5 โรค ที่ทำให้คุณง่วงกลางวัน กลางคืนก็นอนไม่หลับ

HEALTHY LIFESTYLE

5 โรค ที่ทำให้คุณง่วงกลางวัน กลางคืนก็นอนไม่หลับ

24 ม.ค. 2022

หลายๆ คน โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศ หรือนักเรียนนักศึกษา รวมถึงแอดก็ชอบมีอาการแบบนี้ประจำ จะชอบง่วงมากเวลาบ่าย เริ่มตาปรือ สัปหงก หรือบางทีก็ต้องลุกไปชงกาแฟดื่มแก้ง่วง ดื่มกาแฟและกลางคืนก็นอนไม่ค่อยจะหลับ ถ้านานๆทีง่วงทีก็พอจะเข้าใจได้ แต่ถ้าง่วงมันทุกวัน ต้องลองเช็คสุขภาพแล้วนะคะ เพราะคุณอาจกำลังเป็นโรคบางอย่างหรือเปล่า วันนี้จะมาเล่าให้ฟังว่า โรคอะไรชอบง่วงกลางวัน

1. โรคนอนไม่หลับ

หลายต่อหลายคน เพราะกลางคืนนอนไม่หลับ ก็เลยง่วง ลองสังเกตตัวเองดูนะคะว่าที่นอนไม่หลับ หรือนอนดึกมากๆเพราะทำงานหนัก งานเยอะ ตี1 ตี2 ยังนอนไม่หลับ หรือเครียดจนนอนไม่หลับหรือเปล่า ถึงทำให้วันต่อมาง่วงนอนจัด บางครั้งก็อยากจะงีบ พองีบ กลางคืนนอนไม่หลับซะงั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ควรคลายเครียด ลดการทำงานในตอนกลางคืน แพทย์แผนจีนแนะนำ พุทราจีน เก๊กฮวย ช่วยบำรุงเลือด เพราะถ้าหากนอนไม่พอ เลือดจะพร่อง เก๊กฮวยจะช่วยลดอาการร้อนในจากการนอนไม่หลับเป็นเวลานานๆได้ค่ะ

2. โรคอ่อนเพลีย ล้าเรื้อรัง

คนไข้อาจจะมีโรคนอนไม่หลับด้วย ซึ่งก็หมายถึงการนอนไม่หลับติดต่อกันเป็นระยะเวลายาวนาน และเมื่อร่างกายสะสมความอ่อนเพลียหนักขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังอาจมีสาเหตุจากการบริโภคอาหารประเภทแป้ง และน้ำตาลมากเกินไป จนส่งผลให้มีอาการเพลีย ล้า ง่วงนอน ความจำไม่ค่อยดี ปวดหัวเป็นประจำ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบ่อยๆ และหลับไม่สนิท นอนเท่าไรก็ไม่พอ อาการเหล่านี้กลุ่มวัยทำงานมีความเสี่ยงสูงที่สุด แพทย์แผนจีนแนะนำ โสม จะช่วยเสริมภูมิเพิ่มพลังให้กับร่างกาย และยังช่วยเรื่องนอนหลับด้วยนะคะ 

3. โรคเบาหวาน

โรคเบาหวานก็ทำให้อ่อนเพลียเรื้อรังได้ เพราะเลือดมีปริมาณน้ำตาลสูง และอาการง่วงนอนเป็นสัญญาณแรกๆ ที่แสดง หรือเตือนให้ร่างกายทราบว่ากำลังอยู่ในภาวะน้ำตาลในเลือดสูง นำไปสู่โรคเบาหวานได้ในอนาคต การบริโภคแป้ง และน้ำตาลจำนวนมาก ทำให้เกิดอาการง่วงนอนได้ สามารถลดเบาหวานด้วย มะระขี้นก โสม 

4. โรคลมหลับ ง่วงกลางวัน ค้างกลางคืน

ง่วงนอนมากในตอนกลางวัน แต่ตอนกลางคืนกลับตาใสแป๋ว และนอนไม่หลับ หรือชอบหลับไม่สนิท ซึ่งทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลงเรื่อยๆ ถ้าเป็นเด็ก การพัฒนาการสมองจะช้า เรียนไม่เก่ง หรือถ้าเป็นผู้ใหญ่ ก็อาจมีประสิทธิภาพในการทำงานลดลง หรือแม้กระทั่งเป็นอันตรายต่อการใช้ชีวิตด้วย เช่น ง่วงระหว่างขับรถ หรือใช้เครื่องจักรกลต่างๆ นอกจากนี้ยังส่งผลถึงสุขภาพจิตที่อาจกลายเป็นคนหงุดหงิดง่าย จากการพักผ่อนไม่เพียงพออีกด้วย แพทย์แผนจีนจะช่วยบำรุงด้วย ปั๊กคี้ โสม ตังกุย แป๊ะตุ๊ก ฟกเหล็ง เป็นต้น

 5. โรคโลหิตจาง

ผู้หญิงจะมีโอกาสเป็นโรคโลหิตจางได้ง่าย เพราะสูญเสียเลือดจากการมีประจำเดือน สาเหตุอาจมาจากการได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ไม่เพียงพอ (จากดัชนีชี้วัดผู้หญิงเลือกกินมากกว่า) ส่วนสาเหตุอื่น ยังมาจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ จึงรู้สึกอ่อนเพลีย หน้ามืดบ่อย เหนื่อยง่าย เชื่องช้า เซื่องซึม ไม่สดใส จึงทำให้รู้สึกง่วงนอนบ่อยๆ นั่นเอง แพทย์แผนจีนแนะนำ ตังกุย เส็กตี่ โสม และสมุนไพรที่ช่วยบำรุงเลือด

 

     5 โรคที่ทำให้เราอ่อนเพลีย แต่ละโรคไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยนะคะ ทางที่ดี ลองปรับชีวิตให้เป็นปกติแบบแพทย์แผนจีน นอนให้เร็ว ตื่นให้เช้า หรือหากนอนไม่หลับลองเลี่ยงพฤติกรรมที่สงผลต่อการนอนหลับ หรือกินอาหารที่ช่วยนอนหลับข้างต้นที่แพทย์แผนจีนแนะนำ เพื่อให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น หรือกดจุดช่วยอาการนอนไม่หลับ ก็เป็นอีกทางเลือกนึงค่ะ

นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ส่วนเรื่องพักใจ ยกให้ Green Wave เสิร์ฟ เพลงดีดีกับความรู้สึกดีดีให้คุณเองค่ะ ^^


ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ  Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็ม

Collector by รุ่งโนรี ’Girl Music & Travel Lover

related HEALTHY LIFESTYLE

นอนน้อยแต่นอนนะ ระวังเสี่ยงโรคมะเร็ง

30 พ.ค. 2023

นอนน้อยแต่นอนนะ ระวังเสี่ยงโรคมะเร็ง

อย่างที่เรารู้กันว่าการนอนน้อย หรือ นอนดึก จะส่งผลให้ร่างกายของเราต้องเผชิญกับโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคสมองเสื่อม โรคอัลไซเมอร์ และอาจจะรวมถึงปัญหาสุขภาพต่าง ๆ อีกมากมายทั้ง อารมณ์แปรปรวน ขี้หลงขี้ลืม น้ำหนักขึ้นไว แก่ก่อนวัย ไม่มีสมาธิ แต่จริง ๆ แล้ว ความร้ายกาจของการนอนน้อย หรือการนอนดึก อาจจะทำให้เราเสี่ยงในเรื่องของมะเร็งเพิ่มขึ้นอีกด้วย แต่ว่าจะต้องนอนน้อยแค่ไหน หรือนอนมานานเท่าไหร่ถึงเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ วันนี้กรีนเวฟจะพาไปหาคำตอบด้วยกันต้องนอนดึกมานานแค่ไหนถึงเสี่ยงโรคร้ายจริง ๆ คงต้องบอกว่าไม่มีตัวเลขที่ตายตัว เพราะปัจจัยในการเกิดโรคของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และจะไม่มีการบอกว่านอนดึกมานานกี่ปีถึงจะเกิดโรคอะไร ขึ้นอยู่กับการปรับตัวแต่ละคน บางคนนอนดึกเป็น 10 ปี ก็ไม่เป็นอะไรก็มี แต่โดยมากการนอนดึกต่อเนื่อง 6 เดือน – 1 ปี ระดับโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ก็จะเริ่มร่วงลง เมื่อฮอร์โมนลดลงการเกิดโรคต่าง ๆ ของแต่ละคนก็จะไม่เหมือนกันละ เพราะปัจจัยแต่ละโรคมันไม่ได้ขึ้นอยู่แต่แค่การนอนอย่างเดียวGrowth Hormone คืออะไรโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) เป็นฮอร์โมนสำคัญสำหรับการเจริญเติบโต มีหน้าที่สำคัญทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยมีบทบาทที่แตกต่างกันในเด็ก โกรทฮอร์โมนทำหน้าที่สร้างความเจริญเติบโตให้เด็ก มีส่วนช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อและกระดูก หากเด็กคนไหนขาดฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้รูปร่างเตี้ย ตัวเล็ก ไม่มีกล้ามเนื้อ อาจมีภาวะอ้วนจากการสะสมไขมันที่ลำตัวมากในผู้ใหญ่ กรทฮอร์โมนทำหน้าที่สำคัญหลายอย่าง เช่น ช่วยกระบวนการซ่อมแซมร่างกาย ช่วยเพิ่มมวลและความสามารถของกล้ามเนื้อ ควบคุมการเผาผลาญพลังงาน ช่วยลดการสะสมของไขมัน ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยในการฟื้นตัวจากการบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วย ชะลอความแก่ชรา แต่ถ้าใครมีโกรทฮอร์โมนที่น้อยกว่าปกติเมื่อเทียบกับคนในวัยเดียวกันจะทำให้คนๆ นั้นมีความเสี่ยงการเป็นโรคอัลไซเมอร์ โรคพากินสันหรือโรคทางด้านหัวใจและเส้นเลือดผิดปกติได้ นอกจากนั้นยังทำให้ผิวพรรณเหี่ยวย่น ไม่เต่งตึง ใบหน้าหย่อนคล้อยดูเหมือนแก่กว่าวัย ดังนั้นการที่มีโกรทฮอร์โมนในระดับที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อลดความเสี่ยงการเป็นโรคและชะลอการแก่ก่อนวัยอันควรโดยการเพิ่มโกรทฮอร์โมนสามารถทำได้หลายวิธี และ 1 ในนั้น คือเรื่องของการนอน ควรนอนไม่เกิน 4 ทุ่ม เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายจะสามารถผลิตโกรทฮอร์โมนได้มากที่สุด โดยปกติโกรทฮอร์โมนจะหลั่งช่วง 5 ทุ่ม - ตี 2 และควรนอนไม่ต่ำกว่า 7-8 ชั่วโมงต่อคืนนอนน้อยเสี่ยงโรคมะเร็ง ?ได้มีการศึกษาและวิจัยว่าในคน 1,240 คน พบว่ามีคนที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงถึง 47% จะมีอาการของมะเร็งลำไส้ มากกว่าคนที่นอนหลับอย่างน้อย 7 ชม.ขึ้นไปนอกจากมีความเสี่ยงในเรื่องของมะเร็งลำไส้แล้วยังมีความเสี่ยงในเรื่องของการเกิดฝ้าได้อีกด้วยเวลาที่เรานอน ฮอร์โมนของเราจะถูกสร้างให้รู้สึกผ่อนคลายและมีการสร้างของเม็ดสีที่มันเป็นไม่คล้ำ แต่ถ้าเกิดว่าเรานอนดึกจนเกินไป สมองแทนที่มันจะถูกพักและสร้างเม็ดสีที่ดี มันจะเปลี่ยนเป็นกระตุ้นเม็ดสีดำ ขึ้นมาเยอะแทน มันจะไปกระตุ้นฮอร์โมนชื่อ melanocyte stimulating hormone เรียกย่อว่า MSH ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระกระตุ้นในการสร้างเม็ดสีดำ และก็อาจจะทำให้ ยิ่งนอนน้อยยิ่งมีรอยเหี่ยวย่นเยอะ และก็ฝ้าเยอะได้พยายามนอนเร็วแล้ว แต่เป็นคนนอนหลับยากทำยังไงดีก่อนที่จะนอนถ้ากินมื้อเย็นหรือมื้อใหญ่ เช่นบุฟเฟ่ต์ก่อนหน้าที่จะเข้านอน 3 ชั่วโมงจะทำให้หลับยากยิ่งขึ้น เพราะเวลาที่เรากินมื้อเย็นเป็นมื้อใหญ่ หรือกินบุฟเฟ่ต์ในปริมาณที่เยอะ จะยิ่งไปกระตุ้น ให้ร่างกายหลั่ง Cortisol ออกมามากยิ่งขึ้น (Cortisol ฮอร์โมนความเครียด) เมื่อร่างการมีหลั่ง Cortisol ออกมามากยิ่งขึ้น ก็จะทำให้เข้าสู่วงจรการนอนหลับได้ยากขึ้นห่างแสงสีฟ้าอย่างต่ำ 2 เมตร เพราะคลื่นทำงานของมือถือ เค้าจะรบกวน การทำงานของสมองได้ กว่าที่ร่างกายจะสั่งให้หลับ มันจะมีการสร้างตัวสั่งให้หลับชื่อฮอร์โมนว่า Melatonin โดย Melatonin จะออกมาตอนที่ทุกอย่างมืด เพราะฉะนั้นเวลาที่เราเปิดไฟ ก็จะทำให้ melatonin มันไม่ออกมา แต่ตัวที่หนักกว่าไหที่เราเปิดคือแสงสีฟ้า หรือเรียกว่า Blue Light ซึ่งมันจะยับยั้งการหลั่ง melatonin ได้มากกว่า เพราะฉะนั้นเวลาที่เราหลับไปแล้ว แล้วดูแสงสีฟ้าขึ้นมา มันก็จะยิ่งทำให้กระตุ้นร่างกาย ทำให้ตัวสั่งหลับมันไม่ออกมามากยิ่งขึ้น เราก็จะนอนยากออกกำลังกายก่อนนอนบางคนคิดว่าทำให้ตัวเองเหนื่อยแล้วจะยิ่งนอนหลับได้ดี แต่จริง ๆ แล้วสำหรับคนที่ Sensitive ในเรื่องของการนอน จะแนะนำให้ออกกำลังกายก่อน 6 โมงเย็น เพราะว่าเวลาที่ออกกำลังกายแล้วเนี่ยมันจะมี Adrenaline Epinephrine หลั่ง ซึ่งพวกนี้เป็นสารของคาวม Active และความสดชื่น ทำให้ร่างกายตื่น เพราะฉะนั้นพอเราไปเข้านอน มันก็ยังคงความสดชื่นอยู่ เลยทำให้หลับยากชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ก็สามารถไปกระตุ้นในเรื่องของการนอนได้เหมือนกัน โดยปกติคาเฟอีนใช้เวลาขับออกจากร่างกายประมาณ 6-8 ชั่วโมง สมมุติถ้าเราจะนอนตอน 3 ทุ่ม สำหรับคนทั่วไป ถ้ากินเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนไปช่วงบ่าย 3 กว่าจะเข้านอนเค้าก็สามารถระบายคาเฟอีกออกจากร่างกายได้หมด แต่สำหรับคนที่ Sensitive หากกินเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในช่วบ่าย 3 เหมือนกัน ร่างกายอาจจะระบายออกมาไม่ทัน อาจจะต้องขยับเวลามากินช่วงก่อนเที่ยงเลยด้วยซ้ำแต่หากใครอยากดื่มชาก่อนนอน เราก็ขอแนะนำเป็นชาคาโมมายล์เท่านั้น เพราะเป็นชาตัวเดียวเท่านั้นที่ช่วยเรื่องการนอนหลับได้ดีเป็นอย่างไรกันบ้างคะกับสาระความรู้เกี่ยวกับเรื่องการนอนหลับที่เอามาฝากกันวันนี้ อย่าลืมว่านอกจากจะดูแลตัวเองเรื่องของการกินและการออกกำลังกายแล้ว สุขภาพการนอนที่ดีก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เราร่างกายเราแข็งแรงได้เช่นเดียวกัน

LUCID DREAM ความฝันที่รู้ตัว

28 เม.ย. 2024

LUCID DREAM ความฝันที่รู้ตัว

วันนี้เราจะมาพูดถึงทฤษฎีนึงที่ที่หลายคนอาจจะรู้จักนั่นก็คือ ลูซิดดรีม (Lucid Dream)ต้องขอถามก่อนว่าทุกคนเคยจำความฝันตัวเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม ?เราขอเดาว่ามันอาจจะมีส่วนใหญ่ก็อาจจะพอจำได้แต่คงไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือบางคนอาจจะจำไม่ได้เลย แต่ทุกคนรู้ไหมว่ามีผู้คนบางกลุ่มที่สามารถรู้ว่าตัวเองกำลังฝันหรือควบคุมตัวเองในความฝัน และเมื่อตื่นมาพวกเขาก็สามารถเล่าความฝันของตัวเองเกือบทั้งหมดและนั่นก็คือการฝันแบบ ลูซิดดรีม (Lucid Dream)ลูซิดดรีม (Lucid Dream) ความฝันที่รู้ว่าตัวเองกำลังฝันอยู่และลูซิดดรีมก็ยังสามารถช่วยเราพัฒนาความคิดสร้างด้วยเพราะสามารถ ควบคุมหรือกำหนดเรื่องราวที่เราจะฝันได้ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงภาวะหลับลึกก็คือช่วง REM (Rapid eyes movement) และมักจะไม่ได้รู้ตัวตั้งแต่ต้น แต่จะมารู้ตัวในช่วงกลาง-ปลายของความฝัน โดยทฤษฎีนี้เกิดขึ้นโดยจิตแพทย์ชาวดัตช์ เฟร็ดเดอริก แวน อีเด็น (Frederik Van Eeden) ซึ่งเขาเป็นผู้ที่ศึกษาความฝันในลักษณะนี้เป็นคนแรก หลังจากนั้นก็เริ่มมีนักจิตวิทยาให้ความสนใจและเป็นที่รู้จักมากขึ้นจาดภาพยนตร์ดังอย่าง Inception ที่เอาไอเดียนี้ไปพัฒนาเป็นเรื่องราวอ้างอิงรูปภาพ : https://www.vecteezy.com/vector-art/11263251-man-counting-sheepและด้วยความที่เราสามารถควบคุมความฝันได้ออกแบบเหตุการณ์ต่างๆได้ด้วยตัวเอง จึงทำให้ขณะที่เราฝัน มีการใช้ ‘สมองซีกขวา’ มากขึ้น ซึ่งเป็นสมองส่วนความคิดสร้างสรรค์ ทำให้เราอาจจะได้ไอเดียใหม่ๆ จากความฝัน ไปใช้แก้ปัญหาหรือนำไปใช้กับงานของตัวเองรวมถึงยังช่วยควบคุมอารมณ์ได้อีกด้วยเพราะช่วงเวลาขณะที่หลับ ถือว่าเป็นอะไรที่ควบคุมยากที่สุด ดังนั้นการที่เราสามารถมีสติได้ในขณะที่เราฝัน เราก็จะสามารถควบคุมจิตใจได้ถึงแม้จะเป็นช่วงที่เราโกรธหรือเสียใจจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้นอกจากนี้ ลูซิดดรีมยังช่วยขจัดความกลัวในจิตใจของเราได้อีกด้วย แน่นอนว่าทุกคนต้องมีความกลัวที่ซ่อนอยู่หรือเหตุการณ์ร้ายๆ ที่ฝังใจ แต่ในความฝัน เราสามารถควบคุมความกลัวและอันตรายเหล่านั้นได้ ทำให้ชีวิตจริงเรามีแนวโน้มที่จะกลัวสิ่งนั้นน้อยลงนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญเรื่อง Lucid Dream เดนโฮล์ม แอสปาย (Denholm Aspy)เคยกล่าวไว้ว่า“บางคนอาจค้นพบพลังวิเศษหรือความสามารถพิเศษขณะที่กำลังฝัน พวกเขาสามารถต่อสู้หรือจัดการกับสิ่งที่มาทำ ร้ายได้ เช่น บินหนี หรือใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อปลุกตัวเองให้ตื่นจากฝันร้ายนั้น”ความเสี่ยงของ Lucid DreamLucid Dream อาจไม่เหมาะกับหลาย ๆ คน เช่นกลุ่มผู้มีจิตเปราะบาง มีความผิดปกติของคลื่นสมอง มีอาการเห็นภาพหลอน (Schizophrenia) หรือหลงผิด (Delusions) อาจยิ่งทำให้ยากต่อการแยกแยะโลกแห่งความจริง และโลกแห่งความฝัน หรือสำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องการนอน ที่ควรให้ความสำคัญกับการนอนหลับลึก นอนให้เต็มอิ่ม ยิ่งฝันให้น้อยยิ่งดี มุ่งเน้นการนอนระดับ N-REM (Non-rapid Eye Movement) ไม่ใช่ REM (Rapid Eye Movement)อ้างอิงรูปภาพ : https://www.freepik.com/free-vectorหากใครอยากลองทำนักวิจัยเขาก็มีวิธีมาให้ทดลองกันแต่ก็อย่าลืมเรื่องความเสี่ยงกันนะต้องดูเรื่องสุขภาพตัวเองกันด้วย1.นั่งสมาธิก่อนนอนซักประมาณ 20-30 นาที ก่อนนอน เพ่งจิตไปที่การหายใจ มีสติทุกลมหายใจ2.ลองจดบันทึกความฝัน เพื่อจดจำรายละเอียดความฝันในแต่ละครั้งของเรา3.ใช้เสียงเพลงมาขับกล่อมขณะหลับ โดยคลื่นความถี่ของเสียงเพลง มีส่วนในการทำให้คลื่นสมองเปลี่ยนไปได้ โดยเป็นเพลง เป็นจังหวะดนตรีที่เรียกว่า ‘binaural beats’ ความถี่ 4 – 8 Hz โดยควบคุมการหายใจให้สอคคล้องกับความถี่และนี่ก็คือ Lucid dream ความฝันที่รู้ตัว แต่ใดๆก็ตามถึงแม้เราจะสามารถควบคุมความฝันได้ด้วยตัวเองทุกคนอาจจะได้ประสบการณ์ที่น่าประทับใจแต่ก็อย่าลืมตระหนักว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันเป็นเพียงความฝันไม่ใช่ความจริง ทุกอย่างย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ทางเราหวังว่าบทความนี้จะสามารถช่วยให้ผู้อ่านทุกคนได้รับทฤษฎีความรู้ใหม่ๆแล้วนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ไม่มากก็น้อยที่มา : https://thematter.co/brief/goodsmorning/goodsmorning-1590107400/112552https://rabbitcare.com/blog/lifestyle/lucid-dream-in-different-context-benefit-and-how-tohttps://www.medicalnewstoday.com/articles/323077#definitionhttps://www.facebook.com/brandthink.me

นั่งทำงานนานๆ ยืดเส้นยืดสายยังไงดี

24 ม.ค. 2022

นั่งทำงานนานๆ ยืดเส้นยืดสายยังไงดี

การนั่งทำงานหน้าคอมนานๆ ยังเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอยู่ดี ดังนั้นใครที่ต้องนั่งทำงานหน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ทุกวัน หากไม่อยากป่วยเป็นโรคต่างๆ ควรทำตามเคล็ดลับของแพทย์แผนจีน วันนี้จะเล่าให้ฟังค่ะนั่งนานเกินไปผู้ใหญ่ชาวอเมริกันเฉลี่ยร้อยละ 60 จะนั่งอยู่กับที่เฉยๆ และนานกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน กลุ่มนักวิจัยได้เปรียบเทียบ ระหว่างผู้เข้าร่วมที่นั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ หรือหน้าจออื่นๆไม่เกินวันละ 2 ชั่วโมง กับผู้ที่ใช้เวลา 4 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น ปรากฏว่าผู้ที่นั่งมากกว่า 4 ชั่วโมง มีโอกาสเสียชีวิตมากถึงร้อยละ 50 (ไม่ว่าสาเหตุใดก็ตาม) มากกว่าผู้เข้าร่วมในกลุ่มแรก แถมโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจก็เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 125มีอาการเรื้อรังตามมานอกจากอาการปวดกล้ามเนื้อหลังแล้ว การนั่งทั้งวันยังมีส่วนเกี่ยวโยงกับโรคหัวใจ และโรคเบาหวาน ยิ่งนั่งนานก็ยิ่งทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ได้น้อยลงเนื่องจากกล้ามเนื้อของเราไม่ได้ทำงาน หัวใจไม่ได้สูบฉีดเร็วและแรง ด้วยเหตุนี้กรดไขมันจึงสะสม และอุดตันหัวใจได้ง่ายยิ่งขึ้น ในความเป็นจริงผู้ที่ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวหรือนั่งเกือบตลอดทั้งวัน มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจมากกว่าผู้ที่เคลื่อนไหวเป็นประจำถึง 2 เท่า นอกจากนี้การนั่งมากเกินไป ยังทำให้อัตราการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นด้วยค่ะเบลอทั้งวันการนั่งมากเกินไป ยังส่งผลต่อสมองของเรา เมื่อกล้ามเนื้อเคลื่อนไหว หัวใจก็จะสูบฉีดเลือดที่มีออกซิเจนสูงไปยังสมอง ในทางกลับกัน การนั่งนานๆจะชะลอการทำงานทุกอย่างในร่างกาย รวมถึงการทำงานของสมองด้วย นอกจากนี้ยังเชื่อมโยงกับความรู้สึกซึมเศร้า และเพิ่มความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมแพทย์แผนจีนแนะนำระหว่างที่นั่งปั่นงานอยู่ ลองตั้งเวลาให้ลุกขึ้นเดินไปเดินมาในบ้านทุกๆ ชั่วโมงดู อาจจะเดินเข้าห้องน้ำ กดน้ำมาดื่ม ชงชา กาแฟการเดินบ่อยๆ จะเผาผลาญพลังงานได้ และป้องกันโรคอ้วนได้ด้วยค่ะดื่มน้ำมากขึ้นใครที่รู้ตัวว่าอยู่ในห้องทำงานตลอดเวลา แทบไม่ได้กระดิกตัวไปไหน อย่าลืมดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันด้วยนะคะ หาเวลาจิบน้ำ ทุกๆ ชั่วโมง จะตั้งขวดลิตรเอาไว้บนโต๊ะ แล้วพยายามดื่มน้ำให้หมดภายใน 1 วันก็ได้ค่ะ แล้วสังเกตสีปัสสาวะของตัวเอง หากสีปัสสาวะยังเป็นสีเหลืองเข้มอยู่ แสดงว่ายังดื่มน้ำไม่เพียงพอ ต้องดื่มน้ำเพิ่ม และตัวเลือกที่ดีที่สุด ควรเป็นน้ำเปล่า หากเบื่อหรือขี้ลืมจริงๆ จะฝานผลไม้ที่เพิ่มความสดชื่นอย่างมะนาวลงไปในน้ำเปล่าด้วยก็ได้นะคะ แต่ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงด้วยนะคะ กลัวจะเป็นโรคเบาหวานกันก่อนท่าบริหารจากแพทย์แผนจีนท่าบริหารต้นคอ เริ่มจากนำมือข้างซ้ายอ้อมไปจับศีรษะด้านขวา ดึงมาทางด้านซ้ายจนรู้สึกตึง นับ 1 - 10 สลับใช้มือข้างขวาอ้อมจับศีรษะด้านซ้ายทำเช่นเดียวกัน นับ 1 - 10 จากนั้นประสานมือบริเวณท้ายทอย ดันไปด้านหน้าจนรู้สึกตึง นับ 1 - 10ท่าบริหารกล้ามเนื้อหัวไหล่ ยกไหล่ขึ้นไปจนสุด แล้วเกร็งค้างไว้ นับ 1 - 10 จากนั้นกดไหล่ลงไปให้สุด แล้วเกร็งค้างไว้ นับ 1 - 10 ท่านี้สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องของการปวดไหล่เป็นประจำค่ะท่าบริหารผ่อนคลายกล้ามเนื้อแขนท่าที่ 1 เพื่อยืดแขน โดยประสานมือ จากนั้นจึงเหยียดขึ้นไปเหนือหัวเราจนสุดแขน การทำแบบนี้จะทำให้กล้ามเนื้อแขนได้ยืดออกแล้วให้เงยหน้ามองขึ้นด้านบน เพื่อเปลี่ยนท่าทางของช่วงคอ ค้างท่านี้ไว้นับ 1 - 10 แล้วค่อยเอาลงค่ะท่าที่ 2 เพื่อคลายความเมื่อล้าของกล้ามเนื้อแขน ใช้มือซ้ายจับฝ่ามือขวา จากนั้นเหยียดแขนทั้งสองไปข้างหน้า แล้วจึงดัดข้อมือขวาเข้าหาตัวจนรู้สึกว่าตึงบริเวณด้านในข้อศอกขวา ทำค้างไว้นับ 1 - 10 แล้วจึงเปลี่ยนข้างท่าบริหารนิ้ว และฝ่ามือเป็นท่าที่ช่วยผ่อนคลายอาการเมื่อยล้าที่นิ้ว และฝ่ามือ กำมือทั้ง 2 ข้างให้แน่นที่สุด แล้วกำมือค้างไว้นับ 1 - 5 จากนั้นจึงค่อยๆ คลายออกช้าๆ เหยียดนิ้วและกางนิ้วมือออกให้มากที่สุด เท่าที่ทำได้ แล้วค้างไว้นับ 1 - 5 แล้วจึงกลับมาอยู่ท่าเดิม ทำแบบนี้เรื่อยๆ ประมาณ 2 – 3 รอบค่ะท่าบริหารกล้ามเนื้อด้านหน้าอก และแก้ปัญหาไหล่ห่อท่าที่ 1 ให้ลุกขึ้นยืน จากนั้นนำมือประสานกันด้านหลัง ค่อยๆ ยกขึ้นมาจนถึงระดับที่เรารู้สึกว่าตึง นับ 1 - 10ท่าที่ 2 เป็นการยืดด้านหลัง โดยการกอดตัวเองให้แน่นที่สุด ให้มือไขว้กันเยอะที่สุด โดยเอามือโอบด้านหลังของตัวเองให้มากที่สุด นับ 1 - 10ท่าบริหารหลังยืนตัวตรง ยกแขนทั้งสองข้างเหนือศีรษะ ประสานมือเอาไว้ แล้วค่อยๆ เอนตัวไปด้านหลังจนรู้สึกตึงแล้วนับ 1 - 10ท่าบริหารบริเวณช่วงสะโพกท่านี้จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อบริเวณสะโพก ซึ่งมักจะไปกดทับเส้นประสาท ทำให้รู้สึกมีปัญหา ปวดบริเวณสะโพก ชาลงขา และเท้า ทำโดยยกเท้าซ้ายขึ้นมาวางทับเหนือเข่าขวา จากนั้นเอนตัวมาด้านหน้า จะรู้สึกตึงบริเวณต้นขาด้านซ้าย นับ 1 - 10 จากนั้นสลับเท้าด้านขวาทำเช่นเดียวกันค่ะท่าบริหารกล้ามเนื้อด้านข้างยืดมือขึ้นบนสุดประกบกัน จากนั้นเอนตัวทางด้านซ้าย นับ 1 - 10 จากนั้นเอนตัวมาด้านขวา นับ 1 - 10ท่าบริหารขาเหมาะสำหรับผู้ที่ยืนนานๆ หรือใส่รองเท้าส้นสูง ไขว้ขาซ้ายเข้ากับขาขวา จากนั้นค่อยๆ ก้ม เอามือไปแตะหน้าขา นับ 1 - 10ลองทำดูนะคะแล้วคุณจะมีความสุขกับการทำงานมากขึ้นไม่ว่าจะทำที่บ้านหรือที่ทำงาน เราจะสุขภาพดีไปด้วยกันค่ะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะFacebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’GirlMusic Travel Lover

เช็กตัวเองก่อนเป็น Burnout Syndrome

07 ต.ค. 2023

เช็กตัวเองก่อนเป็น Burnout Syndrome

เป็นยังไงกันบ้างทุกคน ผ่านมาครึ่งทางแล้ว เหลืออีก 3 เดือนสุดท้ายของปี เหนื่อยกันไหมมม ??หลาย ๆ คนประสบความสำเร็จมากขึ้น หลาย ๆ คนเติบโตมากขึ้น หลาย ๆ คนความสำเร็จอาจจะยังไม่มาถึง แต่เราเชื่อว่าอีกไม่นานต้องมาถึงคุณแน่นอนและก็มีอีกหลายคนรู้สึกว่าเรากำลังจะหมดไฟในการทำงานแล้วรึเปล่านะ ?อาการเครียด หดหู่ เบื่อ ไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน หรือที่เราเรียกกันว่า Burnout Syndrome ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโรคใหม่จากองค์การอนามัยโลก (WHO) โดยเป็นโรคที่เป็นผลจากการความเครียดเรื้อรังในสถานที่ทำงานเป็นปัญหาที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มพนักงานออฟฟิศ เนื่องจากความเครียด ความกดดันในการทำงานเราจะรู้ได้ยังไง ว่าเรากำลังตกอยู่สภาวะ Burnout Syndromeอาการ Burnout Syndrome คือ ภาวะความอ่อนล้าทางอารมณ์ เป็นการเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจที่เกิดจากความเครียดของงานที่มากเกินไป อย่างต่อเนื่องยาวนานรวมถึงงานมีความซับซ้อน ต้องทำในเวลาเร่งรีบ จนทำให้คน ๆ นั้นรู้สึกหมดไฟ มองตัวเองในแง่ลบ ไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน รู้สึกห่างเหินจากผู้ร่วมงาน และไม่รู้สึกผูกพันกับสถานที่ทำงานลองมาเช็กกันว่าคุณจะเสี่ยงเป็น Burnout Syndrome ไหมผู้ที่ทำงานหนัก มีภาระงานมาก ทำงานล่วงเวลางานมีความซับซ้อน รีบเร่ง ทำให้เกิดความกดดันจริงจังเกินไป ขาดความยืดหยุ่น ยึดติดในความสมบูรณ์แบบทำงานที่ไม่ได้มีความรักหรือความปรารถนาที่จะทำขาดอำนาจในการตัดสินใจ มีปัญหาการเรียงลำดับความสำคัญของงานไม่ได้รับการตอบแทนหรือรางวัลที่เพียงพอต่อสิ่งที่ทุ่มเทไม่ได้รับความยุติธรรม ขาดความเชื่อใจ และไม่เปิดใจยอมรับรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่งของทีม ไร้ตัวตนระบบบริหารงานหรือค่านิยมองค์กรขัดต่อคุณค่า และจุดมุ่งหมายในชีวิตองค์กรไม่มั่นคง นโยบายบริหารไม่มีความชัดเจนสัญญาณเตือนว่าคุณมีภาวะหมดไฟในการทำงานหลังจากที่เช็กจากด้านบนแล้วสงสัยว่าตัวเองจะมีภาวะหมดไฟในการทำงานรึเปล่า สามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ดังนี้อาการทางกาย สูญเสียพลังงานหรืออ่อนเพลีย (Exhaustion) นอนไม่หลับ ร่างกายอ่อนเพลีย เหนื่อย หมดแรง ปวดหัว ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดกล้ามเนื้อ ภูมิตก ไม่มีสมาธิ ความ สามารถในการจำลดลงอาการทางอารมณ์ รู้สึกไม่อยากทำงาน หรือมีทัศนคติเชิงลบต่องานที่ทำ (Negativism) รู้สึกเบื่อ ไม่มีความสุข หดหู่ ไม่มีชีวิตชีวา สิ้นหวัง ไม่มีแรงจูงใจ อารมณ์แปรปรวน โกรธ หงุดหงิดง่าย มองโลกในแง่ร้าย ไม่สนใจความรู้สึกผู้อื่น มีความขัดแย้งระหว่างบุคคลมากขึ้น สงสัยในความสามารถของตัวเองอาการทางพฤติกรรม ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง (Professional Efficacy ) มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนน้อยลง แยกตัวออกจากกลุ่ม หมกมุ่นอยู่กับการทำงาน ไม่กระตือรือร้น ผัดวันประกันพรุ่ง บริหารจัดการเวลาไม่ได้ ขาดความคิดสร้างสรรค์ ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ไปจนถึงมีการใช้สารเสพติดหรือแอลกอฮอล์วิธีรับมือและจัดการกับภาวะหมดไฟในการทำงานพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า เพื่อให้รับทราบปัญหา และหาทางออกด้วยกัน เช่นการลดปริมาณงาน การเรียงลำดับความสำคัญของงาน เพื่อทำให้งานสำเร็จตามเป้าหมายได้พักผ่อนให้เพียงพอ นอนอย่างมีคุณภาพ เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ขจัดความเหนื่อยล้าที่สะสมมา ช่วยปรับสมดุลร่างกายลองมาออกกำลังกาย หรือหากิจกรรมทำ เพื่อช่วยลดความเครียดจากการทำงาน ช่วยให้ร่างกระปรี้กระเปร่า สดชื่น และถือว่าเป็นพักสมองจากเรื่องงานไปในตัวทำสมาธิ ผ่อนคลายความเครียด ยืดหยุ่นในสถานการณ์ต่าง ๆ ให้มากขึ้น ลดความกดดันตนเองสร้างความสัมพันธ์และบรรยากาศที่ดีในการทำงาน หรืออาจะหาช่วงเวลาสังสรรค์หลังเลิกงานกับเพื่อนในที่ทำงานบ้างหยุดพักบ้าง เราทุกคนมีวันลาพักร้อน เราก็ใช้วันลาพักร้อนเหล่านั้น ไปเที่ยวต่างจังหวัด เปิดหู เปิดตา ให้สมองปลอดโปร่ง ให้เวลากับตัวเองในการจัดการความเครียดหากรู้สึกว่าเราจะหมดไฟในการทำงาน มีความเครียดมาก ๆ การพูดคุยกับคนรอบข้างที่ไว้ใจและเข้าใจ อาจจะเป็นการได้ระบายอย่างหนึ่ง แต่ที่สำคัญเราควรมีเวลาพักผ่อน ได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง ได้ใช้เวลากับสิ่งที่ตัวเองรัก สิ่งที่ตัวเองสนใจ ให้ตัวเองได้จัดการอารมณ์ หา Work Life Balance ในการทำงาน เท่านี้อาจจะทำให้เราออกห่างจากภาวะหมดไฟในการทำงานได้บ้างแล้วว่าแล้ววันหยุดนี้ก็ออกไปเที่ยวกัน ^^

album

0
0.8
1