เรื่องเล่าจากคุณเอก ตายเเน่ 'เรื่องของลุงยาม' I อังคารคลุมโปง X ม้าม่วง Powerpuff GAY [28 ม.ค. 2568]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณเอก ตายเเน่ 'เรื่องของลุงยาม' I อังคารคลุมโปง X ม้าม่วง Powerpuff GAY [28 ม.ค. 2568]

01 ก.พ. 2025

       หน้าที่ยาม ที่ดูแลผีมากกว่าคน!! ‘คุณเอก ตายแน่’ ได้นำเรื่อง ‘เรื่องของลุงยาม‘ มาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’(28 มกราคม 2568) เรื่องเล่าสุดหลอนของตึก 13 ชั้น จากลุงยามเฝ้าตึก ที่ทำให้ ‘ดีเจแนน’ และ ’ดีเจเจ็ม’ ต้องขนลุกไปพร้อม ๆ กับการหลอกของเหล่าผี!!

 

       เมื่อ 7 ปีที่แล้ว คุณเอกได้ทำงานทีี่บริษัทรักษาความปลอดภัยแห่งหนึ่ง มีหลายครั้งที่แวะเข้าไปในออฟฟิศ และภายในออฟฟิศมักจะเจอคุณลุงอายุ 65 ปี ด้วยประสบการณ์การทำงานและความเคารพจากบริษัท จึงได้ให้คุณลุงทำงานด้านเอกสาร คุณเอกที่เป็นพนักงานใหม่และชื่นชอบการคุยกับคนที่มีอายุมากกว่า ก็ได้เขาไปพูดคุยกับคุณลุง คุณเอกที่ชื่นชอบเรื่องเล่าผีได้เข้าไปถามคุณลุงว่า

       “ลุงครับ ไม่ทราบว่าลุงเคยเจอเรื่องน่ากลัวๆ  เรื่องผีบ้างไหมครับ”

       คุณลุงจึงตอบว่า “จริงๆ ก็เจอมาตลอดในการทำงาน เพราะชอบเลือกอยู่กะกลางคืน” 

       คุณเอกได้ถามต่อว่า “แล้วมีเหตุการณ์ไหมที่เจอจังๆ ไหม เจอพี่เจอเป็นตัวเลยหรอ”

       คุณลุงก็บอกว่า “เจอแบบชักปลั๊กเลย สลบไปเลย”

        คุณลุงเล่าต่อว่าเป็นครั้งแรกที่กลัวผีจนสลบไปและเลิกเป็นยามเฝ้าตึก เรื่องมีอยู่ว่า..

       ย้อนไป 10 ปีที่แล้ว คุณลุงอายุ 55 ปี ทำอาชีพเป็นยามเฝ้าตึกแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ย่านใกล้เคียงกับสถานบันเทิงและโรงแรม ตึกที่คุณลุงทำงานอยู่นั้นเป็นตึกค่อนข้างเก่า มีทั้งหมด 13 ชั้น แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ชั้นที่ 13 จึงสร้างเป็นตึกเสริมแทน และบริเวณป้อมยามที่คุณลุงอยู่จะมีโต๊ะไม้หินอ่อนอยู่ข้าง ๆ กิจวัตรประจำวันทุกครั้งหลังจากตรวจตึกเสร็จ คุณลุงจะกลับมาที่ป้อมยามในเวลาประมาณ 2-3 ทุ่ม เพื่อนอนหลับ

       จนมีอยู่หนึ่งคืน ที่คุณลุงกำลังหลับอยู่ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงเคาะกระจกป้อมยาม เมื่อมองออกไปด้านนอกก็เจอกับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ หน้าตาสะสวย สวมใส่ชุดเดรสสีแดง คุณลุงจึงทักทาย

       “สวัสดีครับคุณผู้หญิง มีอะไรให้ผมช่วยไหมครัับ”

       ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับมาว่า

       “เรียกหนูว่าแยมเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ พอดีหนูอยู่ชั้นที่ 8 หนูกลัวผีค่ะ ช่วยพาหนูขึ้นไปหน่อยได้ไหมคะ”

       คุณลุงก็ตกใจ และนึกได้ว่าช่วงที่เข้ามาทำงานใหม่ ๆ ตึกนี้เคยมีเรื่องเล่าว่า มีคนกระโดดตึกลงมาเสียชีวิต ร่วมถึงคนป่วยเป็นมะเร็งปอดแล้วเสียชีวิตภายในห้องพักส่วนตัว คุณลุงก็ไม่ทราบว่าชั้นไหน แต่เมื่อลูกบ้านกลัวและเป็นหน้าที่ของรปภ. คุณลุงจึงอาสาไปส่ง จากนั้นคุณลุงก็ได้หยิบกระบอกไฟฉายมาเหน็บไว้ที่กระเป๋าหลังกางเกง 

       แต่เหตุการณ์แปลก ๆ ก็เกิดขึ้น เนื่องจากปกติแล้วคนกลัวผีมักจะเดินตามหลัง แต่ผู้หญิงคนนี้วิ่งนำหน้าคุณลุงไปและพุ่งตัวเข้าไปในลิฟต์ คุณลุงที่อายุมากแล้วและขาไม่ค่อยดีจึงค่อย ๆ เดินตามผู้หญิงคนนั้นไป เมื่ออยู่ในลิฟต์ผู้หญิงคนนั้นยืนตัวตรง ขาชิด หันหน้าไปทางประตูลิฟต์ และนิ้วของเขาก็กดไปที่เลข 8 ย้ำ ย้ำ ย้ำ เหมือนให้ลิฟต์รีบขึ้นไป พอลิฟต์ปิดลง พื้นที่เริ่มน้อย ทำให้คุณลุงได้กลิ่นชัดขึ้น ซึ่งเป็นกลิ่นของน้ำอบดาวเรือง คุณลุงก็คิดในใจว่า ผู้หญิงวัยรุ่นที่เที่ยวกลางคืน มันควรจะเป็นน้ำหอมอีกกลิ่นหนึ่งหรือเปล่า และในตอนนั้นคุณลุงก็รู้สึกว่าระหว่างชั้น 1 ถึงชั้น 8 นั้นนานกว่าปกติ ผู้หญิงคนนั้นไม่พูดไม่จากับคุณลุง คุณลุงจึงได้แต่ก้มหน้า แต่หางตาก็มองไปที่เลขลิฟต์ว่าเมื่อไร่จะถึงชั้น 8 เมื่อถึงชั้นที่ 8 ผู้หญิงคนนั้นก็ทำเหมือนเดิม โดยใช้มือกดย้ำ ย้ำ ย้ำ  ไปที่ปุ่มเปิดลิฟต์ พอประตูลิฟต์เปิดผู้หญิงคนนี้ก็พุ่งตัวออกจากลิฟต์ทันที และกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ห้องของตัวเอง ซึ่งอยู่เกือบสุดทางเดินของชั้นนี้

       คุณลุงจึงบอกว่า “ใจเย็น ๆ คุณหนู ผมขาไม่ค่อยดี” 

       แต่ผู้หญิงคนนั้นยังเดินต่อไป ไม่ได้หันมามอง จนไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นก็ยังยืนนิ่ง ๆ อยู่หน้าประตูไม่ได้เข้าห้องไปทันที และผู้หญิงก็พูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า

       “เดี๋ยวหนูเข้าไปเองค่ะ” 

       พอได้ยินแบบนั้นคุณลุงก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา เพราะหลาย ๆ อย่างมันดูแปลก คุณลุงจึงบอกไปว่า

       “งั้นผมส่งตรงนี้นะครับ”

       และหันหลังกลับไป แต่เมื่อกำลังจะเดินไปก็ได้ยินเสียงประตูเปิด พอหันกลับไปดูว่าผู้หญิงคนนั้นเข้าไปในห้องแล้วหรือยัง แต่เมื่อหันกลับไปก็พบว่าประตูห้องเปิดอ้าอยู่ ด้วยความตกใจคุณลุงจึงรีบวิ่งไปทางบันไดหนีไฟ เพราะมันไวกว่ารอลิฟต์ พอลงมาถึงข้างล่าง ด้วยความที่วิ่งลงมาคุณลุงเหนื่อยมากและเผลอหลับไป หลับไปได้สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะอีกครั้งจนสะดุ้งตื่นขึ้นมา คุณลุงได้มองออกไปข้างนอก ก็พบกับผู้หญิงคนเดิมใส่ชุดเดรสสีแดง ยืนตัวตรง แล้วบอกกับคุณลุงว่า

       “คุณลุงคะ คุณลุงพาหนูขึ้นไปอีกรอบได้ไหม หนูกลัวผี”

       คุณลุงก็รู้สึกตกใจจนพูดไม่ออก ผู้หญิงคนนั้นจึงพูดขึ้นมาอีกว่า

       “คุณลุงลืมของไว้ บางอย่างที่สำคัญมากเลยนะคะ ขึ้นไปเอากับหนูหน่อย”

       คุณลุงคิดว่านี่ไม่ใช่คนแล้ว จึงเปิดประตูออกแล้วรีบวิ่งออกไป ข้าง ๆ ตึกมีร้านสะดวกซื้ออยู่ คุณลุงก็ได้ไปนั่งอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อจนถึงเช้า และรายงานกับหัวหน้าว่าเมื่อคืนตนได้เจอกับเรื่องแปลก ๆ หลังจากนั้น คุณลุงก็เดินขึ้นไปชั้น 1 ที่ห้องประชาสัมพันธ์ เพื่อขออนุญาตดูกล้องวงจรปิดเพราะยังข้องใจกับเรื่องเมื่อคืน ภาพที่ปรากฎขึ้นบนจอคือภาพที่คุณลุงยืนคุยกับอากาศ แล้วเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เหตุขึ้นก็ปรากฎแค่คุณลุงคนเดียว ไม่มีผู้หญิงคนนั้นในภาพ และเมื่อภาพมาถึงช่วงที่ประตูห้องเปิดออกในจังหวะที่คุณลุงหันหลังกลับแล้ววิ่งไป กระบอกไฟฉายที่พกไปด้วยนั้นก็หล่นลงมาและกลิ้งเข้าไปในห้องนั้น เมื่อเห็นอย่างนั้นคุณลุงก็ได้แต่ขนลุกพลางว่า ถ้าเกิดขึ้นไป ตนนั้นก็อาจจะไม่มีโอกาสได้ลงมาอีกเลย

       หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น คุณลุงจึงเริ่มปรับตัวกับการอยู่เฝ้ายาม เช่น นำพระมาห้อยจนเต็มคอ เริ่มตรวจตึกตั้งแต่ 6 โมงเย็นแล้วรีบกลับมาที่ป้อมยาม แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถทนได้ จึงขอลาออก คุณลุงได้บอกกับเจ้าของตึกว่า

       “ผมขอออกนะครับ แต่ผมจะอยู่จนกว่าจะหาคนได้”

       เจ้าของตึกจึงบอกว่า“เดี๋ยวจะเอาหัวหน้ารปภ. จากสาขาอื่นมาเปลี่ยน เดี๋ยวเขาจะมาดูงานและมาเปลี่ยนคืนนี้แหละ อยู่ให้อีกสักคืนนะลุง” คุณลุงก็รับปากจะอยู่ให้ 

       จากนั้นคุณลุงก็ทำตามกิจวัตรปกติตามเดิม พอกลับมาพักที่ป้อมยาม ผ่านไปสักพักคุณลุงก็สะดุ้งตื่นขึ้นเพราะเสียงเคาะเหมือนคนเอากำปั้นทุบกระจก คุณลุงจึงรีบเปิดประตูออกมา และสิ่งที่คุณลุงได้เห็นคือมีผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดรปภ. อายุประมาณ 40 ปีกว่า ๆ ร่างอวบนิด ๆ และผู้หญิงคนนั้นยังจองมาที่คุณลุงตาเขม็งพร้อมบอกว่า

       “เป็นรปภ. ที่นี่ยังไง นอนหลับไม่ดูป้อมไม่ตรวจตาเลยเหรอ แล้วดูซิเนี่ย! แต่งตัวทำไมไม่เอาเสื้อเข้ากางเกง ก็สมควรแหละที่ได้ออก ทำตัวไม่ได้มีความเป็นรปภ.เลย ฉันจะมาเปลี่ยนนะ แล้วจะมาดูความเรียบร้อยด้วย มาดูความประพฤติกรรมด้วยว่าเป็นยังไง”

       ได้ยินแบบนั้นคุณลุงก็ตกใจ นอกจากนี้ ผู้หญิงรปภ. คนนี้ก็ไปนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้หินอ่อนข้างป้อมยาม คุณลุงจึงกลับไปนั่งในป้อม แต่ก็ได้แต่นั่งเกร็งเพราะมีคนจ้องอยู่ด้านนอก คุณลุงไม่รู้จะทำอะไรจึงหยิบยาดมขึ้นมาดม แต่ก็มีเสียงตะโกนมาว่า

       “อย่าดม! อย่าดม! เหม็น! ทำไมต้องดมยาดม เป็นคนเสพติดของพวกนั้นหรอ”

       คุณลุงก็คิดในใจว่าแค่ดมยาดมก็ไม่ได้หรอ แต่คุณลุงก็เก็บยาดมไป นั่งไปได้สักพักคุณลุงก็เผลอหลับไป แต่ก็ยังสะดุ้งตื่นและลุกมาดูแถวโต๊ะไม้หินอ่อนว่ามีใครอยู่รึเปล่า แต่ก็ไม่มีใคร มีแค่โต๊ะโล่ง ๆ คุณลุงก็สงสัยว่าหัวหน้ารปภ. ผู้หญิงคนนั้นหายไปไหน คุณลุงจึงเดินขึ้นไปชั้น 1 ที่ห้องประชาสัมพันธ์ ซึ่งเวลานั้นก็ไม่มีใครอยู่แล้ว พอไปถึง คุณลุงก็มองหารปภ.ผู้หญิง แต่ก็หาไม่พบ คุณลุงก็คิดว่าเขาคงกลับไปแล้ว คุณลุงจึงเดินออกมาข้างหน้าตึกพร้อมกับหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ แต่งตัวสบาย ๆ เอาเสื้อออกนอกกางเกงเหมือนอย่างที่เคยทำ สักพักก็ได้ยินเสียงแว่วมา ในเวลานั้นเองได้มีร่างของคนร่วงลงมาจากข้างบนตึกแล้วตกลงที่ตรงหน้าของคุณลุงพอดี!สภาพของร่างนั้นเป็นกองเนื้อที่กระจายเต็มหน้าคุณลุง แขน ขาบิดผิดรูป คุณลุงจึงได้แต่อึ้งค้างอยู่แบบนั้นและในกองเนื้อนั้นก็มีหัวคนที่อยู่เป็นยอดเหมือนเชอร์รี่ที่อยู่บนก้อนเค้ก ซึ่งหัวคนนั้นก็คือหน้าของรปภ.ผู้หญิงคนนั้น แล้วถลึงตาหันมามองคุณลุง และบอกกับคุณลุงว่า

       “กูบอกให้เอาเสื้อใส่ในกางเกง!”

       หลังจากนั้นคุณลุงก็สลบไปทันที รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกส่งไปโรงพยาบาล ในตอนนั้นก็มีเจ้าหน้าที่นิติ และเจ้าของตึกมาเยี่ยมคุณลุง คุณลุงจึงเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนให้ทั้ง 2 คนฟัง หลังจากเล่าเสร็จคุณลุงจึงถามว่านั้นคือผีหรือเปล่า เจ้าหน้าที่นิติจึงตอบว่า

       “ไม่น่าจะเป็นผีนะคะ ที่นี่ไม่เคยมีรปภ. ผู้หญิง”

       คุณลุงจึงถามต่อว่า “แล้วบอกจะมีหัวหน้ามาดูงานกลางคืนไม่ใช่หรอครับ”

       เจ้าหน้าที่นิติก็ได้บอกว่า “ไม่ใช่ ที่จะมา เขามาพรุ่งนี้ แล้วเขาเป็นผู้ชาย เขาติดงาน มาไม่ได้”

       ได้ยินดังนั้นเจ้าของตึกจึงได้เอามือมาผลักเจ้าหน้าที่นิติออกและพูดเบาๆ ว่า

       “เธอไม่รู้ เธอพึ่งมา จริง ๆ เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน ฉันได้จ้างรปภ. ผู้หญิงมา”

       เจ้าของตึกจึงเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ได้สร้างตึกนี้เสร็จเมื่อ 30 ปีก่อน เจ้าของตึกได้คัดเลือกรปภ.ที่จะเข้ามาทำงานเฝ้าตึกด้านบนด้วย เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กำลังสร้างชั้นที่ 13 พอดี ซึ่งคนที่ต้องตรวจตราข้างบนก็คือ รปภ. ผู้หญิงคนนี้ เธอเป็นคนที่เข้มงวด ปากจัดมาก เนี๊ยบ ใครที่ไม่ถูกใจเธอก็มักจะด่าทันที จึงไม่ค่อยมีใครชอบเธอสักเท่าไหร่

       วันหนึ่งตอนประมาณ 6 โมงเย็น รปภ.ผู้หญิงคนนี้ก็ตกลงมาจากชั้นที่ 13 จนร่างกายแตกกระจายอยู่หน้าตึก และคนอื่น ๆ ก็ได้ตีความกันว่าเป็นคนงานที่มาสร้างชั้น 13 ทนกับคำด่าของรปภ.คนนี้ไม่ไหวจึงผลักเธอตกลงมา แต่ก็มีการปิดข่าวทำให้ข่าวเรื่องนี้เงียบไป คุณลุงที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดจึงใช้โอกาสนี้ในการลาออกทันที หลังจากนั้นคุณลุงก็นั่งโต๊ะทำงานเอกสารเป็นต้นมา

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากครูตรี ‘ห้องนั้น...ยังมีคนอยู่’ l อังคารคลุมโปง X ครูตรีมีเรื่องเล่า [ 24 มิ.ย.2568 ]

10 ก.ค. 2025

เรื่องเล่าจากครูตรี ‘ห้องนั้น...ยังมีคนอยู่’ l อังคารคลุมโปง X ครูตรีมีเรื่องเล่า [ 24 มิ.ย.2568 ]

‘ครูตรีมีเรื่องเล่า’ ได้เข้ามาเล่าเรื่องราวสุดหลอนของ ‘เกด’ นักเรียนตัวแทนแข่งขันวิชาการ ที่ต้องไปแข่งขันต่างจังหวัด นำไปสู่การค้างคืนจนเจอดี เพราะห้องนี้มี…อยู่ด้วย!! เกดจะต้องเจอกับอะไร? สามารถติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (24 มิถุนายน 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ ในเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ห้องนั้น…ยังมีคนอยู่’ ย้อนกลับไปในสมัยที่ครูตรีพึ่งจะได้เป็นครูใหม่ ๆ มีนักเรียนคนหนึ่ง เธอชื่อ ‘เกด’ เป็นเด็กนักเรียนในโรงเรียนขนาดเล็กที่ไม่มีทุน หากต้องการทุนหรือสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนต้องไปทำการแข่งขัน เช่น การแข่งขันวิชาการหรืองานประดิษฐ์ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเกดต้องไปแข่งขันวิชาการระดับจังหวัด โดยจะมีการเดินทางข้ามจังหวัด โรงเรียนมีให้ 2 ทางเลือกคือ 1. ไปค้างคืน แต่ต้องนอนค้างที่โรงแรม 2. ไป-กลับ แต่ต้องมาถึงโรงเรียนเวลาตีสามครึ่ง ในสมัยนั้น การเดินทางไป-กลับเป็นเรื่องที่ยากลำบาก จึงเลือกทางที่หนึ่งและให้โรงเรียนเจ้าภาพจัดหาที่พักให้ ทางโรงเรียนเจ้าภาพจึงจัดห้องไว้ให้ 6 ห้อง คือห้องชั้นประถมศึกษาปีที่ 1- 6 เผื่อโรงเรียนอื่น ๆ จะมาพักด้วย ทีมจากโรงเรียนเกดมีทั้งหมด 5 คน เป็นคุณครู 2 คน และนักเรียน 3 คน เมื่อถึงวันที่ต้องเดินทาง ก็มีรถตู้สภาพค่อนข้างเก่ามารับ ขณะเดินทางเกิดฝนตกหนัก รถตู้หลังคารั่วทำให้นักเรียนต้องย้ายไปนั่งกันเป็นกระจุก เมื่อรถเลี้ยวเข้าตัวอำเภอก็ได้แวะร้านสะดวกซื้อให้นักเรียนลงไปซื้อของ ช่วงนั้นฝนตกปรอย ๆ จึงมีเพียงเกดคนเดียวเท่านั้นที่ลงไปซื้อ ผ่านไปไม่นาน ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักทำให้เกดต้องวิ่งฝ่าฝนขึ้นรถ จนตัวเปียกชุ่มอยู่นานนับชั่วโมงกว่าจะถึงโรงเรียน เมื่อถึงโรงเรียนก็รีบไปลงทะเบียนรับห้องพักเพื่อที่จะได้รีบเปลี่ยนชุด ซึ่งเกดได้เป็นห้องชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และในช่วงนั้นตรงกับวันหยุดปิดเทอมจึงไม่มีนักเรียนคนอื่นนอกจากเด็กที่มาแข่งขัน บรรยากาศในห้องนี้มีกลิ่นอับจากเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ชื้นจากฝนตก รอบ ๆ มีฝุ่นเขรอะเนื่องจากเป็นช่วงปิดภาคเรียน ทำให้ไม่มีนักเรียนเข้ามาใช้งาน และไม่ได้ทำความสะอาด เมื่อเดินเข้าไปก็เจอที่นอน ซึ่งเป็นฟูกเบาะสีเขียวเรียงอยู่หน้ากระดานดำทั้งหมด 5 อัน จากนั้น นักเรียนและคุณครูก็เอาของไปเก็บประจำที่ และปล่อยให้พักผ่อนตามอัธยาศัย โดยตกลงกันว่าจะเจอกันอีกครั้งเวลา 16.00 น. เพื่อไปเดินดูสถานที่จริงในการแข่งขันของวันพรุ่งนี้ เมื่อถึงเวลา 16.00 น. ทุกคนเดินไปดูสถานที่ โดยห้องที่ใช้สอบวิชาการจะต้องเดินข้ามสนามไป ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตึกห้องพัก เมื่อทราบห้องแข่งแล้ว เกดก็เกิดอาการปวดหัว เริ่มมีไข้ อาจเป็นเพราะตากฝนแล้วตากแอร์เป็นเวลานาน ครูจึงให้กลับไปพักผ่อนก่อน ส่วนอีก 3 คนยังคงไปกับครูเพื่อดูสถานที่ต่อ ระหว่างที่เกดเดินทางกลับห้องพักนั้น เกดเห็นลุงคนหนึ่งคล้ายภารโรงกำลังหาของอยู่ในห้องเก็บของขนาดใหญ่ของโรงเรียน จึงจะเข้าไปช่วยหาแต่เกิดอาการปวดหัวเสียก่อน ทำให้เปลี่ยนใจไม่เข้าไป เวลาล่วงเลยไปถึงเวลา 17.00 น. ฟ้ายังไม่มืด เกดจึงไม่ได้เปิดไฟและนอนหลับไป ผ่านไปไม่นานก็มีเสียงแว่วว่า “หนูหนาว” เกดพยายามบอกตัวเองว่าไม่มีอะไร สักพักก็มีเสียงแว่วอีกรอบว่า “หนูหนาว” เกดยังไม่ปักใจเชื่อ จากนั้นก็มีเสียง ครืดด ครืดด เป็นเสียงลากเก้าอี้เข้ามาใกล้กระดานดำ ซึ่งเป็นบริเวณที่เกดนอนอยู่ เธอจึงตัดสินใจลืมตา ปรากฏว่าก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ประจวบเหมาะกับช่วงเวลานั้นมีเพื่อนโรงเรียนอื่นเข้ามาพักห้องข้าง ๆ พอดี เกดคิดในแง่ดีว่าอาจจะเป็นเสียงจากห้องข้าง ๆ จึงพลิกตัวนอนหงายและหลับต่อ เวลาล่วงเลยไปนานจนกระทั่งเกดรู้สึกว่ามีน้ำเย็น ๆ หยดลงบนใบหน้า แต่ก็คิดว่าฝ้ารั่วจึงขยับที่นอน ทันใดนั้นสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อลืมตากลับเห็นเป็นผู้ชายหน้าบวม ตาแดง ยืนก้มหน้าลงมาจ้องอยู่ น้ำที่หยดใส่หน้าก็เป็นน้ำจากผู้ชายคนนี้ เกดพยายามขยับตัวก็ทำไม่ได้ จะกรี๊ดก็ไม่ได้ จึงพยายามเกร็งและหันหน้าหลบ แต่ก็พบเข้ากับต้นตอเจ้าของเสียง “หนูหนาว” เป็นเด็กผู้ชายยืนอยู่ข้าง ๆ ลักษณะบวมน้ำไม่ต่างจากคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า! โชคดีที่จู่ ๆ ก็มีเสียงเปิดประตู-เปิดไฟ ซึ่งเป็นคุณครูและเพื่อนกลับมาพอดี ทำให้ทั้ง 2 ร่างนี้หายไป เกดตั้งสติได้ก็โผเข้ากอดครูทันที เธอร้องไห้และเล่าเรื่องที่เจอให้ฟัง ครูก็เชื่อทุกอย่าง จึงสั่งให้เกดไปนั่งรวมตัวกับเพื่อนและครูจะไปหาคำตอบให้ ครูไปถามทุกคนที่พอจะเกี่ยวข้อง ตั้งแต่คุณครูโรงเรียนนี้ ป้าแม่บ้าน ภารโรง ฯลฯ เขากลับตอบว่าไม่เคยมีใครเจอเรื่องนี้ในโรงเรียน จะเป็นไปได้มั๊ยที่นักเรียนป่วยจึงคิดไปเอง ครูจึงไม่กล้าเถียงต่อ และปล่อยเหตุการณ์ครั้งนี้ไป เช้าวันแข่งขันวิชาการ ตามกำหนดการหากชนะจะมีการมอบรางวัลเวลา 15.30 น. แต่ผลกลายเป็นทุกคนตกรอบแรก สามารถกลับบ้านได้ ครูจึงประสานรถตู้โรงเรียนให้มารับแต่รถกลับไม่ว่าง ต้องรอให้ถึงเวลาที่กำหนด ระหว่างรอมีโรงเรียนที่เป็นทางผ่าน ครูจึงขออนุญาตเขาติดรถกลับไปด้วย เขาตอบตกลง ระหว่างนั่งบนรถก็พูดคุยว่าการแข่งขันพลาดตรงไหน จนเข้าสู่เรื่องเมื่อคืน.. “เมื่อวานนี้ลูกศิษย์ของหนูถูกผีหลอก” ครูเล่าเรื่องให้อีกโรงเรียนฟัง ปรากฏว่ามีครูคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “น่าจะเป็นยิ่ง” ทุกคนทำหน้าสงสัย ครูจึงบอกว่าเคยอยู่ที่นี่มาก่อนจะแต่งงานและย้ายไป เรื่องเกิดเมื่อปี พ.ศ. 2554 จังหวัดนี้เป็นจังหวัดที่น้ำท่วมสูงมิดหลังคา ในปีนั้นน้ำไหลเร็วมาก ‘ยิ่ง’ คือเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนนี้ ช่วงนั้นปิดเทอมมีการดูแลโรงเรียนเป็นเรื่องปกติ ยิ่งจึงพาลูกมาด้วย ลูกก็วิ่งเล่นตามประสาเด็ก แต่เมื่อน้ำมายิ่งออกตามหาลูกเพื่อที่จะพากลับบ้าน แต่กลับหาไม่เจอ จากนั้นทุกคนก็อพยพกันไปหมด หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบไปจนน้ำลดและเมื่อมีการเข้ามาเคลียร์พื้นที่ก็พบศพของยิ่งและลูกอยู่ในห้องชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หรือห้องพักของเกดนั่นเอง ความจริงที่ห้องนั้นอับและชื้นเป็นเพราะห้องตรงนั้นไม่ได้มีการเปิดใช้งาน เนื่องจากอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถใช้งานได้แล้ว คุณครูไม่พูดจบแค่นี้ ยังพูดขึ้นมาว่า “ดีนะ ไม่เจอลุงชัด” ทุกคนบนรถสงสัยว่าคือใคร ? ‘ลุงชัด’ เป็นพ่อของยิ่งซึ่งเป็นภารโรงของโรงเรียนนี้ หลังจากยิ่งและหลานตาย เขาก็ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า ทำงานได้ระยะหนึ่งก็ลาออกไป ก่อนลาออกได้มีการตามหากรอบรูปที่มี ลุงชัด ยิ่งและลูก ที่ถูกถ่ายในวันพ่อ ภาพนี้หายไปช่วงน้ำท่วม นอกจากนี้ พวกโต๊ะเก้าอี้ที่ผุพังจากน้ำท่วมจะถูกรวมไว้ในห้องเก็บของขนาดใหญ่ทั้งหมด ลุงชัดจะมาค้นหาภาพทุกวัน ทุกคนก็เข้าใจได้ เพราะนั่นอาจเป็นสิ่งเดียวที่พอจะทำให้ยิ่งและหลานยังอยู่ในความทรงจำของลุงชัด วันหนึ่งในช่วงปิดเทอม ครูเวรเดินตรวจโรงเรียนก็พบว่าลุงชัดนอนเสียชีวิตอยู่ในห้องเก็บของด้วยโรคประจำตัว สภาพขึ้นอืดเนื่องจากเสียชีวิตไปหลายวัน หลังจากเคลียร์เรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่โรงเรียนต้องเจอคือไม่ว่าใครที่กลับเย็น-ค่ำ จะพบกับลุงภารโรงเดินไปมาเหมือนหาอะไรบางอย่าง ครั้งหนึ่งเคยมีเหตุการณ์เด็กลืมการบ้านไว้จึงกลับมาเอาในตอนเย็น แต่ห้องดันปิดแล้ว เดินลงมาเจอกับลุงภารโรงจึงวิ่งไปขอให้เปิดห้องให้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือลุงภารโรงหันมาพร้อมกับใบหน้าที่เละ เด็กช็อคร้องไห้วิ่งกลับไปหาพ่อ จนไข้ขึ้น ไม่นานก็ลาออกจากโรงเรียนไป หลังจากนั้นช่วงเย็นก็จะไม่มีใครเดินไปแถวห้องเก็บของเลย เกดจึงบอกว่า “จริง ๆ หนูก็เจอเหมือนกัน ดีที่ปวดหัวจึงไม่เดินเข้าไปทัก” หลังจากนั้นเวลาเกดไปแข่งขันวิชาการจะเลือกการแข่งแบบไปเช้าเย็นกลับเสมอ ไม่ค้างคืนที่โรงเรียนไหนอีกเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

‘ใหม่ รอเรน’ ถูกไหว้วานให้มาช่วยทำธีสิสในยามวิกาล!

06 ต.ค. 2023

‘ใหม่ รอเรน’ ถูกไหว้วานให้มาช่วยทำธีสิสในยามวิกาล!

เรื่องหลอนในครั้งนี้ มาจากประสบการณ์ตรงของอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังอย่าง ‘ใหม่ รอเรน’ กับเรื่องหลอนในรั้วมหาวิทยาลัยที่ชื่อว่า ‘ธีสิสสยอง’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 ตุลาคม 2566) พร้อมด้วย ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านพร้อมกันเลย! ย้อนกลับไปในสมัยที่คุณใหม่ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในช่วงนั้นคุณใหม่เองบอกว่าเธอพักอยู่ที่หอพักนอกจึงทำให้เธอสะดวกสบายเรื่องเวลาจะออกไปไหนมาไหน เพราะไม่ได้มีกฎ เข้า-ออก ที่ตายตัวเหมือนกับหอภายในมหาวิทยาลัย ด้วยเหตุนี้เอง คุณใหม่จึงถูกไหว้วานจากรุ่นพี่ที่รู้จัก นามสมมุติ ‘พี่ส้ม’ ให้มาช่วยทำโปรเจกต์จบในเวลากลางคืนที่คณะของพี่ส้ม เนื่องจากพี่ส้มนั้นเรียนเภสัชและกำลังทำการทดลองในห้องแล็บเกี่ยวกับสารเคมี แต่ด้วยระยะทางจากบ้านของพี่ส้มมายังมหาวิทยาลัยค่อนข้างไกล และการทดลองนี้จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนย้ายสารเคมีอยู่ตลอด จึงทำให้พี่ส้มไม่สามารถที่จะทำการทดลองในเวลากลางคืนได้ เธอจึงได้ไหว้วานให้คุณใหม่ มาช่วยรับผิดชอบให้แทนในยามวิกาล คุณใหม่เล่าว่า บรรยากาศของคณะแพทยศาสตร์ค่อนข้างวังเวงมาก และยังต้องเดินผ่านห้องของอาจารย์ใหญ่อยู่บ่อยครั้ง ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวที่นี่ในเวลากลางคืนเป็นอย่างมาก และด้วยความที่คุณใหม่เองนั้นไม่ได้ศึกษาในคณะนี้ จึงไม่มีบัตรนักศึกษาประจำคณะ นั่นทำให้เธอต้องคอยหลบเจ้าหน้าที่เพื่อขึ้นไปที่ตึกในทุก ๆ คืน จากประสบการณ์ครั้งนี้ คุณใหม่เล่าว่าตัวเธอไม่ได้พบเจออะไรในระหว่างทำการทดลอง แต่ด้วยบรรยากาศของคณะแพทยศาสตร์ประกอบกับร่างอาจารย์ใหญ่ที่เธอต้องเจอในระหว่างทางเดิน ก็ทำเอาคุณใหม่รู้สึกขนลุกอยู่เหมือนกัน ไม่นานหลังจากที่คุณใหม่ช่วยพี่ส้มทำการทดลองสำเร็จ พี่ส้มก็เล่าเรื่องสยองระหว่างที่กำลังทำการทดลองให้คุณใหม่ฟัง พี่ส้มเล่าว่าส่วนตัวพี่ส้มเองเป็นคนชอบร้องเพลงมาก และในวันนั้นเธอกำลังทำการทดลองกับเพื่อนในห้องแล็บอยู่ 2 คน จังหวะที่เธอร้องเพลงพร้อมกับตบเท้าเป็นจังหวะดนตรี จู่ๆ หลังจากที่เธอหยุดร้องเพลงและเงียบไป ปรากฏว่าเธอได้ยินเสียงเท้าแทรกเข้ามาคล้ายกับสิ่งที่เธอทำไปเมื่อสักครู่ แต่ด้วยเธอเรียนสายแพทย์ก็ไม่ได้คิดหรือเอะใจอะไร เพราะคิดเพียงว่ามันเป็นเสียงสะท้อนจากห้องแล็บเท่านั้น วันต่อมา พี่ส้มก็มาทำการทดลองตามปกติ และยังอธิบายลักษณะของห้องทดลองเพิ่มเติมว่า ห้องแล็บเป็นห้องที่ค่อนข้างกว้าง มีโต๊ะยาวสำหรับการทดลองสองฝั่ง และมีตู้ไว้เก็บสารเคมีและอุปกรณ์ทดลองต่าง ๆ เป็นตู้กระจกยาว ซึ่งอุปกรณ์แต่ละอย่างก็อยู่กระจัดกระจายกัน ในระหว่างที่พี่ส้มกำลังจะเดินไปหยิบอุปกรณ์จากอีกจุดนึงไปยังอีกจุดนึง จู่ ๆ พี่ส้มก็เริ่มสังเกตเห็นเงาของตัวเองในกระจกเงานั้นมีลักษณะคล้ายกับผู้หญิง แต่เงานั้นไม่ได้ขยับตามตัวเธอไป และเห็นว่ามันกำลังเดินสวนกับเธออยู่หลายรอบ! พี่ส้มเริ่มเอะใจว่ามี ‘บางอย่าง’ อยู่กับเธอในห้องนี้ จากนั้น พี่ส้มและเพื่อนจึงตัดสินใจเก็บของ และเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างให้เร็วที่สุด จากนั้นก็กลับบ้านไป วันที่ 3 สำหรับการทดลองสารเคมีของพี่ส้มก็เป็นไปอย่างปกติ หลังจากที่ทำการทดลองเสร็จก็ชวนเพื่อนกลับบ้านเพราะตอนนั้นกำลังจะมืดแล้ว ขณะที่พี่ส้มกำลังเอื้อมมือไปเปิดประตู จู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังดันประตูสวนมาเพื่อเปิดมันมาจากด้านนอก! แต่ที่แปลกคือไม่มีใครอยู่ข้างนอกห้องนั้นเลย และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้พี่ส้มไม่กล้าเล่าให้คุณใหม่ฟัง เพราะกลัวว่าถ้ารู้จะทำให้คุณใหม่หวาดกลัวจนไม่กล้าที่จะมาที่นี่ หลังจากที่พี่ส้มเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณใหม่ฟัง คุณใหม่ก็ได้ทราบถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องแบบนี้กับพี่ส้มว่า มีนักศึกษาสาวคนหนึ่ง เธอต้องเข้ามาทำธีสิสจบเช่นเดียวกันกับพี่ส้ม ในวันนั้นเธอเกิดเคราะห์ร้ายประสบอุบัติเหตุ จนเสียชีวิต แต่ด้วยจิตสุดท้ายต้องมาที่ทำการทดลองที่มหาวิทยาลัย ทำให้ทุกคนเห็นเธอในลักษณะแบบนั้นนั่นเอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ย้ายหอไปกีที่ ก็เจอผีทุกรอบ!

25 ก.พ. 2024

ย้ายหอไปกีที่ ก็เจอผีทุกรอบ!

เรื่องนี้เป็นสายจาก ‘คุณตุ๊ก’ ที่โทรมาเล่าเหตุการณ์ที่เจอมากับตัวเองให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง x ’ (20 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการย้ายหอ ที่ไม่ว่าจะย้ายไปที่ไหนก็เจออะไรแปลก ๆ ทุกที่! เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านเลย คุณตุ๊กเล่าว่า เป็นช่วงที่คุณตุ๊กเรียน ปวส. ซึ่งจะต้องย้ายไปอยู่ในตัวจังหวัด และยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปอยู่หอรวมหรืออยู่คนเดียว คุณตุ๊กจึงขอไปอยู่กับรุ่นพี่ที่เขาอยู่กัน 3 คน เพราะคิดว่าถ้ามีเพื่อนก็คงไม่น่ากลัวเท่ากับอยู่คนเดียว ซึ่งมีความปลอดภัยและสะดวกกว่าอยู่หอรวม คุณตุ๊กก็ใช้ชีวิตปกติทุกวันจนมีอยู่คืนนึง คุณตุ๊กฝันว่า ได้ยินเสียงน้ำในห้องน้ำเปิดอยู่ จึงลุกขึ้นมาและมองไปที่ห้องน้ำ เห็นแสงไฟผ่านช่องประตูที่แง้มอยู่ จึงลุกขึ้นเดินไปกำลังจะเอื้อมมือไปปิดก๊อกน้ำ สายตาก็ดันไปเห็นเหมือนมีขาคนห้อยอยู่ คุณตุ๊กกำลังจะเงยหน้าขึ้นไปมอง แต่คุณตุ๊กยังไม่ทันได้มองก็สะดุ้งตื่น และพอหันไปมองทางห้องน้ำ แต่ห้องน้ำก็ปิดไฟมืดปกติ คุณตุ๊กคิดในใจว่า ‘คงแค่ฝันไป ห้องนี้ไม่มีอะไรหรอก’ หลังจากนั้นคุณตุ๊กก็ฝันแบบเดิมเรื่องเดิมอีกประมาณ 2-3 ครั้ง จึงตัดสินใจถามเพื่อนที่มาเช่าอยู่คนแรกที่ชื่อ ‘ดาว’ ว่า “ดาวอยู่ห้องนี้ เคยเจออะไรแปลก ๆ ไหม” เพื่อนก็ถามกลับว่า “เป็นอะไรหรือเปล่าตุ๊ก เจออะไร” คุณตุ๊กก็ไม่กล้าเล่าว่าตัวเองฝันร้าย เพราะกลัวว่าเพื่อนจะกลัว คุณดาวก็ได้บอกกลับมาอีกว่า “ไม่มีอะไรหรอก แถวนี้เจ้าที่เจ้าทางดีนะ” จากนั้นดาวก็เล่าให้ฟังว่าตอนที่มาอยู่ก่อนที่ ‘กล้วย’ และ ‘กานต์’ จะมาอยู่ด้วย ตนเคยนอนอยู่แล้วประตูข้างหลังบ้านเปิดออกเองและได้กลิ่นควัน ดาวก็ตกใจและเดินไปปิดประตู คุณตุ๊กนึกในใจว่าที่ห้องนี้มันต้องมีอะไรแปลก ๆ เพราไม่อย่างนั้นคงไม่ฝันแบบนั้น 3 รอบ เมื่อคุณตุ๊กได้สังเกตและมองไปรอบห้อง ก็เห็นสายสิญจน์โยงเข้ามาในห้อง เห็นแก้วกับหมากพลูที่แห้ง วางอยู่บนหิ้งเล็ก ๆ หลังประตู คุณตุ๊กก็คิดแค่ว่า อาจจะทำบุญหอแค่นั้น หลังจากนั้นคุณตุ๊กได้ไปสำรวจห้องของเพื่อนที่อยู่ติดกันอีก 3 ห้อง แต่ทั้ง 3 ห้องก็ไม่มีสายสิญจน์เหมือนห้องคุณตุ๊ก วันนึงเพื่อนทั้ง 3 คน จะต้องไปหาที่ฝึกงาน จึงมาถามคุณตุ๊กว่า “อยู่คนเดียวได้ไหม” คุณตุ๊กก็บอกว่า “อยู่ได้ เพื่อนข้างห้องอยู่กันเยอะแยะ” หลังจากที่เพื่อนทั้ง 3 คนไม่อยู่ ก็มีรุ่นพี่เรียกไปถามว่า “กล้าอยู่คนเดียวหรอ ห้องนี้มันมีคนเคยผูกคอตายนะ” คุณตุ๊กก็ตกใจ ทำอะไรไม่ถูก และหลังจากรู้เรื่องก็กลับมาเก็บของย้ายออกและให้เหตุผลกับเพื่อนว่าจะย้ายไปอยู่กับญาติ หลังจากที่คุณตุ๊กย้ายไปบ้านญาติ เป็นบ้านเดี่ยวอยู่กลางสวนส้มโอหลังวัด ในซอยจะเป็นซอยตัน มีบ้านอยู่ 5 หลัง บ้านที่คุณตุ๊กอยู่คือหลังที่ 4 หลังจากที่คุณตุ๊กอยู่ได้ไม่กี่เดือน แฟนคุณตุ๊กมาหาและนั่งคุยกันที่หน้าบ้านจนถึงประมาณ 1 ทุ่ม คุณตุ๊กได้สังเกตุเห็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 5 ขวบ เดินเขามาในซอย เดินมาถึงต้นกล้วยหน้าบ้านคุณตุ๊ก คุณตุ๊กก็พยายามจะมองหน้าเด็กแต่ก็เห็นแค่เป็นเงาๆ จากนั้นเหมือนเด็กคนนั้นจ้องมาทางคุณตุ๊กและยกมือขวามาดึกใบกล้วย ขึ้น-ลง ๆ ซ้ำๆ คุณตุ๊กจึงหันไปมองหน้าแฟนและหันไปมองต้นกล้วย เพื่อที่จะสื่อว่าเห็นเด็กคนนั้นที่อยู่ตรงต้นกล้วยไหม แต่แฟนคุณตุ๊กก็ทำหน้างง คุณตุ๊กจึงบอกออกไปว่า “เข้าบ้านกัน” แฟนสงสัยจึงถามกลับว่า “ทำไมมีอะไร” คุณตุ๊กไม่ตอบอะไร บอกแค่ว่า “เข้าบ้านก่อนเดี๋ยวบอก” หลังจากที่เข้ามาในบ้าน คุณตุ๊กได้ถามแฟนว่า “เห็นเด็กที่ยืนอยู่ตรงต้นกล้วยไหม” แฟนตอบว่า “ไม่เห็น” คุณตุ๊กก็คิดว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่คนแน่ ๆ เพราะมันก็มืดแล้ว คุณตุ๊กก็ไม่ได้ไปสืบว่าเด็กคนนั้นคือใคร เพราะมีคนบอกว่าแถวที่คุณตุ๊กอยู่ วัดนั้นผีดุ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากเจน The Ghost 'จุดจบบนเส้นขนาน' l อังคารคลุมโปง X เจน The Ghost [ 23 ก.ย.2568 ]

04 ต.ค. 2025

เรื่องเล่าจากเจน The Ghost 'จุดจบบนเส้นขนาน' l อังคารคลุมโปง X เจน The Ghost [ 23 ก.ย.2568 ]

นี่คือเรื่องหลอนจาก ‘เจ๊นก’ เจ้าของอู่รถที่กำลังตั้งครรภ์อ่อน ๆ วันหนึ่งเธอขึ้นดอยเพื่อนำสิ่งของไปช่วยเหลือชาวบ้าน จนได้พบกับยายแก่คนหนึ่ง ยายคนนี้ทราบว่าเธอท้อง จึงเอ่ยขอลูกกับเธอ เธอตอบตกลงโดยไม่ได้คิดอะไร หลังจากมอบการช่วยเหลือเสร็จ ก็ต้องไปทำภารกิจกู้ซากรถที่เกิดอุบัติเหตุตกเขา ซึ่งในซากรถคันนั้นยังมีร่างผู้เสียชีวิตติดอยู่! เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X เจน The Ghost’ (23 กันยายน 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘จุดจบบนเส้นขนาน’ เรื่องราวนี้เดิมทีถูกเล่าโดย ‘ป้าแมว’ ย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อ พ.ศ. 2534-2535 เจ้าของอู่ ‘เฮียฟุ่ย’ และภรรยา ‘เจ๊นก’ ธุรกิจของทั้งสองคนมีทั้งการนำเข้าชิ้นส่วนรถจากต่างประเทศ การจดทะเบียนเสียภาษีและบริการรถลากสำหรับอุบัติเหตุหรือการเสียหายของรถ ในส่วนของการนำเข้าชิ้นส่วนรถมาประกอบก็จะมีการทดสอบสมรรถภาพเครื่องยนต์อย่างการ ขึ้นเขา ขึ้นดอย หรือเข้าป่า ในเช้าวันธรรมดา การทำงานยังคงดำเนินอย่างปกติ การตรวจสอบสมรรถภาพรถในวันนั้นได้มีการขนขบวนไปกัน 4-5 คัน และทุกครั้งในการเดินทาง เฮียฟุ่ยและเจ๊นกก็จะแวะเวียนนำของไปบริจาคช่วยเหลือชาวบ้านที่อยู่บนป่าบนดอยอยู่เสมอ เมื่อถึงหมู่บ้าน ทั้งสองก็ได้ถามไถ่ถึงความต้องการในการช่วยเหลือของคนในชุมชน พอธุระเสร็จไปได้ด้วยดีจึงมีการจัดงานเลี้ยงขอบคุณ เฮียฟุ่ยและเจ๊นกมีลูกชายร่วมกัน 1 คน และตัวของเจ๊นกในตอนนั้นก็ตั้งครรภ์ได้อ่อน ๆ แต่ก็ไม่ได้นำเรื่องนี้ไปบอกใคร ในระหว่างงานเลี้ยงขอบคุณก็มีเสียงเพลงบรรเลงคลอ เจ๊นกก็ได้พบกับคุณยายคนหนึ่งที่เป็นคนพื้นเมืองหรือที่เรียกว่ากลุ่มชาติพันธุ์ วินาทีนั้นที่ยายเดินเข้ามาแตะท้องของเจ๊นกและยิ้มเผยซี่ฟันสีดำขลับพร้อมเอ่ยกับเจ๊นกว่า “ปี้! ถ้าปี้มีลูกสาว เฮาขอได้บ่ ?” “ได้สิ” เจ๊นกตอบกลับหญิงแก่โดยไม่ได้คิดอะไร ครั้นพอคุณยายจะเดินผ่านไปก็ได้หันกลับมาเอ่ยถามย้ำคำตอบนั้นอีกครั้ง “เฮาขอแล้วเน้อ” จนเมื่อได้ข้อมูลเกี่ยวกับหญิงมีอายุคนนั้นก็ได้รู้ว่า เดิมทีคุณยายเป็นหมอยา ซึ่งในความเป็นหมอยานั้นก็จะสามารถเป็นได้ทั้งสายขาวและสายดำ นั่นคือการช่วยเหลือผู้คนแต่ก็ทำคุณไสยใส่ผู้คนได้เช่นกัน แต่ตัวคุณยายได้ละเลิกการทำทั้งสองสิ่งนั้นไปแล้ว และกลับมาเลี้ยงหลานชายที่ผูกไว้ด้วยผ้าขาวม้าอยู่บนหลังเสมอ เจ๊นกเห็นแบบนั้นจึงเอ่ยถามยายไปว่า “อยากได้หลานสาวเหรอ ?” และก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า “อยากได้..” หลังจากนั้นทุกคนก็ต้องขับรถลงดอยแต่ในขณะที่กำลังจะเคลื่อนตัว เจ๊นกก็ได้ไปพบกับหัวหน้าหมู่บ้าน เขาได้บอกว่าเส้นทางที่ขึ้นมาอาจจะธรรมดาไปสำหรับการทดสอบรถ จึงได้เสนอเส้นทางใหม่ซึ่งเป็นระยะทางที่สั้นกว่าแต่มีความโหดกว่าเป็นเท่าตัว เมื่อมองเห็นว่าเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการทดสอบรถ จึงตัดสินใจขับไปตามเส้นทางนี้ ในระหว่างที่ขบวนรถเคลื่อนตัวเรียงกันไป เฮียฟุ่ยก็ได้สังเกตเห็นรถคันหนึ่งในแถวเกิดการไถลและพุ่งตกจากดอย สร้างความตกใจให้ผู้ร่วมเดินทางทุกคน แต่ถึงอย่างไรในความโชคร้ายก็ยังหลงเหลือความโชคดี เมื่อจุดเกิดเหตุตรงนั้นเป็นดอยที่ยังมีชั้นหินกั้นลงไปอีกขั้น ทำให้รถคันดังกล่าวไม่พลัดตกลงไปและตัวคนขับก็ปีนกลับขึ้นมาได้ หลังจากนั้นเฮียฟุ่ยและเพื่อน ๆ ก็ช่วยกันยกรถคันนั้นขึ้นมาแต่กลับกลายเป็นว่าพยายามออกแรงแค่ไหนก็ไม่สามารถดึงขึ้นมาได้อยู่ดี จนสุดท้ายเฮียฟุ่ยก็ตั้งใจอธิษฐานจิตไปยังรถคันนั้น เพื่อที่จะสื่อสารออกไปว่าตนนั้นไม่ได้จะทำอะไรไม่ดี แค่จะนำซากรถกลับไปเก็บไว้ให้เท่านั้นเอง ท้ายที่สุดคำร้องขอดังกล่าวก็เป็นผล เฮียฟุ่ยดึงรถขึ้นมาได้และหันกลับไปถามกับคนขับว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทางด้านของคนขับได้ให้คำตอบกลับมาว่า เขาเห็นเด็กผู้ชายใส่ชุดชาติพันธุ์เดินอยู่ริมทาง แต่เมื่อหันหน้ากลับมาก็พบว่านัยน์ตาและหน้าอกของเด็กคนนั้นมีลูกธนูปักอยู่! ความหลอนได้ช่วงชิงลมหายใจของเขาไป จนกระทั่งเด็กหนุ่มพุ่งตัวเข้ามาที่รถอย่างรวดเร็วทำให้เขาต้องหักพวกมาลัยหลบและพลัดตกลงเขาไปในที่สุด หลังจากเหตุการณ์อลหม่านได้ผ่านพ้นไป ก็มีสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์เฮียฟุ่ย ปลายสายได้แจ้งกับเฮียฟุ่ยว่า มีรถเกิดอุบัติเหตุจึงต้องการให้มาลากรถไป คนขับรถคันนั้นเป็นน้องผู้หญิงคนหนึ่ง ขับรถชนแต่ไม่มีคู่กรณี เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้หญิงสาวเจ้าของรถ เสียชีวิตทันที แม้จะกังวลว่าเวลาอาจจะล่วงเลยไปจนถึงดึกดื่น แต่ทั้งสองก็ตัดสินใจขับรถออกไปทำงานนี้ให้เสร็จ ในระหว่างที่รถยังคงสัญจรอยู่ เจ๊นกสังเกตเห็นได้ว่าสามีของตนเกิดอาการตาแข็งในขณะที่ขับรถอยู่ หนำซ้ำยังขับไปในทางที่ไม่ควรจะไป จนสุดท้ายจึงได้รู้ว่ามันเป็นเส้นทางที่พาทั้งคู่ไปยังจุดเกิดเหตุ ตำแหน่งที่หญิงสาวคนนั้นเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต ด้วยความตื่นตระหนก เจ๊นกก็ได้ถามสามีซ้ำ ๆ ว่าทำไมถึงขับมาตรงนี้ ด้านเฮียฟุ่ยเมื่อได้สติก็ได้เอ่ยถามกลับไปเช่นเดียวกันว่าตนนั้นมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ความสับสนมึนงงทำให้ทั้งสองคนตัดสินใจขับรถออกมาจากจุดนั้นแล้วไปที่สถานีตำรวจ หลังจากสอบถามเรื่องราว ตำรวจที่ดูแลคดีนี้ก็ได้อธิบายเพิ่มว่า ในกรณีนี้คล้ายกับว่าเจ้าของรถขับรถอยู่แล้วดันไปไถลชนเข้ากับข้างทาง ลักษณะของน้องผู้หญิงคนนั้นที่ถึงแม้ว่าจะเสียชีวิตไปแล้วแต่สองมือยังคงกำพวงมาลัยแน่น ลำคอหักงอพาดไปกับประตู หากสังเกตดูข้างรถยังมีคราบเลือดไหลมาเป็นทาง แม้จะหวาดกลัวแต่ทั้งสองคนก็ช่วยกันยกซากรถกลับไปที่อู่ เรื่องราวระทึกขวัญที่ได้รับฟังมาทำให้การเดินทางบนท้องถนนครั้งนี้ไม่ง่ายอีกต่อไป เมื่อเฮียฟุ่ยได้ขับรถวนกลับไปที่จุดเกิดเหตุเหมือนเดิมราวกับว่าสติของตนได้หายไปแล้ว เจ๊นกในตอนนั้นกลั้นใจเหลือบไปมองกระจกหลังก็พบเข้ากับซากรถที่ภายในห้องโดยสารนั้นมีผู้หญิงพยายามตะเกียกตะกายออกมาจากรถทางช่องหน้าต่าง จนในที่สุดตัวของผู้หญิงคนนั้นก็ไถลออกมาและยืนอยู่บนรถลากไม่ยอมขยับไปไหน เจ๊นกเห็นดังนั้นก็อธิษฐานจิตไปว่า เธอไม่ได้จะทำอะไรกับรถแค่จะเอาไปซ่อมแซมให้ เพราะฉะนั้นขอให้เธอเดินทางกลับบ้านได้โดยดี ปรากฏว่าหญิงสาวคนนั้นก็หายไป แต่ดวงชะตาชีวิตก็โดนเล่นตลกใส่ เมื่อเฮียฟุ่ยได้รับสายว่ามีความจำเป็นที่จะต้องไปทำงานที่เชียงราย ทำให้เจ๊นกต้องอยู่กับอาม่าและลูกชายด้วยกันสามคนในคืนนั้น ในช่วงเวลาประมาณตี 1 อยู่ ๆ ลูกชายก็เกิดอาการป่วย ทำให้เจ๊นกต้องเดินไปเอายาที่สำนักงานซึ่งในทางที่เดินไปนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอกับซากรถของผู้หญิงคนเดิม แต่ยิ่งไปกว่านั้นยังมีรถที่เพิ่งโดนยกเข้ามาใหม่ ภายในตัวรถมีรอยกระสุนและคราบเลือดที่เบาะคนขับแต่ตามข้อมูลคือรถคนนี้เกิดอุบัติเหตุรถชนจนเสียชีวิต ทำให้รู้ว่าเจ้าของรถคนแรกถูกยิงเสียชีวิต หลังจากนั้นก็นำรถมาปรับปรุงและนำไปขายจนเกิดเป็นอุบัติเหตุรถชนในครั้งที่สอง เจ๊นกในวินาทีรับรู้ได้ทันทีว่าภายในอู่รถของตนเองไม่ได้มีเพียงดวงวิญญาณแค่ดวงเดียวแต่ยังมีถึง 3 ดวงวิญญาณ! แม้จะหวาดกลัวแต่เจ๊นกก็กลั้นใจวิ่งไปที่สำนักงาน หยิบยาที่ต้องการแล้วตั้งใจจะหันหลังกลับแต่ในจังหวะนั้นเองก็ได้ยินเสียงเหล็กลั่น เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับผู้หญิงคนเดิมเดินวนรถตัวเองอยู่ ในใจได้แต่หวังให้มีใครสักคนเข้ามาช่วยตัวเองจากสถานการณ์ตรงหน้าแล้วมันก็เป็นผล! สัมผัสจากแขนเรียกสติเจ๊นกกลับมา เมื่อลืมตาขึ้นมองก็พบกับอาม่ายืนอยู่และพูดกับเจ๊นกว่า “นังหนู! ไปเลยนะ เดี๋ยวตรงนี้ยายจัดการเอง” ได้ยินเช่นนั้นเจ๊นกก็เลยรีบวิ่งกลับมาที่บ้านแต่พอเปิดประตูเข้าไปก็พบว่า อาม่าและลูกชายกำลังนอนอยู่! ครั้นพอลองทบทวนเรื่องราวทั้งหมด ก็พลันนึกขึ้นได้ว่าอาม่าไม่เคยเรียกเจ๊นกว่า ‘นังหนู’ และไม่เคยแทนตัวเองว่า ‘ยาย’ เช้าวันถัดมา เจ๊นกตัดสินใจไปทำบุญให้กับเจ้าที่ เพราะลักษณะการใช้คำพูดดูเป็นคนไทย หลังจากทำบุญเสร็จ เจ๊นกก็สั่งรื้อรถคันของน้องผู้หญิงคนนั้น จนไปเจอเข้ากับต่างหูเพชรคู่หนึ่งหล่นอยู่ เจ๊นกโทรเรียกญาติของผู้เสียชีวิตมารับไป คุณแม่ของผู้หญิงคนนั้นก็ได้บอกว่าลูกสาวเขาขอให้ซื้อต่างหูคู่นี้ให้เพราะตั้งใจจะใส่ไปหาคุณพ่อคุณแม่หลังถ่ายรูปรับปริญญา แต่สุดท้ายแล้วดันไปไม่ถึง.. หลังจากนั้นมาเจ๊นกก็ได้คลอดลูกสาว เวลาผ่านไปแรมปีลูกสาวก็ได้ไปทำงานเป็นครูอาสาบนดอยและได้ไปพบรักกับหนุ่มบนนั้นและได้ตัดสินใจแต่งงานกัน ตัวของลูกสาวเดิมทีชื่นชอบในการดูหนังจีนและตั้งใจจะตั้งชื่อลูกว่า ‘นกกระเรียน’ ซึ่งเป็นกระบวนท่าหมัดมวยที่ตนเองชื่อชอบ แต่เจ๊นกลับมองว่าชื่อนี้ไม่ค่อยเพราะ จึงตั้งชื่อที่คล้ายคลึงกันว่า ‘คาเรน’ และด้วยความบังเอิญความหมายนั้นก็ไปพ้องกับคำในภาษาอังกฤษที่เอาไว้ใช้เรียกกลุ่มคนชาติพันธุ์ ซึ่งก็คือ ‘ชาวกระเหรี่ยง’ ที่เจ๊นกได้เคยเข้าไปช่วยเหลือ และเด็กผู้ชายที่ได้กลายมาเป็นเจ้าบ่าวของลูกสาวก็คือหลานชายของคุณยายที่ได้เจอในครานั้น พลันเสียงที่เคยได้ยินผุดขึ้นมาอีกครั้ง “เฮาขอเน้อ” คำขอที่ในตอนนี้เธอได้เข้าใจความหมายของมันแล้ว(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1