เรื่องเล่าจากคุณเป้ 'ความรักจากยาย(ทายาท)' l อังคารคลุมโปง X เป้ ก๊อก ก๊อก ก๊อก [25 ก.พ. 2568]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณเป้ 'ความรักจากยาย(ทายาท)' l อังคารคลุมโปง X เป้ ก๊อก ก๊อก ก๊อก [25 ก.พ. 2568]

03 มี.ค. 2025

          ‘คุณเป้ ก๊อก ก๊อก ก๊อก’ เล่าเรื่องสุดหลอนจากประสบการณ์ของ ‘คุณปอย’ ที่เคยอาศัยอยู่ในบ้านเช่ากับ ‘ยายแก้ว’ ผู้มีความลับสุดสยอง! เมื่อคุณปอยตัดสินใจย้ายมาเช่าบ้านหลังนี้ อะไรบางอย่างเริ่มไม่ปกติ จนถึงคืนหนึ่งที่เธอเห็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด!

          ยายแก้วจริง ๆ แล้วคือใคร?

          อย่าพลาดเรื่องราวสุดหลอนที่ทำให้คุณปอยถึงกับหนีออกจากบ้านหลังนี้! ฟังเรื่องนี้ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (25 กุมภาพันธ์ 2568) พร้อม ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’

          ร่างที่นอนข้างคุณปอยคือใครกันแน่? บางที “ความจริง” อาจน่ากลัวกว่าที่คุณคิด!

          ‘คุณเป้ ก๊อก ก๊อก ก๊อก’ เล่าว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณปอย’ ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาเคยเล่าให้คุณเป้ฟังถึงช่วงเวลาที่สอบชิงทุนและได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคเหนือของประเทศไทย ในอดีตการสอบชิงทุนครอบคลุมเพียงค่าเล่าเรียน แต่ไม่ได้รวมค่าที่พัก ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในส่วนนี้ ด้วยเหตุนี้ คุณปอยจึงต้องทำงานเกษตรในโรงเรียนเพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่าย

          คุณปอยมีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่รูปร่างหน้าตาดีซึ่งเคยอยู่หอพักด้วยกัน แต่เพื่อนคนนั้นมีแฟนและเริ่มออกไปเที่ยวกับแฟนบ่อย ๆ ทำให้ไม่ค่อยได้กลับห้อง คุณปอยจึงต้องอยู่หอพักคนเดียว โดยส่วนตัวแล้ว คุณปอยเป็นคนที่กลัวผีมาก จึงเริ่มรู้สึกไม่อยากอยู่ในห้องนี้แล้ว และอยากหาที่พักข้างนอกแทน แต่เนื่องจากคุณปอยมีเงินไม่พอ ทำให้ต้องหางานพิเศษทำเพิ่ม หลังจากทำงานพิเศษและเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งก็เพียงพอที่จะสามารถเช่าบ้านได้แล้ว

          เมื่อเริ่มหาบ้าน คุณปอยได้ไปเจอบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านทรงไทยเก่า ๆ ที่ไม่ได้หรูหราอะไร เมื่อได้ไปเจอและพูดคุยกับ ‘ยายแก้ว’ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านคนเดียว คุณปอยพูดสอบถามไปว่า

          “ยาย พอดีหนูจะมาสอบถามเรื่องค่าเช่าบ้าน”

          “อ้าวเหรอ หนูจะมาหาบ้านเหรอ มา ๆ คุยกับยายก่อน” ยายแก้วพูดตอบกลับ

          ยายแก้วเป็นหญิงชราที่มีอายุมาก แต่กลับไม่ได้ดูแก่เลย แม้จะมีเส้นผมหงอกแซมอยู่บ้าง ทว่าใบหน้ายังคงแลดูอ่อนเยาว์ ราวกับหญิงสาว

          หลังจากได้พูดคุยกัน คุณปอยรู้สึกถูกชะตากับยายแก้ว จึงตัดสินใจเช่าบ้านหลังนี้ อีกทั้งค่าเช่ายังถูกมาก ทำให้เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ตัดสินใจอยู่

          ภายในบ้านมีสองห้อง ได้แก่ ห้องส่วนตัวของยายแก้ว และห้องโถงขนาดใหญ่ คุณปอยรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนักเมื่อต้องอยู่ในห้องโถงนั้น เพราะภายในมีเสาตกน้ำมันตั้งอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงขออนุญาตย้ายไปนอนที่ห้องครัวแทน ภายในห้องครัวมีซี่ไม้ไผ่รวกกั้นเป็นแนวเป็นระเบียบ บางครั้งลมก็พัดผ่านเข้ามาให้ได้ยินเสียง ส่วนด้านหลังครัวมีบันไดลงไปยังห้องน้ำ ซึ่งตั้งอยู่ติดกับวัด

          หลังจากที่คุณปอยอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ได้สักพัก ในตอนที่คุณปอยกำลังซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารที่ตลาด ทว่ากลับสังเกตเห็นสายตาของผู้คนในตลาดที่มองมาอย่างแปลก ๆ ตอนนั้นคุณปอยไม่ได้คิดอะไรมาก คิดเพียงแค่ว่าอาจเป็นเพราะตนเองเพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่ คนในละแวกนั้นจึงเกิดความสงสัย หลังจากซื้อของเสร็จ ก็กลับไปที่บ้านพักตามปกติ

          วันนั้นเป็นวันที่คุณปอยย้ายมาอยู่ครบหนึ่งเดือนพอดี คุณปอยก็ได้นำเงินค่าเช่าไปจ่ายกับยายแก้ว หลังจากที่ยายแก้วรับเงินก็นำเงินของคุณปอยไปซื้อกับข้าวกลับมา และพูดกับคุณปอยว่า

          “หนู หนูชอบบ้านหลังนี้ไหม ถ้าชอบยายยกให้เอาไหม หนูมาเป็นลูกยายไหม ยายมีสมบัติด้วยนะ แล้วก็ยายไม่มีลูกหลานที่ไหน ยายถูกชะตากับหนูมาก มาเป็นลูกยายนะ” ยายแก้วพูดออกไปแบบนั้น

          ทางคุณปอยไม่ได้รู้สึกดีใจแต่อย่างใด ตอบกลับไปแค่ว่า “ไม่ได้หรอกยาย ยายเก็บไว้เถอะ”

          หลังจากที่คุณปอยปฏิเสธยายแก้ว เวลาก็ผ่านไป

          วันหนึ่งเริ่มมีเพื่อน ๆ ที่มหาลัยทั้งชายและหญิง มาที่บ้านมาเพื่อทำรายงาน หลังจากที่ทุกคนกลับไปแล้ว ยายแก้วเดินมาพร้อมพูดตำหนิคุณปอยว่า

          “ปอยเอ้ย ถ้าเป็นไปได้อย่าพาเพื่อนมาอีกนะ โดยเฉพาะเพื่อนผู้ชาย แล้วว่ายังไงหล่ะเรื่องที่จะมาเป็นลูกยาย ยายยกบ้านให้เลย ยกสมบัติให้หมดเลย แต่ขออย่างเดียว อย่ามีแฟนนะ” ยายแก้วยังคงไม่ยอมลดความตั้งใจที่อยากให้คุณปอยมาเป็นลูกของตน

          คุณปอยรู้สึกแปลกใจกับคำพูดของยายแก้ว แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไร หลังจากนั้น ยายแก้วเริ่มมาขอคุณปอยนอนด้วย คุณปอยก็ตอบรับ เนื่องจากตนเองเป็นคนที่กลัวผีมากอยู่แล้ว จึงรู้สึกสบายใจที่มียายแก้วมานอนเป็นเพื่อน จากนั้นยายแก้วก็มานอนด้วยบ่อยขึ้น

          ในทุกเช้า ยายแก้วจะเป็นคนทำอาหารให้ และไม่เคยเก็บค่าเช่าบ้านเลยแม้แต่ครั้งเดียว เมื่ออยู่ไปนานวันเข้า คุณปอยเริ่มรู้สึกผูกพันกับบ้านหลังนี้ และค่อย ๆ ปรับตัวจนรู้สึกเหมือนเป็นบ้านของตนเอง จึงเริ่มช่วยดูแล ทำความสะอาด ปัดกวาดเช็ดถูให้

          มีอยู่ครั้งหนึ่ง คุณปอยตัดสินใจเข้าไปทำความสะอาดในห้องของยายแก้ว ภายในห้องมืดสนิทเพราะหน้าต่างถูกปิดไว้ทั้งหมด คุณปอยจึงเปิดหน้าต่างเหล่านั้น และเริ่มทำความสะอาดพื้นโดยนั่งคุกเข่าถูระหว่างที่กำลังถอยหลังไปข้างหลัง จู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีมือมาจับที่ก้นของตนเอง คุณปอยสะดุ้งขึ้นมาทันทีแล้วหันไปมอง แต่กลับไม่เห็นใครอยู่เลย ในขณะนั้น หน้าต่างที่เปิดอยู่ก่อนหน้านี้ก็ปิดลงทันทีพร้อมเสียงดัง ปัง!! ปัง!! ปัง!! คุณปอยเริ่มรู้สึกกลัวมาก จึงรีบเข้าไปปิดหน้าต่างและล็อคมันไว้ ก่อนจะรีบออกมาข้างนอกทันที แล้วหลังจากนั้นคุณปอยก็ไม่กล้าเข้าไปที่ห้องยายแก้วอีกเลย

          คืนที่ทำให้คุณปอยตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่อยู่ในบ้านหลังนี้อีกต่อไปเกิดขึ้นในคืนหนึ่ง ตอนที่ยายแก้วและคุณปอยนอนด้วยกัน ระหว่างที่กำลังนอน คุณปอยเริ่มรู้สึกได้ถึงกลิ่นเหม็นที่ลอยมาในอากาศ กลิ่นนั้นไม่ได้เป็นกลิ่นเหม็นสาบทั่วไป แต่กลับเป็นกลิ่นเหม็นของอุจจาระ ในตอนแรก คุณปอยคิดว่ากลิ่นดังกล่าวอาจมาจากห้องน้ำที่อยู่ด้านหลังของบ้าน และเป็นไปได้ว่าลมพัดพากลิ่นโชยเข้ามาในห้อง และจากที่คุณปอยนอนอยู่ ก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงหมาหอนดังมาก หลังจากที่ลืมตาขึ้นมาสิ่งแรกที่คุณปอยเห็นคือ ตรงส่วนของซี่ไม้ไผ่รวกที่กั้นเป็นแนว เขาเห็นแสงไฟสีเหลือง ๆ เขียว ๆ สว่างแบบวูบวาบ ๆ แถมยังมีเสียงดังพรึบ ๆ พรึบ ๆ

          ด้วยความสงสัย คุณปอยจึงค่อย ๆ ก้มลงไปมองผ่านช่องว่างระหว่างไม้ไผ่ที่กั้นอยู่ ทันทีที่สายตาสอดผ่านช่องนั้น สิ่งที่เห็นทำให้คุณปอยตกใจจนเผลอถอยหลังล้มลงไปกระแทกพื้น เพราะภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือ ใบหน้าของยายแก้วที่มีเพียงศีรษะลอยอยู่! ขณะที่คุณปอยกำลังตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น ก็พลันนึกขึ้นได้ว่า

แล้วร่างที่นอนอยู่ข้างตนเองคือใคร?

          ด้วยความหวาดกลัว คุณปอยรีบหันไปมองที่ฟูกนอน แล้วสิ่งที่เห็นกลับทำให้ขนลุกไปทั้งตัว

ยายแก้วยังคงนอนอยู่ในท่าเดิม แต่ศีรษะของเธอกลับหายไปแล้ว!

          เมื่อเห็นเช่นนั้น คุณปอยก็ถึงกับทำตัวไม่ถูก ด้านนอกมีศีรษะของยายแก้วลอยอยู่ ส่วนร่างที่นอนอยู่ข้างในกลับไร้ศีรษะ หากจะวิ่งออกไป เวลานั้นก็ดึกมากแล้ว อีกทั้งข้างนอกก็เป็นวัด ทุกอย่างรอบตัวเงียบสงัดและมืดสนิท สุดท้าย คุณปอยตัดสินใจดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง พยายามข่มตาหลับ และนอนหันหลังให้ร่างไร้ศีรษะของยายแก้วด้วยความหวาดกลัวสุดขีด

          เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อคุณปอยลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่ายายแก้วที่นอนอยู่เมื่อคืนได้หายไปแล้ว ด้วยความหวาดกลัว คุณปอยจึงพยายามเก็บเสื้อผ้าอย่างเงียบ ๆ และรอจังหวะที่ยายแก้วไม่อยู่บ้าน ก่อนจะรีบหนีออกมา

          หลังจากนั้น คุณปอยได้นำเรื่องที่พบเจอไปเล่าให้เพื่อน ๆ ในมหาวิทยาลัยฟัง เรื่องราวของคุณปอยถูกเล่าต่อกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งไปถึงหูของเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ เมื่อได้ฟังเรื่องนี้ เพื่อนคนนั้นจึงแนะนำให้คุณปอยลองไปถามแม่ของตน เผื่อว่าเธออาจจะรู้อะไรเกี่ยวกับบ้านหลังนั้นบ้าง

          หลังจากที่สอบถาม จนกระทั่งได้รู้ว่าความจริงแล้วว่า ยายแก้วคือกระสือ! อย่างไรก็ตาม ยายแก้วเป็นกระสือที่ไม่เคยหลอกหลอนหรือทำร้ายใคร ชาวบ้านต่างรู้เรื่องนี้กันดี ส่วนลูกหลานที่ยายแก้วเคยมีต่างก็ทิ้งหายกันไปหมด ยายแก้วจึงเฝ้าหาทายาทสืบทอดอยู่เสมอ และดูเหมือนว่าคุณปอยอาจเป็น “คนโชคดี” ที่ได้เข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้นพอดี…

          เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด คุณปอยอดคิดไม่ได้ว่าหากตอนนั้นตนเองเกิดความโลภ อยากได้สมบัติของยายแก้ว และเลือกที่จะรับบ้านหลังนั้นไว้ บางที… ตอนนี้ตนอาจจะกลายเป็นกระสือไปแล้วก็ได้!!

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากฟิล์ม ธนภัทร์ 'หอในมหาวิทยาลัยย่านรังสิต' I อังคารคลุมโปง X ฟิล์ม ธนภัทร - นุ่น ศิรพันธ์ [4 ก.พ. 2568]

09 ก.พ. 2025

เรื่องเล่าจากฟิล์ม ธนภัทร์ 'หอในมหาวิทยาลัยย่านรังสิต' I อังคารคลุมโปง X ฟิล์ม ธนภัทร - นุ่น ศิรพันธ์ [4 ก.พ. 2568]

ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (4 กุมภาพันธ์ 2568) ‘คุณฟิล์ม ธนภัทร’ ได้นำเรื่องราวหลอน ‘หอในมหาวิทยาลัยย่านรังสิต’ ที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์ลี้ลับ จนทำให้ต้องย้ายออก! เรื่องราวเหล่านี้จะเป็นอย่างไร? มาฟังไปพร้อมกันกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ แล้วคุณจะรู้ว่า บางครั้งความหลอนอาจหลบอยู่ในที่ที่เราไม่เคยคิด! เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 13 ปีที่แล้ว เป็นเรื่องเล่าจากเพื่อนของคุณฟิลม์ ซึ่งในขณะนั้นเพื่อนของคุณฟิลม์อาศัยอยู่ที่หอในของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านรังสิตพร้อมกับรูมเมทของเขา ตอนแรกทุกอย่างดูปกติ ไม่มีสิ่งใดผิดแปลก จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเดือน ทั้งสองเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติในห้อง.. สิ่งแรกที่พวกเขาสังเกตคือ มีลมพัดในห้อง แต่หน้าต่างและประตูถูกปิดอยู่ และไม่ได้เปิดพัดลมหรือแอร์ จากนั้นไม่นาน พวกเขาเริ่มได้ยิน เสียงแปลกประหลาด บ้างก็เป็นเสียงเคาะโต๊ะหนังสือที่ปลายเตียง บ้างก็เป็นเสียงเก้าอี้โยกคล้ายมีใครบางคนนั่งอยู่ เมื่อเวลาผ่านไป ความผิดปกติเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น อาหารในห้องหายไป อย่างไร้สาเหตุ ทั้งที่ในห้องไม่มีหนูหรือแมลงสาบแต่อย่างใด ด้วยความสงสัย เพื่อนของคุณฟิลม์จึงลองนำคุกกี้ไปวางไว้ที่มุมห้อง ปรากฏว่าคุกกี้ที่วางไว้กลับแตกออกเอง และบางส่วนหายไปอย่างไร้ร่องรอย จนกระทั่งวันหนึ่ง มีเพื่อนอีกคนมาค้างที่ห้องด้วย และเพื่อนคนนั้นเป็นคนที่มีเซนส์สัมผัสถึงสิ่งลี้ลับได้ ก่อนจะเข้าห้อง เพื่อนคนนั้นทักว่า “ห้องนี้เจ้าที่แรงนะ” จนกระทั่งรุ่งเช้า เพื่อนคนนั้นเล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนเขาเห็นว่ามีคนนั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือปลายเตียง ทว่ามีเพียงเขาที่มองเห็น ขณะที่เพื่อนของคุณฟิลม์กลับไม่เห็นอะไรเลย หลังจากนั้น เหตุการณ์แปลก ๆ เริ่มเกิดถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ครั้งหนึ่ง ขณะที่เพื่อนของคุณฟิลม์กำลังรีดผ้า เขารู้สึกได้ถึง ลมหายใจมาเป่าที่ข้างหู ราวกับมีใครบางคนอยู่ใกล้ ๆ นั่นทำให้เขารู้สึกหวาดระแวง จิตใจเริ่มไม่อยู่กับตัว จนนอนไม่หลับ ท้ายที่สุด เพื่อนของคุณฟิลม์จึงตัดสินใจโทรปรึกษาที่บ้าน และย้ายออกไปอยู่หอนอก แม้ในตอนแรกจะเลือกหอในเพื่อลดค่าใช้จ่าย แต่ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เขาไม่สามารถทนอยู่ที่นี่ได้อีก ในช่วงเวลากลางวัน ขณะที่กำลังเก็บของอยู่นั้น เสียงหัวเราะของชายปริศนาก็ดังขึ้น! ด้วยความตกใจ เขาจึงรีบสวดมนต์ แต่สิ่งที่เขาได้ยินคือเสียงที่ตอบกลับมาว่า “กูเป็นอิสลาม กูไม่กลัว!!” แต่เสียงไม่หยุดเพียงแค่นั้น แต่กลับหัวเราะดังลั่นทั่วห้อง ราวกับพอใจที่ได้เห็นเขาหวาดกลัว เพื่อนของคุณฟิลม์จึงพยายามรีบออกจากห้องและนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาย่างก้าวเข้าไปในห้องนี้.. หลังจากนั้น ด้วยความสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้น เขาตัดสินใจสืบประวัติของหอพักแห่งนี้ จนกระทั่งพบว่า ผังของหอพักถูกสร้างขึ้นเป็นรูปยันต์ และที่น่าสะพรึงไปกว่านั้นคือ หอที่เขาอยู่เคยถูกใช้เป็นสถานที่เก็บศพในช่วงที่เกิดสึนามิ..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ตู้ในตำนานของห้องซ้อมวงโยธวาทิต ที่ถูกปิดล็อกเอาไว้อย่างดี จู่ ๆ แม่กุญแจก็แกว่งเองเสียงดัง! หัวหน้าวงจึงนั่งสมาธิเพื่อสื่อสาร แต่แล้วเขาก็ลุกขึ้นมาบีบคอคนในวงโดยที่ไม่รู้ตัว! สุดท้ายจำได้ว่าในสมาธินั้นเจอพ่อแก่มาบอกว่าไม่พอใจที่มีคนไม่เคารพเครื่องดนตรี!

04 ก.ย. 2023

ตู้ในตำนานของห้องซ้อมวงโยธวาทิต ที่ถูกปิดล็อกเอาไว้อย่างดี จู่ ๆ แม่กุญแจก็แกว่งเองเสียงดัง! หัวหน้าวงจึงนั่งสมาธิเพื่อสื่อสาร แต่แล้วเขาก็ลุกขึ้นมาบีบคอคนในวงโดยที่ไม่รู้ตัว! สุดท้ายจำได้ว่าในสมาธินั้นเจอพ่อแก่มาบอกว่าไม่พอใจที่มีคนไม่เคารพเครื่องดนตรี!

‘อังคารคลุมโปง X’ (29 สิงหาคม 2566) ที่ผ่านมา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ได้เปิดไมค์ต้อนรับ ‘คุณไอซ์’ สายจากทางบ้านที่โทรมาเล่าประสบการณ์หลอนสมัยที่ยังอยู่ในวงโยธวาทิตของโรงเรียน กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ตู้ลับในห้องวงโย’ จะชวนขนลุกขนาดไหน ตั้งสติให้ดีแล้วไปอ่านต่อกันเลย! ย้อนกลับไปช่วงมัธยม คุณไอซ์เคยเป็นเด็กวงโยธวาทิตของโรงเรียนแห่งหนึ่ง โดยปกติแล้ว วงโยฯจะต้องอยู่ซ้อมตั้งแต่บ่ายสองถึงห้าโมงเย็น ในบริเวณที่ซ้อมนั้นจะเป็นลักษณะห้อง 2 ส่วน คือห้องเล็กเป็นห้องพักครู และห้องใหญ่เป็นห้องสำหรับซ้อม ซึ่งสามารถมองทะลุหากันได้ แต่จะไม่มีหน้าต่าง เป็นห้องที่บุผนังด้วยแผงไข่ และมีตู้เหล็กไว้เก็บเครื่องดนตรี ในวันนั้นเหตุการณ์เกิดขึ้นประมาณบ่าย 3-4 โมงเย็น มีคนที่ยังอยู่ซ้อมทั้งหมดหกคน หนึ่งในนั้นเป็นพี่ผู้ชายคนนึง ซึ่งเป็นมือกลองประจำวง กำลังนั่งตีกลองชุดอยู่ ตำแหน่งของกลองชุดนั้นตั้งอยู่หน้าตู้เก็บเครื่องดนตรี ขณะที่เขากำลังตีกลองอยู่สักพัก เขาก็วิ่งกรี๊ดออกมา! และตะโกนโวยวายหาหัวหน้าวง ซึ่งเป็นคนที่ค่อนข้างมีเซนส์ว่า “พี่ที พี่ที พี่ ผมเห็นอะไรไม่รู้ วาร์ปออกมาตรงตู้ ผมเห็นจริง ๆนะ ” แต่ทุกคนก็บอกกลับไปว่า “ คิดมาก มันเป็นห้องปิด มีแค่ไฟหลอด เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะมีอะไร” ในจังหวะที่เถียงกันอยู่นั้น สายตาคุณไอซ์ก็เหลือบไปเห็นตู้หนึ่ง มันเป็นตู้ที่เคยมีตำนานว่าเคยมีคนเจอบางสิ่งบางอย่างกันบ่อย ตรงนั้นเป็นตู้ที่ล็อกแม่กุญแจ แต่จู่ ๆ แม่กุญแจนั้นมันก็แกว่งและมีเสียงขึ้นดัง “แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก” ตีกับตู้เหล็กโดยไม่มีเหตุผล! แล้วพี่มือกลองที่วิ่งออกมา เขาก็ตะโกนออกมาอีกครั้ง “เห้ยพี่! เห้ยเนี่ย เห้ยทำไมแม่กุญแจมันแกว่งแบบนั้นอะ เห้ย! ” พอเขาพูดขึ้นมา แม่กุญแจก็แกว่งแรงขึ้นอีก แรงขึ้นเรื่อย ๆ คุณไอซ์และเพื่อนผู้หญิงก็รีบวิ่งลงมาก่อน เพื่อนผู้ชายตัดสินใจเข้าไปรอที่ห้องพักครู ส่วนพี่ทีจะเข้าไปดูเพียงคนเดียวว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ที่ห้องซ้อม จังหวะที่พี่ทีเข้าไปในห้อง เขานั่งลงทำสมาธิ เหมือนพยายามที่จะสื่อ และพูดคุยว่าเกิดอะไรขึ้น ตรงนี้มีใคร ต้องการจะทำอะไรถึงได้มีน้องเห็นเป็นแสงวาร์ปออกมา และแม่กุญแจแกว่งได้ยังไงทั้ง ๆ ที่เป็นห้องปิด และไม่มีลมเลย... สักพักพี่ทีก็เดินออกมาจากห้องซ้อมใหญ่ และเดินตรงมาบีบคอเพื่อนผู้ชาย ที่ยืนรออยู่ที่ห้องพักครู เพื่อนที่ถูกบีบคอเริ่มทนไม่ไหวจึงพูดขึ้นมาว่า “ถ้าพี่ไม่ปล่อยผม ผมจะต่อยหน้าพี่จริง ๆนะ!” แล้วเพื่อนก็ต่อยเข้าที่หน้าด้านขวาจริง ๆ พี่ทีก็ล้มลงไป จากนั้นเพื่อนคนที่ถูกบีบคอก็รีบวิ่งหนีออกและกลับบ้านทันที หลังจากนั้น พอพี่ทีรู้สึกตัว เขาก็เล่าว่าตอนที่นั่งสมาธิ เขาเห็นว่ามีพ่อแก่ที่เป็นครูมาบอกว่า “ทำไมมีคนเอาขลุ่ยเพียงออ ไปเช็ดกระโปรงแบบนั้น” เขาเลยมาแสดงให้เห็นว่าเขาไม่พอใจ ให้ไปทำพิธีขอขมาเครื่องดนตรีก่อน ใครที่อยู่สายดนตรีไทยอยู่แล้ว เขาจะถือกันว่าห้ามทำพฤติกรรมที่แสดงถึงการไม่เคารพเครื่องดนตรี เพราะของทุกชิ้นมีครูดูแล..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

อยู่ในช่วงดวงตก ปัญหาหลายอย่างรุมเร้า จับพลัดจับพลูได้มาอยู่อะพาร์ตเมนต์ กะจะหนีร้อนมาพึ่งเย็น แต่ดันทำให้สัมผัสที่ 6 เปิดขึ้นแบบเต็มคาราเบล เพราะห้องที่อยู่นั้นเต็มไปด้วยผีมาตามก่อกวน!

19 พ.ค. 2023

อยู่ในช่วงดวงตก ปัญหาหลายอย่างรุมเร้า จับพลัดจับพลูได้มาอยู่อะพาร์ตเมนต์ กะจะหนีร้อนมาพึ่งเย็น แต่ดันทำให้สัมผัสที่ 6 เปิดขึ้นแบบเต็มคาราเบล เพราะห้องที่อยู่นั้นเต็มไปด้วยผีมาตามก่อกวน!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (9 พฤษภาคม 2566) ได้มีสายจาก ‘คุณอ้อ’ โทรมาเล่าเรื่องของตัวเองที่ดวงตกจนเจอดี ให้กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ ฟัง เรื่องราวจะหลอนสักแค่ไหน ไปติดตามกันได้เลย! คุณอ้อเล่าว่า เรื่องในครั้งนี้เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ตอนนั้นอายุประมาณ 37 ปี และมีแพลนจะแต่งงาน แต่คงเป็นช่วงที่ดวงตัวเองตก เพราะมีเหตุการณ์แย่ ๆ เกิดขึ้นหลายอย่าง ทั้งเลิกกับแฟน สูญเสียบ้านและรถ ไปพร้อมกัน เหลือก็แต่ชีวิตของตัวคุณอ้อเอง และการดวงตกในครั้งนี้ ทำให้เกิดผลกระทบกับตัวคุณอ้ออีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือคุณอ้อมีสัมผัสที่ 6 ทำให้เห็นผีได้ เมื่อออกมาจากบ้านแฟน ก็มาอยู่อะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ สิ่งที่เจอในสัปดาห์แรกคือผีผู้หญิงวัยกลางคนมาหลอกด้วยสภาพหน้าเละครึ่งร่าง ทำให้คุณอ้อนอนไม่ได้ ต้องเปิดไฟและทีวีทิ้งไว้ทั้งคืน คุณอ้อทนไม่ไหวจึงบอกกับผีตนนั้นไปว่า “คุณคะ หนูหนีร้อนมาพึ่งเย็นนะ หนูขอมาอยู่ร่วมกับคุณนะคะ แล้วพรุ่งนี้หนูไปทำบุญให้” พอตื่นเช้ามาสิ่งที่เกิดขึ้นคืออาการปวดไหล่ที่ทรมานมาก ๆ คุณอ้อจึงคิดว่าเดี๋ยวพอทำบุญเสร็จจะไปนอนนวดตัว และเมื่อถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลเรียบร้อย ปรากฏว่าอาการปวดเมื่อยไหล่ก็หายเป็นปลิดทิ้ง คุณอ้อถึงกับตะลึงในใจอยู่สักพักเพราะเคยเห็นแต่ในทีวีหรือฟังเรื่องเล่าจากคนอื่นไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเองแบบนี้ หลังจากเจอเคสแรกแบบสยองขวัญไป คุณอ้อก็บอกกับผีในห้องนั้นว่า “ฉันขอไม่เห็นนะ เพราะฉันไม่ไหวจริง ๆ ถ้าคุณมาเละ มาแบบน่ากลัว ฉันจะแช่งให้คุณถึงที่สุดเอาให้ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด” จนกระทั่งผ่านไป 3 – 4 วัน คุณอ้อก็เจอผีอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นผีผู้หญิงวัยกลางคนที่มาในสภาพสวยดูดี ใส่เสื้อคอบัวสีชมพู ตามที่คุณอ้อได้บอกไว้ว่าขอเจอในสภาพดี แต่คุณอ้อก็คิดในใจว่าเขาจะเอาอะไรอีกนะ เพราะทำบุญให้ไปแล้ว หลังจากนั้นก็ตัดสินใจไปทำบุญให้อีกครั้ง ต่อมาก็ได้เจอผีอีกตนหนึ่ง แถมมาแบบพีคและหลอนที่สุดอีกด้วย! เพราะทุกครั้งที่นอนหงาย คุณอ้อมักจะโดนผีตนนี้อำทำให้หายใจไม่ออก คุณอ้อจึงกลัวการนอนหงายมาก และเปลี่ยนมานอนตะแคงแทน ในครั้งนี้คุณอ้อก็ยังคงเจอเช่นเคยแถมยังเป็นคืนวันโกน ทำให้เห็นชัดเลยทั้งร่าง! ผีตนนั้นเดินมาที่ปลายเตียงก่อนจะเดินเข้ามาข้าง ๆ และจับไหล่ จับคอคุณอ้อแล้วบอกว่า “นอนหงายสิ นอนหงายสิ!” ตอนนั้นคุณอ้ออยากย้ายออกจากอะพาร์ตเมนต์นี้มาก แต่ได้ซื้อบ้านไว้แล้ว และต้องรอให้ครบเก้าเดือนก่อนถึงจะย้ายเข้าไปอยู่ได้ ทำให้ตอนนั้นที่พึ่งเดียวที่มีคือหมอดู และหมอดูก็ทักมาขึ้นมาว่า “ห้องอื่นมีเยอะแยะไม่อยู่เนาะ มาอยู่ชั้นห้า เปิดลิฟต์ออกมาเลี้ยวซ้ายมืดทั้งชั้น แถมเข้าห้องไปมีแต่ผีเต็มไปหมด” คุณอ้อคิดในใจ “แม่นมาก รู้ได้ยังไง” และหมอดูก็แนะนำวิธีแก้ปัญหาโดยให้จุดธูปบอกเขา ว่าเราหนีร้อนมาเพิ่งเย็นขออยู่แบบประนีประนอม ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันนะ และต้องใส่ประคำของพระอาจารย์นอนตลอดด้วย ไม่งั้นมันนอนไม่ได้ ต่อมาคนที่ทำให้คุณอ้อมั่นใจมาก ว่าสิ่งที่เจอมันมีจริง ก็คือเพื่อนของคุณอ้อที่มาเที่ยวห้อง คุณอ้อบอกว่า “ห้องเรามีแบบนี้นะ ถ้าเธอจะนอนให้ใส่ประคำนอน” แต่ตอนนั้นเพื่อนของคุณอ้อพาแฟนมานอนด้วยในตอนที่คุณอ้อไม่อยู่ห้อง ด้วยความที่เพื่อนคนนั้นเป็นคนดวงแข็งจึงไม่เจออะไร แต่แฟนของเพื่อนฝันว่ามีคนมาเคาะห้องเสียงดัง ปังปังปัง! พอไปส่องดูที่ตาแมว ก็เห็นว่าเป็นผู้ชายผมประบ่า เปลือยท่อนบน ใส่กางเกงขาก๊วย ซึ่งเป็นลักษณะแบบเดียวกันที่คุณอ้อเองก็เคยเจอ หลังจากนั้นแฟนของเพื่อนก็เจอผีตนนั้นอีก แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้มาในฝัน เขามาแบบเสียงไล่ดังอยู่ข้างหูว่า “ชิ่ว ออกไป ออกไป!!“ สุดท้ายก็อยู่ไม่ได้จึงพากันกลับ เมื่อผ่านไปจนครบเก้าเดือน ก็ถึงเวลาที่คุณอ้อต้องย้ายออกจากที่แห่งนี้ แต่ก่อนจะย้ายก็เกิดความสงสัยว่า ในห้องนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงมีผีเยอะขนาดนี้ จึงไปถามคุณป้าที่อยู่ร้านขายของข้างล่างตึกว่า “คุณป้าหนูถามหน่อย ที่นี่มันมีอะไรแปลก ๆ มั้ย” ป้าก็ตอบมาว่า “อ้อมี บางวันนะ เห็นคนเดินเข้ามาเป็นผู้หญิงวัยกลางคน บางวันก็เป็นผู้หญิงแบบสาวสวยหน่อยใส่เสื้อชมพูคอบัว บางวันก็เป็นผู้ชายผมประบ่าใส่กางเกงขาก๊วย ซึ่งป้าก็ยืนยันว่าไม่ใช่คนที่พักอะพาร์ตเมนต์ นี้แน่นอน ซึ่งเดิมทีอะพาร์ตเมนต์นี้เคยมีต้นโพธิ์ต้นใหญ่ที่คนมักจะเอาศาลเก่ามาทิ้ง แล้วเอาผ้าหลากสีมาผูกไว้ แต่เจ้าของที่ตรงนี้เป็นคนนับถือศาสนาคริสต์ ทำให้ตอนสร้างอะพาร์ตเมนต์ต้องตัดต้นโพธิ์ออก และไม่ได้ตั้งศาลพระภูมิใหม่ไว้ เหมือนกับว่าไปรื้อบ้านเขาออก แล้วเขาไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนเลยพากันไปอยู่ในห้องของอะพาร์ตเมนต์นี้แทน” หลังเล่าจบก็เลยย้อนถามคุณอ้อก็มาว่า “ทำไมหรอหนู หนูเจอหรอ” คุณอ้อพยักหน้าบอกว่า “ใช่ เจอครบตามที่ป้าบอกเลย” นอกจากนี้ คุณอ้อเคยมีเคสที่หนักกว่าตอนที่อยู่ในอะพาร์ตเมนต์นี้ คือการโดนผีเข้า ด้วยความที่คุณอ้อได้ไปเจอคนนู้นคนนี้มา และในบ้านของคนนั้นมีคนตายไป แต่วิญญาณสื่อสารกับใครไม่ได้ พอได้มาเจอคุณอ้อที่อยู่ในช่วงดวงตก จึงเข้าสิงร่างแทน ซึ่งคุณอ้อเล่าว่ารู้สึกตัวว่ามีคนมาอยู่ด้วยกัน แต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ภาพที่คนอื่นเห็นตอนนั้นคือ คุณอ้อร้องไห้พลั่งพรูเล่าหลายสิ่งหลายอย่างที่วิญญาณตนนั้นต้องการออกมา และเมื่อจบเหตุการณ์นั้น ทำให้คุณอ้อรู้สึกไม่ดี และเราคิดว่ามันไม่ควรจะมาเกาะติดกับตัวขนาดนี้ ที่สำคัญเลยคือทำให้สุขภาพคุณอ้อแย่ลงไปด้วย ป่วยง่ายขึ้น หรือแม้แต่ป่วยไม่รู้สาเหตุ และหลังจากเหตุการณ์เหล่านั้น คุณอ้อก็กลายเป็นคนที่มีสัมผัสที่ 6 แรงขึ้น ต้องปรับตัวให้อยู่กับสิ่งเหล่านั้นให้ได้ พร้อมกับหันมาพึ่งในเรื่องของการสวดมนต์นั่งสมาธิ เพราะไม่อยากเจอเหมือนเคสที่ผ่าน ๆ มา พร้อมกับบอกข้อคิดแก่คนที่ได้ฟังเรื่องราวของตนว่า “สัมผัสที่ 6 นี้เราไม่สามารถปฏิเสธมันได้ แต่เราเลือกที่จะอยู่ร่วมกับมันได้ และสามารถเป็นประโยชน์ให้กับคนอื่นได้ โดยที่ต้องไม่กระทบเรา” (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากพี่ยม เเท็กซี่ผี ‘ผู้โดยสารขากลับ’ l อังคารคลุมโปง X โดนัท Howtozghost [25 มี.ค. 2568 ]

03 เม.ย. 2025

เรื่องเล่าจากพี่ยม เเท็กซี่ผี ‘ผู้โดยสารขากลับ’ l อังคารคลุมโปง X โดนัท Howtozghost [25 มี.ค. 2568 ]

ขับแท็กซี่มา 40 ปี ฟังเรื่องเล่าผีมาก็เยอะ แต่ใครจะคิดว่าในวันที่ตั้งใจจะขับรถกลับบ้าน จะได้เจอดีเข้าก่อน! เรื่องราวสุดหลอนนี้จะเป็นอย่างไร? ติดตามได้กับเรื่องที่มีชื่อว่า “ผู้โดยสารขากลับ” จาก “คุณยม” ในรายการ “อังคารคลุมโปง X” (25 มีนาคม 2568) พร้อมด้วย “ดีเจแนน”, “ดีเจเจ็ม” และ “ดีเจมดดำ” “คุณยม” ได้นำเรื่อง “ผู้โดยสารขากลับ” มาเล่า โดยคุณยมได้เล่าว่า.. คุณยมได้ขับรถแท็กซี่มา 40 ปี รับงานผ่านแอปพลิเคชัน ด้านหน้าคอนโซลรถ จะติดสติกเกอร์รายการผีไว้หลายรายการ ผู้โดยสารมักจะทักว่า “พี่ เป็นเอฟซีรายการนี้หรอ” คุณยมจะบอกว่า “ใช่” และบอกไปว่าเป็นนักเล่า นอกจากนี้ คุณยมก็มักจะหาเรื่องเล่าแปลก ๆ ใหม่ ๆ จากผู้โดยสารฟังเสมอ ในตอนนี้คุณยมขับรถในช่วงเวลากลางวันได้ 2 ปีแล้ว และในวันที่เกิดเหตุ คุณยมไม่สามารถขับรถในช่วงเวลากลางวันได้เพราะอากาศที่ร้อน พอถึงช่วงบ่ายก็จะกลับเข้าบ้าน แล้วมาขับอีกครั้งตอนประมาณ 1 ทุ่ม จนถึง ตี 1 ใน วันเกิดเหตุนั้น คุณยมก็รับผู้โดยสารตามปกติ จุดหมายคือ จากสีลมไปส่งที่ซอยแบริ่ง และผู้โดยสารคนนี้ก็มีเรื่องเล่าให้คุณยมฟัง คุณยมก็ฟังเรื่องเล่านั้น แต่ไม่ได้มีท่าทีสนใจอะไร หลังจากที่ออกมาจากซอยแบริ่งจะเจอกับทางแยก ทางซ้ายจะไปสำโรง ส่วนขวาจะไปทางบางนาแล้วจะไปโผล่เส้นสุขุมวิท และจากประสบการณ์ที่คุณยมได้ขับรถมาตลอด ถ้าวิ่งไปเส้นพระโขนง-อ่อนนุช มักจะไม่มีผู้โดยสาร ณ ตอนนั้นก็เป็นเวลา 5 ทุ่มแล้ว คุณยมจึงตัดสินใจขับรถไปทางสำโรง เพื่อเข้าถนนปู่เจ้าสมิงพรายเพื่อจะกลับบ้าน แต่สายตาคุณยมก็มองข้างทางไปเรื่อย ๆ และเปิดแอปพลิเคชันรับงาน ในใจของคุณยมตอนนั้นก็ถอดใจแล้ว หากไม่มีผู้โดยสาร ก็จะขับรถกลับบ้านทันที คุณยมขับรถตรงไปเรื่อย ๆ จนเข้าเส้นถนนปู่เจ้าสมิงพาย และเส้นทางนี้จะมีสะพานข้ามคลองสูง อยู่สะพานเดียว เมื่อคุณยมขับรถลงจากสะพาน ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ใส่เสื้อแจ็คเก็ตสีเขียวรูดซิบจนถึงคอ คล้ายกับบริษัทขนส่งแห่งหนึ่ง ผมสั้นประมาณไหล่ ยืนโบกรถอยู่ และเพราะละแวกนั้นไม่ได้มืด และมีธนาคารตั้งอยู่ ทำให้ยังมีไฟสว่างอยู่บริเวณนั้น คุณยมจึงเปิดไฟเลี้ยวแล้วเข้าไปจอด จังหวะที่เลี้ยวเข้าไปจอด ผู้หญิงคนนั้นก็เดินมาทางหน้ารถของคุณยม เพื่อจะบอกจุดหมายที่จะไป และยังไม่ทันได้เปิดประตู ผู้หญิงคนนั้นก็ชะงัก แล้วถอยหลังกลับไป ในจังหวะเดียวกันนั้นก็มีเสียงประตูเปิดและปิดจากทางประตูหลังที่นั่งของผู้โดยสาร คุณยมจึงมองไปที่กระจกมองหลัง ว่าใครขึ้นมา แต่ก็ยังไม่ทันจะได้มอง ก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นมาว่า “ปะ ข้ามสะพานภูมิพล” ณ ตอนนั้นคุณยมก็รู้สึกดีใจ เพราะเป็นทิศทางเดียวกัน เมื่อลงจากสะพานภูมิพลก็จะสามารถกลับบ้านได้สะดวก และระยะทางจากจุดที่รับกับจุดหมายก็ห่างเพียงแค่ 1 กิโลกว่า แต่ระหว่างนั้นคุณยมก็รู้สึกขนลุกบริเวณแขนด้านซ้ายก่อน และขนแขนด้านขวาก็ลุกตาม ซึ่งความรู้สึกแรกที่คุณยมได้รับรู้คือ เหมือนมีคนกำลังจ้องอยู่ตลอดเวลาระหว่างขับรถ คุณยมจึงเหลือบตาไปมองกระจกหลัง พอมองไปก็เห็นว่าเป็นดวงตาสีดำสนิท มีขนาดใหญ่ และจ้องมาที่กระจกมองหลัง คุณยมรู้สึกตกใจจึงหลบตา และคิดว่า ‘ตาของผู้โดยสารแปลกจัง’ และจังหวะที่โค้งขึ้นสะพาน คุณยมก็จึงเร่งความเร็วขึ้น โดยปกติผู้โดยสารมักจะเอียงตัวตามแรงโค้ง แต่เมื่อคุณยมมองที่กระจกหลังอีกครั้ง ผู้โดยสารคนนี้ก็นั่งจ้องมาที่กระจกหลังอยู่แล้ว สายตาที่ต้องมาเป็นสายตาดุ ๆ คุณยมจึงตกใจอีกครั้งว่า ‘มองทำไม’ และคุณยมหันมองผู้โดยสารคนนี้ถึง 3 ครั้ง ซึ่งโดยปกติแล้วคุณยมจะไม่มองผู้โดยสารแบบนี้ แต่เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้คุณยมอดที่จะมองไม่ได้ และเมื่อขึ้นสะพานมาจนถึงทางตรง ก็จะเจอกับทางแยก ทางลงด้านซ้ายจะไปพระประแดง ด้านขวาจะไปพระราม 3 คุณยมจึงถามผู้โดยสารว่าจะไปทางด้านซ้ายหรือขวา แต่ก็ไม่เสียงตอบกลับ คุณยมจึงถามย้ำอีกครั้ง “คุณจะให้ผมเลี้ยวไปทางไหนครับ ไปทางพระราม 3 หรือ พระประแดงครับ” และเสียงที่ตอบกลับมาก็เป็นเสียงของผู้หญิงที่สั่นเครือ “พระราม 3” ทำให้คุณยมต้องหันกลับไปดูที่กระจกมองหลังอีกครั้ง สิ่งที่พบคือ เปลือกตาโพลนออกมาเป็นสีดำสนิท ใบหน้าก็เห็นเป็นสีดำ คุณยมจึงคิดอยากจะปรับกระจกมองหลังให้ต่ำลงเพื่อจะได้เห็นชัดขึ้น แต่ในใจก็ไม่กล้า จึงขับรถไปตามที่ผู้โดยสารบอก และจะกลับบ้านทันที ในจังหวะที่ขับตรงมาทางพระราม 3 ทางข้างหน้าจะเป็น 3 แยก คุณยมจึงถามผู้โดยสารอีกว่า “จะให้ผมเลี้ยวซ้ายหรือขวา หรือจะเข้าซอยธนูรักษ์ครับ” แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา คุณยมจึงถามซ้ำอีกครั้ง “จะเลี้ยวซ้ายหรือขวา หรือเข้าซอยธนูรักษ์ครับ ผมจะได้ไปส่งคุณได้ถูก” แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบกลับมาแม้แต่นิดเดียว และในตอนนั้นแขนของคุณยมก็เริ่มมีอาการขนลุก ขาเริ่มชา คุณยมจึงปล่อยรถให้ไหลลงไปตามทาง และคิดในใจว่า ‘หรือเราจะเจออีกแล้ว’ หลังจากที่ลงสะพานมา คุณยมจึงพยายามเอารถจอดข้างทางก่อนถึงซอยธนูรักษ์ และลงจากรถด้วยขาที่เริ่มไม่มีแรง เพื่อจะไปเปิดประตูด้านหลังดูว่ามีผู้โดยสารอยู่หรือเปล่า และเมื่อเปิดประตูด้านหลังทางขวา ก็ไม่พบใครนั่งอยู่ คุณยมจึงได้รู้ทันทีว่าตัวเองนั้นเจอดีเข้าอีกแล้ว จากนั้นก็เลือกเดินไปเปิดประตูข้างทางด้านซ้ายเพื่อเชิญเขาลง และบอกไปว่า “วันนี้พี่คงไม่ได้ตังแล้ว พี่จะกลับบ้านเลย พี่ส่งน้องได้แค่นี้ ต่างคนต่างไปแล้วกัน ถ้ามีโอกาสหน้าเราคงจะได้เจอกันอีก“ หลังจากนั้นคุณยมก็มานั่งลงที่ฟุตบาท แล้วก้มศรีษะลงนึกย้อนถึงเหตุการณ์ที่เจอ และคิดว่าน้องคนแรกที่ชะงักก่อนที่จะได้ขึ้นรถ คงเห็นอะไรบางอย่าง และนั้นยิ่งทำให้คุณยมมั่นใจว่า สิ่งที่ตัวเองเห็นมาตลอดทางนั้น ไม่ได้ตาฝาดไป ยิ่งไปกว่านั่นดวงตาที่ได้มองไป เป็นดวงตาที่คุณยมจะจดจำและฝั่งอยู่ในใจไปอีกนาน(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1