ตดเหม็นไม่ใช่เรื่องน่าอาย อาจจะมีอันตรายกับลำไส้

HEALTHY LIFESTYLE

ตดเหม็นไม่ใช่เรื่องน่าอาย อาจจะมีอันตรายกับลำไส้

13 ม.ค. 2023

ตดเหม็นอันตรายไหม 
การผายลม หรือ การตด ฟังดูแล้วเป็นเรื่องน่าอาย และน่าขบขันไม่น้อย แต่มันก็เป็นเพียงกระบวนการทางธรรมชาติของร่างกาย ในการขับไล่ลมหรือแก๊สผ่านลำไส้ใหญ่เท่านั้นค่ะ ทุกครั้งที่เรากินอาหาร ดื่มเครื่องดื่ม หรือแม้กระทั่งพูดคุยทั่วไป เรากลืนอากาศเข้าไปด้วย การตดในชีวิตประจำวันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่หลายคนก็ยังคงมีข้อข้องใจว่า ตดบ่อยแค่ไหนเรียกว่าปกติ? ตดดัง และเหม็นเป็นสัญญาณอันตรายเกี่ยวกับสุขภาพหรือไม่? บทความนี้จะช่วยไขข้อข้องใจเกี่ยวกับปัญหาการผายลมเหล่านี้เองค่ะ

 

ตดบ่อยแค่ไหน เรียกว่าปกติ?
            โดยปกติแล้ว ผู้ที่มีร่างกายอุดมสมบูรณ์และแข็งแรงดี จะตดประมาณ 14 - 23 ครั้งต่อวัน เมื่อใช้เกณฑ์นี้เป็นตัววัดแล้ว การผายลมที่มากกว่า 23 ครั้งภายในหนึ่งวันถือว่าผิดปกติค่ะ โดยความผิดปกตินี้อาจเกิดจากการรับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่มที่ทำให้เกิดแก๊สในร่างกายมากเกินไป เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่ว ชีส กระหล่ำปลี หัวหอม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และน้ำอัดลม หรืออาจเกิดจากภาวะความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งภายในร่างกาย

การผายลมบ่อยมากเกินไปนั้น เป็นสัญญาณที่บ่งบอกสุขภาพภายในได้เป็นอย่างดี ซึ่งภาวะหรือโรคที่เกี่ยวข้องกับการผายลมมีด้วยกันดังนี้ค่ะ

 • โรคมะเร็งลำไส้
 • โรคลำไส้แปรปรวน
 • ระบบดูดซึมอาหารทำงานผิดปกติ
 • การแพ้อาหารที่มีส่วนประกอบของแลคโตส (lactose) เช่น นมวัวและโยเกิร์ต
 • ภาวะที่เกี่ยวของกับกระเพาอาหาร เช่น การที่อาหารเป็นพิษ

            เราควรหมั่นนับจำนวนครั้งที่เราผายลมในแต่ละวัน เพื่อสังเกตการทำงานที่เกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหารและลำไส้ หากมีการผายลมที่บ่อยครั้งเกินไปติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สได้ง่าย แต่หากยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง และหาทางแก้ไขอย่างเร็วที่สุดนะคะ

 

ตดดังและตดเหม็น อันตรายหรือไม่?
การผายลมที่มีเสียงดัง เกิดจากการที่แก๊สถูกขับออกมาด้วยแรงดันอากาศหรือแรงเบ่งที่สูงมาก หรืออาจเกิดจากการที่แก๊สต้องแทรกตัวผ่านกล้ามเนื้อหูรูดที่บีบตัวแน่น เสียงที่มาพร้อมกับการผายลมจึงไม่ได้บ่งบอกถึงความผิดปกติอะไร

            ส่วนกลิ่นตดนั้น ขึ้นอยู่กับอาหารที่เรารับประทานเข้าไป ส่วนใหญ่แล้วอาหารจำพวกโปรตีนจะก่อให้เกิดแก๊สที่มีกลิ่นเหม็นมาก เช่น อาหารกลุ่มเนื้อสัตว์ ไข่ ชีส และนม รวมไปถึงถั่วชนิดต่างๆด้วย อีกทั้งแก๊สเหล่านี้ต้องเดินทางผ่านลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นศูนย์รวมของอาหาร และกากอาหารที่ถูกย่อยสลายแล้ว จึงมีกลิ่นเหม็นเป็นธรรมดาและไม่ถือว่าเป็นสัญญาณของความผิดปกติของสุขภาพแต่อย่างใด

            ในแพทย์แผนจีนการที่ตดบ่อย และมีกลิ่นเหม็นมากๆนั้น คืออาการของลำไส้ กระเพาะอาหาร ม้ามทำงานไม่ดี กลิ่นเหม็นยิ่งมาก มักจะมาจากความร้อนชื้น การที่จะลดความร้อนชื้นได้นั้น เราไม่ควรรับประทานเนื้อสัตว์เยอะ ไม่รับประทานอาหารที่มีฤทธิ์เผ็ดร้อน พยายามดื่มน้ำมากๆ ก็อาจจะช่วยลดอาการตดเหม็นได้ค่ะ

                        
ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็ม

Collector by รุ่งโนรี ’Girl Music & Travel Lover

related HEALTHY LIFESTYLE

ไม่อยากเป็นเกาต์ ให้เค้าดูแลสิ

01 มี.ค. 2022

ไม่อยากเป็นเกาต์ ให้เค้าดูแลสิ

โรคเกาต์เป็นโรคข้ออักเสบที่เกิดจากผลึกของ Monosodium Urate Monohydrate ตกตะกอนในข้อ ซึ่งมีผลมาจากกรดยูริก ซึ่งเป็นผลผลิตของกระบวนการเมตาบอลิสซึ่มของสารพิวรีน (Purene metabolism) ฟังแล้วอาจจะงง แต่ถ้า พิวรีนสูงมากจนตกตะกอนเป็นผลึกของยูเรทสะสมตามข้อต่อเนื้อเยื่อ รอบๆ ข้อและไต ทำให้พบผลึกนี้ในเม็ดเลือดขาวของน้ำไขข้อจากการเจาะข้อที่กำลังอักเสบได้เลยนะคะโรคเกาต์เป็นโรคปวดข้อเรื้อรังชนิดหนึ่ง ส่วนใหญ่จะพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงส่วนมากพบในผู้ชายอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป เพราะผู้ชาย ชอบกินเหล้า กินเบียร์ จริงๆ แล้วการขับยูริกในผู้หญิงจะดีกว่าผู้ชายส่วนผู้หญิงพบได้น้อย ถ้าพบมักจะเป็นหลังวัยหมดประจำเดือนค่ะปวดเกาต์ ปวดแรกๆมักจะเป็นเพียงข้อเดียว ข้อที่พบส่วนมาก จะเป็นนิ้วหัวแม่เท้า ส่วนข้อเท้า ข้อเข่า ก็อาจพบในผู้ป่วยบางราย ข้อจะบวมและเจ็บมากจนเดินไม่ไหว ผิวหนังในบริเวณนั้นจะตึง เอาหลังมือไปวัดจะร้อนและแดง ขณะที่เดินอาการ เริ่มทุเลา ผิวหนังบริเวณนั้นจะลอกและคันได้ผู้ป่วยมักเริ่มมีอาการปวดในช่วงตอนกลางคืน และมักจะเป็นหลังดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ไตขับกรดยูริกได้น้อยลง หรือ หลังกินเลี้ยง โต๊ะจีนมื้ออาหารที่กินมากกว่าปกติ หรือ เดินสะดุด บางครั้งอาจมีอาการขณะมีภาวะความเครียดทางจิตใจก็อาจจะทำให้ปวดได้ค่ะถ้าปวดเกาต์ข้อที่ปวดจะมีลักษณะ บวม แดง ร้อน อาจมีไข้ร่วมด้วย บางรายอาจมีตุ่มขึ้นใสๆ หรือมีน้ำไหลออกมา ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจะทำให้เกิดภาวะข้อพิการ นิ่วในทางเดินปัสสาวะ ซึ่งอาจทำให้มีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะแทรกซ้อนตามมาได้และเป็นโรคไตในที่สุดค่ะนอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ป่วยโรคเกาต์มักมีโอกาสเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง และภาวะหลอดเลือดแดงแข็งมากกว่าคนปกติ และหากไม่ได้ควบคุมโรคเหล่านี้ ในที่สุดก็อาจกลายเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมองตีบและไตวายได้นะคะ1. อาการปวดจาก ลม-ชื้น-ร้อนอาการอักเสบเฉียบพลัน มักเกิดเวลากลางคืนมีไข้ร่วม กระหายน้ำ แน่นหน้าอกปวดหัว เหงื่อออก ปัสสาวะเข้ม ท้องผูก- อาการโรคเกาต์ตามกลุ่มอาการลมร้อนชื้น ทานยาสมุนไพรจีนที่มีสรรพคุณ แก้ปวด ขับร้อน ขับชื้น สลายลมร้อน2. อาการปวดจาก ลม-เย็น-ชื้น ข้อบวม อักเสบ เคลื่อนไหวข้อลำบาก มีก้อน Tophiถ้าลมเยอะตำแหน่งข้อที่อักเสบจะเปลี่ยน ถ้าความเย็นมาก จะปวด อักเสบมากและเป็นเฉพาะบางที่ ถ้าความชื้นมาก ข้อจะหนัก ไม่เปลี่ยนตำแหน่ง ร่วมกับอาการชาร่วมด้วย- อาการตามกลุ่มลมเย็นชื้น และม้ามพร่อง ทานยาสมุนไพรจีนที่มีสรรพคุณ แก้ปวด สลายลมเย็น ขับชื้น อุ่นเส้นลมปราณ บำรุงม้าม3. อาการปวดจากเสมหะอุดตันเป็นระยะข้ออักเสบเรื้อรัง ข้อผิดรูป มีก้อน Tophi มากจนทะลุออกมา ผิวหนังเปลี่ยนสีลิ้นซีดและใหญ่หรือเป็นสีม่วงคล้ำ มีตำรับยาสมุนไพรจีนต่างๆ หลายตำรับสำหรับอาการปวดบวมแต่ละชนิด- อาการโรคเกาต์ตามกลุ่มอาการเสมหะอุดตัน ทำการฝังเข็มตามจุดเส้นลมปราณที่มีสรรพคุณ แก้ปวด สลาย และขับเสมหะฝังเข็มตามกลุ่มอาการ ทำการฝังเข็มปรับสมดุลร่างกายตามกลุ่มอาการต่างๆ ลดเสมหะ ขับลม ลดร้อน หรือลดเย็น ขึ้นอยู่กับหัตถการของแพทย์แต่ละท่านถ้ารู้ว่าเป็นเก๊าต์หรือยูริกสูง ควรปฏิบัติตัวยังไง เรามีคำแนะนำจากแพทย์แผนจีนมาฝากค่ะ1. ควรดื่มน้ำสะอาดให้ปริมาณเพียงพอ เพื่อป้องกันนิ่วในไต2. กรณีอ้วน ควรลดน้ำหนักลงทีละน้อย ไม่ควรลดแบบหักโหมฮวบฮาบ เพราะอาจทำให้มีการสลายตัวของเซลล์รวดเร็วเกินไป และมีการสร้างกรดยูริก ทำให้ข้ออักเสบกำเริบได้ค่ะ3. ควรงดแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์4. ควรระวังอย่าให้ข้อกระดูกได้รับบาดเจ็บ5. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น เครื่องในสัตว์ ไข่ปลา ปลาซาร์ดีน หอย กะปิ อาหารที่มียีสต์ และยอดผักชนิดต่างๆสมุนไพรที่ช่วยลดการเกิดเก๊าต์1.ลูกเดือยสรรพคุณของลูกเดือยนั่นก็คือ ช่วยขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน ขับความชื้นบำรุงสุขภาพ บำรุงไต ม้าม บำรุงเลือดลม อีกทั้งยังบรรเทาอาการโรคเก๊าต์ จากความร้อนชื้น ได้อีกด้วย วิธีใช้ ต้มเป็นน้ำ กินได้ทั้งเนื้อและน้ำค่ะ2.เห็ดหลินจือมีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟูการทำงานของไต และลดการอักเสบของไต เมื่อไตทำงานดีขึ้นทำให้ไตสามารถขับกรดยูริคออกจากร่างกายได้มากขึ้น ยิ่งควบคุมอาหารที่มีสารพิวรีนด้วยแล้ว ยิ่งทำให้บรรเทาอาการได้ดียิ่งขึ้น ชงเป็นชาก็ได้นะคะ3.ขมิ้นชันจัดเป็นสมุนไพรประจำบ้านสรรพคุณครอบจักรวาล ซึ่งขมิ้นชันช่วยลดอาการอักเสบ ลดอาการปวดข้อ ทำให้อาการปวดข้อลดลง เป็นผลดีต่อคนเป็นเกาต์ วิธีใช้ ใช้ทานเป็นอาหาร หรือทานสด4.ชาตะไคร้ใบเตยนำตะไคร้ 4 - 5 ต้น ใบเตย 2 - 3 ใบ ล้างน้ำให้สะอาด นำไปต้มในน้ำ ปิดฝาประมาณ 30 นาที ดื่มแทนน้ำประมาณ 1 สัปดาห์ ช่วยล้างกรดยูริคในกระแสเลือด แต่การทานสมุนไพรนี้มีผลให้ปัสสาวะบ่อยนะคะ“ไม่อยากเป็นเกาต์ ให้เค้าดูแล” แต่ถ้าไม่มีใครเทคแคร์ เราก็ต้องดูแลตัวเองนะคะทุกคน ด้วยความปรารถนาดีจาก Green Wave ค่ะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

เม็ดเลือดขาวต่ำ ดูแลตัวเองยังไง?

04 ก.ย. 2024

เม็ดเลือดขาวต่ำ ดูแลตัวเองยังไง?

ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำไม่มีอาการที่แสดงให้เห็นชัดเจน โดยปกติเม็ดเลือดขาวของคนปกติ อายุ 12 ปีขึ้นไป อยู่ที่ 3,500 - 10,500 เซลล์ต่อไมโครลิตร ทว่าผู้ป่วยบางคนจะพบอาการข้างเคียงจากการที่ปริมาณเม็ดเลือดขาวลดลง โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำต่อเนื่องจะเกิดการติดเชื้อง่าย ซึ่งอาการที่ปรากฏอาจจะ- มีไข้ หนาวสั่น มีอาการบวมแดง- มีแผลที่ปาก มีปื้นสีแดงหรือฝ้าสีขาวอยู่ภายในปาก- เจ็บคอ มีอาการไออย่างรุนแรง- มีอาการเจ็บหรือปวดแสบปวดร้อนขณะปัสสาวะ- ท้องเสียง่าย- รู้สึกเจ็บบริเวณทวารหนัก- มีอาการบวมแดง และมีหนองออกมาจากบริเวณแผลเป็นประจำ- มีอาการระคายเคืองที่ช่องคลอด หรือคันช่องคลอดผิดปกตินอกจากนี้ หากเป็นภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำเนื่องจากโรค อาจพบอาการอื่นๆ ที่เป็นสัญญาณของโรคร่วมด้วย แต่บางคนอาจจะไม่มีอาการเหล่านั้น ผลตรวจออกมามีความผิดปกติเม็ดเลือดขาวต่ำ ซึ่งผู้ป่วยควรสังเกตความผิดปกติของร่างกายได้ในทางแพทย์แผนจีนเม็ดเลือดขาวน้อย จะอยู่ในส่วนการรักษาแบบเลือดจาง อวัยวะในร่างกายอ่อนเพลีย อ่อนล้า ไม่สามารถผลิตเม็ดเลือดขาวได้ ทำให้ภูมิตก อาการมักจะมีเลือดไปเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพออาจทำให้ใบหน้าขาวซีดหรือเหลืองซีดร่วมกับอาการเวียนศีรษะ ตาลาย ใจสั่น นอนไม่หลับ บางครั้งมีอาการแขนขาชา ในสตรีจะมีประจำเดือนน้อยสีซีด ประจำเดือนมาช้ากว่ากำหนด กระทั่งขาดประจำเดือนได้อย่างไรก็ตาม ในแง่การบำรุงเลือด เสริมภูมิให้กับร่างกายแพทย์แผนจีนเน้นบำรุงเลือด ต้องบำรุงพลังร่วมด้วย บำรุงอวัยวะต่างๆ สร้างเม็ดเลือด ป้องกันการติดเชื้อ บางครั้งต้องเสริมยาบำรุงระบบการย่อยดูดซึมอาหารให้ดี หรือต้องบำรุงจิง บำรุงไต (เพื่อกระตุ้นการทำงานของ ฮอร์โมน) ควบคู่กันไป และแนะนำให้ทานยาปัจจุบันควบคู่กันไปอาหารที่ต้องห้ามสำหรับผู้ป่วย ได้แก่- นม หรือ ผลิตภัณฑ์จากนมที่ไม่ผ่านการ sterilized หรือ ที่ไม่ใช่นม UHT- โยเกิร์ต ยาคูลท์ ไอศกรีมที่ไม่มียี่ห้อการันตีความสะอาด- น้ำผักสด น้ำผลไม้สดที่ไม่ผ่านการ sterilized- น้ำแข็งที่ทำจากน้ำประปา ที่ไม่ผ่านการต้ม หรือกรอง หรือน้ำที่มีสิ่งปนเปื้อน- อาหารทุกชนิดที่ไม่ได้ปรุงให้สุก หรือ สุกๆ ดิบๆ เช่น ไข่ดาว ไข่ลวก น้ำสลัด ส้มตำ น้ำพริก และอาหารประเภทยำเป็นต้น- หลีกเลี่ยงการเติมเครื่องปรุงลงในอาหารที่ปรุงสุกแล้วเช่น พริกไทย พริกป่น ถั่วลิสง เป็นต้น- หลีกเลี่ยงการซื้ออาหารปรุงสำเร็จตามร้านอาหารมารับประทาน- หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะในการรับประทานอาหารร่วมกับบุคคลอื่น- หลีกเลี่ยงการรับประทานผักสดหรือผลไม้สด (ผลไม้สดที่อนุโลมให้รับประทานได้คือผลไม้ที่สามารถล้างภายนอกทั้งเปลือกให้สะอาดแล้ว ปอกเปลือกรับประทานทันที ได้แก่ ส้มโอ ส้ม กล้วย เป็นต้น) ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำไม่มีอาการที่แสดงให้เห็นชัดเจน ทุกคนต้องคอยสังเกตตัวเองนะคะ ถ้ามีอาการข้างต้นต้องรีบไปพบคุณหมอนะคะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

ผู้หญิง ผู้ชาย ไตอ่อนแอ อาการเหมือนกันไหม ?

16 ส.ค. 2023

ผู้หญิง ผู้ชาย ไตอ่อนแอ อาการเหมือนกันไหม ?

ไตพร่อง เป็นปัญหาของหลายคน ลักษณะอาการ ใบหน้าจะมองคล้ำ ปวดหลัง ขาไม่มีแรง อาจจจะรวมไปถึงคนที่เป็นโรคเบาหวาน ความดันสูง เส้นเลือดสมองอุดตัน อาการเป็นพิษในเลือด หรือโรคไตวายเรื้อรัง โรคที่กล่าวมาข้างต้นล้วนแต่มีอาการไตพร่องระยะสุดท้ายแทบทั้งสิ้น แต่เราจะรอจนเป็นระยะสุดท้ายแล้วค่อยดูแลตามแนวการรักษาแบบฉบับแพทย์แผนจีน เมื่อเห็นตับมีปัญหา ให้ไปรักษาที่ม้าม หมายถึงการรักษาเมื่อโรคยังไม่เกินนั่นเอง หลายคนที่คิดว่าตัวเองไม่เป็นอะไรและไม่คิดรักษา แต่พอเป็นแล้วมันอาจจะใกล้จุดจบของชีวิตแล้วก็ได้นะคะ ไตในหลักแพทย์แผนจีนจะเสื่อมลงเรื่อยๆตามอายุของเรา ฉะนั้นการดูรักษาไตให้คงอยู่ ต้องเริ่มต้นตั้งแต่ยังไม่เป็นโรค อาการที่กล่าวไปนั้นถ้าหากคุณมีอาการ 1 ใน 3 แสดงว่าไตคุณเริ่มพร่องแล้วค่ะอาการไตพร่องจะมีอาการปวดหลัง เหนื่อยง่าย ไม่มีเรี่ยวแรง ระบบการมองและการฟังประสิทธิภาพแย่ลง ผมร่วงง่าย ผมขาวก่อนวัย ฟันโยกง่ายและรากฟันไม่แข็งแรง ขอบตาดำคล้ำ ผิวหน้าดำคล้ำ สภาวะแก่ก่อนวัย ลืมง่าย ไม่อยากอาหาร ปวดกระดูกหรือข้อรู้สึกตัวร้อนโดยไม่มีสาเหตุ และมีอาการมึนหัวบ่อยๆอาการไตพร่องในผู้ชายและผู้หญิงมีบางส่วนที่ไม่เหมือนกันนะคะอาการไตพร่องของผู้ชายอาการไตพร่องจะเกี่ยวกับสมรภาพทางเพศ ทำให้สมรภาพทางเพศลดลง ความต้องการทางเพศลดลง ถ้าหนักเข้า จะทำให้อวัยเพศไม่แข็งตัว หลั่งเร็ว เมื่อนำอสุจิไปตรวจสอบ อสุจิจะไม่แข็งแรง ซึ่งเป็นสาเหตุของคนมีบุตรยากค่ะส่วนผู้หญิงที่มีอาการไตพร่องผู้หญิงจะเกี่ยวกับประจำเดือนมาร่วมด้วย เช่น เลือดออกกระปิดกระปอย ประจำเดือนมานานกว่าปกติ การตั้งครรภ์ได้ยาก แท้งบ่อยก็เป็นอาการของคนไตพร่องได้เช่นกันค่ะอาหารที่เหมาะกับคนไตพร่องอาการไตพร่องจะแบ่งออกเป็นไตหยินพร่อง และไตหยางพร่อง อาการไตหยางพร่องนั้นจะเป็นคนที่ขี้หนาว ส่วนอาการไตหยินพร่องจะมีอาการร้อนวูบวาบ กระหายน้ำง่าย อุ้งมือเท้าร้อนไตหยินพร่อง เช่น ปลิงทะเล เก๋ากี้ ตะพาบน้ำ เห็ดหูหนูขาว เพื่อที่จะไปบำรุงไตหยินไตหยางพร่อง เช่น เนื้อแพะ เขากวาง อบเฉยเป็นต้นการบำรุงไตไม่ใช่แค่อาหารตามข้างต้นนี้ แต่ตามหลักแพทย์แผนจีนแล้ว อาหารที่เป็นสีดำก็สามารถบำรุงไตได้เช่นกัน อาทิ ถั่วดำ งาดำ เห็ดหูหนูดำ เห็ดหอม สาหร่ายทะเลก็สามารถบริโภคได้เช่นกันค่ะการถูเอวบำรุงไตในทางทฤษฏีของแพทย์แผนจีน "เอวคือบ้านของไต" เราสามารถถูเอวเพื่อที่จะบำรุงไต เพราะการถูเอวทำให้เอวมีความร้อน สรรพคุณบำรุงไตให้ไตแข็งแรง ทำให้เลือดลมบริเวณเอวไหลเวียนได้ดีขึ้นนวดท้องน้อยเพิ่มพลัง (จุดตานเทียน)จุด丹田(ตานเทียน)อยู่ใต้สะดึอ 3 นิ้ว หรือ 1 ฝ่ามือการนวดท้องน้อยหรือตานเทียนจะช่วยเพิ่มพลัง สร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อที่จะไปต่อสู้กับโรคต่างๆ และยังสามารถบำรุงไต ทำให้อายุยืนได้อีกด้วย การนวดจุดตานเทียน ต้องถูฝ่ามือให้ร้อนก่อน นำมาตั้งที่จุดตานเทียน นวดเบาๆทิศทางสวนเข็มนาฬิกาการบำรุงสามารถทำได้หลายอย่าง1.รักษาระดับอารมณ์“ความกลัวจะไปทำร้ายไต”คนเป็นโรคไต ต้องรักษาระดับอารมณ์ให้ดี ทำจิตใจให้สงบ สดชื่น ไม่เครียด เท่านี้พลังไตก็จะไม่สูญเสีย ถ้าหากพลังไตเพียงพอ อวัยวะต่างๆก็จะมีพลังไปหล่อเลี้ยงด้วย จะทำให้ร่างกายแข็งแรง2.ดุแลระบบทางเดินอาหารการบำรุงดูแลไตนั้น ต้องให้ความสำคัญกับม้ามและกระเพาะอาหาร เพราะม้ามกระเพาะอาหารเป็นจุดศูนย์กลางของร่างกาย การรับประทานอาหารที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญด้วย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคไต ต้องลดโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เพราะอาหารเหล่านี้อาจจะไปทำให้ไตเสื่อมได้เร็วขึ้น ตามหลักแพทย์แผนจีนแล้วการดูแลม้ามกระเพาะอาหาร ทำให้ศูนย์กลางแข็งแรง สามารถนำพลังไปเลี้ยงไตได้ เมื่อไตแข็งแรงจะทำให้ร่างกาย มีพลังที่จะไปต่อสู่กับโรค3.อย่าเหนื่อยเกินเหตุความเหนื่อยจนเกินไป ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม จะทำให้สูญเสียพลังของร่างกายไป พลังต่างๆของร่างกายล้วนแต่มาจากเลือดทั้งสิ้น การที่เราเหนื่อยจนเกินไปนั้น ทำให้สูญเสียเลือดไป พอขาดเลือด พลังก็จะไม่เพียงพอที่จะไปเลี้ยงร่างกาย เช่น การใช้สมองบ่อย การใช้สายตาบ่อย จะทำให้สูญเสียพลังเช่นกัน ฉะนั้นการทำกิจกรรมทุกอย่าง อย่าให้เยอะจนเกินไป อย่าให้เหนื่อยจนเกินไป เพราะเราไม่ทราบได้ว่าจะทำให้เลือดที่หล่อเลี้ยงเราสูญเสียไปแค่ไหน ดูแล ป้องกัน ดีกว่าการมารักษาทีหลังนะคะ ด้วยความปรารถนาดีจาก GREEN WAVE ค่ะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

“น้ำตาล” ต้องกินแบบนี้ถึงจะไม่เป็นโรค!

22 ก.ย. 2022

“น้ำตาล” ต้องกินแบบนี้ถึงจะไม่เป็นโรค!

ภาพจาก : siamchemi.comระหว่างที่หูฟังกรีนเวฟ มือไถหน้าฟีดเฟซบุ๊ก ปากก็ดูดชานมไข่มุก ดื่มกาแฟลาเต้ กินเค้กไปด้วยเพลิน ๆ ใช่มั้ยคะ รู้นะ!แหม่…ใครจะไปอดใจไหว ก็อาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลมันอร่อยไปซะทุกอย่างเลยนี่นา…ภาพจาก : board.postjung.comจริง ๆ แล้ว สามารถทานได้ค่ะ แต่ต้องควบคุมปริมาณให้พอดีต่อวัน เพราะว่า “ น้ำตาลคือยาพิษ ” ถ้าทานเข้าไปมากๆจะมีแต่โทษและไม่มีประโยชน์อะไรเลย นอกจากสร้างความสุขชั่วคราวแต่จะทิ้งโรคไว้ในร่างกายของเราตลอดไปค่ะ พูดไปก็คงไม่เห็นภาพ เดี๋ยวจะแจงรายละเอียด “โทษของน้ำตาล” ให้ทราบคร่าว ๆ นะคะ1.น้ำตาลเป็นสารเร่งผิวหนังเหี่ยวย่นและริ้วรอย ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ การรับประทานน้ำตาลมากเกินไปอาจทำให้ผิวเสีย หน้าแก่2.น้ำตาลทำให้อ้วน แน่นอนเรื่องนี้เรารู้กันดีค่ะ เพราะ ร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลที่ได้รับมากเกินความต้องการ ไปสะสมกลายเป็นไขมันนั้นเอง3.น้ำตาลทำให้สมดุลของเลือดเสียไป เป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง รวมทั้งเพิ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดต่าง ๆ ด้วย4.น้ำตาลทำให้กระดูกและฟันไม่แข็งแรง น้ำตาลมีส่วนผสมของซูโครส ถือว่าเป็นอาหารชั้นดีให้กับเหล่าแบคทีเรียที่อยู่ ในช่องปาก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคฟันผุ เหงือกอักเสบ และคราบต่าง ๆ5.น้ำตาลทำให้ร่างกายเซื่องซึม การกินน้ำตาลปริมาณมากเป็นประจำแทนที่จะสดชื่น กลับทำให้กรดอะมิโน ที่ชื่อว่า ทริปโตฟานเข้าสู่สมองมาเกินไป ทำให้เสียสมดุลของฮอร์โมนในสมองมีผลทำให้เกิดอาการเหนื่อย เซื่องซึมได้ภาพจาก : sukkaphap-d.comนี้แค่คร่าว ๆ นะทุกคน…โทษของน้ำตาล เยอะมากจริงๆค่ะแล้วแบบนี้ ต้องห้ามกินน้ำตาลเลยหรอ จะทำไหวมั้ยนะ?ไม่ต้องห่วงค่ะ หากกินน้ำตาลในปริมาณที่พอดี แค่เท่าที่ร่างกายจะนำไปใช้เป็นพลังงานได้ ก็ไม่เกิดอันตรายกับร่างกาย โดยปริมาณที่ควรกินต่อวัน มีดังนี้ค่ะ-เด็ก และ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ควรกินไม่เกิน 16 กรัม หรือ 4 ช้อนชา / วัน-วัยรุ่นหญิงชาย และ วัยทำงาน ควรกินไม่เกิน 24 กรัม หรือ 6 ช้อนชา / วันแต่อย่างไรก็ตาม การไม่กินน้ำตาลเลย หรือกินให้น้อยกว่าปริมาณข้างต้น ก็ถือว่าปลอดภัยที่สุดค่ะเพราะ “น้ำตาลคือยาพิษ” ท่องไว้ให้ขึ้นใจ เพื่อร่างกายที่แข็งแรงของเราค่ะข้อมูลจาก : https://www.vichaiyut.com/th/health/informations/5-โทษของน้ำตาล/ข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณะสุข กรมอนามัย และ กระทรวงสาธารณะสุขข้อมูลจาก : รายการเพื่อนเป็นหมอ

album

0
0.8
1