พี่แจ็คเจอหลอนระหว่างไปปฏิบัติธรรม ต้องนอนข้างล่างห้องเก็บกุมารทอง ตกดึกได้ยินเสียงเคาะดังลั่นห้องจนนอนแทบไม่ได้!

อังคารคลุมโปง RECAP

พี่แจ็คเจอหลอนระหว่างไปปฏิบัติธรรม ต้องนอนข้างล่างห้องเก็บกุมารทอง ตกดึกได้ยินเสียงเคาะดังลั่นห้องจนนอนแทบไม่ได้!

03 มี.ค. 2024

          จากคนที่รับฟังเรื่องหลอนอย่าง ‘พี่เเจ็ค The Ghost Radio’ ต้องมาเจอกับตัวเอง เมื่อไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่ง โดยมีรุ่นพี่ไปเป็นเพื่อน แต่แล้วก็เจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด พี่แจ็คบอกถึงจะไม่เจอตัวเป็น ๆ แต่คิดว่าใช่แน่นอน! เรื่องนี้ ‘พี่เเจ็ค The Ghost Radio’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘คืนปฏิบัติธรรม’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย!

          โดยพี่แจ็คเล่าว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พี่แจ็คได้ไปปฏิบัติธรรมถือศีล 8 ที่วัดพระพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งไปอยู่กับหลวงปู่ที่ท่านเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส พี่แจ็คอาศัยอยู่ที่กุฏิของท่านและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี

          การปฏิบัติธรรมในครั้งนี้วางแผนไปทั้งหมด 3 วัน กิจกรรมจะเริ่มตั้งแต่การเปิดประตูวิหารแต่เช้า นั่งสมาธิ สวดมนต์ ไหว้พระตามปกติ สองวันแรกทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติ แต่วันที่ 3 วันสุดท้ายของการปฏิบัติธรรมนั้น หลวงปู่มีกิจนิมนต์จะต้องเดินทางไปที่พัทยา ซึ่งมีลูกศิษย์ 2 คนไปด้วย จึงเหลือเพียงเณรหนึ่งรูปอยู่กับพี่แจ็ค หลวงปู่บอกว่า “ถือว่าเป็นบ้านของตัวเองนะ อยู่เลย อยู่สบายไม่มีอะไรหรอก”

          พี่แจ็คเล่าให้ฟังว่า กุฏิของหลวงปู่เป็นกุฏิ 2 ชั้น สิ่งที่พี่แจ็คเข้าไปแล้วตกใจที่สุดคือบริเวณชั้นบน มีพระพุทธรูป รูปปั้น หัวเศียรต่าง ๆ แต่จะมีมุมหนึ่งที่เป็นกุมารทอง พี่แจ็คนั่งนับมีถึง 51 ตน ก่อนหน้าที่พี่แจ็คไปนั้นมีอยู่ประมาณร้อยตนได้ แต่แล้วก็มีคนมาขอไป กุมารทองเหล่านี้ หลวงปู่หรือพระที่วัดไม่ได้เลี้ยง แต่คนที่เลี้ยงนั้นเลี้ยงไม่ไหว จึงนำมาปล่อยไว้ให้หลวงปู่ หลวงปู่ก็ไม่ปฏิเสธ เพราะเป็นพระปฏิเสธไม่ได้ จึงนำมาเก็บไว้ตรงนั้น และมีคนมากราบไหว้ขอพร ก่อนจะมาปฏิบัติธรรมมีคนบอกพี่แจ็คไว้ว่า “พี่แจ็คน้องซนนะ เขาจะชอบเล่น แต่เขาชอบกินขนม มีอะไรก็ซื้อขนมไปให้เขา หรือพี่แจ็คอยากมีเรื่องเล่าเป็นของตัวเองก็บอกน้องเขา” พี่แจ็คจึงคุยกับกุมารทองว่า “ไม่ได้อยากมี พี่เป็นนักฟังที่ดี ไม่ต้องมาหาพี่นะ พี่มาปฏิบัติธรรม พี่กลัว ถ้ามาเดี๋ยวพี่ตกใจ เอาเป็นว่าต่างคนต่างอยู่ดีกว่า”

           หลังจากนั้นเช้าวันที่ 3 หลวงปู่ก็ไปกิจนิมนต์ตามแผนที่วางไว้ ส่วนพี่แจ็คก็ไปสวดมนต์ปกติจนถึงตอนกลางคืน เณรนอนอยู่ชั้นบน ซึ่งชั้นบนจะมี 2 ห้อง เป็นห้องข้างในที่เก็บกุมารทอง เก็บของต่าง ๆ ที่เป็นห้องศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ และมีกระชานอยู่ข้างนอก เณรก็จะนอนกระชานข้างนอกแล้วจะปิดประตูล็อคข้างใน ส่วนพี่แจ็คจะนอนกับ ‘พี่เด่น’ ที่ไปเป็นเพื่อน ซึ่งทั้งคู่นอนอยู่ชั้นล่าง และห้องที่นอนนั้นอยู่ใต้กุมารทองพอดี

ปกติแล้วห้องที่นอนนั้นจะไม่ปิดไฟ เพราะพี่แจ็ครู้สึกไม่ไหวเนื่องจากห้องมืดมากจำต้องเปิดไฟนอน คืนสุดท้ายพี่แจ็คสวดมนต์เสร็จแล้วเตรียมตัวจะนอน พี่เด่นที่ยืนอยู่หน้าห้องก็พูดขึ้นมาว่า “อ้าว วันนี้วันสุดท้ายแล้ว ใครมีอะไรอยากมาบอกพี่แจ็ค มาเลยนะ” พี่แจ็คบอกว่า “เฮ้ยพี่เด่น อย่าพูดย่างงั้น ไม่เอาดิ!” จากนั้นพี่เด่นก็หัวเราะ พี่แจ็คจึงสวดมนต์เพราะที่พี่เด่นพูดทำให้รู้สึกไม่ดี จากนั้นทั้งคู่ก็นอนหลับไป ปรากฏว่าพี่แจ็คสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงเสียงพี่เด่นพูดว่า “หึ หึ” พอหันไปมองพี่เด่นก็เอาผ้าห่มคลุม และเหมือนขยับตัวไม่ได้ พี่แจ็คก็รู้ทันทีเลยว่าไม่ พี่เด่นโดนพี่อำ เมื่อพี่แจ็คหันไปมองเสร็จก็หันกลับเอาผ้าคลุมนอนต่อ พี่แจ็คก็ไม่คิดจะปลุกพี่เด่นเพราะคิดว่าสมควรโดน

         ผ่านไปสักพัก พี่แจ็คก็ได้ยินเสียงพี่เด่นเป็นเหมือนเดิมจึงหันไปดูอีกครั้ง ตอนนั้นพี่แจ็คเกิดอาการหนังตากระตุกจึงหันกลับมานอน เวลาผ่านไปเหมือนพี่เด่นดิ้นหลุดออกมาได้ก็ลุกขึ้นมานั่งตาแดงก่ำ และถามว่า “พี่แจ็ค เมื่อกี้ผมเรียกพี่ป่ะ?” พี่แจ็คตอบว่า “ใช่” พี่เด่นถามต่อว่า แล้วทำไมพี่ไม่ปลุกผม?” พี่แจ็คก็บอกกลับไปว่า ไม่ปลุก พี่สมควรโดน ผมรู้ว่าพี่โดนผีอำ อันนี้พี่อะสมควรโดนเพราะพี่พูดไปเรื่อย” จากนั้นพี่เด่นจึงนั่งสวดมนต์อยู่ครึ่งชั่วโมง พี่แจ็คก็หลับและคิดว่าดีแล้วเขาจะได้สงบ

เวลาก็ผ่านไปสักพัก พี่แจ็คก็สะดุ้งตื่นและหันไปมองหน้าพี่เด่น ทั้งคู่มองตากันเพราะมีเสียงมาจากเพดาน เป็นเสียงเคาะดังสนั่นทั่วทุกมุมห้อง ระหว่างที่มองตากันอยู่ พี่แจ็คก็มองด้วยสายตาดุเหมือนส่งสัญญาณให้พี่เด่นว่าห้ามทัก พี่แจ็คพยายามหันหน้าไปอีกฝั่งแล้วนอนฟัง เสียงเคาะก็ดังอยู่เรื่อย ๆ พี่แจ็คมั่นใจว่าเณรไม่ได้แกล้ง เพราะเณรรูปนี้ที่อยู่ด้วยกันมา 3 วัน เป็นเณรที่เรียบร้อยและสำรวมมาก พี่แจ็คนอนฟังจนเสียงเคาะเบาลง พี่แจ็คก็ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงหันไปหาพี่เด่น แล้วก็เอาผ้าคลุม พี่แจ็คจึงหลับไปทั้งแบบนั้น

          ตื่นเช้ามา พี่แจ็คก็เจอเณรเป็นคนแรก จึงถามเณรว่า “เณร เมื่อคืนเณรได้ยินเสียงเคาะไหมครับ?” เณรตอบกลับมาว่า “เณรไม่ได้ยินครับ เณรหลับ” เพราะตอนกลางวันเณรไปเรียนที่วิทยาลัยสงฆ์ พี่แจ็คก็บอกว่า “ผมได้ยินเสียงเคาะทั้งคืนเลย” เณรตอบว่า “อ๋อ เขาคงจะมาลาโยมพี่แหละ เพราะเห็นโยมพี่มา 3 วันแล้ว” และนี่เป็นสิ่งที่พี่แจ็คเจอ ถึงจะไม่เห็นเป็นตัวเป็นตนแต่จากที่ได้ยินเสียงเคาะก็ชัดเชนแล้วว่าใช่…

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ตื่นมาได้ยินเสียง ‘แคร่ก แคร่ก’ มองไปปลายเตียงเห็นผู้หญิงยืนหวีผมอยู่! ตกใจพยายามสวดมนต์ก็ไม่ช่วย!!!

26 ม.ค. 2024

ตื่นมาได้ยินเสียง ‘แคร่ก แคร่ก’ มองไปปลายเตียงเห็นผู้หญิงยืนหวีผมอยู่! ตกใจพยายามสวดมนต์ก็ไม่ช่วย!!!

เรื่องนี้ ‘คุณนัฎฐ์’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 มกราคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจมดดำ’, ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นกับคุณนัฎฐ์ เมื่อต้องเจอกับผู้หญิงปริศนาใส่ผ้าถุงสีแดง ยืนหวีผมหน้ากระจกบานใหญ่ในห้องนอนตัวเอง! เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลย เรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับคุณนัฎฐ์ ซึ่งพักอาศัยอยู่บ้านคนเดียว บ้านคุณนัฎฐ์เป็นบ้านที่ซื้อมาใหม่ ซึ่งไม่เคยเกิดเรื่องลี้ลับอะไรตั้งแต่อยู่มา เรื่องนี้ย้อนกลับไปเมื่อปี 61 วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกปรอย ๆ ตลอดทั้งวัน ตั้งแต่ตอนเช้าถึงเย็น จึงทำให้คุณนัฎฐ์ไม่ได้ออกไปทำงาน คุณนัฎฐ์จึงพักผ่อนอยู่บ้าน พอตกกลางคืน คุณนัฎฐ์ก็เข้านอนตามปกติ ภายในห้องนอนเป็นห้องเล็ก ๆ ทาด้วยสีขาว เตียงนอนอยู่ฝั่งซ้าย ตู้เสื้อผ้าอยู่ฝั่งขวา และมีกระจกบานใหญ่แบบเต็มตัวที่น้องชายทำมาให้วางติดอยู่กับตู้เสื้อผ้า ปกติคุณนัฎฐ์เป็นคนนอนปิดไฟ แต่มักจะเปิดหน้าต่างบานเกล็ดไว้ เพื่อให้แสงสว่างภายนอกส่องเข้ามาภายในห้อง ทำให้ในห้องนอนมีแสงสว่างเล็กน้อย มองเห็นภายในห้องแบบสลัว ๆ เวลาประมาณ ตี 1 คุณนัฎฐ์สะดุ้งตื่น ได้ยินเสียง ‘แคร่ก…แคร่ก…’ อยู่ภายในห้อง คุณนัฎฐ์ลืมตาขึ้นและกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้อง ปรากฏว่าหางตาก็เห็นเป็นเหมือนผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ผอม ๆ ใส่เสื้อสีขาว ผ้าถุงเลื่อมลายดอกพิกุลสีแดง ผมยาวถึงก้น ยืนหันหลังให้คุณนัฎฐ์ หันหน้าเข้ากระจก คุณนัฎฐ์รู้ทันทีว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนแน่ ๆ เพราะตัวเองอยู่บ้านคนเดียว และเสียง ‘แคร่ก…แคร่ก…’ ที่ได้ยินนั้น เป็นเสียงผู้หญิงคนนั้นกำลังหวีผมช้า ๆ ตั้งแต่โคนผมยาวไปถึงปลายผม คุณนัฎฐ์กลัวมาก และคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ผู้หญิงคนนั้นรู้ว่าคุณนัฎฐ์เห็นแล้ว คุณนัฎฐ์จึงหยิบผ้าห่มบนหัวมาสะบัด แต่สะบัดเท่าไหร่ก็ยังนิ่งเฉย ผู้หญิงคนนั้นก็คงรู้ว่าคุณนัฎฐ์ตื่นแล้ว แต่ก็ไม่ไปไหน ยังหวีผม ‘แคร่ก…แคร่ก…’ อยู่เหมือนเดิม คุณนัฎฐ์กลัวมาก จึงหาวิธีใหม่นั่นคือ การสวดมนต์ คุณนัฎฐ์หลับตาสวดมนต์ ด้วยความที่คุณนัฎฐ์กลัวมาก ทำให้ลืมบทสวดมนต์ สวดไปได้แค่ครึ่งทางก็ลืม คุณนัฎฐ์จึงค่อย ๆ ลืมตาเพื่อดูว่าผู้หญิงคนนั้นหายไปหรือยัง แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ยังไม่หายไป ยังยืนหวีผมหน้ากระจกอยู่เหมือนเดิม พอครั้งที่สาม คุณนัฎฐ์จึงตั้งสติใหม่ หลับตาลงแล้วตั้งใจสวดมนต์ ครั้งนี้จำบทสวดมนต์ได้ทั้งหมด พอสวดมนต์จนจบ คุณนัฎฐ์ก็ค่อย ๆ ลืมตาเพื่อจะเช็คอีกรอบว่าผู้หญิงคนนั้นยังอยู่หรือไม่ ปรากฏว่าครั้งนี้ได้ผล ผู้หญิงคนนั้นหายไปแล้ว! หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นหายไป คุณนัฎฐ์ก็นอนไม่หลับจนถึงเช้า พอเช้าวันใหม่ คุณนัฎฐ์ก็ได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้ป้าแม่บ้านฟัง แต่คุณนัฎฐ์ก็ยังกลัวว่าคืนนี้จะเจอผู้หญิงคนนั้นอีกหรือเปล่า ป้าแม่บ้านจึงให้คำแนะนำว่า “เอาอย่างงี้ไหม เดี๋ยวป้าจะพาไปหาร่างทรง เป็นหมอดูให้เขาดูให้” คุณนัฎฐ์ก็ตกลงและก็ไปหาหมอดูคนนั้น หมอดูก็เริ่มถามคำถามไปเรื่อย ๆ ถามเรื่องบ้านแต่ก็ไม่น่าใช่เพราะบ้านคุณนัฎฐ์เป็นบ้านใหม่ และก็อยู่มานานแล้วไม่เคยเจอ ถ้าเป็นกระจกบานใหญ่ที่น้องชายทำให้ก็ไม่น่าใช่ เพราะได้เป็นของขวัญตอนขึ้นบ้านใหม่ จนถามไปถึงเรื่องงานที่คุณนัฎฐ์ทำ ว่าทำงานเกี่ยวกับอะไร คุณนัฎฐ์ก็ตอบว่า ‘ขายเสื้อผ้ามือสอง แต่เสื้อผ้าที่ขาย ก็ไม่ใช่แบบเดียวกันกับผู้หญิงคนนั้นใส่’ เรื่องนี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนั้นมาจากไหน แต่หมอดูก็บอกว่า ‘เขามาดีนะเขาจะมาช่วยค้าขายดีขึ้น’ หลังจากนั้น คุณนัฎฐ์ก็ไม่เจออะไรอีกเลย แต่ธุรกิจขายเสื้อผ้ามือสองก็ต้องปิดลงเพราะมรสุมโควิด 19 และปัจจุบันก็ธุรกิจกระจกร่วมกับน้องชายแทน(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากพาเวล 'เจอดีกลางกองถ่าย' l อังคารคลุมโปง X พูห์-พาเวล [ 25 พ.ย.2568 ]

04 ธ.ค. 2025

เรื่องเล่าจากพาเวล 'เจอดีกลางกองถ่าย' l อังคารคลุมโปง X พูห์-พาเวล [ 25 พ.ย.2568 ]

ในซีนพิธีบูชายัญ ระหว่างที่เข้าบทจังหวะที่นอนลงบนพื้น กลับรู้สึกถึงแรงลม และพลังงานบางสิ่งบางอย่างที่พัดผ่านลำตัวไป แต่ในฉากกลับไม่มีใครเลย หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปได้ไม่นานได้ไปดูดวง แต่กลับโดนทักเตือนให้ระวังเรื่องบางอย่าง… ที่เมื่อเวลาผ่านไปกลับเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น! เรื่องราวขนหัวลุกกลางกองถ่าย.. ‘พาเวล’ ได้เข้ามาเล่าเรื่องราวของตนเอง ขณะที่กำลังเข้าฉากถ่ายทำ แต่กลับสัมผัสได้ถึงพลังงานบางสิ่งบางอย่าง ที่เหมือนจะตามติดกลับไปโดยบังเอิญ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X พูห์ - พาเวล’ (25 พฤศจิกายน 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘เจอดีกลางกองถ่าย’ เรื่องราวจาก ‘พาเวล’ เกิดขึ้นในกองถ่ายฉากต้นไม้ 7 ศพ ตั้งอยู่ในห้างร้างแห่งหนึ่ง และมีอยู่หนึ่งซีนสำคัญ ที่ทีมงานยังไม่ได้ถ่าย ซึ่งเป็นซีนฉากทำพิธีบูชายัญที่ตามคิว… “ผี” ต้องปรากฏตัวในเซ็ตจริง ๆ ก่อนเริ่มการถ่ายทำ พาเวลถามผู้กำกับว่า“เดี๋ยวผีเข้ามาเลยไหม หรือเล่นยาวเทคเดียวไปเลยรึเปล่า?” แต่ผู้กำกับตอบว่า ยังต้องมีการรีเซ็ตก่อน เพราะซีนใหญ่มากกลัวใช้เวลาเกินไป จะยังไม่มีอะไรเข้ามาในเซ็ตตอนนี้ พาเวลจึงเล่นไปตามบทแบบไม่คิดอะไร จนถึงจังหวะฉากที่เขาต้องนอนบนพื้นหลับตาไม่เห็นใครรอบตัวแล้วตอนนั้นเอง…พาเวลรู้สึกว่า มีลมแผ่ว ๆ พัดข้ามตัวไปถึง 2 ครั้ง ความรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างเดินผ่านไป เป็นลมที่ทำให้รับรู้ได้ถึงพลังงานบางอย่าง พาเวลได้แต่นึกว่า ผู้กำกับเปลี่ยนบทหน้างานเอาผีเข้ามาจริงเลยเล่นต่อแบบเต็มที่ แต่พอหลังจากถ่ายเสร็จ ไปกินข้าวตอนเย็นซึ่งมีการคุยกันถึงฉากที่เกิดขึ้น แต่คำตอบที่ได้คือ…“ไม่มีใครเอาผีเข้าซีนเลยนะ แพลนเดิมทุกอย่าง” ทั้งที่ในฉากนั้นมีคนอยู่เต็มไปหมด แต่มีแค่พาเวลคนเดียวที่รู้สึกถึง ‘ลมสองครั้ง’ พาเวลเริ่มเอะใจ เพราะในเรื่องตัวละครเขาเป็นคน ไม่เชื่อเรื่องลี้ลับ ล้อเล่นกับความตาย ไม่กลัว ไม่ให้เกียรติพิธี เขาเลยย้อนคิดกลับไปว่า…“หรือสิ่งนั้น… ไม่รู้ว่านี่คือการแสดง?” อาจทำให้ ‘ใครบางคน’ เข้าใจว่าเขากำลังลบหลู่จริง ๆ ความหลอนยังไม่จบง่าย ๆ เพราะตั้งแต่เข้าวงการมา พาเวลมีไปดูดวงเป็นครั้งคราวอยู่แล้ว และหลังถ่ายซีนนี้ไม่นานเขาได้ไปเจอหมอดูคนหนึ่ง หมอดูเปิดไพ่ใบแรกเป็นภาพของเขาที่มี “ผู้หญิงเกาะอยู่ด้านหลัง” แล้วถามทันทีว่า“ช่วงนี้ไปสถานที่ที่มีของแรง ๆ มารึเปล่า?” พาเวลได้แต่นิ่ง เพราะเขาเพิ่งไปถ่ายฉากที่ห้างร้างจริง ๆ มา หมอดูเปิดไพ่ใบต่อมาเป็นภาพ รถคว่ำ ไฟลุกท่วม มียมทูตยืนอยู่ข้างหลัง และยังมีเงาตึกร้างกับต้นไม้อยู่ในภาพ หมอดูเปิดไพ่แล้วบอกว่า“ระวังเรื่องรถนะ มีเหตุแน่ ทั้งเจ็บ ทั้งเสียเงิน ไม่รอดแน่นอน” แม่หมอจึงให้เขาไปทำบุญโลงศพ อาบน้ำมนต์ และสวดมนต์บทเฉพาะเพื่อให้สิ่งหนัก ๆ เบาลง ซึ่งพาเวลก็ทำตามทุกอย่างแบบไม่คิดมาก แต่ประมาณหนึ่งถึงสองอาทิตย์หลังจากนั้นขณะที่เขาขับรถตามปกติจู่ ๆ ยางรถก็รั่ว พาเวลคิดว่าแค่ล้อเดียว แต่พอช่างตรวจกลับพบว่า“ทั้งสี่ล้อโดนตะปูเหมือนกันหมด และยางรุ่นนี้ซ่อมไม่ได้ ต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด” มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นพร้อมกันแบบนี้ได้เลย แต่ก็กลับเกิดขึ้นเหตุการณ์ขึ้นจริง พาเวลยังคงบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่เมื่อมองย้อนกลับไป มันก็อดสงสัยไม่ได้ว่า… ทั้งหมดนี้เป็นแค่ความบังเอิญ หรือเป็นสัญญาณบางอย่างจากสิ่งที่เขาไปลบหลู่โดยไม่ตั้งใจ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ซินแสเอ็กซ์เล่าเรื่อง 'เดือนต้องห้าม' I อังคารคลุมโปง X โนอาร์ ล่าท้าผี [ 17 ก.ย. 2567]

21 ก.ย. 2024

ซินแสเอ็กซ์เล่าเรื่อง 'เดือนต้องห้าม' I อังคารคลุมโปง X โนอาร์ ล่าท้าผี [ 17 ก.ย. 2567]

‘ซินแสเอ็กซ์’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (17 สิงหาคม 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจมดดำ’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘เดือนต้องห้าม’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! ซินแสเอ็กซ์เล่าว่า ได้มีข้อความส่งมาหาซินแสเอ็กซ์เพื่อมาขอคำปรึกษาการเข้าบ้านใหม่ โดยเจ้าของบ้านที่ต้องการปรึกษาก็ได้เล่าว่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้มีการย้ายเข้าบ้านใหม่ และได้มีการเชิญคนมาตั้งศาลตี่จู้เอี๊ยะให้ในวันนั้นเพื่อความเป็นสิริมงคล พอตั้งเสร็จเจ้าของบ้านก็รู้สึกตงิดใจขึ้นมาว่าฤกษ์ตรงนี้ไม่ได้ จึงต้องโทรมาหาซินแสเอ็กซ์ เพราะหลังจากเจ้าของบ้านตั้งศาลนี้ก็รู้สึกว่ามีสิ่งแปลก ๆ ในบ้านเยอะมาก ในคืนนั้น ขณะที่เจ้าของบ้านทำงานอยู่หน้าห้องนอน ส่วนในห้องมีภรรยาและลูกเล็กนอนอยู่ ก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันที่ชั้นล่าง เจ้าของบ้านจึงตั้งใจจะลงไปดู ขณะที่จะก้าวลงไปถึงห้องนั่งเล่น เสียงนั้นก็หายไป เจ้าของบ้านจึงคิดว่าเป็นเสียงจากข้างนอกจึงเดินกลับขึ้นห้องไป แต่ในระหว่างที่เดินกลับขึ้นไปก็ได้ยินเสียงอีก เจ้าของบ้านก็เดินกลับลงไปดูอีก หันซ้ายหันขวาแต่ก็ไม่มีใคร จึงเดินไปที่ตี่จู้เอี๊ยะแล้วจุดธูปพร้อมบอกกล่าวว่า ‘ขอให้อยู่บ้านนี้แล้วเฮง’ จากนั้นก็เดินกลับขึ้นชั้นบน ในขณะที่เดินกลับขึ้นไปนั้น เจ้าของบ้านก็ได้ยินเสียงโทรทัศน์เปิด เมื่อชะโงกหน้าไปดูก็เห็นว่าโทรทัศน์ดับไปต่อหน้าต่อตา! เจ้าของบ้านตกใจและรีบขึ้นไปเพื่อเข้าห้องนอน และกลั้นใจนอนหลับไป.. เมื่อเจ้าของบ้านหลับไปก็ได้ฝันเห็นผู้ชายตัวดำ ๆ คล้ายเงาอยู่ปลายเตียง พร้อมพูดว่า “ไอที่จุดธูปไหว้ไปเมื่อกี้เนี่ย มึงจุดธูปไหว้กูนะ มึงอยากให้กูอยู่ด้วยหรอ” เจ้าของบ้านสะดุ้งตื่นและคิดว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อหยิบโทรศัพท์มาดูเวลาก็พบว่าเป็นเวลาตี 3 ยังไม่เช้า จึงพยายามข่มตานอนอีกรอบ แต่ก็ดันฝันอีกรอบ โดยฝันว่าตนนั้นกำลังนั่งในห้องรับแขก แต่ด้านนอกห้องรับแขกเห็นเป็นคนแก่ 2 คนหน้าตาใจดี แต่ดูกังวล เมื่อตนและคนแก่หันมาสบตากัน คนแก่ก็กวักมือเรียก ตนจึงเปิดประตูออกไปแล้วถามว่า “มาหาใครครับ มีอะไรครับ?” คนแก่ 2 คนจึงบอกว่า “มาหาลื้อนั่นแหละ” และยังบอกอีกว่า “ลื้อลองมองหันกลับเข้าไปในบ้านลื้อสิ ผีเต็มบ้านเลยนะ” เมื่อเจ้าของบ้านหันไปก็เห็นเป็นคนแต่งตัวมอมแมมอยู่ในบ้านเต็มไปหมด! เจ้าของบ้านกำลังจะหันกลับไปถาม แต่ทั้ง 2 ก็หายไปแล้ว เจ้าของบ้านสะดุ้งตื่นขึ้นมาแต่ก็ยังไม่เช้า และไม่อยากฝันอีกจึงเลือกที่จะไม่นอนต่อ แล้วไปนั่งในห้องน้ำเพราะกลัวภรรยากับลูกตื่น คิดว่าตอนเช้าจะพาภรรยาไปทำบุญ พอเริ่มเช้า ภรรยาตื่นและเปิดประตูออกมาก็ถามเจ้าของบ้านว่า “ไปทำบุญกันไหม?” ทั้งครอบครัวจึงออกไปทำบุญ ในระหว่างที่ขับรถไปนั้น เจ้าของบ้านอัดอั้นตันใจมาก เพราะอยากที่จะเล่าเรื่องราวให้กับภรรยาฟัง จึงตัดสินใจจะเล่า แต่เมื่อเกริ่นไปแค่คำว่า “เมื่อคืน..” ภรรยาก็บอกให้หยุดและบอกว่าขอเล่าก่อน โดยภรรยาได้เล่าว่าเมื่อคืนได้ฝันเห็นผู้ชายตัวดำ ๆ มีเงาอยู่ปลายเท้าพูดว่า “ผัวมึงไหว้กูอยู่นะ กูจะมาอยู่กับมึง” พอเจ้าของบ้านฟังจบก็เล่าเรื่องราวฝั่งตัวเองให้ฟัง ทั้ง 2 คนคิดว่าท่าทางเริ่มไม่ดีแล้ว จึงรีบไปวัด และเอาลูกไปฝากไว้กับพ่อแม่ก่อน เมื่อไปถึงที่วัดก็เล่าเรื่องราวให้พระฟัง พระท่านก็เสกน้ำมนต์และให้เครื่องรางของขลังมาเพื่อจะเอากลับไปไว้ที่บ้าน หลังจากได้ของจากพระ สามีภรรยาก็กลับไปที่บ้านและใช้ชีวิตตามปกติแต่ก็รู้สึกไม่สบายใจ ตัวสามีก็ไปนั่งทำงานอยู่ที่เดิม ภรรยาก็อยู่ในห้องนอน และจู่ ๆ ไฟก็ดับทั้งบ้าน ซึ่งมันเป็นไปได้ยากเพราะบ้านพึ่งทำใหม่และดับอยู่บ้านเดียว ทันใดนั้น สามีก็ได้ยินเสียงภรรยาร้องออกมาจากห้องนอน! สามีจึงรีบวิ่งเข้าไปที่ห้องนอน พอเปิดเข้าไปก็ได้รู้ว่าเสียงภรรยาออกมาจากห้องน้ำ สามีพยายามบิดลูกบิดเพื่อเปิดประตูแต่บิดเท่าไหร่ก็เปิดไม่ออก ตัวภรรยาเองก็บอกว่าไม่สามารถเปิดจากข้างในได้เหมือนกัน! สามีจึงรีบวิ่งไปเอาค้อนที่ชั้นล่าง และในระหว่างที่ขึ้นไปหาภรรยา สามีรู้สึกเหมือนมีคนมาขัดขาจึงล้มลงไปจนฟันหน้าหักเลือดท่วมปาก แต่ด้วยความที่เป็นห่วงภรรยาจึงรีบวิ่งขึ้นไป ในตอนที่กำลังจะเอาค้อนทุบประตูภรรยาดันเปิดประตูออกมาได้ปกติ เมื่อทั้งคู่เจอหน้ากันก็รีบเอากุญแจรถขับออกไปทันที และไปตั้งสติที่บ้านแม่ สามีถามภรรยาว่าเกิดอะไรขึ้น ตัวภรรยาจึงเล่าให้ฟังว่าในตอนที่เจ้าของบ้านนั่งทำงานอยู่ ภรรยาได้เข้าไปอาบน้ำ โดยลักษณะห้องน้ำจะมีกระจกกั้นระหว่างโซนเปียกกับโซนแห้ง ภรรยารู้สึกว่าหางตาเห็นเหมือนมีคนเอาหน้ามาอังตรงกระจก เห็นแบบนั้นก็รู้สึกตกใจจึงตั้งใจจะหันไปมอง แต่ในขณะที่หันไปมอง ไฟดันดับและภรรยาเห็นร่างคนตัวดำ ๆ ยืนอยู่ในห้องน้ำกับภรรยา! ภรรยาตกใจร้องกรี๊ดเสียงดัง หลังจากนั้นก็เล่าแม่ฟังอีกรอบ แม่บอกว่าคนส่วนใหญ่มักจะไม่ตั้งศาลกันในเดือนเจ็ดของจีน ซึ่งก็คือเดือนสิงหาคม ทางเจ้าของบ้านจึงโทรมาหาทางซินแสเอ็กซ์เพื่อขอคำปรึกษา และซินแสเอ็กซ์ก็ได้ให้คำปรึกษาไป..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากพี่ยม เเท็กซี่ผี ‘ผู้โดยสารขากลับ’ l อังคารคลุมโปง X โดนัท Howtozghost [25 มี.ค. 2568 ]

03 เม.ย. 2025

เรื่องเล่าจากพี่ยม เเท็กซี่ผี ‘ผู้โดยสารขากลับ’ l อังคารคลุมโปง X โดนัท Howtozghost [25 มี.ค. 2568 ]

ขับแท็กซี่มา 40 ปี ฟังเรื่องเล่าผีมาก็เยอะ แต่ใครจะคิดว่าในวันที่ตั้งใจจะขับรถกลับบ้าน จะได้เจอดีเข้าก่อน! เรื่องราวสุดหลอนนี้จะเป็นอย่างไร? ติดตามได้กับเรื่องที่มีชื่อว่า “ผู้โดยสารขากลับ” จาก “คุณยม” ในรายการ “อังคารคลุมโปง X” (25 มีนาคม 2568) พร้อมด้วย “ดีเจแนน”, “ดีเจเจ็ม” และ “ดีเจมดดำ” “คุณยม” ได้นำเรื่อง “ผู้โดยสารขากลับ” มาเล่า โดยคุณยมได้เล่าว่า.. คุณยมได้ขับรถแท็กซี่มา 40 ปี รับงานผ่านแอปพลิเคชัน ด้านหน้าคอนโซลรถ จะติดสติกเกอร์รายการผีไว้หลายรายการ ผู้โดยสารมักจะทักว่า “พี่ เป็นเอฟซีรายการนี้หรอ” คุณยมจะบอกว่า “ใช่” และบอกไปว่าเป็นนักเล่า นอกจากนี้ คุณยมก็มักจะหาเรื่องเล่าแปลก ๆ ใหม่ ๆ จากผู้โดยสารฟังเสมอ ในตอนนี้คุณยมขับรถในช่วงเวลากลางวันได้ 2 ปีแล้ว และในวันที่เกิดเหตุ คุณยมไม่สามารถขับรถในช่วงเวลากลางวันได้เพราะอากาศที่ร้อน พอถึงช่วงบ่ายก็จะกลับเข้าบ้าน แล้วมาขับอีกครั้งตอนประมาณ 1 ทุ่ม จนถึง ตี 1 ใน วันเกิดเหตุนั้น คุณยมก็รับผู้โดยสารตามปกติ จุดหมายคือ จากสีลมไปส่งที่ซอยแบริ่ง และผู้โดยสารคนนี้ก็มีเรื่องเล่าให้คุณยมฟัง คุณยมก็ฟังเรื่องเล่านั้น แต่ไม่ได้มีท่าทีสนใจอะไร หลังจากที่ออกมาจากซอยแบริ่งจะเจอกับทางแยก ทางซ้ายจะไปสำโรง ส่วนขวาจะไปทางบางนาแล้วจะไปโผล่เส้นสุขุมวิท และจากประสบการณ์ที่คุณยมได้ขับรถมาตลอด ถ้าวิ่งไปเส้นพระโขนง-อ่อนนุช มักจะไม่มีผู้โดยสาร ณ ตอนนั้นก็เป็นเวลา 5 ทุ่มแล้ว คุณยมจึงตัดสินใจขับรถไปทางสำโรง เพื่อเข้าถนนปู่เจ้าสมิงพรายเพื่อจะกลับบ้าน แต่สายตาคุณยมก็มองข้างทางไปเรื่อย ๆ และเปิดแอปพลิเคชันรับงาน ในใจของคุณยมตอนนั้นก็ถอดใจแล้ว หากไม่มีผู้โดยสาร ก็จะขับรถกลับบ้านทันที คุณยมขับรถตรงไปเรื่อย ๆ จนเข้าเส้นถนนปู่เจ้าสมิงพาย และเส้นทางนี้จะมีสะพานข้ามคลองสูง อยู่สะพานเดียว เมื่อคุณยมขับรถลงจากสะพาน ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ใส่เสื้อแจ็คเก็ตสีเขียวรูดซิบจนถึงคอ คล้ายกับบริษัทขนส่งแห่งหนึ่ง ผมสั้นประมาณไหล่ ยืนโบกรถอยู่ และเพราะละแวกนั้นไม่ได้มืด และมีธนาคารตั้งอยู่ ทำให้ยังมีไฟสว่างอยู่บริเวณนั้น คุณยมจึงเปิดไฟเลี้ยวแล้วเข้าไปจอด จังหวะที่เลี้ยวเข้าไปจอด ผู้หญิงคนนั้นก็เดินมาทางหน้ารถของคุณยม เพื่อจะบอกจุดหมายที่จะไป และยังไม่ทันได้เปิดประตู ผู้หญิงคนนั้นก็ชะงัก แล้วถอยหลังกลับไป ในจังหวะเดียวกันนั้นก็มีเสียงประตูเปิดและปิดจากทางประตูหลังที่นั่งของผู้โดยสาร คุณยมจึงมองไปที่กระจกมองหลัง ว่าใครขึ้นมา แต่ก็ยังไม่ทันจะได้มอง ก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นมาว่า “ปะ ข้ามสะพานภูมิพล” ณ ตอนนั้นคุณยมก็รู้สึกดีใจ เพราะเป็นทิศทางเดียวกัน เมื่อลงจากสะพานภูมิพลก็จะสามารถกลับบ้านได้สะดวก และระยะทางจากจุดที่รับกับจุดหมายก็ห่างเพียงแค่ 1 กิโลกว่า แต่ระหว่างนั้นคุณยมก็รู้สึกขนลุกบริเวณแขนด้านซ้ายก่อน และขนแขนด้านขวาก็ลุกตาม ซึ่งความรู้สึกแรกที่คุณยมได้รับรู้คือ เหมือนมีคนกำลังจ้องอยู่ตลอดเวลาระหว่างขับรถ คุณยมจึงเหลือบตาไปมองกระจกหลัง พอมองไปก็เห็นว่าเป็นดวงตาสีดำสนิท มีขนาดใหญ่ และจ้องมาที่กระจกมองหลัง คุณยมรู้สึกตกใจจึงหลบตา และคิดว่า ‘ตาของผู้โดยสารแปลกจัง’ และจังหวะที่โค้งขึ้นสะพาน คุณยมก็จึงเร่งความเร็วขึ้น โดยปกติผู้โดยสารมักจะเอียงตัวตามแรงโค้ง แต่เมื่อคุณยมมองที่กระจกหลังอีกครั้ง ผู้โดยสารคนนี้ก็นั่งจ้องมาที่กระจกหลังอยู่แล้ว สายตาที่ต้องมาเป็นสายตาดุ ๆ คุณยมจึงตกใจอีกครั้งว่า ‘มองทำไม’ และคุณยมหันมองผู้โดยสารคนนี้ถึง 3 ครั้ง ซึ่งโดยปกติแล้วคุณยมจะไม่มองผู้โดยสารแบบนี้ แต่เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้คุณยมอดที่จะมองไม่ได้ และเมื่อขึ้นสะพานมาจนถึงทางตรง ก็จะเจอกับทางแยก ทางลงด้านซ้ายจะไปพระประแดง ด้านขวาจะไปพระราม 3 คุณยมจึงถามผู้โดยสารว่าจะไปทางด้านซ้ายหรือขวา แต่ก็ไม่เสียงตอบกลับ คุณยมจึงถามย้ำอีกครั้ง “คุณจะให้ผมเลี้ยวไปทางไหนครับ ไปทางพระราม 3 หรือ พระประแดงครับ” และเสียงที่ตอบกลับมาก็เป็นเสียงของผู้หญิงที่สั่นเครือ “พระราม 3” ทำให้คุณยมต้องหันกลับไปดูที่กระจกมองหลังอีกครั้ง สิ่งที่พบคือ เปลือกตาโพลนออกมาเป็นสีดำสนิท ใบหน้าก็เห็นเป็นสีดำ คุณยมจึงคิดอยากจะปรับกระจกมองหลังให้ต่ำลงเพื่อจะได้เห็นชัดขึ้น แต่ในใจก็ไม่กล้า จึงขับรถไปตามที่ผู้โดยสารบอก และจะกลับบ้านทันที ในจังหวะที่ขับตรงมาทางพระราม 3 ทางข้างหน้าจะเป็น 3 แยก คุณยมจึงถามผู้โดยสารอีกว่า “จะให้ผมเลี้ยวซ้ายหรือขวา หรือจะเข้าซอยธนูรักษ์ครับ” แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา คุณยมจึงถามซ้ำอีกครั้ง “จะเลี้ยวซ้ายหรือขวา หรือเข้าซอยธนูรักษ์ครับ ผมจะได้ไปส่งคุณได้ถูก” แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบกลับมาแม้แต่นิดเดียว และในตอนนั้นแขนของคุณยมก็เริ่มมีอาการขนลุก ขาเริ่มชา คุณยมจึงปล่อยรถให้ไหลลงไปตามทาง และคิดในใจว่า ‘หรือเราจะเจออีกแล้ว’ หลังจากที่ลงสะพานมา คุณยมจึงพยายามเอารถจอดข้างทางก่อนถึงซอยธนูรักษ์ และลงจากรถด้วยขาที่เริ่มไม่มีแรง เพื่อจะไปเปิดประตูด้านหลังดูว่ามีผู้โดยสารอยู่หรือเปล่า และเมื่อเปิดประตูด้านหลังทางขวา ก็ไม่พบใครนั่งอยู่ คุณยมจึงได้รู้ทันทีว่าตัวเองนั้นเจอดีเข้าอีกแล้ว จากนั้นก็เลือกเดินไปเปิดประตูข้างทางด้านซ้ายเพื่อเชิญเขาลง และบอกไปว่า “วันนี้พี่คงไม่ได้ตังแล้ว พี่จะกลับบ้านเลย พี่ส่งน้องได้แค่นี้ ต่างคนต่างไปแล้วกัน ถ้ามีโอกาสหน้าเราคงจะได้เจอกันอีก“ หลังจากนั้นคุณยมก็มานั่งลงที่ฟุตบาท แล้วก้มศรีษะลงนึกย้อนถึงเหตุการณ์ที่เจอ และคิดว่าน้องคนแรกที่ชะงักก่อนที่จะได้ขึ้นรถ คงเห็นอะไรบางอย่าง และนั้นยิ่งทำให้คุณยมมั่นใจว่า สิ่งที่ตัวเองเห็นมาตลอดทางนั้น ไม่ได้ตาฝาดไป ยิ่งไปกว่านั่นดวงตาที่ได้มองไป เป็นดวงตาที่คุณยมจะจดจำและฝั่งอยู่ในใจไปอีกนาน(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1