คบแฟนมา 4-5 ปี ไม่รู้เป็นอะไร ช่วงนี้เรารู้สึกเฉยๆกับความสัมพันธ์มาก เราทำงาน 6 วัน/สัปดาห์ วันว่างไปเที่ยวกับเขาก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้สนุกเกิน100% เหมือนเมื่อก่อนแต่ก็ไม่อยากเลิก เขาเป็นคนดีมาก แค่รู้สึกดาวน์ๆทำไมตัวเองรู้สึกแบบนี้ คนที่คบแฟนนานๆ

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

คบแฟนมา 4-5 ปี ไม่รู้เป็นอะไร ช่วงนี้เรารู้สึกเฉยๆกับความสัมพันธ์มาก เราทำงาน 6 วัน/สัปดาห์ วันว่างไปเที่ยวกับเขาก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้สนุกเกิน100% เหมือนเมื่อก่อนแต่ก็ไม่อยากเลิก เขาเป็นคนดีมาก แค่รู้สึกดาวน์ๆทำไมตัวเองรู้สึกแบบนี้ คนที่คบแฟนนานๆ

07 มิ.ย. 2024

คบแฟนมา 4-5 ปี ไม่รู้เป็นอะไร ช่วงนี้เรารู้สึกเฉยๆกับความสัมพันธ์มาก เราทำงาน 6 วัน/สัปดาห์

วันว่างไปเที่ยวกับเขาก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้สนุกเกิน100% เหมือนเมื่อก่อนแต่ก็ไม่อยากเลิก เขาเป็นคนดีมาก

แค่รู้สึกดาวน์ๆทำไมตัวเองรู้สึกแบบนี้ คนที่คบแฟนนานๆ จัดการความรู้สึกยังไงหรอคะ?

            “คุณแพท (นามสมมติ)” อายุ 22 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [5 มิ.ย. 67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาความรัก แฟนทำเหมือนเดิมทุกอย่างดูแลเทคแคร์ดี แต่เรากลับรู้สึกเนือยๆ เบื่อๆ หรือว่ามันถึงจุดอิ่มตัวของความรักครั้งนี้แล้ว

            โดย “คุณแพท (นามสมมุติ)” ได้เล่าว่า ‘เป็นปัญหาเรื่องความรัก หนูมีแฟนที่คบกันมา 3 ปี จะ 4 ปี เขาอายุ 21 ปี หนูทำงาน ส่วนเขายังเรียนอยู่แต่ก็จะมีรับพาร์ทไทม์บ้าง เราไม่ได้อยู่กินด้วยกัน แต่อยู่จังหวัดเดียวกัน ซึ่งไม่ได้อยู่ไกลกันมาก แล้วก็ไม่ได้เจอกันทุกวันด้วย ส่วนใหญ่จะเจอกันแค่วันเสาร์ เดือนหนึ่งจะไปเที่ยวกัน 2 - 3 ครั้ง แล้วแต่โอกาสและเวลาว่างของทั้งคู่ แต่เราก็โทรคุยกันทุกวัน

            ซึ่งเราทั้งคู่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน เขาดีทุกอย่าง  ไม่มีเรื่องนอกใจ เรื่องเที่ยวตอนกลางคืน คือไม่มีเรื่องอะไรที่ไม่ดีเลย แต่พอดีหนูเกิดความรู้สึกหนึ่งกับตัวเอง มันเป็นความรู้สึกแบบ เนือยๆ เบื่อๆ แบบว่าเหมือนอยากอยู่เงียบๆ เป็นบางที ซึ่งความรู้สึกแบบนี้มันเคยเกิดขึ้นครั้งแรกตอนที่คบกันได้ 1 ปี หรือ 2 ปี แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เป็นอีกเลย พึ่งกลับมาเป็นอีกครั้งเมื่อตอนต้นปี แล้วก็เป็นถี่ขึ้นด้วย เกือบจะทุกเดือนเลยก็ว่าได้ ส่วนแฟนก็เหมือนเดิมทุกอย่าง ดูแลหนูดีทุกอย่าง แต่ว่าหนูมีภาระงาน ต้องทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ หนูแทบจะไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลย แค่เดินทางไป - กลับ จากที่ทำงานก็เหนื่อยมากพอแล้ว เพราะที่ทำงานกับบ้านค่อนข้างอยู่ไกลกัน ซึ่งพอมีเวลาว่างก็จะทุ่มเวลาตรงนั้นให้กับเขาได้มากที่สุด อย่างเช่นวันนี้เลิกเร็วก็จะโทรหาเขา ชวนเขาเล่นเกม เหมือนว่าเป็นหน้าที่ไปแล้ว บางทีเขาถามหนูว่า “เราคอลกันมั้ย” แต่ตอนนั้นหนูใช้เวลานั่งพักของตัวเองอยู่ เลยรู้สึกไม่อยากคอลเลย แต่ก็ต้องหยุดสิ่งที่ทำอยู่เพื่อไปให้เวลาเขาก่อน

            แล้วก็มีเรื่องที่บ้านที่ต้องรับผิดชอบหลายเรื่อง ก็เลยไม่มั่นใจว่าตรงส่วนนี้  มันมาเกี่ยวด้วยรึเปล่า เพราะทุกครั้งที่มีอาการแบบนี้ หนูก็จะเนือยกับตัวเองแบบ “เฮ้ยเป็นอีกแล้วหรอ” อะไรอย่างเงี้ย และหนูก็กลัวว่า หนูจะพาให้เขาเครียดไปด้วย โดยตัวหนูเองก็ไม่ได้อยากจะเลิกกับเขาอยู่แล้ว เราทั้งคู่ก็มีคุยเรื่องนี้กันเพื่อหาทางแก้ แต่ก็ไม่รู้จะแก้ยังไง เพราะตัวหนูก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร และเขาก็ไม่รู้ว่าจะช่วยหนูได้ยังไง เคยลองห่างกันไป ไม่เชิงว่าเลิกกัน แค่แยกย้ายกันไปทำกิจวัตรของตัวเอง เขาโฟกัสเรื่องอ่านหนังสือ หนูก็โฟกัสเรื่องงาน พอทำแบบนี้มันก็เหมือนจะดีขึ้นมานิดนึง อย่างเมื่อก่อนที่เราใช้เวลาอยู่ด้วยกัน สมมุติมาตรวัดมันอยู่ที่ 150 แต่ว่าหลังๆ มามันเหลือ 100 มันไม่ได้ลดลงมาแต่มันเนิ่บๆ นิ่งๆ แล้วหนูก็ไม่เคยมีแฟนที่คบมานานขนาดนี้ด้วย ก็เลยไม่มั่นใจว่าตัวเอง เป็นอะไร เคยคิดจะไปหาจิตแพทย์ด้วย เผื่อมันเกี่ยวกับเรื่องลึกๆ ภายใต้จิตใจ

            พอหนูเป็นแบบนี้ หนูก็ลองไปหาข้อมูลในเน็ต ในเน็ตเขาบอกว่า เวลาคนคบกันมานานส่วนใหญ่เขาก็จะมาตายกันตรงนี้ หนูก็เลยหาต่อว่ามันเป็นอาการหมดรัก อิ่มตัว อะไรอย่างงี้รึป่าว ไปหาดูหลายที่มาก หนูก็พยายามคิดว่าตัวเองคงไม่ได้หมดรักแฟนหรอก ก็เลยอยากจะถามว่าพี่ๆ ว่าถ้าเกิดว่าความรู้สึกแบบนั้นมันกลับมาเล่นงานหนูอีก หนูจะทำยังไง หรือว่าทำเหมือนที่เคยทำมาตลอดทุกครั้งดี

            โดย “ดีเจต้นหอม” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ภาวะอย่างงี้ต้องคุยกัน คือ ตอนนี้มันเหมือนกับหน้าที่การงานของหนูมันเยอะมาก และด้วยวัยนี้มันจะมีปัญหาเรื่องการสร้างตัว เพราะเราอยากจะทำงานทุกอย่างที่เราทำได้ เป้าหมายของเรามันคือเงิน แล้วก็บางทีแฟนอาจจะเข้ามาในจังหวะที่ไม่พร้อม ไม่พร้อม หมายความว่า คือการที่มีแฟน นอกจากเราจะทำงานแล้ว เรายังต้องมีเวลาให้เขาด้วย เรามีเวลาส่วนตัวของเรา และเขาก็ต้องมีของเขา และเราต้องมีเวลาร่วมกันอีก ทีนี้ของหนูเนี่ย แม้กระทั่งเวลาของตัวเองหนูยังไม่มีเลย แล้วพอหนูจะต้องแชร์เวลาให้เขาอีก มันกลายเป็นเวลาก้อนเดียวกัน ที่เหมือนต้องเจียดแบ่งกัน มันเลยทำให้หนูรู้สึกอึดอัดว่าทำไมหนูเหนื่อยจังเลย ตอนนี้หนูแบกอะไรไว้เยอะเกินไป

            ฉะนั้นหอมรู้สึกว่าเราควรต้องคุยกันกับแฟนว่า “เฮ้ยตอนนี้งานมันยุ่งมากเลย แล้วเราแทบไม่มีเวลาส่วนตัวเลย ช่วงนี้อาจจะขอให้มันยืดหยุ่นหน่อยได้มั้ย อาจจะไม่ได้มีเวลาคอลบ่อยๆ เหมือนเมื่อก่อน หรืออาจจะไม่ได้ไปเดทกันทุกวันเสาร์ แต่อยากให้เข้าใจหน่อย ช่วงนี้มันเครียดจริงๆ” หอมคิดว่าการพูดคุยกับเขาน่าจะดีกว่าเพราะว่า เรารักกัน เท่าที่หอมเช็คแล้วเนี่ย แพทไม่ได้เบื่อแฟน ไม่ได้ถึงจุดอิ่มตัว แพทยังรู้สึก ภูมิใจในตัวแฟน ว่าแฟนเป็นคนดีอย่างนู้นอย่างนี้ แต่สิ่งที่แพทขาดมันเป็นเรื่องของเวลา ที่เวลาส่วนตัวกับเวลาของแฟนตอนนี้มันแย่งกันอยู่ แล้วแพทต้องการเวลาส่วนตัว ช่วงนี้มันอาจจะเป็นสถานการณ์ที่ยากนิดนึงสำหรับชีวิตคู่ แต่เรายังจะเดินไปด้วยกัน คือเราต้องวิเคราะห์ตัวเองให้ได้ก่อน ไม่งั้นอีกฝ่ายหนึ่งก็จะเหนื่อยกับเราเหมือนกัน ค่อยๆ ปรับมันจะเป็นอย่างงี้แหล่ะ ช่วงเวลาสร้างตัว’

            ต่อด้วย “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘เอาจากประสบการณ์ที่เคยเจอมาแล้วกัน อยากให้ลองตรวจสอบ “PMS อาการผิดปกติก่อนมีประจำเดือน” บางทีผู้หญิงบางคนไม่รู้ตัวว่ามันเกิดจาก ฮอร์โมน ที่สวิงเร็วมาก คือบางครั้งถ้าเรานอยด์อะไรแบบไม่มีเห็นผล แล้วเป็นทุกเดือน เป็นสักพักหนึ่งในช่วงประจำเดือนมา มันแทบจะใช่เลยนะ เท่าที่พี่เคยสัมผัสมา เพราะฉะนั้นเริ่มจากลงวันที่ประจำเดือนมาก็ได้ ลองบันทึกดูมันอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่ง สมมุติฮอร์โมนมันเปลี่ยนแบบรวดเร็วมาก บวกกับปัญหาเรื่องงาน ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ฮอร์โมนเราเปลี่ยนก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง แล้วอีก 1 สาเหตุสำคัญคือ การที่เราคบกันมา 3 - 4 ปี พี่ว่ามันเข้าสู่ช่วงนิ่งของความสัมพันธ์พอดีเลย พอสัก 3 ปี อะไรที่มันเคยหวือหวา หรือมันเคย 150 อย่างที่แพทว่า แล้วมันลดลงมาเหลือ 100 พี่ว่ามันก็ปกติ อาจจะมีอะไรหลายๆ อย่างที่ประกอบกันพอดี แล้วทำให้ทุกอย่างมันผสมรวมกันเป็นอารมณ์เดียวที่แพทสัมผัสได้ เพราะฉะนั้นลอง Checklist ดูทีละอย่าง แล้วก็ถึงแม้ว่าจะคบกันมา 3 - 4 ปี ความหวือหวามันจะลดลง หรือเราจะเริ่มรู้สึกมีความเบื่อ ปรากฎขึ้นมา ซึ่งมันยังปกติ

            ถ้าสุดท้ายแล้วคำถามที่เราลองถามตัวเองว่า ถ้าเบื่อแล้ววันหนึ่งไม่มีเขาอยู่ในชีวิต เราอยู่ได้มั้ย ลองดูเลยว่าถ้าเราไม่ได้คบกับคนนี้อีกต่อไป ชีวิตเราจะเปลี่ยนไปยังไงบ้าง ถ้าคำตอบคือ “อยู่ไม่ได้” นั่นแปลว่า ความเบื่อที่มันลดลง และความหวือหวาที่มันหายไป พี่ว่ามันคือเรื่องปกติของความสัมพันธ์ ทุกๆ คู่มันจะต้องผ่านจุดนี้ จุดที่เราไม่ได้หวานฉ่ำ ไม่ได้หลงไหลกันเท่ากับตอนที่เราจีบกันปี 2 ปีแรก หรือใดๆ ก็ตาม จะผ่านได้ ไม่ได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างที่เขาว่าถ้าคบกันก็จะกลายเป็นเพื่อนกัน แพทคงเคยได้ยินประโยคนี้ แต่พี่ว่า ไม่ใช่ จริงๆ คบกันไปจะกลายเป็นคู่ชีวิตกัน แล้วยิ่งอยู่เป็นคู่ชีวิตแล้ว มันไม่ต้องการความหวือหวาและมานั่งตื่นเต้นอะไรกันแล้ว มันอยู่เพื่อสร้างครอบครัว อยู่กันเพื่ออนาคตมากกว่า มันคือความรักนั่นแหล่ะ แต่แค่เปลี่ยนรูปแบบ เปลี่ยนเป้าหมาย เปลี่ยนความรู้สึกไปบ้างตามธรรมชาติของมนุษย์’

            สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ทุกอย่างที่พี่จดไว้บนกระดาษ ก็คือพี่หอมและพี่เผือกพูดไปหมดแล้ว เห็นตรงกันหมดเลย พี่ไม่ได้รู้สึกว่าคุณแพทไม่ได้ ไม่รักเขา เพียงแต่ว่า ณ ตอนนี้มันมีเรื่องงานที่พี่คิดว่าน่าจะเป็นปัญหาหลักๆ อันนี้จากที่ฟัง แล้วพี่คิดว่า ที่คุณแพทบอกว่าเหมือนเคยอยากจะไปปรึกษาจิตแพทย์ พี่ว่าลองดูก็ได้นะ เพราะพี่ไม่รู้ว่า ไอความเนือยๆ เบื่อๆ ของคุณแพท บางทีมันส่งผลจริงๆ โดยที่คุณแพทไม่ได้รู้ตัว บางคนพอเวลาเครียดกับงาน เหมือนมันอยู่ในจิตตลอดเวลา ไม่สามารถทำงานหรือเคลียร์งานได้ พะว้าพะวง หรืออะไรก็ตาม แล้วพี่ว่าอายุแบบคุณแพทเรื่องงานมันสำคัญจริงๆ ซึ่งบางครั้ง เวลาที่เราต้องโฟกัส กับงานมากๆ การมีแฟน บางทีมันอาจจะกลายเป็นภาระก็ได้ คือถ้าไม่เจ๋งจริงเอาไม่อยู่เหมือนกันนะ หมายถึงว่าต้องเป็นคนที่มีทักษะประมาณหนึ่งเลย ที่สมมุติเวลามันมีงานที่ต้องรับผิดชอบมากๆ โดยที่เราก็ยังไม่ขาดตกบกพร่องเรื่องแฟน มันหาไม่ได้ในทุกคน เราจะเห็นว่าบางคน งานสำเร็จมาก แต่ความรักคือพังพินาศ เพราะว่าเขาไม่สามารถจัดการมันได้จริงๆ

            พี่ก็รู้สึกว่า ถ้าคุณแพทมีโอกาสก็ลองคุยกับคุณหมอจิตแพทย์ดู บางทีมันอาจจะปลดล็อคก็ได้ หรือจะเป็น PMS อย่างที่พี่เผือกบอกก็เป็นไปได้หมด แต่ถ้าตอนนี้พี่รู้สึกว่า สิ่งหนึ่งที่มันน่าจะเป็นปัญหาเลยคือ ความโหลด ของคุณแพทที่ทำงานหนัก แต่ว่าสุดท้ายทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ไปอยู่ที่พี่เผือกพูดว่า ถ้าแพทจะทำงานจนรู้สึกว่า เฮ้ยเราอยู่กับงานแล้วเราอยู่คนเดียวได้ สุดท้ายถ้าวันนั้นแพทรู้สึกว่า เฮ้ยเราทุ่มเทกับงานแล้วได้อยู่กับตัวเองแล้วมันสบาย โดยที่แพทกลับบ้านแล้วไม่มีใครมาถามว่า วันนี้เป็นยังไงบ้าง เหนื่อยมั้ย ถ้าแพทโอเค มันก็อาจจะเหมาะกับชีวิตของแพทก็ได้ แต่ถ้าแพทรู้ตัวว่า หนูก็ยังเป็นคนที่เวลากลับบ้านมาเหนื่อยๆ แล้วอยากให้มีคนถามไถ่ว่า วันนี้เป็นไงบ้าง เหนื่อยมั้ย ให้มีคนได้พูดได้ปรึกษา แพทก็ต้องช่างน้ำหนักตัวเองดู มันต้องมีคำตอบให้ตัวเองว่า สุดท้ายการอยู่คนเดียวหรือว่ามีเขาอยู่ อะไรมันดีกับชีวิตเรามากกว่ากัน แล้วเรื่องสุดท้ายเช่นกัน พี่ว่าการที่หนูไม่เคยมีแฟนระยะยาวมันเลยยิ่งทำให้หนูงงว่า เฮ้ยก่อนหน้ามันหวือหวาตลอด เพราะหนูเวลาแค่นั้นไง สำหรับพี่ทุกวันนี้นั่งเล่นมือถือหรืออ่านหนังสือแล้วมีแฟนนั่งอยู่ข้างๆ ก็พอ มันก็ไม่ได้มีความหวือหวาใดๆ แล้ว แต่มันก็อาจจะต้องหากิจกรรมทำร่วมกัน ไปเดทกันเพื่อเติมความหวานกันหน่อย ไม่ใช่อยู่กันเฉยๆ ไม่หาอะไรทำด้วยกัน ถ้าในความโรแมนติกมันก็จะหมดกันไปได้ในสักวัน แต่ว่าความหวือหวามันไม่เท่าอยู่แล้วน้องแพท มันไม่มีทางเท่า ใครทำเท่าได้นี่คือ กราบเลยอ่ะ มันลดลงอยู่แล้วตามปกติ เพียงแต่ว่ามันลดลงในปริมาณที่เรารู้สึกว่า เออพอดีอ่ะ มันอยู่ด้วยกันแล้วเราสบายใจที่มีคนอยู่ข้างๆ มากกว่า’

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

คุยกับผู้ชาย 2 คนพร้อมกันมา 6-7 เดือน ทั้งสองเริ่มต้องการความชัดเจน แต่เราไม่รู้จะเลือกใคร 1.รุ่นน้องแสนดี เพอร์เฟคตามที่เราอยากได้ อนาคตดี แต่ไม่รู้สึกรัก 2.รุ่นพี่ นิสัยเจ้าชู้ ไม่อยากแต่งงานมีลูก

26 ม.ค. 2024

คุยกับผู้ชาย 2 คนพร้อมกันมา 6-7 เดือน ทั้งสองเริ่มต้องการความชัดเจน แต่เราไม่รู้จะเลือกใคร 1.รุ่นน้องแสนดี เพอร์เฟคตามที่เราอยากได้ อนาคตดี แต่ไม่รู้สึกรัก 2.รุ่นพี่ นิสัยเจ้าชู้ ไม่อยากแต่งงานมีลูก

คุยกับผู้ชาย 2 คนพร้อมกันมา 6-7 เดือนทั้งสองเริ่มต้องการความชัดเจน แต่เราไม่รู้จะเลือกใคร1.รุ่นน้องแสนดี เพอร์เฟคตามที่เราอยากได้ อนาคตดี แต่ไม่รู้สึกรัก2.รุ่นพี่ นิสัยเจ้าชู้ ไม่อยากแต่งงานมีลูกส่วนเราอยากแต่งอยากมีลูกแต่คนนี้รู้สีกรัก ถ้าเป็นทุกคนจะเลือกใครดีคะ? “คุณซัน (นามสมมติ)” อายุ 32 ปี สายที่ 2 ในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [ 24 ม.ค. 67 ] ได้โทรมาปรึกษา ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล และดีเจต้นหอม เกี่ยวกับการตัดสินใจว่าจะเลือกใคร ระหว่างคนดีหรือคนที่ชอบ โดย “คุณซัน (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูได้รู้จักกับคน 2 คนในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นรุ่นพี่คนนึงอายุ 38 ปี และรุ่นน้องอีกคนนึงอายุ 28 ปี เจอกันในแอปพลิเคชัน เราตกลงกันกับทั้ง 2 คนเลยว่าจะเป็นเพื่อน เป็นพี่น้องที่คุยกันไปเรื่อย ๆ เรายังไม่เคยเจอกันเลย แต่พอเวลาผ่านไป ความสัมพันธ์เราก็เริ่มพัฒนาขึ้น มีนัดเจอกันบ้าง ทำทุกอย่างที่เหมือนแฟน แต่ยังไม่ได้อยู่ในสถานะแฟน มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับทั้ง 2 คน แต่สำหรับหนูเรื่อง SEX ไม่ใช่ปัจจัยหลัก จนตอนนี้ระยะเวลาผ่านมาครึ่งปีแล้ว ทั้ง 2 คนก็เริ่มอยากได้คำตอบสถานะที่ชัดเจน ซึ่งรุ่นพี่รู้ว่าหนูมีอีกคนอยู่ แต่รุ่นน้องไม่รู้เลย หนูไม่รู้ว่าจะเลือกทางไหนดีเพราะว่าคนที่เป็นรุ่นน้อง ค่อนข้างที่จะดูแลเทคแคร์ดีทุกอย่าง มีอนาคตเป็นแบบที่เราต้องการเลย แต่ยังมีความคิดที่ดูเป็นเด็กอยู่ ด้วยความที่เขาอายุน้อยกว่าเรา แต่ไม่ถึงขั้นทำให้เรา Toxic และหนูไม่ได้รู้สึกรัก ส่วนอีกคนนึงเป็นรุ่นพี่ เขาก็ดูแลเทคแคร์ดีเหมือนกัน แต่ไม่เท่ากับรุ่นน้อง และค่อนข้างที่จะเจ้าชู้นิดนึง แต่สำหรับหนู หนูรับได้และคิดว่าเอาอยู่ แล้วหนูก็รู้สึกว่ารักคนนี้มากกว่า แต่เรามองอนาคตไม่เหมือนกัน เพราะเป้าหมายหลักของหนู คือ อยากแต่งงาน หนูอยากฟังความคิดเห็นพี่ๆ ว่าหนูควรเลือกทางไหนดีคะ? ซึ่ง “ดีเจเติ้ล” ให้คำแนะนำว่า ‘ถ้าเราคุยกันด้วยเหตุผล แนะนำให้เลือกรุ่นน้อง เพราะว่าข้อเสียมันไม่ได้ทำลายชีวิตคู่เท่ากับคนที่ 2 แต่ถ้าเป็นเรื่องของหัวใจ ก็ต้องเลือกคนที่ 2 เพราะว่าทุกอย่างที่คุณซันไม่แน่ใจหรือกังวล ถ้าสุดท้ายเป็นแฟนกันจริง ๆ มันอาจจะไม่เกิดเหตุการณ์ที่คุณซันกังวลก็ได้ สุดท้ายแล้วรู้สึกว่าการที่เราจะรักใครก็ต้องฟังหัวใจตัวเอง ส่วนคนแรกคุณซันก็มีความรู้สึกแหละ แต่แค่ไม่เท่ากับคนที่ 2 เพราะไม่อย่างนั้นคุณซันไม่คุยมาจนถึงตอนนี้หรอก แต่ถ้าพี่เป็นเพื่อน พี่ก็จะบอกว่า เลือกคนที่ชอบไป ถ้าอนาคตเป็นยังไงก็ต้องยอมรับผลที่ตัวเองเลือก’ ต่อมา “ดีเจเผือก” แนะนำว่า ‘ให้เลือกรุ่นพี่ เพราะคุณซันเลือกมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว มาลองให้รู้ว่าจะรับนิสัยความเจ้าชู้ได้จริงไหม? ส่วนเรื่องแต่งงานเขาอาจจะเปลี่ยนใจในอนาคตก็ได้ แต่ถ้ารู้สึกว่าเริ่มเสียเวลา ทนไม่ไหวแล้ว เราค่อยไปตามหาคนที่มีนิสัยเหมือนรุ่นน้อง แต่อาจจะไม่ใช่คนเดิมก็ได้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเจอหรือป่าว เพราะเวลาที่ผ่านไปเรื่อย ๆ คนดี ๆ ก็เริ่มไปมีครอบครัวกันหมด ตัวเลือกก็จะน้อยลง ผมขอให้เป็นการตัดสินใจที่ดี’ และ “ดีเจต้นหอม” แนะนำว่า ‘เพชรอยู่ตรงหน้าไม่เลือก เพราะหินก่อนนั้นมันใหญ่กว่า ฉันอยากจะท้าทายโดยการเจียระไน เผื่อว่ามีเพชรอยู่ข้างใน แต่ถ้าวันนึงเธอรู้ว่าหินก้อนนี้ไม่ใช่เพชรขึ้นมา แต่เพชรเม็ดนั้นมีคนอื่นเอาไปแล้ว เธอจะตามหาสิ่งเหล่านั้นไม่ได้แล้วนะ ซึ่งรุ่นน้อง คุณซันบอกเองว่าผู้ชายคนนี้ไม่มีข้อเสียอะไรเลย ในขณะที่รุ่นพี่มีข้อเสียใหญ่มากคือเป้าหมายไม่ตรงกัน เรายังอยากจะเอาเวลาของเราไปเล่น คนที่เขารักเรา เขาทะนุถนอมและเทคแคร์เราเพราะเราคือคนสำคัญสำหรับเขา แล้วความสุขมันเกิดด้วย เพราะเราเลือกเหตุผลมากกว่าหัวใจ อันนี้คือสำหรับหอมนะ เมื่อกี้หอมถามว่าซันมีเวลาเล่นกับตัวเองกี่ปีที่อยากแต่งงาน ซันบอก 3 ปี ฉะนั้น 3 ปี มันน้อยมากเลย ที่จะไปลองกับคนนี้ ที่จะเสี่ยงทิ้งเพชรอันนี้ไป แต่ถ้าอยากเสี่ยงก็ต้องยอมรับความผิดหวังให้ได้ สิ่งที่ต้องรับให้ได้เลยคือเพชรก้อนนี้ต้องตกไปอยู่ในมือคนอื่น’ สุดท้ายนี้พี่ ๆ ดีเจทั้ง 3 คน ขอให้สิ่งที่คุณซัน ตัดสินใจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

เมื่อก่อนผมไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง จนผมเล่นฟิตเนสแล้วภูมิใจกับหุ่นตัวเองตอนนี้มากๆ เลยถ่ายรูปลงโซเชียล แต่แฟนผมไม่เข้าใจ เหมือนเขาบอกเราโพสเรียกแขก จะทำยังไงให้แฟนเข้าใจดีครับ? ที่ถ่ายลงก็อยากสร้างแรงบัลดาลใจให้คนอื่นๆด้วย

27 ก.พ. 2024

เมื่อก่อนผมไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง จนผมเล่นฟิตเนสแล้วภูมิใจกับหุ่นตัวเองตอนนี้มากๆ เลยถ่ายรูปลงโซเชียล แต่แฟนผมไม่เข้าใจ เหมือนเขาบอกเราโพสเรียกแขก จะทำยังไงให้แฟนเข้าใจดีครับ? ที่ถ่ายลงก็อยากสร้างแรงบัลดาลใจให้คนอื่นๆด้วย

“คุณแบงค์ (นามสมมติ)” อายุ 29 ปี สายสุดท้ายในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [21 ก.พ 67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจอ้อย นภาพร เกี่ยวกับปัญหาชีวิตคู่ โดย “คุณแบงค์(นามสมติ)” ได้เล่าว่า ‘ผมกับแฟนเป็นคู่รัก LGBTQ+ ที่คบกันมาประมาณ 3 ปีกว่า ๆ ซึ่งตอนแรกที่ผมคบกับแฟน ผมเป็นคนออกกำลังกายอยู่แล้ว แต่ไม่มั่นใจในตัวเอง เลยไม่ค่อยได้ลงรูปอวดหุ่นลงโซเชียล จนมาถึงช่วงหลัง ๆ ผมเริ่มมีความมั่นใจในหุ่นตัวเอง ก็ได้มีการลงรูปอวดหุ่นบนโซเชียลมากขึ้น จึงทำให้แฟนผมมองว่า ผมเริ่มเปลี่ยนไปจากช่วงแรกที่คบกัน เป็นการลงโปรโมทตัวเองหรือเปล่า ผมก็ได้มีการถามกับแฟนไปว่า “จะให้ผมเลิกเล่นโซเชียลเลยหรือเปล่า” แต่แฟนผมก็มองว่า “มันคงเป็นการจำกัดสิทธิ์ผมเกินไป” ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะต้องทำยังไง ซึ่งผมก็เอาชื่อแฟนมาใส่บนไบโอไอจี และลงรูปกับแฟนในสตอรี่ปกติ แต่รูปที่ผมลงอวดหุ่นก็จะมีคนอื่นมาแซว และส่งข้อความมาหา แฟนผมเห็นแล้วก็จะมาถามผมว่า คนนี้ใคร เวลาที่แฟนหึงก็จะนิ่งไป ผมจึงอยากถามว่า ผิดไหมที่ผมลงรูปอวดหุ่นบนโซเชียล?’ งานนี้ “ดีเจเผือก” ก็ได้ให้คำปรึกษาเป็นคนแรกว่า ‘ต้องให้แฟนทำความเข้าใจก่อนว่า เป็นเรื่องธรรมชาติของคนที่ออกกำลังกาย ที่จะหลงใหลในการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเอง อุส่าห์มีวินัยในการออกกำลังกายกี่วันต่ออาทิตย์ วินัยในการเลือกกิน เมื่อส่งผลดีต่อร่างกาย มีกล้ามก็จะส่องกระจกบ่อยขึ้น และจะถ่ายรูปลงโซเชียลมากขึ้น เพราะนั้นคือผลลัพธ์ของการพยายาม ก็อยากให้แฟนคุณแบงค์เบาใจขึ้นนิดนึง เพราะคนส่วนใหญ่เขาก็เป็น ส่วนปัญหาที่ว่าคุณแบงค์ลงรูปกับแฟนแค่ในสตอรี่ ก็อยากให้ลงเป็นโพสต์มากขึ้น ทำให้แฟนรู้สึกว่ามีเขาอยู่ ที่ยังเป็นเจ้าของกล้ามอันนี้อยู่ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ที่จริงแล้วมันเป็นสิทธิ์ของคุณแบงค์ ที่จะลงหรือไม่ลง ส่วนคนที่จะนอกใจ จะลงรูปหรือไม่ลงรูป ยังไงก็นอกใจ ด้วยความที่คุณแบงค์มีกล้ามแล้วดูดีขึ้น ก็อาจจะทำให้แฟนหวง ยิ่งพอลงรูปแล้วมีคนส่งข้อความมาหา คนที่เป็นแฟนคงรู้สึกว่ามันจะยังไงและยังคงเป็นเหมือนเดิมไหม หรือยังจะรักกันเหมือนเดิมหรือเปล่า สิ่งที่จะทำให้แฟนรู้สึกสบายใจขึ้นก็คือ ต้องลงรูปคู่กับแฟนบ้าง เพราะอย่างน้อยจะได้บอกกับชาวโลกว่า คุณแบงค์ไม่ได้โสด ถ้าทำแบบนี้ก็อาจจะทำให้แฟนรู้สึกสบายใจขึ้น ถ้านอกเหนือจากนี้คุณแบงค์ก็ต้องทำให้แฟนเห็นว่าจะลงรูปยังไง คุณแบงค์ก็ไม่มีทางนอกใจแฟนแน่นอน สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับการกระทำด้วยว่า ยังไงก็ไม่นอกใจเขาแน่นอน’ สุดท้าย “ดีเจพี่อ้อย” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘เราต้องมีทัศนคติอันนี้ก่อนว่า ดีจังเลยที่แฟนยังหึงเราอยู่ เพราะถ้าเราไม่มีความสำคัญต่อใจเขาแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหึง จะทำอะไรก็ทำเลย เพียงแต่ตอนนี้พี่อ้อยอยากให้แบงค์แก้ปัญหาให้ตรงปัญหา อย่าแก้ปัญหาด้วยการไปตีฟูปัญหา เช่น “งั้นจะไม่ให้ลงเลยไหมละ” ซึ่งมันไม่ถึงขั้นนั้น แฟนก็อยากให้คุณแบงค์มีความสุขในการใช้โซเชียล แต่แฟนคงเป็นห่วงว่าจะมีคนอื่นเข้ามายุ่งในความสัมพันธ์เราไหม วิธีเดียวที่จะแก้ปัญหาได้ คือคุณแบงค์ต้องสร้างความมั่นใจให้กับแฟน เช่น เวลาลงรูปก็ถามแฟนว่า “แฟนไม่สบายใจกับรูปไหนหรือเปล่า ทำไมหรอ แต่เราภูมิใจนะที่เธอหวง จริง ๆ แล้วที่เราลงรูปไปเพราะเป็นความภาคภูมิในตัวเรา และเธอภูมิใจเถอะ เพราะฉันเลือกเธออยู่แล้ว” พี่อ้อยมองว่าถ้าเราสื่อสารกันทางบวกก็เป็นเรื่องที่ดี คุณแบงค์ยังมีความสุขในการลงรูปในโซเชียลเหมือนเดิม แต่ต้องสร้างความเชื่อใจให้แฟนมากขึ้น ว่าที่สุดแล้วเราเลือกเขา เพราะนี่คือปัญหาความรักที่อาจจะห่วงมากไปหน่อย แต่ถ้าเป็นปัญหาเรื่องของไม่รัก อันนี้พี่ว่าแก้ยากมากกว่า’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

ผิดหรอครับที่ผม Move on จากความเศร้าได้ไว... คุณพ่อเพิ่งเสียชีวิต ผมร้องไห้หนักชั่วโมงเดียว แล้วบอกตัวเองเดินหน้าต่อ แต่ญาติไปบอกแม่ว่า "ถ้าร้องแค่นี้แสดงว่าไม่รักพ่อเลย หวังแค่สมบัติพ่อรึเปล่า?"

01 เม.ย. 2024

ผิดหรอครับที่ผม Move on จากความเศร้าได้ไว... คุณพ่อเพิ่งเสียชีวิต ผมร้องไห้หนักชั่วโมงเดียว แล้วบอกตัวเองเดินหน้าต่อ แต่ญาติไปบอกแม่ว่า "ถ้าร้องแค่นี้แสดงว่าไม่รักพ่อเลย หวังแค่สมบัติพ่อรึเปล่า?"

ผิดหรอครับที่ผม Move on จากความเศร้าได้ไว... คุณพ่อเพิ่งเสียชีวิต ผมร้องไห้หนักชั่วโมงเดียวแล้วบอกตัวเองเดินหน้าต่อ แต่ญาติไปบอกแม่ว่า "ถ้าร้องแค่นี้แสดงว่าไม่รักพ่อเลย หวังแค่สมบัติพ่อรึเปล่า?"คุณแม่ก็ฟังคำพวกเขา ตอนนี้ทุกคนในบ้านยังเสียใจร้องไห้ไม่หยุด ผมจะทำยังไงดี “คุณมิน(นามสมมติ)” อายุ 29 ปี สายที่ 4 ในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [27 มี.ค. 67] ได้โทรมาปรึกษา ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล และ ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับมูฟออนจากการเสียคุณพ่อเร็วเกินไป จนที่บ้านคิดว่าไม่เสียใจเลยหรอ... โดย “คุณมิน(นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ผมมูฟออนไวจากการเสียคุณพ่อ ผมผิดหรือเปล่า? คือคุณพ่อของผมเสียชีวิตเมื่อปีที่แล้ว และผมสนิทกับพ่อมาก พ่อผมเสียชีวิตที่กรุงเทพแต่ผมนั่งรถขนศพคุณพ่อ มาทำพิธีที่บ้านเกิดของพ่อ ที่บ้านก็เตรียมไว้เรียบร้อยและจัดการทุกอย่าง หลังจากเอาศพของพ่อไปไว้ที่วัด ผมก็กลับมาที่บ้าน พอมาที่บ้านก็เห็นบรรยากาศและนึกถึงพ่อว่า... ต่อไปนี้บ้านที่พ่อสร้างจะไม่มีพ่อตลอดไปแล้วนะ ผมก็ร้องไห้ชั่วโมงเดียว แล้วก็จบนั่นคือการร้องไห้ครั้งเดียวตอนที่ผมสูญเสียคุณพ่อ ผมก็ไปช่วยงานศพปกติ แต่อยู่ๆก็มีญาติของแม่บอกว่าไม่คิดจะร้องไห้ให้พ่อหน่อยหรอ? ผมก็บอกว่าผมร้องไปแล้ว ผมทำใจได้แล้ว จะร้องทำไมเยอะแยะ เขาก็พูดกับมาว่า ถ้าร้องแค่นี้แสดงว่าไม่รักพ่อจริงนะ ส่วนแม่ผมก็ร้องไห้เหมือนขาดสติก็มีญาติคนนี้แหละที่คอยปลอบเขา คอยให้กำลังใจ ผมเป็นคนที่ปลอบคนไม่เก่ง เพราะผมเป็นคนที่สนิทกับพ่อและมูฟออนไวไม่ยึดติดอะไรมาก น้าเค้าก็บอกว่าเนี้ยไม่รักพ่อจริงนี่น่า ถ้ารักจริงก็ต้องร้องไห้มากกว่านี้สิ อย่างนี้ก็ดูออกว่าไม่รัก หวังสมบัติ เขาก็ไปบอกแม่ผม ซึ่งแม่ก็สนิทกับเขาอยู่แล้ว แม่ผมก็เชื่อเขา แม่ผมก็มาต่อว่าผมด้วยทำนองเดียวกันว่าทำไมถึงไม่ร้องไห้เลย ระหว่างช่วงงานศพเวลากลางวันผมก็มีการเข้ายิมปั้นหุ่น เพราะนอกจากงานประจำผมรับงานนายแบบด้วย ผมมีถ่ายงานช่วงก่อนสงกรานต์ที่ต้องใช้รูปร่างเลยไปเข้าฟิตเนส เขาเลยบอกว่า เนี่ยช่วงงานศพพ่ออยู่ยังมีอารมณ์ไปเล่นฟิตเนส เข้ายิมอีกหรอ? พอหลังจากจบงานศพจากพระสวดเสร็จ ผมก็กลับมาที่บ้าน และผมเป็นคนที่ชอบเต้นตามเทรน ผมก็เต้นอยู่ในห้องของผมในจังหวะเดียวกัน แม่เปิดประตูมาเจอและบอกว่าทำไมอารมณ์ดีในช่วงงานศพพ่อ แต่ผมก็เต้นในห้องของผมไม่ได้ไปเต้นในวัดผมก็รู้กาลเทศะ แค่บรรยากาศในบ้านก็อึมครึมพอแล้ว เพราะว่าทุกคนก็มานอนกันอยู่ที่บ้านและมีแต่เสียงร้องไห้ แล้วผมเป็นคนเดียวที่มูฟออนอยู่คนเดียวในบ้าน ผมก็ฟังเพลง เต้นของผมอยู่คนเดียวในบ้าน ผมก็โดนด่า แต่ไม่ได้หมายความว่าผมไม่รักพ่อนะ ถ้าพ่อยังอยู่พ่อก็คงโอเคกับการที่ผมทำอย่างนี้ด้วยซ้ำ แต่ในมุมมองของคนอื่นเขาอาจจะไม่โอเค แล้วแม่ก็จะเชื่อคำพูดของญาติ ๆ มาก ตอนนี้ก็เหลือผมที่ Work form home อยู่ที่บ้านกับแม่แค่ 2 คน แม่ก็เอาแต่โทษผมว่าผมไม่รักพ่อ ผมก็พูดกับแม่แบบจริงใจสุด ๆ แล้วว่าที่ผมไม่เศร้าไม่ใช่ว่าผมไม่รักนะ ผมอยากกลับ กทม. มากเลยแต่ผมก็เป็นห่วงแม่ อยากถามพี่ๆดีเจว่า ผมจะ Work form home ต่อดีไหม? หรือจะหนีความ toxic ไปเลย ซึ่ง “ดีเจเผือก” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้าถามว่าพี่รู้สึกยังไงถ้าสมมุติพี่เป็นญาตินั่งอยู่ตรงนั้น เรื่องร้องไห้ตัดไปเลยเพราะมันไม่เกี่ยวการร้องไห้ไม่ได้แสดงรักหรือไม่รัก การร้องไห้คือการแสดงออกของอารมณ์ ณ ตอนนั้น บวกกับใครที่สามารถควบคุมและกลั้น คนบางคนที่เขาไม่ร้องเขาอาจจะกลั้นมันอยู่มือเค้าอาจจะกำ แทบจะจิกเข้าไปในเนื้อแต่แค่ว่าน้ำตาเขาไม่ได้อยากให้ไหลออกมาด้วยหลากหลายสาเหตุ เพราะฉะนั้นอย่าเอาการที่ว่าร้องไห้เยอะหรือร้องไห้น้อยมาวัดว่ารักหรือไม่รัก ถ้ามีญาติมาคุยกับพี่แบบนี้พี่ด่า อันนี้พี่มองว่ามันไม่เกี่ยว แต่พี่มาสะดุ้งนิดนึงตอนเต้นอันนี้พี่ตกใจพี่พูดตรง ๆ แต่พี่ก็จะแค่ตกใจที่เต้นพี่ก็คงจะไม่ไปผูกกับเรื่องที่ว่าไอ้นี่ไม่รักพ่อถึงเต้น อย่างมากพี่ก็จะคิดแค่ว่า อ๋อ มันทำใจได้เร็ว เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าเวลานี้แล้วเอายังไงต่อ ก็ถ้าที่บ้านเขาอยู่กันได้แล้วเราก็สามารถ Work form home ได้ก็อยู่ดูอีกสักหน่อย ให้เขาค่อย ๆ ทำใจกันได้ เพราะถ้าคนใดคนหนึ่งในครอบครัวเสียชีวิตบรรยากาศความเศร้ามันก็ตลบอบอวลอบอยู่ในนั้นสักพักนึง แต่สุดท้ายแล้วทุกชีวิตมันก็จะค่อย ๆ เดินต่อตามความจำเป็นของแต่ละคน บางคนชีวิตเขาไม่ต้องมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบมากหรือไม่ได้มีสิ่งที่จะต้องลุกขึ้นและเดินต่อ เขาก็สามารถปล่อยให้มันจมอยู่กับความเศร้าได้เต็มที่ แต่สำหรับคนที่พรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงาน มันก็ต้องตื่นก็ต้องหยุดร้องไห้ เพราะฉะนั้นเราก็คงไม่ตัดสินว่าใครจะร้องมากร้องน้อย ชีวิตแล้วสุดท้ายจะ ช้าหรือเร็วมันก็ต้องเดินต่อ และถ้ามินถามว่ามินจะต้องอยู่ต่อไหมก็กลับมาที่พี่พูดเมื่อกี้ แล้วชีวิตมินจำเป็นที่จะต้องเดินต่อหรือยัง งานการมันต้องลุยเลยไหม ถ้ามีก็ไปทำแต่ถ้ามันยังอยู่ดูแลกันได้ใช้เวลาตรงนี้ได้ ก็ลองอยู่อีกสักหน่อย สุดท้ายชีวิตมันก็ต้องเดิน’ ซึ่ง “ดีเจเติ้ล” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่แยกก่อนนะเรื่องร้องไห้ พี่ว่าหลายคนเป็นบางทีเจอเรื่องเศร้าแล้วมันไม่ร้อง พี่เองก็เป็นพี่เสียน้ำตาให้เรื่องที่ตัวเองมีความสุข แต่คนตายหรืออะไรอย่างเงี้ยไม่ร้อง ไม่รู้ว่าเป็นอะไรแต่ว่าพี่เป็นนิสัยอย่างเงี้ย ซึ่งพี่ว่าหลาย ๆ คนเป็น บางทีเราอาจจะรู้สึกเสียใจข้างในแต่แค่ว่ามันไม่ร้องออกมา อีกเรื่องหนึ่งเท่าที่พี่ฟังมินมาพี่ว่ามินเป็นคนสุขนิยมจริง ๆ หมายถึงว่าพร้อมที่จะบล็อกเรื่องที่ไม่สบายใจได้เลย แล้วก็มีความสุขกับตัวเองได้เลย กับอีกแบบนึงมินเป็นคนที่ ถ้าบรรยากาศรอบข้างมันทำให้มินไม่มีความสุข มันจะทำอะไรบางอย่างเพื่อที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกว่า ไม่อยากเป็นแบบนั้นมันก็เลยเกิดอาการเต้นออกมาถ้าให้เราวิเคราะห์ แต่ไม่ว่าอย่างไรพี่รู้สึกว่าเหมือนมินจะลืมนึกถึงความรู้สึกคนรอบข้างไปหน่อยในกรณีนี้ สำหรับพี่นะคือมินรู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าคนรอบข้างบ้านมินเขาเป็นแบบนี้กันหมด เหมือนเขาต้องการให้เราอยู่ฝั่งเดียวกับเขา ด้วยการแสดงออกหรืออะไรก็ได้ พี่ไม่ได้หมายความว่าให้มินไปร้องห่มร้องไห้กับเขานะ แต่พี่รู้สึกว่าถ้าบางอย่างทำได้เช่นเรารู้อยู่แล้วว่าเขาจับตามองเราแล้วการเต้นของมินอาจจะรู้ว่าเค้าจะเห็นเราก็ต้องห้ามตัวเอง ซึ่งมินต้องนึกถึงแม่ด้วยว่าตอนนี้เขาเศร้าอยู่ เราอ่ะไม่อยากเศร้าอยากมูฟออนนั่นมันไม่ผิด แต่ ณ ตอนนี้เขายังไปไหนไม่ได้ ณ ตอนนี้เขายังไม่มีใคร เพราะฉะนั้นมินอาจจะต้องบังคับตัวเองอยู่เป็นเพื่อนเขาก่อนนะตอนนี้ ในฐานะลูก ที่จะทำให้แม่ได้ พี่รู้สึกว่าถ้ามินแบบไม่เอาแล้วว่ะไม่อยากเศร้าแล้ว พี่ว่าอันนี้มันก็สนใจแต่เรื่องเราเกินไป มันก็ต้องฝืนใจตัวเองแหละพี่รู้ว่ามินไม่อยากเศร้าอยู่ในบ้านหลังนี้ แต่ทำยังไงได้ถ้าแม่ที่เขารักเราแล้วเขายังเศร้าอยู่ เราก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนเขาก่อน แล้วรอเวลาที่เขาดีขึ้นเราก็กลับมา ใช้ชีวิตของเราได้’ ซึ่ง “ดีเจต้นหอม” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘เป็นคนหนึ่งที่เห็นด้วยว่าตอนนี้ควรอยู่ดูใจแม่ เพราะบรรยากาศในบ้านตอนนี้แม่เขาดูเจ็บมากถ้าเราทิ้งไปอีกคนนึงแม่ก็ไม่เหลือใคร อยากให้มินมองภาพรวมของบ้านมากกว่าเรื่องราวของตัวเอง การมูฟออนได้เป็นสิ่งที่ไม่ได้ดูแย่อะไรเลยเพียงแต่ว่าบรรยากาศในบ้านเราต้องไม่สวนทางกับเขา เราอาจจะต้องสำรวมสักนิดนึงแต่การที่เราไม่ร้องไห้มันไม่ผิดเลยแล้วญาติคือผิด ส่วนมินพี่ว่าอยู่ที่นั่นก็ปั้นหุ่นได้นะ จะเข้ายิมหรือเล่นฟิตเนสไปได้เลย เพราะว่าเราต้องทำงานแล้วเมษาเรามีงานเราก็กลับไปทำงานเท่านั้นเอง แต่พี่ว่าเวลานี้เราไม่ควรทิ้งคุณแม่ เพราะว่าสภาพจิตใจเขาแย่ถ้าเราไม่ดูเขาก็ไม่มีใครดูเขา แล้วสภาพจิตใจเขาตอนนี้คือแกว่งมาก เหมือนลอยอยู่กลางน้ำ มินอาจจะต้องทำอะไรที่ไม่ขัดหูขัดตาเพิ่ม เราบอกตัวเองเลยว่าเรามีหน้าที่เป็นยารักษาเขา เพราะฉะนั้นอะไรที่เป็นพิษต่อเขามินเลี่ยงแค่ช่วงนี้ที่เขาจะหนัก อดทนหน่อยเพราะตอนนี้เราคือที่พึ่ง เวลานี้เขาต้องการเราก็มีมินนั่นแหละที่ต้องอยู่ตรงนี้กับเขา’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

เพื่อนสนิทเรา ดูดีขึ้น หุ่นดีขึ้น เลยทักไปถาม ปรากฏเพื่อนบอกเดี๋ยวเล่าให้ฟัง ไว้นัด Zoom กัน หลังจากนั้นก็เริ่มขายของ ขายผลิตภัณฑ์ ชวนเข้าเครือข่าย บทสนทนาที่เคยคุยกันเริ่มหายไป กลายเป็น "ว่างวันไหน? ว่างเมื่อไหร่? พร้อมรึยัง?" เข้ามาแทน จะทำไงดีคะ?

08 มี.ค. 2024

เพื่อนสนิทเรา ดูดีขึ้น หุ่นดีขึ้น เลยทักไปถาม ปรากฏเพื่อนบอกเดี๋ยวเล่าให้ฟัง ไว้นัด Zoom กัน หลังจากนั้นก็เริ่มขายของ ขายผลิตภัณฑ์ ชวนเข้าเครือข่าย บทสนทนาที่เคยคุยกันเริ่มหายไป กลายเป็น "ว่างวันไหน? ว่างเมื่อไหร่? พร้อมรึยัง?" เข้ามาแทน จะทำไงดีคะ?

“คุณไอ (นามสมมติ)” อายุ 19 ปี สายที่สามในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [6 มี.ค. 67] ได้โทรมาปรึกษา ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับปัญหาที่ทักไปหาเพื่อนสนิทปรึกษาเรื่องลดน้ำหนัก แต่ดันเจอเพื่อนขายคอร์ส โดย “คุณไอ (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูมีเพื่อนสนิทคนนึง สนิทกันมา 4 - 5 ปีแล้ว หนูคุยกับเพื่อนทุกเรื่อง เวลาคุยกันบางทีก็พิมพ์แชท หรือ voice คุยกัน ส่วนน้อยมากที่จะโทรคุยกัน ซึ่งเพื่อนหนูเป็นคนที่ค่อนข้างอ้วน แต่วันนึงเขาเริ่มลงสตอรี่ IG ว่าออกกำลังกาย ตัวหนูเองไม่ได้อ้วนแต่แค่ไม่ค่อยเฟิร์ม หนูก็เลย reply สตอรี่ไปว่า ทำไมอยู่ดี ๆ ออกกำลังกาย เพื่อนหนูก็ตอบกลับมาว่า มีเวลาว่างไหม? เดี๋ยวโทรหา หนูก็คิดแค่ว่าเขาคงอยากบอกเรื่องราวในชีวิตเขาว่า ทำไมถึงอยากทำ พอหนูได้คุยกับเพื่อน เขาก็เริ่มพูดว่า อยากให้หนูเข้า Zoom ไปคุยกับอินฟลูคนนึง เขาจะมาช่วยดูแลการออกกำลังกาย การคุมอาหาร หนูก็เลยเข้าไป แต่มันเหมือนการขายตรงมากกว่า หลังจากที่หนูเข้าไปใน Zoom หนูก็มาถามเพื่อนว่า สรุปแกต้องการอะไร? แล้วพี่คนที่เป็นอินฟลูเขาต้องการอะไร? เพื่อนก็พูดกลับมาประมาณว่า ถามทำไม แล้วแกว่างไหม เดี๋ยวโทรไปนะ หนูก็เลยบอกกับเพื่อนไปว่า ตอนนี้ไม่ว่างเลย แต่จริง ๆ ตอนนั้นหนูว่าง หนูอยากให้เขาพิมพ์มา หนูไม่อยากโทรคุยเพราะหนูกลัวเสียความรู้สึก เขาก็พยายามคะยั้นคะยอว่า โทรแป๊บเดียว เดี๋ยวเล่าให้ฟัง หนูก็เลยโกหกไปว่า ไม่สะดวก ตอนนี้กูอยู่งานศพ แล้วเพื่อนก็อัดเสียงส่งมา 10 กว่าอัน หนูกดฟังที่เขาส่งมาประมาณว่า มึงกลัวพี่เขาหลอกหรอ พี่เขาไม่หลอกหรอก เขารวยกว่ามึงตั้งเยอะนะ กูอยากให้มึงลองเปิดใจนะ อยากให้ลองเข้า Zoom อีกวันนึงที่พี่เขานัด หนูก็เลยบอกไปว่า หนูไม่โอเคมาก ทำไมต้องให้หนูมาเข้าอะไรแบบนี้ หนูแค่อยากรู้เฉย ๆ ว่าแบ่งเวลาออกกำลังกายยังไง? ไม่ได้อยากรู้เรื่องธุรกิจหรือเรื่องอาหารเสริม แล้วเพื่อนก็เหมือนหงุดหงิดและบอกมาประมาณว่า งั้นถ้ามึงไม่คุยก็ไม่ต้องคุยกันเลยแล้วกัน แต่อย่างที่บอกว่า พวกหนูสนิทกันมากและไม่อยากเสียเพื่อนคนนี้ไป หนูเลยตัดสินใจเข้าก็ได้ พอเข้าไปเขาก็พูดแต่เรื่องธุรกิจไม่เกี่ยวกับการออกกำลังกายเลย หนูก็เลยทักไปบอกเพื่อนอีกว่า กูไม่โอเคนะ ไม่เอาได้ไหม เพื่อนก็บอกว่า เออ ก็แล้วแต่แล้วกัน แต่หลังจากนั้นมันหนักกว่าอีก หนูก็ reply สตอรี่เพื่อนคนนี้ไปอีกแต่เป็นเรื่องอื่น ๆ เพื่อนก็ยังโยงไปเรื่องนั้นอีก ประมาณว่า มึงว่างแล้วหรอ ลองไปฟังพี่เขาอีกรอบไหมละ? ปัญหาก็คือหนูอึดอัด หนูรู้สึกว่ามันไม่เป็นส่วนตัวมาก ตรงที่เขาทักมาประมาณ 3 นาทีแล้วหนูไม่ตอบ เขาก็จะโทรมาเลย หนูก็บอกเพื่อนไปตรง ๆ เลยว่า เราไม่อยากคุยเรื่องนี้ แต่พอทุกครั้งหนูมีเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตที่อยากระบายเขาก็จะบอกว่า ถ้าโอเคแล้วก็ลองเปิดใจเรื่องนั้นดูก็ได้นะ หนูก็ลองถามเพื่อนคนอื่น ๆ เขาก็บอกว่า มึงก็บล็อกไปเลย ไม่ต้องแคร์หรอก แต่ด้วยที่หนูสนิทกับมันมานาน คุยกันมาทุกเรื่อง ไม่เคยคาดหวังประโยชน์อะไรจากกันเลยทั้งคู่ จนมาถึงเรื่องนี้จากเรื่องการออกกำลังกาย เพื่อนก็ลากไปถึงเรื่องการทำธุรกิจเรื่องอาหารเสริม หนูอยากปรึกษาพี่ ๆ ว่า จะแก้ไขตรงนี้ยังไง ไม่ให้เราเสียเพื่อน แล้วก็ไม่ทำให้เรารู้สึกแย่ไปด้วย’ โดยเริ่มให้คำปรึกษาจาก “ดีเจต้นหอม” ว่า ‘ไม่เอา ไม่กิน ฉันจะเป็นหมูที่แข็งแรง ถ้าอยากรู้อะไรเพิ่มก็เสิร์ชในอินเทอร์เน็ต TikTok มีหมดเลย เรื่องของทริคในการลดน้ำหนักพี่ก็ได้จากตรงนั้นเยอะมาก อาหารเสริมเป็นตัวช่วย ไม่ใช่หลัก คือ อาหารเสริมช่วยให้เราไม่กินจุกจิก แต่พี่รู้สึกว่าอายุ 19 ก็ยังไม่ควรจะต้องใช้อาหารเสริมอะไรพวกนั้นอยู่แล้วนะ เพราะว่ายังเป็นวัยที่หนูมีเอนเนอร์จี้ มีพลังงาน แล้วหนูก็ใช้ร่างกายได้เยอะมาก พี่คิดว่าอาหารเสริมประเภทนั้นไม่เหมาะ แต่พี่ว่าถ้าเราเป็นเพื่อนสนิทก็น่าจะพูดกันตรง ๆ ก็ได้นะ ประมาณว่า ชวนทำอะไร ไปฟังพี่เขา ไม่ฟังๆ เสียเวลา คือ ถ้าเขาบอกว่า เขาเห็นผลก็เขาเห็นผลกับสิ่งนี้ไง เราต้องไม่อยากรู้เรื่องของเขาเลย ไม่ได้อยากรู้การลดน้ำหนักของมึงเลย เราก็ต้องเริ่มจากที่ตัวเราก่อนในการบอกว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราไม่ได้สนใจ แล้วเรารู้สึกว่าการที่เราไปทำมันเสียเวลา เพราะกูไม่ได้สนใจมึง ถ้าเพื่อนสนิทพูดตรงๆ เลยแต่ว่าเราอย่าเปิดช่องให้เขาแค่นั้นเลย แล้วก็พูดตัดบทไปว่า มึงเสียเวลา ถ้ายังตื้อกูอยู่’ ต่อไป ดีเจเผือก ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ตอนนี้หนูอายุ 19 สนิทกันมา 3-4 ปี มันก็คือ 1 ใน 5 ประมาณนั้นของชีวิตหนู แต่ถ้าหนูใช้ชีวิตต่อไปอีก 5-10 ปี เขาก็จะไม่ใช่ 1 ใน 5 ในชีวิตหนูละ เขาอาจจะเป็น 1 ใน 7 หรือ 1 ใน 8 เพราะฉะนั้นก็อย่าไปยึดติดกับใครคนนึงที่เรารู้สึกว่าคนนี้คือเพื่อนสนิท แล้วเราจะไม่มีวันเลิกคบกับเขาได้ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรไม่ดีก็ตาม อันนี้มันก็ไม่ใช่ โตไปหนูก็อาจจะต้องเลิกคบกับเพื่อนสนิทบ้างถ้ามันเป็นคนไม่ดี หนูจะได้เจอกับเหตุการณ์วัดใจแบบนี้แหละ บางครั้งหนูอาจจะไม่ต้องโทรถามพี่เลยก็ได้ หนูอาจจะได้เจอเหตุการณ์ที่ต้องเลิกคบกับเพื่อนสนิทโดยที่ไม่ต้องปรึกษาใครเลย คนที่เราเคยสนิทมันก็คือคนที่เราเคยสนิทหรือคนที่เราสนิทอยู่ก็คือคนที่เราสนิทอยู่ แต่มันก็ไม่ได้บอกว่าเราจะต้องสนิทกับเขาไปจนวันตาย ถ้าถามว่าเพื่อนเขาเลวร้ายไหมก็คงไม่เขาก็แค่คงทำมาหากิน แต่เขาแค่ไม่มีศิลปะในการขาย ทุกอย่างมันมีทั้งคนขายที่ดีและคนที่ขายไม่เป็น คนที่เอาแต่ขายจนเสียเพื่อนรอบตัวมันก็ไม่ใช่ คนที่เขาขายอย่างมีจรรยาบรรณมันก็มี แค่เพื่อนเราเพิ่งเข้ามาในวงการนี้แล้วขายไม่เป็นแต่อยากมียอด เพราะฉะนั้นก็ถ้าเรื่องนี้ไอเข้าใจได้ก็ไม่ต้องเลิกคบกับเขา แล้วดูว่าเขาจะขายอีกยาวไหม? ไม่รู้ว่าโปรดักส์ออกกำลังกายจะอยู่ได้นานหรือเปล่า อาจจะเป็นช่วงแรก ๆ ที่เขากำลังทำยอดอยู่แหละ ก็อย่างที่บอก คุยกันไปตรง ๆ เป็นเพื่อนสนิทก็น่าจะคุยกันได้ ก็คุยกันไปเลยว่า มึงไม่ต้องมาวุ่นวายกับกูแล้วแหละ กูไม่มีวันซื้อแน่ ๆ ทุกวันนี้เงินจะกินข้าวยังไม่มีเลย คือถ้าเขาเป็นคนขายที่เก่งจริง ๆ เขาต้องรู้ว่ารายนี้ตื้อให้ตายก็ไม่ซื้อ เสียเวลาไปหาคนอื่นดีกว่า ถ้าอยากออกกำลังกายจริง ๆ เสิร์ชเอาใน Google , TikTok เยอะแยะ ถ้าเพื่อนคนนี้ตัดเรื่องขายออกไปแล้ว เขาจะกลับมาเป็นคนเดิมก็ลองดู แล้วก็แสดงออกให้ชัดเจนว่าเราจะไม่ร่วมธุรกิจกัน แล้วหลังจากนั้นดูว่าเขายังจะเป็นเพื่อนสนิทกับเราอยู่หรือเปล่า? ยังเม้าท์เรื่องอื่น ๆ กันอยู่หรือเปล่า? ซึ่งถ้าเขาเปลี่ยนไปเพียงแค่เราไม่ซื้อของของเขา ไอควรคิดดี ๆ ว่าคนนี้ควรจะเป็นเพื่อนสนิทเราจริงหรือเปล่า เขาเหมาะกับจะเป็นเพื่อนรักเราจริงไหม ถ้าขายของให้ฉันไม่ได้แล้วเลิกคบเราไป เขาควรจะเป็นเพื่อนแท้เราหรือเปล่า ไอลองไปคิดดูนะ’ สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ก่อนอื่นหนูต้องปิดประตูตายก่อน เรื่องออกกำลังกายหรือเรื่องหุ่น อย่าไปเปิดประตูให้เขาเข้าหาเราได้จากเรื่องนี้ เพื่อให้เขาชัดเจนไปเลยว่าเราไม่ได้สนใจเรื่องนี้จริง ๆ ต้องทำให้เขารับรู้ก่อน ตอนนี้ไปอยู่กับคนที่สนิทคนอื่น ๆ ก่อน พี่รู้สึกว่าน้องไอกำลังคาดหวังให้เขามาสนิทเหมือนเดิม แต่ตอนนี้มันไม่ได้แล้วไง เพราะว่าสิ่งที่เขาโฟกัสมันไม่ใช่ไอแล้ว เขาโฟกัสกับสิ่งที่เขากำลังทำตอนนี้ คือการทำกิจการให้มันดีขึ้น เขาอาจจะไปร่วมมือกับโค้ชคนนั้นหรืออะไรก็ตาม แต่ตอนนี้เขาไม่ได้โฟกัสหนู หนูอย่าไปสำคัญตัวผิด เพราะถ้าหนูสำคัญตัวผิด หนูจะผิดหวัง เราต้องเลิกคาดหวังกับเขาก่อนให้เขาไปอยู่ในที่ที่เขาอยากทำ ไม่ต้องไปขัดเขา แล้วถ้าเขาทำสำเร็จก็ยินดีกับเขาไป แต่ถ้าเขาทำไม่สำเร็จ แล้ววันไหนเขากลับมาหาเรา เราก็ยังเป็นเพื่อนเขาอยู่ได้เหมือนเดิม ซึ่งถ้าถึงวันนั้นไออาจจะไม่อยากเป็นเพื่อนเขาแล้วก็ได้ หรือถ้าเขากลับมาแล้ว ถ้ามันเป็นเพื่อนกันจริง ๆ มันต่อกันติดเราก็ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้ แต่ตอนนี้หยุดคาดหวังก่อนเพราะตอนนี้เขาไม่เหมือนเดิมแล้ว’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1