นปโปะหม่ำๆ จะทำยังไง? ถ้าน้องหมาไม่ยอมกินอาหาร

HEALTHY LIFESTYLE

นปโปะหม่ำๆ จะทำยังไง? ถ้าน้องหมาไม่ยอมกินอาหาร

20 ส.ค. 2024

นปโปะหม่ำๆ หม่ำๆ กู๊ดบอย คือทำนองเพลงติดหู ที่เรามักได้ยินบนโลกโซเชียลในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งที่มาของเพลงสุดน่ารักนี้ ก็เกิดจากเจ้าหมา ‘นปโปะ’ ที่ไม่ยอมกินอาหารโดยเด็ดขาดถ้าเจ้าของไม่ร้องเพลงให้ฟัง (ต้องมีทำนองด้วยนะ ไม่งั้นหนูไม่กิน!) ทำให้ใครหลายๆคนที่ได้เห็นคลิปวิดีโอของนปโปะต้องอมยิ้มไปตามๆกัน แต่เอ๊ะ…แล้วสาเหตุที่ทำให้น้องหมาหลายๆตัว ไม่ยอมกินอาหารง่ายๆคืออะไรกันนะ

 

สาเหตุที่สุนัขไม่กินอาหาร

1.อาการป่วย

ถึงแม้ว่าการอยากอาหารที่ลดลง ไม่ได้หมายความว่าน้องๆกำลังมีโรคร้ายแรงเสมอไป แต่การตรวจหาความผิดปกติอย่างทันท่วงทีก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เช่น การเจ็บปวดทางร่างกาย ปัญหาทางช่องปากและฟัน การติดเชื้อในลําไส้ หรือมีสิ่งแปลกปลอมอุดตันทางเดินอาหาร เป็นต้น

 

2.การฉีดวัคซีน

การฉีดวัคซีนเสริมสร้างภูมิคุ้มกันอาจมีผลข้างเคียง ทำให้สุนัขสูญเสียความอยากอาหารในระยะเวลาสั้นๆได้

 

3.สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย 

สถานที่แปลกใหม่อาจทำให้น้องหมาเกิดความเครียดและประหม่าได้ รวมไปถึงการเดินทางด้วยรถยนต์ก็อาจทำให้น้องๆรู้สึกคลื่นไส้ เมารถ ทำให้ไม่อยากอาหารได้เช่นกัน

4.พฤติกรรมส่วนตัว

นิสัยของสุนัขบางตัวอาจมีความ ‘เลือกกิน’ ไปนิด ลองสังเกตดูว่าน้องหมาของเรามีนิสัยส่วนตัวอย่างไร และนำมาปรับใช้กับวิธีการฝึกกินอาหาร เช่น การให้อาหารเป็นเวลา หลีกเลี่ยงการให้อาหารใกล้สุนัขตัวอื่นจนเกินไป การปรับชามข้าวให้มีความสูงพอดีต่อตัว ตรวจสอบอาหารว่าไม่เหม็นอับ และไม่แข็งจนเกินไป เป็นต้น

 

5.น้องหมาได้รับของรางวัลมากเกินไป

ความ ‘อิ่ม’ จากการกินขนมเยอะเกินไป อาจทำให้น้องๆรู้สึกไม่หิวอาหารแบบเดิมๆที่เคยกิน การกินขนมควรเป็น ‘รางวัล’ ของสุนัข ไม่ใช่อาหารจานหลัก และควรมีสัดส่วนไม่เกิน 10% ของแคลอรีต่อวันเมื่อคำนวณตามน้ำหนักตัว เพราะการให้ขนมมากเกินไปอาจนําไปสู่โรคอ้วนในสุนัขได้อีกด้วย

 

วิธีกระตุ้นความอยากอาหารของน้องหมา

1.เปลี่ยนอาหารเม็ด

โดยการเลือกสูตรอาหารที่มีส่วนผสมคล้ายกับอาหารสูตรเก่า และช่วยปรับให้ระบบย่อยอาหารของน้องๆรู้สึกคุ้นเคย ด้วยการค่อยๆผสมอาหารใหม่เข้ากับอาหารเก่า และเพิ่มปริมาณของอาหารใหม่ในแต่ละมื้อ

วันที่ 1-2: ผสมอาหารใหม่ 25% กับอาหารเก่า 75%

วันที่ 3-5: ผสมอาหารใหม่ 50% กับอาหารเก่า 50%

วันที่ 6-7: ผสมอาหารใหม่ 75% กับอาหารเก่า 25%

วันที่ 8 เป็นต้นไป : อาหารใหม่ 100%

ซึ่งสุนัขบางตัวอาจจำเป็นต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนนานมากกว่านี้ โดยเฉพาะกับน้องๆที่มีกระเพาะย่อยอาหารบอบบาง

 

2.เพิ่มท็อปปิ้งตกแต่งอาหาร หรือ ทําให้อาหารเม็ดนิ่มลง

เติมน้ำหรือซุปผักอุ่นๆลงในอาหารแห้งและปล่อยแช่ให้นิ่ม ช่วยให้น้องหมาเคี้ยวอาหารได้ง่าย เพิ่มกลิ่น กระตุ้นความอยากอาหาร (ตรวจสอบให้แน่ใจด้วยนะ ว่าไม่มีหัวหอมหรือกระเทียมอยู่ในส่วนผสมของน้ำซุป เพราะอาจทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงทำให้น้องเป็นโรคโลหิตจางได้)

 

3.หลีกเลี่ยงการให้อาหารโดยไม่มีเงื่อนไข

การวางอาหารของน้องหมาทิ้งไว้ให้เดินมากินตอนไหนก็ได้ อาจจะดูเป็นวิธีที่สะดวก แต่ก็ส่งผลตามมาหลายอย่าง เช่น การไม่เห็นพฤติกรรมความอยากอาหารที่เปลี่ยนไปของน้องๆ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาทางร่างกาย

 

ผู้เลี้ยงควรกำหนดเวลาให้อาหารอย่างชัดเจน และทำการจับเวลา 15 นาที หากในช่วงเวลานี้น้องๆมีท่าทีไม่ยอมกินอาหารที่วางไว้ ให้เก็บอาหารจนกว่าจะถึงเวลามื้อต่อไป เป็นการฝึกให้น้องหมาไม่ติดนิสัยเมินอาหารนั่นเอง

 

4.ทําให้มื้ออาหารเป็นเรื่องสนุก

ทำให้การกินอาหารตื่นเต้นขึ้น ด้วยการใส่อาหารไว้ในเครื่องเล่นสำหรับน้องหมา กระตุ้นสัญชาตญาณการหาอาหาร รวมไปถึงการให้คำชมเมื่อน้องๆยอมกินอาหารนั่นเอง

 

สุดท้ายนี้ การเมินไม่ยอมกินอาหารของน้องหมาเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งพฤติกรรมส่วนตัว ความประหม่า หรืออาการเจ็บป่วย เจ้าของจำเป็นต้องสังเกตนิสัยและความผิดปกติที่น้องๆพยายามจะบอกเรา และหากน้องหมาไม่ยอมกินอาหารนานกว่าสองวัน (หรือสองมื้อหากมีโรคประจําตัว) ควรติดต่อสัตวแพทย์ เพื่อตรวจให้แน่ใจว่าน้องๆจะสุขภาพดี เหมือนกับน้องนปโปะ ที่หนูแค่อยากได้ยินคำชมเยอะๆตอนกินข้าวเฉยๆน้า

 

Author : L’ara

related HEALTHY LIFESTYLE

ดื่มน้ำเยอะดีจริงไหม?

30 เม.ย. 2023

ดื่มน้ำเยอะดีจริงไหม?

ดื่มน้ำเยอะ ดีจริงไหม ?คงได้ยินกันมาไม่น้อยว่าการดื่มน้ำจะดีต่อสุขภาพ ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ดียิ่งขึ้น บำรุงผิว ช่วยลดน้ำหนักแต่ถ้าเราดื่มน้ำเยอะ ๆ หละ มันจะดีต่อสุขภาพจริง ๆ รึเปล่านะ? วันนี้กรีนเวฟจะพาทุกคนไปไขคำตอบกันQ : ทุกคนรู้ไหมว่าใน 1 วัน เราควรกินน้ำเปล่ามากแค่ไหน ?A: จากที่เคยได้ยินมาตั้งเด็ก ๆ คือ เราควรกินน้ำวันละ 8 แก้ว ซึ่งถึงแม้ว่าเราจะจำได้ ก็ใช่ว่าทุกคนจะกินน้ำวันละ 8 แก้ว เพราะส่วนใหญ่เราจะกินเมื่อกระหาย หรือรู้สึกอยากให้สดชื่น แต่ในปัจจุบันในยุคที่โรคภัยไข้เจ็บแปลก ๆ เกิดขึ้นมากมาย ใคร ๆ ต่างก็หันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น การดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว มันอาจจะไม่พอสำหรับบางคน แท้จริงแล้วปริมาณที่เหมาะสมอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ของผู้บริโภค เช่น กิจกรรมที่ทำ เพศและอายุนอกจากน้ำหนักแล้ว ปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องการก็ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนด้วย เช่น หากเป็นคนชอบออกกำลังกายกลางแจ้ง หรือใช้ชีวิตกลางแจ้ง ก็ต้องดื่มน้ำเยอะขึ้น และควรจิบน้ำประมาณ 1.25 แก้ว หรือ 1 ขวดเล็กในทุก 30 นาที ขณะออกกำลังกายช่วงเวลาที่ควรดื่มน้ำเปล่าตื่นนอนตอนเช้า : ดื่มน้ำเปล่า 1-2 แก้ว ช่วยกระตุ้นการทำงานของอวัยวะภายในและระบบขับถ่ายหลังอาบน้ำ : ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้วช่วยลดความดันโลหิตได้ก่อนรับประทานอาหาร : ดื่มน้ำเปล่าก่อนมื้ออาหาร 15 นาทีช่วยลดความอยากอาหาร ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นระหว่างวัน : คอยจิบน้ำทุกครึ่งชม. ตลอดทั้งวันให้ได้ปริมาณรวมกันที่ 1-2 ลิตร แต่ต้องไม่ดื่มน้ำครั้งละมาก ๆ จนเกินไปตอนออกกำลังกาย : ควรจิบน้ำให้ได้ปริมาณ1/2 - 1 ลิตร ตลอด sessionเพื่อชดเชยการสูญเสียเหงื่อ และระบายความร้อนขณะออกกำลังกายก่อนนอน : ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้ว ช่วยแทนที่ของเหลวที่จะสูญเสียในตอนกลางคืนได้น้ำเปล่าช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจมีการศึกษาเปรียบเทียบ ในคนปกติที่ดื่มน้ำน้อยกว่า 2 แก้วต่อวัน กับคนที่ดื่มน้ำเปล่ามากกว่า 5 แก้วต่อวัน พบว่า คนที่ดื่มน้ำน้อยจะมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคหัวใจมากกว่า หรือพูดง่าย ๆ ยิ่งดื่มน้ำมากยิ่งมีความเสี่ยงตายลดลง เพราะฉะนั้นอย่างน้อย ๆ เลยก็ควรดื่มน้ำมากกว่า 2 แก้ว ถ้าได้ 8- 10 แก้วต่อวันยิ่งดี เพราะว่าจะได้ช่วยลดการเกิด อัตราหัวใจขาดเลือดได้น้ำเปล่าช่วยลดน้ำหนักการดื่มน้ำเปล่าจะช่วยทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้นเพราะการดื่มน้ำทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดลง ร่างกายจึงต้องเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้น เพื่อให้เกิดสมดุลความร้อน ส่งผลให้อาหารและพลังงานถูกเผาผลาญตาม แล้วถ้าเกิดเราดื่มน้ำก่อนมื้ออาหารสักประมาณ 15 นาทีก็จะช่วยลดความอยากอาหารลงได้ด้วย แต่ที่สำคัญ ห้ามกินน้ำแทนข้าวเด็ดขาด เพราะถ้าร่างกายรู้สึกอดอยาก มันจะสะสมไขมัน แล้วตัวไขมันนี่แหละที่ลดยากที่สุด!ดื่มน้ำเยอะ ดีจริงไหม ?ดื่มน้ำเยอะก็ดี แต่ถ้าดื่มมากไปจะเกิดภาวะ Water Intoxication หรือ ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ ได้ เกิดจากการดื่มน้ำในปริมาณที่มากเกินความต้องการของร่างกายภายในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่น การดื่มน้ำรวดเดียวเป็นจำนวน 7 ลิตรหรือดื่มน้ำ 4 ลิตรภายใน 2 ชั่วโมงเพราะปกติในหลอดเลือดเราจะมีโซเดียม ถ้าดื่มน้ำมากเกินก็จะไปเจือจางโซเดียมได้ เกิดภาวะโซเดียมต่ำ ทำให้เกลือแร่ในร่างกายจางกว่าปกติ ซึ่งร่างกายเราจะอยู่ได้ด้วยความเข้นข้นเลือดประมาณนึง แต่ถ้ามันจางเกินไปจะอันตราย ทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะ ถึงขั้นชัก หมดสติไม่รู้สึกตัวได้เลยแต่ดื่มน้ำน้อยเกินไปก็ไม่ดี!การดื่มน้ำน้อยเกินไปอาจเกิดจากความกังวล หรือกลัวอันตรายของการดื่มน้ำมากเกินไป หรืออาจเข้าใจว่าการดื่มน้ำเพียง 8 แก้วต่อวันก็เพียงพอต่อร่างกายแล้ว ยิ่งหากเป็นผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ร่างกายจะสูญเสียน้ำมากกว่าปกติ หากไม่เพิ่มปริมาณการดื่มน้ำ อาจทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ภาวะขาดน้ำเกิดจากการที่ร่างกายสูญเสียน้ำไปกับเหงื่อและปัสสาวะ มากกว่าปริมาณน้ำที่ดื่มเข้าไป ผู้ป่วยอาจสังเกตได้ว่าปัสสาวะมีสีเข้ม และปัสสาวะไม่บ่อยเท่าปกติ หรืออาจปรากฏอาการเหนื่อยล้าและกระหายน้ำอย่างรุนแรง สำหรับผู้ป่วยเด็ก อาจสังเกตได้ว่าผ้าอ้อมแห้งกว่าปกติ หรือปรากฏอาการต่าง ๆ เช่น ลิ้นแห้ง ปากแห้งและร้องไห้ไม่มีน้ำตา อาการดังกล่าวทั้งหมดของภาวะขาดน้ำอาจก่อให้เกิดอาการอื่น ๆ เพิ่ม เช่น อารมณ์เปลี่ยนแปลง สับสนหรือเบลอ ท้องผูก อุณหภูมิร่างกายสูงเกินไป นิ่วที่ไต ช็อกรู้ได้อย่างไรว่าดื่มน้ำเพียงพอแล้ว ?วิธีที่ง่ายที่สุดคือการสังเกต คนที่ดื่มน้ำเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจะขับถ่ายสะดวก และมีปัสสาวะสีเหลืองใส แต่คนที่ดื่มน้ำไม่เพียงพอจะมีปัญหาการขับถ่ายหรือท้องผูก และมีปัสสาวะสีเข้ม แต่หากมีปัญหาสุขภาพ เช่น ปัญหาเกี่ยวกับไตหรือภาวะหัวใจล้มเหลว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำเพราะฉะนั้นการดื่มน้ำในปริมาณที่พอดีกับร่างกายจะทำให้เราได้ประโยชน์มากที่สุด ไม่กินน้อยไม่กินเยอะเกินนะทุกคนนนน ส่วนตอนนี้ใครยังดื่มน้ำไม่ถึงที่ร่างกายต้องการ รีบไปหยิบน้ำเปล่าดื่มเร็ววว

อยากเผาผลาญดี วิตามินอะไรช่วยได้

14 ก.ค. 2023

อยากเผาผลาญดี วิตามินอะไรช่วยได้

วางแผนมาตั้งแต่ต้นปี ว่าปีนี้จะลดน้ำหนัก ปาเข้าไปกลางปีน้ำหนักไม่ลด แถมยังเพิ่มอีกต่างหาก จะทำยังไง ทำเท่าไหร่ น้ำหนักก็ไม่ลดซักที พูดแล้วก็ท้อใจจจจจ TT แต่ไม่เป็นไรทุกคน วันนี้มีตัวช่วยมาให้ทุกคน เป็นทริคลดน้ำหนักจากคุณหมอเพื่อน ซึ่งคุณหมอได้พูดในราบการเพื่อนเป็นหมอ ถึงเรื่องวิตามินที่ช่วยในเรื่องของการ Burn Fat ช่วยในการเผาผลาญเอาไว้ วันนี้กรีนเวฟเลยสรุปมาให้ทุกคน ใครอยากรู้จะมีวิตามินอะไรบ้างตามไปดูกัน ^^ทำไมหนักลงเป็นขีด ขึ้นทีเป็นโล มันเพราะอะไร !เป็นคำถามที่หลาย ๆ คนก็คงสงสัยกันใช่ไหมหละ นั่นก็เพราะว่าสาเหตุของการที่น้ำหนัดลดยากของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับการเผาผลาญ Metabolism ด้วย ถ้าใครที่ เหงื่อออกง่าย ท้องไม่ค่อยผูก ทานอาหารแล้วย่อยได้ดี คนเหล่านี้มักจะมี Metabolism ดี นอกจากนี้เรายังจะต้องดูอีกว่า เรากินถูกรึเปล่า ออกกำลังกายไหม หรือนอนดีรึเปล่าการ Fasting ที่ดีที่สุด คือการงดอาหารมื้อเย็นบางคนลดน้ำหนัก จะเลือกไม่ทานอาหารเลย หรืออาจจะทานน้อยมาก แต่น้ำหนักก็ยังขึ้น แปลว่าสารอาหารที่ได้รับเข้าไปไม่เพียงพอ เลยกลายเป็นการลดน้ำหนักแบบผิดวิธี เพราะฉะนั้นถ้าจะลดน้ำหนักจริง ๆ 4 อาหารที่ไม่ควรงดเลยก็คือไขมันดี ถ้าเราขาดไขมันดีการ Burn Fat จะลดลง ซึ่งไขมันดีสามารถหาได้จาก ถั่ว อะโวคาโด น้ำมันมะกอกโปรตีน โปรตีนจะเป็นตัวทำให้เรารู้ว่าอิ่มท้องและอยู่ได้นานขึ้น ถ้าสมุติว่าเราทานอาหารตอน และทานอาหารตอนเที่ยง ช่วงเย็นจะรู้สึกหิวน้อยลง เพราะโปรตีนจะทำให้เราไม่ดื้ออินซูลินในช่วงบ่าย และจะโหยน้อยลงคาร์โบไฮเดรตที่ดี ตอนช่วงเช้าถ้าเราไม่ทานคาร์โบไฮเดรตที่ดี กล้ามเนื้อไม่สร้าง ตัวที่เผาผลาญและเก็บกล้ามเนื้อไม่มีเลยจะทำให้ Burn Fat ได้น้อยลงไฟเบอร์ การที่มีไฟเบอร์ถ่วงที่ท้องให้หนักขึ้น เขาจะเป็นตัวนำพาเอาน้ำตาลที่ไม่ดี ไขมันที่ไม่ดี ออกไปทางอุจจาระเวลาขับถ่าย4 หลักการก่อนที่จะ Burn Fatเซลล์เราต้องการใช้พลังงานให้มากขึ้น เพราะฉะนั้น วิตามินหรือสิ่งที่เสริมเค้าต้องทำให้เซลล์เหมือนถูกกระตุ้นแล้วใช้พลังงานมากขึ้น เช่นกลุ่มคาเฟอีนต้องถ่วงในกระเพาะเราอิ่มตัว ซึ่งสิ่งที่ช่วยถ่วงให้อิ่มก็คือพวกไฟเบอร์ เพราะฉะนั้นจะต้องทานผักเพิ่มขึ้นวันประมาณ 40 กรัม (ในจานข้าวต้องมีผักครึ่งหนึ่ง)ต้องมีตัวนำพาไขมันเข้าไปในเซลล์ที่ชื่อว่า Mitochondrion ซึ่งตัวที่นำพามาก็คือ L-carnitine ถ้าเราไม่ออกกำลังกาย การที่จะพาไขมันเข้าไปในเซลล์มันจะไม่ถูกพาเข้าไป เพราะฉะนั้น หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินคุณหมอพูดว่า ถ้าทาน L-carnitine ให้ออกกำลังกายเพิ่มขึ้นด้วย เพราะเมื่อ L-carnitine เข้ามาในเซลล์แล้ว เขาจะมีการช่วยให้ตัวพันธะของไขมันเหมือนกรรไกร ย่อยให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ก็จะเป็นการสลาย FAT ที่ดีการต้องการทำให้น้ำตาลเผาผลาญดียิ่งขึ้น แร่ธาตุที่สำคัญคือโครเมียม ซึ่งจะได้จากธัญพืช ข้าวกล้องไม่ขัดสี ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวโอ๊ต อีกหนึ่งอย่างก็คืออบเชย อบเชยจะเป็นตัวที่ทำให้เราสามารถลดภาวะการณ์ดื้ออินซูลิน หรือสามารถทำให้น้ำตาลที่เราทานเข้าไปสลายออกไปใช้มากยิ่งขึ้น ไม่ทำให้สะสมเป็น FAT หรือ ไขมันวิตามินอะไรช่วงในเรื่องของการเผาผลาญวิตามิน D เป็นวิตามินที่ดีสมชื่อ ถ้าใครมีวิตามิน D ต่ำจะทำให้การ Burn Fat แย่ลง เพราะวิตามิน D จะทำให้กลไกล 4 อย่างด้านบนที่กล่าวมานั้น ทำงานได้เป็นอย่างดีวิตามิน B เป็นวิตามินที่หลายคนทานแล้วสดชื่นขึ้น ทานตอนเช้าแล้วอาจจะทำให้รู้สึกมีพลัง หนึ่งในข้อดีของวิตามิน B คือ ช่วยในเรื่องของการ Burn Fat ร่วมด้วยปริมาณในการกินวิตามินL-carnitine โดสโดยปกติจะเม็ดละ 500 มิลลิกรัม การกินจะอยู่ที่ 500 – 2,000 มิลกรัมแล้วแต่คน ถ้าคนที่ Burn ยากหน่อยก็อาจจะเพิ่มเป็น 2,000 มิลลิกรัมได้ โดยควรรับประทาน ครึ่งชั่วโมงก่อนออกกำลัง เพื่อให้ L-carnitine เข้าเซลล์แล้วไปตัดไขมันวิตามิน B ส่วนมากจะกระจายโดสอยู่ที่ 5-10 มิลลิกรัม สามารถทานเป็นวิตามิน B รวมก็ ได้ แต่ต้องระวังถ้ามีวิตามิน B6 เยอะอาจจะทำให้หิวมากยิ่งขึ้นวิตามิน D โดสจะอยู่ที่ 3,000 วิตามิน D3 โดสจะอยู่ที่ 3,000 – 5,000 IU ถ้าคนอยากรู้สึกเผาผลาญเร็ว หรือถ้าอยาก Boost ก่อนในช่วงแรก อาจจะ Overdose ได้ แต่ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์อบเชย 1 ช้อนชาต่อวันโครเมียม 200-600 ไมโครกรัมได้วิตามินกันไปแล้วก็อย่าลืมที่จะออกกำลังกายและดูแลเรื่องอาหารควบคู่กันไปด้วยน้า ฝากไว้นิดดดนึงการออกกำลังกายควรออก 30 นาที ขึ้นไป ถึงจะเกิดการ Burn Fatแต่ถ้าออกแค่ 15 นาที คุณจะน่องโต แทนที่จะ Burn Fat ออกได้ถ้าเดินต้องเดิน 7,499 ก้าว ถึงจะกลายเป็นการ Burn Fat ประมาณ 20 นาที

LUCID DREAM ความฝันที่รู้ตัว

28 เม.ย. 2024

LUCID DREAM ความฝันที่รู้ตัว

วันนี้เราจะมาพูดถึงทฤษฎีนึงที่ที่หลายคนอาจจะรู้จักนั่นก็คือ ลูซิดดรีม (Lucid Dream)ต้องขอถามก่อนว่าทุกคนเคยจำความฝันตัวเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม ?เราขอเดาว่ามันอาจจะมีส่วนใหญ่ก็อาจจะพอจำได้แต่คงไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือบางคนอาจจะจำไม่ได้เลย แต่ทุกคนรู้ไหมว่ามีผู้คนบางกลุ่มที่สามารถรู้ว่าตัวเองกำลังฝันหรือควบคุมตัวเองในความฝัน และเมื่อตื่นมาพวกเขาก็สามารถเล่าความฝันของตัวเองเกือบทั้งหมดและนั่นก็คือการฝันแบบ ลูซิดดรีม (Lucid Dream)ลูซิดดรีม (Lucid Dream) ความฝันที่รู้ว่าตัวเองกำลังฝันอยู่และลูซิดดรีมก็ยังสามารถช่วยเราพัฒนาความคิดสร้างด้วยเพราะสามารถ ควบคุมหรือกำหนดเรื่องราวที่เราจะฝันได้ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงภาวะหลับลึกก็คือช่วง REM (Rapid eyes movement) และมักจะไม่ได้รู้ตัวตั้งแต่ต้น แต่จะมารู้ตัวในช่วงกลาง-ปลายของความฝัน โดยทฤษฎีนี้เกิดขึ้นโดยจิตแพทย์ชาวดัตช์ เฟร็ดเดอริก แวน อีเด็น (Frederik Van Eeden) ซึ่งเขาเป็นผู้ที่ศึกษาความฝันในลักษณะนี้เป็นคนแรก หลังจากนั้นก็เริ่มมีนักจิตวิทยาให้ความสนใจและเป็นที่รู้จักมากขึ้นจาดภาพยนตร์ดังอย่าง Inception ที่เอาไอเดียนี้ไปพัฒนาเป็นเรื่องราวอ้างอิงรูปภาพ : https://www.vecteezy.com/vector-art/11263251-man-counting-sheepและด้วยความที่เราสามารถควบคุมความฝันได้ออกแบบเหตุการณ์ต่างๆได้ด้วยตัวเอง จึงทำให้ขณะที่เราฝัน มีการใช้ ‘สมองซีกขวา’ มากขึ้น ซึ่งเป็นสมองส่วนความคิดสร้างสรรค์ ทำให้เราอาจจะได้ไอเดียใหม่ๆ จากความฝัน ไปใช้แก้ปัญหาหรือนำไปใช้กับงานของตัวเองรวมถึงยังช่วยควบคุมอารมณ์ได้อีกด้วยเพราะช่วงเวลาขณะที่หลับ ถือว่าเป็นอะไรที่ควบคุมยากที่สุด ดังนั้นการที่เราสามารถมีสติได้ในขณะที่เราฝัน เราก็จะสามารถควบคุมจิตใจได้ถึงแม้จะเป็นช่วงที่เราโกรธหรือเสียใจจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้นอกจากนี้ ลูซิดดรีมยังช่วยขจัดความกลัวในจิตใจของเราได้อีกด้วย แน่นอนว่าทุกคนต้องมีความกลัวที่ซ่อนอยู่หรือเหตุการณ์ร้ายๆ ที่ฝังใจ แต่ในความฝัน เราสามารถควบคุมความกลัวและอันตรายเหล่านั้นได้ ทำให้ชีวิตจริงเรามีแนวโน้มที่จะกลัวสิ่งนั้นน้อยลงนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญเรื่อง Lucid Dream เดนโฮล์ม แอสปาย (Denholm Aspy)เคยกล่าวไว้ว่า“บางคนอาจค้นพบพลังวิเศษหรือความสามารถพิเศษขณะที่กำลังฝัน พวกเขาสามารถต่อสู้หรือจัดการกับสิ่งที่มาทำ ร้ายได้ เช่น บินหนี หรือใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อปลุกตัวเองให้ตื่นจากฝันร้ายนั้น”ความเสี่ยงของ Lucid DreamLucid Dream อาจไม่เหมาะกับหลาย ๆ คน เช่นกลุ่มผู้มีจิตเปราะบาง มีความผิดปกติของคลื่นสมอง มีอาการเห็นภาพหลอน (Schizophrenia) หรือหลงผิด (Delusions) อาจยิ่งทำให้ยากต่อการแยกแยะโลกแห่งความจริง และโลกแห่งความฝัน หรือสำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องการนอน ที่ควรให้ความสำคัญกับการนอนหลับลึก นอนให้เต็มอิ่ม ยิ่งฝันให้น้อยยิ่งดี มุ่งเน้นการนอนระดับ N-REM (Non-rapid Eye Movement) ไม่ใช่ REM (Rapid Eye Movement)อ้างอิงรูปภาพ : https://www.freepik.com/free-vectorหากใครอยากลองทำนักวิจัยเขาก็มีวิธีมาให้ทดลองกันแต่ก็อย่าลืมเรื่องความเสี่ยงกันนะต้องดูเรื่องสุขภาพตัวเองกันด้วย1.นั่งสมาธิก่อนนอนซักประมาณ 20-30 นาที ก่อนนอน เพ่งจิตไปที่การหายใจ มีสติทุกลมหายใจ2.ลองจดบันทึกความฝัน เพื่อจดจำรายละเอียดความฝันในแต่ละครั้งของเรา3.ใช้เสียงเพลงมาขับกล่อมขณะหลับ โดยคลื่นความถี่ของเสียงเพลง มีส่วนในการทำให้คลื่นสมองเปลี่ยนไปได้ โดยเป็นเพลง เป็นจังหวะดนตรีที่เรียกว่า ‘binaural beats’ ความถี่ 4 – 8 Hz โดยควบคุมการหายใจให้สอคคล้องกับความถี่และนี่ก็คือ Lucid dream ความฝันที่รู้ตัว แต่ใดๆก็ตามถึงแม้เราจะสามารถควบคุมความฝันได้ด้วยตัวเองทุกคนอาจจะได้ประสบการณ์ที่น่าประทับใจแต่ก็อย่าลืมตระหนักว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันเป็นเพียงความฝันไม่ใช่ความจริง ทุกอย่างย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ทางเราหวังว่าบทความนี้จะสามารถช่วยให้ผู้อ่านทุกคนได้รับทฤษฎีความรู้ใหม่ๆแล้วนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ไม่มากก็น้อยที่มา : https://thematter.co/brief/goodsmorning/goodsmorning-1590107400/112552https://rabbitcare.com/blog/lifestyle/lucid-dream-in-different-context-benefit-and-how-tohttps://www.medicalnewstoday.com/articles/323077#definitionhttps://www.facebook.com/brandthink.me

5 หนังสือดีที่ทุกคนควรมีโอกาสได้อ่านสักครั้งหนึ่งในชีวิต

13 ม.ค. 2024

5 หนังสือดีที่ทุกคนควรมีโอกาสได้อ่านสักครั้งหนึ่งในชีวิต

อ่านหนังสือวันละนิด เข้าใจชีวิตวันละหน่อย เพราะหนังสือเป็นการสื่อสาร 2 ทางระหว่างผู้เขียนที่ต้องการสื่อสารผ่านตัวหนังสือ และผู้อ่านที่สามารถนำแนวคิดต่าง ๆ ไปปรับใช้ในชีวิตจริง วันนี้เราจึงอยากนำเสนอ 5 หนังสือดีที่ทุกคนควรมีโอกาสได้อ่านสักครั้งหนึ่งในชีวิต1.ไม่ว่าคุณจะคิดอะไร ให้คิดตรงข้าม (Whatever You Think, Think the Opposite)http://news.se-ed.com/?p=13034“ไม่ว่าคุณจะคิดอะไร ให้คิดตรงข้าม” ไม่ได้ความว่าสิ่งที่คุณกำลังคิดอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ผิดแต่หนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณเข้าใจมากขึ้นว่า ทุก ๆ คนก็คิดเหมือนกันและสิ่งที่จะทำให้เราโดดเด่นและสามารถประสบความสำเร็จได้นั้นคือ การคิดที่แตกต่างไปจากเดิม ทำให้คุณได้ลองคิด ได้ลองทำอะไรแปลกใหม่มากขึ้นนั้นเอง2. Super Productivehttp://news.se-ed.com/?p=13034หนังสือที่ถอดความคิดของ “รวิศ หาญอุตสาหะ” ผู้บริหารและเจ้าของพอดแคสต์ Mission the moon และ Super Productive ซึ่งเป็นพอดแคสต์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ที่จะพาคุณไปค้นหาแรงจูงใจในการทำงาน การรู้จักตัวเอง ภาวะหมดไฟแบบปลอม ๆ รวมถึงการรับมือกับคน Toxic ที่ผู้เขียนได้ปฏิบัติและสำเร็จมาแล้ว3. Atomic Habitshttps://www.naiin.com/product/detail/508699หนังสือที่ขายดีระดับโลกที่มียอดขายหลายล้านเล่ม ถูกตีพิมพ์ไปแล้วกว่า 40 ภาษา เป็นหนึ่งใน “New York Times Bestseller” เป็นหนังสือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนิสัย ที่มองว่าการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่สามรถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่โดยการนำหลักการทางวิทยาศาสตร์มาให้ในการอธิบาย หากคุณพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองแต่ยังไม่สำเร็จสักที หนังสือเล่มนี้ช่วยคุณได้อย่างแน่นอน4. Sapiens ประวัติย่อมนุษยชาติhttps://www.fathombookspace.co/product/19082-15734/sapiens-a-brief-history-of-humankindหนังสือที่รวบรวมของมวลมนุษยชาติ Homo Sapiens กว่า 70,000 ปีเอาไว้อย่างย่อ ๆ ให้เราเข้าใจถึงที่มาที่ไปของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็น วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ศาสนา ไปจนถึงการวิวัฒนาการมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้เราในฐานะมนุษย์คนหนึ่งจะเข้าใจชีวิตมากขึ้นว่าเราก็แค่มนุษย์ตัวจิ๋วคนหนึ่งที่ยังมีสิ่งที่เรายังไม่รู้อีกมาก5. อย่าปล่อยให้ใคร ฆ่า วาฬ ของคุณhttps://clubsister.com/lifestyle/5-recommend-books-for-officerอีกหนึ่งหนังสือของเจ้าของพอดแคสต์ Mission to the moon และผู้บริหารที่ทำให้บริษัทศรีจันทร์เครื่องสำอางไทยสู่สากล หนังสือเล่มนี้จำทำให้ไฟฝันของคุณกลับมาลุกโชนอีกครั้ง เมื่อคุณได้อ่านหนังสือเล่มนี้ไปเรื่อย ๆ คุณจะเข้าใจเองว่า “วาฬ” ที่หน้าปกหนังสือนั้นคืออะไร แล้วการประสบความสำเร็จและการเอาชนะคนที่เรารู้สึกว่าเก่งนั้นจะไม่ได้เป็นเรื่องยากอีกต่อไปการอ่านหนังสือ แท้จริงเราคือการเรียนรู้ และเข้าใจในตัวตนของเราผ่านหนังสือที่เราอ่าน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางที่ช่วยพัฒนาทักษะในการดำเนินชีวิตของเรา เพราะการอ่านหนังสือต้องใช้ทั้งสมาธิ และการประมวลผลที่เป็นระบบทำให้เราสามารถผ่อนคลายจากปัญหาที่เราพบเจอมาในแต่ละวันได้ อีกทั้งการอ่านหนังสือยังไปกระตุ้นการทำงานของสมอง ที่ชะลอและป้องกันการเป็นโรคอัลไซเมอร์อีกด้วยAuthor : NUTTANON.S

album

0
0.8
1