อหมอ’ ชื่อดังจากประเทศเพื่อนบ้าน ผู้มีชื่อเสียงด้านการดูดวงและประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ

        แม่ของเมย์เชื่อมั่นในเรื่องดวงชะตาเป็นอย่างมาก ตำหนักไหนว่าดี สำนักไหนว่าแม่น ก็ไม่เคยพลาด จนวันหนึ่งได้พบพ่อหมอผู้ทำนายว่า เมย์เป็น ‘ดวงเชิดชูแม่’ มีชะตาแต่งงานกับเศรษฐี มีเกณฑ์ช่วยยกระดับชีวิตครอบครัวให้รุ่งเรืองได้ หากมีการทำพิธีเพื่อผูกดวงและรับขันครูเพื่อคุ้มครองชะตา

        แม้เมย์จะลังเลและไม่เชื่อ แต่สุดท้ายก็ยอมเข้าพิธีเพื่อความสบายใจของแม่ ภาพที่เธอจำได้ติดตาในวันนั้น คือพ่อหมอให้ชูขันเงินเหนือหัว สวดคาถาแปลกประหลาด และเอ่ยประโยคที่ทำให้เธอขนลุก

        “ต่อไปนี้ ข้าขอรับไว้กับตัว”

        จากวันนั้น ชีวิตของเมย์ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป..

        แม้จะได้งานใหม่ เงินเดือนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งแม่ของเธอเชื่อว่านั่นคือผลจากการผูกดวง แต่สิ่งที่ตามมาคือข้อบังคับในการไหว้ครูทุกวันโกน ต้องมีเครื่องเซ่นทั้งเหล้า เนื้อสัตว์ ดอกไม้ และบทสวดที่ต้องท่องทุกครั้ง โดยมีข้อแม้สำคัญคือ เมย์ต้องร่วมพิธีด้วยทุกครั้ง ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม

        หลังจากที่ผ่านเวลาไป 3-4 เดือนหลังเข้าพิธีรับขันครู เหตุการณ์แปลกประหลาดมากมายก็เริ่มเกิดขึ้น

        มีคนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน และคนใกล้ตัว เห็นเมย์ปรากฏตัวในสถานที่ต่าง ๆ ในเวลาเดียวกับที่เธอยืนยันว่าไม่ได้อยู่ตรงนั้น เช่น ขณะที่เธออยู่บ้าน กลับมีคนเห็นเธอในออฟฟิศ หรือแม้แต่ในซูเปอร์มาร์เก็ตหน้าปากซอย ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่คำเล่าลือ หากแต่เป็นภาพที่หลายคนยืนยันว่า แน่ใจว่าใช่เมย์แน่นอน

        สิ่งเหล่านี้ทำให้เมย์เริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง เครียด กังวล และเริ่มสงสัยว่า พิธีกรรมในวันนั้นอาจไม่ได้มีแค่ครูบาอาจารย์มาคุ้มครอง แต่มีบางสิ่งตามมาโดยไม่ตั้งใจด้วย

        เมย์ตัดสินใจปรึกษา ‘คุณมิ้น หัตถา’ และน้องสาว ซึ่งเป็นผู้มีเซ้นส์ไวต่อสิ่งลี้ลับ หลังเล่าทุกอย่างให้ฟัง คุณมิ้นได้ให้คำแนะนำว่า ของแบบนี้ต้องแก้ที่ต้นเหตุ

        สิ่งที่น่าขนลุกกว่านั้น คือระหว่างทางที่คุณมิ้นกับน้องสาวขับรถไปส่งเมย์กลับบ้าน ในกระจกมองหลังของรถ พวกเธอกลับเห็น ‘เงาผู้หญิงผมดำยาว’ ลักษณะคล้ายเมย์ทุกอย่าง ยองตัวนั่งอยู่บนไหล่ของเธอ พร้อมเสียงกรีดร้องปริศนา ที่ตะโกนดังชัดเข้ามาในรถว่า

        “มึงอย่ามายุ่งเรื่องของกู!!”

        นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีใครสามารถติดต่อเมย์ได้อีกเลย

        เวลาล่วงเลยไปเกือบ 4 ปี ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ จากโซเชียล ไม่มีแม้แต่ข้อความจาก LINE ที่เคยใช้พูดคุยกัน เบอร์โทรศัพท์ก็กลายเป็นเบอร์ที่ไม่สามารถติดต่อได้

        เพื่อนสนิทคนหนึ่งของเมย์บอกว่า ครั้งสุดท้ายที่เจอเมย์คือเมื่อปีที่แล้ว และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ใครสักคนได้เห็นเธอ

        ไม่มีใครล่วงรู้ได้เลยว่า ชะตากรรมของเมย์ในตอนนี้เป็นอย่างไร เธอยังมีชีวิตอยู่ดีหรือไม่ หรือพิธีกรรมที่เคยทำไว้ ได้พาชีวิตของเธอหลุดเข้าไปในโลกอีกใบที่ยากจะหาทางกลับออกมา

        เรื่องทั้งหมดนี้ เกิดจากความรักของแม่ ที่อยากให้ลูกประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ใครจะรู้ว่าหนทางนั้น กลับนำพาให้ลูกต้องหายไปจากชีวิตทุกคนโดยไม่มีคำลา..

 (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากต้อม พุธพาหลอน ‘ชุดเช่า’ l อังคารคลุมโปง X ต้อม พุธพาหลอน [ 30 ก.ย.2568 ]

12 ต.ค. 2025

เรื่องเล่าจากต้อม พุธพาหลอน ‘ชุดเช่า’ l อังคารคลุมโปง X ต้อม พุธพาหลอน [ 30 ก.ย.2568 ]

ชุดเช่าที่อาจมาพร้อมกับเจ้าของเก่า.. ใครที่ได้ใส่นำไปใส่ อาจจะต้องเจอดี หรือนำพาไปพบกับความหลอน เหมือนกับ ‘คุณต้อม พุธพาหลอน’ ที่ได้ไปเช่าชุดที่ร้านใหญ่ใจกลางเมือง แต่บังเอิญไปเจอกับชุดเดรสชุดสุดท้าย ที่เห็นแวบแรกก็ถูกตาต้องใจ จึงนำกลับมา แต่ชุดที่นำกลับมาด้วยนั้นจะนำพาอะไรกลับมา? หาคำตอบไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และ 'ดีเจมดดำ' ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง x ต้อม พุธพาหลอน’ (30 กันยายน 2568) กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ชุดเช่า’ เหตุการณ์ย้อนไปเมื่อช่วงต้นปี ทุกปีบริษัทจะมีงานเลี้ยงประจำปี ภายในงานจะมีการจัดงานแสดงต่าง ๆ มากมาย เป็นช่วงที่สาขาย่อยต่าง ๆ ของบริษัทจะมารวมตัวกัน ต้อมได้รับหน้าที่ในการหาชุดและทำฉากการแสดง แต่ด้วยความกระชั้นชิด มีเวลาจำกัด และต้องติดต่อร้านเช่า กระทั่งไปเจอร้านใหญ่ในเมือง ต้อมเดินทางไปที่ร้านพร้อมหัวหน้าที่ทำงาน 2 คน และน้องผู้ชาย 1 คนชื่อว่า ‘น้องแก้ว’ ซึ่งเป็นคนตลก ไม่ประสีประสา เมื่อมาถึงร้านเช่า ตอนนั้นเป็นเวลา 2 ทุ่ม บรรยากาศรอบข้างมืดอึมครึม ภายนอกเป็นตึกพาณิชย์ 3 ชั้น ดูทรุดโทรม แสงไฟหน้าตึกมืดสลัว ติด ๆ ดับ ๆ ทุกคนเดินเข้าไปในร้านก็ปะทะเข้ากับกลิ่นอับเหม็นอับ พร้อมกองผ้าที่กองไว้ระเกะระกะ เหมือนกองมาเป็น 10 ปี ทุกคนแบ่งหน้าที่กันหาชุดสำหรับโชว์ เว้นแต่แก้วที่หายตัวไป เวลาผ่านไปชุดที่หาไปหามาที่ถูกใจ มีอยู่ประมาณ 5 ชุด แต่นักแสดงมี 6 คน จึงตัดสินใจนำชุดไปให้เจ้าของร้านดู แต่เจ้าของร้านกลับแสดงสีหน้าตกใจ และแจ้งไปว่า “พี่ เปลี่ยนชุดมั้ยคะ” หัวหน้าอยากได้ชุดนี้มาก แต่ก็ยังหาชุดไปเรื่อย ๆ แต่ทันใดนั้นแก้วก็วิ่งลงมาเสียงดัง ตึ้ง ๆๆๆ พร้อมถือชุดหนึ่งมาให้ดู ปรากฏว่าชุดที่แก้วถือมาเป็นชุดแบบเดียวกันกับแบบที่หัวหน้าต้องการ ย้อนเหตุการณ์กลับมาในตอนที่แก้วหายไป แก้วเล่าว่า เขาขึ้นไปบนชั้น 3 บรรยากาศบริเวณรอบ ๆ เงียบสงัด วังเวง เขาก็รื้อหาชุดไปตามประสา ขณะเดียวกันก็มองลงไปชั้นล่าง พบเหมือนขาของใครบางคน ลักษณะ ซีด ขาว เหมือนขาของผู้หญิง แก้วนึกในใจว่าเป็นพนักงานในร้าน จึงเดินไปดู ปรากฏว่าที่ตรงนั้นไม่มีใครนั่งหรือยืนอยู่เลย พบแต่ชุดเต้นที่วางไว้ แก้วคิดในใจว่าสวยดี จึงหยิบลงมา เมื่อได้ชุดที่ถูกใจและเวลากระชั้นชิดจึงไม่ได้คิดอะไรมาก ทุกคนจึงตัดสินใจนำชุดที่เลือกไว้กลับไป เช้าวัดถัดมา ก็นำชุดทั้งหมดที่เช่ามาแจกให้กับพนักงานเพื่อไปดูแลต่อกันเอง แต่ชุดสุดท้ายที่แก้วได้หยิบมา พนักงานที่ได้รับไปมีชื่อว่า ‘น้องเฟย์’ ก่อนที่จะรับชุดไปเฟย์ได้ตรวจสอบมองไปที่ชุด แล้วพบรอยขาดที่บริเวณหลังชุด แต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เช้าตรู่ช่วงเวลาตี 5 ของวันเดินทาง เฟย์ได้เล่าว่า ฝันถึงเหตุการณ์บางสิ่งบางอย่าง เสมือนกับตัวเองอยู่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง มองไปเห็นเงาสลัว ๆ ของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่กำลังเต้นอยู่กลางฟลอร์ เป็นฝันที่ทำให้เฟย์หลับไม่ลง เมื่อเดินทางมาถึง ณ ที่จัดงาน ที่นี่เป็นทะเลแห่งหนึ่ง ในช่วงเวลา 4 ทุ่ม ทุกต่างสนุกสนานไปกับงาน ถึงคิวของกลุ่มเฟย์ที่ต้องขึ้นไปแสดงโชว์ หลังจากแสดงไปได้ชั่วขณะ ปรากฏว่าเฟย์ได้ร้องกรี๊ดขึ้นมา แล้วล้มลงกลางเวที ทุกคนคิดไปทางเดียวกันว่าเธอเมา จนกระทั่งเฟย์ฟื้นขึ้นมา เธอเล่าว่าตนเองไม่ได้เมา แต่กลับมีความรู้สึกเจ็บบริเวณที่เสื้อขาด เหมือนมีดแทงเข้ามา จนเธอสะดุ้งแล้วกรี๊ดสลบไปทันที วันถัดมา เป็นวันเดินทางกลับ หลังจากกลับมาทุกคนก็มีอาการท้องเสียด้วยอาหารที่กิน ทำให้มีหลายคนลางาน รวมถึงเฟย์ เธอลางานไป 2 วัน ย้อนกลับไปในวันที่เดินทางกลับ เมื่อเฟย์ถึงห้องก็เป็นเวลา 4 - 5 ทุ่มแล้ว บรรยากาศภายในห้องก็เริ่มมืด มีเพียงแสงไฟมืดสลัว เธอเปิดไฟไว้เฉพาะบริเวณหัวเตียง จากนั้นก็ถอดชุดแขวนไว้หน้าตู้เสื้อผ้า เฟย์มีอาการสลึมสลือ แต่พอหันมองไปที่ชุด อยู่ ๆ ชุดก็แกว่งไปแกว่งมา ทั้ง ๆ ที่ในห้องไม่มีลม ภายในความมืด เฟย์สังเกตเห็นเหมือนมีมือขาวซีดค่อย ๆ ผุดออกมาจากแขนเสื้อทีละนิด ไล่จากฝั่งซ้ายไปฝั่งขวา จนไปถึงขาค่อย ๆ ออกยื่นมาทีละนิด สุดท้ายเหมือนลักษณะเป็นศรีษะค่อย ๆ ผุดออกมาเรื่อย ๆ ทีละนิด เห็นเป็นใบหน้าขาวซีด เฟย์ฉุกคิดได้ว่า ใบหน้าของผู้หญิงคนนี้คล้ายใบหน้าของผู้หญิงในฝันที่เธอได้ฝันถึง เฟย์จึงตกใจรีบวิ่งไปเปิดไฟทันที ภายในห้องสว่างขึ้น และสิ่งที่เฟย์เห็นก่อนหน้า กลับหายไปในพริบตา เธอคิดไปต่าง ๆ นานาจนนอนไม่หลับทั้งคืน เช้าวัดถัดมา เป็นเช้าวันหยุด แต่เฟย์ไม่สนใจ รีบนำชุดที่เกิดเรื่องไปทิ้งไว้ที่บริษัท เธอไม่อยากเก็บเอาไว้กับตนเองแล้ว เพราะตั้งแต่ที่ได้ชุดนี้มา เธอรู้สึกบรรยากาศภายในห้องมันดูอึมครึมเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างอยู่กับเธอ หลังจากวันนั้น ทุกคนก็ได้นำชุดมาคืน ต้อมทำการรวบรวมชุดทั้งหมดไปคืนให้ร้านเช่า ในวั้นนั้นทางร้านได้สอบถามเราว่า “น้องเอาชุดไป เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า” ต้อมได้แต่นึกว่ากับตัวเองไม่ได้รับรู้สึกถึงอะไร จึงตอบกลับไป “ไม่มีครับ” เจ้าของร้านยิ้มตอบ พร้อมพูดว่า “มันเกินเวลามานะ แต่พี่ไม่เอาค่าปรับ” หลังจากวันนั้น เวลาผ่านไป เฟย์ได้รู้สึกดีขึ้น จึงได้นำเรื่องราวมาถ่ายทอดให้ต้อมได้ฟัง..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

ทำพรอพถ่ายหนังไม่ทัน เลยขอยืมของจริงซะเลย! “ผมมั่นใจเลยว่าตายายเป็นสิ่งแรกที่ผมจะหยิบมาด้วย ..แต่หายังไงก็ไม่เจอ!” พอเอาของกลับไปคืน ตายายดันอยู่ที่เดิมเฉยเลย!

16 มี.ค. 2023

ทำพรอพถ่ายหนังไม่ทัน เลยขอยืมของจริงซะเลย! “ผมมั่นใจเลยว่าตายายเป็นสิ่งแรกที่ผมจะหยิบมาด้วย ..แต่หายังไงก็ไม่เจอ!” พอเอาของกลับไปคืน ตายายดันอยู่ที่เดิมเฉยเลย!

ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “หุ่นพยนต์” อย่าง “พี่ไมค์ ภณธฤต” และนักแสดงคู่ใจ “อัพ ภูมิพัฒน์” ได้นำเรื่องหลอนมาเล่าให้ชาว “อังคารคลุมโปง X” (14 มีนาคม 2566) ได้ฟัง ทำเอา “ดีเจแนน” และ “ดีเจเจ็ม” แทบจะร้องกรี๊ดลั่นสตูดิโอ! หนึ่งในเรื่องหลอนที่ต้องขนหัวลุกไปตาม ๆ กันคือเรื่องที่มีชื่อว่า “ตายายไม่ไปถ่ายหนัง” เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ติดตามอ่านกันได้เลย! พี่ไมค์เล่าว่า เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เกิดขึ้นในช่วงที่พี่ไมค์ยังทำงานเป็นฝ่ายอาร์ตให้กับกองถ่าย ซึ่งจะมีหน้าที่เตรียมอุปกรณ์ประกอบฉาก และเซ็ตแต่ละฉากให้ดูสมจริงเพื่อใช้ในการถ่ายภาพยนตร์ ในตอนนั้นพี่ไมค์ได้รับโปรเจคให้ทำภาพยนตร์เรื่อง “ศพเด็ก 2002” ซึ่งมีเค้าโครงมาจากข่าวที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศสะเทือนขวัญกับการพบศพทารกจำนวนมากถึง 2,002 ศพ สถานที่คือวัดไผ่เงินโชตนาราม เมื่อทราบว่าจะมีการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ ทีมอาร์ตของพี่ไมค์ก็จัดเตรียมอุปกรณ์เพื่อใช้ในการถ่ายทำ หนึ่งในนั้นคือโกดังวัดไผ่เงินและศาลที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ซึ่งพี่ไมค์กับทีมงานต้องสร้างขึ้นมาเอง จึงเดินทางไปสถานที่จริง เพื่อวัดสัดส่วน ความกว้าง ความสูง และรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อให้มีความสมจริงมากที่สุด จากนั้นก็วางแผนว่าจะสร้างในโรงเรียนแห่งหนึ่งย่านพระราม 9 หลังจากที่สร้างเสร็จแล้ว เป็นเวลาจวนพลบค่ำ ปรากกฎว่าพี่ไมค์ดันลืมองค์ประกอบสำคัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป เช่น พวงมาลัยแห้ง เหล่าบริวาร และของเซ่นไหว้ เพื่อความสมจริง ของเหล่านั้นจึงจำเป็นต้องดูเก่า พี่ไมค์คิดว่าถ้าจะไปหาซื้อใหม่ตอนนั้นก็คงไม่ทัน จึงต่อสายหาสัปเหร่อ (ตอนนั้นยังไม่ถูกจับไป) เพื่อขออนุญาตขอ “ของจริง” มาใช้ และจะซื้อของใหม่เข้าไปถวายแทน ทางสัปเหร่อของวัดก็ไม่ได้ว่าอะไร และบอกว่า “ถ้าจะเอาก็มาขอเขาก่อน” สิ้นสุดการสนทนา พี่ไมค์และทีมงานก็เดินทางไปที่วัดเพื่อนำบริวารของจริงทุกอย่างที่มี ไปประกอบฉากอย่างที่ตั้งใจ และนำของใหม่ที่พึ่งซื้อหน้าวัดเข้าไปสับเปลี่ยน พร้อมทั้งบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง จากนั้นของจริงก็ถูกนำมาใช้ระกอบฉาก เรียกได้ว่าออกมา “สมบูรณ์แบบ” พอเสร็จงาน พี่ไมค์ก็เดินทางกลับบ้าน ซึ่งตอนนั้นพึ่งจะเช่าบ้านใหม่และมีหลานอยู่ด้วย ตกดึกหลานก็บอกว่าได้ยินเสียง “กุกกัก กุกกัก” เป็นเหมือนเสียงคนเดินอยู่ในบ้าน พี่ไมค์บอกว่าบ้านหลังนั้นไม่มีศาลแต่มีตี่จู่เอี๊ยะ (ศาลเจ้าตามความเชื่อของคนไทยเชื้อสายจีน) จึงคิดในใจว่าหลานเราไปทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า หรือเป็นเพราะพี่ไมค์ที่ย้ายบ้านเข้ามาใหม่แต่ไม่ได้ไหว้ตี่จู่เอี๊ยะเลย พี่ไมค์เล่าว่าได้ยินเสียงคนเดินอยู่ที่บ้านแบบนั้นอยู่ 3 วัน ตามระยะเวลาที่ไปถ่ายทำภาพยนตร์ จนกระทั่งวันสุดท้าย พี่ไมค์เล่าเรื่องที่เจอให้กับพี่คนขับรถฟัง พี่คนขับรถได้แต่ยิ้มกรุ้มกริ่ม พี่ไมค์จึงปรึกษาว่า “เอายังไงดี เพราะบ้านหลังนี้ก็พึ่งเช่า ผมยังไม่พร้อมจะย้าย” พี่คนขับรถก็บอกว่า “ไมค์ น้ามีเรื่องอยากจะบอกนะ ของที่ไมค์ไปเอาเขามา ไมค์ได้ไหว้ที่โรงเรียนนั้นมั้ย?” พี่ไมค์ตอบกลับไปว่าไม่ได้ไหว้ เพราะตอนนั้นสถานการณ์ค่อนข้างเร่งรัด พี่คนขับรถจึงบอกว่า “ไมค์อ่ะทำพลาดแล้ว ไมค์ไปเอาของเขามา แต่ไม่ได้ไปจุดธูปไหว้เจ้าที่ที่โรงเรียน เขาก็เลยไปไหนไม่ได้ เขาก็เลยมาหาไมค์ เลยมาหาที่บ้าน” พอถึงวันถ่ายทำวันสุดท้าย จากเดิมที่คิดว่าจะทิ้งเพราะมีของใหม่ไปเปลี่ยนแทนแล้ว ก็ตั้งใจว่าจะนำของทุกอย่างที่ยืมมาไปคืนให้หมด แต่พอเก็บไปเก็บมา “คิน” หนึ่งในทีมอาร์ตของพี่ไมค์ก็ต้องตกใจ และบอกกับพี่ไมค์ว่า “เห้ยพี่ ของไม่ครบอ่ะ” พี่ไมค์ก็ตกใจว่าทำไมไม่ครบ เพราะฉากนี้ไม่ได้เปลี่ยนอะไร เป็นการตั้งไว้เฉย ๆ จึงไม่น่าทำให้ของหายได้ ส่วนของที่หายคือ “ตา-ยาย” ของสำคัญที่ไม่ควรจะหาย แต่หายังไงก็หาไม่เจอ! ทุกคนในทีมมั่นใจเต็มร้อยว่าเอามาหมด ของสำคัญอย่างตายายเราจะลืมเอามาได้อย่างไร แถมศาลยังเล็ก ๆ เราซื้อของใหม่เข้าไปเปลี่ยนด้วย ยังไงก็ต้องเอามา พี่ไมค์ถึงกับขนลุกและพูดกับคินว่า “โหยคิน ถ้ากลับไปที่ศาลแล้วเขาอยู่ที่ศาล เราจะทำยังไงวะ” แม้จะดูเหมือนเป็นการคุยกันเล่น ๆ แต่ลึก ๆ ในใจ ทุกคนในทีมก็หวังว่าจะไม่เจอสิ่งที่พูดไป พอกลับไปถึงศาลที่วัด พี่ไมค์เล่าว่าภาพมันเหมือนกับฉากในภาพยนตร์ไม่มีผิด พี่ไมค์กับคินก็คิดในใจว่า “อย่าอยู่นะ อย่ามีนะ” พอเดินเข้าไปใกล้ศาลเรื่อย ๆ ก็แง้มดูข้างใน พี่ไมค์บอกว่า “นั่งเดี่ยว ๆ อยู่เลย” ซึ่งรวมอยู่กับของใหม่ที่เอามาเปลี่ยนแทน กลายเป็นมีตายายเก่าและตายายใหม่อยู่ด้วยกัน! นั่นทำให้พี่ไมค์คิดแล้วคิดอีก และหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ว่าทำไม “ตายาย” ถึงอยู่ที่ศาลเดิม เพราะนั่นคือสิ่งแรกที่พี่ไมค์จะนำมาด้วย และก็นำของใหม่เข้าไปสับเปลี่ยน สุดท้ายก็หาเหตุผลไม่ได้ หลังจากนั้นพี่ไมค์ก็นำเรื่องนี้ไปเล่าให้พระอาจารย์ที่วัดฟัง ท่านก็บอกว่า “ไม่ต้องคิดไรมากโยม ก็แสดงว่าเขาไม่ไป”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนเต็ม ๆ ได้ที่

ไลฟ์ดูดวงแล้วได้เสียงคนปาก้อนหิน พอไปดูก็ไม่มีใคร!

06 เม.ย. 2024

ไลฟ์ดูดวงแล้วได้เสียงคนปาก้อนหิน พอไปดูก็ไม่มีใคร!

เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณขวัญ’ ที่ ได้โทรมาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (2 เมษายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เกี่ยวกับประสบการณ์การดูดวงที่มีวิณญาณมาของขอความช่วยเหลือ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย! คุณขวัญเล่าว่า คุณขวัญเองมีอาชีพเป็นหมอดู กลางคืนก็จะรับคิวดูดวง ช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืนครึ่งก็จะไลฟ์สดเพื่อพูดคุยกับลูกดวงในทุก ๆ คืน ในช่วง 4-5 ปีที่แล้ว คุณขวัญก็ขึ้นไลฟ์สดปกติ และคุณขวัญก็เล่าว่าบ้านเก่าที่เคยอยู่เป็นบ้าน 2 ชั้น ห้องดูดวงกับห้องทำงานอยู่ชั้น 2 หากเปิดหน้าต่างในห้องทำงานก็จะเห็นประตูหน้าบ้านติดกับถนน คืนหนึ่ง เวลาประมาณเที่ยงคืนครึ่ง คุณขวัญกำลังเตรียมของเพื่อไลฟ์สดก็ได้ยินเสียงคล้ายกับก้อนหินกระทบกับประตูรั้วหน้าบ้าน แต่คุณขวัญก็ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งกำลังจะเปิดไลฟ์ ก็ได้ยินเสียงอีกครั้ง เป็นเสียงเหมือนมีคนขว้างบางอย่างใส่ประตูรั้วหน้าบ้าน คุณขวัญจึงเดินไปดูที่หน้าต่าง แต่มองออกไปก็ไม่เห็นอะไร แม้แต่สุนัขหรือรถวิ่งผ่านก็ไม่มี คุณขวัญจึงปล่อยผ่านไปแล้วมาขึ้นไลฟ์คุยกับลูกดวงปกติ แต่ในระหว่างคุยอยู่นั้น หางตาก็เห็นเหมือนมีกลุ่มควันดำ ๆ อยู่ที่มุมห้องของตนเอง จากนั้นก็ค่อย ๆ หายไป ในใจคิดแค่ว่าตัวเองคงตาฝาดจึงไม่ได้สนใจ วันถัดมาเวลาเดิม (ประมาณเที่ยงคืนครึ่ง) คุณขวัญก็เตรียมของเพื่อที่จะไลฟ์คุยกับลูกดวงเหมือนทุกวัน จากนั้นก็ได้ยินเสียงกระทบกับประตูหน้าบ้านเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้คุณขวัญแอบไปดูตรงหน้าต่าง ก็เห็นคล้ายกับคนยืนอยู่ จึงรีบวิ่งลงมาจากชั้น 2 เพื่อที่จะมาดูหน้าประตู แต่สุดท้ายก็ไม่มีใคร คุณขวัญได้แต่คิดในใจว่า ‘ใครวะ’ แล้วก็เดินขึ้นไปไลฟ์สด ช่วงที่ไลฟ์อยู่นั้นทุก ๆ 10 นาทีก็ได้ยินเสียง “ป๊อก…ป๊อก…ป๊อก” เป็นเสียงคล้ายก้อนหินถูกขว้างใส่ประตูหน้าบ้าน จนเขารู้สึกหงุดหงิดในใจ คิดว่าใครมาแกล้งหรือเปล่า พอสิ้นความคิดก็มีภาพของเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงมุมห้องมุมเดียวกับที่เห็นกลุ่มควันเมื่อวาน แต่ที่เห็นคือเด็กผู้ชายยืนก้มหน้าอยู่ประมาณ 5 วิแล้วก็หายไป คุณขวัญรู้สึกกังวลใจจึงไลฟ์ต่ออีกประมาณ 5 นาทีก็ปิดไลฟ์ แล้วเริ่มประติดประต่อเรื่องได้ว่า ‘น่าจะมีใครสักคนต้องการจะสื่อหรือคุยอะไรหรือเปล่า’ จากนั้นคุณขวัญก็นั่งสมาธิ แล้วคืนนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น... วันถัดมา คุณขวัญรันคิวดูดวงตามปกติจนกระทั่งคิวนี้.. ในขณะที่กำลังเคลียร์พลังงานของตัวเองเพื่อที่จะดูคิวต่อไป ก็เห็นภาพเด็กคนนั้นขึ้นมาในความคิด แต่สิ่งที่คุณขวัญเห็นคือเด็กผู้ชายคนนี้อยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ลักษณะของบ้านเป็นประตูกระจกที่เป็นบ้านเลื่อน เป็นประตูที่ติดกับข้างบ้าน ตรงข้างบ้านจะเป็นบริเวณหญ้าเหมือนเป็นมุมจิบกาแฟ คุณขวัญเห็นน้องผู้ชายคนนี้ยืนร้องไห้ ไม่พูดไม่คุยอะไร เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว คุณขวัญจะต้องเข้าคิวถัดไปจึงรีบเคลียร์ภาพเหล่านั้นออก คิวนี้เป็นน้องผู้หญิงอายุประมาณ 20 ปี ปรึกษาเรื่องปกติเกี่ยวกับการงาน การเงิน ความรัก ในระหว่างที่คุยกัน ก็มีภาพน้องผู้ชายคนนั้นก็แว๊บขึ้นมาร้องไห้เหมือนเดิม คุณขวัญจึงขอเบรคลูกดวงก่อนแล้วบอกว่า “ขอโทษนะคะ รู้จักเด็กผู้ชายลักษณะผอมสูง ใส่เสื้อเชิ้ตมีกระดุมกางเกงขายาว ลักษณะรูปร่างประมาณนี้ไหม ขวัญเห็นยืนอยู่ในบ้าน” แล้วคุณขวัญก็อธิบายลักษณะบ้านให้ลูกดวงคนนี้ฟัง น้องผู้หญิงคนนี้ก็เงียบไปสักครู่นึงแล้วก็ถามว่า “มีอะไรหรือเปล่าคะ?” คุณขวัญจึงเล่าเหตุการณ์เมื่อวันก่อนให้ฟัง แล้วน้องคนนั้นก็บอกว่า “สิ่งที่คุณขวัญเห็น เป็นลักษณะของน้องชาย ที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว” และบ้านที่คุณขวัญเห็นเป็นบ้านหลังเก่าที่ครอบครัวนี้เคยอยู่ต้อนที่น้องผู้ชายคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ คุณขวัญก็เริ่มปะติดปะต่อเรื่องได้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น.. หลังจากนั้นก็คุยเรื่องดวงต่อ แล้วก็ได้ยินเสียงน้องผู้ชายคนนั้นพูดว่า “พาหนูไปด้วย หนูเหงา” พร้อมกับร้องไห้ออกมา คุณขวัญจึงบอกกับน้องผู้หญิงคนนั้นไปว่าได้ยินเสียงน้องผู้ชายพูดมาแบบนี้ และถามว่า “ตอนที่ตัดสินใจย้ายบ้านได้เรียกน้องไหม แล้วตอนเข้าบ้านใหม่บอกเจ้้าที่เจ้าทางที่ใหม่หรือเปล่าเพื่ออนุญาตให้น้องเข้า” น้องผู้หญิงคนนี้ก็เล่าให้ฟังว่า “เท่าที่จำได้ ไม่ได้มีการจุดธูป ไม่ได้เรียกน้องแบบจริงจังเลย” คุณขวัญคิดว่าน้องน่าจะยังอยู่ที่บ้านหลังเดิมคนเดียวเหงา ๆ แล้วก็น่าจะคิดถึงครอบครัว จึงพยายามมาสื่อสารเพื่อที่จะให้ทางครอบครัวรับรู้ คุณขวัญจึงแนะนำไปว่า “ถ้าสมมติมีโอกาสกลับมาบ้านหลังนี้ ให้เรียกน้องกลับไปที่บ้านหลังใหม่ แล้วก็บอกเจ้าที่เจ้าทางให้เขารับรู้และให้เขาอนุญาตให้น้องได้เข้าบ้าน” คุณขวัญยังนึกสงสัยว่า ‘ทำไมดวงวิณญาณมาหาถึงหน้าบ้าน’ ก่อนจะวางสายจึงคุยกับน้องผู้หญิงคนนี้ว่า “บ้านเก่าที่เราเจอดวงวิณญาณอยู่ที่ไหน” น้องผู้หญิงก็บอกว่าอยู่จังหวัดเดียวกับคุณขวัญ ซึ่งห่างจากบ้านของคุณขวัญแค่ไม่กี่กิโลเมตร แล้วเมื่อ 3 วันก่อนคุณขวัญก็เพิ่งไปหาเพื่อนแถวนั้นมาพอดี คุณขวัญเล่าว่าน้องน่าจะหาคนที่สื่อสารได้เพื่อบอกกับครอบครัวว่าเขายังอยู่ตรงนี้..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณชิ ‘ห้องเตียงคู่’ I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ปิงปอง [ 4 มิ.ย. 2567]

10 มิ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณชิ ‘ห้องเตียงคู่’ I อังคารคลุมโปง X หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ - ปิงปอง [ 4 มิ.ย. 2567]

เรื่องราวนี้ ‘คุณชิ’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนจากประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้นจริง มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (4 มิถุนายน 2567) เตรียมขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ห้องเตียงคู่’ จะชวนหลอนจนขนหัวลุกขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย ! เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ตรงของ ‘คุณชิ’ (นามสมมติ) และภรรยา โดยคุณชิเริ่มเล่าว่า ย้อนกลับไปประมาณปลายปีที่แล้ว คืนหนึ่งภรรยาของคุณชิเกิดอาการปวดท้องหนักมาก คุณชิจึงบอกกับภรรยาว่า “ไปโรงพยาบาลดีกว่าไหม ? มานอนทนปวดแบบนี้มันไม่ดีนะ” ซึ่งตอนแรกภรรยาก็รั้นไม่ยอมที่จะไป จนกระทั่งทนไม่ไหว คุณชิจึงพาไปโรงพยาบาล ขณะนั้นเป็นเวลา 4 ทุ่ม ซึ่งกว่าจะคุยกับหมอเสร็จ เวลาก็ผ่านไปจนเวลาเที่ยงคืนกว่า คุณหมอก็ได้ข้อสรุปว่า ‘ไส้ติ่งอักเสบ’ ต้องเข้าแอดมิดที่โรงพยาบาลทันที หลังจากนั้นฝ่ายทะเบียนก็เข้ามาบอกให้ภรรยาแอดมิดที่ห้อง 601 ระหว่างนั้นก็มีพยาบาลคนหนึ่ง เดินเข้ามาถามว่า “ให้คนไข้เข้าพักที่ห้องไหน” ฝ่ายทะเบนียนก็ตอบว่า “601 ไงค่ะ” พยาบาลก็เกิดอาการเลิ่กลั่กแปลก ๆ แล้วถามว่า “ทำไมให้คนไข้แอดมิดที่ห้องนั้นละ ?” ตอนนั้นคุณชิก็เกิดคำถามในใจแล้วว่า ‘ทำไมถึงนอนห้องนี้ไม่ได้ล่ะ ?’ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ฝ่ายทะเบียนก็ตอบว่า “มันเหลือห้องเดียวแล้ว ไม่มีอะไรหรอก” ก่อนที่จะหันหน้ามามองภรรยาของคุณชิ แล้วบอกว่า “พอดีว่า ห้องนี้มีคุณยายนอนอยู่คนเดียว แต่ไม่มีอะไรหรอกน้อง นอนได้สบาย คุณยายเขาแค่ ชอบนอนเปิดบทสวดฟัง ไม่มีอะไรหรอก” จากนั้น ช่วงเวลาประมาณตี 1 คุณชิและภรรยาก็ได้เข้าไปที่ห้อง 601 คุณชิเห็นว่าเตียงจะถูกจัดให้อยู่ทางด้านซ้าย ซึ่งเตียงแรกเป็นเตียงของคุณยาย และเตียงที่สอง เป็นเตียงของภรรยา และคุณชิยังสังเกตอาการป่วยของคุณยายอีกว่า คุณยายน่าจะอยู่ในอาการโคม่า อาการไม่สู้ดี และพร้อมที่จะไปแล้ว โดยมีเครื่องช่วยหายใจใส่ไว้ทางปาก และมีเสียงหายใจดัง ฮะ.. เฮือกก อยู่เสมอ.. จากนั้นคุณซิก็กลับบ้าน เพราะว่าไม่สามารถอยู่เฝ้าได้ หลังจากที่คุณชิเอาลูกเข้านอน ช่วงเวลาประมาณตี 2 ทางภรรยาก็โทรมา โดยใช้น้ำเสียงกระซิบบอกว่า “เธอ จู่ ๆ เพลงบทสวดก็ดังขึ้นมา เป็นบทสวดภาษาจีน” คุณชิจึงบอกว่า “ทางพยาบาลเข้ามาเปิดให้คุณยายฟังหรือเปล่า ?” ภรรยาของคุณซิตอบว่า “ไม่นะ ถ้าพยาบาลเข้ามา ก็ต้องได้ยินเสียงเปิดประตู” คุณชิได้แต่พูดปลอบใจว่า “มันไม่มีอะไรหรอก เธอคิดไปเอง เธออาจจะไม่ได้ฟังตอนพยาบาลเปิดประตูเข้ามา” หลังจากนั้น ภรรยาก็เหมือนจะสบายใจขึ้น ก่อนที่จะวางสายไป จนเช้าวันรุ่งขึ้น เวลา 9 โมง คุณชิก็ไปเยี่ยมภรรยา ถามว่าเมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้าง ภรรยาก็เล่าว่าบทสวดดังทั้งคืน ไม่สามารถที่จะนอนหลับได้เลย และบทสวดก็เปิดยันเช้า เย็นวันนั้น พยาบาลก็เข้ามาบอกว่า “เดี๋ยวจะได้ย้ายห้องนะ” ภรรยาได้ยินก็รู้สึกสบายใจขึ้น จนเวลาก็ผ่านไปเกือบ 3 ทุ่ม ทางภรรยาของคุณซิ ก็ไม่ได้ย้ายห้องสักที คุณชิจึงไปถามกับพยาบาล พยาบาลก็บอกว่า “ไม่ได้ย้ายแล้วค่ะ พอดีว่าคนไข้แอดมิดเข้ามาใหม่ ทำให้ห้องเต็มเหมือนเดิม” หลังจากนั้นคุณชิก็กลับบ้าน เวลาประมาณ 5 ทุ่ม ทางภรรยาก็โทรมาบอกว่า “บทสวดดังอีกแล้ว แต่ครั้งนี้แปลกมาก เพราะหลังจากบทสวดจบ มีเสียงเรียกมาด้วย เรียกว่า หนู” ซึ่งทางภรรยาก็พยายามชะเง้อมองหาต้นทางของเสียงและเห็นว่า มีเงาคล้ายกับร่างคน สะท้อนม่าน ชะโงกมองมาทางตน ทางภรรยาของคุณชิก็พยายามหลบสายตาไม่มองไปทางนั้น และบอกว่า “เขาใส่หมวกไหมพรหมสีสีชมพู และพยายามเรียกอิหนู อิหนู… อิหนู ซ้ำอยู่นั่นแหละ” คุณชิพยายามปลอบใจว่า “ไม่มีอะไรหรอก คงมีใครมาเยี่ยมคุณยาย ในเวลานี้หรือเปล่า ?” แต่คุณชิก็รู้สึกว่า มันไม่ชอบมาพากล มีบางอย่างแปลก ๆ แต่ก็ไม่อยากให้ภรรยาคิดมาก จึงได้พูดแบบนั้นไป หลังจากนั้น ช่วงเวลาประมาณตี 2 ทางภรรยาก็โทรเข้ามาอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ บอกว่า “เธอ ไม่ไหวแล้วอ่ะ เปิดเสียงบทสวดอะ ไม่เท่าไหร่ แต่นี่เรียกทั้งคืนเลย มารับกลับได้ไหม อยากกลับบ้านมาก เค้าไม่โอเค ไม่ไหวแล้วจริง ๆ” คุณชิจึงได้แต่ปลอบไปว่า “เค้าไปรับเธอกลับไม่ได้ ถึงเค้าไปรับได้ เธอก็ไม่สามารถกลับกับเค้าได้ เพราะเธออยู่ในกระบวนการการรักษาของแพทย์ เธอต้องอดทนนะ พยายามหลับตานอน” คุณชิรู้สึกไม่สบายใจ เพราะไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทำเพียงแค่ปลอบใจภรรยา ซึ่งคืนนั้นคุณชิก็ไม่ได้นอน เพราะทุกครึ่งชั่วโมงทางภรรยาก็จะโทรมา เพราะทุกครั้งเมื่อเพลงจบ ก็จะมีเสียงเรียกทุกครั้ง และช่วงเวลาประมาณตี 5 ทางภรรยาก็โทรเข้ามาเล่าว่า “เมื่อสักพักก่อนหน้านี้ เกิดอะไรขึ้นไม่รู้ เพราะมีพยาบาล 3-4 คน ก็เข้ามามุงอยู่ที่เตียงของคุณยาย ก่อนที่จะใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง แล้วก็ออกกันไป ซึ่งตอนที่พยาบาลยังอยู่ เราก็ปวดเข้าห้องน้ำพอดี จึงได้เห็นว่า พยาบาลจัดคุณยายในท่านั่งพิงกับขอบเตียง ถอดเครื่องช่วยหายใจและสายน้ำเกลือ และใส่ชุดเสื้อผ้าใหม่ที่ไม่ใช่ของโรงพยาบาล พร้อมกับหมวกไหมพรมสีชมพู เราไม่น่ามองไปทางนั้นเลย” หลังจากนั้นภรรยาก็หลับไป.. เช้าวันถัดมาก็ถามพยาบาลว่า “คุณยายไปไหนหรอคะ ? เพราะตื่นมาก็ไม่เห็นแล้ว” พยาบาลก็ตอบว่า “อ๋อ คุณยายเสียตั้งแต่เที่ยงคืนแล้วค่ะ” ซึ่งคุณชิก็รู้สึกว่า ‘ตั้งแต่ช่วงหลังเที่ยงคืน ภรรยาได้นอนกับศพตลอดทั้งคืนเลย เพราะเขาพึ่งเอาคุณยายออกไปตอนเช้า’ จึงถามว่า “ทำไมถึงพึ่งมาเอาคุณยายออกไปตอนเช้า” ทางพยาบาลก็ตอบว่า “พอดีว่าห้องดับจิตเต็ม จึงต้องให้คุณยายอยู่ที่นี่ไปก่อน” พอทางภรรยาของคุณชิรู้เช่นนั้นก็ช็อก เพราะต้องนอนต่อที่ห้องนี้อีกหนึ่งคืน แต่คืนต่อมาก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะมีคนไข้คนใหม่ เข้ามานอนแทนที่ของคุณยายคุณยายแล้ว..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1