เรื่องเล่าจากเเพรว นฤภรกมล 'เสียงใคร' I อังคารคลุมโปง X จี๋ สุทธิรักษ์ - แพรว นฤภรกมล [ 20 ส.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากเเพรว นฤภรกมล 'เสียงใคร' I อังคารคลุมโปง X จี๋ สุทธิรักษ์ - แพรว นฤภรกมล [ 20 ส.ค. 2567]

25 ส.ค. 2024

   เรื่องราวนี้ ’แพรว-นฤภรกมล’ นักแสดงจากซีรีส์ ‘อังคารคลุมโปง: เอ็กซ์ตรีม’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (20 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘เสียงใคร’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย

   โดยคุณแพรวเล่าว่า ย้อนกลับไปสมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านรังสิต วันนั้นตนอยู่ที่หอพัก โดยปกติแล้วระแวกนั้นจะมีการละหมาดทำให้มีเสียงสวด แต่จะทำเป็นเวลา ซึ่งคุณแพรวรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ก็ใช้ชีวิตไปแบบทุกวัน แต่ก็มีเรื่องผิดปกติก็คือ คุณแพรวไปซอยข้าง ๆ มหาวิทยาลัย แล้วเห็นคุณลุงคนหนึ่งนั่งขายของอยู่ที่พื้น นั่นก็คือ ‘ตุ๊กตาปิ๊กกาจู’ แล้วก็จะมีเสียงหลอน ๆ วางอยู่ที่พื้น คุณแพรวพูดกับเพื่อนว่า

   ”อยากช่วยลุงเขาซื้อ”

   จากนั้น เพื่อนตอบมาเล่น ๆ ว่า “มันเป็นตุ๊กตาผีสิงหรือเปล่า“

   ในใจคุณแพรวก็คิดว่าเพื่อนจะพูดแบบนั้นขึ้นมาทำไม สุดท้ายคุณแพรวก็ซื้ออยู่ดี แล้วก็เอาตุ๊กตากลับมาที่ห้อง

   โดยปกติแล้ว ห้องไม่เคยมีเรื่องอะไรเลย แต่วันนั้นคุณแพรวกับเพื่อนกำลังจะนอน ระหว่างที่นอนเล่นโทรศัพท์กันอยู่ สักพักได้ยินเสียงที่ฟังไม่รู้เรื่อง ดูไม่มีความหมาย เหมือนเสียงสวดมนต์ และมันดังอยู่ในห้อง เพราะเสียงละหมาดที่เคยได้ยินบ่อย ๆ จะฟังกี่ครั้งก็รู้สึกว่ามันดังมาจากนอกห้อง แต่ตอนนั้นรู้สึกว่าเสียงมันอยู่ในห้อง!

   ตอนแรกคุณแพรวก็คิดว่าเพื่อนแกล้ง เพราะปกติก็มีการเล่นกันอยู่บ้าง แต่จังหวะที่กำลังจะหันไป เพื่อนก็เขยิบตัวมาเบียดตน แล้วหันมาบอกว่า

   “มึง กูไม่ได้พูด”

   ตอนนั้นคุณแพรวรู้สึกเหมือนซีนในหนังมาก หลังจากนั้นก็ยืนขึ้น แล้วเปิดไฟ คุณแพรวก็พูดว่า

   “มันยังไงกันวะ”

   แล้วเพื่อนก็ตอบกลับว่า “หรือว่าเป็นเพราะตุ๊กตาที่ซื้อมา”

   ในใจก็คิดว่าเพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยมี แต่พอมีก็เกิดสิ่งนี้ คุณแพรวจึงเอาไปแอบไว้ในห้องเพื่อนในวันรุ่งขึ้น หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องที่ห้องเพื่อน

   ปกติแล้วคุณแพรวจะนอนอยู่ 2 ห้องคือเพื่อนคนแรก กับเพื่อนคนที่ 2 มีวันหนึ่งที่ต้องออกไปทำงานแล้วนัดกับเพื่อนคนที่ 2 ว่าจะกลับมานอนที่ห้องด้วย (ห้องที่เอาตุ๊กตามาแอบ) แต่ปรากฏว่าไม่ได้กลับไป

   เพื่อนคนนั้นบอกว่าเห็นคุณแพรวเดินมาที่หัวเตียง แล้วก้มมามอง ตอนแรกคิดว่าเป็นคุณแพรว แต่พอมองดี ๆ กลับไม่ใช่ เขาเป็นคนผมยาว แล้วมองไม่เห็นหน้า และได้ยินเสียงคนเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ ทั้งที่อยู่คนเดียว แล้วหลังจากนั้นห้องนั้นก็เจอเรื่องอยู่บ่อย ๆ

   ซึ่งทุกวันนี้ก็ไม่รู้ว่าตุ๊กตานั้นไปอยู่ไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าเสียงมากจากตุ๊กตาหรือไม่ แต่สำหรับตนแล้ว ตุ๊กตามันน่ารักมาก เพราะตอนไปซื้อก็มีหลายตัว แล้วเลือกหยิบมาแค่หนึ่งตัว จากนั้นก็ไม่เห็นลุงอีกเลย

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากมอสหลง 'อาถรรพ์เชิงตะกอน' l อังคารคลุมโปง X มอสหลง-เดียร์น่า [ 2 ธ.ค.2568 ]

13 ธ.ค. 2025

เรื่องเล่าจากมอสหลง 'อาถรรพ์เชิงตะกอน' l อังคารคลุมโปง X มอสหลง-เดียร์น่า [ 2 ธ.ค.2568 ]

ไปถ่ายทำหนังที่เชิงตะกอน ขากลับดันไปพูดว่า “กลับบ้านกันทุกคน” พอขับออกมาก็รู้สึกรถหนืด ๆ บรรยากาศอึดอัด ทั้งที่ในรถมีกันอยู่แค่ 2 คน จนหางตาหันไปเห็นว่ามีคนแก่นั่งอัดกันอยู่เต็มหลังรถ! ไม่แค่นั้นพี่นักแสดงสมทบเล่าว่า หลังถ่ายเสร็จฝันว่า ฟันหลุด 3 วันติด จนต้องให้สัปเหร่อมาช่วย เพราะขึ้นชื่อว่าพื้นเชิงตะกอนที่ไปถ่ายทำนั้นของแรงมาก หลังจบการถ่ายทำ ขณะที่กำลังแยกย้ายกลับบ้านดันพลั้งปากพูดเชิญชวนให้ทุกคนขึ้นรถ แต่ไม่คาดคิดว่าจะมีสิ่งที่ไม่ใช่คน ติดกลับมาด้วย... เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X มอสหลง-เดียร์น่า [ 2 ธ.ค.2568 ] ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘อาถรรพ์เชิงตะกอน’ เรื่องราวสุดหลอนในกองถ่ายที่ “มอสหลง” ได้เข้ามาเล่าเรื่องราวของ “ต้องเต” รุ่นพี่นักแสดงคนหนึ่งที่เล่นหนังด้วยกัน จุดถ่ายทำของหนังคือ ‘เชิงตะกอน’ ที่ได้มีการใช้งานจริง ๆ มาก่อน พอการถ่ายทำได้สิ้นสุดลงทั้งทีมงาน และนักแสดงหลาย ๆ ท่านก็ได้มาเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในกองถ่ายให้เขาฟัง และหนึ่งในนั้นคือต้องเต ต้องเตเล่าว่า ในช่วงเวลาประมาณตี 2-3 หลังถ่ายทำเสร็จ ต้องเตก็ได้ขอตัวกลับบ้านก่อน ตัวเขาต้องเดินทางกลับบ้านกับคนขับรถ 2 คน แต่ด้วยความที่ไม่ได้คิดอะไร เขาจึงเผลอพูดออกมากลางกองถ่ายว่า“ขึ้นรถกันทุกคน กลับบ้านกัน”ประโยคต้องห้ามที่ใครหลาย ๆ คนรู้กันดีว่าไม่ควรเอ่ยออกมาในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยและหลังจากนั้นเขาก็ขับรถออกไป ระหว่างทางที่เขาอยู่บนรถนั้น ต้องเตรู้สึกได้ว่าบรรยากาศภายในรถมันหนักอึ้ง และอึดอัดทั้ง ๆ ที่ในรถมีกันแค่ 2 คน จนทำให้เขาคิดว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล และก็เป็นไปตามคาดเมื่อหางตาของเขาดันไปเห็นเข้ากับกระจกรถ ภาพสะท้อนตรงหน้าทำเอาเขาถึงกับขนหัวลุกเมื่อสิ่งที่เขาเห็นคือ มีคนแก่นั่งอยู่เต็มหลังรถของเขา! ต้องเตเลยบอกกับคนขับว่า“พี่พาผมกลับไปที่จุดถ่ายทำหน่อย”เมื่อถึงเชิงตะกอน จุดที่เขาได้ถ่ายทำหนังกันไป ต้องเตจึงเปิดประตูรถและพูดว่า“ใครที่ไม่ใช่ผม ต้องเต และคนขับรถ ไม่อนุญาตให้ขึ้นรถกลับบ้านไปกับพวกเรา ลงไปให้หมด”สิ้นเสียงเอ่ยบอกให้แขกที่ไม่ได้รับเชิญลงจากรถของเขา ต้องเตก็ปิดประตู และเดินทางขับออกไปจากบริเวณนั้นทันทีหลังจากนั้นบรรยากาศภายในรถก็กลับมาเป็นปกติและไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเลย... มอสหลงได้เล่าเพิ่มเติมว่า สถานที่ถ่ายทำเป็นตำแหน่งที่ชาวบ้านขนานนามว่าน่ากลัวที่สุดนั่นคือหอผี และเมรุซึ่งเป็นเค้าโครงความเชื่อที่มีอยู่จริงของคนในพื้นที่ และในภายหลังพอมีความเจริญเข้ามากลายเป็นว่ามีการตัดถนนผ่านหน้าเมรุไปเพื่อการสัญจร ทางทีมงานจึงได้เชิญสัปเหร่อมาไหว้ขอขมาก่อนถ่ายทำเพราะขึ้นชื่อว่าพื้นที่ตรงนั้นที่เรายืนทับอยู่เป็นจุดที่ใช้ฝังศพ และมีของแรงมาก ห้ามทำอะไรไม่ดีเด็ดขาด เพราะเรียกได้ว่าเป็นเขต “ธงแดง” แต่เรื่องราวหลอน ๆ ในกองก็ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เมื่อมีนักแสดงสมทบคนหนึ่งกำลังถ่ายทำอยู่ แต่จิตสำนึกของเขาก็จะคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ตรงเมรุข้างหน้าจะมีสิ่งลี้ลับ หรือวิญญาณตนไหนแอบมองเขาอยู่จริงรึเปล่า เสียงภายในหัวก็เริ่มตั้งคำถามอย่างห้ามไม่อยู่ “ถ้ามีจริงก็คงเห็นไปแล้วแหละ” แต่พอตั้งสติได้ก็จะลบความสงสัยนั้นออกจากหัวทันที เมื่อถ่ายทำจบนักแสดงสมทบคนนั้นก็ขอตัวกลับ ซึ่งพื้นที่เชิงตะกอนตรงนั้นมีความเชื่อที่ถือกันมากเพราะเป็นเขตป่าช้าที่เขาฝังศพกันตามพื้นดิน เวลาถ่ายทำก็จะมีเหตุทำให้ตรงลงไปคลุกคลีจนบางครั้งเศษฝุ่นเศษดินจะติดเสื้อผ้ากลับมา จึงมีการพรมน้ำมนต์ให้ก่อนกลับทุกรอบ แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ทำ พอกลับบ้านไป กลายเป็นว่าคืนนั้นเขาก็ฝันว่า ฟันของเขาหลุด! และความฝันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว แต่เขาดันฝันถึงมันติดกัน 3 วัน และความรุนแรงก็ทวีมากขึ้นกว่าเดิม จากฟันที่หลุดไม่กี่ซี่ในครั้งแรกกลายเป็นหลุดออกมาทั้งปาก ในขณะเดียวกันก็โดนคนวิ่งไล่ตามจะแตะตัวในฝันอยู่ตลอด เขาเลยต้องไปหาผู้นำจิตวิญญาณที่คนทั้งอำเภอเคารพนับถือให้มาช่วยปัดเป่า โดยการผูกแขน และสาดน้ำมนต์ให้ เลยทำให้เขากลับบ้านมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติอีกครั้ง..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

เรื่องเล่าจากส้ม มัลนิการ์ ‘ฉี่ทับที่ผี’ l อังคารคลุมโปง X ส้ม มัลนิการ์ [ 12 ส.ค.2568 ]

20 ส.ค. 2025

เรื่องเล่าจากส้ม มัลนิการ์ ‘ฉี่ทับที่ผี’ l อังคารคลุมโปง X ส้ม มัลนิการ์ [ 12 ส.ค.2568 ]

เรื่องนี้ถูกถ่ายทอดโดย ‘ส้ม มัลนิการ์’ ที่มาเล่าเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งที่ไปตกปลาบนเขา แล้วปัสสาวะโดยที่ไม่ขอเจ้าที่เจ้าทางจนมีอันเป็นไป! เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (12 สิงหาคม 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ฉี่ทับที่ผี’ เรื่องราวนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณฟ้า’ (นามสมมติ) เธอเพิ่งสูญเสียสามีไป จึงติดต่อให้รายการช่วยเหลือ โดยสามีของเธอชื่อว่า ‘คุณเอก’ (นามสมมติ) วันหนึ่งคุณเอกได้ขึ้นไปตกปลาที่บึงร้างบนเขา แล้วเกิดปวดปัสสาวะ จึงไปปัสสาวะที่โขดหินริมน้ำก้อนหนึ่ง ซึ่งฟ้าเองก็ตกใจและเตือนสามีให้ไหว้เจ้าที่ก่อน เอกได้ยินก็ยกมือไหว้ส่ง ๆ เพราะส่วนตัวเอกไม่ได้เชื่อเรื่องนี้ หลังจากนั้นเวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน เอกก็มีอาการป่วยและตรวจพบว่าเป็นโรคลูคีเมีย ซึ่งทั้งตระกูลไม่เคยมีใครเป็น ดังนั้นไม่ใช่กรรมพันธุ์แต่อย่างใด จากนั้นก็เข้ารับการรักษาตามอาการ ส่วนทางด้านฟ้าก็ฝันว่ามีวิญญาณผีผู้หญิงตัวเปียกน้ำใส่ชุดขาวมาบอกให้นำกระทงเซ่นไหว้ขึ้นไปไหว้ เขาไม่ได้มาขอร้องแต่เป็นการมาสั่งว่าต้องขึ้นไปไหว้ ฟ้ารู้สึกกลัวจึงไปบอกเอก แต่กลับได้คำตอบว่า “ไร้สาระ” ขณะนั้นเอง ครอบครัวของเอกก็มาได้ยิน ด้วยความเป็นพ่อเป็นแม่หากมีวิธีใดที่ทำให้ลูกดีขึ้นก็จะทำ ในที่สุดวันนั้นก็พากันขึ้นไปบนเขา พ่อกับแม่ได้นำกระทงไปวางไว้บริเวณหนึ่งใกล้ ๆ กับจุดที่เอกปัสสาวะ หลังจากกลับมาในระยะเวลาไม่ถึงเดือน โรคลูคีเมียของเอกก็หายเป็นปลิดทิ้ง ทุกคนสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะตามหลักวิทยาศาสตร์ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะหายขาด ทุกคนต่างก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติจนกระทั่งผ่านไปประมาณ 3 เดือน เอกกลับมามีอาการอีกครั้ง และครั้งนี้อาการหนักกว่าเดิม นอกจากนี้ฟ้าก็ฝันเห็นวิญญาณผีผู้หญิงคนเดิมอีกครั้ง เขามาบอกว่าให้ขึ้นไปไหว้อีกครั้ง แต่คราวนี้เอกไม่เชื่อและเลือกที่จะไม่กลับไปไหว้เพราะรู้สึกว่าตัวเองถูกใช้เป็นข้อต่อรอง เขารู้ตัวว่าอาการป่วยครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องวิทยาศาสตร์แน่ ๆ หลังจากนั้นไม่นาน เอกก็เสียชีวิตลงด้วยการกระอักเลือด เลือดออกทางรูทวาร ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่มีอาการทรุดหรือผิดปกติ แต่เรื่องราวยังไม่จบ เพราะวิญญาณผีผู้หญิงตนนี้ก็มาเข้าฝันฟ้าอีกครั้งแล้วบอกว่า ‘จะเอาไปอยู่ด้วยอีกคน’ ด้วยความกลัวจึงติดต่อคุณส้มให้ไปช่วยสื่อสารให้ เมื่อคุณส้มไปถึงพื้นที่ก็เจอกับดวงวิญญาณดวงนี้ ในคืนนั้นคุณส้มและทีมงานลงพื้นที่ถึง 3 โลเคชันโลเคชันที่ 1 บ้านของฟ้า คุณส้มได้ทำการสื่อสารและสืบเรื่องราวประวัติทุกอย่างเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ แต่สุดท้ายข้อมูลก็ไม่เกี่ยวกับเอกเลย มีเพียงวิญญาณหญิงชุดขาวที่พยายามจะสื่อสารอยู่ตลอดเวลา จึงตัดสินใจเปลี่ยนโลเคชันโลเคชันที่ 2 บ้านของเอก คุณส้มได้สื่อสารและพยายามพูดคุยกับพ่อแม่ แต่พวกท่านยังคงมีอาการเสียใจจากการสูญเสียลูก พูดรู้เรื่องแต่ช้า ส่วนดวงวิญญาณของเอกก็สัมผัสได้ว่าไม่ได้อยู่บริเวณในบ้าน แต่จะอยู่หน้าบ้านในสภาพนั่งยองและมีวิญญาณหญิงชุดขาวจิกหัวอยู่ เหมือนเป็นทาส เหตุการณ์นี้ทำให้ฉุดคิดได้ว่ามันแปลกและต้องมีอะไรบนเขาแน่ ๆ จึงเปลี่ยนโลเคชันอีกครั้งสุดท้าย โลเคชันที่ 3 เขาบริเวณที่ตกปลา การไปสถานที่นี้มีพ่อแม่ของเอกขับรถขึ้นไปด้วยตัวเอง เมื่อไปถึงก็จะพบกับโขดหิน 2 ก้อน บนโขดหินฝั่งซ้ายมีวิญญาณผู้ชายนั่งชันขาข้างขวา หันหน้ามามองทีมงานด้วยสายตาเหม่อลอย เมื่อพูดลักษณะออกมา ฟ้าและครอบครัวก็ค่อนข้างมั่นใจว่านั่นคือ ‘วิญญาณของเอก’ แน่นอน เมื่อนำรูปมาเทียบก็ยืนยันได้ว่าคนเดียวกัน ซึ่งที่สำคัญหินก้อนนั้นคือบริเวณที่เอกได้ไปปัสสาวะไว้นั่นเอง คืนนั้นท่ามกลางความมืดแต่ภาพข้างหน้ายังชัดเจนเหมือนมีแสงไฟสาดส่องไป จนทำให้คุณส้มต้องกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ คุณพ่อคุณแม่เมื่อทราบว่าลูกยังคงวนเวียนอยู่ที่นี่ แถมโดนกดกักขังไว้ให้เป็นเบี้ยล่างและบริวารอีก จึงร้องไห้สะอื้นออกมา การช่วยเหลือในครั้งนี้ลำพังแค่คุณส้มคงไม่สามารถช่วยได้ จึงมีคุณโอมาช่วยเพิ่ม จากนั้นก็เริ่มทำพิธีทางเต๋า เพื่อเชิญดวงวิญญาณกลับบ้าน โดยการสร้างม่านกำบังไม่ให้วิญญาณผู้หญิงติดตามมา ขณะที่กำลังทำพิธีกรรมก็มีอภินิหารเกิดลำแสงส่องสว่างขึ้นมาบนน้ำคล้ายเงาจันทร์แม้คืนนั้นจะไม่มีพระจันทร็ตาม ทุกคนเห็นจึงเริ่มถอยห่างพร้อมจุดธูปคนละดอกให้พ่อแม่เรียกชื่อลูกและเดินกลับไปที่รถ ห้ามหันมามองเด็ดขาด ตลอดการเดินแม่เรียกลูกตลอดทาง “ไปอยู่กับแม่นะ”, “กลับมาหาแม่นะลูก” พร้อมเสียงสะอื้นจนจะขาดใจ กว่าวิญญาณของเอกจะหลุดพ้นมาได้ก็โดนวิญญาณหญิงชุดขาวฉุดรั้งไว้ เกิดการต่อสู้กับวิชาของคุณโอพอสมควร เมื่อดวงวิญญาณออกมาได้ บรรยากาศตรงนั้นกลับเกิดฝนปรอย ๆ เหมือนน้ำมนต์ พร้อมกับดวงจันทร์ที่ออกจากเงาเมฆพอดี ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าดวงวิญญาณได้ออกมาแล้ว เอกนั่งบนหลังคารถกระบะลงมาจากเขาพร้อมกับทุกคน เมื่อมาถึงบ้าน รถยังไม่ทันจอดสนิท สุนัขตัวโปรดที่ดุจนต้องล่ามโซ่ไว้กลับทำเสียงอ้อนด้วยความคิดถึง ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่สุนัขตัวนี้เป็นทุกครั้งเมื่อเห็นเอกกลับบ้าน ทำให้มั่นใจว่าวิญญาณของเอกกลับถึงบ้านแล้วจริง ๆ เมื่อเข้าไปในบ้าน คุณโอได้ทำพิธีเชิญดวงวิญญาณให้สถิตไว้ในรูปและทำตามพิธีกรรมต่อไป ในขณะที่วิญญาณของเอกออกมาได้แล้ว แต่วิญญาณหญิงชุดขาวก็ยังคงอยู่ที่เดิม คุณส้มจึงสัมผัสได้ถึงความอาฆาตแค้นของเขาเพราะรู้สึกเหมือนเขาพยายามที่จะจัดการเรา เช่น เข้าฝัน หรือทำให้กลัวจนหลอน ดวงวิญญาณดวงนี้คือคนงานที่ถูกฆาตกรรมแล้วโดนผลักตกลงไปในน้ำ ทำให้จิตสุดท้ายก่อนตายมีแรงอาฆาตสูงจึงคิดจะเอาชีวิตคนไปอยู่ด้วยตลอด สุดท้ายคุณส้มทำการสวดมนต์ แผ่เมตตา บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกวันเพื่อบรรเทาความรุนแรง เมื่อไหร่ที่ไปทริปทำบุญก็กรวดน้ำให้ตลอด..เขียน: กัญญาพร จันทร์ลอยเรียบเรียง: วันทนีย์ ไชยชาติภาพ: กิตติพงษ์ นาคทอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

อยากขายข้าวมันไก่ให้ปัง แต่เกือบพังไม่เป็นท่า เพราะบูชากุมารสายมืดแบบไม่รู้ตัว! มีคนเตือนให้เอาไปคืน ก็ถูกเล่นงานจนต้องหามส่งโรงพยาบาล

18 ธ.ค. 2023

อยากขายข้าวมันไก่ให้ปัง แต่เกือบพังไม่เป็นท่า เพราะบูชากุมารสายมืดแบบไม่รู้ตัว! มีคนเตือนให้เอาไปคืน ก็ถูกเล่นงานจนต้องหามส่งโรงพยาบาล

อยากให้ร้านข้าวมันไก่ขายดีจนต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นของดำ! เรื่องราวจาก ‘คุณเบ้น’ สายที่โทรเข้ามาเล่าเรื่องหลอนในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (12 ธันวาคม 2566) ให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟัง จะหลอนแค่ไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ตรงของ ‘คุณแม่บัว’ (นามสมมติ แม่ของคุณเบ้น) ที่ได้มาถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้คุณเบ้นได้ฟัง โดยต้องย้อนกลับไปในสมัยที่คุณเบ้นอายุ 17 ปี ช่วงนั้นแม่บัวได้รู้มาว่า ‘ป้าเอ’ (นามสมมติ) เพื่อนบ้านคนสนิทมาเปิดร้านข้าวมันไก่ในละแวกบ้านเช่าที่ตนอาศัยอยู่ จึงคิดว่าจะไปช่วยอุดหนุน พอถามไถ่กันจึงได้รู้ว่าป้าเอเปิดร้านข้าวมันไก่มาได้ซักระยะหนึ่งแล้ว เมื่อไปถึง ป้าเอก็พูดกับแม่บัวด้วยความกังวลว่า “เจ้ หนูปรึกษาอะไรหน่อยสิ คือช่วงนี้ร้านหนูขายไม่ค่อยดีเลย หนูอยากขายได้เยอะ ๆ แต่ช่วงนี้ขายไก่ได้ประมาณ 5-6 ตัวเอง เจ้พอมีวิธีจะสื่อถึงอากง หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แถวนี้ไหม” ที่ป้าเอถามเช่นนี้ ก็เพราะรู้ว่าแม่บัวสามารถสื่อถึงพลังงานบางอย่างได้ แต่เรื่องนี้จะมีแค่คนสนิทที่รู้เท่านั้น “ได้สิ เดี๋ยวสื่อให้” แม่บัวตอบกลับทันที ไม่นานหลังจากที่ทานข้าวเสร็จก็เดินไปยังตี่จู้เอี๊ยะบริเวณหลังร้าน เพื่อสื่อกับอากงว่าต้องการอะไรหรือไม่ หรือต้องทำอย่างไรจึงจะขายดีขึ้น และได้รู้คำตอบว่าจะต้องถวายน้ำทุกวัน รวมถึงในทุกวันพระจะต้องมีการถวายพวงมาลัย และผลไม้หนึ่งชนิดจึงจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ป้าเอเชื่ออย่างนั้นจึงปฏิบัติตามที่แม่บัวบอก พอเวลาผ่านไปไม่นาน แม่บัวได้มีโอกาสแวะเวียนเข้าไปทานข้าวในร้านป้าเออีกครั้ง และไม่ลืมที่จะถามว่าค้าขายเป็นอย่างไร ป้าเอยิ้มด้วยความดีใจและตอบกลับกลับทันทีว่า “เจ้! ขายดีมากเลย ตอนนี้ขายไก่ได้วันละ 10-12 ตัวเลย” แม่บัวดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น หลังจากพูดคุยและทานข้าวเสร็จก็กลับบ้านตามปกติ เวลาล่วงเลยมาประมาณเดือนกว่า แม่บัวได้แวะเข้าไปที่ร้านป้าเออีกครั้ง แต่ครั้งนี้ถึงกลับต้องตกใจและขนลุกไปทั้งตัว เพราะไปรู้มาว่าป้าเอได้ไปเช่าบูชากุมารมาไว้ที่ร้าน เพราะคิดว่าจะได้ขายดีขึ้น แต่แม่บัวกับสัมผัสได้ถึงพลังงานดำมืด บรรยากาศที่เธอเห็นตอนนั้นเธอรู้สึกว่ามันมืดมัวไปหมด “เอ ! เธอไปเอามาจากไหน” แม่บัวถามด้วยสีหน้ากังวล ป้าเอก็ตอบกลับมาว่า “ฉันก็ไปเช่ามาแถวบ้านเจ้นั่นแหละ คนข้างบ้านเขาเปิดรับคนบูชามันมีแค่ 500 องค์เอง เช่ามาประมาณ 1,999 บาท เขาบอกกับฉันว่าถ้าบูชามาแล้วจะขายดีขึ้น” ได้ยินอย่างนั้นแม่บัวก็เงียบไปพร้อมกับขนลุกอยู่ตลอดเวลา ด้วยความที่ป้าเอเชื่อแบบนั้นก็บูชากุมารองค์นี้มาตลอด เพราะที่ผ่านมาเธอก็ขายดีตามปกติ แต่ด้วยความเป็นห่วงแม่บัวจึงเตือนว่าอากงบอกมาว่าเป็นสิ่งไม่ดี ให้เอากลับไปส่งจากที่เช่ามา ได้ยินอย่างนั้นก็ลองทำตามคำแนะนำของแม่บัวดู แต่ปรากฏว่าร้านของป้าเอกลับเงียบไม่มีลูกค้ามาอุดหนุนเหมือนเมื่อก่อน จึงตัดสินใจโทรไปหาแม่บัวและเล่าทุกอย่างให้ฟัง แม่บัวรีบมาที่ร้านและพยายามสื่อกับกุมาร แต่ตอนนั้นก็ไม่สามารถสื่อสารถึงกันได้ จึงคิดว่าจะไปให้หลวงพ่อช่วยสื่ออีกแรง หลังจากเสร็จภารกิจก็กลับบ้านตามปกติ แต่ในคืนนั้นแม่บัวรู้สึกว่ามีอาการเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง จนทำให้ต้องนอนโรงพยาบาล พ่อคุณเบ้นรู้ข่าวก็รีบโทรมาหาคุณเบ้น หลังจากวางสายก็ตรงมาที่โรงพยาบาลทันที คืนนั้นประมาณ 3-4 ทุ่ม พ่อเล่าให้ฟังว่าแม่บัวลุกขึ้นมานั่งนิ่งอยู่นาน ไม่พูดจากับใคร ซึ่งผิดปกติจากนิสัยที่เป็นคนร่าเริง “เป็นใคร มึงเป็นใคร ?” พ่อถามด้วยความสงสัยเพราะตอนนั้นคิดว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่แม่ “มึงก็ลองถามเมียมึงสิ ! ว่ามันไปทำอะไรไว้ มันยังอยากมีชีวิตอยู่ไหม อย่ามายุ่งเรื่องของกู และก็อย่ามาที่ร้านนี้อีก !” หลังจากที่แม่พูดจบ ก็หมดสติไปทันที เมื่อแม่บัวฟื้นขึ้นมาก็มีอาการปวดท้อง และพะอืดพะอมจะอ้วกอยู่ตลอดเวลา ปรากฎว่าหลังจากที่อ้วกออกมา มันคล้ายกับน้ำจิ้มข้าวมันไก่ที่มีสีดำคล้ำ ตอนนั้นแม่บัวรู้สึกกลัวมาก ไม่คิดว่ากุมารองค์นั้นจะเล่นเธอกลับมาแรงขนาดนี้ และด้วยความกลัวนี้ แม่บัวจึงไม่คิดจะกลับไปที่ร้านข้าวมันไก่นั้นอีก ต่อมาไม่นาน คุณเบ้นก็ได้มีโอกาสแวะเข้าไปซื้อข้าวมันไก่ร้านป้าเอมาฝากแม่ แต่ก็ไม่เจอกุมารองค์นั้นแล้ว ป้าเอบอกว่าหลังจากที่แม่บัวได้แนะนำให้ไปหาหลวงพ่อวันนั้น หลวงพ่อก็บอกว่ากุมารองค์นี้เป็นสายดำ เป็นผี! จึงจะทำพิธีปลดปล่อยดวงวิญญาณให้ แต่ในระหว่างที่ทำพิธีอยู่ก็ได้ไปเห็นเหมือนผงกระดูกบริเวณใต้ฐานกุมาร! และหลวงพ่อเชื่อว่าเศษกระดูกพวกนี้คือกระดูกเด็กที่มาจากข่าวดัง ‘ศพเด็ก 2,002 ศพ’ หลวงพ่อจึงรีบทำพิธีให้เสร็จ เพราะคิดว่าดวงวิญญาณเหล่านี้ทรมานมานานมากแล้ว หลังจากที่ป้าเอได้ไปทำพิธีปลดปล่อยดวงวิญญาณก็ปิดทำการร้านข้าวมันไก่ไป และเรื่องราวต่าง ๆ ที่เคยเจอมาก็หายไปตามกาลเวลา รวมถึงแม่บัวก็ไม่ได้สื่อสารกับดวงวิญญาณของกุมารเหล่านั้นอีกเลย(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากลูกหว้า พิจิกา 'พี่ผมแดง' I อังคารคลุมโปง X มิ้ม รัตนวดี - ลูกหว้า พิจิกา [14 ม.ค. 2568]

22 ม.ค. 2025

เรื่องเล่าจากลูกหว้า พิจิกา 'พี่ผมแดง' I อังคารคลุมโปง X มิ้ม รัตนวดี - ลูกหว้า พิจิกา [14 ม.ค. 2568]

คุณลูกหว้า พิจิกา ได้นำเรื่อง ‘พี่ผมแดง’ มาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (14 มกราคม 2568) ต้องบอกเลยว่า ประสบการณ์การเจอสิ่งลี้ลับของคุณลูกหว้าครั้งนี้ ทำให้ทั้ง ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ขนลุกทั้งคู่! ย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คุณลูกหว้าได้ถูกเชิญไปงานแต่งของ ‘พี่บี มือคีย์บอร์ด ของวง ETC’ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้คุณลูกหว้าต้องค้างคืนที่บ้านของ ‘พี่โซ่ หัวหน้าของวง ETC’ ในใจของคุณลูกหว้าคิดว่า คงจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หลังจากตื่นขึ้น คุณลูกหว้าก็ได้ลุกขึ้นมาอาบน้ำ-แต่งหน้าตามปกติ หลังจากทำทุกอย่างเสร็จเวลา 8 โมงกว่า คุณลูกหว้าจึงตัดสินใจปลุกน้องที่มาด้วยกัน แต่ทั้ง ๆ ที่คุณลูกหว้าอาบน้ำแล้ว จู่ ๆ กลับรู้สึกง่วงอย่างประหลาด ทำให้คุณลูกหว้าตัดใจสินใจเอนตัวลงเพื่อพักสายตา หลังจากที่เอนตัวไป คุณลูกหว้าก็ได้หลับในทันทีและฝันเห็นภาพทุ่งหญ้ากว้าง และได้เห็นกลุ่มคนยืนอยู่ใกล้ ๆ แต่งตัวสีสันมากมาย ในใจของคุณลูกหว้าเหมือนได้ทำการสื่อสารกับกลุ่มคนตรงนั้นว่า ‘ไม่มีอะไรนะ เราแค่มางานแต่ง’ คุณลูกหว้าก็ไม่ได้เอะใจอะไรเพราะคิดว่าเป็นความฝัน ผ่านไปสักพักหนึ่ง คุณลูกหว้าก็ได้ลืมตา และได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ปลายเท้าของตน จากนั้นก็ค่อย ๆ หันศีรษะมาทางคุณลูกหว้าอย่างช้า ๆ สีผมของผู้หญิงคนนั้นเป็นสีแดงปนสีส้ม ดวงตาสีน้ำตาลปนแดง และใช้ตาคู่นั้นจ้องมองมาที่คุณลูกหว้าแบบไม่ละสายตาคุณลูกหว้าจึงสะดุ้งตื่น! อาการที่เกิดขึ้นนั้นเหมือนกับคนที่ฝันร้ายมาก ๆ เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง คุณลูกหว้าก็ปลอบตัวเองว่าสิ่งที่เห็นเมื่อสักครู่นี้เป็นเพียงความฝัน หลังจากนั้น คุณลูกหว้าสบายใจมากยิ่งขึ้น นี่ถือเป็นเหตุการณ์ครั้งแรกในชีวิตของคุณลูกหว้าที่ได้เจอกับสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ หลังจากที่น้องของคุณลูกหว้าตื่นขึ้นมาอาบน้ำ ในตอนนั้นตัวของคุณลูกหว้ายังไม่เล่าให้น้องฟังและคิดว่าคงไม่มีอะไรหลังจากนี้แล้ว จนกระทั่งไปที่โบสถ์และทำพิธีทุกอย่างเสร็จสิ้น ทุกคนก็ตัดสินใจไปกินกาแฟกัน และมีรุ่นพี่คนหนึ่งได้พูดขึ้นว่า “ด้านข้างของตัวบ้านคือโบสถ์ เป็นศาสนจักรของชาวคริสต์ แล้วทางด้านหลังของตัวบ้านก็อยู่ติดกับสุสาน” สิ้นคำพูดของรุ่นพี่ คุณลูกหว้าก็รู้สึกว่าจะได้รับข้อมูลที่ทำให้ทุกอย่างกระจ่าง จึงได้ตัดสินใจที่จะเล่าเรื่องเหตุการณ์ที่เจอเมื่อเช้าให้ทุกคนตรงนั้นฟัง เมื่อทุกคนได้ฟัง ก็ไม่ได้มองว่าเหตุการณ์ของคุณลูกหว้าแปลก เพราะที่สุสานตรงนั้นก็มีศพของมิชชันนารี ที่เป็นคนต่างชาติฝังไว้อยู่ด้วยเหมือนกัน คุณลูกหว้าจึงได้รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ตนน่าจะได้เจอกับผู้หญิงคนนั้นจริง ๆ แต่ก็ยังไม่ทราบถึงเหตุผลว่า ‘ทำไมผู้หญิงผมแดงคนนั้นถึงจ้องมองคุณลูกหว้าอย่างไม่ละสายตาไปไหนเลย’(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1