ความคิดผิดๆ เกี่ยวกับการนอน

HEALTHY LIFESTYLE

ความคิดผิดๆ เกี่ยวกับการนอน

10 พ.ค. 2022

วันนี้มีเคล็ดลับการนอนเพื่อสุขภาพดีดีจากศาสตร์แพทย์แผนจีนมาฝากค่ะ เพราะช่วงเวลานอนเป็นช่วงเวลาสุดมหัศจรรย์ที่ร่างกายเราใช้ปรับสมดุลหลังจากเผชิญการทำงานหนักและอารมณ์ที่หลากหลายมาทั้งวัน ถ้านอนดี นอนได้มีคุณภาพ ก็ถือเป็นการรีเซ็ตในแต่ละวัน และเป็นการดูแลสุขภาพที่ดีเยี่ยมเลยค่ะ แต่ยังมีความเข้าใจผิดๆ เรื่องการนอนอยู่มาก ส่วนใหญ่เข้าใจผิดเรื่องอะไรกันบ้าง ตามไปดูกันค่ะ

1.ดื่มเหล้าหรือของมึนเมาแล้วทำให้นอนหลับ

สำหรับบางคนอาจเชื่อว่า เมื่อเราดื่มจนเมามายแล้ว จะช่วยให้หลับได้ง่าย เพราะเมื่อร่างกายดูดซึมแอลกอฮอล์ อาจรู้สึกมึนหัวง่วงนอน แต่ในความเป็นจริง พอตื่นนอนก็จะรู้สึกปวดหัว และไม่กระปรี้กระเปร่า นอกจากนี้ตับซึ่งทำหน้าที่ล้างพิษในร่างกาย ถ้าแอลกอฮอล์เข้าสู่ตับจำนวนมาก จะทำให้ตับเกิดภาวะอักเสบ อาจจะทำให้เป็นโรคตับแข็ง หรือโรคตับอักเสบ คนไข้จะมีอาการหงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน ปวดท้องได้ง่ายอีกด้วยค่ะ

2.นอนวันละ 8 ชั่วโมงยังรู้สึกไม่พอ

ความต้องการในการนอนหลับขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ไม่จำเป็นต้องนอนครบ 8 ชม. ขอให้ตื่นแล้วสดชื่นก็เพียงพอ บางคนนอนไป 8 - 10 ชม. ตื่นมาก็ยังไม่กระปรี้กระเปร่า ทางแพทย์แผนจีนเรียกว่า "นอนมาก" เกิดจากหลายสาเหตุหลักๆมาจากม้ามอ่อนแอ ทำให้กักเก็บพลังในร่างกายได้น้อยลงไปด้วย เหมือนแบตเตอรี่ที่ใกล้เสื่อมสภาพ ทำให้รู้สึกว่าไม่อยากทำอะไร อยากนอนตลอดเวลา

3.นอนก่อน 5 ทุ่ม แต่ยังคิดโน้นคิดนี่

ตื่นเป็นเวลาดีกว่านอนเป็นเวลานะคะ บางคนเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ แต่ได้หลับตอนตี 2 คนที่เป็นโรคนอนไม่หลับ แม้เข้านอนเร็ว ก็อาจไม่หลับจนถึงเช้า ซึ่งมาจากปัจจัยหลายสาเหตุ เช่น ใจสั่นง่าย ใจร้อนง่าย กังวล เครียด จนทำให้นอนไม่หลับ อันนี้ไม่ไหวนะคะ ตื่นขึ้นมาก็ไม่สดชื่น ซึ่งแพทย์แผนจีนให้ความสำคัญกับการนอนมาก โดยเฉพาะการหลับก่อน 5 ทุ่ม ที่ตับต้องดึงเลือดมาเก็บไว้ เพื่อให้ร่างกายพักผ่อนแล้วนอนหลับ มากไปกว่านี้ ช่วงเวลานั้นร่างกายของเรายังผลิตสารและฮอร์โมนต่างๆ รวมทั้งโกรทฮอร์โมนสำหรับเด็กๆ ที่ช่วยเรื่องการเจริญเติบโต (และทำให้สูง) อีกด้วยค่ะ

4.ออกกำลังกายก่อนนอน

บางครั้งความเหน็ดเหนื่อยจากการออกกำลังอาจทำให้เรารู้สึกง่วง จึงคิดว่าการออกกำลังกายก่อนนอนจะช่วยให้หลับง่ายขึ้น ในทางแพทย์แผนจีน เวลานอนหลับนั้นเลือดจะไหลกลับไปและเก็บไว้ที่ตับ แต่กลับกันการออกกำลังกายเลือดจะออกมาหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อและผิวหนัง ทำให้ร่างกายเกิดอุณหภูมิที่สูงขึ้น อาจจะทำให้นอนไม่หลับนะคะ

5.วันทำงานนอนไม่อิ่ม มานอนชดเฉยในวันหยุด

ในวันหยุดหลายคนอาจจะนอนถึงเที่ยงแล้วค่อยตื่น การนอนชดเชยในหลักแพทย์แผนจีนนั้นไม่มีนะคะ เพราะตื่นมาอาจจะเหนื่อยกว่าเดิม และก็ปวดตามเนื้อตามตัว แนะนำให้ตื่นเป็นเวลาแม้ในวันหยุดก็ตาม เพราะช่วงเวลากลางวันพลังหยางมาก ส่วนช่วงเวลากลางคืนพลังหยินมาก พลังหยินใช้เวลานอน พลังหยางใช้เวลาตื่น การนอนในช่วงเวลาที่พลังหยางมาก จึงทำให้เมื่อเราตื่นเที่ยง จึงไม่กระปรี้กระเปร่าเหมือนตอนตื่นเช้านั่นเองค่ะ

 

นอนน้อยก็ไม่ดี นอนมากไปก็ไม่ดี นอนพักผ่อนให้เพียงพอน่าจะดีที่สุด แต่ถ้าใครนอนไม่หลับ Green Wave อยู่เป็นเพื่อนคุณตลอด 24 ชั่วโมงนะคะ ^^

 

ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็ม

Collector by รุ่งโนรี ’Girl Music & Travel Lover

related HEALTHY LIFESTYLE

รู้หรือไม่ กินผิด ปวดกระเพาะ

07 พ.ค. 2024

รู้หรือไม่ กินผิด ปวดกระเพาะ

กระเพาะอาหารเป็นอวัยวะที่เชื่อมกับปากของเรา และเป็นส่วนกลางระหว่างปากกับก้น จึงมีความสำคัญมากกับระบบย่อยอาหาร การรับประทานอาหารเข้าไป แบบเดิมๆ อาจจะทำให้กระเพาะอาหารของคุณมีปัญหาได้ มาดูกันว่าอะไรบ้างที่ทำให้กระเพาะของคุณมีปัญหาค่ะ1.ทานอาหารเร็วเกินไปการรับประทานอาหารนั้นควรเคี้ยวให้ละเอียดก่อนแล้วค่อยกลืน อย่างน้อยควรเคี้ยว 20 ครั้งนะคะ2.ทานอาหารไม่ตรงเวลาเมื่อทานอาหารเข้าไปถุงน้ำดีจะหลั่งน้ำดีเผื่อที่จะมาย่อยอาหารที่เรารับประทาน เวลาหิวน้ำดีก็จะหลั่งออกมาเหมือนกัน แต่เมื่อเราทานไม่ตรงเวลาน้ำดีจะหลั่งออกตามเวลา แต่พอไม่มีอาหารย่อย น้ำดีจะค่อยๆกัดกระเพาะ ทำให้กระเพาะเป็นแผลค่ะ3.เดี๋ยวกินอาหารที่ร้อน เดี๋ยวกินอาหารที่เย็นสลับกันไปกระเพาะอาหารปรับสภาพไม่ทัน ทำให้ปวดท้องได้ง่าย4.ทานขัาวแล้วดื่มน้ำตามทำให้การย่อยของกระเพาะอาหารทำได้ยากขึ้น ควรดื่มน้ำหลังอาหาร 30 นาทีนะคะ5.ชอบทานอาหารที่เผ็ดร้อนความเผ็ดร้อนจะไปกระตุ้นกระเพาะอาหารทำให้กระเพาะอาหารระคายเคืองได้ค่ะ6.ทานอาหารเวลากลางคืนกระเพาะอาหารทำงานหนักกว่าปกติ แทนที่จะได้พักผ่อน และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อ้วนด้วยนะคะรู้แบบนี้แล้วเราควรปฏิบัติตัวให้ถูกสุขอนามัยนะคะ เพื่อป้องกันรักษาไม่ให้กระเพาะอาหารของเราทำงานหนัก เพราะปกติเขาก็ทำงานหนักอยู่แล้วน๊า ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

3 สัญญาณบ่งบอกว่า เลือดของคุณกำลังไหลเวียนได้ไม่ดี

10 ส.ค. 2022

3 สัญญาณบ่งบอกว่า เลือดของคุณกำลังไหลเวียนได้ไม่ดี

คนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง โดยเฉพาะสาวๆ จะเห็นได้ชัดจากรูปร่างและผิวพรรณที่ดูมีน้ำมีนวล อิ่มเอิบ เพราะมีระบบไหลเวียนเลือดดี แต่ก็ยังมีวิธีสังเกตอาการที่กำลังบอกเราได้ว่า ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี ต้องรีบบำรุงเลือดด่วนเลยนะคะ1.ผิวพรรณไม่มีน้ำมีนวล อยู่ดีๆ ผิวพรรณก็ดูหมองคล้ำ ไม่มีน้ำไม่มีนวล เป็นสิว ไม่สดใส อาจมีสาเหตุมาจากระบบหมุนเวียนเลือดไม่ดี ซึ่งเลือดทำหน้าที่ขนถ่ายสารอาหาร และออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ทั่วร่างกาย และพาเอาของเสียออกจากเซลล์ ถ้าระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี เลือดนำพาของเสียออกไปทิ้งไม่ได้ หรือไม่มีประสิทธิภาพ เซลล์ก็จะหมองเพราะมีของเสียตกค้าง อีกทั้งเซลล์ยังไม่ได้รับสารอาหารกับออกซิเจนที่เพียงพอจากระบบไหลเวียนเลือดอีกด้วยค่ะ2.ประจำเดือนมาไม่ปกติ ประจำเดือนมากกว่าปกติ หรือนานกว่าปกติ เช่น ประจำเดือนมามากกว่า 7 วัน, ต้องใช้ผ้าอนามัยมากกว่า 1 แผ่นต่อชั่วโมง หลายชั่วโมงติดต่อกัน, ประจำเดือนปนลิ่มเลือดขนาดใหญ่, รู้สึกอ่อนเพลียระหว่างการมีประจำเดือน อาการเหล่านี้ล้วนแต่ควรต้องไปปรึกษาแพทย์นะคะ เพราะการที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ แบบมามากเกินไป หรือมีอาการข้างต้นด้วยแบบนี้ อาจเป็นสัญญาณของปัญหาทางสุขภาพอื่นๆ และอาจทำให้เกิดภาวะซีดจากการเสียเลือดมากกว่าปกติ อันนำไปสู่ภาวะโลหิตจางอีกด้วย ประจำเดือนมาน้อยผิดปกติ คือ เลือดที่ออกมาในช่วงที่คุณมีประจำเดือน แต่มีปริมาณน้อยกว่าปกติ หรือมาไม่เกิน 2 วัน โดยอาจจะเป็นเลือดหยดๆ หรือเปื้อนผ้าอนามัยเพียงเล็กน้อย แบบนี้เป็นอาการประจำเดือนมาไม่ปกติที่อาจเกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมน ความเครียด หรือการขาดสารอาหารบางชนิด ที่มีส่วนช่วยในการบำรุงเลือด3.เหนื่อยง่ายกว่าปกติ ทำกิจกรรมประจำวันปกติ แต่กลับรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่สดชื่น หายใจลำบากขณะออกแรง มึนงง วิงเวียนศีรษะ ปวดหัว มือเท้าเย็น ผิวซีดเหลือง เจ็บหน้าอก ใจสั่นไหว ฯลฯ เป็นอาการของผู้ที่มีภาวะโรคโลหิตจาง ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงที่มีประจำเดือนมาไม่ปกติ โดยสูญเสียธาตุเหล็กออกไปกับประจำเดือนนั่นเองค่ะ คุณมี 3 สัญญาณนี้อยู่รึเปล่า อย่าลืมสังเกตอาการตัวเองนะคะ ด้วยความปรารถนาดีจาก Green Wave ค่ะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

เม็ดเลือดขาวต่ำ ดูแลตัวเองยังไง?

04 ก.ย. 2024

เม็ดเลือดขาวต่ำ ดูแลตัวเองยังไง?

ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำไม่มีอาการที่แสดงให้เห็นชัดเจน โดยปกติเม็ดเลือดขาวของคนปกติ อายุ 12 ปีขึ้นไป อยู่ที่ 3,500 - 10,500 เซลล์ต่อไมโครลิตร ทว่าผู้ป่วยบางคนจะพบอาการข้างเคียงจากการที่ปริมาณเม็ดเลือดขาวลดลง โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำต่อเนื่องจะเกิดการติดเชื้อง่าย ซึ่งอาการที่ปรากฏอาจจะ- มีไข้ หนาวสั่น มีอาการบวมแดง- มีแผลที่ปาก มีปื้นสีแดงหรือฝ้าสีขาวอยู่ภายในปาก- เจ็บคอ มีอาการไออย่างรุนแรง- มีอาการเจ็บหรือปวดแสบปวดร้อนขณะปัสสาวะ- ท้องเสียง่าย- รู้สึกเจ็บบริเวณทวารหนัก- มีอาการบวมแดง และมีหนองออกมาจากบริเวณแผลเป็นประจำ- มีอาการระคายเคืองที่ช่องคลอด หรือคันช่องคลอดผิดปกตินอกจากนี้ หากเป็นภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำเนื่องจากโรค อาจพบอาการอื่นๆ ที่เป็นสัญญาณของโรคร่วมด้วย แต่บางคนอาจจะไม่มีอาการเหล่านั้น ผลตรวจออกมามีความผิดปกติเม็ดเลือดขาวต่ำ ซึ่งผู้ป่วยควรสังเกตความผิดปกติของร่างกายได้ในทางแพทย์แผนจีนเม็ดเลือดขาวน้อย จะอยู่ในส่วนการรักษาแบบเลือดจาง อวัยวะในร่างกายอ่อนเพลีย อ่อนล้า ไม่สามารถผลิตเม็ดเลือดขาวได้ ทำให้ภูมิตก อาการมักจะมีเลือดไปเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพออาจทำให้ใบหน้าขาวซีดหรือเหลืองซีดร่วมกับอาการเวียนศีรษะ ตาลาย ใจสั่น นอนไม่หลับ บางครั้งมีอาการแขนขาชา ในสตรีจะมีประจำเดือนน้อยสีซีด ประจำเดือนมาช้ากว่ากำหนด กระทั่งขาดประจำเดือนได้อย่างไรก็ตาม ในแง่การบำรุงเลือด เสริมภูมิให้กับร่างกายแพทย์แผนจีนเน้นบำรุงเลือด ต้องบำรุงพลังร่วมด้วย บำรุงอวัยวะต่างๆ สร้างเม็ดเลือด ป้องกันการติดเชื้อ บางครั้งต้องเสริมยาบำรุงระบบการย่อยดูดซึมอาหารให้ดี หรือต้องบำรุงจิง บำรุงไต (เพื่อกระตุ้นการทำงานของ ฮอร์โมน) ควบคู่กันไป และแนะนำให้ทานยาปัจจุบันควบคู่กันไปอาหารที่ต้องห้ามสำหรับผู้ป่วย ได้แก่- นม หรือ ผลิตภัณฑ์จากนมที่ไม่ผ่านการ sterilized หรือ ที่ไม่ใช่นม UHT- โยเกิร์ต ยาคูลท์ ไอศกรีมที่ไม่มียี่ห้อการันตีความสะอาด- น้ำผักสด น้ำผลไม้สดที่ไม่ผ่านการ sterilized- น้ำแข็งที่ทำจากน้ำประปา ที่ไม่ผ่านการต้ม หรือกรอง หรือน้ำที่มีสิ่งปนเปื้อน- อาหารทุกชนิดที่ไม่ได้ปรุงให้สุก หรือ สุกๆ ดิบๆ เช่น ไข่ดาว ไข่ลวก น้ำสลัด ส้มตำ น้ำพริก และอาหารประเภทยำเป็นต้น- หลีกเลี่ยงการเติมเครื่องปรุงลงในอาหารที่ปรุงสุกแล้วเช่น พริกไทย พริกป่น ถั่วลิสง เป็นต้น- หลีกเลี่ยงการซื้ออาหารปรุงสำเร็จตามร้านอาหารมารับประทาน- หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะในการรับประทานอาหารร่วมกับบุคคลอื่น- หลีกเลี่ยงการรับประทานผักสดหรือผลไม้สด (ผลไม้สดที่อนุโลมให้รับประทานได้คือผลไม้ที่สามารถล้างภายนอกทั้งเปลือกให้สะอาดแล้ว ปอกเปลือกรับประทานทันที ได้แก่ ส้มโอ ส้ม กล้วย เป็นต้น) ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำไม่มีอาการที่แสดงให้เห็นชัดเจน ทุกคนต้องคอยสังเกตตัวเองนะคะ ถ้ามีอาการข้างต้นต้องรีบไปพบคุณหมอนะคะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

เช็คด่วน! พฤติกรรมเสี่ยงโรคร้ายทำลายสุขภาพวัยทำงาน

18 ม.ค. 2024

เช็คด่วน! พฤติกรรมเสี่ยงโรคร้ายทำลายสุขภาพวัยทำงาน

ในชีวิตของการทำงานผู้คนมักเร่งรีบ แข่งขันกับเวลาอยู่เสมอ เลยอาจจะมักทำพฤติกรรมที่ส่งผลร้ายจนเป็นเรื่องปกติ และเผลอละเลยสุขภาพของตนเองไป1. นั่งท่าเดิมนานเกินไปโรคออฟฟิศซินโดรมเป็นโรคที่ชาวออฟฟิศหลายคนรู้จักกัน เพราะเกิดจากการนั่งทำงานตลอดวันแบบไม่ค่อยได้เปลี่ยนท่าทาง ทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการตึง ก่อให้เกิดกล้ามเนื้ออักเสบจนมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ปวดหลัง ไหล่ คอ และบ่า รวมถึงการจ้องจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ส่งผลให้ปวดตา ปวดกระบอกตา และเสี่ยงโรคไมเกรนได้ด้วยเช่นกัน2. นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอคนส่วนใหญ่มักคิดว่าการนอนดึกมักไม่ใช่ปัญหาใหญ่ และไม่ทราบถึงภัยอันตรายที่ส่งผลต่อสุขภาพหลายคนอาจคิดว่านอนดึก เดี๋ยวค่อยตื่นสายก็ได้ แต่พฤติกรรมแบบนี้จะส่งผลให้นาฬิกาชีวิตพังหรือร่างกายทำงานไม่เป็นระบบ เพราะอวัยวะในแต่ละส่วนของร่างกายมีนาฬิกาเป็นของตัวเอง ฮอร์โมนในร่างกายอีกหลายชนิดหลั่งเป็นเวลา ส่วนที่เป็นหัวใจสำคัญคือ การนอน เนื่องจากร่างกายต้องการเวลาในการซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ที่ซึกหรอ รวมไปถึงฟื้นฟูร่างกายให้พร้อม การที่นอนดึกและพักผ่อนไม่เพียงพอนั้น จะทำให้มีปัญหาในระยะยาวได้ เช่น นอนตื่นมาแล้วไม่สดชื่น สมาธิสั้น รวมถึงเสี่ยงต่อโรคร้ายอีกหลายโรค3. อดอาหารเช้า/ทานอาหารไม่ตรงเวลาเพื่อที่จะได้เข้างานตรงเวลา หลายคนเลยมองข้ามการทานอาหารเช้าไป หรือว่าทำงานจนลืมเวลาอาหาร ทานไม่ตรงเวลา หรือกระทั่งอดมื้อนั้นๆไปเลย พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร เสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคหลายโรค ไม่ว่าจะเป็นกระเพาะอาหารอักเสบ โรคกรดไหลย้อน โรคลำไส้แปรปรวน และโรคท้องผูกเรื้อรังได้4. ทานอาหารไม่มีประโยชน์ชีวิตประจำวันที่ต้องเร่งรีบอยู่ตลอดเวลา คนส่วนใหญ่มักบริโภคอาหารรสจัด ของมัน ของทอด น้ำอัดลม อาหารJunk Food หรืออาหารสำเร็จรูปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือการทำงานจนดึกดื่นแล้วค่อยมากินข้าวทีเดียวก่อนนอน พฤติกรรมแบบนี้ทำให้มีความเสี่ยงที่เกิดโรคตามมามากมาย เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคอ้วน โรคตับ โรคอาหารไม่ย่อย และโรคอื่น ๆ อีกมากมาย เนื่องจากอาหารประเภทนี้มักจะมีไขมันและคอเลสเตอรอลในอัตราที่สูงมาก รวมไปถึงปริมาณน้ำตาลและโซเดียมที่สูงกว่าอาหารทั่วไป5. ดื่มเหล้า สูบบุหรี่การดื่มแอลกอฮอล์เพื่อสังสรรค์กับเพื่อนหลังเลิกงาน ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความสุขและความสัมพันธ์ที่ดี แต่การสังสรรค์ที่มากจนเกินไป อาจเกิดภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษและทำให้ร่างกายพังได้ รวมถึงส่งผลให้พักผ่อนไม่เพียงพอ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำจะทำให้เสี่ยงต่อโรคตับแข็ง มะเร็งตับ หรือโรคหัวใจได้ นอกจากนี้บางคนยังนิยมสูบบุหรี่ระหว่างการทำงานด้วย ทำให้เสี่ยงต่อการโรคมะเร็งปอด โรคถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมไปถึงโรคอื่น ๆ ที่จะตามมาในอนาคต6. กลั้นปัสสาวะขณะทำงาน ไม่ยอมลุกไปเข้าห้องน้ำการนั่งเป็นเวลานานและไม่หยุดพัก นอกจากจะเสี่ยงในเรื่องของออฟฟิศซินโดรมแล้ว อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของกระเพาะปัสสาวะอีกด้วย เนื่องจากการนั่งทำงานจนไม่ลุกไปไหนแม้แต่การเข้าห้องน้ำและกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน ทำให้เชื้อโรคในปัสสาวะเจริญเติบโตได้ดี เป็นสาเหตุของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบและกรวยไตอักเสบขอบคุณข้อมูลจาก:https://th.jobsdb.com/th/career-advice/article/7-%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9Ehttps://www.bangkokhospital.com/content/7-popular-diseases-that-threaten-workersAuthor : สามสิบสิงหา

album

0
0.8
1