อังคารคลุมโปง RECAP

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณของขวัญ 'เจ้าของที่' I อังคารคลุมโปง X บอย ธิติพร [ 27 ส.ค. 2567]

31 ส.ค. 2024

    เรื่องราวนี้ ’คุณของขวัญ’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘เจ้าที่’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย!

    โดยคุณของขวัญเล่าว่า ย้อนกลับไปตอนม.ปลาย อายุ 17-18 ปี เนื่องจากพ่อ-แม่อย่าร้างกัน บ้านอยู่นอกตัวเมือง จึงย้ายมาอยู่กับคุณพ่อในตัวเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นหมู่บ้าน ตัวบ้านเป็นบ้านมือสองที่ซื้อมารีโนเวทใหม่ ชั้นแรกจะเป็นกึ่งปูนกึ่งไม้ ส่วนชั้นที่สองจะเป็นไม้ ห้องนอนของตนอยู่ชั้นที่สองห้องติดกับถนน เมื่องมองออกไปก็จะเห็นกิ่งไม้ ต้นไม้ เป็นเงาอยู่ตลอด ส่วนคุณพ่อนั้นแต่งงานใหม่ ครอบครัวใหม่จึงย้ายเข้ามาอยู่ด้วย ตนจึงเหมือนเป็นผู้อยู่อาศัย และไม่ค่อยได้คลุกคลีกับครอบครัว พอกลับมาจากโรงเรียน กินข้าวเสร็จ ก็ขึ้นมาอยู่ห้องนอน บางครั้งพ่อก็ไม่ได้อยู่บ้านตลอด ต้องออกไปธุระ คุณของขวัญก็จะอยู่บ้านคนเดียวเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีความรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่คนเดียว เพราะบางครั้งก็ได้ยินเดิน เสียงแปลก ๆ ทำให้รู้สึกว่าไม่น่าใช่เสียงไม้ลั่น มันมีความรู้สึกแบบนี้บ่อยครั้ง จนกระทั่งคืนหนึ่ง..

    คืนนั้น ตนจำได้ว่าน่าจะนอนไปแล้ว ไม่ได้ดูเวลาว่าดึกขนาดไหน จากเตียงนอนขวามือเป็นหน้าต่างที่จะเห็นกิ่งไม้และต้นไม้ ตอนที่นอนหันหลังให้หน้าต่างอยู่นั้นก็สะดุ้งตื่นเหมือนมีคนมอง ในใจก็คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรมองมาจากหน้าต่างได้ เพราะอยู่ชั้นสอง คุณของขวัญก็พยายามไม่มอง เพราะกลัวว่าจะเจออะไร แต่สุดท้ายก็ต้องหันไปมองว่าคืออะไร ปรากฎว่าเป็นเงาผู้ชาย ไม่รู้ว่ารูปร่างหน้าตาเป็นยังไง เขามองตนอยู่! ตอนนั้นคิดในใจว่า คงเป็นกิ่งไม้ ต้นไม้ แต่อีกใจก็ตั้งคำถามว่า ‘ทำไมไม่เห็นมีเงากิ่งไม้อะไรเลย มีแต่เงาคน’ คุณของขวัญรู้สึกตกใจและพยายามข่มตา ไม่แน่ใจว่าหลับหรือตื่น คล้ายฝันซ้อนฝัน พอพลิกตะแคงตัวไปข้างไหนก็จะเจอเขาตรงนั้นแบบนั้นเรื่อย ๆ จนเผลอหลับไป

    เรื่องนี้คุณของขวัญไม่ได้ปรึกษาคุณพ่อ เพราะไม่แน่ใจว่ากึ่งหลับกึ่งตื่นหรือเห็นจริง ๆ จึงเก็บเรื่องนี้เอาไว้ จนมีอยู่คืนหนึ่งที่คิดว่าน่าจะใช่ที่สุดคือ กลางดึกคืนนั้น คุณของขวัญจำได้ว่า ที่นอนเป็นฟูก สูงจากพื้น 5-10 เซนติเมตร ท่านอนคือแขนซ้ายยื่นออกไปนอกที่นอนที่เป็นพื้นไม้ หันหลังให้หน้าต่าง ได้ยินเสียงเคาะประตู ก๊อก ก๊อก ก๊อก คิดว่าคงเป็นคุณพ่อ ไม่ก็น้องสาวต่างแม่มาเคาะประตู เพราะล็อคประตูเอาไว้ คุณของขวัญจึงถามออกไปว่า

    ”มีอะไร ดึกดื่นแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า“

    แล้วเขาก็เปิดประตูเข้ามา คุณของขวัญก็ตกใจเพราะตนมั่นใจว่าล็อคประตูแต่เปิดเข้ามาได้อย่างไร ตนก็ค่อย ๆ มองจากเท้าไล่ขึ้นมาขา ตัว และหัว ถึงแม้จะมืด แต่ก็มีไฟกิ่งจากด้านนอกเข้ามา เห็นได้ว่า ผอมติดกระดูก ผิวแทน ค่อย ๆ เดินเข้ามาหาที่ปลายมือที่ยื่นออกไปนอกที่นอน ไม่แน่ใจว่าใส่กางเกงหรือไม่ แต่ใส่เสื้อขาวตัวโคร่งใหญ่ เขาค่อย ๆ นั่งยอง ๆ ลงมา จังหวะนั้น เห็นเป็นหัวกะโหลกแบบหนังหุ้มกะโหลก หลังจากนั้นเขาก็จับมือของคุณของขวัญขึ้นมา แล้วก็เอาเข้าปากของเขา! คุณของขวัญตกใจว่าเขาทำแบบนี้ทำไม ด้วยความตกใจจึงสะบัดตัว เหมือนจะหลุดจากภวังค์ มือก็หล่นลงพื้น แล้วก็รีบวิ่งออกไป แต่จังหวะนั้น ประตูเปิดอยู่จริง ๆ พอลงมาชั้นที่หนึ่ง ก็วิ่งเข้าไปกอดพ่อที่นอนอยู่กลางบ้าน แล้วก็นอนกับพ่อคืนนั้น

    พอเช้ามาก็เล่าให้พ่อฟัง พ่อก็บอกว่า บ้านหลังนี้ซื้อต่อมาจากญาติ ไม่มีอะไรน่ากลัว แต่มีญาติที่เสียชีวิตในบ้านนี้ ไม่ได้เกิดจากการฆ่าตัวตาย เสียจากโรคมะเร็ง เขาแค่เป็นคนรักบ้าน

    หลังจากคืนนั้น คุณของขวัญจะไหว้เจ้าที่ ศาลพระภูมิ ไหว้เหมือนผู้ใหญ่ในบ้านคนหนึ่ง เวลาจะไปไหน หรือเวลากลับมาบ้าน ก็จะไหว้แล้วบอกว่า ”หนูไปโรงเรียนแล้วนะคะ / หนูกลับมาจากโรงเรียนแล้วนะคะ”

    หลังจากที่ไหว้ แนะนำตัวกับศาลพระภูมิ เจ้าที่ ก็ไม่เจออีกเลย..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

‘ป๋าแจ็ค’ พาทีมทำภารกิจ ระหว่างทางเจอคนเตือนให้เปลี่ยนเส้นทาง แต่เจ้าตัวไม่เปลี่ยนใจ เมื่อเดินลึกไป ก็พบชาวบ้านหน้าขาวซีดออกมาต้อนรับ ป๋าแจ็คแข็งใจนำทีมเดินต่อจนจบภารกิจ หลังจากนั้นก็รู้ความจริงว่า มีหมู่บ้านนั้นจริง แต่ไม่มีใครอาศัยอยู่มานานแล้ว!

06 มิ.ย. 2023

‘ป๋าแจ็ค’ พาทีมทำภารกิจ ระหว่างทางเจอคนเตือนให้เปลี่ยนเส้นทาง แต่เจ้าตัวไม่เปลี่ยนใจ เมื่อเดินลึกไป ก็พบชาวบ้านหน้าขาวซีดออกมาต้อนรับ ป๋าแจ็คแข็งใจนำทีมเดินต่อจนจบภารกิจ หลังจากนั้นก็รู้ความจริงว่า มีหมู่บ้านนั้นจริง แต่ไม่มีใครอาศัยอยู่มานานแล้ว!

คุณ ‘แจ็ค The Ghost Radio’ มาเยือนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (30 พฤษภาคม 2566) พร้อมกับเรื่องเล่าชวนขนหัวลุกตามเคย ครั้งนี้พี่แจ็คได้เตรียมเรื่องเล่าชวนพิศวงของหน่วยรบพิเศษขณะปฏิบัติภารกิจท่ามกลางป่าลึกมาเล่าให้ ‘ดีเจแนน’ และ 'ดีเจเจม' ได้ฟังกัน เรื่องนี้มีชื่อว่า “หมู่บ้านร้างซากไร่” ไปติดตามกันได้เลย! เรื่องนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อ 30 ปีก่อน ‘ป๋าแจ็ค’ ซึ่งในขณะนั้นเป็นหัวหน้าหน่วยรบพิเศษ ได้รับมอบหมายจากครูฝึกให้นำทีมของตนไปสอบปฏิบัติภาคกลางคืน โดยพวกเขาต้องเดินทางไกลจากจุด A ไปจุด B ตามที่ครูฝึกกำหนดไว้ก่อนรุ่งสาง โดยจะมีครูฝึกแอบซุ่มอยู่ตามจุดต่าง ๆ และมีกฎสำคัญหนึ่งข้อคือ ห้ามถูกครูฝึกจับได้! ขณะที่กองกำลังของป๋าแจ็ค (มีอยู่กันประมาณ 7-8 คน) เดินแถวตอนเรียงหนึ่งไปตาม เส้นทางอย่างเงียบเชียบ พวกเขาก็เจอกับกระท่อมหลังหนึ่งตั้งอยู่ เมื่อส่งลูกน้องไปตรวจสอบ จนแน่ใจแล้วว่ากระท่อมหลังนี้ไม่ใช่ศูนย์บัญชาการ หรือเป็นครูฝึกปลอมตัวมาเป็นชาวบ้าน ป๋าแจ็คจึง เดินเข้าไปพูดคุยกับชาวบ้านที่กระท่อมเพื่อถามทาง ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตรงนี้มีผู้ชาย 2 คนและผู้หญิง 1 คน กำลังนั่งพักผ่อน ต้มเหล้ากินกันอยู่ เมื่อป๋าแจ็คเล่าเรื่องราวการทำภารกิจของตนให้ชาวบ้านฟัง คุณลุงคนหนึ่งถึงขั้นอุทานออกมาด้วยความตกใจ “โอ้! จะไปทางนั้นเลยหรอ ไปทางอื่นไหม?” ขณะที่ชาวบ้านอีก 2 คนก็แอบซุบซิบกันเป็นภาษาที่ป๋าแจ็คฟังไม่รู้เรื่อง ป๋าแจ็คยังคงยืนยันที่จะเดินทางตามเส้นทางเดิมที่ครูฝึกกำหนดเอาไว้ เพราะเป็นทางที่เร็วที่สุด แม้ชาวบ้านจะแนะว่าให้หาเครื่องรางของขลังพกติดตัวไปด้วย แต่หัวหน้าหน่วยรบพิเศษก็ตอบชาวบ้านไปว่าตนไม่เคยกลัวหรือเชื่อเรื่องผีสางใด ๆ และแล้ว...นายทหารทั้งหลายจึงจำใจออกเดินทางไปตามเส้นทางเดิม โดยปราศจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ มาช่วยคุ้มกัน เหล่าทหารจากกองกำลังนี้ต้องลัดเลาะไปตามป่าไม้อย่างยากลำบาก เพราะต้องช่วยกันค่อย ๆ ตัดกิ่งไม้ที่ขวางทางอย่างเบามือ เพื่อไม่ให้มีเสียงใดดังไปถึงหูครูฝึก เมื่อไปได้ครึ่งทาง ป๋าแจ็คก็สังเกตเห็นแสงไฟที่อยู่ข้างหน้า คล้ายแสงไฟจากบ้านเรือนที่มีคนอาศัยอยู่ แต่ก็ต้องส่งลูกน้องไปตรวจสอบว่าเป็นครูฝึกแอบซุ่มอยู่รึเปล่า ผ่านไปประมาณ 10 นาที ลูกน้องก็กลับมาพร้อมกับบอกว่านั่นคือชาวบ้านจริง ๆ ป๋าแจ็คจึงนำทีมเพื่อที่จะย่องผ่านหมู่บ้านนี้ให้เงียบมากที่สุด เมื่อเดินมาจนสุดแนวป่าใกล้หมู่บ้าน ก็เห็นว่ารอบ ๆ นั้นมีไร่นาโล่ง ๆ เหมือนไม่เคยทำการเกษตรมานาน จากนั้นก็เห็นเป็นถนนที่แทบจะไม่มีร่องรอยการใช้งาน ไม่มีรอยขี้วัว (ชาวบ้านแถบนี้มักจะเลี้ยงวัวไว้เพื่อใช้ในการเกษตร) แถมยังมีต้นไม้รกร้างที่โค้งงุ้มจนกลายเป็นอุโมงค์ต้นไม้เลยทีเดียว แต่ป๋าแจ็คและทีมก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ แล้วเดินต่อไปเพื่อให้ภารกิจเสร็จสิ้น เมื่อเข้ามาถึงเขตหมู่บ้าน บ้านหลังแรกที่เจอเป็นบ้านลักษณะยกสูงมีใต้ถุนโล่งด้านบนเป็นหญิงชายคู่หนึ่งกำลังถือตะเกียงอยู่ พร้อมหมาอีกหนึ่งตัว ทั้งสามยืนตรงแข็งทื่อคล้ายรูปปั้น เมื่อป๋าแจ็คเหลือบมองไปด้านบน ผู้หญิงด้านบนบ้านก็ส่งสายตาเย็นยะเยือกกลับมา ใบหน้าสีขาวซีดจับจ้องไปที่ป๋าแจ็คจนน่าหวาดผวา อย่างไรก็ตามป๋าแจ็คตัดสินใจเดินทางต่อไป ตามด้วยลูกน้อง คนแล้ว คนเล่า ผ่านบ้านอีกหลายหลัง และก็เช่นเดียวกันกับบ้านหลังแรก นั่นคือเต็มไปด้วยชาวบ้านหน้าขาวซีดจำนวนมากออกมาให้กำลังใจ ป๋าแจ็คได้ยินเสียงลูกน้องแอบซุบซิบกันระหว่างทางเดิน แต่ก็ข่มใจเอาไว้ไม่ให้ตนสติแตก ป๋าแจ็คและลูกน้องเดินมาถึงจุดหมายปลายทางของภารกิจตอนประมาณตีห้า ทุกคนพากันไปเลี้ยงกาแฟและพูดคุยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น หนึ่งในลูกน้องของป๋าแจ็ค เล่าว่าหลังจากเดินผ่านหมู่บ้านนั้นไป แล้วหันหลังกลับไปดูที่หมู่บ้านนั้นอีกรอบ กลับไม่พบผู้คนหรือร่องรอยของแสงตะเกียงใด ๆ เลย เมื่อพนักงานร้านกาแฟซึ่งประกอบไปด้วยผู้ชาย 2 คนและผู้หญิง 1 คน และคุณลุงอีก 2 คนมาได้ยินเรื่องอันแสนพิศวงของป๋าแจ็คในครั้งนี้ พนักงานก็เล่าให้ฟังว่า หมู่บ้านที่กองหน่วยรบพิเศษเดินทางผ่านเมื่อคืนที่ผ่านมานี้ เคยมีผู้คนอาศัยอยู่จริง แต่ในปัจจุบันไม่มีใครอาศัยอยู่แล้ว เพราะมีคนในหมู่บ้านป่วยเป็นโรคห่าแล้วตายไป 5 หลัง เลยไม่มีใครกล้าอาศัยอยู่ที่นั่นอีกต่อไป.. เพื่อทวีคูณความพิศวงไปอีกขั้น หลังจากที่หน่วยของป๋าแจ็คออกมาจากร้านกาแฟกันแล้ว มีลูกน้องคนหนึ่งของป๋าแจ็คเดินมาบอกเขาว่า พนักงานในร้านกาแฟซึ่งคือ ผู้ชาย 2 คนและหญิง 1 คน และคุณลุงอีก 2 คน... เป็นพวกเดียวกันกับที่เขาเจอที่กระท่อมตอนเริ่มทำภารกิจช่วงแรก! แต่ไม่มีทางที่คนพวกนั้นจะเดินนำป๋าแจ็คกับทีมของเขาไปได้ แล้วพวกเขามาเปิดร้านกาแฟรอป๋าแจ็คอยู่ที่ปลายทางได้ไงกัน? เรื่องของป๋าแจ็คและกองกำลังรบพิเศษของเขาถูกบอกเล่าอยู่ในหน่วยอยู่นานนับปี เป็นที่น่าสงสัยมาจนถึงทุกวันนี้ว่า อะไรคือสาเหตุที่วิญญาณเหล่าปรากฎตัวขึ้น มาเพื่อส่งเหล่าทหารงั้นหรือ? พวกของป๋าแจ็คหลุดเข้ามาในอีกมิติหนึ่งรึเปล่า? อะไรที่เชื่อได้บ้างว่าเป็นความจริงเพราะแม้แต่กาแฟที่เหล่าทหารกินกันในตอนสุดท้าย กลับถูกพบในภายหลังว่าไม่มีรสชาติใด ๆ เลย(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

ชายคนหนึ่งอยากได้รถคันใหม่ป้ายแดง จึงไปดูฤกษ์ในการรับรถต้องส่งก่อนพระอาทิตย์ขึ้นในคืนเดือนดับ!

14 เม.ย. 2024

ชายคนหนึ่งอยากได้รถคันใหม่ป้ายแดง จึงไปดูฤกษ์ในการรับรถต้องส่งก่อนพระอาทิตย์ขึ้นในคืนเดือนดับ!

คนขับรถสไลด์ส่งรถป้ายแดงถึงหน้าบ้าน แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของไม่อยู่แล้ว เซลล์ไม่บอกความจริงจนตอนนี้ผ่านไป 4 ปี ยังไม่รู้ว่าที่จริงแล้วเจ้าของรถคันนั้นตาย! เรื่องนี้ ‘ตั้ม The Shock’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (9 เมษายน 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ป้ายแดง’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘คุณเอ’ (นามสมมติ) ที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้คุณตั้มได้ฟัง โดยคุณเอเล่าว่า คุณเออยู่ในวงการขายรถ และมีเพื่อนรุ่นพี่อยู่คนหนึ่ง มีอาชีพเป็นเซลล์ขายรถ ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว โดยมีพี่ผู้ชายคนหนึ่ง นามสมมติว่า ‘คุณโจ้’ สนใจรถป้ายแดง คุณโจ้จึงคุยกับทางเซลล์เพราะอยากได้รถคันนี้ แต่มีข้อแม้ว่าชื่อของตัวเองไม่สามารถที่จะนำไปซื้อรถได้ เพราะเครดิตไม่ดี จึงขออนุญาตใช้ชื่อญาติแทน แล้วจะมาเคลียร์ให้ หลังจากคุณโจ้คุยกับเซลล์เสร็จเรียบร้อย ก็นำเอกสารมาให้ตรวจสอบ เมื่อเอกสารผ่านก็ได้โอนเงินส่วนหนึ่งจ่ายดาวน์ให้กับทางเซลล์ จากนั้นเซลล์ก็บอกว่า “เอาล่ะ เดี๋ยวยังไงผมจะจัดส่งรถให้ พี่อยู่ที่ไหน?” คุณโจ้ก็บอกว่า “อยู่ที่จังหวัดตาก” เซลล์ก็บอกว่า “โอเค พร้อมเมื่อไหร่ เดี๋ยวผมจะนำรถไปส่งให้ แล้วพี่สะดวกช่วงไหน?” คุณโจ้บอกว่า “เดี๋ยวผมขออนุญาตไปดูฤกษ์ก่อน” คุณเอเล่าว่า คุณโจ้เป็นคนที่มีครูบาอาจารย์ ถือฤกษ์ และนับถือเทพ จากนั้นไม่นาน คุณโจ้บอกกับเซลล์ว่า “วันที่ส่งรถ ขอให้ส่งก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ในคืนเดือนดับ” เมื่อทราบข้อมูลดังกล่าว ทางเซลล์ก็คุยกับคุณโจ้ หลังจากคุณโจ้ดูฤกษ์เสร็จ 1-2 วันก็โทรกลับมาบอกว่า “เอาเป็นว่าอีกสัก 2 อาทิตย์ คุณส่งรถมาได้เลยที่จังหวัดตาก” หลังจากช่วงเวลานี้ผ่านไป เซลล์ก็ได้มีการติดต่อกับทีมรถสไลด์ว่า “เดี๋ยวจะให้รถสไลด์ เอารถไปส่งที่จังหวัดตากหน่อยละกัน” ทางเซลล์ก็ส่งโลเคชันให้กับคนขับรถสไลด์ ผ่านไปได้สักพักประมาณอีก 3 วันจะถึงวันส่งรถ เซลล์ก็โทรไปหาคุณโจ้แล้วแจ้งว่า “พี่ครับ เดี๋ยวผมจะให้ทีมของรถสไลด์เนี่ย ไปส่งยังพื้นที่ที่พี่อยู่นะ แต่ว่าในวันนั้น ยังไงให้พี่สแตนบายสักนิดนึง เพราะว่าไปถึงที่นั่นน่าจะดึก แล้วก็น้องที่ขับรถสไลด์ไม่คุ้นทาง ยังไงพี่รอรับโทรศัพท์ด้วย” เวลาผ่านไปจนถึงวันที่มอบรถ ทางเซลล์ก็ส่งรถให้กับคนขับรถสไลด์ เพื่อขับไปส่งให้กับลูกค้า ซึ่งเส้นทางจะค่อนข้างไกล ระยะเวลาเดินทาง 4 ชั่วโมงกว่า คนขับรถสไลด์ก็ขับรถไปคนเดียว จังหวะที่ขับไปนั้น จะมีเส้นทางที่ขึ้นเขา ปรากฏว่าใกล้จะถึงจุดนัดหมายในโลเคชัน คนขับรถสไลด์ก็โทรไปหาคุณโจ้ สายแรกโทรไม่ติด เขาจึงขับรถต่อไปเรื่อย ๆ และโทรครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ก็ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตเพราะอยู่บนเขา จึงขับรถไปจอดพักข้างทาง เมื่อดูจากเวลาประมาณตี 3 กว่า คนขับรถสไลด์คิดว่าจะส่งรถให้คุณโจ้ไม่เกินตี 4 สักพักก็คิดว่า “ขับไปใกล้ ๆ ละกัน แล้วไว้โทรไปอีกที” คนขับรถสไลด์ก็ขับรถต่อและโทรไปเป็นครั้งที่ 4 ครั้งนี้มีคนรับสาย ทางคนขับรถสไลด์ก็บอกว่า “พี่ครับ พี่อยู่ตรงจุดโลเคชันนี้ใช่ไหมครับ เดี๋ยวผมจะขับรถขึ้นไปส่งให้แล้วนะครับ” ปลายสายบอกว่า “ครับ ๆ” พูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ และตอบแต่คำว่าครับ จนกระทั่งวางสายไป คนขับรถสไลด์ก็ขับรถจนไปถึงบ้านของคุณโจ้ เมื่อไปถึงจุดนี้คนขับรถสไลด์ก็มองไปรอบ ๆ เพราะว่าบ้านของคุณโจ้มืดสนิท ทุกอย่างดูแปลกตรงที่ว่า ถ้าเป็นบ้านของคนที่สั่งรถต้องเปิดไฟ แต่ที่นี่กลับมืดหมด คนขับรถสไลด์ขับเข้าไปบริเวณหน้าบ้าน ลักษณะของบ้านเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ด้านข้างจะมีโรงรถ คนขับรถสไลด์ก็เดินไปสำรวจซึ่งมืดมาก ในขณะที่เอาไฟฉายส่องอยู่ ๆ ก็ไปเจอกับคุณโจ้เดินออกมาจากชั้น 2 แล้วกวักมือเรียก คนขับรถสไลด์ก็คิดว่าถูกบ้านแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทักเรื่องของไฟในบ้าน เมื่อจอดรถเสร็จคุณโจ้ก็เดินลงมา คนขับรถสไลด์ก็เอาเอกสารให้เซ็น และถามคุณโจ้ว่า “พี่ครับ เอาลงตรงนี้เลยไหม ถ้าลงตรงนี้ พี่มีถือเคล็ดไหม เอามะนาวให้ล้อรถเหยียบก่อนไหม?” ซึ่งการออกรถป้ายแดงทริคอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าเกิดคนที่ถือเคล็ด เอามะนาวไปให้ล้อเหยียบ จะทำให้ล้อของรถคันนั้นยึดเหนี่ยวกับถนนได้เป็นอย่างดี จะไม่ทำให้ก่อเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งทางคนขับรถสไลด์ก็แนะนำไป แต่คุณโจ้ก็บอกว่า “ไม่เป็นไรครับ เอาลงเลย” พูดด้วยเสียงช้า ๆ หลังจากที่นำรถลงมาเสร็จแล้ว คุณโจ้ก็กวักมือให้คนขับรถสไลด์ขับรถเข้าไปจอดในโรงรถ คนขับรถสไลด์ก็สงสัยว่า “ทำไมสั่งรถมาทั้งที ถ้าเป็นเจ้าของก็น่าจะขับรถเข้าไปเอง” คนขับรถสไลด์ก็เลยตัดสินใจเปิดไฟหน้ารถขับเข้าโรงไป แต่สังเกตว่าตอนที่ขับรถเข้าไปนั้น เจ้าของรถไม่มาอยู่ข้างหน้า จะยืนอยู่ข้าง ๆ ตรงมุมมืดตลอด หลังจากที่ขับเข้าไปจอดเสร็จแล้ว คนขับรถสไลด์ก็มีการแนะนำเรื่องรถ พี่เจ้าของรถก็มาเดินดู ลูบ ๆ คลำ ๆ แต่ด้วยความที่ยังสงสัยว่าทำไมไม่เปิดไฟ คนขับรถสไลด์ก็คิดว่า “หรือว่าพี่เขาถือเคล็ด เห็นบอกว่ามีครูบาอาจารย์ หรือต้องรับรถแบบมืด ๆ ก็แปลกดีนะ” หลังจากที่ส่งมอบรถเสร็จ คนขับรถสไลด์กำลังจะกลับ ก็เดินไปบอกคุณโจ้ว่า “พี่ครับ ผมขออนุญาตกลับก่อนนะครับ เพราะว่าอีกไกลกว่าจะถึงกรุงเทพ มันจะสายเดี๋ยวแสงแยงตา ผมไม่ได้นอนด้วย”คุณโจ้ก็พูดว่า “น้องพักที่นี่ก่อนก็ได้นะ เพราะว่าบ้านพี่อยู่บนเขา ถ้าเกิดขับออกไปใกล้ ๆ เช้า หมอกมันเยอะ ถ้าไปบดบังการมองเห็นมันอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ พักก่อนไหมนอนอยู่ที่นี่สักพัก แล้วเช้า ๆ สาย ๆ ค่อยไป เดี๋ยวตอนเช้าพี่จะไปทำบุญ” หลังพูดจบคุณโจ้ก็เดินขึ้นไปบนบ้าน คนขับรถสไลด์ก็คิดในใจว่า ปกติแล้วจะขับแต่ตอนกลางวัน เวลาขับก็จะเผื่อเวลาไว้เพื่อที่จะไปนอนพักข้างทาง 1-2 ชั่วโมง แต่ตอนกลางคืนถ้าเกิดออกไป แล้วจอดนอนข้างทางมันอันตราย เลยตัดสินใจนอนที่นั่น ขณะที่ปรับเอนเบาะนอนในรถ คุณโจ้ก็มาเคาะกระจกแล้วบอกว่า “น้องมากินข้าวกินปลาก่อน กินน้ำก่อนไหม?” คนขับรถสไลด์บอกว่า “ก็ได้ครับ” จากนั้นก็นั่งกินข้าวอยู่หน้าบ้านแบบมืด ๆ เมื่อกินไปสักพักจนอิ่มท้อง ก็กลับมานั่งในรถแล้วเคลิ้มหลับไป สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีประมาณ 7 โมงก็เห็นว่าบ้านล็อก แต่เห็นรถที่มาส่งยังจอดอยู่ คนขับรถสไลด์ก็สงสัยว่าเขาอาจจะอยู่บนบ้านเลยลงจากรถไปเคาะประตูบ้านเพื่อไปร่ำลา ปรากฏว่าไม่มีใครเปิดประตู จึงคิดว่าคุณโจ้คงออกไปทำบุญเลยตัดสินใจขับรถออกมา ตอนที่ส่งรถเสร็จ การส่งรถตอนเซ็นเอกสารจะต้องมีการถ่ายรูป แต่แปลกที่คุณโจ้ไม่อยากถ่ายรูป พยายามยืนเลี่ยงและไม่สนใจ คนขับรถสไลด์ก็ถ่ายรูปส่งไปทางไลน์ให้กับเซลล์ แต่ด้วยความที่บ้านของลูกค้าไม่มีสัญญาณ รูปที่อยู่ในไลน์เลยค้างส่งไม่สำเร็จ คนขับรถสไลด์ก็คิดว่าออกไปข้างนอกตอนเช้าคงส่งเอง เช้าวันถัดมา เมื่อขับรถออกมาได้สักพักไปถึงจุดที่มีสัญญาณ ปรากฏว่า Message ดังขึ้นถี่มาก คนขับรถสไลด์ก็เลยจอดรถข้างทางแล้วเปิดโทรศัพท์ดู กลายเป็นว่ามีคนโทรมาเป็นเบอร์โทรของเซลล์ คนขับรถสไลด์ก็โทรกลับไปแล้วพูดว่า “ฮัลโหลครับ ผมรถสไลด์ครับพี่ พี่เซลล์มีอะไรครับ?” เซลล์ก็ถามว่า “น้องส่งรถไปหรือยัง?” คนขับรถสไลด์ก็บอกว่า “ส่งแล้วครับพี่” เซลล์ก็บอกว่า “ส่งไปแล้วหรอ? แน่ใจนะว่าส่งไปแล้ว แล้วคนมารับเป็นคนเดียวกันไหมที่ส่งรูปไป” คนขับรถสไลด์บอกว่า “ใช่ครับ คนเดียวกัน ทำไมครับพี่มีอะไร?” เซลล์ตอบกลับมาว่า “เนี่ย เหมือนญาติเขาบอกว่ายังไม่ได้รับรถ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ญาติเขายืนยันว่ายังไม่ได้รับรถนะ น้องส่งแล้วใช่ไหม?” คนขับรถสไลด์ก็ตอบว่า “ส่งแล้วครับพี่ ผมถ่ายรูปไว้ด้วย” จากนั้นก็เอาโทรศัพท์ขึ้นมาดู ณ ตอนนั้นระบบไลน์ที่ค้างอยู่ เมื่อมีสัญญาณรูปที่จะส่ง ก็ถูกส่งกลับไป พอได้รูปก็ส่งไปให้เซลล์ เซลล์ก็บอกว่า “ก็ส่งแล้วนี่หว่า โอเค ๆ เดี๋ยวสักพักพี่โทรกลับไป” เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง เซลล์โทรกลับมาว่า “เออน้อง พี่คุยกับทางด้านญาติแล้วนะ เขาโอเค เขารับรู้แล้วว่ามีคนรับรถ อาจจะคลาดเคลื่อนกันนิดหน่อย ไม่เป็นไร ยังไงเรากลับมาที่โชว์รูมก่อนนะ จะได้มาเคลียร์เอกสาร ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เราใช้ไป” คนขับรถสไลด์ก็บอกว่า “ได้ครับพี่ ๆ” คนขับรถสไลด์ก็ขับรถกลับโชว์รูม ทางด้านเซลล์หลังจากที่วางสายจากคนขับรถสไลด์ครั้งแรก ก็โทรหาทางญาติแล้วบอกว่า “คุณลูกค้าครับ เป็นญาติกับคนที่รับรถใช่ไหมครับ ทางทีมรถสไลด์ส่งไปแล้วครับ” ญาติก็ถามว่า “ส่งไปที่ไหน?” เซลล์ก็บอกว่า “ส่งไปตามโลเคชันที่ลูกค้าส่งมาที่จังหวัดตาก” เซลล์ก็เลยส่งรูปให้ดูว่าส่งรถถึงที่หมายเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าญาตินิ่งไปสักพักแล้วถามว่า “มีคนมารับไหม?” เซลล์ก็บอกว่า “น้องบอกมีคนลงมารับครับ คนเดียวกันกับที่สั่ง” ญาติก็พูดว่า “เฮ้ย เป็นไปได้หรอ เพราะว่าคนที่เขารับรถ เขาตายไปแล้ว! ใครลงมารับ มั่นใจหรอ?” เซลล์เองก็อึ้งไม่แพ้กัน แต่ก็ยังยืนยันรูปถ่ายที่คนขับรถสไลด์ส่งมาให้ดู เซลล์ก็ถามว่า “มันเกิดอะไรขึ้นครับพี่?” ญาติก็เล่าให้ฟังว่า จำวันนั้นได้ใช่ไหมที่คุณไปนัดกับคนที่จังหวัดตากว่าอีก 3 วัน จะส่งรถสไลด์ไป 1 วันหลังจากนั้น พี่คนนั้นเขาขี่มอเตอร์ไซค์แล้วเกิดอุบัติเหตุแหกโค้งเสียชีวิต! ด้วยความที่ญาติจัดเรื่องงานศพอยู่ก็เกิดความสับสนคิดว่าได้คุยกับเซลล์แล้ว ถ้าไม่ส่งที่จังหวัดตาก ก็ให้มาส่งที่บ้านญาติ แต่กลายเป็นว่าญาติยังไม่ได้คุยกัน ณ คืนนั้นวันที่ส่งรถ ญาติที่โทรหาเซลล์ฝันว่า คุณโจ้มาอยู่ในฝัน แล้วชอบรถป้ายแดงลูบ ๆ คลำ ๆ เดินวนอยู่รอบรถ อย่างมีความสุข ญาติก็เอะใจถึงได้โทรถามเซลล์ เซลล์ก็พูดว่า “จริงหรอครับ แต่ส่งรถไปแล้วนะครับ” ญาติก็บอกว่า “โอเค ไม่เป็นไร เดี๋ยวไว้วันหน้าค่อยแจ้งย้ายรถมาให้ที่ญาติละกัน” หลังจากวางสายไป ทีนี้มาถึงที่โชว์รูม น้องขับรถสไลด์ก็มาคุยกับเซลล์ เซลล์ถามว่า “เป็นไงไปส่งรถ ไปเจออะไรมาบ้าง?” คนขับรถสไลด์ก็พูดว่า “ก็ดีพี่ พี่เขาใจดีมากเลย ให้ผมนอนที่บ้านให้ข้าวให้น้ำกิน แต่เขาแปลกนะพี่ อย่างที่พี่เคยบอกผมว่าเขานับถือเทพ ครูบาอาจารย์อะไรไม่รู้ บ้านเขามืดหมดเลยนะพี่ ผมก็สงสัยว่าทำไมไม่เปิดไฟ ถ่ายรูปเขาก็ไม่เอานะพี่” เซลล์ก็พูดว่า “เออเขาเป็นอย่างนั้นแหละ” แต่ความจริงแล้วเซลล์รู้แต่ไม่บอกคนขับรถสไลด์ว่าเกิดอะไรขึ้น เซลล์ก็บอกว่า “เอาล่ะ ก็ถือว่าพี่เขาใจดีหาข้าวหาน้ำให้กิน ก็ดีแล้ว วันหน้าถ้าเกิดมีงานเดี๋ยวพี่ส่งให้อีกนะ” คนขับรถสไลด์ก็บอกว่า “ขอบคุณมากครับพี่” จากนั้นก็เคลียร์เอกสาร เคลียร์เงิน และคนขับรถสไลด์ก็กลับไป ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้คนขับรถสไลด์ก็ยังไม่รู้ว่าเจ้าของรถคันนั้นตาย!(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ชาติที่แล้วเคยสัญญาว่าจะอยู่คู่กันตลอดไป ทำให้เกือบใหลตายไปกับความฝัน! ตั้งใจจะตัดกรรมแต่ก็ต้องพบเจอกับความสูญเสีย..

10 ม.ค. 2024

ชาติที่แล้วเคยสัญญาว่าจะอยู่คู่กันตลอดไป ทำให้เกือบใหลตายไปกับความฝัน! ตั้งใจจะตัดกรรมแต่ก็ต้องพบเจอกับความสูญเสีย..

คำสัญญาของชาติที่แล้วตามมาส่งผลในชาตินี้! กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘ชายชุดดำกับกรรมในอดีต’ จาก ‘คุณเป้’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (26 ธันวาคม 2566) พร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ จะหลอนเหลือเชื่อแค่ไหน ตามไปอ่านกันเลย! คุณเป้เล่าว่า ตัวคุณเป้นั้นเป็นคนที่ชอบพญานาค ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่ได้ชอบ แต่อยู่ดี ๆ ก็มีความรู้สึกชอบพญานาคสีดำ หลังจากนั้นก็ไปบูชาพญานาคสีดำมาไว้ที่บ้าน และชอบสวดมนต์เพื่อบูชาปู่พญานาค หลังจากนั้นตัวคุณเป้ก็ได้ฝันว่า ตัวเองไปยืนอยู่บนสะพานกลางน้ำ และมีเรือนักท่องเที่ยงล่องมา มีคนอยู่บนนั้นเยอะมาก แต่มีผู้ชายคนหนึ่ง ใส่ชุดสีดำ เดินขึ้นมาจากน้ำมาอุ้มคุณเป้ลงไปในน้ำ หลังจากที่ลงไปในน้ำแล้ว ตัวคุณเป้รู้สึกว่า ที่ ณ ตรงนั้น เป็นห้องเหมือนบ้านหลังหนึ่ง และผู้ชายคนนั้นก็พูดกับคุณเป้ว่า “เธอรู้ไหม ว่าเราตามหาเธอมานานแล้ว นานมาก ๆ” หลังจากนั้นคุณเป้ก็รู้สึกว่า ตัวเองหลับอยู่ และได้ยินเสียงที่ดังมากจากผู้ชายคนนั้นว่า “เมื่อไหร่พ่อเธอ ครอบครัวเธอจะไปสักที รำคาญจังเลย” ด้วยน้ำเสียงโมโห และไม่พอใจ เพราะว่าเขากำลังให้คุณเป้อยู่ ณ ตรงนั้น และเขายังเน้นอีกว่า “เธอรู้ไหม ว่าเราตามหาเธอมานานมาก กว่าจะเจอ” หลังจากนั้นคุณเป้ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา ด้วยความสงสัยในความฝันของตัวเอง คุณเป้จึงได้ไปหาพระอาจารย์ พระอาจารย์ก็บอกมาว่า “มึงสามารถใหลตายได้เลยนะ การฝันแบบนี้” นอกจากนี้คุณเป้ยังได้รับคำแนะนำจากเพื่อนมาว่า “เออ เนี่ยมีหมอดูไพ่พรหมญาณนะ น้องคนนี้แม่นมากเลย ลองไหม” คุณเป้จึงโทรไปหาน้องหมอดูคนนี้ ทันทีได้ได้คุยเขาก็พูดขึ้นมาว่า “พี่เป้คะ เคยฝันเห็นผู้ชายหรือเปล่า เคยฝันอะไรเกี่ยวกับน้ำไหม พี่เป้มีสัญญาอดีตชาตินะคะ แล้วพี่เป้มีเคยแพลนจะไปวัดที่ไหนหรือเปล่า” ทันทีที่ได้ยิน คำถามที่คุณเป้ตั้งใจคิดมาก็หายวับไปทั้งหมด คุณเป้ตอบกลับไปว่า “วัดอะ พี่เคยมีแพลนที่อยากจะไป แต่ว่าไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ไปหรือเปล่า” หมอดูก็ตอบกลับมาว่า “พี่เป้ต้องไปที่ที่มีพระประธานนะ ต้องไปตัดกรรม ต้องใช้ดอกบัว 5 ดอก” จากนั้นคุณเป้ก็เริ่มมีความคิดว่าอยากจะตัดกรรมแล้ว และในวันนั้น ก่อนที่จะไปตัดกรรม พระที่อยู่บนหิ้ง ก็ร่วงหล่นลงมาแตก คุณเป้ก็เริ่มสงสัยว่าเป็นเพราะเขาหรือเปล่า คุณเป้จึงโทรไปถามน้องหมอดูคนนั้นว่า “ทำไมมันถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น” น้องก็ตอบกลับมาว่า “พี่เป้ เขารู้แล้วนะ ว่าพี่เป้รู้ เขาจะแสดงตัวให้พี่เป้รู้แล้วนะ” หลังจากนั้น คืนนั้นคุณเป้ก็ฝันว่าเขามาบอกกับคุณเป้ว่า “เธอจะตัดกรรมกับเราจริง ๆ หรอ เราให้เธอได้ทุกอย่างนะ” แต่ในใจคุณเป้ก็คิดว่า เกิดชาติภพใหม่แล้ว หลังจากนั้นคุณเป้ก็ตัดสินใจเดินทางไปจังหวัดอ่างทองเพื่อจะไปวัด แต่ระหว่างที่นั่งรถไป คุณเป้ก็มีความรู้สึกว่า เศร้ามาก ๆ จนกระทั่งถึงวัด คุณไปได้พูดว่า “เราพาเธอมาส่งแล้วนะ” จากนั้นคุณเป้ก็ไปทำพิธีเพื่อที่จะตัดกรรม หลังจากเสร็จสิ้นแล้ว ผ่านไปประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ คุณเป้ก็ได้ตั้งครรภ์แบบไม่รู้ตัว แต่ปกติแล้วคุณเป้ทานยาคุมมาตลอด และไปปรึกษาหมอ หมอก็ตอบกลับว่า “คุณไม่มีบุตรหรอก เพราะทานยาคุมมานานเกิน” นั่นก็ทำให้คุณเป้มั่นใจในระดับหนึ่ง ว่าตัวเองไม่สามารถมีบุตรได้ จนคุณเป้เกิดอาการเท้าบวม หลังจากนั้นคุณเป้ก็ไปหาหมอมาตลอดทั้งเดือน แต่คุณหมอหลายคนก็บอกว่าเป็นออฟฟิศซินโดรมบ้าง เป็นอย่างอื่นบ้าง จนกระทั่งสุดท้าย มีคุณหมอบอกว่า “คุณตั้งครรภ์นะ แล้วตั้งครรภ์ได้ 6 เดือนแล้ว” ตัวคุณเป้ก็ช็อกไป และก็คิดว่า เขากลัวเรารู้แล้วเอาออกหรือเปล่า หรือมันเป็นเพราะอะไร ทำไมไม่มีความรู้สึกว่าท้องเลย หลังจากนั้นคุณเป้ก็พยายามดูแลเด็กในครรภ์ตลอด แต่ในใจของคุณเป้เริ่มรู้สึกว่า ลูกต้องเป็นผู้ชายแน่เลย เป็นเขาคนนั้นหรือเปล่า หลังจากนั้นเมื่อครรภ์ครบ 7 เดือน คุณเป้ได้รู้สึกหน่วง ๆ ที่ท้อง จึงไม่สบายใจและรีบไปหาคุณหมอ และก็ได้ทราบว่า เด็กได้เสียไปแล้ว 3 วัน คุณเป้เสียใจมากจนแทบจะเสียสติ และเมื่อถึงเวลาที่ต้องคลอดเด็กออกมา คุณหมอพูดกับคุณเป้ว่า “มดลูกล็อคนะคะคุณแม่ น้องไม่สามารถคลอดออกมาได้ ต้องรอสักพักให้มดลูกคลาย” คุณเป้ที่ได้ยินดังนั้นก็คิดว่า เขาเป็นห่วงเราหรือเปล่า เขาไม่ยอมไปจากเราหรือเปล่า คุณเป้ก็ได้พูดขึ้นมาว่า “โอเค ถ้าเป็นเธอจริง ๆ ที่มาเกิดกับเรา ถ้าเธอจะทำให้เรารู้ว่าการสูญเสียมันเป็นอย่างไร เรารู้แล้วนะ เราขอให้เธอไปอยู่ภพภูมิที่ดี เราได้รับรสชาติของความเจ็บปวดแล้ว ขอให้เธอไปอยู่ภพภูมิที่ดี เราจะตั้งใจทำบุญอุทิศให้เธอไปอยู่ภพภูมิที่ดี ชาตินี้เราคงหมดกรรมกันเท่านี้” ในตอนนั้นคุณเป้พูดออกมาด้วยเสียใจมาก ๆ หลังจากที่พูดจบ คุณเป้ได้ลองเบ่งคลอดอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าเด็กก็หลุดออกมาอย่างง่ายดาย และสิ่งที่ทำให้คุณเป้ช็อกก็คือ เด็กออกมาเป็นผู้ชาย! มันทำให้คุณเป้มั่นใจมาก ๆ ว่าเป็นเขาคนนั้น หลังจากความสูญเสียนี้คุณเป้ก็ได้นำร่างของลูกชายไปฝังไว้ที่วัดใกล้บ้าน และก็พยายามทำบุญทุกอย่างให้เขา และยังได้ไปที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี วัดนั้นมีพญานาคองค์สีดำอยู่ คุณเป้ได้เข้าไปไหว้องค์พญานาคที่อยู่ในถ้ำ และอยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงวี๊ดเข้ามาในหู และตามด้วยเสียงของผู้ชายขึ้นมาว่า “ทีนี้รับรู้รสชาติความเจ็บปวด การพลัดพรากหรือยัง” หลังจากนั้นคุณเป้ก็นั่งร้องไห้เหมือนคนเสียสติเพราะว่าการสูญเสียครั้งนี้ หลังจากนั้นก็มีฝนตกลงมา มันทำให้คุณเป้ได้พูดออกมาว่า “ตกทำไม ฝนบ้าลูกกูจะเน่า” หลังจากนั้นคุณเป้ก็คิดขึ้นมาได้ว่า เรามาถึงจุดนี้แล้วหรอ นั่นทำให้คุณเป้รีบไปที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งหลวงพี่ได้สอนมาว่า “โยมอย่าไปยึดติดนะ นี่มันคือร่าง คือสังขาร เขาละแล้ว” นั่นก็ทำให้คุณเป้ตั้งสติได้ แต่ก็ใช้เวลานานมาก หลังจากนั้นคุณเป้ก็ได้โทรถามน้องหมอดูว่า “น้องคะ พี่หมดกรรมหรือยัง” น้องก็ตอบกลับมาว่า “พี่เป้ พี่เป้จะหมดกรรมก็ต่อเมื่อได้ไปไหว้พญานาคครบทุกองค์” หลังจากนั้น อยู่ ๆ ก็มีลุงของคุณเป้ เขามาชวนไปไหว้พญานาคให้ครบทุกองค์ ด้วยความบังเอิญนี้คุณเป้ก็ได้คิดว่า มันคงจะเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทุกอย่างมันคงจะจบลงแล้ว ซึ่งมันก็จบลงแล้วจริง ๆ และกรรมครั้งนี้มันเกิดขึ้นจากเมื่อภพภูมิที่แล้วคุณเป้และผู้ชายคนนั้น เป็นพญานาค และได้เป็นสามีภรรยากัน สัญญากรรมกันไว้ว่า “เราจะไม่พลัดพรากจากกัน ไม่ว่าจะภพชาติไหนก็ตาม จอยู่เป็นคู่กันตลอดไป”…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

‘ใหม่ รอเรน’ ถูกไหว้วานให้มาช่วยทำธีสิสในยามวิกาล!

06 ต.ค. 2023

‘ใหม่ รอเรน’ ถูกไหว้วานให้มาช่วยทำธีสิสในยามวิกาล!

เรื่องหลอนในครั้งนี้ มาจากประสบการณ์ตรงของอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังอย่าง ‘ใหม่ รอเรน’ กับเรื่องหลอนในรั้วมหาวิทยาลัยที่ชื่อว่า ‘ธีสิสสยอง’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 ตุลาคม 2566) พร้อมด้วย ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านพร้อมกันเลย! ย้อนกลับไปในสมัยที่คุณใหม่ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในช่วงนั้นคุณใหม่เองบอกว่าเธอพักอยู่ที่หอพักนอกจึงทำให้เธอสะดวกสบายเรื่องเวลาจะออกไปไหนมาไหน เพราะไม่ได้มีกฎ เข้า-ออก ที่ตายตัวเหมือนกับหอภายในมหาวิทยาลัย ด้วยเหตุนี้เอง คุณใหม่จึงถูกไหว้วานจากรุ่นพี่ที่รู้จัก นามสมมุติ ‘พี่ส้ม’ ให้มาช่วยทำโปรเจกต์จบในเวลากลางคืนที่คณะของพี่ส้ม เนื่องจากพี่ส้มนั้นเรียนเภสัชและกำลังทำการทดลองในห้องแล็บเกี่ยวกับสารเคมี แต่ด้วยระยะทางจากบ้านของพี่ส้มมายังมหาวิทยาลัยค่อนข้างไกล และการทดลองนี้จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนย้ายสารเคมีอยู่ตลอด จึงทำให้พี่ส้มไม่สามารถที่จะทำการทดลองในเวลากลางคืนได้ เธอจึงได้ไหว้วานให้คุณใหม่ มาช่วยรับผิดชอบให้แทนในยามวิกาล คุณใหม่เล่าว่า บรรยากาศของคณะแพทยศาสตร์ค่อนข้างวังเวงมาก และยังต้องเดินผ่านห้องของอาจารย์ใหญ่อยู่บ่อยครั้ง ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวที่นี่ในเวลากลางคืนเป็นอย่างมาก และด้วยความที่คุณใหม่เองนั้นไม่ได้ศึกษาในคณะนี้ จึงไม่มีบัตรนักศึกษาประจำคณะ นั่นทำให้เธอต้องคอยหลบเจ้าหน้าที่เพื่อขึ้นไปที่ตึกในทุก ๆ คืน จากประสบการณ์ครั้งนี้ คุณใหม่เล่าว่าตัวเธอไม่ได้พบเจออะไรในระหว่างทำการทดลอง แต่ด้วยบรรยากาศของคณะแพทยศาสตร์ประกอบกับร่างอาจารย์ใหญ่ที่เธอต้องเจอในระหว่างทางเดิน ก็ทำเอาคุณใหม่รู้สึกขนลุกอยู่เหมือนกัน ไม่นานหลังจากที่คุณใหม่ช่วยพี่ส้มทำการทดลองสำเร็จ พี่ส้มก็เล่าเรื่องสยองระหว่างที่กำลังทำการทดลองให้คุณใหม่ฟัง พี่ส้มเล่าว่าส่วนตัวพี่ส้มเองเป็นคนชอบร้องเพลงมาก และในวันนั้นเธอกำลังทำการทดลองกับเพื่อนในห้องแล็บอยู่ 2 คน จังหวะที่เธอร้องเพลงพร้อมกับตบเท้าเป็นจังหวะดนตรี จู่ๆ หลังจากที่เธอหยุดร้องเพลงและเงียบไป ปรากฏว่าเธอได้ยินเสียงเท้าแทรกเข้ามาคล้ายกับสิ่งที่เธอทำไปเมื่อสักครู่ แต่ด้วยเธอเรียนสายแพทย์ก็ไม่ได้คิดหรือเอะใจอะไร เพราะคิดเพียงว่ามันเป็นเสียงสะท้อนจากห้องแล็บเท่านั้น วันต่อมา พี่ส้มก็มาทำการทดลองตามปกติ และยังอธิบายลักษณะของห้องทดลองเพิ่มเติมว่า ห้องแล็บเป็นห้องที่ค่อนข้างกว้าง มีโต๊ะยาวสำหรับการทดลองสองฝั่ง และมีตู้ไว้เก็บสารเคมีและอุปกรณ์ทดลองต่าง ๆ เป็นตู้กระจกยาว ซึ่งอุปกรณ์แต่ละอย่างก็อยู่กระจัดกระจายกัน ในระหว่างที่พี่ส้มกำลังจะเดินไปหยิบอุปกรณ์จากอีกจุดนึงไปยังอีกจุดนึง จู่ ๆ พี่ส้มก็เริ่มสังเกตเห็นเงาของตัวเองในกระจกเงานั้นมีลักษณะคล้ายกับผู้หญิง แต่เงานั้นไม่ได้ขยับตามตัวเธอไป และเห็นว่ามันกำลังเดินสวนกับเธออยู่หลายรอบ! พี่ส้มเริ่มเอะใจว่ามี ‘บางอย่าง’ อยู่กับเธอในห้องนี้ จากนั้น พี่ส้มและเพื่อนจึงตัดสินใจเก็บของ และเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างให้เร็วที่สุด จากนั้นก็กลับบ้านไป วันที่ 3 สำหรับการทดลองสารเคมีของพี่ส้มก็เป็นไปอย่างปกติ หลังจากที่ทำการทดลองเสร็จก็ชวนเพื่อนกลับบ้านเพราะตอนนั้นกำลังจะมืดแล้ว ขณะที่พี่ส้มกำลังเอื้อมมือไปเปิดประตู จู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังดันประตูสวนมาเพื่อเปิดมันมาจากด้านนอก! แต่ที่แปลกคือไม่มีใครอยู่ข้างนอกห้องนั้นเลย และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้พี่ส้มไม่กล้าเล่าให้คุณใหม่ฟัง เพราะกลัวว่าถ้ารู้จะทำให้คุณใหม่หวาดกลัวจนไม่กล้าที่จะมาที่นี่ หลังจากที่พี่ส้มเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณใหม่ฟัง คุณใหม่ก็ได้ทราบถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องแบบนี้กับพี่ส้มว่า มีนักศึกษาสาวคนหนึ่ง เธอต้องเข้ามาทำธีสิสจบเช่นเดียวกันกับพี่ส้ม ในวันนั้นเธอเกิดเคราะห์ร้ายประสบอุบัติเหตุ จนเสียชีวิต แต่ด้วยจิตสุดท้ายต้องมาที่ทำการทดลองที่มหาวิทยาลัย ทำให้ทุกคนเห็นเธอในลักษณะแบบนั้นนั่นเอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1
Contact usGreenwave02-665-8377EFM02-665-8373
Advertise with usมัลลิกา ปราบอริพ่าย (กบ)(Atime Showbiz, Online Content)063-282-6915จุฑา วนศานติ (บี) (EFM)02-669-9512, 081-923-9823
อังคณา พองาม (นุก) (Greenwave)02-669-9444-7
ดาวน์โหลด Application ได้แล้ววันนี้ที่atime online application download from app storeatime online application download from play storeติดต่อสอบถาม / แจ้งปัญหาการใช้งานatimeplatform@atimemedia.com
บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน)เลขที่ 50 อาคาร จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เพลส ถนนสุขุมวิท21 (อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขต วัฒนา กรุงเทพ 10110