LUCID DREAM ความฝันที่รู้ตัว

HEALTHY LIFESTYLE

LUCID DREAM ความฝันที่รู้ตัว

28 เม.ย. 2024

วันนี้เราจะมาพูดถึงทฤษฎีนึงที่ที่หลายคนอาจจะรู้จักนั่นก็คือ ลูซิดดรีม (Lucid Dream)

 

ต้องขอถามก่อนว่าทุกคนเคยจำความฝันตัวเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม ? 
เราขอเดาว่ามันอาจจะมีส่วนใหญ่ก็อาจจะพอจำได้แต่คงไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือบางคนอาจจะจำไม่ได้เลย แต่ทุกคนรู้ไหมว่ามีผู้คนบางกลุ่มที่สามารถรู้ว่าตัวเองกำลังฝันหรือควบคุมตัวเองในความฝัน และเมื่อตื่นมาพวกเขาก็สามารถเล่าความฝันของตัวเองเกือบทั้งหมดและนั่นก็คือการฝันแบบ ลูซิดดรีม (Lucid Dream)

 

ลูซิดดรีม (Lucid Dream) ความฝันที่รู้ว่าตัวเองกำลังฝันอยู่และลูซิดดรีมก็ยังสามารถช่วยเราพัฒนาความคิดสร้างด้วยเพราะสามารถ ควบคุมหรือกำหนดเรื่องราวที่เราจะฝันได้ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงภาวะหลับลึกก็คือช่วง REM (Rapid eyes movement) และมักจะไม่ได้รู้ตัวตั้งแต่ต้น แต่จะมารู้ตัวในช่วงกลาง-ปลายของความฝัน โดยทฤษฎีนี้เกิดขึ้นโดยจิตแพทย์ชาวดัตช์ เฟร็ดเดอริก แวน อีเด็น (Frederik Van Eeden) ซึ่งเขาเป็นผู้ที่ศึกษาความฝันในลักษณะนี้เป็นคนแรก หลังจากนั้นก็เริ่มมีนักจิตวิทยาให้ความสนใจและเป็นที่รู้จักมากขึ้นจาดภาพยนตร์ดังอย่าง Inception ที่เอาไอเดียนี้ไปพัฒนาเป็นเรื่องราว

 

อ้างอิงรูปภาพ : https://www.vecteezy.com/vector-art/11263251-man-counting-sheep

 

และด้วยความที่เราสามารถควบคุมความฝันได้ออกแบบเหตุการณ์ต่างๆได้ด้วยตัวเอง จึงทำให้ขณะที่เราฝัน มีการใช้ ‘สมองซีกขวา’ มากขึ้น ซึ่งเป็นสมองส่วนความคิดสร้างสรรค์ ทำให้เราอาจจะได้ไอเดียใหม่ๆ จากความฝัน ไปใช้แก้ปัญหาหรือนำไปใช้กับงานของตัวเองรวมถึงยังช่วยควบคุมอารมณ์ได้อีกด้วยเพราะช่วงเวลาขณะที่หลับ ถือว่าเป็นอะไรที่ควบคุมยากที่สุด ดังนั้นการที่เราสามารถมีสติได้ในขณะที่เราฝัน เราก็จะสามารถควบคุมจิตใจได้ถึงแม้จะเป็นช่วงที่เราโกรธหรือเสียใจจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้

 

นอกจากนี้ ลูซิดดรีมยังช่วยขจัดความกลัวในจิตใจของเราได้อีกด้วย แน่นอนว่าทุกคนต้องมีความกลัวที่ซ่อนอยู่หรือเหตุการณ์ร้ายๆ ที่ฝังใจ แต่ในความฝัน เราสามารถควบคุมความกลัวและอันตรายเหล่านั้นได้ ทำให้ชีวิตจริงเรามีแนวโน้มที่จะกลัวสิ่งนั้นน้อยลง

 

นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญเรื่อง Lucid Dream เดนโฮล์ม แอสปาย (Denholm Aspy) เคยกล่าวไว้ว่า

“บางคนอาจค้นพบพลังวิเศษหรือความสามารถพิเศษขณะที่กำลังฝัน พวกเขาสามารถต่อสู้หรือจัดการกับสิ่งที่มาทำ   ร้ายได้ เช่น บินหนี หรือใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อปลุกตัวเองให้ตื่นจากฝันร้ายนั้น”

 

ความเสี่ยงของ Lucid Dream

Lucid Dream อาจไม่เหมาะกับหลาย ๆ คน เช่นกลุ่มผู้มีจิตเปราะบาง มีความผิดปกติของคลื่นสมอง มีอาการเห็นภาพหลอน (Schizophrenia) หรือหลงผิด (Delusions) อาจยิ่งทำให้ยากต่อการแยกแยะโลกแห่งความจริง และโลกแห่งความฝัน หรือสำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องการนอน ที่ควรให้ความสำคัญกับการนอนหลับลึก นอนให้เต็มอิ่ม ยิ่งฝันให้น้อยยิ่งดี มุ่งเน้นการนอนระดับ N-REM (Non-rapid Eye Movement) ไม่ใช่ REM (Rapid Eye Movement) 

 

อ้างอิงรูปภาพ : https://www.freepik.com/free-vector

 

หากใครอยากลองทำนักวิจัยเขาก็มีวิธีมาให้ทดลองกันแต่ก็อย่าลืมเรื่องความเสี่ยงกันนะต้องดูเรื่องสุขภาพตัวเองกันด้วย

1.นั่งสมาธิก่อนนอนซักประมาณ 20-30 นาที ก่อนนอน เพ่งจิตไปที่การหายใจ มีสติทุกลมหายใจ

2.ลองจดบันทึกความฝัน เพื่อจดจำรายละเอียดความฝันในแต่ละครั้งของเรา

3.ใช้เสียงเพลงมาขับกล่อมขณะหลับ โดยคลื่นความถี่ของเสียงเพลง มีส่วนในการทำให้คลื่นสมองเปลี่ยนไปได้ โดยเป็นเพลง เป็นจังหวะดนตรีที่เรียกว่า ‘binaural beats’ ความถี่ 4 – 8 Hz โดยควบคุมการหายใจให้สอคคล้องกับความถี่   

 

และนี่ก็คือ Lucid dream ความฝันที่รู้ตัว แต่ใดๆก็ตามถึงแม้เราจะสามารถควบคุมความฝันได้ด้วยตัวเองทุกคนอาจจะได้ประสบการณ์ที่น่าประทับใจแต่ก็อย่าลืมตระหนักว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันเป็นเพียงความฝันไม่ใช่ความจริง ทุกอย่างย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ทางเราหวังว่าบทความนี้จะสามารถช่วยให้ผู้อ่านทุกคนได้รับทฤษฎีความรู้ใหม่ๆแล้วนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ไม่มากก็น้อย

 

ที่มา : https://thematter.co/brief/goodsmorning/goodsmorning-1590107400/112552

https://rabbitcare.com/blog/lifestyle/lucid-dream-in-different-context-benefit-and-how-to

https://www.medicalnewstoday.com/articles/323077#definition

https://www.facebook.com/brandthink.me

related HEALTHY LIFESTYLE

5 หนังสือดีที่ทุกคนควรมีโอกาสได้อ่านสักครั้งหนึ่งในชีวิต

13 ม.ค. 2024

5 หนังสือดีที่ทุกคนควรมีโอกาสได้อ่านสักครั้งหนึ่งในชีวิต

อ่านหนังสือวันละนิด เข้าใจชีวิตวันละหน่อย เพราะหนังสือเป็นการสื่อสาร 2 ทางระหว่างผู้เขียนที่ต้องการสื่อสารผ่านตัวหนังสือ และผู้อ่านที่สามารถนำแนวคิดต่าง ๆ ไปปรับใช้ในชีวิตจริง วันนี้เราจึงอยากนำเสนอ 5 หนังสือดีที่ทุกคนควรมีโอกาสได้อ่านสักครั้งหนึ่งในชีวิต1.ไม่ว่าคุณจะคิดอะไร ให้คิดตรงข้าม (Whatever You Think, Think the Opposite)http://news.se-ed.com/?p=13034“ไม่ว่าคุณจะคิดอะไร ให้คิดตรงข้าม” ไม่ได้ความว่าสิ่งที่คุณกำลังคิดอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ผิดแต่หนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณเข้าใจมากขึ้นว่า ทุก ๆ คนก็คิดเหมือนกันและสิ่งที่จะทำให้เราโดดเด่นและสามารถประสบความสำเร็จได้นั้นคือ การคิดที่แตกต่างไปจากเดิม ทำให้คุณได้ลองคิด ได้ลองทำอะไรแปลกใหม่มากขึ้นนั้นเอง2. Super Productivehttp://news.se-ed.com/?p=13034หนังสือที่ถอดความคิดของ “รวิศ หาญอุตสาหะ” ผู้บริหารและเจ้าของพอดแคสต์ Mission the moon และ Super Productive ซึ่งเป็นพอดแคสต์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ที่จะพาคุณไปค้นหาแรงจูงใจในการทำงาน การรู้จักตัวเอง ภาวะหมดไฟแบบปลอม ๆ รวมถึงการรับมือกับคน Toxic ที่ผู้เขียนได้ปฏิบัติและสำเร็จมาแล้ว3. Atomic Habitshttps://www.naiin.com/product/detail/508699หนังสือที่ขายดีระดับโลกที่มียอดขายหลายล้านเล่ม ถูกตีพิมพ์ไปแล้วกว่า 40 ภาษา เป็นหนึ่งใน “New York Times Bestseller” เป็นหนังสือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนิสัย ที่มองว่าการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่สามรถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่โดยการนำหลักการทางวิทยาศาสตร์มาให้ในการอธิบาย หากคุณพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองแต่ยังไม่สำเร็จสักที หนังสือเล่มนี้ช่วยคุณได้อย่างแน่นอน4. Sapiens ประวัติย่อมนุษยชาติhttps://www.fathombookspace.co/product/19082-15734/sapiens-a-brief-history-of-humankindหนังสือที่รวบรวมของมวลมนุษยชาติ Homo Sapiens กว่า 70,000 ปีเอาไว้อย่างย่อ ๆ ให้เราเข้าใจถึงที่มาที่ไปของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็น วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ศาสนา ไปจนถึงการวิวัฒนาการมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้เราในฐานะมนุษย์คนหนึ่งจะเข้าใจชีวิตมากขึ้นว่าเราก็แค่มนุษย์ตัวจิ๋วคนหนึ่งที่ยังมีสิ่งที่เรายังไม่รู้อีกมาก5. อย่าปล่อยให้ใคร ฆ่า วาฬ ของคุณhttps://clubsister.com/lifestyle/5-recommend-books-for-officerอีกหนึ่งหนังสือของเจ้าของพอดแคสต์ Mission to the moon และผู้บริหารที่ทำให้บริษัทศรีจันทร์เครื่องสำอางไทยสู่สากล หนังสือเล่มนี้จำทำให้ไฟฝันของคุณกลับมาลุกโชนอีกครั้ง เมื่อคุณได้อ่านหนังสือเล่มนี้ไปเรื่อย ๆ คุณจะเข้าใจเองว่า “วาฬ” ที่หน้าปกหนังสือนั้นคืออะไร แล้วการประสบความสำเร็จและการเอาชนะคนที่เรารู้สึกว่าเก่งนั้นจะไม่ได้เป็นเรื่องยากอีกต่อไปการอ่านหนังสือ แท้จริงเราคือการเรียนรู้ และเข้าใจในตัวตนของเราผ่านหนังสือที่เราอ่าน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางที่ช่วยพัฒนาทักษะในการดำเนินชีวิตของเรา เพราะการอ่านหนังสือต้องใช้ทั้งสมาธิ และการประมวลผลที่เป็นระบบทำให้เราสามารถผ่อนคลายจากปัญหาที่เราพบเจอมาในแต่ละวันได้ อีกทั้งการอ่านหนังสือยังไปกระตุ้นการทำงานของสมอง ที่ชะลอและป้องกันการเป็นโรคอัลไซเมอร์อีกด้วยAuthor : NUTTANON.S

เตรียมร่างกายให้ฟิต รับหน้าฝน

02 ส.ค. 2023

เตรียมร่างกายให้ฟิต รับหน้าฝน

แค่อยากจะรู้ว่าตรงที่เธอยืนนั้นมีฝนตกไหม สบายดีไหม... ~~ อ๊ะ ๆ ไม่ได้เศร้าอะไรนะทุกคนน ก็แหม ช่วงนี้พี่ฝนเขาแวะทักทายบ่อยซะเหลือเกิน โดยเฉพาะช่วงจะเลิกงานเนี่ย ละพอโดนฝนทีไร เดี๋ยวหวัดเอย น้ำมูกเอยทักหาทุ๊กกกกที ฮัดชิ้วว!!นอกจากอุปกรณ์กันฝนต่าง ๆ ที่ต้องเตรียม อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ การเตรียมร่างกายของเราให้พร้อมนั่นเอง เพราะถ้า ร่างกายเราแข็งแรง ไม่ว่าจะฝนตกหรือแดดออก ก็ไม่หวั่น! วันนี้กรีนเวฟ เลยมีทริคดูแลตัวเองให้พร้อมรับมือกับหน้าฝนมาทุกคนกัน ใครอยากมีร่างกายฟิตรับหน้าฝนตามไปดูกันเลย ! !ภูมิคุ้มกันภูมิคุ้มกันเป็นสิ่งที่เราต้องเตรียมให้พร้อมเป็นอย่างแรกและเป็นอย่างสำคัญ เพราะถ้าภูมิคุ้มกันเราแข็งแรงไม่ว่าจะฤดูไหน เราก็พร้อมจะรับมือ โดยคนเราเนี่ยจะมีภูมิคุ้มกันมาตั้งแต่เกิด แต่มันก็จะลดลงได้ถ้าไม่ดูแล หรือเสริมภูมิคุ้มกันอยู่เสมอภูมิคุ้มกันเนี่ย เขาก็มีชื่อเรียกเหมือนกันน้า จะมีทั้งหมด 2 ระบบ (หรือ 2 ชื่อนั่นเอง)Innate Immunity ภูมิคุ้มกันตั้วนี้ เป็นภูมิคุ้มกันครอบจักรวาล ก็คือ ว่าจะเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียอะไรที่ไม่รู้จัก เจ้าภูมิคุ้มกันตัวนี้ก็จะสามารถกำจัดได้ทั้งหมด!Adaptive Immunity ภูมิคุ้มกันตัวนี้เป็นภูมิคุ้มกันแบบจดจำ ก็คือมันจะต้องเจอเชื้อก่อนสักหนึ่งครั้ง พอมันเจอเชื้อและจำได้ หลังจากนั้นมันถึงจะต่อสู้กับเชื้อนั้นได้ เช่น ตอนที่เราฉีดวัคซีน เราต้องฉีดเข้าไปก่อนให้ร่างกายเราเจอเชื้อสักนิดนึง ให้ร่างกายจดสักหน่อยนึง ที่นี้ พอครั้งต่อไปร่างกายเราจำได้ พอเจอเชื้อนี้ปุ๊บก็จะสามารถสู้ได้ปั๊บสิ่งที่เราต้องเผชิญกับทุกวันนี้ มีทั้งสิ่งที่ร่างกายเราไม่เคยรู้จักมาก่อน อย่างเช่น Covid – 19 และ P.M 2.5 ซึ่งสิ่งเรานี้พอมันเกิดขึ้น หรือมีขึ้นมาแล้ว ร่างกายเราก็ต้องการภูมิคุ้มกันเพื่อไปจัดการเหมือนกัน หรืออีกหนึ่งที่หลาย ๆ คนไม่อยากเจอ ก็คือ มะเร็ง ทั้งหมดนี้ เราต้องการภูมิคุ้มกันเข้าไปจัดการทั้งสิ้นทำยังไงให้ภูมิคุ้มกันเพิ่มมากขึ้นจริง ๆ การเพิ่มภูมิกันให้สูงขึ้นมีหลากหลายวิธีมาก แต่สิ่งหนึ่งที่หลาย ๆ คนรู้จักกันดีก็คือ การออกกำลังกายซึ่งมีงานวิจัยที่เปรียบเทียบ ระหว่างคนที่เดินเฉย ๆ กับกับคนที่ออกกำลังกาย 20 นาที 3 วันติดกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ภูมิคุ้มกันแตกต่างกัน 2 เท่าแต่ถ้าเราออกกำลังกายหนักจนเกินไป ก็คือหัวใจจะเต้นเร็ว 180 – 190 ครั้ง / นาที หรือ อยู่ในประมาณ โซน 5 ต่อเนื่องนานเกิน 1 ชั่วโมง ทำให้มีโอกาสเป็นหวัดมากกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายเลย 6 เท่าการนอนอีกสิ่งหนึ่งที่จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของเราให้สูงขึ้น ก็คือในเรื่องของการนอน แหม! มาถึงข้อนี้หลายคนจะเป็นกังวล บางคนเลิกงานดึก บางคนนอนไม่หลับ แต่อย่างน้อย ๆ ควรนอนให้ได้ 6- 8 ชั่วโมง แต่ถ้าช่วงเวลาที่ดีในการการนอนแนะนำเป็นก่อน 5 ทุ่ม เพราะ NK CELL หรือ เซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทหารที่แกร่งที่สุดในร่างกาย เป็นด่านหน้าในการต่อสู้กับสิ่งที่แปลกปลอม ไม่ว่าจะที่รู้จัก หรือไม่รู้จัก NK Cell สามารถกำจัดได้หมด ซึ่งมันจะมาต่อเมื่อเรานอนก่อน 5 ทุ่มพอบอกว่า ถ้านอนก่อน 5 ทุ่ม ถึงจะมี NK Cell หลาย ๆ คนอาจจะถอดใจ หรือรู้สึกท้อ เพราะนอนหลัง 5 ทุ่มมาโดยตลอด แต่ไม่ต้องห่วงนะทุกคน เพราะ แค่เราหันมานอนเร็วแค่ 1 วัน NK Cell จะขึ้นกลับมาเป็นตัวเดิมได้แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ นอนเร็วแค่วันเดียวน้า อย่าลืมต้องทำอย่างสม่ำเสมอด้วยนะทุกคนนการกินที่ทำร้ายภูมิคุ้มกันนอกการดูแลตัวเองทั้งในด้านออกกำลังกาย และการนอนแล้ว อีกสิ่งหนึ่งคือการกิน การกินหรือสิ่งที่เข้าปากเราสำคัญมากเหมือนกัน หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่รู้ว่าน้ำตาล ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำลายภูมิคุ้มกันของเรา เพราะฉะนั้นควรหลีกเลี่ยง อีกสิ่งหนึ่งก็คือสิ่งที่เป็นกรด อย่างเช่น คนที่ชอบกินเนื้อสัตว์ใหญ่เยอะ ๆ พวกเนื้อวัว เนื้อแดง ที่มีค่า PH 6-7 อันนี้ก็จะสามารถทำร้ายภูมิคุ้มกันได้เหมือนกัน ส่วนสารอาหารที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันได้ ก็จะเป็นพวก วิตามิน C, D และ Zinc ที่จะมาช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง หรืออาจจะเป็นพวก Whole Grain ธัญพืช ข้าวโอ๊ต ผักใบเขียว เจ้าพวกนี้ก็สามารถช่วยเสริมภูมิของเราได้เหมือนกันบอกเลยว่าภูมิคุ้มกันของร่างกายเราสำคัญที่สุด ถ้าอยากร่างกายฟิตก็ต้องดูแลภูมิคุ้มกันให้ดี เพราะไม่ว่าจะไวรัสอะไรเข้ามา Covid-19 หรือ แม้แต่กระทั่งเซลล์ร่างกาย กลายพันธุ์เป็นมะเร็ง ภูมิคุ้มกันที่ดีก็จะสามารถจัดการได้ ลองทำตาม หรือปรับกันไปทีละข้อ เชื่อว่าภูมิคุ้มกันจะดีขึ้นแน่นอน ^^

นอนน้อยแต่นอนนะ ระวังเสี่ยงโรคมะเร็ง

30 พ.ค. 2023

นอนน้อยแต่นอนนะ ระวังเสี่ยงโรคมะเร็ง

อย่างที่เรารู้กันว่าการนอนน้อย หรือ นอนดึก จะส่งผลให้ร่างกายของเราต้องเผชิญกับโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคสมองเสื่อม โรคอัลไซเมอร์ และอาจจะรวมถึงปัญหาสุขภาพต่าง ๆ อีกมากมายทั้ง อารมณ์แปรปรวน ขี้หลงขี้ลืม น้ำหนักขึ้นไว แก่ก่อนวัย ไม่มีสมาธิ แต่จริง ๆ แล้ว ความร้ายกาจของการนอนน้อย หรือการนอนดึก อาจจะทำให้เราเสี่ยงในเรื่องของมะเร็งเพิ่มขึ้นอีกด้วย แต่ว่าจะต้องนอนน้อยแค่ไหน หรือนอนมานานเท่าไหร่ถึงเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ วันนี้กรีนเวฟจะพาไปหาคำตอบด้วยกันต้องนอนดึกมานานแค่ไหนถึงเสี่ยงโรคร้ายจริง ๆ คงต้องบอกว่าไม่มีตัวเลขที่ตายตัว เพราะปัจจัยในการเกิดโรคของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และจะไม่มีการบอกว่านอนดึกมานานกี่ปีถึงจะเกิดโรคอะไร ขึ้นอยู่กับการปรับตัวแต่ละคน บางคนนอนดึกเป็น 10 ปี ก็ไม่เป็นอะไรก็มี แต่โดยมากการนอนดึกต่อเนื่อง 6 เดือน – 1 ปี ระดับโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ก็จะเริ่มร่วงลง เมื่อฮอร์โมนลดลงการเกิดโรคต่าง ๆ ของแต่ละคนก็จะไม่เหมือนกันละ เพราะปัจจัยแต่ละโรคมันไม่ได้ขึ้นอยู่แต่แค่การนอนอย่างเดียวGrowth Hormone คืออะไรโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) เป็นฮอร์โมนสำคัญสำหรับการเจริญเติบโต มีหน้าที่สำคัญทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยมีบทบาทที่แตกต่างกันในเด็ก โกรทฮอร์โมนทำหน้าที่สร้างความเจริญเติบโตให้เด็ก มีส่วนช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อและกระดูก หากเด็กคนไหนขาดฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้รูปร่างเตี้ย ตัวเล็ก ไม่มีกล้ามเนื้อ อาจมีภาวะอ้วนจากการสะสมไขมันที่ลำตัวมากในผู้ใหญ่ กรทฮอร์โมนทำหน้าที่สำคัญหลายอย่าง เช่น ช่วยกระบวนการซ่อมแซมร่างกาย ช่วยเพิ่มมวลและความสามารถของกล้ามเนื้อ ควบคุมการเผาผลาญพลังงาน ช่วยลดการสะสมของไขมัน ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยในการฟื้นตัวจากการบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วย ชะลอความแก่ชรา แต่ถ้าใครมีโกรทฮอร์โมนที่น้อยกว่าปกติเมื่อเทียบกับคนในวัยเดียวกันจะทำให้คนๆ นั้นมีความเสี่ยงการเป็นโรคอัลไซเมอร์ โรคพากินสันหรือโรคทางด้านหัวใจและเส้นเลือดผิดปกติได้ นอกจากนั้นยังทำให้ผิวพรรณเหี่ยวย่น ไม่เต่งตึง ใบหน้าหย่อนคล้อยดูเหมือนแก่กว่าวัย ดังนั้นการที่มีโกรทฮอร์โมนในระดับที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อลดความเสี่ยงการเป็นโรคและชะลอการแก่ก่อนวัยอันควรโดยการเพิ่มโกรทฮอร์โมนสามารถทำได้หลายวิธี และ 1 ในนั้น คือเรื่องของการนอน ควรนอนไม่เกิน 4 ทุ่ม เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายจะสามารถผลิตโกรทฮอร์โมนได้มากที่สุด โดยปกติโกรทฮอร์โมนจะหลั่งช่วง 5 ทุ่ม - ตี 2 และควรนอนไม่ต่ำกว่า 7-8 ชั่วโมงต่อคืนนอนน้อยเสี่ยงโรคมะเร็ง ?ได้มีการศึกษาและวิจัยว่าในคน 1,240 คน พบว่ามีคนที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงถึง 47% จะมีอาการของมะเร็งลำไส้ มากกว่าคนที่นอนหลับอย่างน้อย 7 ชม.ขึ้นไปนอกจากมีความเสี่ยงในเรื่องของมะเร็งลำไส้แล้วยังมีความเสี่ยงในเรื่องของการเกิดฝ้าได้อีกด้วยเวลาที่เรานอน ฮอร์โมนของเราจะถูกสร้างให้รู้สึกผ่อนคลายและมีการสร้างของเม็ดสีที่มันเป็นไม่คล้ำ แต่ถ้าเกิดว่าเรานอนดึกจนเกินไป สมองแทนที่มันจะถูกพักและสร้างเม็ดสีที่ดี มันจะเปลี่ยนเป็นกระตุ้นเม็ดสีดำ ขึ้นมาเยอะแทน มันจะไปกระตุ้นฮอร์โมนชื่อ melanocyte stimulating hormone เรียกย่อว่า MSH ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระกระตุ้นในการสร้างเม็ดสีดำ และก็อาจจะทำให้ ยิ่งนอนน้อยยิ่งมีรอยเหี่ยวย่นเยอะ และก็ฝ้าเยอะได้พยายามนอนเร็วแล้ว แต่เป็นคนนอนหลับยากทำยังไงดีก่อนที่จะนอนถ้ากินมื้อเย็นหรือมื้อใหญ่ เช่นบุฟเฟ่ต์ก่อนหน้าที่จะเข้านอน 3 ชั่วโมงจะทำให้หลับยากยิ่งขึ้น เพราะเวลาที่เรากินมื้อเย็นเป็นมื้อใหญ่ หรือกินบุฟเฟ่ต์ในปริมาณที่เยอะ จะยิ่งไปกระตุ้น ให้ร่างกายหลั่ง Cortisol ออกมามากยิ่งขึ้น (Cortisol ฮอร์โมนความเครียด) เมื่อร่างการมีหลั่ง Cortisol ออกมามากยิ่งขึ้น ก็จะทำให้เข้าสู่วงจรการนอนหลับได้ยากขึ้นห่างแสงสีฟ้าอย่างต่ำ 2 เมตร เพราะคลื่นทำงานของมือถือ เค้าจะรบกวน การทำงานของสมองได้ กว่าที่ร่างกายจะสั่งให้หลับ มันจะมีการสร้างตัวสั่งให้หลับชื่อฮอร์โมนว่า Melatonin โดย Melatonin จะออกมาตอนที่ทุกอย่างมืด เพราะฉะนั้นเวลาที่เราเปิดไฟ ก็จะทำให้ melatonin มันไม่ออกมา แต่ตัวที่หนักกว่าไหที่เราเปิดคือแสงสีฟ้า หรือเรียกว่า Blue Light ซึ่งมันจะยับยั้งการหลั่ง melatonin ได้มากกว่า เพราะฉะนั้นเวลาที่เราหลับไปแล้ว แล้วดูแสงสีฟ้าขึ้นมา มันก็จะยิ่งทำให้กระตุ้นร่างกาย ทำให้ตัวสั่งหลับมันไม่ออกมามากยิ่งขึ้น เราก็จะนอนยากออกกำลังกายก่อนนอนบางคนคิดว่าทำให้ตัวเองเหนื่อยแล้วจะยิ่งนอนหลับได้ดี แต่จริง ๆ แล้วสำหรับคนที่ Sensitive ในเรื่องของการนอน จะแนะนำให้ออกกำลังกายก่อน 6 โมงเย็น เพราะว่าเวลาที่ออกกำลังกายแล้วเนี่ยมันจะมี Adrenaline Epinephrine หลั่ง ซึ่งพวกนี้เป็นสารของคาวม Active และความสดชื่น ทำให้ร่างกายตื่น เพราะฉะนั้นพอเราไปเข้านอน มันก็ยังคงความสดชื่นอยู่ เลยทำให้หลับยากชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ก็สามารถไปกระตุ้นในเรื่องของการนอนได้เหมือนกัน โดยปกติคาเฟอีนใช้เวลาขับออกจากร่างกายประมาณ 6-8 ชั่วโมง สมมุติถ้าเราจะนอนตอน 3 ทุ่ม สำหรับคนทั่วไป ถ้ากินเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนไปช่วงบ่าย 3 กว่าจะเข้านอนเค้าก็สามารถระบายคาเฟอีกออกจากร่างกายได้หมด แต่สำหรับคนที่ Sensitive หากกินเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในช่วบ่าย 3 เหมือนกัน ร่างกายอาจจะระบายออกมาไม่ทัน อาจจะต้องขยับเวลามากินช่วงก่อนเที่ยงเลยด้วยซ้ำแต่หากใครอยากดื่มชาก่อนนอน เราก็ขอแนะนำเป็นชาคาโมมายล์เท่านั้น เพราะเป็นชาตัวเดียวเท่านั้นที่ช่วยเรื่องการนอนหลับได้ดีเป็นอย่างไรกันบ้างคะกับสาระความรู้เกี่ยวกับเรื่องการนอนหลับที่เอามาฝากกันวันนี้ อย่าลืมว่านอกจากจะดูแลตัวเองเรื่องของการกินและการออกกำลังกายแล้ว สุขภาพการนอนที่ดีก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เราร่างกายเราแข็งแรงได้เช่นเดียวกัน

Omega Verse หรือ ABO Verse คืออะไร ?

21 ส.ค. 2024

Omega Verse หรือ ABO Verse คืออะไร ?

ในช่วงนี้จะเห็นได้ว่ามีการทำคอนเทนต์ต่าง ๆ โดยมีการใช้คำว่า Alpha, Beta หรือ Omega ทุกคนอาจสงสัยว่าคำพวกนี้มาจากไหนหรือเป็นอาการยังไง วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกัน ว่าโลกของ Omega Verse มีอะไรบ้าง!Omega Verse คืออะไร ?Omega Verse เป็นแนวเรื่องจักรวาลโลกสมมุติที่ได้รับความนิยมในแวดวงแฟนฟิคชั่นและนิยายแนวโรแมนติก-เหนือธรรมชาติ มีการแบ่งแยกชนชั้นอย่างชัดเจน ในจักรวาลนี้ตัวละครจะถูกแบ่งออกเป็นสามประเภทหลัก ๆ คือ Alpha, Beta และ Omega โดยแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและบทบาทเฉพาะแตกต่างกันไป1. Alpha (A)อัลฟ่า เป็นกลุ่มตัวละครที่มีลักษณะเป็นผู้นำ เป็นชนชั้นที่มีอำนาที่สุดในจักรวาลนี้ มักมีบุคลิกที่แข็งแกร่งและมีความสามารถในการปกครองและปกป้อง ตัวละครที่เป็นอัลฟ่าจะมีพลังที่แข็งแกร่งและมักเป็นฝ่ายที่มีอำนาจในความสัมพันธ์ มีบทบาทในการดูแลและปกป้องดูแลโอเมก้า2. Beta (B)เบต้า เป็นกลุ่มตัวละครที่มีลักษณะธรรมดาในจักรวาล เป็นชนชั้นกลางหรือชนชั้นทั่วไปและมีสัดส่วนมากที่สุด ไม่มีคุณสมบัติพิเศษเหมือนอัลฟ่าหรือโอเมก้า และมักมีบทบาทเป็นตัวละครสนับสนุนในเรื่องราวต่าง ๆ3. Omega (O)โอเมก้า เป็นกลุ่มตัวละครที่โดยส่วนมากมีความอ่อนโยนและถูกมองว่าเป็นฝ่ายที่ต้องการการปกป้อง เป็นชนชั้นที่มีอำนาจน้อยที่สุด โดยส่วนมากจะถูกกดทับจากชนชั้นอื่น ๆ ลักษณะเฉพาะของ Omega Verseกลุ่มจักรวาลประเภทนี้จะมีพฤติกรรมที่คล้ายกับสัตว์ในโลกของเรานั่นเอง1.Pheromone หรือ ฟีโรโมน ในจักวาลนี้อัลฟ่าและโอเมก้ามีกลิ่นติดตัวที่เรียกว่า ฟีโรโมนอยู่ซึ่งกลิ่นจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล2.Soulmate หรือคู่ชีวิต คือการที่อัลฟ่าและโอเมก้าเกิดการจับคู่กันตั้งแต่แรกเจอ เป็นสิ่งที่หากันเจอยากมาก โดยหากเจอกันจะสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าคนนี้คือโซลเมทของกันและกัน โดยทั้งสองฝ่ายจะได้กลิ่นของกันและกันอย่างรุนแรงและแสดงอาการฮีทหรือรัทขึ้นมา3.Heat หรือการฮีท คือการที่โอเมก้ามีอาการอยากผสมพันธุ์ และปล่อยกลิ่นฟีโรโมนออกมาอย่างรุนแรงเพื่อดึงดูดอัลฟ่าที่อยู่ใกล้ ๆ ให้มามีเพศสัมพันธ์ด้วย อาจเกิดจากการที่ได้กลิ่นของโซลเมทหรือเจอฟีโรโมนของอัลฟ่าที่ปล่อยออกมา4.Rut หรือการรัท คือการที่อัลฟ่าเกิดความรู้สึกอยากผสมพันธ์อาจเกิดจากการได้กลิ่นฟีโรโมนในช่วงฮีทของโอเมก้า หรือถึงช่วงฤดูผสมพันธุ์ของตนเอง ฟีโรโมนที่ถูกปล่อยออกมาช่วงนี้สามารถกระตุ้นให้โอเมก้าฮีทได้5.Bond หรือการผูกพันธะ เกิดได้จากการที่อัลฟ่านั้นกัดเข้าที่หลังคอโอเมก้า ถือเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของและอำนาจเหนือโอเมก้าของอัลฟ่า เพื่อให้อีกฝ่ายไม่สามารถมีความสัมพันธ์ทางกายกับคนอื่นที่ไม่ใช่ตนได้6.Nesting หรือการทำรัง เกิดจากการที่โอเมก้าที่มีครรภ์มีอาการติดกลิ่นคู่ของตัวเอง และรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อห่างกัน จึงใช้เสื้อผ้าหรือสิ่งของที่มีกลิ่นอีกฝ่ายติดอยู่มากองรอบตัวหรือ ‘สร้างรัง’ เพื่อให้ถูกโอบล้อมด้วยกลิ่นของคู่ เป็นการเพิ่มความรู้สึกปลอดภัยให้ตนเองของโอเมก้ามีครรภ์ทั้งนี้ทั้งนั้นการใช้จักรวาล Omega Verse มาสร้างบทหรือพล็อตสามารถสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงลึกในเรื่องของการกดขี่หรือการมีชนชั้นวรรณะในสังคมได้เป็นอย่างดี ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก ต้องใช้ความระมัดระวังในการเขียน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังสามารถเพิ่มความสนุกให้กับบทได้อีกด้วยAuthor : Warissแหล่งข้อมูล :https://aboth-info.wixsite.com/whatisabohttps://www.phoenixnext.com/guild/omegaversehttps://urbancreature.co/omegaverse-problematic-world/

album

0
0.8
1