สูตรลับความงามดั่งไทเฮา

HEALTHY LIFESTYLE

สูตรลับความงามดั่งไทเฮา

17 เม.ย. 2023

            ช่วงนี้แอดมินดูซีรี่จีนเห็นไทเฮาสวย ผิวดี จริงๆมีสูตรลับค่ะ ประวัติอันยาวนานกว่า 2000 ปี ของการแพทย์แผนจีน มีบันทึกถึงการรับประทานอาหารเพื่อความงาม ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในวังหลวง และแพร่กระจายมาสู่สามัญชน วันนี้ขอนำเคล็ดลับความงามสองพันปีมาบอกต่อ เพื่อให้สาวไทยได้งามสะพรั่งดั่งไทเฮา ฮองเฮา แห่งพระราชวังต้องห้ามกันเลยค่ะ

อาหารที่ช่วยเรื่องความสวยความงามประกอบด้วย

1.พุทราแดง
            พุทราแดงมีรสหวาน ฤทธิ์อุ่น สรรพคุณบำรุงม้ามและกระเพาะอาหาร บำรุงเลือด ช่วยเรื่องการนอน ในทางวิทยาศาสตร์พุทราแดงยังประกอบไปด้วยวิตามินมากมาย เช่น วิตามินเอ บำรุงสายตา วิตามินซีช่วยให้ผิวขาว มีแคลเซียมป้องกันโรคกระดุกพรุน และธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเลือด ตามสุภาษิตจีนที่ว่า "พุทรา 3 ลูก หน้าอ่อนลง 3 ปี" พุทราจีน ยังเหมาะกับผู้หญิงที่กลัวหนาว และเหนื่อยง่ายด้วยนะคะ

2.ลำไยแห้ง
            ลำไยแห้งมีรสหวาน ฤทธิ์อุ่น ช่วยเรื่องหัวใจและบำรุงม้าม รักษาโรคเหนื่อยง่าย นอนไม่หลับ ลืมง่าย ใจสั่น ลำไยแห้งยังช่วยชะลอความแก่ มากไปกว่านั้นยังอุดมไปด้วยวิตามิน โปรตีน น้ำตาล และสารต่อต้านเซลล์มะเร็งในมดลูก เหมาะสำหรับผู้หญิงวัยทอง ใจร้อน หงุดหงิดง่าย เหงื่อออกง่าย หรือผู้หญิงที่คลอดบุตร/อยู่ไฟค่ะ

3.เก๋ากี้
            เก๋ากี้มีรสหวาน สรรพคุณรักษาตับ ทำให้ปอดชุ่มชื้น บำรุงร่างกาย ลดความร้อนและทำให้ตาสว่าง ผลจากการวิจัยพบว่าน้ำตาลในเก๋ากี้ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย ชะลอความแก่ ต่อต้านเซลล์มะเร็ง ขจัดอนุมูลอิสระ และลดความอ่อนเพลียของร่างกายได้เช่นกัน

4.แครอท
            แครอทมีรสหวาน มีฤทธิ์อุ่น สรรพคุณบำรุงตับ ทำให้ตาสว่าง ลดความร้อน และแก้พิษ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "โสมดิน" ทั้งอุดมไปด้วยวิตามินเอและสารแคโรทีนบำรุงสายตา แครอทยังช่วยสร้างภูมิต้านทานโรค มีฤทธิ์ขับเหงื่อได้เล็กน้อย ทำให้กระบวนการเมตาบอลิซึมให้ร่างกายและการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น มีผลทำให้ผิวนุ่มลื่น แลดูสุขภาพดี นอกจากนี้แครอทยังช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง


5.รากบัว
            รากบัวมีรสหวาน ฤทธิ์เย็น สรรพคุณลดความร้อน เพิ่มน้ำให้ร่างกาย ทำให้เลือดเย็น ช่วยหยุดเลือด ขับพิษ แต่หากทำสุกจะช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงเลือด เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย รากบัวอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดต วิตามินซี และบีหนึ่ง ยังมีโพแทสเซียม แคลเซียม และธาติเหล็ก เหมาะสำหรับผู้หญิงที่ หงุดหงิดง่าย ใจร้อน หากทานรากบัวบ่อยๆ ยังช่วยให้ใบหน้าและสีผิวดูมีน้ำมีนวล ขาวอมชมพู และลดสิวที่อยู่บนใบหน้าได้ด้วยนะคะ

6.ว่านหางจระเข้ (ใช้พอกหน้า)
            ว่านหางจระเข้ มีสรรพคุณทางยามากมาย ในทางวิทยาศาสตร์ ตัวว่านอุดมไปด้วย วิตามิน อี ช่วยบำรุงผิว วิตามินซี ทำให้ผิวขาว วิตามินเอ และวิตามินบี ที่ทำให้ผิวดูสดใสอ่อนต่อวัย สาร Polysaccharide ในว่านหางจระเข้ ยังช่วยเพิ่มให้ภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซ่อมแซมกล้ามเนื้อ ขจัดจุดด่างดำป้องกันรังสีอัลตร้าไวโอเลต ชะลอความแก่ และทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น

            ของใกลัตัวหลายอย่าง ช่วยให้สาวๆ 'เป๊ะ' ได้ไม่ยาก แถมราคาไม่แพง ใครสนใจลองเอาเคล็ดลับเหล่านี้ไปใช้ดูนะคะ เราจะสวย สุขภาพดีไปด้วยกันค่ะ ^^

 

ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็ม

Collector by รุ่งโนรี ’Girl Music & Travel Lover

related HEALTHY LIFESTYLE

เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว ระวังเป็นโรคซึมเศร้าตามฤดูกาล

01 พ.ย. 2022

เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว ระวังเป็นโรคซึมเศร้าตามฤดูกาล

ตื่นเช้ามาอากาศเย็นๆ พอเที่ยงๆเริ่มแดดออก ตกบ่ายฟ้าครึ้มเหมือนฝนจะตก…ปรับการใช้ชีวิตกันไม่ทันแล้วค่ะ แล้วอารมณ์ของเราจะปรับทันหรอ จริงมั้ยคะ ? บางวันแอดตื่นมาก็รู้สึกเหนื่อยๆ มองท้องฟ้าครึ้มๆยิ่งรู้สึกเศร้าใจ โดยไม่มีสาเหตุ บางวันแดดร้อนมากๆก็รู้สึกหงุดหงิด นั้นเป็นเพราะอากาศส่งผลต่ออารมณ์ของเรานั้นเองภาพจาก pixabay.com ในทางการแพทย์กล่าวว่า อุณหภูมิที่อยู่ภายนอกมักจะส่งผลต่อระบบการทำงานในร่างกายของตัวเราด้วยยิ่งอากาศลดต่ำลงการทำงานของร่างกายก็จะช้าลง และยังสอดคล้องในเรื่องของระยะเวลาการเกิดกลางวันกลางคืนอีกด้วย ซึ่งช่วงฤดูหนาวเวลากลางวันจะสั้นกว่าช่วงกลางคืน ทำให้ส่งผลต่อนาฬิกาในการใช้ชีวิตของเรา หรือการดำเนินชีวิตของเราก็จะแตกต่างกันออกไปด้วย ทำให้ร่างกายมีการทำงานและมีกลไกบางอย่างที่ทำงานผิดปกติไป หรือไม่สามารถปรับตัวได้ทันกับอุณหภูมิภายนอก ก็จะส่งผลให้เกิดอาการทางจิตเวชตามมาภาพจาก brandinside.asiaหรือที่เรียกว่าโรคซึมเศร้าตามฤดูกาล Seasonal affective disorder (SAD) คือ โรคทางอารมณ์ชนิดหนึ่งที่จะเกิดในช่วงเวลาเดียวกัน ในแต่ละปี และมักจะเกิดขึ้นในหน้าหนาว อาจจะทำให้มีอากาศ ซึมเศร้า เก็บตัว รู้สึกเหนื่อยล้าแล้วแบบนี้มีวิธีแก้ไหมนะ?ภาพจาก sunawaythailand.comหากไม่อยากอารมณ์เปลี่ยนไปตามอากาศแบบนี้ก็ต้องดูแลตัวเองมากขึ้น ง่ายๆ1.เปิดม่าน ให้ร่างกายได้โดนแดดอ่อนๆในยามเช้า เพราะแสงแดดมีสารที่ชื่อว่า เซโรโทนิน ทำให้อารมณ์ดีขึ้น2.เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น กล้วย ถั่ว ป๋นอาหารที่ช่วยสร้าง เซโรโทนิน ทำให้เราอารมณ์ดี3. ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ 30-60 นาทีต่อวัน นอกจากจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังทำให้เราเห็นคุณค่าในตัวเอง ทำให้เรามีความสุขกับการใช้ชีวิตมากขึ้นค่ะ ถ้ามีอาการ บางทีก็เศร้าซึมแบบไม่ทราบสาเหตุ อย่าพึ่งคิดมากนะทุกคน บางทีอาจจะเป็นเพราะ สาเหตุข้างต้นได้ เพราะฉนั้น ลองแก้ไขตามวิธีที่แอดให้ไปก่อน หรือวิธีที่ง่ายที่สุด เปิดเพลงฟังให้สบายหู ที่ Green Wave 106.5 FM ก็จะช่วยให้อารมณ์ดีได้นะคะ และหากบทความนี้เป็นประโยชน์ก็แชร์ให้เพื่อนๆได้รู้กันได้เลยน้าแหล่งอ้างอิง : https://www.gqthailand.com/lifestyle/article/men-improve-sex-life-doing-householdแหล่งอ้างอิง : https://nph.go.th/?p=4758แหล่งอ้างอิง : https://www.alljitblog.com/?p=3710

เช็คด่วน! พฤติกรรมเสี่ยงโรคร้ายทำลายสุขภาพวัยทำงาน

18 ม.ค. 2024

เช็คด่วน! พฤติกรรมเสี่ยงโรคร้ายทำลายสุขภาพวัยทำงาน

ในชีวิตของการทำงานผู้คนมักเร่งรีบ แข่งขันกับเวลาอยู่เสมอ เลยอาจจะมักทำพฤติกรรมที่ส่งผลร้ายจนเป็นเรื่องปกติ และเผลอละเลยสุขภาพของตนเองไป1. นั่งท่าเดิมนานเกินไปโรคออฟฟิศซินโดรมเป็นโรคที่ชาวออฟฟิศหลายคนรู้จักกัน เพราะเกิดจากการนั่งทำงานตลอดวันแบบไม่ค่อยได้เปลี่ยนท่าทาง ทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการตึง ก่อให้เกิดกล้ามเนื้ออักเสบจนมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ปวดหลัง ไหล่ คอ และบ่า รวมถึงการจ้องจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ส่งผลให้ปวดตา ปวดกระบอกตา และเสี่ยงโรคไมเกรนได้ด้วยเช่นกัน2. นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอคนส่วนใหญ่มักคิดว่าการนอนดึกมักไม่ใช่ปัญหาใหญ่ และไม่ทราบถึงภัยอันตรายที่ส่งผลต่อสุขภาพหลายคนอาจคิดว่านอนดึก เดี๋ยวค่อยตื่นสายก็ได้ แต่พฤติกรรมแบบนี้จะส่งผลให้นาฬิกาชีวิตพังหรือร่างกายทำงานไม่เป็นระบบ เพราะอวัยวะในแต่ละส่วนของร่างกายมีนาฬิกาเป็นของตัวเอง ฮอร์โมนในร่างกายอีกหลายชนิดหลั่งเป็นเวลา ส่วนที่เป็นหัวใจสำคัญคือ การนอน เนื่องจากร่างกายต้องการเวลาในการซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ที่ซึกหรอ รวมไปถึงฟื้นฟูร่างกายให้พร้อม การที่นอนดึกและพักผ่อนไม่เพียงพอนั้น จะทำให้มีปัญหาในระยะยาวได้ เช่น นอนตื่นมาแล้วไม่สดชื่น สมาธิสั้น รวมถึงเสี่ยงต่อโรคร้ายอีกหลายโรค3. อดอาหารเช้า/ทานอาหารไม่ตรงเวลาเพื่อที่จะได้เข้างานตรงเวลา หลายคนเลยมองข้ามการทานอาหารเช้าไป หรือว่าทำงานจนลืมเวลาอาหาร ทานไม่ตรงเวลา หรือกระทั่งอดมื้อนั้นๆไปเลย พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร เสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคหลายโรค ไม่ว่าจะเป็นกระเพาะอาหารอักเสบ โรคกรดไหลย้อน โรคลำไส้แปรปรวน และโรคท้องผูกเรื้อรังได้4. ทานอาหารไม่มีประโยชน์ชีวิตประจำวันที่ต้องเร่งรีบอยู่ตลอดเวลา คนส่วนใหญ่มักบริโภคอาหารรสจัด ของมัน ของทอด น้ำอัดลม อาหารJunk Food หรืออาหารสำเร็จรูปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือการทำงานจนดึกดื่นแล้วค่อยมากินข้าวทีเดียวก่อนนอน พฤติกรรมแบบนี้ทำให้มีความเสี่ยงที่เกิดโรคตามมามากมาย เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคอ้วน โรคตับ โรคอาหารไม่ย่อย และโรคอื่น ๆ อีกมากมาย เนื่องจากอาหารประเภทนี้มักจะมีไขมันและคอเลสเตอรอลในอัตราที่สูงมาก รวมไปถึงปริมาณน้ำตาลและโซเดียมที่สูงกว่าอาหารทั่วไป5. ดื่มเหล้า สูบบุหรี่การดื่มแอลกอฮอล์เพื่อสังสรรค์กับเพื่อนหลังเลิกงาน ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความสุขและความสัมพันธ์ที่ดี แต่การสังสรรค์ที่มากจนเกินไป อาจเกิดภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษและทำให้ร่างกายพังได้ รวมถึงส่งผลให้พักผ่อนไม่เพียงพอ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำจะทำให้เสี่ยงต่อโรคตับแข็ง มะเร็งตับ หรือโรคหัวใจได้ นอกจากนี้บางคนยังนิยมสูบบุหรี่ระหว่างการทำงานด้วย ทำให้เสี่ยงต่อการโรคมะเร็งปอด โรคถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมไปถึงโรคอื่น ๆ ที่จะตามมาในอนาคต6. กลั้นปัสสาวะขณะทำงาน ไม่ยอมลุกไปเข้าห้องน้ำการนั่งเป็นเวลานานและไม่หยุดพัก นอกจากจะเสี่ยงในเรื่องของออฟฟิศซินโดรมแล้ว อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของกระเพาะปัสสาวะอีกด้วย เนื่องจากการนั่งทำงานจนไม่ลุกไปไหนแม้แต่การเข้าห้องน้ำและกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน ทำให้เชื้อโรคในปัสสาวะเจริญเติบโตได้ดี เป็นสาเหตุของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบและกรวยไตอักเสบขอบคุณข้อมูลจาก:https://th.jobsdb.com/th/career-advice/article/7-%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9Ehttps://www.bangkokhospital.com/content/7-popular-diseases-that-threaten-workersAuthor : สามสิบสิงหา

เช็คลิสต์เลย! ขี้ลืมเฉย ๆ หรือเป็นโรคสมองเสื่อม?

31 ส.ค. 2022

เช็คลิสต์เลย! ขี้ลืมเฉย ๆ หรือเป็นโรคสมองเสื่อม?

ทุกครั้งที่ปิดประตูบ้านจะเกิดคำถามว่า … เอากุญแจออกมารึยังนะ ?พอลงจากรถ จะเกิดคำถามว่า ล็อกรถรึยังนะ?เวลานั่งเม้าท์มอยกับเพื่อน สักพัก…จะถามตัวเองว่า เมื่อกี้จะพูดว่าอะไรนะ?ลืมนั่น! ลืมนี่! ลืมไม่ไหว! อาการขี้หลงขี้ลืมในเรื่องเล็กน้อย ทั้ง ๆ ที่ยังอายุไม่เยอะ ถือว่ายังไม่เป็นโรคสมองเสื่อมค่ะ แต่อย่างไรก็ตามควรรู้สาเหตุและรีบแก้ไข เพราะอาจจะส่งผลต่อสุขภาพระยะยาวได้ซึ่งสาเหตุมีดังนี้ค่ะ1. เกิดจากการนอนไม่เพียงพอ 6-8 ชม.ต่อวัน ทำให้เกิดอาการมึนหัว ตาไม่สว่าง สมองไม่ปลอดโปร่ง2. เหนื่อยสะสม ทำงานติดต่อกันโดยไม่ได้พักผ่อน3. ความเครียด เวลาเราอยู่ในภาวะเครียด เราเองจะลืมบทสนทนาไปโดยฉับพลันได้4. โรคซึมเศร้า เพราะความปกติของสารในสมองมีผลต่อความจำและความคิดได้เช่นกัน และเมื่อเป็นซึมเศร้าจะ ทำให้ความสนใจในเหตุการณ์ปัจจุบันนั้นลดต่ำลง5. ทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน เป็นปัญหาของวัยรุ่น Productive ที่ต้องทำอะไรหลาย ๆ อย่าง คิดอะไรหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน ทำให้ไม่มีสมาธิและโฟกัสเท่าที่ควร6. ไม่ออกกำลังกาย อาจจะมีผลทางอ้อม คือร่างกายไม่ค่อยได้รับออกซิเจน ทำให้สมองไม่ได้รับออกซิเจนไปด้วย7. การกินยาบางชนิด ยาในกลุ่มแอนตี้โคลิเนอร์จิก (Anticholinergic) ยากลุ่มนี้จะเข้าไปขัดการทำงานของสารสื่อประสาทด้านความจำ *ในกรณีนี้หากเกี่ยวกับยาที่จำเป็นต้องทาน เมื่อเกิดอาการหลงลืมจนกระทบกับชีวิตประจำวัน แอดแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ที่ให้ยาค่ะ เพื่อได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องหากเราไม่ได้มีพฤติกรรม 7 อย่างข้างบน แล้วยังมีอาการหลงลืมล่ะ?ภาพจาก : freepik.comงั้นมาสังเกตกันค่ะ ว่าอาการเบื้องต้นของโรคสมองเสื่อมในคนอายุน้อย มีอะไรบ้าง1. ลืม วัน เดือน ปี ลืมนัดสำคัญหรือบางคนถึงขั้นลืมวันเกิดตัวเอง2. บุคลิกภาพเปลี่ยน เช่น พูดไม่ได้ใจความ บางครั้งพูดติด ๆ ขัด ๆ หรือพูดซ้ำ ๆ ทำให้ประสิทธิภาพในการสื่อสารกับคนรอบข้างถดถอยลง3. การตัดสินใจแย่ลง การตัดสินใจไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ หรือต้องใช้เวลานานในการตัดสินใจ4. มักเกิดความผิดพลาดในการกะระยะ การบอกสี ซึ่งเป็นปัญหามากถ้าผู้ป่วยต้องขับรถ5. ภาวะเครียด ซึมเศร้า แยกตัวออกจากสังคม6. ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ไม่มีสมาธิ กระวนกระวาย ย้ำคิดย้ำทำ หากคุณเริ่มมีอาการข้างต้นนี้ แอดแนะนำให้ไปพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาค่ะ โดยเฉพาะในคนอายุน้อย ที่ยังมีกิจกรรมมากมายที่ต้องทำ ทั้งเรื่องของการงาน และการเข้าสังคม หากปล่อยไว้อาจกระทบกับชีวิตประจำวันระยะยาวได้นะคะส่วนถ้ามีอาการหลงลืมเล็ก ๆ น้อย ๆ แนะนำให้ปรับพฤติกรรม นอนหลับให้เพียงพอ 6-8 ชม.และลดความเครียด พักทำกิจกรรมที่ทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย เช่นวาดรูป ร้องเพลง หรือการฟังเพลงที่ Green Wave 106.5 FM ก็ช่วยให้ผ่อนคลายได้นะคะที่มา https://bit.ly/3C8hmo8ที่มา https://www.mangozero.com/forgetfulness-in-teens/

เป็นตะคริวบ่อย เกิดจากอะไร?

27 เม.ย. 2022

เป็นตะคริวบ่อย เกิดจากอะไร?

หลายคนมีปัญหาของตะคริวกินที่ขา สาเหตุที่เป็นตะคริวยังไม่เป็นที่แน่ชัด โดยมีทั้งตะคริวประเภทที่เกิดขึ้นเองโดยไม่ทราบสาเหตุ และประเภทที่มีสาเหตุร่วมด้วยเราไปหาคำตอบกับแพทย์แผนจีนกันค่ะในแพทย์แผนจีน ตะคริว มาจากปัญหาของความเย็น ความเย็นจะทำให้เกิดกล้ามเนื้อหดเกร็งง่าย ส่วนใหญ่จะมาจากปัญหาของไตหยางอ่อนแอ หรือไฟในร่างกายไม่มี ทำให้ร่างกายเย็น หลายคนรับประทานอาหารจำพวกผักผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็น ก็อาจจะทำให้เกิดตะคริวง่ายค่ะส่วนใหญ่การออกกำลังกาย ซึ่งตะคริวมักจะเกิดขึ้นขณะที่กำลังพัก หลังจากการออกกำลังกาย บางคนภาวะที่เกี่ยวกับระบบประสาท เช่น ปลายประสาทอักเสบ หลายคนโรคตับ หากตับทำงานได้อย่างไม่ถูกต้อง จะทำให้เกิดสารพิษไปยังกระแสเลือด ซึ่งสามารถทำให้กล้ามเนื้อเกิดการกระตุกหรือหดเกร็งตัวผู้ป่วยโรคไต อาจทำให้มีเกลือแร่บางชนิดต่ำ และส่งผลให้มีตะคริวได้ค่ะการฟอกไต หรือภาวะเกลือแร่ในร่างกายต่ำ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียมโรคที่ทำให้มีภาวะแคลเซียมต่ำ เช่น บกพร่องฮอร์โมนพาราไทรอยด์ ก็ทำให้เกิดตะคริวได้เช่นกันนะคะรู้หรือไม่- ผู้สูงอายุที่เสียมวลกล้ามเนื้อไปมากแล้ว กล้ามเนื้อที่เหลือสามารถเกิดความตึงเครียดได้ง่าย- การเสียน้ำของร่างกาย นักกีฬาที่อ่อนล้าและเสียเหงื่อมาก ซึ่งเล่นกีฬาในที่ที่มีอากาศร้อนมักจะเกิดตะคริวได้ง่ายค่ะ- การตั้งครรภ์ การเกิดตะคริวจะพบได้บ่อยในหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะขาดแคลเซียม- โรคประจำตัวหรือภาวะทางการแพทย์ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคเกี่ยวกับเส้นประสาท โรคตับหรือไทรอยด์ มีโอกาสสูงที่จะเกิดตะคริวได้เช่นกันนะคะหากเป็นตะคริวแพทย์แผนจีนมีเทคนิคดีๆมาฝากค่ะการบริหารขณะที่เกิดตะคริวเพื่อบรรเทาความเจ็บและหยุดตะคริว คือการยืดเส้น หรือการนวดที่กล้ามเนื้อที่เกิดตะคริว เช่น การเหยียดเท้าไปด้านหน้าและยกเท้าขึ้นแล้วดัดข้อเท้าให้นิ้วเท้าเข้ามาทางหน้าแข้ง และใช้ส้นเท้าเดินไปรอบๆ โดยใช้เวลาเพียง 1 – 2 นาที ต่อ 1 ครั้ง ทำประมาณ 3 – 5 ครั้งการบริหารเพื่อป้องกันการเกิดตะคริว เพื่อลดโอกาสเป็นตะคริว ควรบริหารร่างกายเพื่อยืดกล้ามเนื้อวันละ 3 ครั้ง เช่น หากมักเป็นตะคริวที่น่อง ให้ยืนห่างจากกำแพง 1 เมตร เอนตัวไปข้างหน้าให้มือแตะโดนกำแพง โดยวางเท้าให้แบนราบไปกับพื้น ทำค้างไว้ประมาณ 5 วินาที ทำไปเรื่อยๆ ให้ครบ 5 นาที เพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุดควรทำให้ได้วันละ 3 ครั้ง เท่านี้ก็ป้องกันตะคริวได้แล้วค่ะถ้าเป็นตะคริวที่น่องเหยียดขาข้างที่เป็นตะคริวออกให้สุด ใช้มือข้างหนึ่งประคองส้นเท้าไว้ ส่วนมืออีกข้างค่อยๆ ดันปลายเท้าขึ้นลงอย่างช้าๆ ประมาณ 5 นาที แล้วนวดที่น่องเบาๆ ไม่ควรนวดแรง เพราะกล้ามเนื้ออาจจะบาดเจ็บ ทำให้ตะคริวกลับมาอีกได้ค่ะถ้าเป็นตะคริวที่ต้นขาเหยียดขาข้างที่เป็นตะคริวออกให้สุด ใช้มือข้างหนึ่งประคองส้นเท้าไว้ ส่วนมืออีกข้างค่อยๆ กดลงบนหัวเข่า แล้วนวดต้นขาบริเวณที่เป็นตะคริวเบาๆนะคะถ้าเป็นตะคริวที่นิ้วเท้าเหยียดนิ้วเท้าตรงและลุกขึ้นยืนเขย่งเท้า เดินไปมาเพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัวจากนั้นค่อยๆ นวดบริเวณนิ้วเท้าเบาๆค่ะ ถ้าเป็นตะคริวที่นิ้วมือเหยียดนิ้วมือออกเพื่อให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นคลายออก จากนั้นก็ค่อยๆนวดนิ้วมือทีละนิ้วเบาๆค่ะวิธีป้องกันอื่นๆ ที่ทำได้ด้วยตัวเองแพทย์แผนจีนแนะนำดื่มน้ำให้มากพอในแต่ละวัน อย่าให้ร่างกายขาดน้ำ โดยเฉพาะเวลาออกกำลังกาย1. ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์2.รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพที่อุดมไปด้วยแคลเซียม โพแทสเซียมและแมกนีเซียม (โดยเฉพาะผู้ที่ตั้งครรภ์) อยากให้กินปลาที่สามารถกินได้ทั้งกระดูกยืด เตรียมกล้ามเนื้อก่อนการเล่นกีฬา และการออกกำลังกายต่างๆ3.ไม่ควรออกกำลังกายทันทีหลังจากเพิ่งรับประทานอาหารเสร็จใหม่ๆนะคะ4.ลดปริมาณการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เช่น กาแฟช็อกโกแลต อาจจะทำให้การดูดซึมของแคลเซียมลดน้อยลงอาหารที่ควรรับประทานเพื่อป้องกันตะคริวน้ำมะเขือเทศ น้ำส้ม มะนาว นม กล้วย เมล็ดผักทอง งา ถั่วเหลือง ปวยเล้ง ปลาทะเล และวิตามินอื่นๆอาหารที่ควรเลี่ยงชา กาแฟ น้ำอัดลม คาเฟอีนจากเครื่องดื่มเหล่านี้ เป็นตัวการทำให้เลือดข้น เมื่อเลือดไหลเวียนไม่สะดวก กล้ามเนื้อจะแข็งเกร็ง จนกายเป็นตะคริวไปในที่สุด สำหรับคนที่อายุมาก และมีปัญหาการเกิดตะคริวบ่อยๆ ไม่ควรรับประทานผักผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็น เช่น มะระ แตงโม ผักบุ้ง ฟักต่างๆ เต้าหู้ เพราะอาหารเหล่านี้มีฤทธิ์เย็น อาจจะทำเกิดตะคริวได้ง่ายการรักษาการเกิดตะคริวในแพทย์แผนจีน จะเน้นบำรุงไต ขับความเย็น ช่วยเสริมเลือดลมในร่างกายไหลเวียนดีขึ้น ทำให้ร่างกายขับความเย็นได้ สามารถช่วยลดการเกิดตะคริวได้เช่นกัน สามารถรักษาได้ด้วยการฝังเข็มและทานยาจีนค่ะขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

album

0
0.8
1