อังคารคลุมโปง RECAP

อังคารคลุมโปง RECAP

พี่แจ็คเจอหลอนระหว่างไปปฏิบัติธรรม ต้องนอนข้างล่างห้องเก็บกุมารทอง ตกดึกได้ยินเสียงเคาะดังลั่นห้องจนนอนแทบไม่ได้!

03 มี.ค. 2024

          จากคนที่รับฟังเรื่องหลอนอย่าง ‘พี่เเจ็ค The Ghost Radio’ ต้องมาเจอกับตัวเอง เมื่อไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่ง โดยมีรุ่นพี่ไปเป็นเพื่อน แต่แล้วก็เจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด พี่แจ็คบอกถึงจะไม่เจอตัวเป็น ๆ แต่คิดว่าใช่แน่นอน! เรื่องนี้ ‘พี่เเจ็ค The Ghost Radio’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘คืนปฏิบัติธรรม’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย!

          โดยพี่แจ็คเล่าว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พี่แจ็คได้ไปปฏิบัติธรรมถือศีล 8 ที่วัดพระพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งไปอยู่กับหลวงปู่ที่ท่านเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส พี่แจ็คอาศัยอยู่ที่กุฏิของท่านและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี

          การปฏิบัติธรรมในครั้งนี้วางแผนไปทั้งหมด 3 วัน กิจกรรมจะเริ่มตั้งแต่การเปิดประตูวิหารแต่เช้า นั่งสมาธิ สวดมนต์ ไหว้พระตามปกติ สองวันแรกทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติ แต่วันที่ 3 วันสุดท้ายของการปฏิบัติธรรมนั้น หลวงปู่มีกิจนิมนต์จะต้องเดินทางไปที่พัทยา ซึ่งมีลูกศิษย์ 2 คนไปด้วย จึงเหลือเพียงเณรหนึ่งรูปอยู่กับพี่แจ็ค หลวงปู่บอกว่า “ถือว่าเป็นบ้านของตัวเองนะ อยู่เลย อยู่สบายไม่มีอะไรหรอก”

          พี่แจ็คเล่าให้ฟังว่า กุฏิของหลวงปู่เป็นกุฏิ 2 ชั้น สิ่งที่พี่แจ็คเข้าไปแล้วตกใจที่สุดคือบริเวณชั้นบน มีพระพุทธรูป รูปปั้น หัวเศียรต่าง ๆ แต่จะมีมุมหนึ่งที่เป็นกุมารทอง พี่แจ็คนั่งนับมีถึง 51 ตน ก่อนหน้าที่พี่แจ็คไปนั้นมีอยู่ประมาณร้อยตนได้ แต่แล้วก็มีคนมาขอไป กุมารทองเหล่านี้ หลวงปู่หรือพระที่วัดไม่ได้เลี้ยง แต่คนที่เลี้ยงนั้นเลี้ยงไม่ไหว จึงนำมาปล่อยไว้ให้หลวงปู่ หลวงปู่ก็ไม่ปฏิเสธ เพราะเป็นพระปฏิเสธไม่ได้ จึงนำมาเก็บไว้ตรงนั้น และมีคนมากราบไหว้ขอพร ก่อนจะมาปฏิบัติธรรมมีคนบอกพี่แจ็คไว้ว่า “พี่แจ็คน้องซนนะ เขาจะชอบเล่น แต่เขาชอบกินขนม มีอะไรก็ซื้อขนมไปให้เขา หรือพี่แจ็คอยากมีเรื่องเล่าเป็นของตัวเองก็บอกน้องเขา” พี่แจ็คจึงคุยกับกุมารทองว่า “ไม่ได้อยากมี พี่เป็นนักฟังที่ดี ไม่ต้องมาหาพี่นะ พี่มาปฏิบัติธรรม พี่กลัว ถ้ามาเดี๋ยวพี่ตกใจ เอาเป็นว่าต่างคนต่างอยู่ดีกว่า”

           หลังจากนั้นเช้าวันที่ 3 หลวงปู่ก็ไปกิจนิมนต์ตามแผนที่วางไว้ ส่วนพี่แจ็คก็ไปสวดมนต์ปกติจนถึงตอนกลางคืน เณรนอนอยู่ชั้นบน ซึ่งชั้นบนจะมี 2 ห้อง เป็นห้องข้างในที่เก็บกุมารทอง เก็บของต่าง ๆ ที่เป็นห้องศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ และมีกระชานอยู่ข้างนอก เณรก็จะนอนกระชานข้างนอกแล้วจะปิดประตูล็อคข้างใน ส่วนพี่แจ็คจะนอนกับ ‘พี่เด่น’ ที่ไปเป็นเพื่อน ซึ่งทั้งคู่นอนอยู่ชั้นล่าง และห้องที่นอนนั้นอยู่ใต้กุมารทองพอดี

ปกติแล้วห้องที่นอนนั้นจะไม่ปิดไฟ เพราะพี่แจ็ครู้สึกไม่ไหวเนื่องจากห้องมืดมากจำต้องเปิดไฟนอน คืนสุดท้ายพี่แจ็คสวดมนต์เสร็จแล้วเตรียมตัวจะนอน พี่เด่นที่ยืนอยู่หน้าห้องก็พูดขึ้นมาว่า “อ้าว วันนี้วันสุดท้ายแล้ว ใครมีอะไรอยากมาบอกพี่แจ็ค มาเลยนะ” พี่แจ็คบอกว่า “เฮ้ยพี่เด่น อย่าพูดย่างงั้น ไม่เอาดิ!” จากนั้นพี่เด่นก็หัวเราะ พี่แจ็คจึงสวดมนต์เพราะที่พี่เด่นพูดทำให้รู้สึกไม่ดี จากนั้นทั้งคู่ก็นอนหลับไป ปรากฏว่าพี่แจ็คสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงเสียงพี่เด่นพูดว่า “หึ หึ” พอหันไปมองพี่เด่นก็เอาผ้าห่มคลุม และเหมือนขยับตัวไม่ได้ พี่แจ็คก็รู้ทันทีเลยว่าไม่ พี่เด่นโดนพี่อำ เมื่อพี่แจ็คหันไปมองเสร็จก็หันกลับเอาผ้าคลุมนอนต่อ พี่แจ็คก็ไม่คิดจะปลุกพี่เด่นเพราะคิดว่าสมควรโดน

         ผ่านไปสักพัก พี่แจ็คก็ได้ยินเสียงพี่เด่นเป็นเหมือนเดิมจึงหันไปดูอีกครั้ง ตอนนั้นพี่แจ็คเกิดอาการหนังตากระตุกจึงหันกลับมานอน เวลาผ่านไปเหมือนพี่เด่นดิ้นหลุดออกมาได้ก็ลุกขึ้นมานั่งตาแดงก่ำ และถามว่า “พี่แจ็ค เมื่อกี้ผมเรียกพี่ป่ะ?” พี่แจ็คตอบว่า “ใช่” พี่เด่นถามต่อว่า แล้วทำไมพี่ไม่ปลุกผม?” พี่แจ็คก็บอกกลับไปว่า ไม่ปลุก พี่สมควรโดน ผมรู้ว่าพี่โดนผีอำ อันนี้พี่อะสมควรโดนเพราะพี่พูดไปเรื่อย” จากนั้นพี่เด่นจึงนั่งสวดมนต์อยู่ครึ่งชั่วโมง พี่แจ็คก็หลับและคิดว่าดีแล้วเขาจะได้สงบ

เวลาก็ผ่านไปสักพัก พี่แจ็คก็สะดุ้งตื่นและหันไปมองหน้าพี่เด่น ทั้งคู่มองตากันเพราะมีเสียงมาจากเพดาน เป็นเสียงเคาะดังสนั่นทั่วทุกมุมห้อง ระหว่างที่มองตากันอยู่ พี่แจ็คก็มองด้วยสายตาดุเหมือนส่งสัญญาณให้พี่เด่นว่าห้ามทัก พี่แจ็คพยายามหันหน้าไปอีกฝั่งแล้วนอนฟัง เสียงเคาะก็ดังอยู่เรื่อย ๆ พี่แจ็คมั่นใจว่าเณรไม่ได้แกล้ง เพราะเณรรูปนี้ที่อยู่ด้วยกันมา 3 วัน เป็นเณรที่เรียบร้อยและสำรวมมาก พี่แจ็คนอนฟังจนเสียงเคาะเบาลง พี่แจ็คก็ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงหันไปหาพี่เด่น แล้วก็เอาผ้าคลุม พี่แจ็คจึงหลับไปทั้งแบบนั้น

          ตื่นเช้ามา พี่แจ็คก็เจอเณรเป็นคนแรก จึงถามเณรว่า “เณร เมื่อคืนเณรได้ยินเสียงเคาะไหมครับ?” เณรตอบกลับมาว่า “เณรไม่ได้ยินครับ เณรหลับ” เพราะตอนกลางวันเณรไปเรียนที่วิทยาลัยสงฆ์ พี่แจ็คก็บอกว่า “ผมได้ยินเสียงเคาะทั้งคืนเลย” เณรตอบว่า “อ๋อ เขาคงจะมาลาโยมพี่แหละ เพราะเห็นโยมพี่มา 3 วันแล้ว” และนี่เป็นสิ่งที่พี่แจ็คเจอ ถึงจะไม่เห็นเป็นตัวเป็นตนแต่จากที่ได้ยินเสียงเคาะก็ชัดเชนแล้วว่าใช่…

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เจอผู้ว่าจ้างปริศนาให้ร้องเพลง สุสานคนช้ำ, โรงแรมใจ และล่องเรือหารัก แต่พอเดินทางไปงานวัด กลับไม่ถึงเสียที! ระหว่างทางเจอลุงเสื้อขาว พอบอกน้า น้าบอกไม่เห็น! จะกลับบ้าน มีทางเดียวคือต้องร้องเพลงตามที่ขอเท่านั้น!

07 ก.ค. 2023

เจอผู้ว่าจ้างปริศนาให้ร้องเพลง สุสานคนช้ำ, โรงแรมใจ และล่องเรือหารัก แต่พอเดินทางไปงานวัด กลับไม่ถึงเสียที! ระหว่างทางเจอลุงเสื้อขาว พอบอกน้า น้าบอกไม่เห็น! จะกลับบ้าน มีทางเดียวคือต้องร้องเพลงตามที่ขอเท่านั้น!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 มิถุนายน 2566) ที่ผ่านมา มีสายจาก ‘คุณเนฟ’ พยาบาลสาวที่ตอนเด็กเคยประสบพบเจอเหตุการณ์หลอนจึงนำมาเล่าให้ชาวอังคารคลุมโปงฟัง กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘เพลงผีบอก’ ที่ทำให้ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เสียวสันหลังวาบ! เรื่องราวจะหลอนขนาดไหน ปิดไฟ แล้วเปิดเพลง ‘ล่องเรือหารัก’ คลอไป อ่านไป ได้ฟีลกว่าเดิมแน่! เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ตอนนั้นคุณเนฟยังเด็กและรับงานเป็นนักร้องที่รับจ้างไปร้องตามงานต่าง ๆ เช่น งานบวช งานวัด งานขึ้นบ้านใหม่ งานสังสรรค์ ก็แล้วแต่ผู้ว่าจ้างจะจ้างให้ไปร้องที่ไหน เรียกได้ว่าเดินสายร้องเพลงตั้งแต่เด็ก โดยมีคุณแม่ช่วยสนับสนุน และเป็นผู้จัดการคิวงานให้ ครั้งหนึ่ง ในช่วงปลายฝนต้นหนาว มีสายจากผู้ว่าจ้างติดต่อมา ปลายสายเป็นเสียงผู้ชายมีอายุ บอกว่าอยากให้คุณเนฟไปร้องเพลงในงานวัด ซึ่งวัดนี้ตั้งอยู่อีกตำบลหนึ่ง เดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที เป็นวัดที่คุณแม่เคยไปทำบุญกับเพื่อนมาก่อน และเป็นวัดที่ค่อนเข้าเดินทางเข้าไปลึกอยู่พอสมควร เส้นทางคดเคี้ยว เป็นวัดที่อยู่ติดเขา แต่ก็เป็นวัดที่สวย นาน ๆ จะจัดงานวัด คุณแม่จึงเห็นว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ดี หากคุณเนฟได้ไปร้องเพลงที่วัดแห่งนี้ นอกจากนี้ คุณลุงปลายสายก็รีเควสเพลงทั้งหมด 3 เพลง ได้แก่ สุสานคนช้ำ, โรงแรมใจ และล่องเรือหารัก และยังบอกอีกว่า ถ้าในงานมีเพลงที่อยากให้ร้องเพิ่ม จะบอกอีกครั้ง จากนั้นก็นัดเวลากันว่า คุณเนฟจะต้องถึงที่งานเวลา 1 ทุ่ม และขึ้นร้องเพลงในเวลา 2 ทุ่ม โดยตกลงค่าจ้างไว้ที่ 1,500 บาท ซึ่งถือว่าเยอะมากกว่าเรตที่คุณเนฟเคยได้ เมื่อจัดการนัดแนะรายละเอียดทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ก่อนถึงวันที่จะต้องไปร้องเพลง ปรากฏว่าคุณแม่ดันป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ จึงฝากให้คุณน้าที่เป็นเพื่อนกัน ชื่อว่า ‘น้าเปิ้ล’ มีอาชีพเป็นวินมอเตอร์ไซค์ มีแฟนชื่อ ‘พี่น้อง’ ในตอนแรกทั้งสองก็เพราะไม่เคยไปที่วัดแห่งนี้ แต่คุณแม่ก็บอกว่าจะมีค่าตอบแทนให้ พร้อมกับเขียนแผนที่ไว้ให้ละเอียด ทั้งน้าเปิ้ลและพี่น้องจึงตกลงช่วยพาไป โดยที่ไม่รับค่าจ้าง เพราะเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ วันที่จะต้องไปร้องเพลงนั้นเป็นวันเสาร์ น้าเปิ้ลและพี่น้องมารับคุณเนฟเวลา 5 โมงครึ่ง โดยใช้รถจักรยานยนต์ขับไป น้าเปิ้ลเป็นคนขับ คุณเนฟนั่งตรงกลาง และพี่น้องนั่งซ้อนท้าย เวลาผ่านไปประมาณ 30-40 นาที ก็ถึงตำบลนั้น จากนั้นก็ต้องขับเข้าไปในซอยเพื่อไปที่วัด เป็นซอยที่ไม่ค่อยมีบ้านคน ไฟระหว่างทางก็น้อยลง ติดบ้าง ดับบ้าง ข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ เมื่อถึงสุดทางของซอยนั้นก็จะมีสามแยก ซึ่งต้องเลี้ยวขวา คุณเนฟบอกว่าหลังจากเลี้ยวขวามาแล้ว คุณเนฟรู้สึกเหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกนึง ข้างทางไม่มีแสงไฟแล้วและเต็มไปด้วยความมืด คุณเนฟคิดว่าตอนนั้นน่าจะเป็นเวลาใกล้ 1 ทุ่มแล้ว ข้างทางเป็นสวนมันสำปะหลังเรียงเป็นแนวยาวสุดลูกหูลูกตา นอกจากนี้ อากาศยังเย็นลงอย่างรวดเร็ว จนเสื้อที่คุณแม่เตรียมมาให้ความอบอุ่นไม่เพียงพอ พี่น้องจึงกอดคุณเนฟไว้ไม่ให้หนาว เมื่อขับไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ถึงปลายทางเสียที สิ่งที่น่าแปลกกว่านั้นคือผ่านทางสามแพร่งเยอะมาก ซึ่งมันก็ตรงกับแผนที่ที่คุณแม่เขียนไว้ให้ นั่นแสดงว่าทั้งสามคนไม่ได้หลงทางอย่างแน่นอน แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะถึงวัดเลย ไม่เจอแม้กระทั่งบ้านสักหลัง คุณเนฟไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว แต่รู้สึกว่าเมื่อย ปวดขา และชาก้นไปหมด จึงขอให้น้าเปิ้ลจอดพัก แต่น้าเปิ้ลก็บอกว่าจอดไม่ได้ เพราะไม่มีที่ปลอดภัยให้จอดพักเลย ข้างทางก็เปลี่ยว กลัวว่าจะมีโจรหรือสัตว์อันตราย น้าเปิ้ลบอกว่า “อดทนหน่อยนะลูก เดี๋ยวก็เจอวัดแล้ว” คุณเนฟซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางทำให้มองไม่เห็นทางข้างหน้าชัดเจน จึงชะโงกหน้าออกมาข้าง ๆ เพื่อที่จะมองไปข้างหน้า จังหวะนั้นทำให้คุณเนฟเห็นผู้ชายใส่เสื้อสีขาว หัวโล้น เดินก้มหน้าหลังค่อม แขนขวาเหมือนกับลากเสียมหรือจอบมาด้วย คุณเนฟที่ตอนนั้นยังเด็กเห็นแบบนั้นก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นอะไร และดีใจมากที่เจอคนสักที จึงพูดขึ้นมา “น้า! น้าถามคนนั้นสิว่าวัดอยู่ที่ไหน” แต่น้าเปิ้ลกลับขับรถเร็วขึ้น พี่น้องก็ยิ่งกอดคุณเนฟแน่นขึ้น คุณเนฟจึงชี้ไปที่ผู้ชายคนนั้นแล้วพูดขึ้นมาอีกรอบว่า “เนี่ย ๆ ถามคุณลุงคนนั้นสิว่าวัดอยู่ที่ไหน น้าจอดดด” แต่น้าเปิ้ลก็ไม่หยุดรถแต่อย่างใด ส่วนพี่น้องก็เอามือมาปิดหน้าคุณเนฟไว้ไม่ให้มองเห็น จากนั้นก็พูดว่า “เนฟ หนูอย่าทักนะลูก น้าไม่เห็นใคร น้ากลัว” คุณเนฟก็งงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะคิดแค่ว่าเป็นคน ไม่ได้นึกถึงสิ่งลี้ลับอะไร จึงพูดขึ้นว่า “น้า หนูเห็นคนจริง ๆ น้าจะไม่เห็นได้ยังไง เขาใส่เสื้อสีขาว” แต่น้าเปิ้ลก็พูดขึ้นว่า “เนฟ ไม่เอา อย่าทักนะลูก มืด ๆ แบบนี้ น้าไม่เห็นใคร” เมื่อเห็นว่าน้าพูดย้ำ ๆ แบบนั้น คุณเนฟจึงไม่พูดอะไรต่อ เวลาผ่านไปประมาณ 10-15 นาที คุณเนฟที่นั่งรถจนเมื่อยก็ทนไม่ไหว จึงบอกน้าเปิ้ลว่า “น้า กลับบ้านมั้ย? หนูเหนื่อยแล้ว” น้าเปิ้ลจึงชะลอรถเพื่อโทรหาแม่ แล้วบอกว่าหาวัดไม่เจอ คุณแม่จึงตะโกนออกมาว่า “แล้วทำไมไม่โทรมาตั้งนาน ตอนนี้มันสามทุ่มแล้ว!” น้าเปิ้ลก็บอกว่า “รู้สึกเหมือนผ่านมาไม่นานเท่าไหร่ ก็เลยไม่ได้โทรบอก” ซึ่งทั้งสามคนก็รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ เหมือนกับผ่านไปไม่ถึง 15 นาทีด้วยซ้ำ คุณแม่จึงบอกว่า จะโทรกลับไปหาคุณลุงคนนั้น ให้เขามารับ ส่วนคุณเนฟและน้าทั้งสอง ก็จอดรถรออยู่ตรงนั้นไปก่อน ผ่านไปสักพัก คุณแม่ก็โทรกลับมา บอกว่าติดต่อคุณลุงคนนั้นไม่ได้ โทรไม่ติด ประมาณว่าไม่มีหมายเลขที่ท่านเรียก คุณแม่จึงบอกให้ทั้งสามคนกลับ น้าเปิ้ลและพี่น้องจึงคุยกันว่าจะกลับยังไง เมื่อได้ข้อสรุปก็พบว่าน้ำมันใกล้จะหมดแล้ว แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขับรถหาทางกลับ เมื่อขับไปสักพัก คุณเนฟก็ได้ยินเสียงผู้ชายมีอายุลอยมาตามลมว่า “ร้องเพลงสิ” คุณเนฟจึงบอกพี่น้องว่า “พี่คะ หนูได้ยินเสียงคนเขาบอกให้หนูร้องเพลง” พี่น้องได้ยินก็กอดแน่นขึ้น น้าเปิ้ลก็ยิ่งขับรถเร็วขึ้นไปอีก! สักพักเสียงตามลมก็แว่วมาอีกครั้ง ครั้งนี้ชัดขึ้นกว่าเดิมอีกว่า “ร้องเพลงสิ” ในตอนนั้นคุณเนฟไม่ได้กลัว หรือคิดถึงสิ่งลี้ลับอะไร ด้วยความไร้เดียงสาจึงบอกไปว่า “น้า เขาบอกให้หนูร้องเพลง เดี๋ยวหนูร้องเพลงให้เขาดีกว่า” น้าเปิ้ลจึงจอดรถข้างทาง “งั้นหนูร้องเพลง มีเพลงอะไรบ้างนะ ที่เขาขอมา” จากนั้นคุณเนฟก็ร้องเพลง 3 เพลงตามลิสต์ที่ผู้ว่าจ้างขอมา (ในรายการคุณเนฟร้องสด ๆ ให้ฟังด้วย) หลังจากที่ร้องเพลงจบ คุณเนฟที่เพลียมากจึงบอกน้าเปิ้ลว่า “น้า หนูร้องจบแล้ว” น้าจึงยกมือไหว้มือท่วมหัวแล้วบอกว่า “ขอพาน้องกลับบ้านนะครับ น้ำมันก็จะหมดแล้ว” หลังจากนั้นอากาศที่เย็นมากก็เริ่มอุ่นขึ้นมา แล้วน้าเปิ้ลก็ออกรถอีกครั้ง ไม่ถึง 5 นาที ก็เห็นแสงไฟ แล้วก็ออกจากทางสามแยกตรงนั้นได้ คุณเนฟที่เพลียมากก็ฟุบหลับไป คุณแม่บอกว่ากว่าจะถึงบ้าน ก็ 4 ทุ่มกว่าแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นก็พาคุณเนฟไปทำบุญที่วัด คืนนั้นเอง คุณแม่ก็ฝันว่า มีคุณลุงใส่เสื้อสีขาว เป็นเหมือนเสื้อเชิ้ตสีขาวของคนแก่สมัยก่อน ใส่ผ้าโสร่งผูกข้างหน้าเก่า ๆ เดินหลังค่อม แขนขาลากเสียมขุดดิน หัวโล้น มองไม่เห็นหน้า พูดกับคุณแม่ว่า “ขอบใจนะ” แล้วก็ให้เลขคุณแม่มา สรุปว่าคุณแม่ก็ถูกหวยได้เงินมากกว่า 1,500 บาท หลังจากเล่าจบ ทั้งดีเจแนน ดีเจเจ็ม และชาวอังคารคลุมโปงต่างปรบมือให้กับจังหวะการเล่าเรื่องที่ดีมาก ๆ คุณเนฟ และชื่นชมเสียงร้องของคุณเนฟกันยกใหญ่ หากอยากฟังเสียงของคุณเนฟว่าจะเพราะสมคำร่ำลือหรือไม่ ก็ตามไปฟังแบบเต็ม ๆ ได้ที่(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

เรื่องเล่าจากคุณเเป้ง 'หมู่บ้านที่ห่างไกล' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 19 พ.ย. 2567 ]

21 พ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณเเป้ง 'หมู่บ้านที่ห่างไกล' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [ 19 พ.ย. 2567 ]

‘คุณแป้ง’ สายจากทางบ้านได้นำเรื่อง ‘หมู่บ้านที่ห่างไกล’ มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (19 พฤศจิกายน 2567) ฟังกัน ทำเอา ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ รู้สึกถึงความน่าสงสาร ความน่ากลัว และความน่าสงสัย ส่วนเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไรนั้น สามารถตามไปอ่านกันได้เลย! ‘คุณแป้ง’ ได้เล่าว่าเป็นเรื่องราวของเซลล์ที่รู้จักชื่อ ‘พี่วิทย์’ เขาเป็นเซลล์ที่ต้องไปทำงานต่างจังหวัดบ่อย แต่ละครั้งก็ใช้เวลาหลายวัน ครั้งนี้ใช้เวลา 1 เดือน ซึ่งมันนานกว่าปกติ พี่วิทย์จึงเป็นห่วงภรรยาอย่าง ‘พี่อุ้ม’ และได้ชักชวนให้ไปด้วย ทั้งคู่ออกเดินทางตั้งแต่เช้าไปยังบ้านเช่าที่ได้ทำสัญญากันไว้ บ้านเช่าหลังนี้เป็นบ้านปูนธรรมดาชั้นเดียว ในช่วงเวลากลางคืน บ้านหลังนี้จะเย็นมากเพราะรอบ ๆ เป็นป่าและภูเขาทั้งหมด และมีสัญญาณอ่อน ๆ ไว้ให้แค่พอโทรหากันได้ พอเช้าวันถัดมา พี่วิทย์ก็ได้ขับรถออกไปหาลูกค้าแต่เช้า ที่บ้านจึงเหลือพี่อุ้มอยู่แค่คนเดียว ในวันแรกที่มาอยู่ก็ปกติดีทุกอย่าง วันที่สอง หลังจากพี่วิทย์ขับรถออกไปสักพักหนึ่ง พี่อุ้มก็เห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนแอบมองอยู่ข้างต้นไม้ เมื่อเด็กเห็นว่าพี่อุ้มมองตนอยู่ก็วิ่งหนีออกไป วันถัดมา พี่อุ้มก็ยังเห็นเด็กชายคนนั้นอีก พอตะโกนเรียก เด็กก็วิ่งหนีไป พี่อุ้มรอจนตอนเย็นพี่วิทย์กลับมาจึงถามว่า “ตอนจะออกไปข้างนอกเห็นเด็กผู้ชายแถวนี้บ้างไหม” พี่วิทย์ตอบกลับมาว่า “ไม่เห็นเลยนะ แถวนี้มีเด็กด้วยเหรอ ตั้งแต่อยู่มายังไม่เคยเห็นเด็กนะ” วันต่อมา พี่อุ้มก็ได้ไปยืนรอแถวนั้นด้วยความข้องใจ เมื่อเวลาผ่านไปก็ได้เจอกับเด็กชายคนนั้นหน้าตามอมแมมยืนก้มหน้าอยู่จึงถามออกไปว่า “มาแอบมองพี่ทำไม หนูเป็นอะไรหรือเปล่า หนูชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ไหน” เด็กคนนั้นตอบเพียงแค่ว่า “ผม ผม ผม ผ...” เป็นเหมือนเสียงที่อยู่ในลำคอ เมื่อเด็กชายเห็นพี่อุ้มเผลอ ก็วิ่งหนีไปอีกไม่ยอมพูดอะไรต่อ ตกดึกคืนนั้นมีลมแรงมาก จากนั้นพายุและฝนก็เริ่มตกลงมา พี่วิทย์กับพี่อุ้มก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนมาเคาะประตูแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะคิดว่าลมมันอาจจะแรงจนพัดอะไรบางอย่างมากระทบประตูก็เป็นได้ สักพักก็มีเสียงเคาะประตูอีกครั้ง และคราวนี้มีเสียงเด็กพูดขึ้นมาว่า “เปิดประตูให้ผมหน่อย ผมหนาวมากเลยครับ” เมื่อพี่อุ้มได้ยินเสียงก็รู้สึกคุ้นหูเป็นพิเศษ เหมือนว่าเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน ส่วนพี่วิทย์นั้นรู้สึกกังวลว่าอาจจะเป็นอันตราย ไม่นานเด็กคนนั้นก็ร้องไห้ใหญ่โต พี่อุ้มนั้นอยากจะเปิดประตูให้ จึงหันไปพูดกับพี่วิทย์ว่า “ดูสิเด็กร้องไห้ใหญ่เลยนะ พี่จะไม่ช่วยเด็กหน่อยเหรอ” พี่วิทย์ใจอ่อนจึงยอมให้พี่อุ้มเปิดประตู ระหว่างที่พี่อุ้มกำลังจะเดินไปเปิดประตู โทรศัพท์พี่วิทย์ก็ดัง กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง เป็นสายของผู้ใหญ่บ้านที่โทรมาแจ้งว่าตอนนี้มีพายุแรงมาก ห้ามออกจากบ้าน และย้ำอีกว่าถ้าหากมีใครมาเรียกให้เปิดประตู ห้ามเปิดเด็ดขาด พี่วิทย์ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกสงสัย แต่ผู้ใหญ่บ้านตอบกลับมาว่า “รอให้เช้าก่อนแล้วผมจะเล่าให้ฟัง” นอกจากนี้ผู้ใหญ่บ้านยังย้ำอีกครั้งว่า “อย่าเปิดประตูเด็ดขาด! ถ้ามีอะไรเร่งด่วนให้โทรหาผม” เมื่อพูดเสร็จก็วางสายไป พี่วิทย์จึงห้ามไม่ให้พี่อุ้มเปิดประตู และเสียงเด็กผู้ชายคนนั้นก็หายไป หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เข้านอน แต่ก็นอนไม่หลับเพราะอยากรู้เรื่องราวทั้งหมดว่าทำไมมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่... เช้าวันต่อมา ทั้งคู่รีบไปหาผู้ใหญ่บ้าน ระหว่างทางพี่อุ้มก็ไม่เห็นเด็กชายที่ปกติจะมายืนแอบมองอยู่ข้างต้นไม้คนนั้นแล้ว พอถึงบ้านของผู้ใหญ่บ้านก็ได้เล่าว่า “เมื่อก่อนที่ตรงนี้ยังไม่มีไฟฟ้าใช้มากนัก ทำให้คนที่อยู่ท้ายหมู่บ้านลำบาก จนอยู่มาวันหนึ่ง ฝนตกหนักมากทำให้ดินถล่มลงมาพังบ้านผู้คนที่อาศัยอยู่แถวนั้น ช่วงที่เกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน ทำให้มีความยากลำบากในการแจ้งข่าวชาวบ้าน คนที่อยู่ต้นหมู่บ้านก็รอดชีวิตกันมาได้เพราะได้รับข่าวก่อน แต่ทว่าคนที่อยู่ท้ายหมู่บ้านเขาออกมาไม่ทัน ส่วนบ้านสุดท้าย เป็นบ้านของผู้ชายคนหนึ่ง เขาอาศัยอยู่กับลูกชายและลูกสาวที่ยังเล็กทั้งคู่ คนในหมู่บ้านเชื่อว่าตอนนั้นลูก ๆ ของเขากำลังหลับอยู่ ทำให้ไม่รู้เรื่องว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น เวลานั้น ดินได้ถล่มลงมาพังบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ว่าลูกชายของเขายังมีชีวิตอยู่สังเกตจากการที่มีรอยมือและรอยเท้าที่เปื้อนโคลน คาดว่าเด็กคนนั้นคงจะไล่เคาะประตูบ้านเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครมาเปิดเพราะทุกคนล็อคประตูบ้านและหนีไปกันหมด และคาดว่าเด็กคนนั้นสิ้นใจไปก่อนเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว” ตั้งแต่นั้นมา พอมีพายุมาทีไร ใครที่เปิดประตูให้ วันถัดมาก็จะถูกพบเป็นศพนอนอยู่บริเวณบ้านของเด็กคนนั้น มีหลายคนเจอเหตุการณ์แบบนี้เหมือนกัน คนในหมู่บ้านจึงสั่งห้ามทุกคนว่า ห้ามเปิดประตูในคืนที่มีพายุ พี่วิทย์จึงถามไปว่า “ทำไมไม่ทำพิธีให้เด็กคนนั้นหละครับ” ผู้ใหญ่บ้านตอบทันทีว่า “จะไปทำได้ยังหละคุณ แม้แต่ศพยังหาไม่เจอเลย..” หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็รีบย้ายบ้านออกไปอยู่ในเมืองแทนเพราะรู้สึกไม่สบายใจที่จะอยู่ต่อ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากหมอพิพิม 'เก้าอี้ข้างเตียง' I อังคารคลุมโปง X หมอพิพิม [ 3 ก.ย. 2567]

06 ก.ย. 2024

เรื่องเล่าจากหมอพิพิม 'เก้าอี้ข้างเตียง' I อังคารคลุมโปง X หมอพิพิม [ 3 ก.ย. 2567]

‘คุณหมอพิพิม’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 สิงหาคม 2567) เตรียมตัวขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘เก้าอี้ข้างเตียง’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! ‘คุณหมอพิพิม’ เล่าว่า เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ของลูกดวง ดูไปดูมาลูกดวงของคุณหมอพิพิมก็ได้บอกว่า “แม่นมาก ในเมื่อดูแม่นขนาดนี้ผมขอปรึกษาเรื่องหนึ่งได้ไหม” ซึ่งคุณหมอพิพิมก็ยินดี ลูกดวงจึงบอกว่าเป็นเรื่องสิ่งลี้ลับ และเล่าให้คุณหมอพิพิมฟังว่า ลูกดวงทำงานที่ต่างตังหวัดเพราะได้งานใหม่ ซึ่งงานใหม่ที่ได้นี้มีสวัสดิการให้เป็นบ้านพัก 2 ชั้นที่ต้องอาศัยร่วมกับเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่ง โดยลูกดวงคนนี้จะอยู่ชั้น 2 เพื่อนร่วมงานจะอยู่ชั้นล่าง บรรยากาศของบ้านไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาด แต่ลูกดวงคนนี้จะรู้สึกแปลก ๆ เวลาเข้าไปในบ้านหลังนี้ ลูกดวงมักจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวที่ชั้น 2 รู้สึกถูกจ้องมองตลอดเวลา และรู้สึกไม่ปลอดภัย โดยลักษณะชั้น 2 นี้ ห้องนอนจะอยู่ซ้ายมือ มีเตียงไม้ มีโต๊ะเขียนหนังสือปลายเตียง และจะมีเก้าอี้อยู่ด้วยหนึ่งตัว พอลูกดวงนอนช่วง 2-3 วันแรกก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่อมาช่วงวันที่ 4-5 ลูกดวงคนนี้ได้เอางานกลับมาทำที่บ้าน ซึ่งตอนนั้นค่อนข้างดึกและเกิดอาการง่วง จึงเก็บเอกสารและเอาเก้าอี้วางชิดใต้โต๊ะอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และเดินมานอนที่เตียง แต่เมื่อตื่นเช้ามาสิ่งที่ลูกดวงเห็นคือเก้าอี้มาอยู่ข้างเตียงในลักษณะที่หันเข้าหาเตียง ลูกดวงก็คิดไปว่าตัวเองอาจจะลืมเก็บเก้าอี้ไม่ได้คิดอะไร วันต่อมาเมื่อกลับมาจากทำงานก็มานั่งทำงานที่ค้างตามปกติ แต่ขณะทำงานก็รู้สึกว่ามีคนจ้องและมองอยู่ แต่ก็พยายามไม่คิดอะไร จึงเก็บเอกสารเก็บเก้าอี้แล้วไปนอน เมื่อตื่นขึ้นมาเก้าอี้ดันมาอยู่ข้างเตียงในลักษณะเดิมอีกแล้ว และคืนถัดไปก็ยังเป็นแบบนี้อีก เมื่อเป็นบ่อยเข้าก็รู้สึกไม่ไหวจึงสวดมนต์ก่อนนอน ในคืนนั้นลูกดวงได้บอกว่า ณ ตอนนั้นไม่มั่นใจว่ากำลังฝันหรือว่าเห็นเป็นภาพจริง คืนนั้นลูกดวงนอนแล้วหันตะแคงข้างออกไปทางหน้าต่างที่มีแสงลอดเข้ามา และหันไปเห็นผู้หญิงนั่งขดตัวอยู่ในเงามืดเหมือนร้องไห้ ในขณะนั้นลูกดวงไม่สามารถขยับตัวได้ ส่วนผู้หญิงที่นั่งขดตัวอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามอง จนลูกดวงช็อคหลับไป เมื่อตื่นมาก็เห็นเก้าอี้มาอยู่ข้าง ๆ อีกแล้ว ลูกดวงถามคุณหมอพิพิมว่ามันเป็นเรื่องจริงใช่ไหม คุณหมอพิพิมจึงเปิดไพ่ และได้ความว่ามีจริง ๆ แต่วิญญาณไม่ได้มาทำอันตราย แต่เหมือนวิญญาณเขาเหงา เขาไปไหนไม่ได้ นาน ๆ ทีมีคนมาอยู่เขาก็คงอยากจะสื่อสาร และเก้าอี้ปลายเตียงเป็นเก้าอี้ที่เค้าใช้นั่งประจำ ซึ่งเขาต้องการขอบุญ อยากให้คนทำบุญให้ ลูกดวงจึงทำบุญให้ หลังจากนั้นก็ไม่เคยเจออีกเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

กางเกงมือสองเจ้าของตามมาหา! เรื่องราวของคนชอบเสื้อผ้ามือสอง ซื้อแบบไม่สนใจ จนได้ของแถมกลับมา!

24 ม.ค. 2024

กางเกงมือสองเจ้าของตามมาหา! เรื่องราวของคนชอบเสื้อผ้ามือสอง ซื้อแบบไม่สนใจ จนได้ของแถมกลับมา!

เรื่องนี้เป็นสายจาก ‘คุณมิ้น’ ที่โทรมาเล่าเหตุการณ์ของรุ่นน้องให้แฟนรายการ ‘ อังคารคลุมโปง X’ (16 มกราคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับ ‘น้องอาย’ รุ่นน้องของคุณมิ้น เกี่ยวกับเสื้อผ้ามือสองที่ได้ของแถมกลับมาด้วย เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปอ่านเลย เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อต้นปี 2566 ที่ผ่านมา คุณมิ้นเล่าว่า ‘น้องอาย’ ชอบซื้อเสื้อผ้ามือสองมาก จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่กางเกงลายทหารและกางเกงคาร์โก้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง น้องอายจึงไปหาซื้อกางเกงในร้านที่ไปบ่อย ๆ ก็ได้เจอกางเกงที่มีลักษณะโดนใจ แต่เป็นขนาดของผู้ชาย น้องอายจึงขอผ้าถุงจากแม่ค้าและลองสวม เมื่อลองสวมก็รู้สึกว่าเอวใส่ได้พอดี แต่ช่วงขาของกางเกงยาวเกิน ด้วยความชอบ น้องอายจึงซื้อกลับมาและเอามาเก็บไว้ในตู้ เพื่อที่จะเอาไปตัดขากางเกงให้พอดีกับตัวเอง หลังที่ซื้อกางเกงกลับมา น้องอายรู้สึกเหมือนมีคนอยู่ด้วยตลอดเวลา เวลาทำงานหางตาก็จะเห็นเหมือนกับมีคนเดินอยู่ในห้อง บางทีก็ได้ยินเสียงกุกกักอยู่ในตู้เสื้อผ้า น้องอายจึงมารื้อดู เพราะนึกว่ามีหนู แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร น้องอายเล่าให้คุณมิ้นฟังว่า เคยฝันว่าตัวเองปวดปัสสาวะ และสะดุ้งตื่นเห็นเงายืนอยู่ข้างตู้ที่ปลายเตียง จึงเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟที่โต๊ะข้างเตียง แต่พอเปิดไฟก็ไม่เห็นใครอยู่ตรงนั้น จึงคิดว่าตัวเองตาฝาด หลังจากนั้นก็ไปเข้าห้องน้ำกลับมาปิดโคมไฟแล้วล้มตัวนอนอีกครั้ง ช่วงกำลังจะเคลิ้มหลับ ก็ได้ยินเสียงประตูตู้เสื้อผ้าแง้มออก จึงมองดูในความมืด เห็นว่าประตูมันแง้มมานิดนึง แต่ก็นอนต่อเพราะคิดว่าไม่มีอะไร ผ่านไปสักพักก็ได้ยินเสียงเหมือนกองเสื้อผ้าไหลออกมาจาก น้องอายจึงตัดสินในเปิดไฟห้องเพื่อที่จะเก็บเสื้อผ้าที่ไหลออกมา ในกองผ้านั้นมีกางเกงลายทหารที่เพิ่งซื้อมาอยู่ในนั้นด้วย น้องอายเก็บเสื้อผ้ายัดเข้าตู้เหมือนเดิม ปิดไฟกลับมานอนต่อ หลังจากล้มตัวลงนอนได้สักพัก ยังไม่ทันเคลิ้มหลับ น้องอายบอกว่าได้ยินเสียงบางอย่างในตู้ และตู้เสื้อผ้าก็สั่นโยก น้องอายจึงจับที่เตียงนอนเพราะคิดว่าแผ่นดินไหว ปรากฏว่ามีแค่ตู้ที่สั่น พอตู้หยุดสั่น น้องอายค่อย ๆ ล้มตัวลงนอนแต่สายตายังจ้องอยู่ที่ตู้ เห็นเงาผู้ชายคล้ายตำรวจไม่ก็ทหาร สูงประมาณ 180 เซนติเมตร ไม่แน่ใจว่าหน้าตาเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าดำไปทั้งตัว ยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้ากำลังมองมาที่น้องอาย! น้องอายไม่กล้าจ้องเงานั้นจึงหลบสายตาแต่ก็สังเกตุเห็นว่าผู้ชายคนนั้นใส่เสื้อสีขาว กางเกงลายทหารเหมือนกับที่น้องอายซื้อมา น้องจึงคิดว่าน่าจะต้องเกี่ยวข้องกับกางเกงที่ซื้อมา น้องอายก้มหน้าและพูดออกมาว่า “พี่คะ หนูอยู่คนเดียว พี่อย่าหลอกหนูเลย ถ้าหนูทำอะไรให้พี่ไม่พอใจ หนูขอโทษ” หลังจากพูดจบก็ยังก้มหน้าอยู่แต่ความรู้สึกอากาศรอบตัวหยุดนิ่ง จึงตัดสินใจค่อย ๆ เงยหน้าดูก็ไม่เห็นผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ที่ตู้แล้ว น้องอายจึงเดินไปเปิดไฟห้องและตัดสินใจว่าจะออกไปหาเพื่อน แต่ตอนนั้นเป็นเวลาตี 2 กว่าแล้ว จึงจัดสินใจเปิดไฟแล้วนอนจนถึงเช้า ตื่นเช้ามา น้องอายคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นน่าจะมาจากกางเกงที่ซื้อมา จึงเอากางเกงมาดูแต่ไม่พบอะไร น้องอายจึงตัดสินใจกลับด้านดูด้านใน ทำให้เห็นว่ามีคราบสีแดงคล้ำ ๆ คล้ายเลือด ตรงบริเวณขากางเกงฝั่งซ้าย และขอบกางเกงด้านในมีคราบเลือดเป็นวงขนาดใหญ่ น้องอายจึงโทรไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนฟังและถ่ายรูปกางเกงส่งไปและมีความคิดว่าจะตามหาที่มาของกางเกงตัวนี้ แต่ร้านไม่น่าจะรู้เพราะเสื้อผ้ามือสองส่วนใหญ่มาจากหลาย ๆ ที่ น้องอายตัดสินใจว่าจะเอากางเกงตัวนี้ทิ้งแต่มีความคิดว่าเขาจะโกรธไหม จึงตัดสินใจเอากางเกงตัวนี้ไปที่วัดและเล่าเหตุการณ์ที่เจอให้กับหลวงพ่อฟัง หลวงพ่อจึงแนะนำให้สวดบังสุกุลและเผากางเกงตัวนี้ให้เขาไป น้องอายทำตามที่หลวงพ่อแนะนำ หลังจากที่ทำไปแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในห้องอีก คุณมิ้นเล่าต่อว่าปัจจุบันน้องอายก็ยังชอบซื้อเสื้อผ้ามือสองอยู่ แต่จะดูให้ละเอียดก่อน(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1
Contact usGreenwave02-665-8377EFM02-665-8373
Advertise with usมัลลิกา ปราบอริพ่าย (กบ)(Atime Showbiz, Online Content)063-282-6915จุฑา วนศานติ (บี) (EFM)02-669-9512, 081-923-9823
อังคณา พองาม (นุก) (Greenwave)02-669-9444-7
ดาวน์โหลด Application ได้แล้ววันนี้ที่atime online application download from app storeatime online application download from play storeติดต่อสอบถาม / แจ้งปัญหาการใช้งานatimeplatform@atimemedia.com
บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน)เลขที่ 50 อาคาร จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เพลส ถนนสุขุมวิท21 (อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขต วัฒนา กรุงเทพ 10110