วันเริ่มต้นสัปดาห์ของแต่ละคน คือวันอะไรกันคะ? สำหรับหนูคือ "วันจันทร์" แต่น้องสาวหนูบอก "วันอาทิตย์" พอถามคนรอบตัวเสียงแตก บางคนบอกวันจันทร์ บางคนบอกวันอาทิตย์ ยังไงกันแน่??

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

วันเริ่มต้นสัปดาห์ของแต่ละคน คือวันอะไรกันคะ? สำหรับหนูคือ "วันจันทร์" แต่น้องสาวหนูบอก "วันอาทิตย์" พอถามคนรอบตัวเสียงแตก บางคนบอกวันจันทร์ บางคนบอกวันอาทิตย์ ยังไงกันแน่??

27 ก.ย. 2024

          “คุณอ๊อฟ (นามสมมติ)” อายุ 26 ปี สายสุดท้ายในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ [25 ก.ย. 67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาวันเริ่มต้นสัปดาห์

            โดย “คุณอ๊อฟ (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูคุยกันกับน้องสาว สมมติคุยกันว่าวันอาทิตย์นี้ เดี๋ยวเราไปไหนกันดี? วันอาทิตย์ของหนูยังเป็นอาทิตย์นี้อยู่ เพราะสำหรับหนูวันจันทร์คือวันแรกของสัปดาห์ แต่น้องสาวใช้วันอาทิตย์คือวันแรกของสัปดาห์ เพราะเขาดูจากปฏิทิน วันแรกจะอยู่ซ้ายสุด และตอนท่องสีประจำวันเริ่มต้นด้วยวันอาทิตย์ สีแดง มันไม่ตรงกัน และก็มีข้อถกเถียงกันบ่อยมาก หนูเลยอยากรู้ว่าคนทั่วไปคิดกันว่าวันไหนคือวันแรกของสัปดาห์?

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

เป็นคนคุยที่มาทีหลัง ไม่มีสิทธิ์หรอคะ? เราคุยกับผู้ชายคนนึง ไม่นานมีสาวปริศนา โผล่มาบอกว่า เรามาทีหลังเค้า เค้าคุยก่อนเรามา 1 อาทิตย์ สุดท้ายผู้ชายเลือกเรา จนอดคิดไม่ได้ว่า หรือจริงๆแล้ว เราคือสาเหตุ ที่ทำให้เค้าสองคนเลิกคุยกัน....

10 ม.ค. 2025

เป็นคนคุยที่มาทีหลัง ไม่มีสิทธิ์หรอคะ? เราคุยกับผู้ชายคนนึง ไม่นานมีสาวปริศนา โผล่มาบอกว่า เรามาทีหลังเค้า เค้าคุยก่อนเรามา 1 อาทิตย์ สุดท้ายผู้ชายเลือกเรา จนอดคิดไม่ได้ว่า หรือจริงๆแล้ว เราคือสาเหตุ ที่ทำให้เค้าสองคนเลิกคุยกัน....

“คุณอูน (นามสมมติ)” อายุ 21 ปี สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [8 ม.ค. 67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม” เกี่ยวกับปัญหาความรักในวัย Gen Z โดย “คุณอูน (นามสมมติ)” เล่าว่า ‘หนูเล่นแอปพลิเคชันหาคู่ จนได้พบกับหนุ่มคนหนึ่งที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน มีการเจอกันผ่าน ๆ บ้างตามมหาวิทยาลัย เพราะตึกอยู่ใกล้ ๆ กัน หลังจากได้คุยกันผ่านแอปพลิเคชันนั้นสักพักหนึ่ง เราทั้งคู่ได้ย้ายมาคุยกันในไอจี เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ต่อ เราคุยกันมาได้ประมาณ 2 - 3 สัปดาห์ จู่ ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งทักมาหาหนู เขาถามว่า “เธอคุยกับผู้ชายคนนี้อยู่หรือเปล่า?” แล้วเขาก็ย้ำว่า “อย่าเพิ่งบอกผู้ชายนะว่าเราทักมา” หนูก็ถามกลับไปว่า “มีอะไรรึเปล่าคะ?” เขาตอบว่า “เราคุยกับผู้ชายคนนี้อยู่นะ แล้วเธอคุยกับเขามานานหรือยัง?” หนูตอบไปว่า “เพิ่งคุยได้สักพักค่ะ” เขาถามต่อทันทีว่า “สักพักนี่นานแค่ไหน?” หนูบอกว่า “ประมาณ 3 อาทิตย์ค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นเขาได้บอกกับหนูว่า เขาเลิกคุยกับผู้ชายคนนี้เพื่อให้หนูคุยต่อ แต่เมื่อหนูไปถามผู้ชายว่า “ผู้หญิงคนที่ทักมาเป็นคนคุยกับเธอหรือเปล่า?” ผู้ชายตอบว่า “เราเลิกคุยกันไปนานแล้ว ก่อนที่เราจะมาคุยกับเธออีก” และตอนนี้ฝั่งผู้ชายได้มีการบล็อกผู้หญิงคนนั้นไปแล้วด้วย และมากไปกว่านั้นผู้หญิงคนนี้เขามักจะพูดเหน็บแนมใส่หนู เช่น ถ้าไปห้องผู้ชายก็ฝากเก็บของที่เป็นของเราออกด้วยนะ เลยยิ่งทำให้หนูรู้สึกผิด ตอนนี้หนูไม่แน่ใจว่าเจตนาของผู้หญิงคนนั้นที่ทักมาคืออะไร เขาอยากได้ผู้ชายกลับคืน หรือมาโทษว่าหนูคือสาเหตุที่ทำให้เขาเลิกคุยกัน หนูก็เลยอยากจะมาปรึกษาพี่ ๆ ว่า หนูผิดไหม? เพราะหนูเป็นฝ่ายที่มาทีหลัง’ ซึ่งเริ่มที่ “ดีเจต้นหอม” ให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้าเรื่องที่หนูเล่ามาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ก็ถือว่าไม่ผิดเพราะผู้ชายอิสระแล้ว และฝ่ายหญิงก็เป็นคนบอกเองว่าสามารถคุยกันต่อได้เลย แต่แนะนำเพิ่มให้เลี่ยงการอ่านข้อความของผู้หญิงคนนั้นเวลาที่เขาทักมา เพราะไม่ได้ประสงค์ดีสักเท่าไหร่’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้าคนคุยในความหมายของพี่ พี่มีสิทธิ์ที่จะคุยเพราะยังไม่ใช่แฟน แล้วเธอมาก่อนฉันแค่อาทิตย์เดียวแล้วยังไง และทั้งสองคนคุยกับผู้ชายในเวลาที่แทบจะทับซ้อนกัน ดังนั้นจึงถือว่าไม่ผิด เพราะเรามีสถานะเท่ากันคือ คนคุย แต่ถ้าเขาเป็นแฟนกันแล้ว แบบนั้นถือว่าผิด เรามาทีหลังเราควรที่จะถอยออกมา’ สุดท้าย “ดีเจเผือก” ได้สอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการจีบกันในยุคปัจจุบัน และได้คำตอบว่า คนสมัยนี้มักจะคุยกันผ่านทางดีเอ็มในไอจี และมักจะเก็บไลน์ไว้เพื่อคุยเรื่องเรียนหรือเรื่องงานมากกว่า พร้อมให้กำลังใจเพิ่มเติมว่า ถ้าหนูอยู่ในสถานะคนคุยกันทั้งสองฝ่าย มันก็เท่ากัน ไม่ต้องไปคิดว่าใครมาก่อนหรือมาหลัง เพราะไม่เกี่ยวกัน และฝ่ายผู้ชายอาจจะมีคนคุยมากกว่านี้ก็ได้ ดังนั้นไม่ต้องกังวลหรือรู้สึกผิด เพราะในเรื่องนี้ไม่มีใครผิด ทุกคนต่างก็มีเหตุผลของตัวเอง’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

ชอบเจอคนบังคับให้ดื่ม แล้วพูดว่า "ดื่มหน่อยน้อง บรรยากาศจะได้สนุก" แต่เราโดนบังคับแบบนี้ไม่สนุกเลย บางทีไม่เมาก็จอยได้ ทำไงดีไม่ชอบคนแบบนี้เลย

10 พ.ย. 2023

ชอบเจอคนบังคับให้ดื่ม แล้วพูดว่า "ดื่มหน่อยน้อง บรรยากาศจะได้สนุก" แต่เราโดนบังคับแบบนี้ไม่สนุกเลย บางทีไม่เมาก็จอยได้ ทำไงดีไม่ชอบคนแบบนี้เลย

“คุณมิน (นามสมมติ)” อายุ 19 ปี สายที่สี่ในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (8 พ.ย. 66) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับเรื่องของเพื่อนที่ชอบชวนให้ออกไปดื่ม แต่ด้วยส่วนตัวเป็นคนที่ไม่ดื่มเลย กลายเป็นว่าอึดอัดเวลามีคนชวนไปสังสรรค์ โดย “คุณมิน (นามสมมติ)” ได้เริ่มเล่าว่า ‘ส่วนตัวเราเป็นคนที่ไม่ชอบสังสรรค์ และไม่ชอบดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ด้วยหน้าที่การงานที่เราทำ ก็มักจะมีรุ่นพี่ในบริษัทชวนออกไปสังสรรค์อยู่บ่อยครั้ง หรือมีบางโอกาสที่ต้องไปร่วมเพราะบริษัทมีจัดเลี้ยงสังสรรค์ ด้วยความที่เราเป็นคนที่มีอายุน้อยที่สุดในงาน จึงมักจะเป็นจุดสนใจของทุกคน เพราะทุกครั้งที่เราปฎิเสธก็จะเป็นการไม่รักษาน้ำใจ เพราะเขาก็ชงมาให้เราแล้ว ถ้าไม่ดื่มแล้วใครจะดื่ม หลังจากที่เราทำงานอยู่ที่เก่าได้ประมาณปีกว่า ๆ ก็ย้ายบริษัทออกมาทำงานอีกที่หนึ่งแทน แต่ปัจจุบันก็ยังเจอเพื่อนหรือรุ่นพี่ที่รู้จัก เวลาชวนออกไปสังสรรค์ก็รู้ว่าไม่ชอบดื่ม แต่ทุกครั้งที่ไปก็มักจะบังคับให้ดื่มทุกครั้ง มันทำให้เรารู้สึกอึดอัดมาก และไม่อยากทำให้บรรยากาศเสีย เราจึงต้องยอมดื่ม ปัญหานี้มันเกิดขึ้นกับเรามาเรื่อย ๆ มันไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงานที่ชอบชวนดื่มอย่างเดียว สังคมรอบข้างที่สนิทก็มักจะบังคับให้ดื่มอยู่บ่อยเหมือนกัน วันนี้เลยอยากปรึกษาว่า ดีเจทั้งสามคน มีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับคนประเภทนี้ ที่ชอบมักจะชวนดื่มอยู่ตลอด พวกเขาต้องการอะไร? เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่กับแค่คนในริษัทอย่างเดียว แต่สังคมรอบข้างที่รู้จักก็มักจะบังคับให้ดื่มเหมือนกัน “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ส่วนตัวพี่เอง ยังไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่ไม่สามารถปฎิเสธได้ เพราะก็มักจะปฎิเสธตลอด ตัวเองมีอาการแพ้เหล้า ดื่มไม่ได้ ร่างกายมันต่อต้าน และก็จะบอกไปเลยว่าไม่ชอบดื่ม และตั้งแต่ทำงานเป็นดีเจหรืองานในบริษัท ก็ไม่เห็นมีใครมาบังคับให้ดื่ม แต่ถ้ามีโอกาสไปร่วมงานสังสรรค์ เราก็สามารถเมาดิบได้ สามารถสนุกได้โดยที่ไม่ต้องดื่ม เพราะส่วนตัวพี่ไม่ได้เป็นคนที่ชอบสังสรรค์ เวลาที่ไปก็จะกลับเร็ว จึงแนะนำว่าถ้าจะให้อ้างเหตุผล ก็ควรจะอ้างเรื่องของสุภาพว่า แพ้แอลกอฮอล์ โรคตับ หมอบอกห้ามดื่ม วันก่อนที่ไปค่าตับขึ้น เดี๋ยวเต้นให้แล้วกัน อะไรก็ได้อ้างไป หรืออีกทางเลือกหนึ่งคือไม่ต้องไปเลย ถ้าจะตกงานเพียงเพราะไม่ได้ดื่มก็หางานใหม่ เพราะในว่ารูปแบบงานบางงาน มันก็มีวัฒนธรรม หรือต้องไปดื่มจริง ๆ คนหมู่มากที่เขาทำงานก็ชอบสังสรรค์เป็นเรื่องปกติ ถามว่าคนหมู่น้อยอยู่ได้มั๊ย มันก็อยู่ได้แหละ แค่เรากล้าปฎิเสธหรือเปล่า หลักแน่นมากพอหรือเปล่า แต่ถ้าอยู่ไม่ได้ก็หางานใหม่ “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ก็อย่าไปยุ่งชีวิตเขา เขาจะเอาอะไรเข้าร่างของเขามันเป็นสิทธิ์ของเขา เพราะส่วนตัวพี่เองก็ไม่ได้เป็นคนที่ชอบดื่มเหมือนกัน ถึงแม้ในวงการบันเทิงมักจะมีการสังสรรค์อยู่บ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งก็จะปฎิเสธตลอด จึงแนะนำว่าให้กล้าปฎิเสธอย่างหนักแน่นว่าไม่ดื่ม สัญญากับแม่ว่าจะไม่ดื่ม พี่ชายเคยเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำตาย เราไปอยู่ในงานนั้นก็พอแล้ว เราสนุกกับงานได้โดยไม่ต้องกินเหล้า หรือว่าเลี่ยงการไปงานสังสรรค์ไปเลย ปิดจบกันที่ “ดีเจต้นหอม” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่เสนอไปเลย 3 ทางเลือกคือ 1. บอกไปว่าเป็นโรคตับ วันนั้นไปตรวจมา ปรากฏว่าตับอักเสบ ดื่มไม่ได้จริง ๆ ให้ยืนยันเสียงแข็งว่าดื่มไม่ได้ สักวันหนึ่งเขาคงรู้แหละว่าเราไม่ดื่ม 2. ถ้าไม่อยากอยากให้มันเสียบรรยากาศเราก็จิบ ๆ ได้ นั่งสักพักพอทุกคนเริ่มได้ที่แล้ว เราก็แอบหนีกลับบ้านไปเลย 3. ถ้าเราอยากอยู่ทั้งคืน ก็เนียน ๆ ไป เราก็ผสมโคล่าเพิ่มเข้าไป แก้วแรกอาจจะเป็นเหล้าปกติ แก้วต่อไปก็เป็นโคล่าไปอย่างเดียว จะได้ไม่เสียบรรยากาศ’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

คบแฟนมา 4-5 ปี ไม่รู้เป็นอะไร ช่วงนี้เรารู้สึกเฉยๆกับความสัมพันธ์มาก เราทำงาน 6 วัน/สัปดาห์ วันว่างไปเที่ยวกับเขาก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้สนุกเกิน100% เหมือนเมื่อก่อนแต่ก็ไม่อยากเลิก เขาเป็นคนดีมาก แค่รู้สึกดาวน์ๆทำไมตัวเองรู้สึกแบบนี้ คนที่คบแฟนนานๆ

07 มิ.ย. 2024

คบแฟนมา 4-5 ปี ไม่รู้เป็นอะไร ช่วงนี้เรารู้สึกเฉยๆกับความสัมพันธ์มาก เราทำงาน 6 วัน/สัปดาห์ วันว่างไปเที่ยวกับเขาก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้สนุกเกิน100% เหมือนเมื่อก่อนแต่ก็ไม่อยากเลิก เขาเป็นคนดีมาก แค่รู้สึกดาวน์ๆทำไมตัวเองรู้สึกแบบนี้ คนที่คบแฟนนานๆ

คบแฟนมา 4-5 ปี ไม่รู้เป็นอะไร ช่วงนี้เรารู้สึกเฉยๆกับความสัมพันธ์มาก เราทำงาน 6 วัน/สัปดาห์วันว่างไปเที่ยวกับเขาก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้สนุกเกิน100% เหมือนเมื่อก่อนแต่ก็ไม่อยากเลิก เขาเป็นคนดีมากแค่รู้สึกดาวน์ๆทำไมตัวเองรู้สึกแบบนี้ คนที่คบแฟนนานๆ จัดการความรู้สึกยังไงหรอคะ? “คุณแพท (นามสมมติ)” อายุ 22 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [5 มิ.ย. 67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาความรัก แฟนทำเหมือนเดิมทุกอย่างดูแลเทคแคร์ดี แต่เรากลับรู้สึกเนือยๆ เบื่อๆ หรือว่ามันถึงจุดอิ่มตัวของความรักครั้งนี้แล้ว โดย “คุณแพท (นามสมมุติ)” ได้เล่าว่า ‘เป็นปัญหาเรื่องความรัก หนูมีแฟนที่คบกันมา 3 ปี จะ 4 ปี เขาอายุ 21 ปี หนูทำงาน ส่วนเขายังเรียนอยู่แต่ก็จะมีรับพาร์ทไทม์บ้าง เราไม่ได้อยู่กินด้วยกัน แต่อยู่จังหวัดเดียวกัน ซึ่งไม่ได้อยู่ไกลกันมาก แล้วก็ไม่ได้เจอกันทุกวันด้วย ส่วนใหญ่จะเจอกันแค่วันเสาร์ เดือนหนึ่งจะไปเที่ยวกัน 2 - 3 ครั้ง แล้วแต่โอกาสและเวลาว่างของทั้งคู่ แต่เราก็โทรคุยกันทุกวัน ซึ่งเราทั้งคู่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน เขาดีทุกอย่าง ไม่มีเรื่องนอกใจ เรื่องเที่ยวตอนกลางคืน คือไม่มีเรื่องอะไรที่ไม่ดีเลย แต่พอดีหนูเกิดความรู้สึกหนึ่งกับตัวเอง มันเป็นความรู้สึกแบบ เนือยๆ เบื่อๆ แบบว่าเหมือนอยากอยู่เงียบๆ เป็นบางที ซึ่งความรู้สึกแบบนี้มันเคยเกิดขึ้นครั้งแรกตอนที่คบกันได้ 1 ปี หรือ 2 ปี แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เป็นอีกเลย พึ่งกลับมาเป็นอีกครั้งเมื่อตอนต้นปี แล้วก็เป็นถี่ขึ้นด้วย เกือบจะทุกเดือนเลยก็ว่าได้ ส่วนแฟนก็เหมือนเดิมทุกอย่าง ดูแลหนูดีทุกอย่าง แต่ว่าหนูมีภาระงาน ต้องทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ หนูแทบจะไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลย แค่เดินทางไป - กลับ จากที่ทำงานก็เหนื่อยมากพอแล้ว เพราะที่ทำงานกับบ้านค่อนข้างอยู่ไกลกัน ซึ่งพอมีเวลาว่างก็จะทุ่มเวลาตรงนั้นให้กับเขาได้มากที่สุด อย่างเช่นวันนี้เลิกเร็วก็จะโทรหาเขา ชวนเขาเล่นเกม เหมือนว่าเป็นหน้าที่ไปแล้ว บางทีเขาถามหนูว่า “เราคอลกันมั้ย” แต่ตอนนั้นหนูใช้เวลานั่งพักของตัวเองอยู่ เลยรู้สึกไม่อยากคอลเลย แต่ก็ต้องหยุดสิ่งที่ทำอยู่เพื่อไปให้เวลาเขาก่อน แล้วก็มีเรื่องที่บ้านที่ต้องรับผิดชอบหลายเรื่อง ก็เลยไม่มั่นใจว่าตรงส่วนนี้ มันมาเกี่ยวด้วยรึเปล่า เพราะทุกครั้งที่มีอาการแบบนี้ หนูก็จะเนือยกับตัวเองแบบ “เฮ้ยเป็นอีกแล้วหรอ” อะไรอย่างเงี้ย และหนูก็กลัวว่า หนูจะพาให้เขาเครียดไปด้วย โดยตัวหนูเองก็ไม่ได้อยากจะเลิกกับเขาอยู่แล้ว เราทั้งคู่ก็มีคุยเรื่องนี้กันเพื่อหาทางแก้ แต่ก็ไม่รู้จะแก้ยังไง เพราะตัวหนูก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร และเขาก็ไม่รู้ว่าจะช่วยหนูได้ยังไง เคยลองห่างกันไป ไม่เชิงว่าเลิกกัน แค่แยกย้ายกันไปทำกิจวัตรของตัวเอง เขาโฟกัสเรื่องอ่านหนังสือ หนูก็โฟกัสเรื่องงาน พอทำแบบนี้มันก็เหมือนจะดีขึ้นมานิดนึง อย่างเมื่อก่อนที่เราใช้เวลาอยู่ด้วยกัน สมมุติมาตรวัดมันอยู่ที่ 150 แต่ว่าหลังๆ มามันเหลือ 100 มันไม่ได้ลดลงมาแต่มันเนิ่บๆ นิ่งๆ แล้วหนูก็ไม่เคยมีแฟนที่คบมานานขนาดนี้ด้วย ก็เลยไม่มั่นใจว่าตัวเอง เป็นอะไร เคยคิดจะไปหาจิตแพทย์ด้วย เผื่อมันเกี่ยวกับเรื่องลึกๆ ภายใต้จิตใจ พอหนูเป็นแบบนี้ หนูก็ลองไปหาข้อมูลในเน็ต ในเน็ตเขาบอกว่า เวลาคนคบกันมานานส่วนใหญ่เขาก็จะมาตายกันตรงนี้ หนูก็เลยหาต่อว่ามันเป็นอาการหมดรัก อิ่มตัว อะไรอย่างงี้รึป่าว ไปหาดูหลายที่มาก หนูก็พยายามคิดว่าตัวเองคงไม่ได้หมดรักแฟนหรอก ก็เลยอยากจะถามว่าพี่ๆ ว่าถ้าเกิดว่าความรู้สึกแบบนั้นมันกลับมาเล่นงานหนูอีก หนูจะทำยังไง หรือว่าทำเหมือนที่เคยทำมาตลอดทุกครั้งดี โดย “ดีเจต้นหอม” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ภาวะอย่างงี้ต้องคุยกัน คือ ตอนนี้มันเหมือนกับหน้าที่การงานของหนูมันเยอะมาก และด้วยวัยนี้มันจะมีปัญหาเรื่องการสร้างตัว เพราะเราอยากจะทำงานทุกอย่างที่เราทำได้ เป้าหมายของเรามันคือเงิน แล้วก็บางทีแฟนอาจจะเข้ามาในจังหวะที่ไม่พร้อม ไม่พร้อม หมายความว่า คือการที่มีแฟน นอกจากเราจะทำงานแล้ว เรายังต้องมีเวลาให้เขาด้วย เรามีเวลาส่วนตัวของเรา และเขาก็ต้องมีของเขา และเราต้องมีเวลาร่วมกันอีก ทีนี้ของหนูเนี่ย แม้กระทั่งเวลาของตัวเองหนูยังไม่มีเลย แล้วพอหนูจะต้องแชร์เวลาให้เขาอีก มันกลายเป็นเวลาก้อนเดียวกัน ที่เหมือนต้องเจียดแบ่งกัน มันเลยทำให้หนูรู้สึกอึดอัดว่าทำไมหนูเหนื่อยจังเลย ตอนนี้หนูแบกอะไรไว้เยอะเกินไป ฉะนั้นหอมรู้สึกว่าเราควรต้องคุยกันกับแฟนว่า “เฮ้ยตอนนี้งานมันยุ่งมากเลย แล้วเราแทบไม่มีเวลาส่วนตัวเลย ช่วงนี้อาจจะขอให้มันยืดหยุ่นหน่อยได้มั้ย อาจจะไม่ได้มีเวลาคอลบ่อยๆ เหมือนเมื่อก่อน หรืออาจจะไม่ได้ไปเดทกันทุกวันเสาร์ แต่อยากให้เข้าใจหน่อย ช่วงนี้มันเครียดจริงๆ” หอมคิดว่าการพูดคุยกับเขาน่าจะดีกว่าเพราะว่า เรารักกัน เท่าที่หอมเช็คแล้วเนี่ย แพทไม่ได้เบื่อแฟน ไม่ได้ถึงจุดอิ่มตัว แพทยังรู้สึก ภูมิใจในตัวแฟน ว่าแฟนเป็นคนดีอย่างนู้นอย่างนี้ แต่สิ่งที่แพทขาดมันเป็นเรื่องของเวลา ที่เวลาส่วนตัวกับเวลาของแฟนตอนนี้มันแย่งกันอยู่ แล้วแพทต้องการเวลาส่วนตัว ช่วงนี้มันอาจจะเป็นสถานการณ์ที่ยากนิดนึงสำหรับชีวิตคู่ แต่เรายังจะเดินไปด้วยกัน คือเราต้องวิเคราะห์ตัวเองให้ได้ก่อน ไม่งั้นอีกฝ่ายหนึ่งก็จะเหนื่อยกับเราเหมือนกัน ค่อยๆ ปรับมันจะเป็นอย่างงี้แหล่ะ ช่วงเวลาสร้างตัว’ ต่อด้วย “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘เอาจากประสบการณ์ที่เคยเจอมาแล้วกัน อยากให้ลองตรวจสอบ “PMS อาการผิดปกติก่อนมีประจำเดือน” บางทีผู้หญิงบางคนไม่รู้ตัวว่ามันเกิดจาก ฮอร์โมน ที่สวิงเร็วมาก คือบางครั้งถ้าเรานอยด์อะไรแบบไม่มีเห็นผล แล้วเป็นทุกเดือน เป็นสักพักหนึ่งในช่วงประจำเดือนมา มันแทบจะใช่เลยนะ เท่าที่พี่เคยสัมผัสมา เพราะฉะนั้นเริ่มจากลงวันที่ประจำเดือนมาก็ได้ ลองบันทึกดูมันอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่ง สมมุติฮอร์โมนมันเปลี่ยนแบบรวดเร็วมาก บวกกับปัญหาเรื่องงาน ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ฮอร์โมนเราเปลี่ยนก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง แล้วอีก 1 สาเหตุสำคัญคือ การที่เราคบกันมา 3 - 4 ปี พี่ว่ามันเข้าสู่ช่วงนิ่งของความสัมพันธ์พอดีเลย พอสัก 3 ปี อะไรที่มันเคยหวือหวา หรือมันเคย 150 อย่างที่แพทว่า แล้วมันลดลงมาเหลือ 100 พี่ว่ามันก็ปกติ อาจจะมีอะไรหลายๆ อย่างที่ประกอบกันพอดี แล้วทำให้ทุกอย่างมันผสมรวมกันเป็นอารมณ์เดียวที่แพทสัมผัสได้ เพราะฉะนั้นลอง Checklist ดูทีละอย่าง แล้วก็ถึงแม้ว่าจะคบกันมา 3 - 4 ปี ความหวือหวามันจะลดลง หรือเราจะเริ่มรู้สึกมีความเบื่อ ปรากฎขึ้นมา ซึ่งมันยังปกติ ถ้าสุดท้ายแล้วคำถามที่เราลองถามตัวเองว่า ถ้าเบื่อแล้ววันหนึ่งไม่มีเขาอยู่ในชีวิต เราอยู่ได้มั้ย ลองดูเลยว่าถ้าเราไม่ได้คบกับคนนี้อีกต่อไป ชีวิตเราจะเปลี่ยนไปยังไงบ้าง ถ้าคำตอบคือ “อยู่ไม่ได้” นั่นแปลว่า ความเบื่อที่มันลดลง และความหวือหวาที่มันหายไป พี่ว่ามันคือเรื่องปกติของความสัมพันธ์ ทุกๆ คู่มันจะต้องผ่านจุดนี้ จุดที่เราไม่ได้หวานฉ่ำ ไม่ได้หลงไหลกันเท่ากับตอนที่เราจีบกันปี 2 ปีแรก หรือใดๆ ก็ตาม จะผ่านได้ ไม่ได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างที่เขาว่าถ้าคบกันก็จะกลายเป็นเพื่อนกัน แพทคงเคยได้ยินประโยคนี้ แต่พี่ว่า ไม่ใช่ จริงๆ คบกันไปจะกลายเป็นคู่ชีวิตกัน แล้วยิ่งอยู่เป็นคู่ชีวิตแล้ว มันไม่ต้องการความหวือหวาและมานั่งตื่นเต้นอะไรกันแล้ว มันอยู่เพื่อสร้างครอบครัว อยู่กันเพื่ออนาคตมากกว่า มันคือความรักนั่นแหล่ะ แต่แค่เปลี่ยนรูปแบบ เปลี่ยนเป้าหมาย เปลี่ยนความรู้สึกไปบ้างตามธรรมชาติของมนุษย์’ สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ทุกอย่างที่พี่จดไว้บนกระดาษ ก็คือพี่หอมและพี่เผือกพูดไปหมดแล้ว เห็นตรงกันหมดเลย พี่ไม่ได้รู้สึกว่าคุณแพทไม่ได้ ไม่รักเขา เพียงแต่ว่า ณ ตอนนี้มันมีเรื่องงานที่พี่คิดว่าน่าจะเป็นปัญหาหลักๆ อันนี้จากที่ฟัง แล้วพี่คิดว่า ที่คุณแพทบอกว่าเหมือนเคยอยากจะไปปรึกษาจิตแพทย์ พี่ว่าลองดูก็ได้นะ เพราะพี่ไม่รู้ว่า ไอความเนือยๆ เบื่อๆ ของคุณแพท บางทีมันส่งผลจริงๆ โดยที่คุณแพทไม่ได้รู้ตัว บางคนพอเวลาเครียดกับงาน เหมือนมันอยู่ในจิตตลอดเวลา ไม่สามารถทำงานหรือเคลียร์งานได้ พะว้าพะวง หรืออะไรก็ตาม แล้วพี่ว่าอายุแบบคุณแพทเรื่องงานมันสำคัญจริงๆ ซึ่งบางครั้ง เวลาที่เราต้องโฟกัส กับงานมากๆ การมีแฟน บางทีมันอาจจะกลายเป็นภาระก็ได้ คือถ้าไม่เจ๋งจริงเอาไม่อยู่เหมือนกันนะ หมายถึงว่าต้องเป็นคนที่มีทักษะประมาณหนึ่งเลย ที่สมมุติเวลามันมีงานที่ต้องรับผิดชอบมากๆ โดยที่เราก็ยังไม่ขาดตกบกพร่องเรื่องแฟน มันหาไม่ได้ในทุกคน เราจะเห็นว่าบางคน งานสำเร็จมาก แต่ความรักคือพังพินาศ เพราะว่าเขาไม่สามารถจัดการมันได้จริงๆ พี่ก็รู้สึกว่า ถ้าคุณแพทมีโอกาสก็ลองคุยกับคุณหมอจิตแพทย์ดู บางทีมันอาจจะปลดล็อคก็ได้ หรือจะเป็น PMS อย่างที่พี่เผือกบอกก็เป็นไปได้หมด แต่ถ้าตอนนี้พี่รู้สึกว่า สิ่งหนึ่งที่มันน่าจะเป็นปัญหาเลยคือ ความโหลด ของคุณแพทที่ทำงานหนัก แต่ว่าสุดท้ายทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ไปอยู่ที่พี่เผือกพูดว่า ถ้าแพทจะทำงานจนรู้สึกว่า เฮ้ยเราอยู่กับงานแล้วเราอยู่คนเดียวได้ สุดท้ายถ้าวันนั้นแพทรู้สึกว่า เฮ้ยเราทุ่มเทกับงานแล้วได้อยู่กับตัวเองแล้วมันสบาย โดยที่แพทกลับบ้านแล้วไม่มีใครมาถามว่า วันนี้เป็นยังไงบ้าง เหนื่อยมั้ย ถ้าแพทโอเค มันก็อาจจะเหมาะกับชีวิตของแพทก็ได้ แต่ถ้าแพทรู้ตัวว่า หนูก็ยังเป็นคนที่เวลากลับบ้านมาเหนื่อยๆ แล้วอยากให้มีคนถามไถ่ว่า วันนี้เป็นไงบ้าง เหนื่อยมั้ย ให้มีคนได้พูดได้ปรึกษา แพทก็ต้องช่างน้ำหนักตัวเองดู มันต้องมีคำตอบให้ตัวเองว่า สุดท้ายการอยู่คนเดียวหรือว่ามีเขาอยู่ อะไรมันดีกับชีวิตเรามากกว่ากัน แล้วเรื่องสุดท้ายเช่นกัน พี่ว่าการที่หนูไม่เคยมีแฟนระยะยาวมันเลยยิ่งทำให้หนูงงว่า เฮ้ยก่อนหน้ามันหวือหวาตลอด เพราะหนูเวลาแค่นั้นไง สำหรับพี่ทุกวันนี้นั่งเล่นมือถือหรืออ่านหนังสือแล้วมีแฟนนั่งอยู่ข้างๆ ก็พอ มันก็ไม่ได้มีความหวือหวาใดๆ แล้ว แต่มันก็อาจจะต้องหากิจกรรมทำร่วมกัน ไปเดทกันเพื่อเติมความหวานกันหน่อย ไม่ใช่อยู่กันเฉยๆ ไม่หาอะไรทำด้วยกัน ถ้าในความโรแมนติกมันก็จะหมดกันไปได้ในสักวัน แต่ว่าความหวือหวามันไม่เท่าอยู่แล้วน้องแพท มันไม่มีทางเท่า ใครทำเท่าได้นี่คือ กราบเลยอ่ะ มันลดลงอยู่แล้วตามปกติ เพียงแต่ว่ามันลดลงในปริมาณที่เรารู้สึกว่า เออพอดีอ่ะ มันอยู่ด้วยกันแล้วเราสบายใจที่มีคนอยู่ข้างๆ มากกว่า’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

หนูอายุ 19 แต่น้องชายหนูที่บ้านตามใจทุกเรื่อง แฟนก็มีได้ แต่หนูที่บ้านห้ามไม่ให้มี รู้สึกว่าไม่มีความเท่าเทียมเลย ความเท่าเทียมควรเริ่มต้นจากที่บ้านรึเปล่า? พอหนูถามไปผู้ใหญ่ที่บ้านก็ว่า Toxic ที่หนูคิดมันผิดมากเลยหรอคะ

11 เม.ย. 2025

หนูอายุ 19 แต่น้องชายหนูที่บ้านตามใจทุกเรื่อง แฟนก็มีได้ แต่หนูที่บ้านห้ามไม่ให้มี รู้สึกว่าไม่มีความเท่าเทียมเลย ความเท่าเทียมควรเริ่มต้นจากที่บ้านรึเปล่า? พอหนูถามไปผู้ใหญ่ที่บ้านก็ว่า Toxic ที่หนูคิดมันผิดมากเลยหรอคะ

“คุณเอ (นามสมมติ)” อายุ 18 ปี สายที่สามในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [9 เม.ย. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม” เกี่ยวกับปัญหาความไม่เท่าเทียมกันในครอบครัว โดย “คุณเอ (นามสมมุติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูไม่รู้ว่านิสัยเด็ก Gen Z เเบบหนูเรียกว่า Toxic รึป่าว หนูมีน้องชายเเท้ๆ อายุ 17 ปี อยู่ด้วยกัน แต่หนูก็มีความรู้สึกว่าคนทั้งบ้าน รัก เเละเอ็นดูน้องชายมากกว่าตัวหนู ตอนเเรกหนูไม่ได้สังเกต จนตอนที่เพื่อนหนูมาที่บ้านและถามว่า ทำไมรู้สึกว่าน้ามึงพูดกับน้องอย่างนึง พูดกับมึงอีกอย่าง ทั้งน้ำเสียงเเละคำพูด ท่าทาง ตอนเเรกหนูก็ไม่ได้คิดว่าจริงรึป่าว เเต่พอมานึกดูดีๆ บางอย่างก็จริงอย่างที่เพื่อนบอก จนหนูก็ลองสังเกตดู เเละเห็นว่าสิ่งที่น้องได้รับเเละหนูได้รับมันก็ต่างกัน เลยมีความรู้สึกน้อยใจ ไม่เท่าเทียมว่าทำไมน้องของหนูถึงมีสิทธิ์ทำอะไรได้มากกว่าหนู เช่น อิสระเรื่องความรัก เเละอีกหลายอย่าง ด้วยความที่บ้านของหนูเป็นเชื้อสายจีนเลยอาจจะเอ็นดูเด็กผู้ชายมากกว่า เวลาน้องหนูจะไปไหน ไปกับสาว ไปกับเเฟนเขาก็จะบอกที่บ้านตรงๆ เเต่พอเป็นหนู หนูไม่สามารถที่จะบอกเเบบนั้นได้เหมือนน้อง เพราะเวลาบอกไป เขาจะทำท่าทางไม่พอใจ และด้วยความที่น้องหนูเรียนโรงเรียนประจำห่างจากบ้าน ทำให้เวลาเสาร์ - อาทิตย์ น้องของหนูจะไปกรุงเทพ ไปเที่ยว เขาก็ไปได้ เเต่พอเป็นหนูที่ขอเขาไปอำเภอใกล้เคียง เขาก็จะถามมาเลยว่า กลับกี่โมง ไปกับใคร สมมติหนูบอกว่าจะกลับบ้านตอนเที่ยง สิบเอ็ดโมงครึ่ง เขาก็จะโทรมาตามหนูเเล้วว่า อยู่ไหนเเล้ว มันเลยทำให้หนูเกิดความอึดอัด เเล้วค้างคาใจ พอมีวันหนึ่งที่หนูมาหาเเม่ที่บ้าน เเล้วนั่งกินข้าวกัน 3 คน มีเเม่ น้องชาย แล้วก็หนู เเม่ก็เปิดประเด็นว่า ถ้าคราวหน้าน้องชายหนูจะพาเเฟนมานอนที่บ้านด้วยก็ได้ หนูเลยเเกล้งๆพูดไปว่า หนูทำบ้าง เเม่ของหนูก็พูดขึ้นมาเลยว่า ถ้าเป็นหนูต้องรอจนกว่าจะขึ้นมหาลัยก่อน หนูเลยไม่พอใจ เเล้วถามว่า เเล้วน้องหนูมีสิทธ์อะไรมากกว่าหนูถึงทำได้ อายุก็ไล่เลี่ยกัน เเม่ก็เลยบอกว่า ผู้ชาย กับ ผู้หญิง มันไม่เท่าเทียมกัน เกิดว่าหนูไปนอนบ้านเเฟนเเล้วพลาดท้อง ผู้หญิงอนาคตก็คือจบไปเลย เเต่ผู้ชายก็ยังไปเรียนต่อได้หรือว่าทำอะไรได้มากกว่าหนู อาจจะเพราะเเม่มีลูกตั้งเเต่ยังเด็กเลยทำให้เป็นห่วงหนู และสังคมรอบตัวหนู เพื่อนๆของหนูก็ท้อง มีลูกกันหมดแล้วด้วย หลังจากที่ทะเลาะกับเเม่เสร็จ น้องชายหนูก็เอาเรื่องนี้ไปฟ้องน้า เขาเลยอธิบายว่าทำไมเเม่ถึงพูดว่าไม่เท่าเทียม พยายามที่จะทำให้หนูเข้าใจ เเต่หนูก็คิดว่า ถึงหนูจะเป็นผู้หญิงเเต่หนูก็รับผิดชอบตัวเองได้ ไม่ต้องทำให้ใครเป็นห่วงเหมือนกับน้องชาย เเต่หนูยิ่งพูดก็เหมือนน้าจะยิ่งไม่เข้าใจ เขาบอกว่ายังไม่ถึงเวลา หนูก็เลยยิ่งสงสัยว่าทำไมน้องหนูเขาถึงทำได้ สุดท้ายหนูก็ได้ไปพูดกับเเม่ว่า ถ้าเเม่รู้สึกผู้หญิงกับผู้ชายไม่เท่าเทียมกัน เเม่ก็อย่าเเสดงออกเเบบนี้ได้ไหม ถ้าเเม่ไม่ให้หนูทำ ก็ต้องห้ามน้องทำเหมือนกัน พอหนูพูดไปเเบบนี้ เเม่เขาก็พูดสวนกลับมาว่า หนูเป็นลูก หนูมีสิทธิ์อะไรที่จะไปสั่งเขาเเบบนั้น ก็เลยทะเลาะกันใหญ่โต น้าเลยต้องเข้ามาคุยด้วย เเต่หนูก็ยังมีคำถามในหัวว่า ทำไม! ทำไม! หนูเลยไม่ได้คุยกับเเม่ ส่วนน้องชายก็มาเยาะเย้ย ซ้ำเติม ทำให้หนูรู้สึกว่าตอนนั้นไม่เหลือใครเลย เพราะน้าหนูก็เหมือนจะไม่เข้าใจตัวหนูเลย เเล้วบอกว่าหนู Toxic บอกให้หนูลองย้อนมามองตัวเองบ้าง เเละใน 2 เดือนที่หนูทะเลาะกับที่บ้าน ที่มี ลุง ป้า น้า น้องชาย ในบ้านไม่มีใครคุยกับหนูเลย พอหนูกลับไปเล่าเรื่องนี้ให้เเม่ฟัง เเม่ก็ถามว่า ให้หนูมาอยู่กับเเม่ไหม เเต่ป้าก็เหมือนจะไม่อยากให้ไป เพราะเเม่หนูไม่สามารถซัพพอร์ตเรื่องค่าใช้จ่ายให้หนูได้ จนตอนนี้พอน้าได้มาคุยกับหนู เขาบอกว่า เขาไม่สามารถเอ็นดูหนูได้เหมือนเมื่อก่อน เพราะทิฐิที่หนูมีกับคนในบ้านมันมากเกินไป หนูเลยอยากปรึกษาพี่ๆ ดีเจว่า หนูผิดไหมที่หนูทิฐิกับคนในบ้านมากเกินไป เเละ ความเท่าเทียมมันควรเริ่มจากคนในบ้านรึป่าว?’ เริ่มที่ “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘มันยากมากที่จะทำให้คนที่มีอายุต่างกัน มองในมุมกันเเละกัน พวกพี่ที่นั่งกันตรงนี้ก็มีลูก เเละหลาน การพยายามปรับตัวเรื่องการสื่อสาร หรือมุมมอง คำเดียวที่พี่จะบอกเอได้ คือในวันที่เอมีลูก เอจะเข้าใจเพราะฉะนั้น ณ วันนี้เอรู้สึกไม่เเฟร์ เออาจจะต้องอดทนเพราะอีกนิดเดียวเอก็จะเข้ามหาลัย มีชีวิตเป็นของตัวเองเเล้ว เพราะเราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนความคิดของคนที่มีอายุห่างกันเยอะๆได้อยู่เเล้ว เพราะงั้นอีกนิดเดียว เอก็จะได้กำหนดชีวิตตัวเองเเล้ว ใช้ชีวิตให้มันดี’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่ว่าน้องเอเป็นตัวเเทนของเด็กหลายๆบ้านที่มีความคิดเเบบเดียวกัน เเละที่น้องเอถามว่า เพศสภาพ ควรเริ่มที่จะเท่าเทียมกันตั้งเเต่ในครอบครัวรึเปล่า อันนี้พี่เห็นด้วย เเต่ความเท่าเทียมในสังคมเป็นเรื่องที่ยากมากในบางประเทศ ผู้หญิงยังไม่มีสิทธิ์ได้รับการศึกษาเลย เพราะฉะนั้นพี่รู้สึกดีที่น้องเอ เข้าใจถึงข้อนี้ เเต่สำหรับเรื่องที่บ้านของน้องเอ พี่ว่าเขารักน้องเอเเหละ เเต่อาจจะสื่อสารไม่ดี เเละที่เขาเข้มงวดกับเอ เพราะเขามองเห็นว่าเอเป็นผู้หญิงเลยอาจจะดูเเลตัวเองได้ไม่ดีเท่ากับน้องชายตัวเอง เพราะผู้หญิงมีความเสี่ยงกว่า มีพันธะมากกว่า เพราะงั้นเออาจจะลองมองในมุมว่าเขาเข้มงวด เพราะเขาเป็นห่วงเรา ลองหาความสุขในบ้านหลังนี้จนกว่าเอจะย้ายออกจากบ้านไปใช้ชีวิตของตัวเอง น้อยใจเรื่องเพศสภาพได้ เเต่อย่าน้อยใจว่าเขาไม่รักเรา พิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเราดูเเลตัวเองได้’ สุดท้าย “ดีเจต้นหอม” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘เอมีทางเลือกอยู่อย่างเดียวคือ พิสูจน์ตัวเอง ทำในสิ่งที่ที่บ้านทำไม่ได้ เอาชนะในเรื่องความสำเร็จ ไม่ใช่เอาชนะในเรื่องคำพูด เมื่อเราทำงานได้ หาเงินได้ นั่นเเหละคือตอนที่เราจะมีอิสระจากครอบครัว อย่าเกลียดคนในบ้านเช่น ป้า น้า น้องชาย เพราะสุดท้ายทุกคนก็คือครอบครัวของเอ อาจจะไม่ต้องใช้เหตุผลคุยกัน เพราะทั้งเหตุผลของเอ เเละเหตุผลของครอบครัว ทั้งคู่เป็นเหตุผลที่ถูก ไม่ได้ผิด เเต่เเค่ต่างมุมมองกัน’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามชมใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1