เรื่องเล่าจากคุณออโต้ เดอะโกส ‘แอปหาคู่’ l อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [29 เม.ย 2568]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณออโต้ เดอะโกส ‘แอปหาคู่’ l อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [29 เม.ย 2568]

04 พ.ค. 2025

        ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (29 เมษายน 2568) มีเรื่องราวสุดหลอนจาก ‘คุณออโต้’ เมื่อน้องชายของคุณออโต้ได้มีการเล่นเเอปหาคู่จนได้ไปเจอกับเรื่องราวหลอนเเละน่ากลัวที่ทำให้จำไม่เคยลืม หลอนไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ แล้วคุณจะรู้ว่าบางครั้งคนที่เราคุยในเเอปนั้นอาจจะไม่ใช่คนเป็นก็ได้..

        ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 7 ปีที่เเล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของน้องชายของคุณออโต้ ที่ชื่อว่า ‘ออฟ’ในช่วงนั้น คุณออฟได้มีการทำงานเป็นหัวหน้าของบริษัทโทรศัพท์เเห่งหนึ่งในภาคอีสาน ซึ่งก็ได้มีการจัดงานเลี้ยงขึ้นในบริษัท มีการกินเลี้ยงกันตั้งเเต่เวลา 4 โมงเย็น ถึง 4 ทุ่ม โดยตัวคุณออฟต้องออกจากงานเลี้ยงมาก่อนเนื่องด้วยมีธุระในตอนเช้าของอีกวัน โดยระยะทางที่คุณออฟต้องขับรถกลับนั้นประมาณ 130 กิโลเมตร ทุุกอย่างก็ดูเหมือนจะปกติ เเต่พอถึงประมาณครึ่งทาง ด้วยความล้าจากการทำงาน ทำให้คุณออฟตัดสินใจเเวะพักที่ปั๊มน้้ำมันเเห่งหนึ่ง

        ในตอนนั้นเอง เเอปหาคู่ที่คุณออฟเล่นก็ได้มีการเเจ้งเตือนดังขึ้นทำให้คุณออฟได้เข้าไปดูในเเอปนั้น เเละพบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตาโปรไฟล์ทุกอย่างตรงกับสเปคของคุณออฟเป็นอย่างมาก คุณออฟจึงตัดสินใจที่คุยกับผู้หญิงคนนั้นตามประสาหนุ่มโสด จากในตอนเเรกที่คุณออฟอยู่ในอาการง่วง ก็ตื่นในทันทีเมื่อได้คุยกับผู้หญิงคนนั้น เเต่ในขณะที่คุย คุณออฟก็ได้เอ๊ะใจกับประโยคหนึ่งที่ผู้หญิงคนนั้นได้พิมพ์มา เธอพิมพ์มาว่า

        “พี่เนี่ยชอบทำบุญเนอะ พี่คงจะมีบุญเยอะ”

        ซึ่งถือเป็นประโยคสนทนาที่ค่อนข้างเเปลกกับคนที่พึ่งจะคุยกัน เเต่ในตอนนั้นคุณออฟคิดเเค่ว่าผู้หญิงคนนั้นคงจะสังเกตุจากโปรไฟล์คุณออฟ หลังจากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็ได้ถามกับคุณออฟอีกรอบว่า

        “พี่จะไปไหนต่อหรอ”

        คุณออฟจึงตอบไปว่า “กำลังจะกลับบ้าน”

        ทางผู้หญิงถามอีกครั้งว่า “พี่ไม่อยากเจอหน้าหนูหรอ”

        ซึ่งในมุมนี้สามารถมองในเเง่ร้ายได้ว่า ถ้าผู้หญิงคนนี้เป็นนกต่อเพื่อจะล่อให้คุณออฟไปหาที่่หอพัก อาจจะมีการชิงทรัพย์หรือเกิดเหตุร้ายขึ้นได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว คุณออฟก็เริ่มใจอ่อนเพราะผู้หญิงคนนี้ตื้อหลายรอบ คุณออฟจึงได้ทำการบอกลูกพี่ลูกน้องก่อนว่าจะไปรับผู้หญิงคนนี้ไปเที่ยวด้วย เเละในช่วงนั้นตรงกับเทศกาลปีใหม่พอดี ทั้งคู่จึงตกลงกันว่าจะไปเที่ยวที่ผับเเห่งหนึ่ง จากนั้นคุณออฟก็บอกผู้หญิงคนนั้น เเละทำการขับรถไปรับตามโลเคชั่น

        ระหว่างที่ขับไป สองข้างทางก็มีเเต่ป่า ต้นไม้ เเต่พอใกล้จะถึงจุดหมายทางด้านหน้ากลับมีหอพักเรียงรายอยู่มากมาย พอจอดรถเข้าที่เรียบร้อย คุณออฟก็ถ่ายรูปเเละส่งไปให้น้องชายอีกคน เผื่อจะมีเหตุฉุกเฉินจะได้สามารถมาช่วยได้ทัน ในระหว่างที่คุณออฟกำลังส่งข้อความ ก็ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งมาเคาะที่กระจกรถฝั่งทางด้านคนขับ ในตอนนั้นคุณออฟก็ได้เห็นตัวจริงของผู้หญิงคนนั้นว่าสวยกว่าในรูปอีก ทุกความกังวลได้หายไปในทันที นอกจากนี้ เมื่อสังเกตรอบข้างก็พบว่ามีรถยนต์ และรถมอเตอร์ไซต์จอดอยู่ คงไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้น

        คุณออฟได้พูดบอกกับผู้หญิงคนนั้นให้ขึ้นรถเพราะตนจะพาไปทานข้าว ผู้หญิงก็ได้ตอบว่า “พี่รอเเปปนึงได้ไหม หนูขอทำงานก่อนต้องส่งพรุ่งนี้เช้า พี่เข้ามานั่งที่ห้องก่อน”

        ได้ยินดังนั้น คุณออฟก็ตัดสินใจที่จะตามผู้หญิงคนนั้นไป ในจังหวะที่ผู้หญิงคนนั้นเปิดประตูห้อง คุณออฟก็ได้กลิ่นเหม็นอับชื้นลอยออกมาจากภายในห้อง เเต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พอเข้าไปด้านในของห้อง อีกหนึ่งเรื่องที่เเปลกประหลาดคือ ผู้หญิงคนนั้นปิดไฟมืดทั้งห้อง เเต่เปิดเพียงเเค่โคมไฟอันเดียวที่โต๊ะทำงาน

        คุณออฟนั่งรอผู้หญิงคนนั้นทำงาน เเต่ด้วยความเหนื่อยล้าจากเรื่องงาน ทำให้คุณออฟเผลอหลับไป ในช่วงจังหวะที่หลับไป คุณออฟได้ฝันเห็นคนมากมายยืนล้อมตัวคุณออฟไว้ภายในห้องนั้น ทั้งคนเเก่ เด็ก วัยรุ่น ยืนล้อมเเละพูดว่า “เฮ้ย ไอนี้มันบุญเยอะ ขอบุญจากมันหน่อยดิ”

        ฝันนั้นทำให้คุณออฟสะดุ้งตื่นขึ้นมา เเละมองรอบ ๆ ห้อง คุณออฟก็เห็นว่าทุกอย่างยังปกติดี ห้องยังเหมือนเดิม ผู้หญิงคนนั้นก็ยังทำงานอยู่เหมือนเดิม คุณออฟจึงได้นอนพักอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะรอให้ผู้หญิงคนนั้นทำงานเสร็จ เเต่สักพัก คุณออฟก็ได้ยินเสียงของน้องผู้หญิงคนนั้น ทำเสียงประมาณว่า ‘โจ๊ะ โจ้ จิง โจ๊ะ’ ด้วยความสงสัย คุณออฟเงยหน้าเพื่อที่จะมองดูจึงได้เห็นว่า ผู้หญิงคนนั้นกำลังทำท่ารำอยู่ พอทำเสร็จก็ได้จดอะไรบางอย่างลงไปในสมุดที่โต๊ะนั้น ตอนเเรกคุณออฟคิดว่าผู้หญิงคนนี้คงเรียนด้านนาฎศิลป์หรืออะไรบางอย่าง เเต่หลังจากที่ผู้หญิงคนนี้รำเสร็จ ผู้หญิงคนนั้นได้หันหน้ามาเเละยิ้มถามกับคุณออฟว่า “พี่ หนูรำสวยรึป่าว?” คุณออฟก็ได้พูดชมเเละเผลอหลับไปอีกครั้ง 

        เวลาผ่านไปไม่รู้นานเท่าไหร่ ผู้หญิงคนนี้ได้เข้ามาสะกิดคุณออฟ เเละพูดบอกว่า “ไปพี่ เสร็จเเล้ว ตอนนี้ทุกเวลาเราสองคนต้องไปเเล้ว” เเต่ตอนนั้นก็เป็นเวลาประมาณ ตี 1 เกือบจะ ตี 2 เเล้ว คุณออฟจึงได้บอกไปว่าตนไม่ไหวเเล้ว เพราะเหนื่อยและเพลีย จึงได้ขอนอนค้างที่นี่ เเล้วในตอนเช้าค่อยไปหาอะไรกินด้วยกัน ผู้หญิงคนนั้นก็ทำหน้าไม่พอใจเเละเดินหายเข้าไปในความมืด

        จนกระทั่งเวลาประมาณ 6 โมงเช้า คุณออฟตื่นขึ้นอีกครั้งเพราะมีมดเเละเเมลงมากัดคุณออฟ ในตอนที่ลืมตาขึ้น เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้คุณออฟถึงกับต้องตกใจ เพราะตอนที่ตื่นขึ้น คุณออฟไม่ได้อยู่ในหอพัก เเต่กลับนอนอยู่ในตึกร้างที่ยังสร้างไม่เสร็จ ตอนเเรกคุณออฟคิดว่าตนโดนปล้น เเต่พอสำรวจตัวเอง ทุกอย่างก็ยังอยู่ครบ พอมองไปทางที่รถของคุณออฟที่จอดอยู่ คุณออฟก็ถึงกับต้องตกใจอีกครั้ง เพราะว่ารถของคุณออฟจอดอยู่บริเวณดงหญ้าที่สูงมาก เเละไม่ได้มีอาคารหรือหอพักอยู่บริเวณรอบ ๆ เลย พอสำรวจไปเรื่อย คุณออฟจึงได้เห็นว่าในตรงนั้นมีที่เก็บกระดูกของคนตายอยู่ เเละพอมองไปอีกจึงได้รู้ว่าตนอยู่ใกล้กับวัดร้าง เป็นวัดที่เหมือนขาดการดูเเลมานานมาก ๆ คุณออฟจึงรีบทำการขับรถออกมาจากบริเวณตรงนั้น เเละพักตั้งสติที่ร้านขายของชำไม่ใกล้ไม่ไกลก่อน

        หลังจากจอดพักไม่นาน ก็ได้มีเเม่ค้าคนหนึ่งเดินเข้ามาถามกับตัวคุณออฟว่า

        “ไอหนุ่ม มาจากไหนเนี่ย”

        อาจจะเพราะคุณออฟยังใส่ชุดทำงานอยู่จึงโดนถามเเบบนั้น เมื่อตั้งสติได้คุณออฟก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ที่ตนเจอให้กับเเม่ค้าฟัง เเต่เเม่ค้าคนนี้กลับพูดว่า “เจออีกเเล้วหรอเนี่ย”

        จากนั้น เเม่ค้าก็ได้เล่าให้ฟังถึงประวัติของพื้นที่ตรงนี้ว่า สมัยก่อนพื้นที่ตรงนี้เคยเป็นสถานปฎิบัติธรรม คอยช่วยรักษาคนที่เป็นโรคเอดส์ เเต่เพราะขาดการดูเเลซ่อมเเซมจึงถูกปล่อยให้รกร้าง พอได้ยินเเบบนั้นคุณออฟก็เช็คโทรศัพท์ของตัวเอง เเละได้พบข้อความของน้องชายเกือบ 100 กว่าข้อความ คุณออฟได้โทรกลับไป น้องชายของคุณออฟได้พูดขึ้นว่า “พี่ เมื่อคืนพี่ไปไหนมา เเล้วส่งรูปบ้าอะไรมาให้ผมเนี่ย”

        คุณออฟตอบไปด้วยความมึนงงว่า “ก็รูปหอพักที่พี่ไปไง”

        พอดูรูปภาพนั้นอีกที คุณออฟได้เห็นว่ารูปที่ตนส่งไปคือ รูปป่าเเละรูปที่เก็บกระดูกของคนตาย ในตอนนั้นคุณออฟจึงได้ทำการขับรถไปที่หอพักของน้องชาย เพื่อที่จะกลับมาดูสถานที่นี้อีกครั้งด้วยกัน เเละได้พบว่า สถานที่ที่คุณออฟมาในเมื่อคืนก็คือวัดที่ถูกทิ้งร้างไปเเล้ว

        หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น คุณออโต้ก็ได้ถามกับคุณออฟว่า “เเล้วทำไมเขาถึงบอกว่า มึงมีบุญเยอะวะ” คุณออฟจึงได้เล่าว่า “อีก 2 เดือนในตอนนั้น กำลังจะบวช อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงคนนั้น อยากจะได้ส่วนบุญของก็เป็นไปได้..”

 (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ไปทำงานต่างจังหวัดแล้วดันไปนอนโรงแรมเฮี้ยน! ลืมตาขึ้นมากลางดึก เห็นผู้หญิงเล่นผีผ้าห่มกับรุ่นน้องในห้อง ซ้ำยังมาชวนเราเล่นผีผ้าห่มอีก แต่ดีที่ปฏิเสธ ไม่งั้น...!

14 ก.ค. 2023

ไปทำงานต่างจังหวัดแล้วดันไปนอนโรงแรมเฮี้ยน! ลืมตาขึ้นมากลางดึก เห็นผู้หญิงเล่นผีผ้าห่มกับรุ่นน้องในห้อง ซ้ำยังมาชวนเราเล่นผีผ้าห่มอีก แต่ดีที่ปฏิเสธ ไม่งั้น...!

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (4 กรกฎาคม 2566) มีเรื่องหลอนจาก ‘ป๋าแจ็ค’ เจ้าของเรื่อง ‘หมู่บ้านร้างซากไร่’ ครั้งนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับรุ่นน้องที่มีคนขอมานอนด้วย! เรื่องจะหลอนแค่ไหน หรี่ไฟให้แสงพอสลัว เอาผ้าห่มคลุมโปง แล้วไปอ่านกันเลย! ป๋าแจ็คเริ่มเล่าว่า ตนนั้นลาออกจากงานราชการก่อนเวลาเกษียณ 20 ปี จากนั้นก็ได้เข้าไปทำงานในฝ่ายการตลาดของบริษัทสื่อเจ้าใหญ่แห่งหนึ่ง หน้าที่ที่ป๋าแจ็คได้รับก็คือการเดินทางไปคุยงานกับลูกค้าทั่วทั้งภาคอีสาน และด้วยลักษณะงานแบบ ‘ค่ำที่ไหนก็นอนที่นั่น’ นี้ก็เป็นที่มาของเรื่องราว ตอนนั้นป๋าแจ็คไม่ได้เดินทางคนเดียว แต่เดินทางไปกับรุ่นน้องนามสมมติว่า ‘เส’ ทั้งสองเข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่งในภาคอีสาน เพื่อที่เช้าวันต่อมาจะได้ไปคุยงานกับลูกค้าตามนัดหมาย เวลาตอนนั้นประมาณหนึ่งทุ่มกว่าแล้ว ฟ้าก็เริ่มมืดและพวกเขาก็มาเจอโรงแรมนี้พอดี จึงตัดสินเข้าเช็คอิน โรงแรมนี้มีลักษณะเป็นตึกเก่าแต่ก็ใหญ่พอสมควร พนักงานที่เคาน์เตอร์แจ้งให้ป๋าแจ็คกับคุณเสทราบว่า หากต้องการอะไรขอให้เรียกเจ้าหน้าที่ก่อนเวลาห้าทุ่มเพราะหลังจากนั้นเคาน์เตอร์จะปิดแล้ว แต่ป๋าแจ็คก็ไม่ได้ติดใจอะไรเรื่องนี้ เพราะวันพรุ่งนี้ พวกเขาจะต้องไปพบลูกค้าตอนเช้าอยู่แล้ว หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ก็เรียกพนักงานให้มายกกระเป๋าขึ้นไป แต่พนักงานคนที่ถูกเรียกกลับตอบกลับมาว่า “ไม่ไป มืดแล้วไม่ขึ้นไป” ป๋าแจ็คในตอนนั้นก็ได้แต่คิดว่า “อะไรวะ?” สุดท้าย ป๋าแจ็คกับคุณเสก็ต้องยกสัมภาระขึ้นไปที่ห้องด้วยตัวเอง บรรยากาศในโรงแรมชวนให้คิดว่าเหมือนจะไม่ค่อยมีคนมาพัก เมื่อถึงที่พักตรงชั้น 3 ไฟแถวนั้นก็เปิดไม่ค่อยเต็ม พื้นพรมก็ส่งกลิ่นอับออกมา ห้องพักที่เหลือเหมือนกับว่าไม่มีคนพักอยู่ เมื่อป๋าแจ็คเปิดประตูเข้ามาในห้อง ก็ได้กลิ่นเหม็นสาบพรั่งพรูออกมา จึงพากันเปิดแอร์และหน้าต่างเพื่อระบายกลิ่นสาบออกนอกห้อง หลังจากอาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จ ป๋าแจ็คกับคุณเสก็ตัดสินใจว่าจะลงไปที่คาเฟ่แถวล็อบบี้ ตอนนั้นเวลาประมาณสองทุ่มกว่า คาเฟ่นี้เป็นเหมือนกับร้านเหล้าเล็ก ๆ ที่มีคนมาสังสรรค์แกล้มฟังดนตรี แต่ป๋าแจ็คกับคุณเสก็ไม่ได้เข้าไปข้างในร้าน เพียงแต่สั่งอาหารกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เล็กน้อยออกมากินข้างนอกตรงล็อบบี้ จังหวะนั้นคุณเสก็หันไปเห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าคาเฟ่ในมุมมืด ป๋าแจ็คคิดว่าเธอคนนี้คงจะเป็นนักร้องหรือไม่ก็พนักงานต้อนรับของโรงแรม แล้วคุณเสก็พูดขึ้นมาว่า “ถ้าได้นอนกอดสักคืนนะ จะไม่ลืมพระคุณ” คาเฟ่ปิดในเวลาห้าทุ่ม แต่ป๋าแจ็คกับคุณเสก็ยังนั่งคุยงานกันต่อจนเวลาใกล้เที่ยงคืน จากนั้นก็กลับมาที่ห้องพัก เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ล้มตัวลงนอน ตอนนั้นห้องทั้งห้องมืดสนิท เหลือไว้แต่ไฟจากห้องน้ำที่ยังคงเปิดเอาไว้ ป๋าแจ็คผล็อยหลับไป ตื่นอีกทีก็เป็นเวลาเกือบตีหนึ่ง ป๋าแจ็ครู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่างในห้อง เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นผู้หญิงยืนหันหลังให้เขาตรงหน้าห้องน้ำ เธอกำลังหวีผมอยู่ ส่วนตัวป๋าแจ็คไม่ได้เอะใจอะไรมาก จนผู้หญิงคนนั้นเดินมาที่เตียงของคุณเสแล้วมุดเข้าไปในเตียง ป๋าแจ็คเล่าต่อว่า คุณเสกับผู้หญิงคนนั้นน่าจะกำลังเล่นผีผ้าห่มกัน ด้วยความที่ป๋าแจ็คเพลียมากจากการทำงานและฤทธิ์แอลกอฮอล์จึงข่มตาหลับต่อ รู้สึกตัวอีกทีก็เวลาตีสองตีสาม เพราะได้ยินเสียงน้ำจากห้องน้ำ แล้วป๋าแจ็คก็เห็นผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ตรงหน้าห้องน้ำ กำลังหวีผมอยู่เหมือนเดิม ป๋าแจ็คคิดว่าคุณเสกับเธอคงทำกิจกรรมอย่างว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงไม่ได้คิดอะไร แต่คราวนี้ป๋าแจ็คลืมตาตื่นขึ้นชัดเจนเห็นชัดกว่าครั้งที่แล้ว ผู้หญิงคนเดิมเดินมาหาป๋าแจ็คที่เตียง แล้วถามกับป๋าแจ็คด้วยสำเนียงอีสานว่า อยากมีอะไรกับเธอไหม ป๋าแจ็คปฏิเสธผู้หญิงคนนี้ทันที จากนั้นเธอก็หันกลับไปที่เตียงคุณเสอีกครั้ง และเริ่มเล่นผีผ้าห่มกับร่างที่นอนอยู่บนเตียงอีกรอบ ป๋าแจ็คผล็อยหลับไปจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น พอตื่นมาก็เห็นคุณเสนอนคลุมโปงอยู่ ป๋าแจ็คได้แต่คิดในใจว่าเมื่อคืนคงจะหนักน่าดู โดยปกติแล้วหากมาพักต่างบ้านต่างถิ่น เช้าวันรุ่งขึ้น ป๋าแจ็คจะต้องใส่บาตรเสมอ เขาจึงเข้าไปอาบน้ำแต่เช้า ในห้องน้ำก็มีเศษผมที่เหมือนเป็นของผู้หญิงคนเมื่อคืนตกอยู่ นอกนั้นก็ไม่มีร่องรอยของเธอเหลืออยู่เลย ป๋าแจ็คไม่ได้คิดอะไรต่อ เมื่ออาบน้ำเสร็จก็นั่งวินไปซื้อของทำบุญ หลังจากทำบุญเสร็จแล้วก็กลับมาที่ห้องเพื่อปลุกคุณเส สภาพที่ป๋าแจ็คเห็นคือคุณเสตาโหลและอ่อนเพลียค่อนข้างมาก ป๋าแจ็คก็ยังคงคิดว่าคุณเสอาจจะยังเหนื่อยจากเรื่องเมื่อคืนอยู่ จึงบอกให้คุณเสไปอาบน้ำแต่งตัวไปกินข้าวก่อนที่จะไปพบลูกค้าในวันนี้ “เมื่อคืนมาถึงเนี่ย นึกยังไงมานอนโรงแรมนี้” ลูกค้าของป๋าแจ็คและคุณเสถามขึ้น ตอนที่รู้ว่าทั้งสองคนพักอยู่โรงแรมแห่งนี้ ป๋าแจ็คจึงเล่ากิจกรรมผีผ้าห่มให้ลูกค้าฟัง เมื่อมองไปที่สีหน้าของคุณเส เขากลับดูมีความกังวลเหมือนจะร้องไห้ และในที่สุดรุ่นน้องคนนี้ก็พูดออกมาว่า “พี่ เมื่อคืนผมโดนผีอำ...” คุณเสเล่าว่า เมื่อคืนหลังจากที่ดับไฟแล้ว ก็ได้ยินเสียงเคาะที่ประตู เมื่อเดินอย่างสะลึมสะลือไปดูที่ตาแมวก็เห็นว่าเป็นผู้หญิงคนที่ยืนอยู่หน้าคาเฟ่ เธอขอเข้ามานอนข้างในด้วยเหตุผลที่ว่า ยังกลับบ้านไม่ได้ คุณเสคิดว่าตอนนั้นตัวเองคงโชคดีแล้ว แต่พอเธอมุดเข้าตรงเตียงคุณเสเท่านั้น คุณเสก็รู้สึกเหมือนโดนผีตนนี้ปล้ำ! ผู้หญิงคนนี้พยายามเอาใบหน้ามาไถที่หน้าคู่นอน เลียหน้าเลียตา คุณเสตระหนักได้แล้วในตอนนั้นว่าตนถูกผีอำ จึงพยายามสวดมนต์จนเธอเลือนหายไป แต่เธอก็กลับมา เมื่อป๋าแจ็คปฏิเสธ เธอก็กลับมาที่เตียงของคุณเส! เมื่อลูกค้าได้ยินดังนั้นจึงเล่าที่มาที่ไปของผีตนนี้ให้ป๋าแจ็คและคุณเสฟัง เธอเคยเป็นนักร้องประจำคาเฟ่ที่โรงแรมมาก่อน วันหนึ่ง มีคนที่เข้ามาพักพาเธอขึ้นไปบนห้อง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเกิดการไม่ยอมหรือไม่ แต่สุดท้ายผู้หญิงคนนี้ก็ถูกบีบคอจนเสียชีวิต ลูกค้ารีบบอกให้ป๋าแจ็คและคุณเส เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมทันที จากนั้นก็พาไปอาบน้ำมนต์ ป๋าแจ็ครอดไปได้ในครั้งนี้เพราะปฏิเสธผู้หญิงคนนั้น มีแต่คุณเสที่ต้องเจอเรื่องราวไม่ดีเหล่านี้แต่เพียงผู้เดียว และเมื่อกลับมาถึงกรุงเทพฯ หนึ่งอาทิตย์ต่อมาคุณเสก็ผมหงอกทั้งหัว คุณเสไม่เคยไปทำงานที่ต่างจังหวัดนับแต่นั้นเป็นต้นมา หลังจากเหตุการณ์ที่โรงแรมในวันนั้น ป๋าแจ็คก็บินเดี่ยวมาตลอดเช่นกัน(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

พี่เเจ็ค เล่าเรื่อง ‘โรง(หนัง)ที่ 3’ l อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [29 เม.ย 2568]

03 พ.ค. 2025

พี่เเจ็ค เล่าเรื่อง ‘โรง(หนัง)ที่ 3’ l อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [29 เม.ย 2568]

สมัครงานพาร์ทไทม์ที่โรงหนัง แต่พนักงานด้วยกันชอบแกล้งเรื่องผีอยู่เป็นประจำ จนได้มามาทำงานตำแหน่งฉายหนัง ที่ต้องเอาพวงมาลัย น้ำ นม มาไว้ที่ห้องฉายทุกครั้งในวันพระ แต่วันที่เกิดเรื่องดันลืม…! จึงได้เจอดีเข้าให้! ไปติดตามเรื่องเล่าจาก ‘พี่แจ็ค The Ghost Radio’ ที่ได้นำเรื่อง ‘โรง(หนัง)ที่ 3’ เรื่องของ ‘คุณดิ๊ก’ มาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’(29 เมษายน 2568) พร้อมด้วย ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คุณดิ๊กอยากหางานพิเศษทำ ในตอนนั้นมีห้างหนึ่งกำลังถูกสร้าง ซึ่งเป็นห้างที่มีโรงหนังทั้งหมด 3 โรง หลังจากห้างสร้างเสร็จเรียบร้อย คุณดิ๊กจึงได้ไปยื่นใบสมัครไว้ เผื่อว่ามีงานที่พอจะทำได้ หลังจากนั้น 2-3 วัน ก็มีสายจากโรงหนังโทรเข้ามา โดยสอบถามกับคุณดิ๊กว่าพร้อมจะมาทำงานที่โรงหนังหรือไม่ คุณดิ๊กก็ตกลงที่จะทำงานเป็นพาร์ทไทม์ของโรงหนังนี้ เมื่อไปถึงคุณดิ๊กก็ได้เจอกับผู้จัดการ ผู้จัดการจึงพาแนะนำสถานที่ต่าง ๆ ภายในโรงหนัง และกำหนดตำแหน่งที่คุณดิ๊กจะได้ทำคือ ตำแหน่งฉีกตั๋ว คุณดิ๊กทำงานมาได้ 1 อาทิตย์ ผู้จัดการก็โทรมา ให้คุณดิ๊กลองมาอยู่กะกลางคืน โดยผู้จัดการจะเพิ่มชั่วโมงในการทำงานให้คุณดิ๊ก กะดึกคืนนั้น มีพนักงานทั้งหมด 7 คน (รวมคุณดิ๊กแล้ว) ในกลุ่มพนักงงานนั้นจะมี 3 คนรวมกลุ่มกันเป็นแก๊งชอบแกล้ง-ชอบอำคนอื่น ในกลุ่มนั้นมี ‘คุณแมน’ และ ‘คุณหนุ่ม’ ทำหน้าที่ฉายหนัง และ ‘คุณเอก’ เป็นพนักงานฉีกตั๋วเหมือนคุณดิ๊ก เมื่อแมน หนุ่ม และเอกเห็นว่ามีเด็กใหม่มา ก็เริ่มแผนการแกล้งทันที.. โดยเริ่มจากคุณเอกได้พาทัวร์ในโรงหนังรอบกลางคืน และบอกว่า “โรง 3 มึงต้องระวังนะ โรง 3 เจอกันเยอะ ผีดุ” นอกจากนี้ คุณเอกก็เล่าเรื่องผีให้ฟัง แต่คุณดิ๊กไม่ได้เป็นคนกลัวผีมากจึงไม่รู้สึกอะไร แต่คุณเอกก็ยังบอกต่ออีกว่า “เดี๋ยวกูขอเช็คโรง 1 โรง 2 ละกันนะ โรงสามกูกลัวผี กูไม่กลัาไป” คุณดิ๊กจึงตอบตกลงและไปดูเอง พอมาถึงโรง 3 ก็เปิดประตูเข้าไป และเดินมาจนถึงที่นั่ง ก็ได้มีเสียงว.มาจากห้องฉายด้านบน โดยคุณหนุ่มกับคุณแมนก็ว.มาบอกว่า “ดิ๊ก ลองเช็คแขกดูหน่อย มีทั้งหมดกี่คน” คุณดิ๊กเดินไปเช็คตามที่บอก และตอบทั้งสองคนไปว่า “แถว I มีทั้งหมด 7 คน” “เฮ้ย นับดูดี ๆ 7 คนแน่หรอ” คุณดิ๊กก็เริ่มนับใหม่ และตอบย้ำไปว่า “7 คนพี่ แถว I” เสียงจากว.แย้งขึ้นมาทันทีว่า “เฮ้ย ไม่ใช่แล้ว มันมีแถวหลังอีก 2-3 คนไม่เห็นหรอ” คุณดิ๊กมองตามที่ทั้งสองคนบอก และเงยหน้ามองไปบนห้องฉาย ก็เห็นทั้งสองคนนั่งหัวเราะกันอยู่ คุยดิ๊กก็คิดในใจว่า ‘พวกที่ชอบอำผม วันไหนขอให้โดนเอง’ หลังจากนั้นเหตุการณ์ทุกอย่างก็ปกติ คุณดิ๊กก็ยังทำงานเหมือนเดิม จนกระทั่งคุณแมนมาบอกกับทุกคนว่าลาออกแล้ว โดยไม่บอกเหตุผลว่าออกเพราะอะไร แต่ก่อนที่จะออกก็ยังไปบอกกับคุณดิ๊กอีกว่า “ถ้าต้องขึ้นไปทำงานห้องฉายอะ ระวังโรง 3 ไว้นะ” คุณแมนบอกไว้เท่านี้และออกไป หลังจากนั้นคุณดิ๊กก็ยังโดนคุณเอกและคุณหนุ่มแกล้งอำเรื่องผีมาโดยตลอด วันหนึ่งผู้จัดการโทรมาหาคุณดิ๊กให้มาช่วยงานที่ห้องฉาย เพราะตอนนี้เหลือแค่คุณหนุ่มคนเดียว จึงให้คุณดิ๊กไปเรียนรู้งานกับคุณหนุ่ม เมื่อไปถึงห้องฉาย คุณหนุ่มก็พาดูภายในห้องฉายว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งมีห้องฉาย 3 ห้อง หนึ่งห้องต่อหนึ่งโรงอยู่เรียงกัน และคุณหนุ่มก็ได้บอกกฎกติกากับคุณดิ๊กว่า “สิ่งหนึ่งที่เราต้องรู้เลย หนึ่งคือทุกวันพระจะต้องเอาพวงมาลัย เอาน้ำ เอานม มาไว้ที่เครื่องฉายทุกครั้ง ห้ามลืมเด็ดขาด สองคือห้ามพาบุคคลภายนอกเข้ามาภายในห้องฉายเด็ดขาด และสามคือห้ามเตรียมไฟล์หนังผิดเด็ดขาด” คุณดิ๊กก็รับทราบ และถามคุณหนุ่มว่ามีเรื่องอะไรที่ต้องรู้อีกไหม คุณหนุ่มจึงบอกไปว่า “ถ้าวันไหนที่มึงมาทำงาน แล้วเปิดเข้ามาที่ห้องฉายหนัง ถ้าเห็นเส้นผมอยู่ตรงพื้น อยู่ตรงเครื่องฉาย ไม่ต้องตกใจ มองให้เป็นเรื่องปกติ” คุณดิ๊กก็คิดในใจว่าคุณหนุ่มแกล้งกันอีกแล้ว คุณดิ๊กก็ถามกลับไปว่า “พี่ปั่นผมปะเนี่ย” คุณหนุ่มจึงตอบกลับมาทันทีว่า“มึงเชื่อกู ไม่เชื่อมึงลองไปดูตามห้องก่อนก็ได้” คุณดิ๊กจึงเดินถือว.ไปตามห้องฉายต่าง ๆ คุณดิ๊กเดินไปห้องแรก ก็เจอกับเส้นผม แต่ก็ยังคิดว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะอาจเป็นเส้นผมของแม่บ้าน ซึ่งห้องฉายที่ 2 ก็มีเหมือนกัน และเมื่อเปิดไปห้องที่ 3 ก็มีเส้นผมเช่นเดียวกัน แต่ครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เส้นผมเส้นเล็ก ๆ แต่เป็นกระจุกเส้นผมที่กองอยู่ตามพื้น และในวันหนึ่ง คุณดิ๊กก็ฉายหนังตามปกติที่โรง 2 แต่ผ่านไป 30 นาทีก็ไม่มีคนดู คุณดิ๊กจึงปิดเครื่องฉาย ปิดไฟและกำลังจะเดินออกมาจากห้องฉาย แต่อยู่ ๆ ก็มีว.มาว่า “เฮ้ย ดิ๊ก ปิดเครื่องฉายหรอโรงสอง มีคนดูอยู่” คุณดิ๊กก็บอกไปว่า “ผมเช็คแล้วนะ โรงสองไม่มีลูกค้า” “ไม่มีบ้าอะไร ลูกค้าเดินออกมาบอกว่าเขานั่งดูอยู่” คุณดิ๊กก็คิดว่าโดนผีหลอกแล้วหรือเปล่า จึงเดินไปดูที่นั่ง ก็เห็นว่ามีลูกค้านั่งอยู่แถว A ซึ่งเป็นจุดบอดที่มองเห็นได้ยาก และวันต่อมา ขณะที่คุณดิ๊กกำลังฉายหนังโรง 3 อยู่ ซึ่งวันนั้นมีคนมาดูหนังน้อยมาก คุณดิ๊กจึงคอยสังเกตว่าจะมีคนเข้ามาหรือไม่ พอใกล้ 30 นาที คุณดิ๊กก็เห็นเป็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาแถวกลาง แต่ก็ไม่ได้นั่ง จนเดินลงไปนั่งแถวหน้าสุด คุณดิ๊กจึงสงสัยว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงไปนั่งตรงนั้น จากนั้นก็ว.ไปหาคุณเอกให้เช็คว่ามีลูกค้ามาในรอบนี้หรือไม่ แล้วทำไมถึงนั่งแถวหน้าสุด ทั้งที่โรงก็ว่างอยู่ จากนนั้นคุณเอกก็เช็ครอบหนัง ณ เวลานั้นให้คุณดิ๊ก และพบว่า หนังในรอบนั้นไม่มีคนซื้อตั๋วไว้เลย คุณดิ๊กจึงตอบกลับไปว่า “จะไม่มีคนจองได้ยังไง ก็เห็นคนนั่งอยู่ ลองเข้าไปดูให้หน่อย” คุณเอกจึงตอบตกลงจะเข้าไปเช็คให้ และถ้าถึงแล้วจะบอกว่าอยู่ตรงไหน คุณดิ๊กจึงรออยู่บนห้องฉาย จากนั้นไม่นานมีแสงเลเซอร์สว่างเข้ามาในห้อง คุณดิ๊กจึงโผล่ไปที่ช่องกระจก ที่สามารถมองเห็นข้างล่างได้ คุณดิ๊กจึงว.ไปบอกคุณเอกว่า “เขานั่งอยู่นี่ไง แถวหน้าสุด ตรงกลาง” คุณเอกจึงชะเง้อมองและเดินไปตามทางที่คุณดิ๊กบอก “ตรงไหน” คุณเอกถาม “ตรงนี้ ๆ เก้าอี้ตัวนั้นแหละ เขานั่งอยู่ข้างหน้ามึงเลย” “นั่งอยู่ข้างหน้าบ้าอะไร ไม่เห็นใครสักคน” คุณดิ๊กคิดในใจว่า ‘อีกแล้ว โดนแกล้งอีกแล้ว’ คุณดิ๊กจึงพยายามส่องเลเซอร์ลงไปว่ามีผู้หญิงนั่งอยู่ เมื่อคุณเอกไม่เชื่อ คุณดิ๊กจึงเปิดไฟให้ดู ผู้หญิงคนที่นั่งอยู่ก็ลุกขึ้นและวิ่งออกไปทางประตูหนีไฟ จากนั้นคุณเอกก็ตกใจแล้ววิ่งออกมา คุณดิ๊กจึงวิ่งลงมาจากห้องฉายและตามคุณเอกไป ในตอนนั้นคุณเอกก็ได้บอกกับคุณดิ๊กว่า“เห็นเหมือนกูใช่ไหม ผู้หญิงเมื่อกี้ ที่อยู่ๆ ลุกขึ้นมา แล้ววิ่งออกไป” คุณดิ๊กจึงตอบทันทีว่าใช่ เพราะมีลูกค้านั่งอยู่ คุณเอกจึงบอกกับคุณดิ๊กว่า “ตอนที่ลูกค้านั่งอยู่มันไม่เท่าไหร่ แต่พอไฟเปิด อยู่ ๆ ผู้หญิงคนนี้ก็โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้” คุณดิ๊กก็ตอบกลับไปว่า “ก็เรื่องปกติ วิ่งออกไปดูสิ เผื่อเป็นคนสติไม่ดีหรือใครแอบเข้ามา” คุณเอกจึงบอกว่า “มึงดูดี ๆ ประตูหนีไฟ มันไม่ได้เปิดนะ มันเป็นประตูที่ล็อกไว้อยู่ ถ้าผู้หญิงคนนั้นจะวิ่งหนีไปจริง ๆ ก็คงวิ่งไปอีกฝั่งที่ประตูมันเปิดอยู่” คุณดิ๊กจึงเดินไปดูตรงประตูหนีไฟที่ผู้หญิงคนนั้นวิ่งออกไป และพบว่ามันล็อกอยู่จริง ๆ วันรุ่งขึ้นคุณดิ๊กจึงได้เล่าเรื่องที่เจอให้คุณหนุ่มฟัง คุณหนุ่มก็สงสัย เมื่อค่อย ๆ เรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมด จนคุณหนุ่มถามขึ้นมาว่า “เมื่อวานลืมอะไรปะ” คุณดิ๊กจึงตอบกลับทันทีว่า“ผมไม่ได้ลืมอะไรนะ ผมก็ทำงานปกติ” “เมื่อวานวันพระ มึงลืมอะไรเปล่า” คุณหนุ่มถามต่อ คุณดิ๊กก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าตัวเองลืมซื้อดอกไม้ ซื้อพวงมาลัย ซื้อน้ำ ซื้อนมมาไว้ และคิดว่าครั้งนี้ที่ได้เห็นเพราะเขามาเตือนที่ไม่ได้ทำตามที่บอก และคุณหนุ่มยังเล่าให้ฟังต่อว่า มีอยู่พนักงานคนหนึ่งที่เคยฉายหนังปกติแบบนี้ ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่มีคนมาดูหนังจนเต็มโรง ระหว่างที่พนักงานคนนั้นฉายหนังอยู่ก็ได้มองลงมาข้างล่าง พนักงานคนนี้เห็นลูกค้าคนหนึ่งที่ไม่ได้มองไปที่จอหนังที่กำลังฉาย แต่หันหน้าขึ้นมามองพนักงานคนนั้นแล้วก็ยิ้มให้ เมื่อจอหนังลูบดับไปและสว่างขึ้นมาอีกครั้ง ที่ตรงนั้นกลับไม่มีคนนั่งอยู่..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากออมนาเบลล์ ‘วินาทีชู้หนีตาย’ l อังคารคลุมโปง X ออมนาเบลล์ [ 20 พ.ค.2568 ]

27 พ.ค. 2025

เรื่องเล่าจากออมนาเบลล์ ‘วินาทีชู้หนีตาย’ l อังคารคลุมโปง X ออมนาเบลล์ [ 20 พ.ค.2568 ]

‘ออมนาเบลล์’ ได้มาเล่าเรื่องของ ‘วัฒน์’ เด็กหนุ่มที่แอบคบหากับพี่สาวในหอพักเดียวกัน แต่กลับถูกแฟนของเธอจับได้ จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์สุดสยอง ที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (20 พฤษภาคม 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในตอนที่มีชื่อว่า ‘วินาทีชู้หนีตาย’ ออมนาเบลล์ เล่าว่า ‘วัฒน์’ เป็นเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ทำให้เขาต้องหาหอพัก จนได้มาอยู่กับเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งทั้งคู่พักอยู่ที่ชั้น 3 วันหนึ่งขณะกลับห้อง เขาก็ได้เจอผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งดูหน้าตาดี อายุห่างจากเขาประมาณ 10-15 ปี เธอกำลังแบกกระสอบใบใหญ่อยู่ที่ชั้นล่าง วัฒน์ซึ่งเป็นคนเจ้าชู้อยู่แล้ว ก็ไม่รอช้า รีบเข้าไปช่วยถือของ และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่เขาได้รู้จักกับ ‘พี่มาลี’ พี่มาลีทำงานรับซ่อมเสื้อผ้า จึงต้องแบกกระสอบผ้าใบใหญ่ขึ้นลงทุกวัน พี่มาลีบอกว่าเธอมีแฟนอยู่แล้ว แต่แฟนไม่ค่อยมาหา เมื่อเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเดือน ความสนิทก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น จนในที่สุดความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เริ่มลึกซึ้ง วันหนึ่งวัฒน์รู้มาว่าแฟนของพี่มาลีได้มาหาเธอ และในคืนนั้นเอง ขณะที่วัฒน์กำลังหลับ ก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกันดังมากจากชั้นบน เสียงนั้นทำให้เขาสะดุ้งตื่น และเมื่อออกไปหน้าห้อง ก็พบว่าคนในหอออกมายืนดูเต็มทางเดิน เสียงนั้นมาจากชั้น 5 ซึ่งวัฒน์มั่นใจว่าเป็นห้องของพี่มาลีแน่นอน เขาตัดสินใจโทรแจ้งตำรวจเพื่อให้สถานการณ์สงบลง เมื่อตำรวจมาถึง เสียงทะเลาะก็เงียบไป วันต่อมา วัฒน์ขึ้นไปเคาะประตูห้องเรียกพี่มาลีด้วยความเป็นห่วง ประตูก็เปิดออกอย่างช้า ๆ คนที่เปิดประตูกลับไม่ใช่พี่มาลี.. แต่เป็นแฟนของเธอแทน ชายคนนั้นมองหน้าวัฒน์แล้วพูดว่า "มาหาเมียพี่เหรอ?" วัฒน์ตอบด้วยความประหม่าว่า "ครับ... ผมเป็นห่วงพี่เขา" แฟนพี่มาลีจึงชวนวัฒน์เข้าไปในห้อง แม้ใจจะหวั่นกลัว แต่วัฒน์ก็จำใจยอมเดินเข้าไป ชายคนนั้นนั่งลงข้าง ๆ แล้วถามวัฒน์ว่า "เมียพี่สวยมั้ย?" ตามมาด้วย "แล้วชอบเมียพี่รึเปล่า?" แต่ละคำถามทำให้บรรยากาศน่าอึดอัดกว่าเดิม วัฒน์จึงรีบปฏิเสธ หลังจากนั้น แฟนพี่มาลีก็ลุกไปที่เตียง แล้วขอให้วัฒน์ช่วยยกของ เขาจึงเดินไปช่วย และพบว่าใต้ฟูกมี "กระสอบใบใหญ่" ที่คุ้นตา เขารู้ทันทีว่าเป็นกระสอบที่พี่มาลีแบกประจำ "อยากเห็นเมียพี่มั้ย?" แฟนของพี่มาลีถามวัฒน์ วัฒน์ค่อย ๆ เปิดกระสอบ แล้วก็พบว่า พี่มาลีนอนขดตัวอยู่ในนั้น! วัฒน์ตกใจสุดขีด แล้วรีบวิ่งไปที่ประตูหวังหนีออกไป แต่ชายคนนั้นเข้ามาขวางไว้ พร้อมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วโชว์ภาพถ่ายคู่ของวัฒน์กับพี่มาลี ก่อนที่สถานการณ์จะแย่ไปมากกว่านี้ วัฒน์รีบขอโทษ และหาทางเอาตัวรอดวิธีอื่น คิดได้ดังนั้นก็ตัดสินใจกระโดดลงจากระเบียง หลังจากกระโดดลงไป เขาลงมานอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น ขณะที่กำลังพยายามขยับตัว ตาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนนั่งอยู่ข้าง ๆ นั่นคือแฟนพี่มาลีที่ตามมาพร้อมพูดว่า "เมียพี่สวยป้ะ?" หลังจากนั้นวัฒน์ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เมื่อฟื้นขึ้นมา เขารีบแจ้งตำรวจให้ไปตรวจสอบที่ห้องของพี่มาลี เมื่อตำรวจไปถึง ก็พบว่า ศพของพี่มาลีอยู่ในห้องจริง ๆ และแฟนของเธอเองก็นอนเสียชีวิตอยู่ในห้องน้ำเช่นกัน เมื่อตำรวจไปถึง ก็พบว่า ศพของพี่มาลีอยู่ในห้องจริง ๆ และแฟนของเธอเองก็นอนเสียชีวิตอยู่ในห้องน้ำ โดยมีน้ำยาล้างห้องน้ำวางอยู่ใกล้ ๆ การชันสูตรพบว่าเวลาการเสียชีวิตของทั้งคู่ใกล้เคียงกัน โดยแฟนของพี่มาลีเป็นคนทำร้ายเธอจนเสียชีวิต สุดท้ายก็จบชีวิตตัวเองเพื่อหนีความผิด นั่นหมายความว่า.. สิ่งที่วัฒน์เจอในวันนั้น ไม่ใช่คนอย่างแน่นอน(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

บ้านนี้ใครอยู่ก็ตาย! สืบสาวราวเรื่องจึงได้ความว่าคุณยายเคยเลี้ยงปอบเพื่อทำเสน่ห์ใส่คุณตา ต่อมาเลี้ยงไม่ไหวจึงมอบให้คนอื่นไป แต่สุดท้ายมันก็วนกลับมากินคนในบ้านจนหมด มิหนำซ้ำที่ดินของบ้านยังมีบ่อเน่าที่เคยเป็นที่ทิ้งศพทหาร!

12 พ.ค. 2023

บ้านนี้ใครอยู่ก็ตาย! สืบสาวราวเรื่องจึงได้ความว่าคุณยายเคยเลี้ยงปอบเพื่อทำเสน่ห์ใส่คุณตา ต่อมาเลี้ยงไม่ไหวจึงมอบให้คนอื่นไป แต่สุดท้ายมันก็วนกลับมากินคนในบ้านจนหมด มิหนำซ้ำที่ดินของบ้านยังมีบ่อเน่าที่เคยเป็นที่ทิ้งศพทหาร!

‘ท่าปอบหยิบ’ กลายเป็นไอคอนที่ทำให้หลายคนนึกถึง ‘ผีปอบ’ แต่หลังจากที่ได้เจอเข้ากับตัวจริง ๆ ‘คุณอ๊อฟ คนเห็นผี’ ก็ได้เล่าใน ‘รายการอังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (2 พฤษภาคม 2566) ว่าผีปอบจริง ๆ แล้วไม่ได้กินตับไตไส้พุงอย่างที่พวกเรารู้กัน แล้วความจริงที่คุณอ๊อฟได้เจอมาเป็นอย่างไรนั้น ไปหาคำตอบพร้อมกันเลย! คุณอ๊อฟเล่าว่าเรื่องนี้มาจากเคสหนึ่งใน ‘รายการ The sixth sense คนเห็นผี’ เคสนี้ต้องเดินทางไปไกลถึงจังหวัดกำแพงเพชร แต่คืนก่อนที่จะไป คุณอ๊อฟกินยาไทรอยด์จึงทำให้หลับลึกไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ จนทีมงานคนอื่น ๆ ต้องออกเดินทางไปก่อน คุณอ๊อฟจึงกล่าวขอโทษทีมงาน และคิดว่าคงไปไม่ทันแล้ว แต่แล้วก็มีความรู้สึกหนึ่งที่สะกิดคุณอ๊อฟขึ้นมาว่า “ลุก แล้วไปซะ” ตอนนั้นคุณอ๊อฟก็รับรู้ได้เลยว่าเป็นเสียงพระแม่ทุรคาที่ตนนับถือ หลังจากนั้นก็เสิร์ชหาบริการรถเช่าด่วนเพื่อออกเดินทางทันที เมื่อเดินทางมาถึงจังหวัดกำแพงเพชร เส้นทางที่เข้าไปในบ้านของเคสนั้น เหมือนกับหลงเข้าไปในป่าเพราะข้างทางเป็นป่าไม้รกทึบ จะเจอบ้านคนอยู่แค่หลังเดียวต่อระยะทางประมาณหนึ่งกิโลเมตรเกือบตลอดทาง และเมื่อถึงจุดหมายและกำลังจะลงจากรถ พี่คนขับรถก็ทักขึ้นมาว่า “แล้วพี่ผู้หญิงคนนั้นจะลงไปด้วยไหมครับ” คุณอ๊อฟจึงคิดในใจว่า “เรานั่งมาตลอดทางทำไมถึงไม่เห็นใครเลย แล้วทำไมตอนเราขึ้นรถพี่คนขับรถไม่สังเกตบ้างหรอว่าขึ้นมาคนเดียว” จึงตอบกลับพี่คนขับรถไปว่า “ไม่รู้ค่ะ เดี๋ยวถามพี่เขาอีกทีนึงละกัน”จากนั้นก็ลงมาจากรถก่อน ทำให้ได้เห็นหน้าของผู้หญิงคนนั้นเต็ม ๆ และสัมผัสได้ว่าเขาพึ่งขึ้นมาบนรถตอนที่คุณอ๊อฟมองออกไปนอกหน้าต่างระหว่างเดินทางเข้ามา คุณอ๊อฟไม่ได้คิดอะไรต่อ และเมื่อถึงเวลาที่ต้องถ่ายทำรายการ ระหว่างที่คุณอ๊อฟเข้าฉากก็ได้เห็น ‘ผีกระสือ’ ครั้งแรกในชีวิต ลักษณะคือเป็นหน้าคนที่มีดวงไฟสีส้มกระพริบเป็นจังหวะวูบวาบช้า ๆ ขึ้นมา ซึ่งในตอนนั้นเห็นอยู่ไกล ๆ และทุกคนก็เห็นเหมือนกันหมด มาถึงเรื่องของเคสในวันนั้นกันบ้าง เจ้าของเคสเล่าว่าตนนั้นซื้อบ้านมาจากที่ดินแบ่งขายสำหรับให้ทำกิน เมื่ออยู่กับครอบครัวไปได้สักพัก คุณยายก็เริ่มป่วย โดยมีอาการผอมแห้ง ซูบผอมลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งเสียชีวิต ต่อมาก็เป็นคุณตาและญาติที่มีอาการเดียวกัน และอาการเหล่านั้นก็มาถึงตัวเขา เจ้าของเคสเล่าว่าเมื่อก่อนเขาเป็นคนรูปร่างอ้วนท้วมอุดมสมบูรณ์ แต่พอกลับมาอยู่บ้านหลังนี้ รูปร่างก็กลับผอมแห้ง นอกจากนี้ครอบครัวของเขาก็เลิกราแยกย้ายออกไป ทำให้เขาต้องอยู่บ้านหลังนี้คนเดียว เขาจึงกลัวว่าอาจจะต้องเสียชีวิตเหมือนกับตายายและญาติของเขาอีกเป็นแน่ ต่อมาเจ้าของเคสได้พาไปดูบริเวณรอบ ๆ บ้านแต่ก็ไม่พบอะไรเชื่อมโยงถึงปอบเลย จนกระทั่งได้ขึ้นไปดูชั้นสองของบ้าน คุณอ๊อฟสัมผัสได้ว่ามันมีอะไรอยู่ข้างบน แต่ก็ไม่รู้แน่ชัดว่า ‘สิ่งนั้น’ คืออะไร จนได้เจอกับรูปคุณตาคุณยาย และสัมผัสได้ว่าเมื่อก่อนตอนสาว ๆ คุณยายชอบคุณตา จึงไป “ทำเสน่ห์เพื่อให้คุณตาหลงรัก” และได้อยู่กินด้วยกัน แต่สุดท้ายมันเหมือนกับว่า “อยู่แต่ตัวแต่ใจไม่อยู่” นับวันก็มีแต่จะแห้งเหี่ยวลงไปเรื่อย ๆ คุณยายจึงต้องหมั่นไปเติมของและเลี้ยงสิ่งนั้นด้วยเลือด คุณยายรู้ว่าสิ่งนั้นคือปอบและเลี้ยงต่อไม่ไหว จึงเอาไปฝากบ้านข้างหน้าที่อยู่ถัดห่างออกไปจากบ้านตัวเองประมาณ 2-3 กิโลเมตรให้เลี้ยงแทน แต่คนที่บ้านหลังนั้นก็สติฟั่นเฟือน ทำให้เลี้ยงไม่ดีพอ ปอบจึงกินคนในบ้านหลังนั้นแทน และกลับมาไล่กินคุณยายเจ้าของดั้งเดิมและคนเกี่ยวข้องไปทีละคน ขณะที่กำลังสืบสาวราวเรื่องอยู่นั้น คุณอ๊อฟก็ได้เห็นสิ่งหนึ่งในเงามืด ลักษณะคือเป็นคุณยายที่หน้าตาเหมือนกับผู้หญิงที่นั่งรถเช่ามากับคุณอ๊อฟเป๊ะ!! “แถมร่างนั้นก็ค่อย ๆ คลานแบบ 4 ขา และกำลังหักคอตัวเองไปมา” เดินออกมาจากอีกห้องหนึ่ง มายืนอยู่ตรงหน้าคุณอ๊อฟก่อนที่จะหายไป! คุณอ๊อฟบอกว่า “เคยมีความคิดเกี่ยวกับปอบว่า มันจะต้องกินไส้ กินตับ หรืออะไรดิบ ๆ แต่จริง ๆ แล้ว ปอบมีลักษณะคือ มันจะค่อย ๆ กินจากจิตใจ เหมือนสะกดจิตเราว่าต้องเป็นซึมเศร้า เราจะต้องไม่คบหาสมาคมกับใคร เราจะต้องอยู่แบบนี้อยู่คนเดียว และไม่กินข้าว กระทั่งมันสูบพลังชีวิตเราไปทีละนิดจนหมด ตัวอย่างเช่น เมื่อคน ๆ หนึ่งโดนปอบสิง และมีสังคมรอบข้าง เขาจะค่อย ๆ ถอยตัวห่างออกมาจากสังคมนั้น ทำให้พลังชีวิตนอกบ้านมันเริ่มหาย และเมื่อเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านพลังชีวิตมันก็หมุนอยู่แต่ในบ้าน และหลังจากนั้นมันก็จะตัดพลังชีวิตที่หมุนเวียนอยู่ในบ้านออกไปอีกโดยทำให้คนในครอบครัวแยกกันอยู่คนละที่ ทำให้พลังงานนั้นก็จะหมุนอยู่กับแค่ตัวเอง และสาเหตุการเป็นปอบมันเกิดจากการที่คนนั้นเคยมีความอิจฉาริษยาโลภมากในจิตสุดท้ายก่อนตาย” หลังจากผ่านเหตุการณ์สยองนั้นมาได้ คุณอ๊อฟก็เล่าต่ออีกว่าทีมงานสัมผัสได้ถึงเมืองบังบด (เมืองลับแลของกำแพงเพชร) ตั้งอยู่ในพื้นที่บริเวณบ้าน ซึ่งพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ประหารคนในช่วงสงครามสมัยก่อน และเป็นที่สำหรับโยนศพของทหารลงไปในบ่อหลังบ้านเจ้าของเคสได้ยินดังนั้นก็ขนลุก เพราะที่ผ่านมาตนได้พยายามขุดลอกบ่อนั้นมาหลายครั้ง แต่ลอกยังไงก็ยังเหม็นเน่าอยู่ตลอด จึงตัดสินใจปลูกบัวแต่ก็ไม่สำเร็จอีก สุดท้ายจึงปล่อยเน่าอยู่อย่างนั้น คุณอ๊อฟจึงแนะนำไปว่าวิธีแก้ง่ายที่สุดเลยคือการย้ายออกจากที่นี่ เจ้าของเคสถึงกับอึ้งอยู่พักหนึ่ง เพราะการทิ้งถิ่นกำเนิดก็เป็นเรื่องที่ทำใจลำบาก แต่ก็มีอีกวิธีนั่นก็คือ ต้องพลิกหน้าดินโดยใช้น้ำมนต์ธรณีสารล้างพื้นดิน ต่อมาคือตัวเจ้าของเคสต้องหมั่นทำบุญ เพราะคุณอ๊อฟรู้ได้เลยว่าตัวเจ้าของเคสไม่ค่อยทำบุญ สวดมนต์ นั่งสมาธิ หรือทำทานเลย แม้แต่บุญเก่าที่เขาเคยทำมาก็ไม่มีติดตัว จึงทำให้ไม่มีสิ่งใดเป็นเกราะคุ้มครอง เจ้าของเคสก็ลังเลว่าเขาจะทำได้หรือไม่เพราะที่ผ่านมาไม่เคยทำจริง ๆ คุณอ๊อฟจึงตอบไปว่า “ลังเลไม่ได้นะมันคือชีวิตคุณ ถ้าคุณไม่ทำ คุณไม่เริ่ม เราก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว” เมื่อคุณอ๊อฟเล่าจบ ดีเจแนนก็ได้ถามคุณอ๊อฟไปว่าถ้าเกิดเจ้าของเคสตัดสินใจย้ายที่อยู่ออกไปจริง ๆ และไปใช้ชีวิตตามปกติไม่ได้ถือศีลภาวนาหรือทำบุญใด ๆ จะเป็นอย่างไร คุณอ๊อฟก็ตอบว่า “ก็อาจจะหลุดพ้นจากปอบตัวนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปเจออะไรในข้างหน้าอีกเพราะไม่มีอะไรคุ้มครองเขาไว้เลย มันเป็นเหมือนการหนีปัญหา แต่ไม่หาทางแก้ ดังนั้นต้องหมั่นทำบุญสร้างกุศลให้ตัวเอง เพื่อเป็นเกราะป้องกันจากสิ่งที่มองไม่เห็น”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1