เปิดมุมมอง LGBTQ+ Idol กับ พินเนอร์ STARDASH

HEALTHY LIFESTYLE

เปิดมุมมอง LGBTQ+ Idol กับ พินเนอร์ STARDASH

06 ก.พ. 2024

ในปัจจุบันเชื่อว่าทุกคนคงจะเคยได้ยินคำว่า “วงไอดอล” กันมาบ้างอยู่แล้วเป็นคำที่เราเห็นคุ้นชินถึงบุคคล หรือ กลุ่มคน ที่เก่งทั้งเต้น ร้อง มอบความสดใส และส่งต่อกำลังใจให้แก่ผู้ชมอย่างเรา ๆ ได้เป็นอย่างดีจะทั้ง ไอดอลชาย หรือไอดอลหญิง ก็เป็นที่โด่งดังมากในยุคสมัยนี้  แล้วไอดอล LGBTQ+ ละเราเคยรู้จักกันหรือเปล่า?

 

“ Idol ” หรือ ไอดอล เป็นคำสั้น ๆ แต่กลับมีความหมายแฝงมากมาย หากอ้างอิงตามหลักพจนานุกรมของไทยเรานั้น แปลได้ว่า “คนหรือสิ่งที่ได้รับความชื่นชมหรือคลั่งไคล้อย่างมาก” หรือ “รูปเคารพ เทวรูป” แต่หากพูดกันตามความเข้าใจของทุกท่านนั้น คงจะหมายถึง บุคคลแบบอย่าง หรือ บุคคลที่จะมอบความ สดใส และเป็นแรงบัลดาลใจให้กับใครหลายๆคน

 

วันนี้ Green Wave จะพาทุกท่านมารู้จักกับ คุณพิณ พินเนอร์ เรณุกา ปัญญาคุ้มวงศ์ หรือ พินเนอร์ ‘STARDASH’(สตาร์แดช) ไอดอล LGBTQ+ คนแรกของประเทศไทย ที่จะทำให้เราได้เห็นถึงมุมมองที่หลากหลายของคำว่า “ไอดอล”

 

จุดเริ่มต้นการเป็น Idol

“ตัวพินเนอร์เอง เคยได้รับโอกาศจากผู้ใหญ่เป็นไอดอลอยู่ในค่ายๆนึง แต่ในตอนนั้นตัวพินเนอร์เอง ด้วยความที่อายุยังน้อย และการควบคุมอารมณ์ กับปัจจัยอีกหลายๆอย่างที่ทำให้ พินเนอร์เองไม่เป็นตัวเองเท่าไหร่นัก สุดท้ายก็เลยไม่ได้ไปต่อ ทำให้พินเนอร์มีปมในใจว่า ตัวเราเองนั้นยังไม่เคยขึ้นเวทีเลยสักครั้ง แต่ด้วยความฝันและความชอบที่อยากเป็นไอดอล พินเนอร์จึงได้ตัดสินใจทำวงไอดอลขึ้นมา ทำให้เกิดวง STARDASH ขึ้นมา และมีเพลงแรกออกมาในปี 2019 ค่ะ”

 

 

ที่มาของชื่อ ‘STARDASH’(สตาร์แดช)

“คำว่า STARDASH (สตาร์แดช) นะคะ มาจากคำว่า Stardust (สตาร์ดัช) ที่แปลว่า ละอองดาว เปรียบกับคนที่ไล่ตามความฝัน แต่แตกสลายไม่รู้จนกี่ครั้ง แต่ไม่อยากหยุดฝัน พุ่ง DASH ตัวเองออกไปข้างหน้าเพื่อไล่ตามความฝันต่อไป จาก STARDUST จึงกลายมาเป็น STARDASH ค่ะ”

 

Idol ในมุมมองของคุณพินเนอร์นั้นคืออะไร

“คำว่าไอดอล แปลตรงตัวสำหรับคนไทยเลย นั้นคือ บุคคลตัวอย่างค่ะ แต่สำหรับตัวพิณเองนั้นชอบดูการ์ตูนค่ะ เป็นการ์ตูนแนวไอดอล อย่าง Love Live! School Idol ทำให้เรามองว่า ไอดอล คือเหล่าผู้คนที่เปล่งประกาย ที่จะมอบแรงบัลดาลใจ ความฝันให้แก่ผู้อื่นได้ เราจึงอยากเป็นคนหนึ่ง ที่เป็นแรงบัลดาลใจ เป็นความสุข เป็นรอยยิ้ม เป็นเสียงหัวเราะ และสร้างพลังบวกให้กับพวกเขาได้ค่ะ”

 

 

Idol กับ LGBTQ+

“ในมุมมองของพิณเอง มองว่า LGBTQ+ เป็นอะไรที่ปกติมาก ก็เหมือนมนุษย์อย่างเราๆที่มีความหลากหลายไม่ว่าจะทั้ง ความเชื่อ ทั้งนิสัย เพศก็มีความหลากหลายเช่นเดียวกัน พิณจึงมองว่าจะ หญิง หรือ ชาย หรือ LGBTQ+ เองนั้นไม่มีความแตกต่าง หรือต้องแบ่งแยกกันเลยค่ะ เหมือนกับความเป็นไอดอลที่แต่ละวงก็จะมีความชอบ นิสัย แนวเพลงที่แตกต่างกัน ทำให้พิณมองว่า ไม่ว่าคุณจะเป็น ชาย หญิง กระเทย LGBTQ+ หรือไอดอล หรือเพศใด ๆ ก็ตาม ทุกคนก็เป็นมนุษย์เหมือน ๆ กัน มีความรู้สึก รัก โลภ โกรธ หลง เสียใจ ดีใจ ขอให้เอาใจเค้ามาใส่ใจเรา ให้เกียรติกันและกันไม่สร้างความเดือดร้อนก็เพียงพอค่ะ

พิณเป็นไอดอลคนแรกๆเป็น LGBTQ+ ในไทย อย่างญี่ปุ่นที่เป็นต้นกำเนิดไอดอลนั้น วงLGBTQ+ ก็มีมานานแล้วค่ะ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ พิณก็ผ่านอะไรมาหลาย ๆ อย่างเลย แต่รู้สึกดีใจที่ได้ทำตามความฝัน ไม่อยากให้ LGBTQ+ ในไทยมองว่า เป้าหมายของเรามีแค่ เวทีนางงาม เพียงอย่างเดียว อยากให้เห็นว่า เราเป็นได้ทุกอย่างตามที่ความฝันเราอยากจะเป็นไม่ว่าจะเป็น ศิลปิน หรือเป็นไอดอลเองก็ตาม”

 

           

รู้สึกอย่างไรหากมีคนเรียกเราว่าเป็น กะเทย ตุ๊ด สาวสอง

“พิณมองว่า มันเป็นอัตลักษณ์ทางเพศของเราค่ะ จะเรียกว่ากะเทย ตุ๊ด สาวสอง หรืออะไรก็ตาม พิณไม่ได้มองว่า คำเหล่านี้มันกลายเป็นคำดูถูกหรือเหยียดหยาม เราจะเป็นผู้ชายแต่งหญิง กะเทยแต่งหญิง ถ้ามันเป็นความชอบของตัวเราเอง ก็ให้เกียติตัวเองให้เกียติผู้อื่น และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนก็เพียงพอค่ะ”

 

ความเป็นไอดอล ในแบบของตนเอง

“ตัวพิณเอง ก็ไม่ถือว่าเป็นไอดอลตรงตามฉบับที่คนอื่น ๆ คุ้นเคยเท่าไหร่ พิณค่อนข้างจะมีความพูดตรง ๆ หรือบางครั้งก็พูดแรงออกไปบ้าง ภาพลักษณ์เลยอาจจะดูเป็นไอดอลแรง ๆ ซึ้งพิณเองก็ยอมรับว่าในบางครั้งมันก็ไม่ดีหรอก แต่แฟนคลับหลาย ๆ คนก็เข้าใจเราค่ะ เราอยากให้เห็นถึงความหลากหลายของไอดอลเหมือนกัน ว่าเป็นคนที่มีอารมณ์ และความรู้สึกเหมือนกันให้เห็นถึงความหลากหลายของการเป็นไอดอลค่ะ ไม่ได้ติดภาพจำว่าไอดอลต้องเป็น บุคคลที่น่ารักสดใสเพียงอย่างเดียว พิณเองก็มีกลุ่มคนที่ไม่ชอบพิณ โดนพิมพ์คอมเม้นต์แย่ๆใส่อยู่บ่อยครั้ง แต่พิณมองว่า หากเค้าไม่ให้เกียรติเรา เราคงทำอะไรไม่ได้ เพราะสุดท้ายแล้วคนที่ไม่ชอบเรา ทำยังไงเค้าก็ไม่ชอบเราอยู่ดี อยากให้เราใส่ใจตัวเองรักตัวเอง ลงมือทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนดีกว่าค่ะ สร้างความสุข สร้างแรงบัลดาลใจ สร้างความฝัน ให้กับผู้อื่นดีกว่า อย่าเอาคำเหล่านั้นมาด้อยค่าตัวเองเลย ภูมิใจกับความเป็นตัวเองไว้ดีกว่า เพราะก็ไม่รู้ว่า ‘เราจะอยู่กับการไม่ภูมิใจในตัวเองไปทำไม’ ”

 

รูปร่างหน้าตาไม่ดี จะมาเป็นไอดอล ?

“พิณ มองว่าทุกคนสามารถดูดีได้สามารถ สวย หล่อ เท่ น่ารักได้หมดค่ะ แต่การที่เราจะดูดี ก็ขอให้เรานั้นดูดีเพื่อตัวเราเอง สวยเพื่อตัวเราเอง อย่าพยายามสวยเพื่อให้ผู้อื่นมองว่าสวยแต่ตัวเรานั้นเหนื่อยหรือทุกข์ใจ เพราะพิณ เชื่อว่า ความสวยที่เรามอบให้แก่ตนเองนั้น มันหมายถึง การที่เรารักตัวเอง เพราะเรารักตัวเองจึงได้ดูแลตัวเอง อยากให้ทุกคนทำอะไรเพื่อตัวเอง เพราะทุกคนมีชีวิตนี้แค่ครั้งเดียว อายุ 26 ครั้งเดียว 27 ครั้งเดียว เลยอยากให้ทุกคนกล้าที่จะทำอะไรเพื่อตนเอง รักตัวเองให้มากๆ และมีความกล้าที่จะทำความฝันค่ะ”

 

 

หากในอนาคตมี มีวง ไอดอล LGBTQ+ เกิดขึ้นมาในประเทศไทยมากขึ้น

“พิณอยากให้ทุกคนเปิดรับให้มากขึ้นค่ะ ไม่อยากให้ไอดอล จำกัดอยู่แค่เพศใดเพศหนึ่ง  และก็อยากฝากว่า อย่าล้อเล่นกับความฝันของคนอื่น ไม่ว่าจะจากทางบริษัทเอง ไม่อยากให้เปิดรับเพียงเพราะเอากระแสหรือด้านธุรกิจเพียงอย่างเดียว เพราะอย่าลืมว่า ไอดอลก็เป็นมนุษย์ และพวกเขามีความฝัน ความเสียใจ ความดีใจ ความผิดหวัง เหมือนอย่างเราๆ นี่แหละค่ะ หรือทั้งจากผู้ที่อยากเป็นไอดอลเองก็ตาม ไม่อยากให้ทำเล่นๆ เพราะเมื่อได้รับเลือกแล้ว ก็จะมีคนที่ไม่ได้รับเลือกด้วยเช่นกัน อยากให้เต็มที่และเต็มใจที่จะเป็นไอดอล ผู้ที่มอบ แรงบัลดาลใจ ความฝัน ความสุข ความสนุก และรอยยิ้มให้แก่ผู้อื่นค่ะ”

 

 “ขอฝากวง STARDASH วงไอดอลที่จะมอบแรงบัลดาลใจ ความสุข ความสนุก ร้อยยิ้มและเสียงหัวเราะให้แก่ทุกคนด้วยนะคะ เร็วๆนี้ภายในปี 2024 ก็จะมีเพลงใหม่ๆออกมากันด้วย ฝากติดตามกันด้วยนะคะ”

 

IG : pinnerz.stardash
Fackbook : PinNerz STARDASH
TIKTOK : @pinnerz_stardash

Author : MIKA_MIKAZUKI สิริชัย จันทร์เจริญ

related HEALTHY LIFESTYLE

‘เสียงในหัวตอนอ่านหนังสือ’ มีที่มา…ใครกันนะที่พูดกับเรา?

03 ก.ค. 2024

‘เสียงในหัวตอนอ่านหนังสือ’ มีที่มา…ใครกันนะที่พูดกับเรา?

‘ถ้าเสียงที่พูดอยู่ในหัวคือตัวเราเอง แล้วใครกันล่ะที่เป็นคนฟัง ?’เป็นคำถามเชาว์ปัญญาที่ชวนให้ขบคิดอยู่ไม่น้อย กับการที่ใครหลายคนบนโลกนี้สามารถอ่านออกเสียงในใจได้ และแน่นอนว่าในตอนที่เรากำลังอ่านบทความนี้อยู่ เสียงในหัวก็อาจกำลังทำหน้าที่ของมันเช่นกัน‘Subvocalization’ หรือ การอ่านออกเสียงในใจ เป็นมากกว่า ‘การคิด’ แต่เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น ตา ริมฝีปาก ลําคอ ลิ้น เส้นเสียง กล่องเสียง และขากรรไกร เชื่อหรือไม่ว่าในตอนที่เรากำลังอ่านออกเสียง ‘ในใจ’ ตัวเราเองก็ยังคงเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ คล้ายกับตอนที่เปล่งเสียงพูดอย่างไม่รู้ตัวในปี 2004 นักวิทยาศาสตร์จากนาซ่า ได้มีการทดลองติดเซ็นเซอร์ขนาดเล็กไว้ที่อวัยวะต่างๆของอาสาสมัคร เช่น บริเวณใต้คางและลูกกระเดือก พบว่า สมองของอาสาสมัครมีการตอบสนองราวกับว่ากำลังพูดอยู่จริงๆ ถึงแม้จะไม่มีการเปล่งเสียงออกมาเลยก็ตาม โดยการอ่านออกเสียงในใจสามารกระตุ้นสมองส่วน Broca ที่มีส่วนรับผิดชอบเกี่ยวกับการใช้ภาษาทุกรูปแบบให้ทำงานได้การอ่านออกเสียงในใจ คือส่วนหนึ่งในพัฒนาการของเด็กเบธ ไมซิงเกอร์ และ โรเจอร์ เจ. ครอยซ์ รองศาสตราจารย์และอาจารย์สาขาจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยเม็มฟิส กล่าวไว้ว่า ในตอนเด็กเรามักจะเริ่มอ่านหนังสือด้วย ‘การออกเสียง’ เพราะการฟังเสียงของตัวเองสามารถช่วยให้เราทำความเข้าใจข้อความได้ง่ายมากขึ้น เมื่อโตขึ้นมาหน่อย เราอาจเปลี่ยนเป็น ‘การอ่านพึมพํา’ กระซิบ หรือขยับริมฝีปาก แต่พฤติกรรมนี้จะจางหายไปในตอนที่ทักษะด้านการอ่านพัฒนาขึ้น เราจะสามารถอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ ‘ในหัวของตัวเอง’ ได้ และในตอนนั้นเอง คือตอนที่เสียงภายในหัวเข้ามามีบทบาทสำคัญ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการพัฒนาทักษะการอ่าน ที่เด็กๆจะสามารถทำได้ดีในชั้นประถมสี่หรือห้า โดยการเปลี่ยนจากการอ่านออกเสียงเป็นการอ่านในใจนั้น คล้ายกับวิธีที่เด็กพัฒนาทักษะการคิดและการพูดนั่นเองทั้งนี้ เลฟ วีโกสกีนักจิตวิทยาชาวรัสเซีย ได้นิยามพฤติกรรมนี้ว่า ‘การสนทนาส่วนตัว’ เขากล่าวว่าไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้นที่มีพฤติกรรมนี้ แม้แต่ผู้ใหญ่ที่กำลังประกอบเครื่องดูดฝุ่นอันใหม่ บางทีเราอาจได้ยินพวกเขาพึมพํากับตัวเอง ในตอนที่กำลังทําความเข้าใจคําแนะนําในคู่มือดังนั้นเมื่อเด็กๆ กลายเป็นนักคิดที่ดีขึ้น พวกเขาจึงเปลี่ยนไปพูดในหัวแทนที่จะพูดออกมาดังๆ เมื่อเราเป็นนักอ่านที่ดีแล้ว การอ่านออกเสียงในใจจะง่ายยิ่งขึ้น ทั้งยังอาจช่วยให้อ่านได้เร็วขึ้นเพราะไม่จําเป็นต้องพูดออกมา และมีความยืดหยุ่นมากกว่า ช่วยให้เราจดจ่อกับสิ่งที่สําคัญที่สุดได้นั่นเองแล้วเสียงในหัวของเรา คือเสียงของใคร?การได้ยินเสียงตัวเองในหัวนั้นเป็นเรื่องปกติ งานศึกษา Characteristics of inner reading voices โดย Ruvanee P. Vilhauer พบว่าผู้คน4 ใน 5 บอกว่าพวกเขามักจะได้ยินเสียงในหัวตอนอ่านหนังสือในใจ นอกจากนี้เสียงในหัวยังมีหลายประเภทอีกด้วยซึ่งอาจเป็นเสียงพูดปกติของตัวเราเอง หรืออาจเป็นโทนเสียงที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงการศึกษาผู้อ่านที่เป็นผู้ใหญ่ พบว่าเสียงที่ได้ยินในหัวอาจเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตัวเรากําลังอ่าน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อตัวละครในหนังสือกำลังพูดบางอย่างอยู่ เราอาจได้ยินเสียงของตัวละครนั้นในหัวดังนั้นอย่ากังวลไป ถ้าได้ยินเสียงมากมายในหัวตอนที่กำลังดําดิ่งลงไปในหนังสือ มันอาจหมายความได้ว่า คุณกลายเป็นนักอ่านออกเสียงในใจที่มีทักษะแล้ว

ปวดหัว มือชา ปวดไหล่ โรคยอดฮิตของวัยทำงาน

09 พ.ย. 2022

ปวดหัว มือชา ปวดไหล่ โรคยอดฮิตของวัยทำงาน

สมัยนี้วัยทำงาน จะนั่งอยู่แต่ออฟฟิศทั้งวัน ทำงานหนัก แล้วก็ได้โรคกลับมาโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว สุดท้ายก็นำเงินที่เก็บไว้ เสียไปกับค่ารักษาโรค วันนี้เราจะมาแนะนำโรคกระดูกต้นคอทับเส้นประสาท ว่ามีอาการยังไง ต้องรักษาอย่างไร และควรปฏิบัติตัวอย่างไรให้เหมาะสมค่ะ1. ปวดหัว เกิดจากการกดทับเส้นประสาทของกระดูกต้นคอ จะมีการปวดหัวเป็นไมเกรนหนักหัวหรือท้ายทอย หลายคนปวดหัวข้างเดียว ชาที่หัว ยิ่งเวลาที่เครียด จะมีอาการปวดหัวมาก เหมือนจะเอาหัวกระแทกกับผนังบ้าน และมีอาการมึนหัวร่วมอยู่บ่อยๆ ตามหลักแพทย์แผนจีน การอาการปวดหัว หมายถึง พลังเลือดลมขึ้นสู่หัวไม่เพียงพอ หรือที่เรียกว่าชี่ขึ้นหัวไม่ได้ เกิดจากหลอดเลือดที่ต้นคอมีเลือดไหลผ่านได้ไม่สะดวก จะทำให้เกิดอาการมึนหัว หรือปวดหัวได้ โดยเฉพาะเวลาเครียดจัดค่ะ2. มือชา อาการชาจะชาที่แขน หรือปลายนิ้ว ส่วนใหญ่จะเป็นแค่ข้างใดข้างหนึ่ง ถ้าหากชา 2 ข้างอาจจะต้องนึกถึงว่าตัวเองมีโรคเบาหวานหรือเปล่า หรือว่าเป็นพังพืดทับเส้นประสาทหรือไม่ อาการชามือหรือชานิ้วมือเป็นผลมาจากการทับของเส้นประสาทที่ต้นคอ อาจจะเป็นกระดูกส่วนไหนทับเส้นประสาทเส้นที่เท่าไร อาจจะต้องตรวจด้วย x-ray ในแผนปัจจุบันอาจจะให้ยารักษาปลายเส้นประสาทกับคนไข้ เช่น วิตามินบี 12 เป็นต้น3.กล้ามเนื้อบริเวณไหล่หรือต้นคอแข็ง การที่เรานั่งนานๆ เป็นเวลาหลายชั่วโมง โดยไม่ขยับเลย อาจจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณต้นคอมีอาการเกร็งเป็นระยะเวลานานๆ อาจะเกิดพังผืด หรือเป็นไตที่บ่าได้ สังเกตุเวลาไปนวด หมอนวดจะบอกว่า คอ บ่า ไหล แข็งมาก นี้แหละค่ะผลของการที่เราไม่ยืดกล้ามเนื้อหรือขยับกล้ามเนื้อบริเวณนั้น ในทางแพทย์แผนจีนเกิดมาจากเลือดลมเดินไม่ดี ตรงบริเวณคอบ่าไหล่ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณบ่าหรือคอแข็ง และคนไข้จะรู้สึกหนักๆ เหมือนแบกอะไรไว้ และไม่สบายบ่าเอามากๆ คิดแล้วเหมือนหนังผีไทย ที่มีคนนั่งอยู่ที่คอ ยังไงยังงั้น น่ากลัวจริงๆค่ะข้อแนะนำดีๆสำหรับคนที่มีอาการข้างต้น1.การนั่งทำงานในออฟฟิศ หรือนั่งทำอะไรนานๆ ให้ลุกขึ้นมาขยับเนื้อขยับตัวเพื่อให้กล้ามเนื้อได้ทำงาน เช่น ทำงาน 40 – 50 นาที ลุกขึ้นมาหมุนบ่า ขยับหัวไหล่ 10 นาที2. เวลาใช้เมาส์ หรือใช้ดินสอเขียนหนังสือนานๆ ให้ขยับมือ และกำมือบ่อยๆ เพราะจะไม่ทำให้เกิดอาการมือชาได้ง่ายๆ3.เวลาอาบน้ำ ให้เปิดน้ำอุ่นๆ ฝักบัวพ่นน้ำไปบริเวณบ่า เพื่อให้เลือดลมไหลเวียนได้ดีขึ้น และขับความเย็นออกจากร่างกายได้อีกด้วยค่ะ4.ไม่ควรนั่งอยู่ใต้แอร์เย็น หรือแอร์เย็นพัดลงหัว อาจจะทำให้ปวดหัวได้นะคะ5.สามารถดื่มน้ำขิงอุ่นๆทุกเช้า เพื่ออุ่นกระเพาะ และไล่ลมเย็นที่พัดเข้ามาในตัวเรา6.การฝังเข็ม และการครอบแก้ว สามารถช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณต้นคอที่ตึงคลายลงได้ค่ะการครอบแก้วจะช่วยดึงพิษเย็นที่อยู่ในร่างกาย สังเกตได้ว่าจุดไหนปวด จุดนั้นจะดำเป็นพิเศษการฝังเข็ม ช่วยกระตุ้นจุดที่ปวดใต้ผิวหนังชั้นลึก ทำให้คลายตัวได้ดี เลือกวิธีรักษาที่เหมาะกับตัวเอง แต่ถ้าไม่แน่ใจปรึกษากับคุณหมอ เพื่อสุขภาพที่ดีของเรานะคะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

“น้ำตาล” ต้องกินแบบนี้ถึงจะไม่เป็นโรค!

22 ก.ย. 2022

“น้ำตาล” ต้องกินแบบนี้ถึงจะไม่เป็นโรค!

ภาพจาก : siamchemi.comระหว่างที่หูฟังกรีนเวฟ มือไถหน้าฟีดเฟซบุ๊ก ปากก็ดูดชานมไข่มุก ดื่มกาแฟลาเต้ กินเค้กไปด้วยเพลิน ๆ ใช่มั้ยคะ รู้นะ!แหม่…ใครจะไปอดใจไหว ก็อาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลมันอร่อยไปซะทุกอย่างเลยนี่นา…ภาพจาก : board.postjung.comจริง ๆ แล้ว สามารถทานได้ค่ะ แต่ต้องควบคุมปริมาณให้พอดีต่อวัน เพราะว่า “ น้ำตาลคือยาพิษ ” ถ้าทานเข้าไปมากๆจะมีแต่โทษและไม่มีประโยชน์อะไรเลย นอกจากสร้างความสุขชั่วคราวแต่จะทิ้งโรคไว้ในร่างกายของเราตลอดไปค่ะ พูดไปก็คงไม่เห็นภาพ เดี๋ยวจะแจงรายละเอียด “โทษของน้ำตาล” ให้ทราบคร่าว ๆ นะคะ1.น้ำตาลเป็นสารเร่งผิวหนังเหี่ยวย่นและริ้วรอย ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ การรับประทานน้ำตาลมากเกินไปอาจทำให้ผิวเสีย หน้าแก่2.น้ำตาลทำให้อ้วน แน่นอนเรื่องนี้เรารู้กันดีค่ะ เพราะ ร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลที่ได้รับมากเกินความต้องการ ไปสะสมกลายเป็นไขมันนั้นเอง3.น้ำตาลทำให้สมดุลของเลือดเสียไป เป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง รวมทั้งเพิ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดต่าง ๆ ด้วย4.น้ำตาลทำให้กระดูกและฟันไม่แข็งแรง น้ำตาลมีส่วนผสมของซูโครส ถือว่าเป็นอาหารชั้นดีให้กับเหล่าแบคทีเรียที่อยู่ ในช่องปาก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคฟันผุ เหงือกอักเสบ และคราบต่าง ๆ5.น้ำตาลทำให้ร่างกายเซื่องซึม การกินน้ำตาลปริมาณมากเป็นประจำแทนที่จะสดชื่น กลับทำให้กรดอะมิโน ที่ชื่อว่า ทริปโตฟานเข้าสู่สมองมาเกินไป ทำให้เสียสมดุลของฮอร์โมนในสมองมีผลทำให้เกิดอาการเหนื่อย เซื่องซึมได้ภาพจาก : sukkaphap-d.comนี้แค่คร่าว ๆ นะทุกคน…โทษของน้ำตาล เยอะมากจริงๆค่ะแล้วแบบนี้ ต้องห้ามกินน้ำตาลเลยหรอ จะทำไหวมั้ยนะ?ไม่ต้องห่วงค่ะ หากกินน้ำตาลในปริมาณที่พอดี แค่เท่าที่ร่างกายจะนำไปใช้เป็นพลังงานได้ ก็ไม่เกิดอันตรายกับร่างกาย โดยปริมาณที่ควรกินต่อวัน มีดังนี้ค่ะ-เด็ก และ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ควรกินไม่เกิน 16 กรัม หรือ 4 ช้อนชา / วัน-วัยรุ่นหญิงชาย และ วัยทำงาน ควรกินไม่เกิน 24 กรัม หรือ 6 ช้อนชา / วันแต่อย่างไรก็ตาม การไม่กินน้ำตาลเลย หรือกินให้น้อยกว่าปริมาณข้างต้น ก็ถือว่าปลอดภัยที่สุดค่ะเพราะ “น้ำตาลคือยาพิษ” ท่องไว้ให้ขึ้นใจ เพื่อร่างกายที่แข็งแรงของเราค่ะข้อมูลจาก : https://www.vichaiyut.com/th/health/informations/5-โทษของน้ำตาล/ข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณะสุข กรมอนามัย และ กระทรวงสาธารณะสุขข้อมูลจาก : รายการเพื่อนเป็นหมอ

เรื่องสิวสิวจากนมวัว

07 ก.พ. 2024

เรื่องสิวสิวจากนมวัว

ใคร ๆ ก็บอกว่าการดื่มนมทุกวันมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แล้วมันดีต่อสุขภาพจริงไหม ทำไมดื่มแล้วสิวถึงขึ้นล่ะ แล้วนมทำให้สิวขึ้นจริงหรือเปล่า วันนี้เรามาตอบข้อสงสัยกันนมวัวมีประโยชน์จริงหรือเปล่า ?นมวัวมีประโยชน์จริง เพราะอุดมไปด้วยสารยสารอาหารที่มีคุณประโยชน์หลายชนิด หลัก ๆ ก็คือแคลเซียมที่ช่วยดูแลกระดูก และช่วยให้ฟันแข็งแรง มีโพแทสเซียมช่วยป้องกันโรคหัวใจ รวมถึงวิตามินบี แร่ธาตุต่าง ๆ ที่ช่วยป้องกันโรคเบาหวานการดื่มนมวัวทำให้สิวขึ้นจริงเหรอ ?จากการวิจัยของแพทย์ผิวหนังที่ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า “นมวัว” มีส่วนทำให้ผู้ที่เป็นสิวที่เกิดจากฮอร์โมน เป็นสิวเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากกระบวนการในการย่อยนมของร่างกายนั้นจะทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโตขึ้นมา ทำให้ฮอร์โมนที่ทำให้เกิดสิวอย่าง แอนโดรเจน ก็ถูกผลิตขึ้นมาเพิ่มด้วย นอกจากนั้นในนมวัวที่รีดออกมาจากแม่วัวที่เพิ่งคลอดลูก ก็จะมีฮอร์โมนสูง ทำให้เวลาที่คนเราดื่มนมเข้าไป ฮอร์โมนในนมวัวเหล่านี้กลับไปกระตุ้นต่อมไขมันของเราให้ทำงานมากขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการหน้ามัน และเป็นสิวตามมา สำหรับคนที่มีปัญหาสิวฮอร์โมน ควรจะเปลี่ยนมาดื่มนมที่เป็นสารสกัดจากพืชแทน เช่น นมถั่วเหลือง หรือนมข้าว เป็นต้นตอนนี้เราก็ได้รู้แล้วว่าผลข้างเคียงจากนมวัวสามารถทำให้สิวเราขึ้นได้เหมือนกัน แต่เราไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องงดการดื่มนมไปเลย ซึ่งเราสามารถเลี่ยงไปดื่มนมแพะ นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ หรือน้ำนมข้าวแทนได้ เพราะคุณค่าทางสารอาหารมีประโยชน์ วิตามิน ที่สามารถทดแทนนมวัวได้เหมือนกันที่มา https://www.wongnai.com/articles/6-acne-treatment-doubthttps://www.sanook.com/health/31693/Author : DODOMILK

album

0
0.8
1