เรื่องเล่าจากคุณต๊ะของอาถรรพ์ 'พี่ม่านเเก้ว' I อังคารคลุมโปง X ตั้ม The Shock [11 ก.พ. 2568]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณต๊ะของอาถรรพ์ 'พี่ม่านเเก้ว' I อังคารคลุมโปง X ตั้ม The Shock [11 ก.พ. 2568]

17 ก.พ. 2025

          ‘คุณต๊ะ ของอาถรรพ์’ เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ขนหัวลุกที่เกิดขึ้นหลังจากได้หุ่นกระบอกเก่า ๆ ที่เขาคิดว่าจะเป็นเพียงของสะสม กลับพาเขาไปพบกับความลึกลับที่ไม่สามารถอธิบายได้ ทั้งเสียงแปลก ๆ และสัมผัสที่เย็นราวกับมือคนจริง ๆ แล้วหุ่นกระบอกนี้จะมีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่? ฟังเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (11 กุมภาพันธ์ 2568) กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ แล้วคุณอาจจะไม่มองหุ่นกระบอกแบบเดิมอีกเลย!

          ‘คุณต๊ะ ของอาถรรพ์’ เล่าว่าโดยพื้นเพของตัวเองนั้นเป็นคนกรุงเทพฯ แต่ได้ย้ายภูมิลำเนามาอยู่ที่อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ซึ่งสถานที่นี้ ในอดีต มีคณะหุ่นกระบอกอยู่หลายคณะที่ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียง โดยส่วนตัวคุณต๊ะเป็นคนที่ชอบของเก่าหรือของโบราณเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงมีความคิดว่าอยากได้หุ่นกระบอกมาเก็บไว้สักหนึ่งชิ้น เพื่ออนุรักษ์ไว้ให้รุ่นลูก-รุ่นหลานไว้ดูว่าหุ่นกระบอกมีลักษณะเป็นอย่างไร

          คุณต๊ะจึงเริ่มค้นหาข้อมูลและตามหาผู้ที่ยังเก็บรักษาหุ่นกระบอกไว้ จนกระทั่งได้พบกับเพจหนึ่งซึ่งมีคุณลุงท่านหนึ่งเป็นเจ้าของ คุณต๊ะจึงส่งข้อความไปติดต่อ แต่ไม่ว่าจะพยายามติดต่อไปกี่ครั้ง ก็ไม่ได้รับการตอบกลับจากคุณลุงคนนั้น สุดท้าย คุณต๊ะตัดสินใจโทรศัพท์ไปหา หลังจากที่คุยกันคุณลุงก็บอกว่า

          ‘ยังมีหุ่นอยู่นะ ตามที่ลงไว้ เพราะเขาเป็นคนที่เก็บอย่างเดียว ไม่ได้มีความคิดที่จะขาย’

          ด้วยความที่คุณต๊ะ ถูกชะตากับหุ่นกระบอกที่คุณลุงมีอยู่ จึงบอกคุณลุงไปว่า

          “คุณลุงครับ ขอร้องได้ไหมคือผมอยากจะเอากลับมาไว้ที่อัมพวาจริง ๆ เพราะมีความรู้สึกว่าถูกชะตาและอยากเก็บไว้เพื่ออนุรักษ์สักหนึ่งตัว”

          หลังจากที่พูดคุยกันอยู่สักพัก คุณลุงก็เริ่มใจอ่อนยอมให้ แต่มีข้อแม้ว่า

          “จะต้องมารับด้วยตัวเองนะ จะไม่ส่งไปรษณีย์เด็ดขาด ต้องมาด้วยตัวเองเท่านั้น”

          ตัวเหตุบังเอิญ บ้านของคุณลุงกับที่ทำงานของคุณต๊ะ อยู่ใกล้ ๆ กัน ซึ่งบ้านของคุณลุงนั้นอยู่ในสวนทางฝั่งนนทบุรี หลังจากที่คุณต๊ะไปถึงบ้านของคุณลุง ซึ่งโครงสร้างบ้านของคุณลุงเป็นกึ่งปูนกึ่งไม้ ห้องแรกที่คุณต๊ะก้าวเข้าไป เป็นห้องที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ ลักษณะการตกแต่งเป็นแบบสมัยรัชกาลที่ 5 พอคุณต๊ะมองเข้าไปจนสุดกำแพง จะเห็นเป็นตู้บานหนึ่งที่วางอยู่ พร้อมกับหุ่นที่คุณลุงได้โพสต์ไว้ในเพจตั้งอยู่สามตัว แวบแรกที่คุณต๊ะเห็น ‘หุ่นตัวกลางยิ้มให้’ ตั้งแต่คุณต๊ะเดินเข้ามา และคุณลุงก็ได้พูดขึ้นมาว่า

          “หนุ่มนั่งรอตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวจะไปเอาน้ำมาให้”

          หลังจากนั้นคุณต๊ะก็นั่งรอคุณลุงอยู่ โดยหันด้านข้างให้กับหุ่นกระบอกทั้งสามตัวที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ ระหว่างนั้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นขณะรอคุณลุงกลับมา สักพักหนึ่ง คุณต๊ะรู้สึกเหมือนกับว่ามีคนจ้องอยู่ จึงหันหน้าไปมอง สิ่งที่คุณต๊ะเห็นก็คือ

          ‘หุ่นตัวกลางหันหัว มามองหน้าตัวเองพอดี’

          ในตอนแรกที่คุณต๊ะเดินเข้ามาในบ้าน ใบหน้าของหุ่นหันตรงออกมาทางหน้าประตูบ้าน แต่ในตอนนี้หุ่นตัวนั้นกำลังจ้องหน้าคุณต๊ะที่นั่งทางด้านข้างของหุ่นอยู่! พอคุณลุงเดินกลับมาพร้อมน้ำที่เตรียมมาให้ และพูดว่า

          “เลือกเอาเลยสามตัวนี้ ชอบตัวไหน เอาตัวนั้น”

          ซึ่งตัวคุณต๊ะเองก็ได้เล็งเอาไว้แล้วว่าจะเอาตัวที่ยิ้มให้กับตัวเอง หลังจากที่เดินไปดู คุณลุงก็พูดขึ้นมาว่า

          “ลองยกลองจับดูก็ได้ อันไหนที่ชอบก็เอาไปนะ”

          คุณต๊ะก็ได้ลองยก ลองจับดู ปรากฏว่าหุ่นตัวแรกที่อยู่ริมสุด คุณต๊ะสามารถยกขึ้นมาดูได้แบบสบาย ๆ ส่วนหุ่นอีกฝั่งก็ยกได้ง่ายเช่นกัน แต่พอคุณต๊ะยกหุ่นตัวที่อยู่ตรงกลาง คุณต๊ะรู้สึกเหมือน พยายามยกคนจริง ๆ คือน้ำหนักของหุ่นมันหน่วงมือจนไม่สามารถที่จะยกขึ้นได้ คุณต๊ะเกิดความสงสัยว่าทำไมถึงยกไม่ขึ้น จึงก้มตัวลงไปดูเผื่อมีอะไรติดอยู่หรือเปล่า แต่ก็ไม่พบอะไร คุณต๊ะจึงอธิษฐานในใจว่า
          ‘ถ้าอยากจะไปอยู่กับเราที่อัมพวา เราขออนุญาตยกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง’

          จากนั้นคุณต๊ะก็ลองยกหุ่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้น้ำหนักของหุ่นเบาเหมือนกับทั้งสองตัวก่อนหน้านี้ นั่นคือครั้งแรกที่คุณต๊ะรู้สึกว่าหุ่นตัวนี้ไม่ใช่หุ่นธรรมดา..

          คุณต๊ะจึงบอกกับคุณลุงไปว่า “งั้นเดี๋ยวผมเอาตัวนี้แล้วกันครับคุณลุง”

          คุณลุงตอบกลับทันทีว่า “ลุงคิดอยู่แล้ว ว่าเขาน่าจะอยากไปอยู่กับคุณ”

          เมื่อได้ยินเช่นนั้น คุณต๊ะก็เกิดความลังเลขึ้นมาทันที ‘จะเอาดีไหม?’ เขาคิดในใจว่าหุ่นกระบอกตัวนี้ต้องมีอะไรบางอย่างแปลก ๆ อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่อุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว เขาจึงตัดสินใจนำหุ่นกระบอกตัวนั้นกลับไปด้วย

          หลังจากตัดสินใจนำหุ่นกระบอกตัวนั้นกลับไปด้วยแล้ว คุณลุงก็เดินมาส่งคุณต๊ะที่หน้าบ้าน ก่อนจะยื่นหุ่นให้เขา ทันทีที่มือของหุ่นสัมผัสตัวคุณต๊ะ เขาก็รู้สึกถึงความเย็นราวกับเป็นมือของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น สัมผัสของหุ่นไม่ได้แข็งกระด้างเหมือนไม้ธรรมดา หากแต่นุ่มคล้ายมือของมนุษย์จริง ๆ

          หลังจากคุณต๊ะนำหุ่นกระบอกขึ้นรถโดยวางหุ่นไว้ที่เบาะด้านหลัง เขาก็ขับรถมุ่งหน้ากลับอัมพวา โดยใช้เส้นทางถนนพระราม 2 ระหว่างทาง คุณต๊ะแวะเติมน้ำมันที่ปั๊มแห่งหนึ่ง พนักงานก็สอบถามตามปกติ ซึ่งคุณต๊ะก็ตอบกลับไป พนักงานพยักหน้าและยิ้มให้เขา แต่สิ่งที่ทำให้คุณต๊ะรู้สึกแปลกคือ พนักงานคนนั้นหันไปมองที่เบาะหลังของรถ ก่อนจะยิ้มอีกครั้ง ราวกับกำลังยิ้มให้กับบางสิ่งที่อยู่ตรงนั้น ทั้งที่ความจริงแล้ว บริเวณนั้นมีเพียงหุ่นกระบอกเท่านั้น

          หลังจากเติมน้ำมันเสร็จ คุณต๊ะจ่ายเงินตามปกติ ขณะที่พนักงานรับเงินก็กล่าวขอบคุณตามมารยาท ทว่ามีบางอย่างที่ทำให้คุณต๊ะรู้สึกแปลก พนักงานไม่ได้ขอบคุณแค่เขาเพียงคนเดียว แต่กลับชะโงกหน้าไปทางเบาะหลัง ราวกับกำลังกล่าวขอบคุณใครอีกคนที่อยู่ตรงนั้น

          คุณต๊ะไม่ได้คิดอะไรและขับรถต่อไปตามปกติ เมื่อถึงถนนแม่กลอง เขาต้องขับเข้ามายังสวนที่บ้าน ซึ่งต้องผ่านวงเวียนและสะพานสูง ก่อนที่จะเข้าสวนจริง ๆ ถนนจะเป็นทางสองเลนสวนกันและค่อนข้างมืด ระหว่างทางจู่ ๆ รถที่ตามหลังและรถที่สวนทางมาก็เริ่มกระพริบไฟและบีบแตรใส่เขาตลอดทาง โดยที่คุณต๊ะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของรถตัวเองเอง รู้สึกแค่เพียงว่าเวลาที่เหยียบคันเร่ง รถกลับไม่ค่อยไปเหมือนมันหนักกว่าหนึ่งคนนั่ง

          ระหว่างทางที่ขับรถกลับบ้าน คุณต๊ะต้องผ่านฝูงหมาที่มักจะวิ่งไล่รถของเขาเป็นประจำ แต่ในวันนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่ปกติ ฝูงหมาไม่เพียงแค่วิ่งไล่รถเขาเท่านั้น แต่ยังเห่าไล่ตามหลังมาด้วย การเห่านั้นเหมือนกับว่ามันเห็นอะไรบางอย่าง

          เมื่อถึงบ้าน คุณต๊ะรู้สึกลังเลที่จะนำหุ่นกระบอกขึ้นไปบนบ้าน เพราะกลัวว่าคนในบ้านอาจจะตกใจหรือกลัว เนื่องจากหุ่นกระบอกมีลักษณะเป็นนางรำ ซึ่งอาจทำให้ดูน่ากลัว จึงตัดสินใจว่าจะรอจนถึงตอนเช้ามืด แล้วค่อยใส่หุ่นลงในกล่องก่อนที่จะนำขึ้นไปบนบ้านจากนั้น เขาก็เข้าไปในบ้านและเข้านอนตามปกติ

          เช้าวันรุ่งขึ้น คุณต๊ะรีบนำกล่องลงมาเพื่อใส่หุ่นกระบอก แต่ยังไม่ทันได้เปิดรถ จู่ ๆ คุณป้าข้างบ้านที่กำลังรอใส่บาตรก็พูดถามขึ้นมาว่า

          “ที่โรงเรียนลูก มีงานโรงเรียนเหรอ เห็นซ้อมรำตั้งแต่เช้ามืดแล้ว”

          ณ ตอนนั้น คุณต๊ะไม่กล้าปฏิเสธ ทำได้เพียงพยักหน้าและยิ้มตอบรับกลับไป จากนั้นจึงรีบนำกล่องมาเตรียมเก็บหุ่นกระบอก ขณะที่เปิดรถ กลับได้กลิ่นน้ำอบและน้ำหอมฟุ้งกระจายอบอวลไปทั่วทั้งรถ ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานยังไม่มีกลิ่นอะไรเลย คุณต๊ะพยายามบอกตัวเองว่าอาจเป็นกลิ่นของดอกไม้ที่คุณลุงใช้ไหว้ ซึ่งอาจติดมากับหุ่นกระบอก แต่ทันทีที่ยกหุ่นออกจากรถ กลิ่นเหล่านั้นกลับจางหายไป หลังจากนั้นคุณต๊ะก็นำหุ่นกระบอกไปวางที่ห้อง ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่แฟนของคุณต๊ะนั่งทำงานอยู่ด้านนอก แต่จู่ ๆ เขาก็เรียกขึ้นมา

          “ออกมานี่สิ มานี่ ๆ”

          ตุณต๊ะตกใจและคิดในใจว่าหรือว่าเขารู้ว่าเราเอาของแปลก ๆ เข้าบ้านแต่พอมาถึงแฟนคุณต๊ะก็พูดต่อว่า

          “เมื่อกี้นี้ประตูห้องเก็บของมันเปิดออก แล้วมีชายผ้าไทย แวบเข้าไปในห้อง เข้าไปดูหน่อย”

          คุณต๊ะเปิดห้องเก็บของแล้วก้าวเข้าไปดู ปรากฏว่าหุ่นกระบอกยังคงอยู่ในกล่องตามเดิม ไม่มีสิ่งผิดปกติใด ๆ เขาจึงคิดว่าคงไม่มีอะไร แต่ก่อนจะปิดห้อง เขาก็ยังพูดทิ้งท้ายไว้ว่า

          “ถ้ามีอะไรหรืออยากจะบอกอะไร ให้มาบอกกับเราโดยตรง เพราะไม่อย่างนั้นถ้าทำให้คนในบ้านกลัว จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน”

          หลังจากนั้นหนึ่งวัน คุณต๊ะฝันแปลกไปจากปกติ ในความฝัน เขาเห็นนางรำคนหนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้า ก่อนจะชี้มาทางเขาแล้วพูดว่า “ข้าชื่อม่านแก้ว” จากนั้น นางรำก็จูงมือเขาไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านทรงไทย ข้างหน้ามีคณะละครกำลังแสดงอยู่ เสียงดนตรีไทยบรรเลงคลอไปกับการแสดง นางรำพาเขาไปนั่งชมละคร ทว่าผ่านไปไม่นาน เขากลับรู้สึกเหมือนตกจากม้านั่ง และสะดุ้งตื่นขึ้นมาในทันที

          ด้วยความสงสัยว่าชื่อ ‘ม่านแก้ว’ ที่ได้ยินในฝัน อาจเป็นชื่อของคณะละครหรือไม่ คุณต๊ะจึงลองค้นหาข้อมูล ปรากฏว่าเขาพบเพลงหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘ลาวม่านแก้ว’ ด้วยความอยากรู้ เขาจึงลองเปิดฟัง และทันทีที่เสียงดนตรีดังขึ้น คุณต๊ะก็ต้องตกตะลึง เพราะทำนองของเพลงนั้นกลับเหมือนกับเสียงดนตรีที่เขาได้ยินในฝันทุกอย่าง

          เมื่อรู้แล้วว่านางรำในฝันชื่อม่านแก้ว คุณต๊ะก็ยังคงสงสัยว่าเธอมีความเป็นมาอย่างไร เขาจึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาคุณลุง เพื่อขอให้ช่วยเล่าประวัติของหุ่นกระบอกตัวนี้ให้ฟัง คุณลุงกลับตอบมาว่า

          ‘หุ่นกระบอกนี้มีคุณป้าท่านหนึ่งเอามาขาย ซึ่งก็คือหุ่นกระบอกทั้งสามตัวที่อยู่บ้านของคุณลุง ตัวคุณป้าท่านนี้เป็นคนในคณะละครหุ่นกระบอกเก่าทางอัมพวา’

          คุณต๊ะจึงถามต่อว่า “มันมีอะไรหรือเปล่าครับ ในหุ่นกระบอก”

          คุณลุงก็ตอบกลับมาว่า “เสื้อผ้าของหุ่น ทำจากเสื้อผ้าของนางรำที่เสียชีวิตแล้ว”

          ในอดีต การสร้างหุ่นกระบอกมีความเชื่อว่า หากหุ่นมีชีวิตหรือมีจิตวิญญาณอยู่ภายใน จะทำให้การแสดงสมจริงและถ่ายทอดอารมณ์ได้เหมือนมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ จึงมีการนำชุดของนางรำที่เสียชีวิตแล้วมาใช้กับหุ่นกระบอก

          เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากคุณลุง คุณต๊ะคิดว่าคงไม่มีอะไรไปมากกว่านี้แล้ว แต่ด้วยความอยากรู้ เขาจึงตัดสินใจสอบถามครูอีกท่านหนึ่ง ซึ่งมีความรู้ด้านหุ่นกระบอกเกี่ยวกับกระบวนการสร้างหุ่นกระบอกดังกล่าว ครูท่านนั้นเล่าให้ฟังว่า

          “ในสมัยก่อน นอกจากจะใช้ผ้าของนางรำจริง ๆ มาทำชุดให้หุ่นกระบอกแล้ว ยังมีวัตถุบางอย่างที่เป็นของนางรำที่เสียชีวิตแล้วถูกบรรจุไว้ภายในหุ่น ลองเปิดดูสิว่ามีหรือไม่”

          คุณต๊ะจึงทำตามคำแนะนำของครูท่านนั้น เขาลองตรวจดูหุ่นกระบอกอย่างละเอียด จนสังเกตเห็นว่าบริเวณศีรษะของหุ่นมีรูซึ่งใช้สำหรับปักเข้ากับไม้แกนของหุ่น เมื่อลองเปิดดูภายใน เขาก็ว่ามีเส้นผมและชิ้นส่วนกระดูกบางอย่าง ถูกห่อด้วยผ้าขาวอัดแน่นอยู่ข้างใน หลังจากนั้น คุณต๊ะจึงนำชิ้นส่วนเหล่านั้นไปทำพิธีตามความตั้งใจที่ว่า อยากปลดปล่อยจิตวิญญาณของนางรำ เขาทำบุญให้และกล่าวกับหุ่นกระบอกว่า

          ‘ถ้าถึงเวลาแล้ว ก็ขอให้เขาไปแต่ถ้ายังไม่ไปก็อยู่กับเรา เเต่ว่าอยู่ด้วยกันอย่างสงบ อย่าแสดงตัวให้ใครเห็น’

          หลังจากวันนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรที่มันรุนแรงมาก แต่ก็ยังมีเหตุการณ์เล็ก ๆ อย่าง เสียงหรือเงาที่แวบไปมาอยู่บ้าง จนอยู่มาวันหนึ่ง คุณต๊ะได้นำหุ่นกระบอกนี้ไปถ่ายรายหนึ่ง มีน้องท่านหนึ่งที่คุณต๊ะไม่รู้จัก น้องท่านอยู่ที่จังหวัดอยุธยา นั่งดูรายการตามปกติ แต่ก็หันไปพูดกับแฟนเขาว่า

          “เนี่ยไม่จริงหรอก เหมือนเอาหุ่นมาโม้ เพราะความจริงมันไม่มีผีหรอก”

          ในคืนนั้น น้องคนนั้นฝันว่า เขากำลังนั่งอยู่บนรถกับคุณต๊ะ โดยนั่งที่เบาะหน้า ขณะที่ด้านหลังเบาะมีผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดนางรำสีขาวนั่งอยู่ เธอหันมามองและพูดขึ้นว่า “ทีนี้เชื่อหรือยัง”

          วันรุ่งขึ้น น้องคนนั้นขับรถจากอยุธยา มาถึงบ้านของคุณต๊ะและนำโรตีสายไหมมาให้ถึงหนึ่งร้อยชุด พร้อมกับพูดกับคุณต๊ะว่า

          “ให้นำโรตีสายไหมนี้ ห่อแล้วก็ให้พี่เขาด้วย”

          เนื่องจากไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรหรือขอขมาอย่างไร น้องคนนั้นจึงเพียงบอกว่า

          “เดี๋ยวผมซื้อขนมไปให้”

          หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา โรตีสายไหมก็ถูกส่งมาให้คุณต๊ะทุกสัปดาห์ อาทิตย์ละหนึ่งร้อยชุดจากนั้นพี่ม่านแก้วก็กลายเป็นเหมือนสิ่งศักดิ์ที่คอยให้พรมาเรื่อย ๆ

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณเต้ย ผีเหรียญ 'คนขวัญเเหลว' l อังคารคลุมโปง X เป้ ก๊อก ก๊อก ก๊อก [25 ก.พ. 2568 ]

02 มี.ค. 2025

เรื่องเล่าจากคุณเต้ย ผีเหรียญ 'คนขวัญเเหลว' l อังคารคลุมโปง X เป้ ก๊อก ก๊อก ก๊อก [25 ก.พ. 2568 ]

จะเป็นอย่างไร ถ้านาน ๆ ทีจะได้กลับบ้านเกิด แต่ดันได้เจอกับ “คนที่ไม่อยู่แล้ว” แบบไม่รู้ตัว!? เรื่องนี้ ‘คุณเต้ย ผีเหรียญ‘ ได้นำมาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (25 กุมภาพันธ์ 2568) เมื่อเล่าจบทั้ง ’ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม‘ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพีคสุด! ถ้าพร้อมแล้วไปอ่านกันเลย! ‘คุณเต้ย ผีเหรียญ’ เล่าว่าเจ้าของเรื่องคือ ‘คุณเม่น’ เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในปี 2567 เมื่อ คุณเม่น เดินทางกลับมายังบ้านเกิด หลังจากทำงานขุดเจาะน้ำมันในต่างประเทศเป็นเวลานาน การเดินทางกลับล่าช้าไปมาก เนื่องจากสถานการณ์โควิดในช่วงก่อนหน้านั้น เมื่อกลับถึงบ้านในจังหวัดทางภาคเหนือ ทางบ้านของคุณเม่นได้จัด ‘พิธีฮ้องขวัญ’ หรือ ‘สู่ขวัญ’ ตามประเพณีท้องถิ่น โดยหมอทำขวัญทางภาคเหนือจะเรียกกันว่า ‘หมอมด’ (หมอมด หรือหมอทำขวัญ หรือหมอพื้นบ้าน ที่ทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ เช่น พิธีสู่ขวัญ (ฮ้องขวัญ) เพื่อเรียกขวัญให้กลับมาอยู่กับร่างกาย หรือทำพิธีปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกจากตัวคน) โดยเขาได้เตือนคุณเม่นว่า ให้ระวังตัวเพราะว่าตอนนั้นอายุของคุณเม่นอยู่ในช่วงเบญเพสพอดี อีกทั้งยังกล่าวว่าคุณเม่นเป็น คนขวัญแหลว หรือ ขวัญอ่อน อาจถูกสิ่งไม่ดีรังควานได้ หลังจากทำพิธีผ่านไป 1 วัน คุณเม่นออกเดินทางไปเยี่ยมญาติ พร้อมนำของฝากไปมอบให้แต่ละบ้าน จนกระทั่งไปถึงบ้านหลังสุดท้าย ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน ‘พี่ตาล’ พี่ชายที่เคยสนิทกันมากในวัยเด็ก แต่ด้วยปัญหาความขัดแย้งระหว่างผู้ใหญ่ในครอบครัว ทำให้พวกเขาไม่ได้ติดต่อกันมานานหลายปี ด้วยความคิดถึง เม่นจึงตัดสินใจไปหาโดยไม่แจ้งล่วงหน้า เนื่องจากขาดการติดต่อไปเป็นเวลานาน เลยทำให้ไม่มีช่องทางการติดต่อ เมื่อไปถึงหน้าบ้านพี่ตาล เวลาราว 6 โมงเย็น บริเวณรอบบ้านเปลี่ยนแปลงไปมาก จากพื้นที่ว่างเปล่ากลายเป็นบ้านเรียงราย และประตูหน้าบ้านของพี่ตาลถูกคล้องโซ่ปิดไว้ คุณเม่นลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจกลับ ทันใดนั้น เสียงเรียกดังขึ้นจากในบ้าน “ใครมา?” เสียงนั้นเป็นของ ‘ยายไทย’ ยายของพี่ตาล คุณเม่นจึงตอบกลับไปว่าเขามาหาพี่ตาล ยายไทยกล่าวว่า “ตาลยังไม่กลับบ้าน” ก่อนจะชวนคุณเม่นเข้าไปนั่งรอในบ้าน ทั้งสองพูดคุยกันเกือบสิบนาที แต่พี่ตาลก็ยังไม่กลับมา เวลานั้น ฟ้าเริ่มมืด คุณเม่นจึงขอตัวกลับก่อน ขณะที่กำลังเดินออกไป เสียงตะโกนโวยวายก็ดังขึ้นจากข้างบ้าน “ใครน่ะ!? เข้ามาทำอะไรบ้านคนอื่น!?” คุณเม่นหันไปตามเสียง ก็พบ อาม่าท่านหนึ่ง เดินถือไม้เท้า ขากะเผลกแล้วพูดว่า “บ้านนี้มีแต่อาตาลคนเดียว! ซี้ซั้ว! ขโมย! ขโมยขึ้นบ้าน!” คุณเม่นพยายามอธิบาย แต่ดูเหมือนอาม่าจะไม่ฟัง กลับตะโกนโวยวายเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ เวลานั้นฟ้ามืดสนิทแล้ว คุณเม่นกลัวว่าชาวบ้านจะเข้าใจผิด จึงรีบวิ่งออกจากบ้านไปขึ้นรถแล้วขับกลับบ้านทันที เมื่อกลับมาถึงบ้าน คุณเม่นพบว่าพ่อและแม่แต่งกายด้วยชุดดำ กำลังจะออกไปงานศพที่หมู่บ้านข้าง ๆ เขาจึงยังไม่ได้เล่าเรื่องที่เพิ่งพบเจอ จนกระทั่งสามทุ่มกว่า พ่อแม่กลับมาถึงบ้าน คุณเม่นจึงตัดสินใจเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ทันทีที่พูดจบ แม่ของคุณเม่นกลับมีสีหน้าตกใจ ก่อนจะเอ่ยว่า “ยายไทยเสียไปนานแล้วนะ…” คำพูดนั้นทำให้คุณเม่นขนลุกไปทั้งตัว “เป็นไปไม่ได้… ผมเพิ่งคุยกับท่านมา!” พ่อของคุณเม่นได้เดินเข้ามาสมทบ และยืนยันว่าจริง “ยายไทยเสียไปตั้งแต่ช่วงโควิด ตอนที่ลูกยังอยู่ต่างประเทศ” แม้จะมีการส่งข่าวไป แต่ด้วยความวุ่นวายในช่วงนั้น ทำให้เขาอาจลืมไปแล้ว เขาพยายามคิดทบทวนถึงสิ่งที่ได้ยิน แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน ตกลงแล้ว…เขาเจอผีจริง ๆ ใช่ไหม? เมื่อพ่อแม่ยืนยันเรื่องการเสียชีวิตของยายไทย รวมถึงสิ่งที่เขาได้พบเจอ มันทำให้เม่นแน่ใจว่านี่คือ ครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับวิญญาณแบบเต็ม ๆ โดยไม่รู้ตัว พ่อแม่พยายามปลอบใจ บอกว่า “ท่านคงคิดถึง เพราะเลี้ยงลูกมาตั้งแต่เด็ก” พร้อมกำชับให้คุณเม่นไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ยายไทย เช้าวันรุ่งขึ้น คุณเม่นไปทำบุญตามที่พ่อแม่แนะนำ และความหวาดกลัวก็เริ่มผ่อนคลายลง กลายเป็นเพียงความคิดถึง ตกเย็น พ่อแม่ชวนเม่นไปงานศพของเพื่อนบ้านเก่าสมัยเด็ก ๆ เม่นรับปากและเดินทางไปด้วยกัน เมื่อไปถึงศาลา เขากำลังจะเดินไปไหว้ศพ แต่แล้วภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เข่าทรุดลงแทบจะล้มทั้งยืน ในกรอบรูปของผู้เสียชีวิต คือใบหน้าของอาม่าที่ไล่เขาเมื่อวาน! เม่นพยายามตั้งสติ ก่อนจะสอบถามข้อมูลจากลูกหลานของอาม่าและได้ทราบว่า อาม่าเพิ่งเสียจากอาการหัวใจวายเมื่อสองวันก่อน ที่สำคัญ ลูกหลานยังบอกว่า “อาม่าขาไม่ค่อยดี เวลาจะเดินไปไหนต้องใช้ไม้เท้าพยุง” ทุกอย่างตรงกับสิ่งที่เขาเห็นไม่มีผิด… เท่ากับว่าเย็นวันนั้น คุณเม่นได้คุยกับวิญญาณถึง 2 ดวงในวันเดียวกันโดยที่ไม่รู้ตัวว่านั่นไม่ใช่คน ซึ่งเขาก็คิดว่ามันอาจจะเป็นเพราะเขาขวัญแหลวแบบที่หมอมดบอก จนทำให้เขาสื่อสารกับดวงวิญญาณได้(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจาก ขวัญ น้ำมันพราย 'ครูเอก' I อังคารคลุมโปง X ขวัญ น้ำมันพราย [ 10 ก.ย. 2567]

14 ก.ย. 2024

เรื่องเล่าจาก ขวัญ น้ำมันพราย 'ครูเอก' I อังคารคลุมโปง X ขวัญ น้ำมันพราย [ 10 ก.ย. 2567]

‘ขวัญ น้ำมันพราย’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ครูเอก’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! คุณขวัญเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฟังมาจาก ‘พี่เอก’ ซึ่งเรื่องนี้ย้อนกลับไปประมาณ 20 - 30 ปีก่อน เป็นช่วงที่พี่เอกกำลังบรรจุเป็นครูที่โรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งในภาคเหนือ พี่เอกนั้นจะมีรถส่วนตัวคันเก่า จึงใช้รถคันนั้นขับไปรายงานตัวที่โรงเรียน โดยเดินทางออกจากจังหวัดกาญจนบุรี สมัยนั้นยังไม่มี GPS จึงเกิดการหลง ทำให้เสียเวลาพอสมควร พี่เอกถามคนข้างทางไปเรื่อย แต่ละคนต่างบอกไม่เหมือนกันสักคน ทำให้ถึงโรงเรียนประมาณ 6 โมงเย็น เมื่อขับไปถึง ลักษณะประตูโรงเรียนจะเป็นประตูเลื่อนบานเดียว พี่เอกก็สงสัยว่าทำไมโรงเรียนถึงเงียบผิดปกติ จึงไปยืนดูหน้าประตู และเห็นว่าประตูสามารถเลื่อนได้ พี่เอกจึงเลื่อนประตูแล้วขับรถเข้าไป เมื่อขับเข้าไป ก็เห็นสนามบอลอยู่ตรงกลางของโรงเรียน พี่เอกขับเข้าไปอยู่ฝั่งซ้ายของสนามบอล และหลังสนามฟุตบอลจะมีอาคารไม้สูงสองชั้น มีบันไดอยู่ 3 ขั้นเพื่อขึ้นชั้น 1 และมีทางเข้าออกซ้ายขวา ซึ่งพี่เอกไปจอดอยู่ฝั่งซ้ายของสนามบอลที่มีโรงอาหารเก่า ๆ อยู่ด้านข้าง เมื่อจอดรถเสร็จ พี่เอกก็รู้สึกสงสัย เพราะปกติแล้วโรงเรียนประถมควรจะคึกครื้นกว่านี้ แต่โรงเรียนนี้กลับเงียบผิดปกติ พี่เอกมองหาคนเพื่อสอบถาม แต่มองไปมองมาก็เห็นอาคารเล็ก ๆ เหมือนบ้านชั้นเดียวที่อยู่ข้างตึกเรียน จู่ ๆ บ้านหลังนั้นก็เปิดประตูมา แล้วก็มีคนเดินอกมาจากบ้านหลังนั้นพร้อมลากของออกมาหน้าบ้าน พี่เอกจึงเดินผ่านตึกเรียนไปที่บ้านหลังนั้น ก็เห็นว่าเป็นคุณลุงใส่เสื้อเก่า ๆ พี่เอกจึงตะโกนเรียกคุณลุง คุณลุงหยุดการกระทำแล้วหันมามองพี่เอก แล้วถามว่า “คุณเป็นใคร” พี่เอกจึงตอบว่า “ผมเป็นครูใหม่ที่จะมารายงานตัวครับ” คุณลุงถามว่า “ทำไมมาเวลานี้ ผอ.ก็รอจนกลับไปแล้ว” พี่เอกรีบอธิบายว่าตนหลงทาง คุณลุงจึงให้กุญแจบ้านพักครูที่อยู่บริเวณหลังที่พี่เอกจอดรถ และให้ไปห้องที่ไม่ได้ล็อกกุญแจ เมื่อพี่เอกไปถึง ก็เห็นว่าทั้ง 2 ห้องดันล็อคกุญแจอยู่ พี่เอกจึงลองไขดูถึงได้รู้ว่าเป็นห้องไหน จากนั้นก็เอาของเข้าไปเก็บ เมื่อเก็บของเสร็จ พี่เอกก็คิดจะขับรถเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อหาของกิน ในตอนที่ออกจากห้องก็ยังเห็นคุณลุงขนของอยู่ พี่เอกจึงทักทายทำความรู้จักกับคุณลุง ได้ความมาว่าคุณลุงชื่อ ‘สังเวียน’ และคุณลุงยังบอกให้พี่เอกรีบไปรีบกลับอย่ากลับดึกมาก หลังจากทักทายกันเสร็จ พี่เอกก็ขอตัวออกไปหาอะไรกินในหมู่บ้านตามแผน คนในละแวกนั้นไม่เคยเห็นหน้าจึงถามว่าเป็นใคร พี่เอกก็บอกว่าเป็นครูคนใหม่ของโรงเรียน เมื่อกลับไปถึงโรงเรียนพี่เอกก็แปลกใจว่า ‘ทำไมไม่มีไฟสักดวง’ แต่ก็กลับไปที่ห้องพักแล้วกินข้าวที่ซื้อมา จากนั้นก็อาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวนอน แต่พี่เอกรู้สึกไม่คุ้นที่จึงออกมาเดินเล่น ในขณะที่เดินเล่นก็มีเสียง โครม! ดังมาจากอีกฝั่งของสนามบอล ก็คือหน้าห้องของลุงสังเวียน และก็เห็นว่าลุงสังเวียนเปิดประตูออกมาพร้อมถือไม้กวาดกับถังใส่ของ เมื่อเห็นว่าลุงสังเวียนไม่ได้เป็นอะไร พี่เอกก็หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ และมองไปที่อาคารไม้พร้อมกับชื่นชมตัวอาคารเพราะมันสวยดี แต่เมื่อแหงนมองไปชั้น 2 ก็แปลกใจกับสิ่งที่เห็น เพราะเห็นนักเรียนยืนเอามือท้าวขอบระเบียงอยู่บนระเบียง พี่เอกจึงตะโกนถามว่าเป็นใคร เด็กคนนั้นหันมามองพี่เอกแล้วยิ้มให้แต่ก็ไม่พูดอะไรแล้วก็วิ่งหายไปในความมืด พี่เอกจึงกลับไปที่ห้องพักเพื่อเอาไฟฉายแล้ววิ่งตามไป แต่จังหวะที่กำลังขึ้นไปไฟฉายดันดับ สักพักได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ พี่เอกก็หันไปดูพร้อมหันไปฉายไปและไปฉายก็ติดพอดี เห็นหัวเด็กอยู่ตรงพื้นบันไดชั้น 2 ลักษณะเหมือนนอนละเอาหัวโผล่มา แล้วเด็กคนนั้นก็ลุกแล้วก็วิ่งย้อนไปอีกฝั่งนึง! พี่เอกก็วิ่งตามไปแต่ก็หาไม่เจอ จนไปถึงห้องสุดท้ายก็เปิดประตูเข้าไปก็ไม่มีอะไร ในระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงเท้าพี่เอกจึงหันกลับไปดูแต่ก็ไม่มีอะไร พี่เอกเริ่มกลัวแล้วก็ตัดสินใจกลับห้อง แต่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าตามหลัง พี่เอกเลยหันไปดู สิ่งที่เห็นคือเด็กวิ่งเข้ามาใส่ พี่เอกตกในจนเสียหลัก พอตั้งหลักได้เด็กคนนั้นกลับไปยืนอยู่กลางอาคาร พี่เอกจึงถามว่าเป็นใคร เด็กคนนั้นก็หายเข้าไปในห้องเรียน พี่เอกก็ตามเด็กไปอีก พี่เอกเปิดประตูเข้าไปเห็นเด็กอยู่ตรงหน้าต่าง พี่เอกก็เรียกให้เด็กคนนั้นมาคุย แต่สิ่งที่เห็นคือเด็กกระโดดลงหน้าต่างไป! พี่เอกรีบวิ่งไปดูแต่ก็ว่างเปล่า จากนั้นก็รู้ตัวแล้วว่าตนโดนผีหลอกจึงตัดสินใจวิ่งลงบันไดจะกลับห้อง ก็ได้ยินเสียง โครม! อีกครั้ง ดังมาจากบ้านลุงสังเวียน แล้วก็เห็นประตูบ้านของลุงสังเวียนเปิด จากนั้นพี่เอกก็เห็นว่ามีมือและหน้าเด็กโผล่ออกมา ซึ่งก็คือเด็กคนนั้นแล้วชี้เข้าไปในบ้าน พี่เอกจึงเดินไปหา แต่ก็รู้สึกเหมือนมีคนเดินบนอาคารเมื่อหันไปก็ไม่มีใคร พอถึงหน้าบ้านลุงสังเวียน พอเข้าไปบรรยากาศในบ้านมีของวางเต็มไปหมด และมีห้องที่ปิดประตูอยู่ พี่เอกจึงตะโกนถามว่า “ลุงอยู่ไหม เป็นอะไรรึเปล่า” แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ พี่เอกจึงเดินไปที่ห้องนั้น และเปิดประตูเข้าไปจนเตะเข้ากับขวดเหล้าขาวเต็มไปหมด พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นลุงสังเวียนแขวนคอตายลิ้นจุกปาก พอตั้งสติได้ก็วิ่งออกจากห้องลุงสังเวียน แล้วก็เอากุญแจรถที่ห้อง เมื่อจะขึ้นรถ จู่ ๆ ก็มีรถหลายคันขับเข้ามา แล้วถามพี่เอกว่าเป็นใคร ตนก็รีบอธิบายว่าเป็นครูคนใหม่ของโรงเรียนนี้ ซึ่งคนที่ถามคือครูเวรที่ไปตามตำรวจมา แล้วตำรวจก็พาเดินไปหน้าห้องลุงสังเวียน เพื่อชันสูตร แต่พี่เอกก็ต้องขนลุกเมื่อมองไปที่รูปภาพข้างเตียงของลุงสังเวียนเป็นเด็กคนนั้นที่มีคำว่าชาตะมรณะ ที่ตายยังไม่ถึง 1 อาทิตย์! และได้ความจากครูเวรว่าลุงสังเวียนเป็นปู่ของเด็กคนนี้ เด็กคนนี้พ่อแม่ทิ้ง ลุงสังเวียนจึงเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้ ซึ่งสาเหตุการตายของเด็กคนนี้คือเล่นกับเพื่อนแล้วผลัดตกหน้าต่างไปแปลงผักที่มีไม้ไผ่เสียบอยู่ ซึ่งเด็กคนนี้ตกลงไปแล้วคอเสียบไม่ไผ่ตายคาที่ และวันนี้ครูเวรก็สงสัยว่าทำไมไม่เห็นลุงสังเวียน ก็ได้พบว่าลุงสังเวียนฆ่าตัวตาย เมื่อครูเอกได้รู้เรื่องราวก็เลือกที่จะไปเช่าบ้านอยู่นอกโรงเรียนแทน..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณออโต้ 'ยายสา' l อังคารคลุมโปง X พูห์-พาเวล [ 25 พ.ย.2568 ]

02 ธ.ค. 2025

เรื่องเล่าจากคุณออโต้ 'ยายสา' l อังคารคลุมโปง X พูห์-พาเวล [ 25 พ.ย.2568 ]

ในทุกความมืดมิด และความสว่างยังคงมีการรอคอยจากยายสา คำพูดของเด็กสาวที่พูดเล่นในวันนั้นว่า จะไปอยู่ด้วย ทำให้มีวิญญาณของยายแก่มาคอยตามติดชีวิต และจนกว่าจะอายุ 25 ปี เธอจะต้องอยู่รอดต่อไปให้ได้ไม่งั้นความตาย ที่รอเธออยู่ก็จะคลืบคลานมาพร้อมกับยายสา เรื่องเล่าของการรอคอยในความมืดที่ “คุณออโต้” ได้ฟังมาจากน้องน้ำ เป็นเรื่องราวที่ทำให้อุณหภูมิจากอากาศหนาว ๆ กลายเป็นร้อนทันที สามารถติดตามไปพร้อมกับ “ดีเจเจ็ม และ ดีเจแนน” ในรายการคลุมโปง ( 25 พฤศจิกายน 2568) ย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว... ในช่วงเวลานั้น น้ำอาศัยอยู่ที่ภาคอีสาน บ้านของเธอค่อนข้างที่จะชนบทมากทุก ๆ วันน้ำจะต้องออกไปที่สวนกับพ่อ และน้องสาว แต่ในอาทิตย์นั้นไม่เหมือนที่ผ่านมาเพราะเธอไม่สบาย แต่พอน้ำอาการดีขึ้น ก็เลยเดินลงมาข้างล่าง เพื่อที่จะสูดอากาศยามเย็นช่วงโพล้เพล้ในตอนนั้นคุณแม่ ของเธอกำลังทำกับข้าว น้ำเลยเดินไปนั่งแถว ๆ ชานบ้านหางตาของเธอเหลือบไปเห็นยายคนนึง กำลังจะเดินผ่านหน้าบ้าน แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นยายสา คนที่อยู่ระแวกแถวบ้าน น้ำก็ไม่ได้คิดอะไรนั่งทำนู่นทำนี่ของตนเองไปแต่ยายสา กับมายืนอยู่ตรงบ้าน พร้อมพูดว่า ‘หลานเอ้ย ขอน้ำกินหน่อย’ น้ำก็เลยรีบวิ่งไปเอาน้ำให้คุณยาย แต่ยายมีท่าทีที่ยิ้มแปลก ๆ เมื่อเธอยื่นน้ำไปให้มือสาก ๆ เหี่ยวย่นของคนแก่ก็ลูบมาที่เนื้อตัวเธอ พร้อมกับชมว่า ‘เป็นคนดีจัง อยากเอาไปอยู่ด้วย’น้ำคิดแค่ว่า... ยายคงแค่พูดหยอก จึงตอบกลับไปด้วยความไม่ประสีประสาว่า...“จ้า จะให้ไปไหนล่ะ เดี๋ยวหนูไปด้วย” เป็นการพูดหยอกล้อกันตามประสาเด็ก กับผู้ใหญ่ หลังจากนั้นไม่นานแม่ก็ตะโกนเรียกให้เธอเข้าบ้านมากินข้าว ยายสาเลยค่อย ๆ ยื่นแก้วน้ำส่งคืนชั่วเวลาไม่กี่วิที่น้ำ หันไปมองแม่ และหันกลับมาหายาย ตรงหน้าของเธอก็เหลือแต่ความว่างเปล่า ยายสาได้หายไปแล้วน้ำเลยเดินกลับไปหาแม่ที่กำลังวุ่นวายกับการเตรียมอาหารเย็น แม่ถามเธอว่า...‘เมื่อกี้้คุยกับใคร ทำไมเสียงดังจัง’ แต่พอน้ำบอกว่า เธอคุยกับยายสา สีหน้าของแม่ก็ตกใจแล้วรีบบอกให้น้ำ รีบกินข้าว และรีบกลับขึ้นไปนอน ตัวเธอเองก็ทำตามที่แม่บอกในคืนนั้นช่วงเวลาสี่ทุ่ม น้ำสะดุ้งตื่นขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงคนเปิดประตูดังแอ๊ด… ดวงตาของเธอมองผ่านไปตรงประตู ช่วงจังหวะนั้นเอง ร่างที่เดินเข้ามาเป็นเงาเหมือนกับแม่ ของตนเองเธอเลยคิดว่า แม่คงมาดูอาการไข้ตามปกติ จึงจะหลับตาต่อ แต่ความรู้สึกที่น้ำ ได้รับคล้ายกับว่ามีน้ำอะไรเหนียว ๆ หยดลงมาบนหน้าจนเธอต้องลืมตาตื่นขึ้นมาดู สิ่งที่ได้เห็นผ่านความมืดที่เงียบงัน คือร่างของแม่เธอที่กำลังเอาลิ้นเลียหน้า น้ำตกใจมากด้วยความกลัวแต่ก็ขยับตัวไม่ได้ร่างที่อยู่ในความมืดดำพูดออกมาเบา ๆ ว่า “เป็นตาแซ่บน้อ” จนเธอต้องรวบรวมความกล้า กรีดร้องออกมาจนลั่นบ้านเพื่อเรียกพ่อกับแม่ หางตาของน้ำ มองร่างของผู้หญิงที่เป็นแม่ แต่กลายเป็นว่า มันคือยายสา พ่อกับแม่รีบวิ่งขึ้นมาดูเธอ แต่ยายสารีบกระโดดจากหน้าต่างลงไป และเป็นเสียง สวบ สาบ ของร่างคนที่วิ่งลัดเลาะทุ่งนา เธอเลยรีบวิ่งไปกอดแม่ พร้อมกับเล่าทุกอย่างให้ฟังแม่รีบไปตามยายหมอธรรมข้างบ้าน มาผูกข้อแขนพร้อมกับเรียกขวัญให้ แต่ก็ยังไม่มีใครพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ดีจนเวลาผ่านเลยไปสองวัน เธอก็หายไข้แล้ว แม่ก็ถามไถ่อาการตามปกติ แต่น้องสาวก็บอกว่าตอนกลางคืน น้ำชอบออกมานั่งยอง ๆ มองเธอแบบแปลก ๆ แต่น้ำกับไม่รู้ตัวเลยว่าได้ทำลักษณะท่าทางแบบนี้ และเวลาก็ผ่านพ้นไป ด้วยความที่ข้างบ้านมีคนทำพิธีไล่ผีกัน น้ำเลยชวนน้องสาวออกไปดูข้างหน้าที่เธอเห็นก็จะมีหมอธรรมที่กำลังทำพิธี แต่ข้างในสุดของบ้านหลังนี้เป็นยายสาที่กำลังนั่งกินอะไรสักอย่างอยู่ น้ำตกใจกับสิ่งที่เห็นเลยรีบเล่าให้น้องฟัง แต่กลายเป็นว่ามีแค่เธอคนเดียวที่เห็น พวกเธอเลยจะรีบวิ่งออกไป แต่ยายแก่ก็วิ่งเข้ามาจับแขนบอกให้เธอไปอยู่กับยาย น้ำจึงสลบลงไปด้วยความกลัวรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีก็อยู่ที่วัด กับพ่อแม่ และตอนนั้นเอง น้ำเลยได้รู้ว่า ยายสาเป็นหมอธรรมที่เล่นวิชาจนของเข้าตัว คนในหมู่บ้านเชื่อว่า แกโดนผีปอบสิงตอนที่เธอเห็นยายสาเดินผ่านหน้าบ้านจริง ๆ แล้วแกนอนป่วยติดเตียงอยู่ แต่มีคนหลายคนเห็นยายสา เดินไปเดินมายายแกเหมือนจะถูกใจน้ำ จึงมาทำพิธีจองตัวไว้พระท่านจึงทำพิธีแก้ให้กับน้ำไว้ ให้พกท้าวเวสสุวรรณติดตัวหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น น้ำก็ยังคงเห็นยายสา แต่แกเข้ามาหาเธอไม่ได้ และทุกวันพระวันโกน ยายสาจะชอบมานั่งยอง ๆ บนหลังคา คอยมอง วันที่น้ำได้ของจากพระมา ก็เป็นวันเดียวกับที่ยายสาเสีย หลวงตาท่านบอกว่า ถ้าครบ 25 ปี ทุกอย่างจะคลี่คลายลง….(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

เรื่องเล่าจากคุณเเรก 'บ้านฝรั่ง' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 27 ส.ค. 2567]

31 ส.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณเเรก 'บ้านฝรั่ง' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 27 ส.ค. 2567]

‘คุณแรก’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘บ้านฝรั่ง’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! คุณแรกเล่าว่าตนทำรายการผีท้องถิ่นในจังหวัดนครราชสีมา วันหนึ่ง มีข้อความของแฟนรายการเด้งขึ้นมาว่าต้องการให้คุณแรกพูดถึง ‘บ้านมอญโคราช’ แต่คุณแรกรู้สึกว่าเรื่องนี้คนพูดถึงเยอะแล้ว คุณแรกจึงบอกแฟนรายการคนนั้นไปว่า “มีอีกหนึ่งเรื่องเกี่ยวกับบ้านที่เฮี้ยนในโคราช ที่ไม่ใช่บ้านมอญ อยากฟังไหม” แฟนรายการคนนั้นก็สนใจอยากฟัง คุณแรกจึงเล่าว่า.. เรื่องนี้เล่าย้อนไปในสมัยที่คุณแรกเล่นดนตรีในโรงแรม 5 ดาวที่โคราช เป็นช่วงยุค 90 เป็นช่วงที่รายการผีขยับจากหน้าจอวิทยุมาเป็นหน้าจอโทรศัพท์ ทำให้คุณแรกที่ชอบรายการแนวนี้ก็ตื่นเต้นเป็นพิเศษ พอช่วงเบรคของการเล่นดนตรี คุนแรกก็ลงมาพัก ในขณะที่นั่งพักคุณแรกและเพื่อนในวงก็นั่งคุยกันเกี่ยวกับรายการผี คุณแรกจึงเปิดประเด็นว่า “หลังจากเงินออกของอาทิตย์นี้ เราทุกคนมาลงขันกัน แล้วในวงดนตรีถ้าใครใจถึง ไปล่าท้าผีกัน” โดยจะให้ไปนอนสักที่ ซึ่ง ณ ตอนนั้นคุณแรกก็ยังไม่มีสถานที่ในหัวว่าจะเป็นที่ไหน คุณแรกจึงถามต่อว่ามีใครใจถึงไหม ปรากฏว่า ‘พี่บิ๊ก’ มือกลองที่เป็นคนตัวใหญ่ผมยาวก็พูดขึ้นมาว่า “พี่ไม่กลัวหรอก พี่ไปเอง คนละ 500 ใช่ไหม” ในจังหวะที่ทุกคนพูดคุยกันอยู่ก็มีคุณลุงคนหนึ่งเดินผ่านไปเข้าห้องน้ำ และเหมือนคุณลุงคนนี้จะได้ยินเรื่องที่คุยกัน เมื่อคุณลุงออกจากห้องน้ำและกำลังจะเดินกลับไปคุณลุงก็ได้แวะพูดคุยกับกลุ่มของคุณแรก ว่า “หาบ้านลองของอยู่หรอ ลุงรับดูแลบ้านหลังหนึ่งอยู่ บ้านหลังนี้ไม่มีใครอยู่ได้เกินสามวัน” คุณแรกและเพื่อน ๆ จึงขอให้คุณลุงเล่ารายละเอียดให้ฟัง คุณลุงจึงเล่าว่า.. บ้านหลังนี้เป็นบ้านของสามีภรรยา โดยสามีเป็นฝรั่ง ส่วนภรรยาเป็นคนไทย ตัวสามีฝรั่งเป็นทหารมาก่อน พอเกษียณก็มาใช้ชีวิตบั้นปลายที่ประเทศไทย ส่วนฝ่ายภรรยาก็เป็นหญิงม้ายที่ทำงานที่พัทยาและได้เจอกับสามีคนนี้ และทางสามีก็ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะส่งเงินมาให้เพื่อไปซื้อบ้านซื้อที่ดินในโคราชและตกลงจะแต่งงานแล้วจดทะเบียนอยู่ด้วยกัน เมื่อสามีเกษียณก็ให้ภรรยาลาออกจากงานที่พัทยามาเป็นแม่บ้านที่โคราชเพื่อจะอยู่ด้วยกัน ประเทศของฝั่งสามีนั้นมีเงินบำนาญให้ทุกเดือน ตัวสามีเองจึงมีเงินก้อนอยู่จำนวนหนึ่ง จึงเป็นคนมีเงิน เมื่อย้ายมาอยู่โคราช ก็เริ่มไปเที่ยวกลางคืน เริ่มมีเพื่อนเยอะ และได้ไปติดเด็กเอ็นในสถานที่บันเทิงแห่งหนึ่ง สามีเมาทุกวัน ไม่กลับบ้าน และเปย์เด็กเอ็น จนภรรยาเริ่มสงสัยว่าทำไมสามีหายไป โดยส่วนตัวภรรยานั้นมีความคาดหวังกับเรื่องครอบครัวสูงเพราะเคยผิดหวังกับเรื่องนี้มาแล้ว ภรรยาจึงจ้างนักสืบเอกชนจนได้รู้ว่าสามีของตนนั้นติดเด็กเอ็น ภรรยาจึงเก็บความแค้นไว้ในใจ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นจนมาถึงวันครบรอบแต่งงาน ภรรยาก็ได้บอกสามีว่า “วันนี้ไม่ต้องไปเที่ยวนะ เราจะฉลองกันที่บ้าน” เมื่อกินข้าวเสร็จ ภรรยาก็ได้เอาเค้กมาเซอร์ไพรซ์ให้เป่าเค้กวันครบรอบแต่งงาน ในขณะที่สามีกำลังก้มลงไปเป่าเค้กนั้น ทางด้านภรรยาก็เอาปืนสั้นที่เหน็บหลังออกมาและยิงไปที่หัวของสามี จากนั้นก็ยิงตัวเองตายตาม ทางด้านญาติจึงรีโนเวทบ้านและปล่อยเช่า แต่คนที่มาเช่าส่วนมากก็อยู่ไม่นานและพากันคืนบ้านกันหมด เมื่อคุณลุงเล่าจบ คุณแรกก็รู้สึกสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ คุณแรกจึงเพิ่มกติกาพิเศษคือให้พี่บิ๊กถอดพระห้ามมีพระติดตัวตอนที่ไปบ้านหลังนั้น โดยให้เข้าไปนอนหลังเลิกงาน เมื่อฟ้าสางก็มารับเงินได้เลย พอถึงวันนัด พี่บิ๊กก็ดื่มเบียร์ก่อนไปจะได้หลับสบาย เมื่อพี่บิ๊กไปถึงบ้านหลังนั้นคุณลุงก็บอกว่าไม่สามารถเปิดไฟให้ได้เพราะตอนนี้ไม่มีใครเช่า ถ้าเปิดไฟอาจจะเกิดปัญหากับตัวคุณลุงได้ เมื่อพี่บิ๊กเข้าไปก็จะมีห้องนอนอยู่ห้องเดียวซึ่งเป็นห้องของสามีภรรยาคู่นี้และต้องนอนที่นี่ พี่บิ๊กที่ดื่มเบียร์มาก็ได้เคลิ้มหลับไป แต่พอผ่านไปสักพักก็รู้สึกว่าตัวเองโดนกระตุกขาจึงลืมตาตื่นขึ้นมาแต่ก็ไม่เห็นมีอะไร เห็นแค่แสงไปผ่าน ๆ จากข้างนอก พี่บิ๊กจึงหลับต่อ แต่มันก็เริ่มหนักขึ้นคือโดนดึงผม กระฉากผมเหมือนต้องการให้ลงจากเตียง พี่บิ๊กก็รู้สึกเจ็บและโมโห จึงลุกขึ้นมามองแต่ก็ไม่เห็นอะไร จากนั้นก็ล้มตัวลงไปนอนอีกรอบ ซึ่งรอบนี้โดนถีบจนตกเตียง พี่บิ๊กลุกขึ้นมามองหาว่าใครทำ ก็เห็นเป็นผู้หญิงใส่ชุดนอนเปื้อนเลือดผมยาวหยักศกนั่งยิ้มให้! พี่บิ๊กเห็นแบบนั้นก็ตกใจรีบวิ่งลงไปที่ประตูรั้วเหล็ก แต่ก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าถ้าออกไปตอนนี้จะไม่ได้เงิน จึงกลับมานั่งบนโซฟาเพื่อตั้งสติ แล้วก็ขึ้นไปนอนต่ออีกรอบ โดยท่าทางคือนอนหงาย แต่สิ่งที่เห็นเมื่อครู่ก็ทำให้หายง่วง จึงหยิบบุหรี่ขึ้นมาตั้งใจจะสูบ พอสูบเสร็จ ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาบังคับหน้าให้หันไป พี่บิ๊กก็พยายามหันสู้แต่มันหนักมาก พอเหลือบตาไปมองว่าคืออะไร สิ่งนั้นคือเท้าของฝรั่งตัวใหญ่ นั่งอยู่บนหัวเตียงและเอาเท้ามายันหน้าไว้ และก้มลงมามองพร้อมพูดว่า “Don’t smoke” ในระหว่างที่พี่บิ๊กโดนเหยียบหน้าอยู่ ก็เห็นผู้หญิงเดินมาจากประตูมาที่ข้าง ๆ เตียงและเอาปืนมายิงฝรั่งที่กำลังเหยียบหัวอยู่จนล้มลงมาบนเตียง และผู้หญิงคนนั้นก็เอาปืนมายิงตัวเอง เหมือนกำลังทำภาพเดจาวูให้เห็นอีกครั้ง พี่บิ๊กสติหลุดกระโดดออกจากระเบียงวิ่งหนีสุดชีวิต เมื่อถึงตอนเช้า ทุกคนก็โทรหาพี่บิ๊กแต่พี่บิ๊กก็ไม่พูดอะไรและบอกว่าค่อยเจอกันตอนทำงาน เมื่อถึงที่ทำงาน พี่บิ๊กก็เล่าทุกอย่างที่เห็นให้ฟัง และหลังจากเรื่องนี้พี่บิ๊กที่บอกว่าเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผีกลับกลายเป็นว่าเวลาที่คุณแรกและเพื่อน ๆ คุยเรื่องผี พี่บิ๊กจะเดินหนีตลอด..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1