ตดเหม็นไม่ใช่เรื่องน่าอาย อาจจะมีอันตรายกับลำไส้

HEALTHY LIFESTYLE

ตดเหม็นไม่ใช่เรื่องน่าอาย อาจจะมีอันตรายกับลำไส้

13 ม.ค. 2023

ตดเหม็นอันตรายไหม 
การผายลม หรือ การตด ฟังดูแล้วเป็นเรื่องน่าอาย และน่าขบขันไม่น้อย แต่มันก็เป็นเพียงกระบวนการทางธรรมชาติของร่างกาย ในการขับไล่ลมหรือแก๊สผ่านลำไส้ใหญ่เท่านั้นค่ะ ทุกครั้งที่เรากินอาหาร ดื่มเครื่องดื่ม หรือแม้กระทั่งพูดคุยทั่วไป เรากลืนอากาศเข้าไปด้วย การตดในชีวิตประจำวันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่หลายคนก็ยังคงมีข้อข้องใจว่า ตดบ่อยแค่ไหนเรียกว่าปกติ? ตดดัง และเหม็นเป็นสัญญาณอันตรายเกี่ยวกับสุขภาพหรือไม่? บทความนี้จะช่วยไขข้อข้องใจเกี่ยวกับปัญหาการผายลมเหล่านี้เองค่ะ

 

ตดบ่อยแค่ไหน เรียกว่าปกติ?
            โดยปกติแล้ว ผู้ที่มีร่างกายอุดมสมบูรณ์และแข็งแรงดี จะตดประมาณ 14 - 23 ครั้งต่อวัน เมื่อใช้เกณฑ์นี้เป็นตัววัดแล้ว การผายลมที่มากกว่า 23 ครั้งภายในหนึ่งวันถือว่าผิดปกติค่ะ โดยความผิดปกตินี้อาจเกิดจากการรับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่มที่ทำให้เกิดแก๊สในร่างกายมากเกินไป เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่ว ชีส กระหล่ำปลี หัวหอม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และน้ำอัดลม หรืออาจเกิดจากภาวะความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งภายในร่างกาย

การผายลมบ่อยมากเกินไปนั้น เป็นสัญญาณที่บ่งบอกสุขภาพภายในได้เป็นอย่างดี ซึ่งภาวะหรือโรคที่เกี่ยวข้องกับการผายลมมีด้วยกันดังนี้ค่ะ

 • โรคมะเร็งลำไส้
 • โรคลำไส้แปรปรวน
 • ระบบดูดซึมอาหารทำงานผิดปกติ
 • การแพ้อาหารที่มีส่วนประกอบของแลคโตส (lactose) เช่น นมวัวและโยเกิร์ต
 • ภาวะที่เกี่ยวของกับกระเพาอาหาร เช่น การที่อาหารเป็นพิษ

            เราควรหมั่นนับจำนวนครั้งที่เราผายลมในแต่ละวัน เพื่อสังเกตการทำงานที่เกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหารและลำไส้ หากมีการผายลมที่บ่อยครั้งเกินไปติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สได้ง่าย แต่หากยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง และหาทางแก้ไขอย่างเร็วที่สุดนะคะ

 

ตดดังและตดเหม็น อันตรายหรือไม่?
การผายลมที่มีเสียงดัง เกิดจากการที่แก๊สถูกขับออกมาด้วยแรงดันอากาศหรือแรงเบ่งที่สูงมาก หรืออาจเกิดจากการที่แก๊สต้องแทรกตัวผ่านกล้ามเนื้อหูรูดที่บีบตัวแน่น เสียงที่มาพร้อมกับการผายลมจึงไม่ได้บ่งบอกถึงความผิดปกติอะไร

            ส่วนกลิ่นตดนั้น ขึ้นอยู่กับอาหารที่เรารับประทานเข้าไป ส่วนใหญ่แล้วอาหารจำพวกโปรตีนจะก่อให้เกิดแก๊สที่มีกลิ่นเหม็นมาก เช่น อาหารกลุ่มเนื้อสัตว์ ไข่ ชีส และนม รวมไปถึงถั่วชนิดต่างๆด้วย อีกทั้งแก๊สเหล่านี้ต้องเดินทางผ่านลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นศูนย์รวมของอาหาร และกากอาหารที่ถูกย่อยสลายแล้ว จึงมีกลิ่นเหม็นเป็นธรรมดาและไม่ถือว่าเป็นสัญญาณของความผิดปกติของสุขภาพแต่อย่างใด

            ในแพทย์แผนจีนการที่ตดบ่อย และมีกลิ่นเหม็นมากๆนั้น คืออาการของลำไส้ กระเพาะอาหาร ม้ามทำงานไม่ดี กลิ่นเหม็นยิ่งมาก มักจะมาจากความร้อนชื้น การที่จะลดความร้อนชื้นได้นั้น เราไม่ควรรับประทานเนื้อสัตว์เยอะ ไม่รับประทานอาหารที่มีฤทธิ์เผ็ดร้อน พยายามดื่มน้ำมากๆ ก็อาจจะช่วยลดอาการตดเหม็นได้ค่ะ

                        
ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็ม

Collector by รุ่งโนรี ’Girl Music & Travel Lover

related HEALTHY LIFESTYLE

เติมความหวาน กับ 5 ร้านโกโก้เข้มข้น

18 ก.ค. 2022

เติมความหวาน กับ 5 ร้านโกโก้เข้มข้น

“ความหวาน ในใจฉันเหมือนมันต่ำไป” ไปเติมกันหน่อยดีกว่าค่ะ วันนี้กรีนเวฟมีร้านโกโก้มาให้ทุกคนเลือกไปเติมความหวานกัน ขอบอกนะคะว่าโกโก้นอกจากเป็นเครื่องดื่มและขนมที่แสนอร่อยแล้วยังมีประโยชน์มาก ๆ เพราะมีสารที่มีประโยชน์เต็มไปหมดเลยค่ะ ช่วยให้คลายเครียด และยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูงด้วย แต่ละร้านที่กรีนเวฟเลือกมาฝากขอบอกว่าคับแก้วมากๆมาค่ะ ไปเริ่มกันที่ร้านแรกกันเลย1. Butter UP Cafeคาเฟ่ขนมหวาน กาแฟ และเครื่องดื่มในบรรยากาศแสนอบอุ่น ย่านเมืองทองธานี มีเมนูโกโก้เข้มข้น พร้อมขนมที่คนรักช็อคโกแลตจะต้องหลงรัก กับ Salted caramel chocolate tart ทาร์ตช็อคโกแลต แป้งโฮมเมด บางกรอบ สอดไส้ด้วยซอลท์คาราเมล และช็อคโกแลตกานาช ทานคู่กับโกโก้ ฟินมากค่ะที่อยู่ : ซอยแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 29 เข้ามา 100 เมตร ร้านอยู่ซ้ายมือ ตรงสามแยกเวลาเปิด – ปิด : 09:00 - 19:00 น. ปิดวันพุธโทรศัพท์ : 099-4247996ขอบคุณภาพจาก : https://www.facebook.com/butterupcafe/2. Under Black Coffeeคาเฟ่สไตล์เท่ๆ กับโกโก้เข้มๆ ที่ทางร้านนำมากจากจังหวัดเชียงราย จะทำให้คุณได้พบกับช็อกโกแลตไทย ที่มีคุณภาพ และพบประสบการณ์ที่แปลกใหม่ กับรสชาติไปทาง ผลไม้สด ดอกไม้ ไวน์และมีถั่วเล็กน้อย ทำให้เครื่องดื่มออกมาสดชื่น ไปลองชิมกันได้นะคะมี 3 สาขาค่ะ ทาวน์อินทาวน์, ลาดพร้าว, เกษตร-เสนาที่อยู่ : ทาวน์อินทาวน์, ลาดพร้าว, เกษตร-เสนาเวลาเปิด – ปิด : 07.00-19.00 น.โทรศัพท์ : ทาวน์อินทาวน์ 093-5424655, ลาดพร้าว 101 063-5544991,เกษตร-เสนา 095-4466224ขอบคุณภาพจาก: https://www.facebook.com/UnderBlackCoffee/3. Midnight A Cocoaร้านโกโก้ขวัญใจคนนอนดึก มาพร้อม 3 ระดับให้เลือกตามความเข้มข้น กับ 3 สาขาให้ไปเลือกเติมความหวาน เจริญกรุง 86, สายไหม หทัยราษฎร์7, สี่เเยกบ้านเเขก ที่มาพร้อมสโลแกน “ความสุข คือ กำไร จ่ายแบงก์ 50 คือ จุดขาย” คุณผู้ฟังคนไหนเลิกงานดึกๆ แวะไปเติมความหวาน ให้หายเหนื่อยได้ตามสาขาใกล้บ้านเลยนะคะที่อยู่ : เจริญกรุง 86, สายไหม หทัยราษฎร์7, สี่เเยกบ้านเเขกเวลาเปิด – ปิด : 20.00-24.00 น.โทรศัพท์ : 080-0766767ขอบคุณภาพจาก: https://www.facebook.com/midnightacocoa4. Frank Cake Barร้านโกโก้ดังย่านอารีย์ ทางร้านใช้ผงโกโก้นำเข้าจากยุโรป มีให้เลือก 2 สูตร สูตรแรก ออริจินัล โกโก้มีความหวานกลาง(25%) รสชาติทานง่าย สำหรับทุกเพศทุกวัย ส่วนดาร์คโกโก้ ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยการถอดความหวานและเพิ่มปริมาณโกโก้ ทำให้มีลักษณะเหนียวหนืดกว่าและไม่มีความหวานเลย(0%) ถูกใจสายโกโก้เข้มข้นเลยค่ะที่อยู่ : 46 ซ.อารีย์ 1 สามเสนใน พญาไท กทมเวลาเปิด – ปิด : 9:30-18:00โทรศัพท์ : 088-5770502ขอบคุณภาพจาก: https://www.linktr.ee/frankcakebar5. โกโก้ร้านไอ้ต้นร้านนี้มีความเข้มข้น 3 ระดับให้เลือกค่ะ เริ่มตั้งแต่ “ละอ่อน”สำหรับคนที่ชอบทานโกโก้เข้มๆ แต่ก็ยังรักในความหวาน, “เข้ม” จะมีความขมมากกว่าระดับแรก แต่ก็ยังมีความหวาน เหมาะสำหรับสายกลาง และ “โคตรเข้ม” สำหรับท่านที่ชอบความขม เข้มของรสชาติโกโก้ ความหวานจะน้อยลงกว่าเดิม สายเข้มห้ามพลาดเมนูนี้ค่ะที่อยู่ : สายไหม, เจริญกรุง86, สี่แยกบ้านแขกเวลาเปิด – ปิด : 17.00-22.00 น. ปิดทุกวันจันทร์โทรศัพท์ : 088-3381788, 081-4560172ขอบคุณภาพจาก: https://www.facebook.com/cocoaiton/เติมความหวาน กับ 5 ร้านโกโก้เข้มข้นแล้ว อยากได้เพลงหวานๆเพิ่ม ขอได้ที่ https://atime.live/greenwave/live และ App Atime Fungfin ได้เลยนะคะ เพลงดีดี กับความรู้สึกดีดีรอคุณอยู่ที่ Green Wave 106.5 fm ค่ะ ^^Collector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

เป็นคนร้อนในง่าย ควรปฏิบัติตัวยังไง

01 พ.ย. 2024

เป็นคนร้อนในง่าย ควรปฏิบัติตัวยังไง

คนอินพร่อง (ร้อนในบ่อย คอแห้ง มือเท้าร้อน)อินพร่อง คือ ระดับเลือดและน้ำในร่างกายที่ต่ำลง แต่พลังหยางนั้น(ความร้อนในร่างกาย)เท่าเดิม ทำให้เกิดไฟน้อยๆที่เผาพลานร่างกายตลอดเวลา เสมือนเปิดแก๊สไฟวงในเพื่อที่จะต้มน้ำซุป และทำให้น้ำในร่างกายเหือดแห้งไป ร่างกายมีแต่ความร้อน สภาพเหมือนทะเลทราย น้ำน้อย แต่ร้อนมาก ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น เสมือนร่างกายเรา ถ้าหากว่าร้อนแบบนี้เป็นเวลานานๆ เราจะกลายเป็นโรคได้ค่ะคนที่มีลักษณะอินพร่อง จะเป็นคนที่มีรูปร่างผอมสูง คอแห้งบ่อย รู้สึกแก้มร้อนบ่อย ใจร้อนง่าย อุ้งมือเท้าจะร้อน นอนไม่หลับ ฝันบ่อย ร้อนในบ่อย นิสัยของคนที่อินพร่องจะเป็นคนอารมณ์ร้อนง่าย ชอบคิดในเรื่องไม่สบายใจ เป็นคนช่างพูด ลักษณะแบบนี้ในทางแพทย์แผนจีนจำเป็นที่จะต้องบำรุงเหมือนกัน แต่เป็นเพราะว่าการบำรุงที่ต่างกันออกไป ในส่วนที่อินพร่องก็ต้องบำรุงอินเหมือนกับบำรุงน้ำเข้าไปในร่างกาย แต่อินในร่างกายไม่ได้หมายถึงน้ำเท่านั้นนะคะ แต่จะหมายถึงน้ำ และเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของคนเรา และจะต้องบำรุงไตบำรุงกระเพาะ ม้ามให้แข็งแรงด้วย เสมือนการปลูกต้นไม่ให้เยอะๆ และเสริมน้ำให้ด้วย ถ้าต้นไม่เยอะเกินไปก็จะดูดแต่น้ำ เราก็กลับมาสู่สภาวะเดิมคือไม่มีน้ำฉะนั้น ยาที่บำรุงอินที่เหมาะกับคนอินพร่องนั้นคือ 六味地黄丸(ลิ้วเว้ยตี้หวงหวาน) 大补阴煎(ต้าปู่หยินเจียน)ยาสองตัวนี้หาได้ตามร้านยาทั่วไปค่ะอาหารที่เหมาะสม จะมีฤทธิ์บำรุงอิน เช่น ข้าวเหนียว งา เต่า ตะพาบ เนื้อปู หอย เนื้อเป็ด นม หนังหมู เห็ดหูหนูขาว สาลี่ ปลาหมึก ไข่ นม เนื้อปลา หอย ปลิงทะเล รังนก ที่สำคัญไม่ควรทานอาหารที่มีรสเผ็ด หรืออาหารที่มีรสจัดค่ะคนอินพร่องจำเป็นต้องเข้านอนให้เร็วกว่าคนที่มีลักษณะอื่น ไม่ควรเล่นกีฬาหนักกลางแจ้ง และซาวน่า ที่ทำให้เหงื่อออกเยอะๆค่ะ เพราะจะทำให้น้ำในร่างกายลดน้อยลง เพราะคนอินพร่องน้ำในร่างกายจะน้อยกว่าปกติอยู่แล้ว กีฬาที่เหมาะสมกับคนอินพร่องคือ ว่ายน้ำ แต่อย่าว่ายนานเกินไปนะคะ แค่ 30 นาที ก็เพียงพอ เพราะจะทำให้เราขาดน้ำได้เช่นกันค่ะโรคที่พบมากสำหรับคนอินพร่องคือ โรคแห้งทั้งตัว ตาแห้ง เบาหวาน โรคกระเพาะ เพลียง่าย นอนไม่หลับ โรคไต หรือโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวกับอาการคอแห้งปากแห้งเป็นประจำสำหรับใครที่กำลังมีอาการแบบนี้อยู่ ให้ลองปฏิบัติตามคำแนะนำได้นะคะ อย่างน้อยเราก็ไม่ได้ละเลยร่างกายของเราค่ะปล.การช่วยตัวเองบ่อยๆทำให้สารอินในร่างกายลดน้อยลง ไม่ควรถี่เกินไป เพราะจะทำให้ไตอ่อนแอได้นะคะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

“น้ำตาล” ต้องกินแบบนี้ถึงจะไม่เป็นโรค!

22 ก.ย. 2022

“น้ำตาล” ต้องกินแบบนี้ถึงจะไม่เป็นโรค!

ภาพจาก : siamchemi.comระหว่างที่หูฟังกรีนเวฟ มือไถหน้าฟีดเฟซบุ๊ก ปากก็ดูดชานมไข่มุก ดื่มกาแฟลาเต้ กินเค้กไปด้วยเพลิน ๆ ใช่มั้ยคะ รู้นะ!แหม่…ใครจะไปอดใจไหว ก็อาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลมันอร่อยไปซะทุกอย่างเลยนี่นา…ภาพจาก : board.postjung.comจริง ๆ แล้ว สามารถทานได้ค่ะ แต่ต้องควบคุมปริมาณให้พอดีต่อวัน เพราะว่า “ น้ำตาลคือยาพิษ ” ถ้าทานเข้าไปมากๆจะมีแต่โทษและไม่มีประโยชน์อะไรเลย นอกจากสร้างความสุขชั่วคราวแต่จะทิ้งโรคไว้ในร่างกายของเราตลอดไปค่ะ พูดไปก็คงไม่เห็นภาพ เดี๋ยวจะแจงรายละเอียด “โทษของน้ำตาล” ให้ทราบคร่าว ๆ นะคะ1.น้ำตาลเป็นสารเร่งผิวหนังเหี่ยวย่นและริ้วรอย ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ การรับประทานน้ำตาลมากเกินไปอาจทำให้ผิวเสีย หน้าแก่2.น้ำตาลทำให้อ้วน แน่นอนเรื่องนี้เรารู้กันดีค่ะ เพราะ ร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลที่ได้รับมากเกินความต้องการ ไปสะสมกลายเป็นไขมันนั้นเอง3.น้ำตาลทำให้สมดุลของเลือดเสียไป เป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง รวมทั้งเพิ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดต่าง ๆ ด้วย4.น้ำตาลทำให้กระดูกและฟันไม่แข็งแรง น้ำตาลมีส่วนผสมของซูโครส ถือว่าเป็นอาหารชั้นดีให้กับเหล่าแบคทีเรียที่อยู่ ในช่องปาก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคฟันผุ เหงือกอักเสบ และคราบต่าง ๆ5.น้ำตาลทำให้ร่างกายเซื่องซึม การกินน้ำตาลปริมาณมากเป็นประจำแทนที่จะสดชื่น กลับทำให้กรดอะมิโน ที่ชื่อว่า ทริปโตฟานเข้าสู่สมองมาเกินไป ทำให้เสียสมดุลของฮอร์โมนในสมองมีผลทำให้เกิดอาการเหนื่อย เซื่องซึมได้ภาพจาก : sukkaphap-d.comนี้แค่คร่าว ๆ นะทุกคน…โทษของน้ำตาล เยอะมากจริงๆค่ะแล้วแบบนี้ ต้องห้ามกินน้ำตาลเลยหรอ จะทำไหวมั้ยนะ?ไม่ต้องห่วงค่ะ หากกินน้ำตาลในปริมาณที่พอดี แค่เท่าที่ร่างกายจะนำไปใช้เป็นพลังงานได้ ก็ไม่เกิดอันตรายกับร่างกาย โดยปริมาณที่ควรกินต่อวัน มีดังนี้ค่ะ-เด็ก และ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ควรกินไม่เกิน 16 กรัม หรือ 4 ช้อนชา / วัน-วัยรุ่นหญิงชาย และ วัยทำงาน ควรกินไม่เกิน 24 กรัม หรือ 6 ช้อนชา / วันแต่อย่างไรก็ตาม การไม่กินน้ำตาลเลย หรือกินให้น้อยกว่าปริมาณข้างต้น ก็ถือว่าปลอดภัยที่สุดค่ะเพราะ “น้ำตาลคือยาพิษ” ท่องไว้ให้ขึ้นใจ เพื่อร่างกายที่แข็งแรงของเราค่ะข้อมูลจาก : https://www.vichaiyut.com/th/health/informations/5-โทษของน้ำตาล/ข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณะสุข กรมอนามัย และ กระทรวงสาธารณะสุขข้อมูลจาก : รายการเพื่อนเป็นหมอ

ปวดหัว มือชา ปวดไหล่ โรคยอดฮิตของวัยทำงาน

09 พ.ย. 2022

ปวดหัว มือชา ปวดไหล่ โรคยอดฮิตของวัยทำงาน

สมัยนี้วัยทำงาน จะนั่งอยู่แต่ออฟฟิศทั้งวัน ทำงานหนัก แล้วก็ได้โรคกลับมาโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว สุดท้ายก็นำเงินที่เก็บไว้ เสียไปกับค่ารักษาโรค วันนี้เราจะมาแนะนำโรคกระดูกต้นคอทับเส้นประสาท ว่ามีอาการยังไง ต้องรักษาอย่างไร และควรปฏิบัติตัวอย่างไรให้เหมาะสมค่ะ1. ปวดหัว เกิดจากการกดทับเส้นประสาทของกระดูกต้นคอ จะมีการปวดหัวเป็นไมเกรนหนักหัวหรือท้ายทอย หลายคนปวดหัวข้างเดียว ชาที่หัว ยิ่งเวลาที่เครียด จะมีอาการปวดหัวมาก เหมือนจะเอาหัวกระแทกกับผนังบ้าน และมีอาการมึนหัวร่วมอยู่บ่อยๆ ตามหลักแพทย์แผนจีน การอาการปวดหัว หมายถึง พลังเลือดลมขึ้นสู่หัวไม่เพียงพอ หรือที่เรียกว่าชี่ขึ้นหัวไม่ได้ เกิดจากหลอดเลือดที่ต้นคอมีเลือดไหลผ่านได้ไม่สะดวก จะทำให้เกิดอาการมึนหัว หรือปวดหัวได้ โดยเฉพาะเวลาเครียดจัดค่ะ2. มือชา อาการชาจะชาที่แขน หรือปลายนิ้ว ส่วนใหญ่จะเป็นแค่ข้างใดข้างหนึ่ง ถ้าหากชา 2 ข้างอาจจะต้องนึกถึงว่าตัวเองมีโรคเบาหวานหรือเปล่า หรือว่าเป็นพังพืดทับเส้นประสาทหรือไม่ อาการชามือหรือชานิ้วมือเป็นผลมาจากการทับของเส้นประสาทที่ต้นคอ อาจจะเป็นกระดูกส่วนไหนทับเส้นประสาทเส้นที่เท่าไร อาจจะต้องตรวจด้วย x-ray ในแผนปัจจุบันอาจจะให้ยารักษาปลายเส้นประสาทกับคนไข้ เช่น วิตามินบี 12 เป็นต้น3.กล้ามเนื้อบริเวณไหล่หรือต้นคอแข็ง การที่เรานั่งนานๆ เป็นเวลาหลายชั่วโมง โดยไม่ขยับเลย อาจจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณต้นคอมีอาการเกร็งเป็นระยะเวลานานๆ อาจะเกิดพังผืด หรือเป็นไตที่บ่าได้ สังเกตุเวลาไปนวด หมอนวดจะบอกว่า คอ บ่า ไหล แข็งมาก นี้แหละค่ะผลของการที่เราไม่ยืดกล้ามเนื้อหรือขยับกล้ามเนื้อบริเวณนั้น ในทางแพทย์แผนจีนเกิดมาจากเลือดลมเดินไม่ดี ตรงบริเวณคอบ่าไหล่ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณบ่าหรือคอแข็ง และคนไข้จะรู้สึกหนักๆ เหมือนแบกอะไรไว้ และไม่สบายบ่าเอามากๆ คิดแล้วเหมือนหนังผีไทย ที่มีคนนั่งอยู่ที่คอ ยังไงยังงั้น น่ากลัวจริงๆค่ะข้อแนะนำดีๆสำหรับคนที่มีอาการข้างต้น1.การนั่งทำงานในออฟฟิศ หรือนั่งทำอะไรนานๆ ให้ลุกขึ้นมาขยับเนื้อขยับตัวเพื่อให้กล้ามเนื้อได้ทำงาน เช่น ทำงาน 40 – 50 นาที ลุกขึ้นมาหมุนบ่า ขยับหัวไหล่ 10 นาที2. เวลาใช้เมาส์ หรือใช้ดินสอเขียนหนังสือนานๆ ให้ขยับมือ และกำมือบ่อยๆ เพราะจะไม่ทำให้เกิดอาการมือชาได้ง่ายๆ3.เวลาอาบน้ำ ให้เปิดน้ำอุ่นๆ ฝักบัวพ่นน้ำไปบริเวณบ่า เพื่อให้เลือดลมไหลเวียนได้ดีขึ้น และขับความเย็นออกจากร่างกายได้อีกด้วยค่ะ4.ไม่ควรนั่งอยู่ใต้แอร์เย็น หรือแอร์เย็นพัดลงหัว อาจจะทำให้ปวดหัวได้นะคะ5.สามารถดื่มน้ำขิงอุ่นๆทุกเช้า เพื่ออุ่นกระเพาะ และไล่ลมเย็นที่พัดเข้ามาในตัวเรา6.การฝังเข็ม และการครอบแก้ว สามารถช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณต้นคอที่ตึงคลายลงได้ค่ะการครอบแก้วจะช่วยดึงพิษเย็นที่อยู่ในร่างกาย สังเกตได้ว่าจุดไหนปวด จุดนั้นจะดำเป็นพิเศษการฝังเข็ม ช่วยกระตุ้นจุดที่ปวดใต้ผิวหนังชั้นลึก ทำให้คลายตัวได้ดี เลือกวิธีรักษาที่เหมาะกับตัวเอง แต่ถ้าไม่แน่ใจปรึกษากับคุณหมอ เพื่อสุขภาพที่ดีของเรานะคะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

album

0
0.8
1