เรื่องเล่าจากคุณจอย 'ทางที่ต้องเลือก' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 22 ต.ค. 2567]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณจอย 'ทางที่ต้องเลือก' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 22 ต.ค. 2567]

26 ต.ค. 2024

     ขนหัวลุกไปกับเรื่องหลอนจาก ‘คุณจอย‘ ในเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ทางที่ต้องเลือก’ จากรายการอังคารคลุมโปง X (22 ตุลาคม 2567) โดยมี ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ หลอนไปพร้อมกัน เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่วิญญาณคุณจอยออกจากร่าง และเกือบจะเลือกทางผิด! จะหลอนขนาดไหน ไปอ่านพร้อมกันเลย!

     คุณจอยได้เล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว ตอนนั้นคุณพ่อเเละคุณแม่ทำงานอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งบริษัทก็มีบ้านพักไว้ให้พนักงาน บ้าน 1 หลังให้พัก 2 ครอบครัว ครอบครัวของคุณจอยพักอยู่ชั้นล่าง ครอบครัวพี่ปรีชาอยู่ชั้นบน ในตอนนั้นคุณจอยทำงานที่โรงพยาบาลหนักจนมีความเครียดสะสม ทำให้มีอาการปวดท้องบ่อย

     โดยปกติเเล้วเวลาเลิกงานของคุณจอยคือ 2 ทุ่ม เเต่วันนั้นพี่หัวหน้าพยาบาลเห็นอาการของตนไม่ค่อยดี จึงบอกให้คุณจอยกลับก่อน ตนจึงกลับถึงบ้านเวลาประมาณ 1 ทุ่ม เมื่อถึงบ้านเเล้วตนรู้สึกหิวข้าวมากจึงเดินไปหาคุณเเม่เเล้วถามว่ามีอะไรให้กินหรือไม่

     คุณเเม่ : อ่าว เวลานี้มันจะมีอะไรกินล่ะ ก็เห็นปกติเเล้วเห็นซื้อมากิน

     คุณจอย : พอดีวันนี้ไม่สบาย ก็เลยกลับมาบ้านเลย ก็ไม่คิดว่าที่บ้านจะไม่มีอะไรกิน

     คุณเเม่ : งั้นไปซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากินสิ

     คุณจอยที่ไม่สบายและเหนื่อยจากการทำงาน ทั้งยังรู้สึกหิวแต่ที่บ้านกลับไม่มีอะไรกิน ก็เริ่มน้อยใจแม่  จึงเดินเข้าห้องตัวเองเเล้วนั่งร้องไห้กับพื้น ไม่มีใครรู้ว่าคุณจอยร้องไห้ยกเว้นน้องเพราะนอนห้องเดียวกัน หลังจากร้องไห้ได้สักพัก คุณจอยก็รู้สึกแน่นหน้าอก มือเท้าชา เเล้วก็ฟุ้บลงไปกับพื้น! ในตอนนั้นรู้ว่าตัวเองชักเกร็ง จากนั้นน้องก็เดินเข้ามาเห็นเเล้วก็ตะโกนเรียกแม่ ในตอนนั้นคุณพ่อคิดว่าตนเรียกร้องความสนใจ เพราะคุณพ่อทราบเรื่องที่คุณจอยทะเลาะกับคุณแม่เรื่องของกิน เมื่อคุณแม่มาเห็นสภาพคุณจอยที่ชักตาตั้ง น้ำลายไหลอยู่กับพื้น เห็นท่าทีไม่ค่อยดีจึงอุ้มคุณจอยไปโรงพยาบาล คุณพ่อกับพี่ปรีชาก็ออกไปเรียกรถเเท็กซี่ มีเเท็กซี่คันหนึ่งจอดแต่กลับบอกว่า

     “ไม่รับ ผมไม่เอา ผมกลัวไปตายในรถผม หาคันใหม่นะครับ“

     ในตอนนั้นเป็นช่วงกลางดึก จึงทำให้หารถยากมาก ระหว่างนั้น คุณจอยนอนอยู่บนตักแม่โดยมีเเม่กอดอยู่ จากนั้นก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาตีหัวเเล้วเหมือนมีแรงผลักทำให้ลุกขึ้น! เเล้วความรู้สึกที่แน่นหน้าอกก็หายไป ตนได้ยินเสียงร้องไห้มาจากข้างหลังจึงหันไปดู ภาพที่ตนเห็นคือเห็นแม่กอดตนอยู่! มีน้องนั่งอยู่ข้าง ๆ ส่วนคุณพ่อกับพี่ปรีชากำลังเรียกรถ ตนจึงได้เเต่คิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น? จิตหลุดหรือเราตายไปแล้วหรือยัง ตนได้เเต่ยืนร้องไห้ดูตัวเอง ตนจึงรู้สึกผิดที่โกรธเเม่ จากนั้นก็พยายามที่จะจับเเม่เเต่ก็จับไม่ได้ เรียกก็ไม่มีใครได้ยิน

     จากนั้น ก็ได้ยินเสียงดังมาจากหลังบ้านว่า

     “มานี่ มาทางนี้”

     เป็นเสียงผู้ชายดุ ๆ เมื่อตนมองไปก็เห็นเป็นผู้ชายร่างใหญ่ สูง ไม่เหมือนคนเเล้วมีควันลอยฟุ้งเต็มไปหมด จากนั้นก็เริ่มเสียงดังขึ้น

     “มานี่! เดี๋ยวนี้!”

     คุณจอยรู้สึกเหมือนโดนสะกดจิต คิดว่าคงมารับจึงก้าวขาไปหา เเต่ในขณะที่กำลังจะก้าวก็มีเสียงตายายเรียกจากอีกฝั่งหนึ่งว่า

     “อีหนู! จะไปไหนลูก”

     ตนจึงหยุดเเล้วก้าวกลับมาที่เดิม เมื่อหันไปทางเสียงนั้นตนก็รู้สึกต่างกับฝั่งซ้าย ฝั่งขวามันสว่างเหมือนตอนเช้า เห็นตายายใส่โจงกระเบนยืนอยู่เเล้วเรียกว่า

     “อีหนูมานี่ลูก มันไม่ยังไม่ถึงคราวเอ็ง จะไปทำไม”

     ด้วยความรู้สึกว่าฝั่งขวามันน่าไปกว่า จึงตัดสินใจก้าวขาเดินไปตายาย เมื่อตนก้าวไปขาเหยียบลงพื้น ทันใดนั้นตนก็กลับมารู้สึกแน่นหน้าอกเหมือนเดิม เเล้วลืมตาขึ้นเห็นเเม่ร้องไห้ ผ่านไปไม่นานตนก็รู้สึกดีขึ้น ไม่เจ็บไม่ปวดแล้วเเต่รู้สึกเพลีย ในตอนเช้าจึงไปเช็คร่างกายที่โรงพยาบาล

     เมื่อกลับมาจากโรงพยาบาลก็ได้เดินไปที่ศาลตายาย เมื่อส่องเข้าไปดูก็เห็นชุดที่ตายายใส่นั้นเป็นชุดเดียวกันกับที่ตนเจอเมื่อคืน หลังจากนั้นคุณจอยก็เห็นตายายตลอด เพราะเวลานอนตนจะเปิดหน้าต่างรับลมเอาไว้ เเต่คุณจอยไม่ได้รู้สึกกลัวเพราะตายายมาหาเหมือนมาช่วยตนให้พ้นจากอันตราย..

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ขับรถไปฟังเพลงไป อยู่ดี ๆ เพลงก็เปลี่ยนกลายเป็นรายการเล่าเรื่องผี!

02 ต.ค. 2023

ขับรถไปฟังเพลงไป อยู่ดี ๆ เพลงก็เปลี่ยนกลายเป็นรายการเล่าเรื่องผี!

‘ถนน’ เป็นอีกสถานที่อันดับต้น ๆ ที่เรามักจะเจอเรื่องหลอนกันบ่อย ๆ ครั้งนี้ ‘พี่แจ็ค The Ghost Radio’ ก็นำเรื่อง ‘ถนนในตำนาน’ มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (19 กันยายน 2566) ฟัง บอกเลยว่าเรื่องพีคจน ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ต้องอุทานเสียงหลง! เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ปิดไฟแล้วแท็กเพื่อนมาอ่านไปพร้อมกันเลย! พี่แจ็คเล่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจาก ‘คุณเติ้ล’ เหตุการณ์หลอนเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนเมื่อปี พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมา คุณเติ้ลมีอาชีพเกี่ยวกับการจัดงานอีเวนต์ตามห้างสรรพสินค้า ซึ่งต้องรอให้ห้างสรรพสินค้าปิดทำการก่อน คุณเติ้ลจึงจะสามารถเข้าไปเตรียมงานอีเวนต์ได้ วันหนึ่ง คุณเติ้ลได้ไปจัดงานอีเวนต์ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทีมงานก็จัดเตรียมสถานที่ตามปกติ เมื่อเตรียมเสร็จก็ต้องไปทำงานที่จังหวัดกระบี่ต่อ จึงแบ่งออกเป็น 2 ทีม ทีมแรกล่วงหน้าไปก่อนในช่วงบ่าย ส่วนทีมของคุณเติ้ลต้องอยู่รอเพื่อเก็บอุปกรณ์ หลังห้างปิดเวลา 21.00 น. เมื่อถึงเวลาห้างปิด ทีมคุณเติ้ลก็เข้าไปเก็บอุปกรณ์ โดยใช้เวลาไปประมาณ 1 ชั่วโมงเศษทุกอย่างก็เรียบร้อย จากนั้นก็เตรียมตัวออกเดินทางไปจังหวัดกระบี่ แต่ก่อนที่ล้อจะหมุน ก็มีรุ่นพี่คนหนึ่งโทรศัพท์มาเช็คความเรียบร้อยและพูดทิ้งท้ายว่า “ถ้าออกมา ก็ขับรถดี ๆ นะ ถนนเส้นที่จะขับผ่านมันค่อนข้างจะเปลี่ยว ถ้าเจอใครโบกหรือทักก็อย่าจอดนะ ให้ขับเลยไปเลย” จากนั้นรุ่นพี่คนนั้นก็หันกลับไปพูดกับเพื่อนที่อยู่ข้าง ๆ ว่า “ไอ้เติ้ลมันไม่กลัวหรอก มันไม่เชื่อหรอก” แล้วสายก็ตัดไป คุณเติ้ลคิดแค่เพียงว่ารุ่นพี่คงเป็นห่วงเรื่องคนที่อันตรายมากกว่า เพราะส่วนตัวนั้นไม่กลัวผี ไม่มีความเชื่อเรื่องผี และไม่เคยฟังเรื่องผี ในเวลา 4 ทุ่มกว่า ๆ คุณเติ้ลก็ขับรถออกมาจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยใช้เส้นทางที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘ถนนในตำนาน’ ที่หลายคนรู้จัก ในตอนกลางวันถนนเส้นนี้จะมีรถไม่มาก ตอนกลางคืนก็แทบจะไม่มีรถ ไฟฟ้าอย่าพูดถึง ส่วนบ้านเรือนตามข้างทางก็หาได้น้อย เรียกได้ว่าเป็นถนนอีกเส้นที่เปลี่ยวใช้ได้ แต่ก็มักจะใช้เป็นเส้นทางเลี่ยงของเหล่าบรรดารถบรรทุกขนาดใหญ่ ส่วนรถที่คุณเติ้ลขับนั้นเป็นรถกระบะที่บรรทุกของหลังรถ วิ่งด้วยความเร็วประมาณ 70-80 กิโลเมตร ในระหว่างที่ขับรถอยู่นั้น ก็เปิดเพลงคลอจากโทรศัพท์ที่เชื่อมกับเครื่องเล่นวิทยุในรถฟังไปด้วย และทุกอย่างก็ดูจะปกติเรียบร้อยดี เมื่อขับไปได้สักพัก เพลงที่เปิดก็เปลี่ยนกลายเป็นรายการเล่าเรื่องผี ‘The Ghost Radio’ แทน ซึ่งคุณเติ้ลไม่เคยกดเปิดฟังเลยสักครั้ง และแทบจะไม่รู้จักรายการนี้เลยเสียด้วยซ้ำ คุณเติ้ลรู้สึกมึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น เรื่องที่เล่าในรายการนั้น เป็นเรื่องหลอนของถนนเส้นหนึ่ง ซึ่งเมื่อฟังดูแล้วก็เหมือนจะเป็นถนนเส้นเดียวกันกับที่คุณเติ้ลกำลังขับรถอยู่ เขาจึงพยายามหยิบโทรศัพท์เพื่อเปลี่ยนเป็นเพลง เมื่อเปลี่ยนเป็นเพลงได้แล้วก็ขับต่อไปอีกสักพัก เพลงที่เขากำลังฟังอยู่มันก็หยุดเงียบหายไป แล้วก็เปิดรายการเล่าเรื่องผีรายการเดิมอีกรอบ ซึ่งเล่าเรื่องต่อจากที่ฟังค้างไว้แบบไม่ขาดตอน คุณเติ้ลพยายามจะเปลี่ยนกลับไปเป็นเพลงอีกครั้ง แต่รอบนี้ก็มีเสียงผู้หญิงพูดแทรกเข้ามาว่า “ไม่อยากฟังเรื่องชั้นหน่อยหรอ?” คุณเติ้ลตกใจกับเสียงนั้น และคิดว่า Sound Effect ของรายการนี้แปลก ๆ จากนั้นก็รีบเปลี่ยนกลับไปเป็นเพลงทันที แต่ก็เหมือนเดิม รายการนั้นก็ดังขึ้นมาแทนที่เพลงอีกครั้ง จึงตัดสินใจถอดสายที่เชื่อมมือถือกับวิทยุออก ปิดเสียงทุกอย่าง และขับรถต่อไปพร้อมกับความเงียบ ระหว่างที่ขับรถนั้น มีช่วงหนึ่งที่รถตกหลุม ทำให้วิทยุในรถเกิดแสงกะพริบขึ้นมา แล้วก็มีเสียงรายการเล่าเรื่องผีอันเดิมดังขึ้นอีกครั้ง เรื่องทุกอย่างยังคงเล่าต่อจากเดิมไม่มี skip ข้าม ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เสียบสายโทรศัพท์มือถือเพื่อเปิดฟังเสียด้วยซ้ำ! คุณเติ้ลพยายามจะปิดเสียง แต่ก็มีเสียงผู้หญิงคนเดิมดังแทรกขึ้นมาว่า “ไม่อยากจะฟังเรื่องของชั้นหน่อยหรอ ไม่อยากลองฟังหน่อยหรอ” คุณเติ้ลรู้สึกตกใจแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาเล่าว่าในตอนนั้นเขาไม่ได้รู้สึกกลัว แต่รู้สึกมือสั่น ทำอะไรไม่ถูก และก็ร้องไห้ออกมา ด้วยความที่เป็นรถกระบะรุ่นเก่า จึงกระชากสายวิทยุที่ต่อกับรถออกจนขาด แล้วเสียงวิทยุก็ดับไป คุณเติ้ลยังคงใจสู้ขับรถต่อไป แล้วเขาก็เห็นว่ามันมี ‘บางคน’ หรือ ‘บางอย่าง’ อยู่ข้างทาง คุณเติ้ลไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นคืออะไรกันแน่ จึงขับผ่านเลยไป และเมื่อมองกระจกมองหลัง แสงไฟท้ายรถก็ทำให้เห็นว่าสิ่งนั้นเหมือนกองอะไรบางอย่าง แล้วก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็หันมามองที่รถ คุณเติ้ลเล่าเพิ่มว่าลักษณะคล้ายกับผู้หญิงดำ ๆ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเพราะเธอใส่ชุดสีดำ หรือเป็นเงาดำของเธอ เขายังคงขับรถไปเรื่อย ๆ แต่ภายในใจยังคงสบสันว่าสิ่งที่ตนเจอมานั้นมันคืออะไร ขับไปได้ไม่นาน ก็เห็นไฟท้ายรถจากด้านหน้า จึงขับเข้าไปใกล้ ๆ เพราะดีใจคิดว่ามีเพื่อนร่วมทางแล้ว ยิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งเห็นว่าข้างหน้าเป็นรถสิบล้อ จึงขับตาม คุณเติ้ลรู้ว่าอีก 4-5 กิโลมเตรก็จะถึงทางออก จึงพยายามแซงรถสิบล้อข้างหน้า ก่อนจะแซงไปก็สังเกตว่าของที่บรรทุกมากับรถสิบล้อมีผ้าใบคลุมอยู่ เมื่อแหงนหน้าขึ้นไปมอง ก็เห็นเป็นผู้หญิงนั่งอยู่ข้างบนหลังผ้าใบ เธอชะโงกหน้าลงมามองที่คุณเติ้ล แล้วก็มีเสียงดังเข้ามาในวิทยุอีกครั้งว่า “กำลังจะสุดทางแล้วจะรีบไปไหนล่ะ ไม่อยากฟังเรื่องชั้นหน่อยหรอ” สิ้นเสียงนั้น คุณเติ้ลก็รีบเหยียบคันเร่งแซงรถบรรทุกไปทันที แม้จะมีเสียงบีบแตรและไฟกะพริบสูงจากรถสิบล้อตามมาด้านหลัง แต่เขาก็ไม่สนใจ รีบเลี้ยวรถออกจากเส้นทางจนกระทั่งเจอเข้ากับปั๊มน้ำมันข้างทางแห่งหนึ่ง จึงขับรถเข้าไปจอดรถเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเองในนั้น ผ่านไปไม่นาน รถสิบล้อก็ขับตามเข้ามาในปั๊ม และคุยกับคุณเติ้ลว่า “โหพี่! ทำไมพี่ทำอย่างนี้อ่ะ พี่ชนคนแล้วพี่หนีหรอ!” คุณเติ้ลรีบปฏิเสธไปว่า “ชนคนอะไร!” คนขับรถสิบล้อตอบกลับมาว่า “ก็ผมเห็นพี่ขับรถชนผู้หญิง ผมเปิดไฟก็แล้ว บีบแตรก็แล้ว ทำไมพี่ไม่จอด ผมให้น้องที่นั่งมากับผม อยู่กับผู้หญิงที่คุณชนไว้ตรงนั้น แล้วผมก็ขับมาตามคุณเนี่ย” คนขับรถสิบล้อยังพูดไม่ทันจบประโยค ก็มีรถมูลนิธิขับเข้ามาจอดเทียบใกล้ ๆ จากนั้นน้องของคนขับรถสิบล้อก็ลงจากรถหน้าตาตื่น และเล่าให้ฟังว่าเขาเห็นรถคุณเติ้ลขับชนผู้หญิงคนหนึ่งจนกระเด็นไป ตนกับพี่คนขับพยายามส่งสัญญาณไฟและบีบแตรเรียก แต่คุณเติ้ลก็ไม่จอดรถ ตนจึงลงจากรถเพื่ออยู่เป็นเพื่อนศพ จากนั้นก็ติดต่อเจ้าหน้าที่ ระหว่างนั้นตนก็นั่งเฝ้าผู้หญิงที่ถูกรถชนอยู่ตลอด จนกระทั่งเจ้าหน้าที่มาถึง ศพผู้หญิงคนนั้นก็หายไป! ตนรู้สึกตกใจจึงรีบขึ้นรถตามมา นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังบอกอีกว่า “ที่ผมรีบมาเนี่ย ไม่ใช่อะไร ผมรู้อยู่แล้วว่าถ้าผมทิ้งพี่ไว้ พี่ช็อคตายแน่นอน เพราะผมรู้แล้วว่าพี่เจอแน่ ๆ เคสแบบนี้ พี่ไม่ใช่คนแรกที่แจ้งผม มีคนแจ้งผมเยอะมาก ทั้งเจอผู้หญิงอยู่ข้างทาง เจอผู้หญิงเกาะมากับรถ ใครก็ตามที่แจ้งเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ ผมจะรีบมา” คุณเติ้ลได้ฟังเรื่องนี้ก็ตกใจ จึงขอตัวแล้วรีบขับรถต่อไปที่จังหวัดกระบี่ทันที เมื่อถึงที่หมาย คุณเติ้ลก็เล่าเรื่องที่เจอมาให้กับเพื่อนร่วมงานฟัง รุ่นพี่ที่ทำงานดูเหมือนจะไม่เชื่อเรื่องที่เล่าไป คุณเติ้ลจึงไปหาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งได้มาค่อนข้างไม่ตรงกันเท่าไหร่ บางข้อมูลก็ว่าผู้หญิงคนนี้โดนลวงมาฆ่า บ้างก็ว่าโดนฆ่าปาดคอ บ้างก็ว่าโดนเผานั่งยาง และอีกหลาย ๆ ข้อมูล ทำให้ไม่รู้ที่มาที่ไปว่าจริง ๆ แล้ว ผู้หญิงคนนี้มีที่มาอย่างไร..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เจอผู้ว่าจ้างปริศนาให้ร้องเพลง สุสานคนช้ำ, โรงแรมใจ และล่องเรือหารัก แต่พอเดินทางไปงานวัด กลับไม่ถึงเสียที! ระหว่างทางเจอลุงเสื้อขาว พอบอกน้า น้าบอกไม่เห็น! จะกลับบ้าน มีทางเดียวคือต้องร้องเพลงตามที่ขอเท่านั้น!

07 ก.ค. 2023

เจอผู้ว่าจ้างปริศนาให้ร้องเพลง สุสานคนช้ำ, โรงแรมใจ และล่องเรือหารัก แต่พอเดินทางไปงานวัด กลับไม่ถึงเสียที! ระหว่างทางเจอลุงเสื้อขาว พอบอกน้า น้าบอกไม่เห็น! จะกลับบ้าน มีทางเดียวคือต้องร้องเพลงตามที่ขอเท่านั้น!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 มิถุนายน 2566) ที่ผ่านมา มีสายจาก ‘คุณเนฟ’ พยาบาลสาวที่ตอนเด็กเคยประสบพบเจอเหตุการณ์หลอนจึงนำมาเล่าให้ชาวอังคารคลุมโปงฟัง กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘เพลงผีบอก’ ที่ทำให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เสียวสันหลังวาบ! เรื่องราวจะหลอนขนาดไหน ปิดไฟ แล้วเปิดเพลง ‘ล่องเรือหารัก’ คลอไป อ่านไป ได้ฟีลกว่าเดิมแน่! เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ตอนนั้นคุณเนฟยังเด็กและรับงานเป็นนักร้องที่รับจ้างไปร้องตามงานต่าง ๆ เช่น งานบวช งานวัด งานขึ้นบ้านใหม่ งานสังสรรค์ ก็แล้วแต่ผู้ว่าจ้างจะจ้างให้ไปร้องที่ไหน เรียกได้ว่าเดินสายร้องเพลงตั้งแต่เด็ก โดยมีคุณแม่ช่วยสนับสนุน และเป็นผู้จัดการคิวงานให้ ครั้งหนึ่ง ในช่วงปลายฝนต้นหนาว มีสายจากผู้ว่าจ้างติดต่อมา ปลายสายเป็นเสียงผู้ชายมีอายุ บอกว่าอยากให้คุณเนฟไปร้องเพลงในงานวัด ซึ่งวัดนี้ตั้งอยู่อีกตำบลหนึ่ง เดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที เป็นวัดที่คุณแม่เคยไปทำบุญกับเพื่อนมาก่อน และเป็นวัดที่ค่อนเข้าเดินทางเข้าไปลึกอยู่พอสมควร เส้นทางคดเคี้ยว เป็นวัดที่อยู่ติดเขา แต่ก็เป็นวัดที่สวย นาน ๆ จะจัดงานวัด คุณแม่จึงเห็นว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ดี หากคุณเนฟได้ไปร้องเพลงที่วัดแห่งนี้ นอกจากนี้ คุณลุงปลายสายก็รีเควสเพลงทั้งหมด 3 เพลง ได้แก่ สุสานคนช้ำ, โรงแรมใจ และล่องเรือหารัก และยังบอกอีกว่า ถ้าในงานมีเพลงที่อยากให้ร้องเพิ่ม จะบอกอีกครั้ง จากนั้นก็นัดเวลากันว่า คุณเนฟจะต้องถึงที่งานเวลา 1 ทุ่ม และขึ้นร้องเพลงในเวลา 2 ทุ่ม โดยตกลงค่าจ้างไว้ที่ 1,500 บาท ซึ่งถือว่าเยอะมากกว่าเรตที่คุณเนฟเคยได้ เมื่อจัดการนัดแนะรายละเอียดทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ก่อนถึงวันที่จะต้องไปร้องเพลง ปรากฏว่าคุณแม่ดันป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ จึงฝากให้คุณน้าที่เป็นเพื่อนกัน ชื่อว่า ‘น้าเปิ้ล’ มีอาชีพเป็นวินมอเตอร์ไซค์ มีแฟนชื่อ ‘พี่น้อง’ ในตอนแรกทั้งสองก็เพราะไม่เคยไปที่วัดแห่งนี้ แต่คุณแม่ก็บอกว่าจะมีค่าตอบแทนให้ พร้อมกับเขียนแผนที่ไว้ให้ละเอียด ทั้งน้าเปิ้ลและพี่น้องจึงตกลงช่วยพาไป โดยที่ไม่รับค่าจ้าง เพราะเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ วันที่จะต้องไปร้องเพลงนั้นเป็นวันเสาร์ น้าเปิ้ลและพี่น้องมารับคุณเนฟเวลา 5 โมงครึ่ง โดยใช้รถจักรยานยนต์ขับไป น้าเปิ้ลเป็นคนขับ คุณเนฟนั่งตรงกลาง และพี่น้องนั่งซ้อนท้าย เวลาผ่านไปประมาณ 30-40 นาที ก็ถึงตำบลนั้น จากนั้นก็ต้องขับเข้าไปในซอยเพื่อไปที่วัด เป็นซอยที่ไม่ค่อยมีบ้านคน ไฟระหว่างทางก็น้อยลง ติดบ้าง ดับบ้าง ข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ เมื่อถึงสุดทางของซอยนั้นก็จะมีสามแยก ซึ่งต้องเลี้ยวขวา คุณเนฟบอกว่าหลังจากเลี้ยวขวามาแล้ว คุณเนฟรู้สึกเหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกนึง ข้างทางไม่มีแสงไฟแล้วและเต็มไปด้วยความมืด คุณเนฟคิดว่าตอนนั้นน่าจะเป็นเวลาใกล้ 1 ทุ่มแล้ว ข้างทางเป็นสวนมันสำปะหลังเรียงเป็นแนวยาวสุดลูกหูลูกตา นอกจากนี้ อากาศยังเย็นลงอย่างรวดเร็ว จนเสื้อที่คุณแม่เตรียมมาให้ความอบอุ่นไม่เพียงพอ พี่น้องจึงกอดคุณเนฟไว้ไม่ให้หนาว เมื่อขับไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ถึงปลายทางเสียที สิ่งที่น่าแปลกกว่านั้นคือผ่านทางสามแพร่งเยอะมาก ซึ่งมันก็ตรงกับแผนที่ที่คุณแม่เขียนไว้ให้ นั่นแสดงว่าทั้งสามคนไม่ได้หลงทางอย่างแน่นอน แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะถึงวัดเลย ไม่เจอแม้กระทั่งบ้านสักหลัง คุณเนฟไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว แต่รู้สึกว่าเมื่อย ปวดขา และชาก้นไปหมด จึงขอให้น้าเปิ้ลจอดพัก แต่น้าเปิ้ลก็บอกว่าจอดไม่ได้ เพราะไม่มีที่ปลอดภัยให้จอดพักเลย ข้างทางก็เปลี่ยว กลัวว่าจะมีโจรหรือสัตว์อันตราย น้าเปิ้ลบอกว่า “อดทนหน่อยนะลูก เดี๋ยวก็เจอวัดแล้ว” คุณเนฟซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางทำให้มองไม่เห็นทางข้างหน้าชัดเจน จึงชะโงกหน้าออกมาข้าง ๆ เพื่อที่จะมองไปข้างหน้า จังหวะนั้นทำให้คุณเนฟเห็นผู้ชายใส่เสื้อสีขาว หัวโล้น เดินก้มหน้าหลังค่อม แขนขวาเหมือนกับลากเสียมหรือจอบมาด้วย คุณเนฟที่ตอนนั้นยังเด็กเห็นแบบนั้นก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นอะไร และดีใจมากที่เจอคนสักที จึงพูดขึ้นมา “น้า! น้าถามคนนั้นสิว่าวัดอยู่ที่ไหน” แต่น้าเปิ้ลกลับขับรถเร็วขึ้น พี่น้องก็ยิ่งกอดคุณเนฟแน่นขึ้น คุณเนฟจึงชี้ไปที่ผู้ชายคนนั้นแล้วพูดขึ้นมาอีกรอบว่า “เนี่ย ๆ ถามคุณลุงคนนั้นสิว่าวัดอยู่ที่ไหน น้าจอดดด” แต่น้าเปิ้ลก็ไม่หยุดรถแต่อย่างใด ส่วนพี่น้องก็เอามือมาปิดหน้าคุณเนฟไว้ไม่ให้มองเห็น จากนั้นก็พูดว่า “เนฟ หนูอย่าทักนะลูก น้าไม่เห็นใคร น้ากลัว” คุณเนฟก็งงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะคิดแค่ว่าเป็นคน ไม่ได้นึกถึงสิ่งลี้ลับอะไร จึงพูดขึ้นว่า “น้า หนูเห็นคนจริง ๆ น้าจะไม่เห็นได้ยังไง เขาใส่เสื้อสีขาว” แต่น้าเปิ้ลก็พูดขึ้นว่า “เนฟ ไม่เอา อย่าทักนะลูก มืด ๆ แบบนี้ น้าไม่เห็นใคร” เมื่อเห็นว่าน้าพูดย้ำ ๆ แบบนั้น คุณเนฟจึงไม่พูดอะไรต่อ เวลาผ่านไปประมาณ 10-15 นาที คุณเนฟที่นั่งรถจนเมื่อยก็ทนไม่ไหว จึงบอกน้าเปิ้ลว่า “น้า กลับบ้านมั้ย? หนูเหนื่อยแล้ว” น้าเปิ้ลจึงชะลอรถเพื่อโทรหาแม่ แล้วบอกว่าหาวัดไม่เจอ คุณแม่จึงตะโกนออกมาว่า “แล้วทำไมไม่โทรมาตั้งนาน ตอนนี้มันสามทุ่มแล้ว!” น้าเปิ้ลก็บอกว่า “รู้สึกเหมือนผ่านมาไม่นานเท่าไหร่ ก็เลยไม่ได้โทรบอก” ซึ่งทั้งสามคนก็รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ เหมือนกับผ่านไปไม่ถึง 15 นาทีด้วยซ้ำ คุณแม่จึงบอกว่า จะโทรกลับไปหาคุณลุงคนนั้น ให้เขามารับ ส่วนคุณเนฟและน้าทั้งสอง ก็จอดรถรออยู่ตรงนั้นไปก่อน ผ่านไปสักพัก คุณแม่ก็โทรกลับมา บอกว่าติดต่อคุณลุงคนนั้นไม่ได้ โทรไม่ติด ประมาณว่าไม่มีหมายเลขที่ท่านเรียก คุณแม่จึงบอกให้ทั้งสามคนกลับ น้าเปิ้ลและพี่น้องจึงคุยกันว่าจะกลับยังไง เมื่อได้ข้อสรุปก็พบว่าน้ำมันใกล้จะหมดแล้ว แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขับรถหาทางกลับ เมื่อขับไปสักพัก คุณเนฟก็ได้ยินเสียงผู้ชายมีอายุลอยมาตามลมว่า “ร้องเพลงสิ” คุณเนฟจึงบอกพี่น้องว่า “พี่คะ หนูได้ยินเสียงคนเขาบอกให้หนูร้องเพลง” พี่น้องได้ยินก็กอดแน่นขึ้น น้าเปิ้ลก็ยิ่งขับรถเร็วขึ้นไปอีก! สักพักเสียงตามลมก็แว่วมาอีกครั้ง ครั้งนี้ชัดขึ้นกว่าเดิมอีกว่า “ร้องเพลงสิ” ในตอนนั้นคุณเนฟไม่ได้กลัว หรือคิดถึงสิ่งลี้ลับอะไร ด้วยความไร้เดียงสาจึงบอกไปว่า “น้า เขาบอกให้หนูร้องเพลง เดี๋ยวหนูร้องเพลงให้เขาดีกว่า” น้าเปิ้ลจึงจอดรถข้างทาง “งั้นหนูร้องเพลง มีเพลงอะไรบ้างนะ ที่เขาขอมา” จากนั้นคุณเนฟก็ร้องเพลง 3 เพลงตามลิสต์ที่ผู้ว่าจ้างขอมา (ในรายการคุณเนฟร้องสด ๆ ให้ฟังด้วย) หลังจากที่ร้องเพลงจบ คุณเนฟที่เพลียมากจึงบอกน้าเปิ้ลว่า “น้า หนูร้องจบแล้ว” น้าจึงยกมือไหว้มือท่วมหัวแล้วบอกว่า “ขอพาน้องกลับบ้านนะครับ น้ำมันก็จะหมดแล้ว” หลังจากนั้นอากาศที่เย็นมากก็เริ่มอุ่นขึ้นมา แล้วน้าเปิ้ลก็ออกรถอีกครั้ง ไม่ถึง 5 นาที ก็เห็นแสงไฟ แล้วก็ออกจากทางสามแยกตรงนั้นได้ คุณเนฟที่เพลียมากก็ฟุบหลับไป คุณแม่บอกว่ากว่าจะถึงบ้าน ก็ 4 ทุ่มกว่าแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นก็พาคุณเนฟไปทำบุญที่วัด คืนนั้นเอง คุณแม่ก็ฝันว่า มีคุณลุงใส่เสื้อสีขาว เป็นเหมือนเสื้อเชิ้ตสีขาวของคนแก่สมัยก่อน ใส่ผ้าโสร่งผูกข้างหน้าเก่า ๆ เดินหลังค่อม แขนขาลากเสียมขุดดิน หัวโล้น มองไม่เห็นหน้า พูดกับคุณแม่ว่า “ขอบใจนะ” แล้วก็ให้เลขคุณแม่มา สรุปว่าคุณแม่ก็ถูกหวยได้เงินมากกว่า 1,500 บาท หลังจากเล่าจบ ทั้งดีเจแนน ดีเจเจ็ม และชาวอังคารคลุมโปงต่างปรบมือให้กับจังหวะการเล่าเรื่องที่ดีมาก ๆ คุณเนฟ และชื่นชมเสียงร้องของคุณเนฟกันยกใหญ่ หากอยากฟังเสียงของคุณเนฟว่าจะเพราะสมคำร่ำลือหรือไม่ ก็ตามไปฟังแบบเต็ม ๆ ได้ที่(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ลุงข้างบ้านที่ไม่ได้เจอกันนาน พอกลับมาเจอทุกครั้ง ลุงยังทักทายและยิ้มให้ พอรู้ความจริง ขนหัวลุกไม่หยุด!

26 ก.พ. 2024

ลุงข้างบ้านที่ไม่ได้เจอกันนาน พอกลับมาเจอทุกครั้ง ลุงยังทักทายและยิ้มให้ พอรู้ความจริง ขนหัวลุกไม่หยุด!

เรื่องนี้ ‘คุณออโต้’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (20 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับลุงข้างบ้านที่ไม่ได้เจอกันนาน พอกลับมาเจอกันอีก ลุงก็ทักทายและยิ้มให้เสมอ แต่พอมารู้ความจริงถึงกับช็อก เรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย! โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เคยเจอกับตัวเองของคุณออโต้เมื่อ 25 ปีก่อน เป็นช่วงที่กำลังเรียนที่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 1 ซึ่งในช่วง 4 เดือนแรกที่ไปเรียน คุณออโต้ก็ได้ทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัย จึงไม่ค่อยมีเวลากลับบ้าน จนกระทั่งสอบปลายภาคเสร็จแล้วปิดเทอม จึงได้กลับบ้าน บ้านคุณออโต้อยู่ต่างจังหวัด พ่อแม่เป็นข้าราชการ จึงไม่ค่อยอยู่บ้าน คุณออโต้จึงตัดสินใจนั่งรถกลับบ้านแต่จะไปลงที่บ้านเพื่อนก่อน เพื่อรอให้พ่อแม่กลับบ้านแล้วคุณออโต้ถึงจะกลับ ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอม เพื่อน ๆ ต่างมหาวิทยาลัย ก็ได้นัดมารวมตัวกันเพื่อดื่มสังสรรค์ จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 4-5 ทุ่ม คุณออโต้ก็คิดว่าถ้าดึกไปมากกว่านี้ กลัวว่าพ่อแม่จะเข้านอนก่อน ซึ่งจะเข้าบ้านไม่ได้ คุณออโต้ก็เลยขอให้ ‘คุณบี’ (นามสมมติ) ขับรถไปส่งที่บ้าน ส่วนตัวของคุณบีเป็นคนกลัวผีมาก พอขับรถไปส่งคุณออโต้ถึงแค่หน้าปากซอยก็ขอกลับทันที ก่อนกลับคุณบีก็บอกกับคุณออโต้ว่า “ไอ้โต้ มึงเดินเข้าบ้านมึงเองนะ” คุณออโต้ที่เกรงใจเพื่อนมากจึงตอบไปว่า “ได้ ๆ ไม่เป็นไร เดี๋ยวเดินเข้าบ้านเอง” บ้านคุณออโต้ห่างจากปากซอยประมาณ 800-900 เมตร และสามารถเลือกเส้นทางเดินกลับบ้านได้ 2 เส้นทางคือ เส้นทางแรกต้องเดินผ่านวัด ผ่านกำแพงวัดที่มีโกฐกระดูกของผู้เสียชีวิต และเส้นทางที่ 2 คือ ทางเล็ก ๆ ที่ต้องเดินลัดเลาะตามบ้านของคนอื่น ซึ่งในเวลานั้นคุณออโต้ก็ตัดสินใจเลือกเส้นทางที่ 2 ก่อนที่จะถึงบ้านคุณออโต้ จะต้องเดินผ่านบ้านของ ‘ลุงเพชร’ ที่เป็นช่างเย็บเสื้อผ้า ซึ่งลุงเพชรรู้จักกับคุณออโต้มานานและเย็บชุดนักเรียนให้คุณออโต้มาตั้งแต่สมัยมัธยม ในขณะที่คุณออโต้กำลังเดินผ่านไปข้างหลังบ้านลุงเพชร ก็ได้ยินเสียงไอขึ้นมา “แค่ก ๆ” คุณออโต้จึงหันไปมองที่ต้นเสียง ปรากฏว่าเป็นลุงเพชรที่กำลังนั่งอยู่บนแคร่ตรงสวนหลังบ้าน คุณออโต้ตกใจจึงพูดกับลุงเพชรไปว่า “โห้ลุง! ทำไมยังไม่นอน” ลุงเพชรก็ยิ้มให้ แล้วตอบกลับมาว่า “ออโต้พึ่งกลับมาบ้านหรอ” คุณออโต้ที่กำลังรีบกลับบ้านเพราะกลัวพ่อแม่จะนอนหลับก่อนแล้วจะเข้าบ้านไม่ได้ จึงตอบส่ง ๆ ไปว่า “ครับ ๆ” พอถึงบ้านคุณออโต้ก็ทำธุระส่วนตัว เสร็จแล้วก็ขึ้นไปชั้น 2 ของบ้าน พอไม่ได้กลับบ้านนาน ก็รู้สึกคิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ จึงออกไปดูวิวที่ระเบียง ปรากฏว่าคุณออโต้ยังเห็นลุงเพชรนั่งอยู่บนแคร่เหมือนเดิม คุณออโต้รู้สึกแปลกใจ เพราะต่างจังหวัดคนมีอายุจะเข้านอนเร็ว คุณออโต้ก็คิดในใจสักพัก ก็ได้ยินเสียงน้องชายตะโกนขึ้นมาว่า “พี่ออโต้ มาดูคอมให้หน่อย” จากนั้นคุณออโต้ก็ลงไปดูคอมให้น้อง เวลาผ่านไปสักพักก็เดินกลับมาที่เดิม แต่ครั้งนี้ก็ไม่เจอลุงเพชรแล้ว ตลอดระยะเวลาที่ปิดเทอม คุณออโต้ก็มีการไปดื่มสังสรรค์กับเพื่อนเป็นประจำ กลับบ้านทีก็ 4-5 ทุ่ม ซึ่งคุณออโต้ก็ใช้จะเส้นทางเดิมที่ลัดเลาะตามบ้านของคนอื่น และทุก ๆ ครั้งที่กลับบ้าน ก็จะเจอลุงเพชรทักทายและยิ้มให้ตลอด จนเวลาผ่านไปใกล้ถึงวันที่จะเปิดเทอม คุณออโต้มีชุดนักศึกษาตัวหนึ่งที่ซื้อมาผิดไซส์ จึงตั้งใจว่าจะเอาไปให้ลุงเพชรซ่อมให้ วันนั้นคุณออโต้ก็ตื่นแต่เช้า เพื่อที่จะขอเงินแม่ไปจ่ายค่าซ่อมชุด แม่ก็ถามว่า “จะเอาไปซ่อมที่ไหน” คุณออโต้ก็ตอบไปว่า “กับลุงเพชรไงครับ” พอแม่ได้ยินก็มีท่าทีที่ตกใจ และสีหน้าเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ แม่ก็ถามย้ำอีกรอบหนึ่งว่า “จะเอาไปซ่อมที่ไหน” คุณออโต้ก็ตอบเหมือนเดิมว่า “ลุงเพชรไงครับ ลุงที่อยู่ข้างบ้านเรา” พอพูดจบแม่ก็เดินมาตีคุณออโต้ แล้วก็ตวาดใส่คุณออโต้ว่า “จะไปแก้กับลุงเพชรได้ยังไง ลุงเพชรตายไปตั้งแต่แกไปเรียนที่มหาวิทยาลัยช่วงแรก ๆ แล้ว” ซึ่งคุณออโต้ไม่เชื่อ เพราะเจอลุงเพชรทุกวันและลุงเพชรก็ยังทักทายคุณออโต้ปกติ แม่ก็ยังบอกอีกว่า “อย่าโกหกนะ แม่กลัว” คุณออโต้คิดว่าแม่ตัวเองขี้เหนียวหาว่าจนนั้นกุเรื่องคนเสียชีวิตมาพูดแทน คุณออโต้หัวเสียจึงเดินออกจากบ้านแล้วเจอพ่อ คุณออโต้ก็เดินไปขอเงินพ่อ พ่อเลยถามว่า “จะเอาเงินไปทำอะไร” คุณออโต้ก็ตอบไปว่า “จะเอาไปจ่ายค่าซ่อมชุดนักศึกษา” ซึ่งพ่อก็ถามคำถามเดียวกับแม่ว่า “จะเอาไปซ่อมที่ไหน” คุณออโต้ก็ตอบเหมือนเดิมว่า “ลุงเพชรไงครับ ลุงที่อยู่ข้างบ้านเรา” พอพ่อได้ยินก็นิ่งไปสักพัก พ่อก็พูดขึ้นมาว่า “ลุงเพชรแกเสียแล้วนะ” หลังจากนั้นพ่อก็เดินเข้าไปหยิบอะไรบางอย่างในบ้าน แล้วยื่นให้คุณออโต้ดู ปรากฏว่าเป็นซองงานศพของลุงเพชร พอคุณออโต้เห็นถึงกับช็อก ทำตัวไม่ถูก ซึ่งคุณออโต้จึงกลับมาคิดกับตัวเองว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คุณออโต้เจอลุงเพชรทุกวัน ลุงเพชรก็ยังทักทายและยิ้มให้ปกติ แล้วพ่อก็เล่าให้คุณออโต้ฟังว่า “ก่อนที่ลุงเพชรจะเสียชีวิต ลุงเพชรถามหาออโต้ด้วย” คุณออโต้ก็คิดว่า ด้วยความที่สนิทกันกับลุงเพชรและรู้จักกันมานาน ตั้งแต่เด็ก ๆ ลุงเพชรอาจอยากมาลาคุณออโต้ก็ได้(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปพักโรงแรมต่างจังหวัดแล้วเจอเด็กมาเขย่าที่ขาแถมยังหัวเราะคิกคัก! พอบอกให้ไป พ่อเด็กกลับบอกว่า “นี่ก็ห้องผมเหมือนกัน” กลับถึงบ้านก็เจอตามมาอีก! พยายามสวดมนต์ให้ แต่เด็กกลับบอกว่า “พี่พูดอะไร หนูไม่เข้าใจ พี่จะให้หนูไปจากพ่อหรอ หนูไม่ยอมหรอกนะ”

26 มิ.ย. 2023

ไปพักโรงแรมต่างจังหวัดแล้วเจอเด็กมาเขย่าที่ขาแถมยังหัวเราะคิกคัก! พอบอกให้ไป พ่อเด็กกลับบอกว่า “นี่ก็ห้องผมเหมือนกัน” กลับถึงบ้านก็เจอตามมาอีก! พยายามสวดมนต์ให้ แต่เด็กกลับบอกว่า “พี่พูดอะไร หนูไม่เข้าใจ พี่จะให้หนูไปจากพ่อหรอ หนูไม่ยอมหรอกนะ”

บลู ขวัญ และ โดนัท จากวง ‘INDIGO’ กลับมาเยือน ‘อังคารคลุมโปง X’ (20 มิถุนายน 2566) อีกครั้ง พร้อมกับเรื่องหลอนสุนัขพร้อมหอนเช่นเคย จน ‘ดีเจเคเบิ้ล’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ นั่งไม่ติดเก้าอี้ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘สองพ่อลูก’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านพร้อมกันเลย! คุณขวัญเล่าว่าเรื่องนี้เริ่มจากการที่วง INDIGO ได้ไปทัวร์คอนเสิร์ตที่ต่างหวัดในภาคอีสาน เวลาประมาณ 4 โมงเย็นก็ถึงโรงแรม แต่โรงแรมยังจัดเตรียมห้องพักไม่เสร็จดี มีเพียงบลู โดนัท และนักดนตรีแบคอัพอีก 1 คน ที่จะได้เข้าห้องพักก่อน ‘เหียะ’ ผู้จัดการวงจึงชวนคุณขวัญไปไหว้พระรอ เมื่อไปถึงที่วัด ก็เข้าไปไหว้พระตามปกติ ขณะที่จุดธูปอยู่นั้น เมฆครึ้มฝนห่าใหญ่ก็ตั้งเค้ามา ทั้งสองคนจึงรีบไหว้เพราะกลัวจะเปียกฝน เนื่องจากที่ตรงนั้นเป็นลานกว้าง เมื่อไหว้เสร็จ ในใจคุณขวัญตอนนั้นอยากจะเดินเข้าไปดูว่าวัดกำลังจะสร้างอะไร ระหว่างทางเดินเข้าไป ก็มีคนงานก่อสร้าง และคุณขวัญก็สังเกตเห็นหลุม แต่ไม่ได้คิดอะไร จึงเดินผ่านไป พอเดินกลับออกมา ก็เห็นคุณป้าท่านหนึ่งยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ คุณขวัญจึงเล่าเพิ่มเติมว่า แม่ของเหียะบวชเป็นแม่ชีอยู่ ท่านก็จะสอนให้หยาดน้ำ ซึ่งจะคล้าย ๆ กับการกรวดน้ำที่ต้องนั่งกรวด แต่หยาดน้ำสามารถทำได้ตลอดเวลา เช่น ใช้น้ำอะไรก็ได้ หรือหากเห็นใครฉีดน้ำ หรือแม้กระทั่งฝนตก ก็สามารถแผ่เมตตาไปให้สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวได้ ซึ่งปกติแล้ว คุณขวัญจะไม่หยาดน้ำที่วัดเลย เพราะบางทีไม่มีน้ำหยาด จะกลับไปหยาดที่ห้องแทน เมื่อเห็นคุณป้าท่านนั้นรดน้ำต้นไม้ คุณขวัญก็คิดว่างั้นหยาดน้ำเลยดีกว่า ไม่นานฝนก็ตกลงมา คุณขวัญที่ยังท่องบทแผ่เมตตายังไม่จบ จึงคิดว่าจะกลับไปสวดที่ห้องต่อ เวลาประมาณ 6 โมงเย็น ก็มาถึงโรงแรม คุณขวัญรู้สึกเหนื่อยมาก จึงนอนพักผ่อน จากนั้นก็ฝันว่า ที่ปลายเตียงมีเด็กมาเล่นที่ขา แถมยังส่งเสียงหัวเราะคิกคักอีกด้วย คุณขวัญตื่นขึ้นมา ก็เห็นเป็นเด็กใส่แพมเพิร์ส หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ข้าง ๆ ก็มีผู้ชายคนนึงใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว เล่นกับลูกอยู่โดยที่ไม่ได้สนใจคุณขวัญเลย ตอนนั้นคุณขวัญรู้สึกสับสนว่านี่คือความฝันหรือความจริง จากนั้นเด็กคนนั้นก็กระโดดมานั่งทับที่เข่าคุณขวัญ! ทำให้คุณขวัญสะดุ้งตื่นขึ้นมาจริง ๆ ไม่นานก็ได้ยินเสียงคุณเหียะเคาะประตู คุณขวัญก็เล่าความฝันที่เจอให้ฟัง แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ พอคุณเหียะเดินออกจากห้องไป คุณขวัญก็ตั้งใจจะนอนต่อ แล้วก็ฝันเห็นเหมือนเดิมทุกอย่าง คุณขวัญก็ถามไปว่า “มาทำอะไร นี่ห้องขวัญนะ” ผู้ชายเสื้อเชิ้ตขาวคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า “นี่ก็ห้องผมเหมือนกัน” จากนั้นก็กลับไปเล่นกับลูกต่อเหมือนเดิม คุณขวัญเล่าว่าหลังจากนั้นก็เดินไปเข้าห้องน้ำ พอกลับออกมา ก็ยังเห็นสองพ่อลูกอยู่ที่เดิม จึงพูดขึ้นอีกว่า “ออกไป จะนอนแล้ว นี่ห้องขวัญ” เขาก็ตอบกลับมาว่า “ก็บอกแล้วไง นี่ก็ห้องผมเหมือนกัน” ทั้งคู่ก็มองหน้ากันสักครู่ ไม่นานคุณขวัญก็สะดุ้งตื่นอีกครั้ง หลังจากตื่นขึ้นมา คุณขวัญก็รีบเปลี่ยนชุดลงไปวิ่งออกกำลังกายข้างนอก เพื่อให้ตัวเองเลิกคิดฟุ้งซ่าน ระหว่างเดินลงมาก็ส่งข้อความหาคุณเหียะว่า “โดนแล้วว่ะ ไม่รู้ว่าฝัน หรือของที่โรงแรม หรือตามมาจากวัด” จากนั้นก็ออกวิ่งไปตามสถานที่ต่าง ๆ รอบ ๆ โรงแรม หลังจากวิ่งเสร็จก็ทำใจอยู่นานกว่าคุณขวัญจะกล้าขึ้นห้อง พอเปิดประตูห้องเข้าไป ก็พยายามบอกตัวเองว่านั่นคือความฝัน จากนั้นก็ข่มตาให้หลับไป ทุกอย่างดูเป็นปกติ กระทั่งกลับมาถึงบ้านที่กรุงเทพฯ ในวันหนึ่ง ขณะที่ขับรถกลับมาที่บ้าน ก็เห็นผู้ชายคนนึงยืนจับมือเด็กอยู่ที่หน้าบ้าน โดยหันมองไปที่บ้านของคุณขวัญ คุณขวัญอึ้งไปสักพัก แล้วก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่อนุญาตให้ใครเข้าบ้าน!” จากนั้นก็ถอยรถเข้าบ้าน จังหวะที่ถอยรถเข้ามานั้น คุณขวัญก็มองเห็นสองพ่อลูกนั้นอย่างชัดเจน! นั่นยิ่งทำให้คุณขวัญทำตัวไม่ถูกและไม่กล้าที่จะลงจากรถ จึงเสิร์ชหาวิธีจากอินเทอร์เน็ต ซึ่งก็แนะนำให้สวดมนต์ คุณขวัญสวดบทอิติปิโส แต่เขาก็ไม่ไป คุณขวัญจึงตั้งชื่อให้สองพ่อลูกนั้นว่า ‘พี่ศักดิ์’ กับ ‘น้องน้ำหวาน’ และบอกไปว่า “ถ้าอยากได้อะไร ให้มาบอกขวัญ ขวัญไม่รู้ว่าพี่เป็นใครมาจากไหน พรุ่งนี้จะไปทำบุญให้” พูดจบก็เปิดประตูลงจากรถเข้าบ้านไป คุณขวัญบอกว่าตอนนั้น รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างตามตัวอยู่ตลอดเวลา จนบางครั้งก็แทบจะเป็นบ้า และด้วยความที่อยากรู้ที่มาที่ไป จึงโทรกลับไปถามโรงแรมว่าเคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ แต่ทางโรงแรมก็ปฏิเสธ อ้างว่าเป็นโรงแรมใหม่ และบอกว่า “ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ พอดีเป็น Reception” เมื่อเห็นว่าไม่ได้อะไรจึงวางสายไป จากนั้นก็เข้าห้องพระเพื่อสวดมนต์ขอขมาเจ้ากรรมนายเวร แต่ก็ยังไม่หายไป วันรุ่งขึ้นจึงไปทำบุญใส่บาตรที่วัด พอกลับมาที่บ้านก็เข้าห้องพระแล้วสวดมนต์อีกครั้ง “ขวัญจะสวดบทนี้ให้พี่ศักดิ์และน้องน้ำหวานนะ ถ้าอยู่แถวนี้ มาฟังด้วย” เมื่อเริ่มสวดไปได้เพียงนิดเดียว ก็มีมือเล็ก ๆ มาเขย่าที่ต้นขาและได้ยินเสียงเล็กแหลมดังขึ้นมาว่า “พูดอะไรหนูไม่เข้าใจ พูดให้หนูเข้าใจด้วย พี่จะให้หนูไปจากพ่อหนูหรอ หนูไม่ไปหรอกนะ” คุณขวัญตกใจสุดขีด เริ่มร้องไห้ จะลุกไปไหนก็ไม่มีแรง จึงรีบโทรหาพระอาจารย์ ท่านก็แนะนำว่าให้ทำบุญบ้าน ช่วงนี้ก็สวดมนต์ให้ได้ทุกวัน ทำบุญใส่บาตรตอนเช้าไปก่อน เมื่อพระอาจารย์มาที่บ้าน ท่านก็ให้หุ่นพยนต์มาปกป้องตัว ซึ่งทุกวันนี้คุณขวัญยังคงพกสิ่งนี้ติดตัวไว้ตลอด และสิ่งที่น่าตกใจคือทุกที่ที่พระอาจารย์เดินไปพรมน้ำมนต์ คือที่ที่คุณขวัญสัมผัสน้องน้ำหวานได้! นอกจากนี้ ท่านยังให้คุณขวัญนำปากกามา จากนั้นก็เขียนยันต์ไว้ให้ หลังจากนั้น คุณขวัญก็ไม่เห็นพี่ศักดิ์อีกเลย แต่ยังคงเห็นน้องน้ำหวานบ้างในบางครั้ง แต่ไกลตัวมากขึ้น(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1