สามีเลี้ยงลูกคนละแบบกับเรา เราอยากเลี้ยงแบบให้ลูกสนิทเหมือนเพื่อน มีอะไรก็พูด แต่สามีระเบียบจัด ทุกอย่างต้องเป็นไปตามแผนที่วางไว้ จนตอนนี้ ลูกคนโต อายุ 12 เริ่มเลียนแบบ พูดจารุนแรง และ คนเล็ก อายุ 5 ขวบ

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

สามีเลี้ยงลูกคนละแบบกับเรา เราอยากเลี้ยงแบบให้ลูกสนิทเหมือนเพื่อน มีอะไรก็พูด แต่สามีระเบียบจัด ทุกอย่างต้องเป็นไปตามแผนที่วางไว้ จนตอนนี้ ลูกคนโต อายุ 12 เริ่มเลียนแบบ พูดจารุนแรง และ คนเล็ก อายุ 5 ขวบ

05 ก.ค. 2024

สามีเลี้ยงลูกคนละแบบกับเรา เราอยากเลี้ยงแบบให้ลูกสนิทเหมือนเพื่อน

มีอะไรก็พูด แต่สามีระเบียบจัด ทุกอย่างต้องเป็นไปตามแผนที่วางไว้

จนตอนนี้ ลูกคนโต อายุ 12 เริ่มเลียนแบบ พูดจารุนแรง และ คนเล็ก อายุ 5 ขวบ

เริ่มกลายเป็น Perfectionist ไม่กล้าทำอะไรผิด ตอนนี้เราเครียดมาก

            “คุณเกด (นามสมมติ)” อายุ 38 ปี สายที่สามในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (26 มิ.ย. 67) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับสามีเลี้ยงลูกด้วยอารมณ์รุนแรงจนลูกคนโตเริ่มทำตาม ส่วนลูกคนเล็กไม่กล้าทำผิด

            โดย “คุณเกด (นามสมมติ)” เล่าว่า ‘ตอนนี้มีปัญหากับสามี เพราะเรื่องวิธีการดูแลลูกต่างกันมาก สามีอายุ 48 ปีเรามีลูก 2 คน คนโตอายุ 12 ขวบและคนเล็ก 5 ขวบ คือเราจะเลี้ยงลูกเป็นเพื่อน เป็น Safe zone ให้เขา แต่สามีเวลาอยู่บ้านจะหงุดหงิด ฉุนเฉียว จนตอนนี้ลูกคนโตเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ก็ซึมซับพฤติกรรมมาจากพ่อ มีอาการฉุนเฉียวกับเราและน้อง คือถอนหายใจใส่ ขึ้นเสียง ดุน้องด้วยประโยคที่เขาที่โดนพ่อดุ แต่ถ้าพ่ออยู่เขาจะเรียบร้อย เพราะเขากลัวพ่อมาก

            ส่วนคนเล็กเริ่มติดนิสัยต้องสมบูรณ์แบบเพราะเวลาเขาทำการบ้านนาน อ่านหนังสือผิดเขาก็จะโดนพ่อดุ จนครูมี Feedback กลับมาว่าเวลาที่เขาทำผิดหรือทำไม่ทันเพื่อน เขาจะร้องไห้ ผิดหวังในตัวเอง แล้วก็จะกลายเป็นว่าเขาไม่อยากทำอะไรเลย เพราะกลัวว่าจะทำผิด หรือเวลาครูเข้าไปทักเรื่องนี้ หรือตอนที่เขาไม่ทันเพื่อน ก็จะร้องไห้เลย

            เราเคยพยายามลองคุยเรื่องการเลี้ยงลูกหลายครั้ง แต่เขาก็จะว่าเรากลับว่าเราเลี้ยงลูกตามใจ แล้วก็ทะเลาะกันทุกครั้ง จนตอนหลังเวลาเขาเริ่มหงุดหงิดเราจะใช้วิธีดึงลูกออกมาแล้วไปที่อื่น สามีเขาทำงานตำแหน่งระดับผู้บริหาร เขาจะสั่งทุกคน อยากให้ทุกคนทำตามที่เขาคิด เรารู้สึกว่าเขาเอานิสัยที่ทำงานมาใช้ที่บ้าน

            ยกตัวอย่าง ลูกคนโตเขายกนมแกลลอนกระดกกิน (ไม่ใช้แก้ว) พ่อก็จะว่าเลยว่าทำแบบนี้ไม่ได้ นมจะบูด แล้วบังคับให้ลูกนั่งกินนมให้หมดตรงนั้นวันนั้น เราไม่ได้อยู่ตรงนั้น เราเห็นแค่ทำไมลูกไปอยู่ตรงนั้น เลยไปเปิดกล้องดูแล้วได้ยินบทสนทนา เราเลยไปปลอบลูกแล้วก็เอานมไปเก็บ แล้วเราก็ไปคุยกับสามีที่หลัง หลังจากส่งลูกเข้านอน จนตอนนี้เราแทบไม่กล้าปล่อยให้ลูกอยู่กับสามีตามลำพังโดยที่เราไม่อยู่บ้านเลย เวลาเสาร์อาทิตย์เราพยายามลูกไปเรียนพิเศษข้างนอก เช่นดนตรี กีฬา แต่พ่อเขามองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ

            มีอยู่วันหนึ่งพ่อเขาอยู่ที่โรงเรียนสอนพิเศษด้วย แล้วมีคุณครูมา Feedback ว่าวันนี้น้องทำอย่างนี้อย่างนั้น เขาก็บอกว่า “กลับไปบ้านผมไม่รู้หรอกนะ ว่าลูกผมได้หรือไม่ได้ เพราะผมก็ไม่รู้ว่าเรียนยังไง เล่นยังไง” แถมลูกก็อยู่ตรงนั้น พอกลับมาบ้านลูกมาพูดกับเราว่า เขาไม่อยากทำแล้ว เขาไม่อยากเล่นแล้ว เพราะกลัวพ่อ

            คือตอนที่มีลูกคนแรกคนเดียวสามีไม่ได้เป็นขนาดนี้ ซึ่งเราก็มองว่ามันก็ดีนะ คนนึงเป็นระเบียบ อีกคนนึงคอยดูลูก มันจะได้บาลานซ์กัน อีกมุมนึงเราก็ไม่รู้ว่าวัยทองของเขาหรือป่าว ตอนเป็นแฟนกัน เขาก็มีหงุดหงิดบ้าง แต่ไม่ได้ขนาดนี้ เรารู้สึกว่าเขาจะเคร่งกับลูกมาก อาจจะเป็นเพราะเขาเป็นพี่คนโต แล้วเป็นครอบครัวคนจีน มีครั้งหนึ่งเขาพูดกับลูกคนโตว่า “ถ้าเรียนจบก็หาเงินส่งน้องเรียนด้วยนะ” ตอนนั้นเราโกรธมาก เราโพล่งออกมาว่า “จะปลูกฝังความคิดแบบนี้กับลูกไม่ได้ เรามีลูกเองเราอย่าไปฝากภาระให้ลูก” เขาก็สวนมาว่า “ก็เขาเป็นแบบนั้น ถูกเลี้ยงมาแบบนั้น” จริงๆเขาแทบจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับลูกเลย ปกติจะเป็นหน้าที่หลักของเรา ที่จะจัดการเรื่องลูก ส่วนเขามีหน้าที่แค่หาเงิน ช่วยรับส่งลูก เราเลยคิดว่าถ้ามีหน้าที่แค่นี้แล้วทำให้สภาพแวดล้อมลูกแย่ลง มันไม่มีดีกว่าไหม เราอยากปรึกษาว่า อย่างแรกเราจะปรับความคิด พฤติกรรมลูกยังไงดี เพราะในมุมเรา ปรับกับสามีคงยากเกินไปแล้ว อีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าเราแยกกันอยู่มันจะดีกับลูกมากกว่าไหม’

            ซึ่ง “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘เด็กในช่วงอายุ 3-5 ขวบ คือช่วงที่หล่อหลอมเลย เพราะยิ่งอยู่ในวับที่มีพฤติกรรมเลียนแบบ เห็นพ่อแม่ทำยังไง เขาก็จะทำแบบนั้น ถ้าพ่อแม่อารมณ์รุนแรงทะเลาะกัน เขาจะมีพฤติกรรมตวาด อาละวาดแน่นอน ต่อให้พ่อแม่ไม่ทะเลาะกัน เป็นครอบครัวที่อบอุ่นมากๆ เขาก็ยังอยู่ในวัยที่จะปลดปลอล่อยอารมณ์ของเขา โรวเรียนที่ลูกผมอยู่เขาสอนว่า “คุณต้องยอมรับอารมณืตัวเอว และรู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอะไรอยู่ ถ้าเสียใจบอกว่าเสียใจ ถ้าโมโหบอกว่าโมโห” เขาอยู่ในวัยที่กำลังแสดงออกทางอารมณ์ของเขามันคือวัยที่บ่งบอกตัวตน

            ส่วนสามีผมว่าเปลี่ยนเขายาก แต่ทางนึงที่ผมคิดออกคือพากันไปหาจิตแพทย์เด็ก ไม่รู้ว่าสามีจะเปิดใจยอมรับหรือป่าว เพราะแม้กระทั่งกับครู่สอนพิเศษยังพูดแบบนั้น ผมว่ามันเป็น Mindset ที่อาละวาดทุกคนรอบตัวไปหมด ถ้าเป็นเมืองนอกจะเรียกว่า ”Karen “คืออยู่ดีๆก็เดินมาด่าแบบไม่มีเหตุผล ถ้าเป็นเมืองไทย ก็ “มนุษย์ป้า มนุษย์ลุง” มองลบทุกอย่าง ด่า มีปัญหา การไปพบจิตแพทย์เด็กคือ เขาจะให้คำแนะนำจี้จุด แล้วให้พ่อแม่ไปแก้ไข พฤติกรรมลูกก็จะเปลี่ยน เพราะหายทัน 4-5 ขวบ แต่ลูกที่อายุ 12 ขวบแล้ว ก็พอจะมีวิธีเปลี่ยน ถ้าคุณพ่อไม่ให้ความร่วมมือ คุณแม่ก็จะเหนื่อนิดนึง ต้องคอยอธิบายกับลูก เช่น ”พ่อเขาเหนื่อย เวลาคนเราเหนื่อยก็จะหงุดหงิดง่ายก็เลยเสียงดังออกมา การที่คุณพ่อเหนื่อยเป็นเพราะเขาพยายามหาเงินมาให้ลูกเรียน“ นี่คือวิธีการที่จะประคับประคองอีกฝ่ายหนึ่ง หรือใช้วิธี Good cop - Bad cop คอยช่วยเหลือกัน ถ้าคุณแม่ดุ พ่อก็คุยกับลูกว่า “รู้มั้ยว่าคุณเเม่เขารัก ทำไมเขาถึงดุ“ ถ้าพ่อดุ คุณแม่ก็ต้องทำเหมือนกัน ต้องช่วยกันแบบมากๆ

            แล้วที่คุณเกดถามว่ายังต้องมีสามีอยู่มั้ย ผมตอบไม่ได้จริงๆ ว่าการที่มีหรือไม่มี สุดท้าย ปลายทางมันจะดีหรือไม่ดี แต่อยู่ที่ว่า คุณเกดต้องการพาครอบครัวไปที่ปลายทางจำนวนเท่าไหร่ ถึงแม้เราจะรู้ว่าที่พ่อทำไปมันแค่หงุดหงิดและอยากระบายอารมณ์ใส่ลูก แต่เราก็ยังพอมีวิธีที่จะช่วยกันให้กลายมาเป็นพ่อแม่ที่ดีของลูกได้

            อย่างบ้านของผม จะไม่คุยกันต่อหน้าลูกทั้งสิ้น ลูกขึ้นนอนแล้วเราจะมาทบทวนกัน ปรึกษากัน ในสิ่งที่เราปฏิบัติต่อลูก ต้องบาลานซ์ทุกวัน และที่สำคัญคือต้องฟังกันและกัน วิธีการเลี้ยงลูกในทุกวันนี้ เราต้องรู้ว่าเด็กโตมาในสังคมที่ไม่เหมือนกับตอนที่เราโต เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะใช้วิธีการแบบที่คุณโตมา เพราะสังคมมันเปลี่ยนไปเเล้วจากหน้ามือเป็นหลังมือ มีคนบอกว่าการเลี้ยงลูกคืองานศิลปะที่ต้องค่อยปั้นช้าๆตั้งแต่เป็นดิน มันจึงต้องให้ความร่วมมือกันมากๆระหว่างพ่อและแม่ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ให้ความร่วมมือ ผมก็เห็นด้วยกับคำที่ว่า “ไม่มีน่าจะดีกว่า” ในบางครั้งมันก็อาจจะเป็นจริง ถ้าเขาเปิดใจรับทุกอย่างยังพอช่วยได้ แต่ถ้าไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณเกด’

            ต่อมา “ดีเจต้นหอม” ให้คำแนะนำต่อว่า ‘หอมจะเรียกสามีมาคุย แล้วก็บอกว่าลูกคนโตมีพฤติกรรมแบบนี้ แล้วคุยครูก็บอกอีกว่าลูกคนเล็กมีพฟติกรรมแบบนี้ทนั่นแปลว่าตอนนี้มีปัญหา แล้วปัญหาจะมาจากพ่อแม่ ฉนั้นวันนี้เราจะจูงมือกันไปหาจิตแพทย์เด็ก แต่ถ้าเขาไม่ไป หอมก็จะปกป้องลูกทุกวิธี บอกเขาไปว่า ถ้าไม่ไปก็ต้องเปลี่ยนตัวเอง แล้วเราจะไม่ทะเลาะต่อหน้าลูก เวลาอยู่ต่อหน้าลูกเราจะพูดถึงพ่อในทางที่ดี ไม่ว่าพ่อจะดุ หรือหงุดหงิด เราจะบอกกับลูกว่า “ลูก วันนี้พ่อทำงานเหนื่อยนะเลยเป็นแบบนี้” แล้วเราจะมาด่าพ่อทีหลัง พอมาอยู่ในห้องสองคน พูดไปเลยว่า “คุณไม่ควรพูดกับติวเตอร์แบบนี้” จะทะเลาะก็ทะเลาะ เราจะทะเลาะจนกว่าคุณจะรำคาญ วันนึงเขาจะรำคาญ เขาจะไม่อยากทะเลาะกับเรา

            เพราะฉะนั้นจะมีทางเลือก 2 ทาง 1. คุณเปลี่ยนตัวเอง หรือ 2.ให้ฉันเปลี่ยนคุณ แล้วถ้าเขาไม่เปิดใจที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ กับความคิดเด็กชุดใหม่ของเด็กยุคนี้ ปกป้องลูก โดยการเปลี่ยนพ่อ บอกเขาไปแบบนี้เลย ว่าเราไม่อยากให้ลูกเหมือนเขา แล้วถ้าเขาบอกว่าเราเลี้ยงลูกตามใจเกินไป เราก็บอกไปเลยว่า “งั้นไปพบจิตแพทย์ด้วยกัน ไปดูว่าวิธีเลี้ยงลูกที่ถูกต้องเลี้ยงยังไง ฉันยินดีจะปรับตัว แล้วคุณยินดีจะปรับตัวหรือป่าว” ถ้าเขาบอกว่าเขาเป็นแบบนี้อยู่แล้ว งั้นก็แปลว่าลูกไม่ได้เหมาะกับคุณ คุณไม่เหมาจะมีลูก อย่ามีลูกเลย ไปคุมลูกน้องนั่นแหล่ะดีแล้ว’

            สุดท้าย “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘ต้องหาคนกลางมาตัดสิน เพราะเถียงกันไปเกียงกันมา เขาไม่ฟังเราหรอก ให้หมอบอกตัดสินว่าอะไหนทำถูกหรือผิด ถ้าเขายอมฟัง สิ่งที่เขาทำผิด คือต้องปรับตัว แต่ถ้าไม่ปรับตัว งั้นก็ไม่ต้องยุ่งกับการเลี้ยงลูก เดี๋ยวฉันทำหน้าที่นี้แทน แล้วถ้ายังมายุ่งกับลูกอีก ก็จะส่งลูกไปโรงเรียนประจำ คือทำยังไงก็ได้ให้ลูกไม่ต้องอยู่กับเขา เพราะเห็นใจ มันยากมากถ้าใช้วิธีอธิบายว่าทำไมพ่อถึงหงุดหงิดใส่ แล้วก็ไม่ได้การันตีว่าลูกจะเข้าใจในสิ่งที่เราพูด’

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

หลังจากแม่เสีย หนูกลับบ้านไป อยู่กับ 4 สมาชิกในบ้าน เจอปัญหาทุกคน พ่อมีปัญหาเพื่อนบ้าน ลูกสาวเข้าสู่วัยรุ่นคุยยาก แม่สามีป่วยอัลไซเมอร์ สามีขอเงินใช้อย่างเดียว เจอแบบนี้เหนื่อยมากจะทำยังไงดี?

11 เม.ย. 2025

หลังจากแม่เสีย หนูกลับบ้านไป อยู่กับ 4 สมาชิกในบ้าน เจอปัญหาทุกคน พ่อมีปัญหาเพื่อนบ้าน ลูกสาวเข้าสู่วัยรุ่นคุยยาก แม่สามีป่วยอัลไซเมอร์ สามีขอเงินใช้อย่างเดียว เจอแบบนี้เหนื่อยมากจะทำยังไงดี?

“คุณกวาง (นามสมมติ)” อายุ 40 ปี สายที่หนึ่งในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [9 เม.ย 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม” เกี่ยวกับปัญหาเป็นเดอะแบกของบ้าน ปัญหาครอบครัวรุมเร้า โดย “คุณกวาง (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ตอนนี้รู้สึกว่าบ้านที่เราอยู่มาตลอดมันไม่มีความสุข ไม่อยากอยู่บ้าน อยากออกมา ในบ้านเราอยู่กันหลายคนเป็นครอบครัว เมื่อก่อนเราดูแลคุณแม่ที่ป่วยหนักอยู่หลายปี ไปกลับที่ทำงานร้อยกว่าโลจนท่านเสีย หลังจากที่คุณแม่เสีย ที่บ้านก็จะเหลือ คุณพ่อ สามี ตัวหนู และลูก เราก็เลยรับคุณแม่สามีมาอยู่ด้วย ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นของแต่ละคนมันเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่มันค่อย ๆ ใหญ่ขึ้น ปัญหาที่เล็กที่สุดของเราในบ้านคือ คุณพ่อ หลังจากที่คุณแม่เสีย ท่านก็ไม่ทานข้าวร่วมโต๊ะกับเราอีกเลย ท่านก็จะปลีกตัวออกไปนั่งทานคนเดียวที่ห้องส่วนตัว และท่านจะบังคับให้เรามีทัศนคติเหมือนกับท่านตรงที่ว่า ตอนนี้ท่านอยากมีเรื่องกับเพื่อนบ้านมาก จะร้องเรียนเพื่อนบ้านที่ทำตรงนี้ตรงนั้นไม่ถูก แต่ความคิดเราคือเราไม่ได้อยากมีปัญหากับเพื่อนบ้าน เพราะเขาก็ไม่ได้ทำอะไรแย่มากขนาดนั้น แต่เราก็พูดตามตรงว่า หนูทัศนคติไม่ตรงกับพ่อนะ แต่เขาก็จะตอบว่า ทำไมล่ะ ต้องไปร้องเรียนสิ ต่อมาคือ ลูก ก่อนหน้านี้ลูกของเราเขาก็น่ารักในแบบของเขา แต่พอเขาเข้าสู่วัยรุ่นก็เปลี่ยนแปลงไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ตอนนี้เขาอายุ 12 ปี เขาเริ่มเปลี่ยนตอนอายุ 11 ปี เมื่อก่อนต้องนอนกอดเขาทุกคืน ไม่กอดไม่ได้ ก่อนนอนพ่อแม่ลูกต้องกอดกัน 3 คน ต้องหอมแก้มซ้ายขวา หน้าผาก ทุกคืน พอตอนนี้เขาเข้าช่วงวัยรุ่น เขาก็มีห้องเป็นของตัวเอง ไม่ให้แม่นอนด้วยแล้ว พูดกับเราก็ห้วนไป มันก็มีน้อยใจ ถึงแม้เราเป็นแม่ เราต้องดูแลเขาอยู่แล้ว แต่ลูกอาจจะไม่ใช่กำลังใจสูงสุดของเราในตอนนี้ ต่อมาก็คือ แม่ย่า หรือแม่สามี เขาเป็นอัลไซเมอร์ เขาสร้างปัญหาทุกวัน เขาจะเอาของของเราไปซ่อนบ้าง เขาจะเดินออกจากบ้านจนหายไป แล้วก็ต้องไปตามหา เราเป็นคนดูแลเขาเป็นหลัก สามีก็ช่วยดูแลด้วย แต่เราดูแลทั้งอาหารการกิน เสื้อผ้า เพราะเขาไม่อาบน้ำ ไม่ยอมอาบ เราไม่มีงบประมาณในการจ้างพยาบาล ก็ต้องดูแลกันเอง ล่าสุดเขาจะชอบเอามีด กรรไกร ของมีคมมาห่อด้วยกระดาษทิชชู่ มัดหนังยางแล้วเอาไปซ่อน ซ่อนในห้องนอนของเขาเพราะเราจะมีห้องนอนให้เขาแยก เรื่องที่สุด ๆ ก็คือ ตกใจตอนที่กลับมาจากที่ทำงาน หุงข้าวเสียบหม้อไว้ เปิดฝาหม้อออกมาเจอฟันปลอมอยู่ในหม้อข้าว คือช็อค เพราะเราทำอะไรเขาไม่ได้ ต้องอดทนอย่างเดียว ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้านเป็นกวางรับผิดชอบมาหลายปีแล้ว เพราะปัญหาหลักก็คือ สามี เขาเป็นวิศวกร เคยทำงานประจำ เราเคยมีเงินเก็บ ต่อมาพอลูกอายุได้ 5 ขวบ เราก็ส่งลูกไม่ไหวแล้ว ต้องการคนช่วย เพราะเราเลี้ยงลูกเองมา 5 ปี พอเขากลับมาช่วย เขาก็ตั้งบริษัทของเขาเอง สามีทำงานเปิดบริษัทวิศวะ แต่ที่ผ่านมามันก็ล้มลุกคลุกคลาน เงินเก็บที่เอามาลงทุน เขาก็บอกว่าเขาโดนโกง โดนผู้รับเหมาด้วยกันโกง โดนสถาปนิกโกง มันก็ขาดทุนมาเรื่อย ๆ จนตอนนี้เขามาขอร้องเราเพราะไม่มีใครช่วยเหลือเขาแล้ว เขาขอให้เรายืมเงินคนอื่นให้เขา จนตอนนี้ครบ 1 ปีพอดี เป็นจำนวนเงินเกือบ 4 แสนบาท เขาไม่เคยช่วยจ่ายต้นจ่ายดอกเลย มันท้อมากตรงที่เราแบกรับภาระในครอบครัวแล้ว เราต้องมาแบกรับหนี้ตรงนี้ด้วย ยอมรับว่าตอนที่สามีเขามีเงิน เขาอยากได้อะไรเขาก็ซื้อเอง เขาดูแลแม่เขาก็ไม่ได้ขอเงินเรา แต่เงินของเขาไม่เคยถึงเราเลย เขาทำงานอดิเรกของเขาได้หมดเลย คือเลี้ยงปลา นก ไก่ สวยงาม กรงแพงมาก เราบอกเขาว่าถ้าบริษัทมันไปไม่ได้ เธอเปลี่ยนอาชีพไหม ไปเป็นลูกน้องคนอื่นดีไหม ทำอาชีพอื่นที่พอไปได้ไหม แต่เขาขอเวลาไปเรื่อยๆ รู้แต่ว่าลูกน้องเขาได้เงิน ร้านค้าได้เงิน ลูกค้าได้บ้าน ได้ถนน ได้อาคารไป แต่เขาเงินไม่เหลือ เขาไม่ได้มาจุนเจืออะไรมากมาย เขาจ่ายแค่ค่าน้ำดื่ม ค่าแก๊ส จนฟางเส้นสุดท้ายมันเกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เราถามเขาว่า มันครบปีแล้วนะเธอจะคืนเราไหม มันไม่มีทั้งต้นทั้งดอก ไม่มีช่วยเราเลย แล้วเขาก็ตะคอกใส่หน้าเราว่า ก็มันไม่มีจะให้ทำยังไง และเขาก็ไปนอนเลย เราก็ไม่ไหวแล้ว เลยเดินไปบอกลูกว่า แม่ไม่ไหว หนูเข้าใจแม่นะว่าแม่อยู่ในจุดที่ไม่มีความสุขเลย แม่อยู่ที่นี่ไม่ได้ เลยขอเฟดตัวออกมา ไปอยู่คนเดียวที่บ้านพักของที่ทำงาน ลูกก็ร้องไห้และเข้ามากอดบอกว่า เขาเข้าใจ และเขาก็ดีขึ้นเลย พูดกับเราดีขึ้น กอดเราในวันที่เราไม่ไหว วันนี้ก็คือคืนที่ 2 ที่ออกมาอยู่คนเดียว และตอนนี้ก็จะเป็นสามีที่คอยหาอาหารให้ลูก กวางจะให้เงินลูกไว้และให้เขาให้พ่อเขาอีกทีนึง เพราะพ่อเขาก็ไม่มีซัพพอร์ท ตอนนี้มีรายได้พอในการดูแลคนในบ้านได้ มีงานประจำค่อนข้างมั่นคง แต่เราอาจจะไม่มีเงินเก็บเพราะว่าเรามีหนี้ก้อนนี้อยู่ พ่อเราดูแลตัวเองได้ พ่อเป็นข้าราชการ ได้รับบำนาญ จะมีแต่ฝั่งสามีและแม่สามีที่ไม่มีอะไรเลย หลังจากที่เราออกมาจากบ้าน สามีไม่โทรมาเลย มีแต่ส่งไลน์มาขอโทษ และนี่คือครั้งแรกที่เราเฟดตัวออกมาจากครอบครัว และเราบอกคุณพ่อแล้วว่าเราจะย้ายมาอยู่ที่บ้านพัก พ่อก็โอเค บอกว่าไม่เป็นไร ก็จะเป็นสามีที่ดูแลที่บ้าน เพราะว่าเราเทียวไปกลับ วันพฤหัสบดี-วันเสาร์ เราจะไปอยู่ที่บ้าน แต่วันจันทร์-พุธ เราจะกลับมาที่พักของเราตอนนี้ เพื่อที่จะประหยัดน้ำมัน เพราะบ้านเรากับที่ทำงานห่างกัน 50 กว่ากิโล ถ้าถามว่าสบายใจไหม ก็สบายใจ แต่ห่วงพ่อ และก็ห่วงลูก แต่ว่าเรารู้สึกอยู่ตรงนั้นไม่ไหว เลยขอเฟดตัวออกมา เพราะเราไม่อยากเห็นหน้าเขา เขาเหมือนไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย มันเหมือนเราจะไม่ได้เงินคืนแล้วใช่ไหม เคยคิดถึงการหย่า มันเหมือนหมดรักกัน เพราะมันไม่ได้ใส่ใจกัน และปัญหาเรื่องเงิน ถ้าหย่า สามีก็คงไม่น่าจะหย่า เพราะว่าเขาก็ไม่มีที่ไป เขายังเปิดกระเป๋าขอเงินเราอยู่เลย อยากจะปรึกษาพี่ ๆ ดีเจว่า เราจะได้เงินคืนไหม และในสถานการณ์นี้เราควรจะทำยังไง?’ เริ่มที่ “ดีเจต้นหอม” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ในเรื่องของลูก หอมแนะนำได้ เพราะที่บ้านก็มีเด็กวัยรุ่นเหมือนกัน ซึ่งวัยนี้จะค่อนข้างมีโลกส่วนตัวสูง พูดคุยกับแม่ไม่ค่อยดี ที่บ้านหอมเลยใช้วิธีให้เขารู้สึกสงสารแม่ เช่นในกรณีของคุณกวาง ถ้าบอกลูกว่าแม่กำลังเผชิญเรื่องหนัก ๆ ลูกอายุ 12 ปี ก็น่าจะเข้าใจและให้กำลังใจได้ หอมมองว่าเขาเริ่มมีจุดเปลี่ยนที่ดี และยังรักคุณกวางอยู่ ลูกอาจกลายเป็นเซฟโซนที่ดีและเป็นกำลังใจให้คุณกวางได้ ส่วนเรื่องที่คุณกวางตัดสินใจออกมาจากบ้าน หอมว่าโอเคนะ มันเหมือนการบีบบังคับให้สามีลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับปัญหา เพราะการดูแลแม่ที่ป่วยอัลไซเมอร์มันไม่ใช่เรื่องง่าย และเขาจะปล่อยปละละเลยไม่ได้ สำหรับเรื่องเงิน 4 แสน ตอนนี้ถือว่าหายากมาก ควรให้เขาออกไปหาเงินมาช่วยจุนเจือบ้าน อย่างน้อยก็ช่วยครึ่งหนึ่ง เพื่อให้คุณกวางมีกำลังใจในการเดินหน้าต่อ’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่เห็นด้วยที่คุณกวางเลือกออกมา เพราะรู้สึกว่าคุณกวางควรมีพื้นที่สงบให้ตัวเองบ้าง ดูแล้วคุณกวางคือคนที่แบกรับทุกอย่างในบ้าน จนจะไม่ไหวอยู่แล้ว พี่อยากให้มองในภาพรวมว่า ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบทุกชีวิต ถ้าบางเรื่องมันเกินกำลัง ก็ปล่อยได้ แล้วหันไปโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญก่อน ซึ่งตอนนี้คือเรื่องของสามี ถ้าเขาไม่สามารถหาเงินมาดูแลครอบครัวได้ ต้องคุยกันจริงจังว่าเพราะอะไร และถ้าวันนี้คุณกวางไม่สามารถให้เงินเขาได้อีก ก็ควรบอกเขาว่า นี่คือสิ่งที่เขาต้องแก้ไขเอง เช่น ถ้ายังยืมเงินจากคุณกวาง แต่ยังเลี้ยงนก เลี้ยงปลาอยู่ โดยไม่คิดจะขายเพื่อนำเงินมาใช้ แบบนี้ก็ผิด เพราะเขาต้องเผชิญหน้ากับหนี้ 4 แสน และยอมรับว่าใช้ชีวิตแบบเดิมไม่ได้แล้ว ถ้าเขายอมเปลี่ยนแปลง และจริงใจที่จะแก้ปัญหา ก็อาจไปกันต่อได้ แต่คุณกวางต้องชัดเจนว่า จะไม่ยืมเงินให้เขาอีก อย่าคิดว่าเราคือซูเปอร์ฮีโร่ที่จะแบกทุกอย่างได้ โดยที่ตัวเองไม่มีความสุข ทำเท่าที่ไหว ปัญหาไหนที่ไม่ใช่ของเรา ก็ปล่อยให้เจ้าของปัญหาเขาแก้เอง ไม่อย่างนั้น คนที่ไม่มีความสุขในบ้านหลังนี้จะเป็นคุณกวางเอง’ สุดท้าย “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘ก่อนอื่นต้องให้กำลังใจครับ ถ้าเป็นผมเจอสถานการณ์แบบนี้ ก็ไม่รู้จะรับไหวไหม การที่คุณกวางตัดสินใจออกมา ผมเข้าใจและสนับสนุน เพราะมันน่าจะถึงจุดที่ทนไม่ไหวแล้ว การออกมาครั้งนี้ ควรใช้โอกาสนี้เพื่อทบทวนหัวใจตัวเอง ว่ายังอยากมีสามีคนนี้อยู่ในชีวิตหรือเปล่า ถ้าแยกกันอยู่แล้ว ชีวิตดีขึ้นไหม หรือแย่ลง ขณะเดียวกัน อยากให้มองเห็นข้อดีที่ยังเหลืออยู่ เช่น ลูกของคุณกวาง ที่เข้าใจและรักแม่มาก แม้จะอยู่ในวัยที่เริ่มมีโลกส่วนตัว ผมเคยได้ยินมาว่าเด็กช่วง 10-12 ปี จะเป็นวัยที่ห่างจากพ่อแม่ชั่วขณะ แต่ถ้าก่อนหน้านั้นคุณกวางสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกไว้ เขาจะกลับมาเอง และจากสิ่งที่ลูกพูด ผมเชื่อว่าคุณกวางวางรากฐานความรักไว้ดีแล้ว อย่างน้อยก็ยังมีลูกเป็นที่พึ่ง หากไม่มีใครปรึกษา ก็อาจลองคุยกับลูกได้ สุดท้าย ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือสามี ถึงเวลาต้องคุยกันแบบตรงไปตรงมาแล้วว่า ถ้าเขาไม่เปลี่ยน คุณกวางต้องเลือกว่า ชีวิตแบบไหนที่ดีกว่าสำหรับตัวเอง’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามชมใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

ทำไมอาจารย์ชอบปล่อยเลทคะ? นักศึกษาโทรถามในรายการ เวลาไปเรียน... หมดเวลาแล้ว แต่อาจารย์ไม่ปล่อยสักที กินเวลาวิชาอื่นไป 10 – 15 นาที ไปเรียนอีกตึกแทบไม่ทัน ที่เพื่อนๆไม่กล้าบอกก็เพราะ อาจารย์คนนี้ ‘ดุ’ มากซะด้วย

12 ก.ย. 2023

ทำไมอาจารย์ชอบปล่อยเลทคะ? นักศึกษาโทรถามในรายการ เวลาไปเรียน... หมดเวลาแล้ว แต่อาจารย์ไม่ปล่อยสักที กินเวลาวิชาอื่นไป 10 – 15 นาที ไปเรียนอีกตึกแทบไม่ทัน ที่เพื่อนๆไม่กล้าบอกก็เพราะ อาจารย์คนนี้ ‘ดุ’ มากซะด้วย

ทำไมอาจารย์ชอบปล่อยเลทคะ? นักศึกษาโทรถามในรายการเวลาไปเรียน... หมดเวลาแล้ว แต่อาจารย์ไม่ปล่อยสักทีกินเวลาวิชาอื่นไป 10 – 15 นาที ไปเรียนอีกตึกแทบไม่ทันที่เพื่อนๆไม่กล้าบอกก็เพราะ อาจารย์คนนี้ ‘ดุ’ มากซะด้วยอยากได้วิธีการจากทุกคนว่าควรทำยังไงดี ถ้าเจอแบบนี้?? “คุณนิ (นามสมมุติ)” สายสุดท้ายของรายการ “พุธทอล์ค พุธโทร” เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [6 ก.ย.66] ได้โทรเข้ามาปรึกษาพี่ๆดีเจ ดีเจต้นหอม - ดีเจเติ้ล - ดีเจเผือก เกี่ยวกับปัญหาอยากรู้ว่าทำไมอาจารย์ชอบปล่อยเลท โดย “คุณนิ (นามสมมุติ)” ได้เล่าว่า ‘ที่มหาวิทยาลัยจะให้เรียนคาบละ 50 นาที แล้วก็จะมีให้เดินทาง 10 นาที เพื่อที่จะไปเรียนวิชาใหม่ แต่จะมีอาจารย์คนหนึ่งก็คือสอนครบ 60 นาทีเลย แล้วตัวอาจารย์เขาก็เป็นคนที่ค่อนข้างที่จะดุมาก อาจารย์เขาก็จะเข้าสอนก่อนเวลา ที่เขาปล่อยช้าบางทีก็ชอบเม้าท์ บางทีก็สอนบ้าง มันก็จะมีบางทีที่เขาสอนไม่ทันค่ะ หรือบางทีเขาก็สอนเสร็จเเล้วแต่ก็พูดเรื่องอื่นต่อ วิชานี้เป็นวิชาที่สาขาวิชาที่จะต้องเจอตลอด ๆ เลยเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

หนูมีนิสัย พูดเก่งเฉพาะกับคนสนิท พอมาฝึกงาน คุยเล่นกับพี่ๆไม่เป็น ก้มหน้าทำงานอย่างเดียว พอจบฝึกงาน ได้รับการประเมินจากพี่ๆว่า ทำงานโอเค แต่ไม่ค่อยพูดกับใครในที่ทำงาน กลัวว่าเวลาไปทำงานจริงๆ จะปรับตัวไม่ถูก อยากชวนคุยกับคนอื่นเก่งๆ ทำยังไงดีคะ?

31 พ.ค. 2024

หนูมีนิสัย พูดเก่งเฉพาะกับคนสนิท พอมาฝึกงาน คุยเล่นกับพี่ๆไม่เป็น ก้มหน้าทำงานอย่างเดียว พอจบฝึกงาน ได้รับการประเมินจากพี่ๆว่า ทำงานโอเค แต่ไม่ค่อยพูดกับใครในที่ทำงาน กลัวว่าเวลาไปทำงานจริงๆ จะปรับตัวไม่ถูก อยากชวนคุยกับคนอื่นเก่งๆ ทำยังไงดีคะ?

“คุณยาหยี (นามสมมติ)” อายุ 22 ปี สายที่สามในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ [29 พ.ค. 67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาคุยไม่เก่ง โดย “คุณยาหยี (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ช่วงปลายปีที่แล้วหนูเรียนอยู่ปี 4 เทอม 2 ซึ่งใกล้จะจบแล้ว เลยได้มีโอกาสไปฝึกงานที่หนึ่ง ทีนี้ตอนที่ฝึกงานมันก็ปกติดี จะประชุมหรือนำเสนองานหนูก็ทำได้ดีมาตลอด แต่สิ่งที่มันเป็นปัญหาจนกลายเป็นข้อเสียของหนู คือหนูเป็นคนคุยไม่เก่งในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องงาน เช่น ตอนที่หนูต้องไปกินข้าวกลางวันกับพี่ ๆ ที่ทำงาน ซึ่งมันเป็นช่วงที่จะได้มีโอกาสพูดคุยกัน เราจะรู้ว่าพี่ ๆ เค้าจะโยน Topic มาให้หนู เช่น ยาหยีเคยดูหนังเรื่องนี้มั้ยซึ่งหนูก็ตอบไปตามปกติ แต่หนูไม่รู้ว่าจะต้องคิดคำพูดยังไง ทำยังไง ให้บทสนทนามันสามารถไปต่อได้ จริง ๆ ก็มีพี่ที่อายุใกล้ ๆ กัน แต่ส่วนใหญ่เค้าจะโตกว่าหนูค่อนข้างเยอะ พอตอนหลังหนูฝึกงานจบด้วยความที่ตอนทำงานหนูเงียบ ๆ พี่ ๆ เค้าจึงแจ้งมาว่าหนูเป็นคนที่เงียบเกินไป ขี้เกรงใจเกินไป คือหัวหน้าก็แนะนำมาด้วยความหวังดีว่า หลังจากที่เราจบฝึกงานนี้ไปเราต้องไปทำงานที่อื่น เราควรที่จะพูดดีกว่าไม่พูด หนูก็เลยอยากถามว่า หนูอยากเอาปัญหาตรงนี้มาแก้ไขในการทำงานในอนาคต ให้มันไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป ซึ่ง “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่หัวหน้าเค้าคอมเม้นท์มาเค้าซีเรียสกับปัญหานี้มากน้อยแค่ไหน มันส่งผลร้ายแรงกับการประเมินของยาหยีมากน้อยแค่ไหน บางทียาหยีอาจจะทำงานเพอร์เฟคมากซะจนเค้าพยายามที่จะหาที่ติสักหน่อย ให้เด็กคนนี้ได้พัฒนาอะไรอีกสะหน่อย มันอาจจะแค่เลเวลนี้ก็ได้ หรือ เค้ามาในความรู้สึกที่ว่า เด็กคนนี้ไม่มีมนุษยสัมพันธ์เลย ต้องคุยมากกว่านี้ไม่งั้นเธอทำงานกับคนอื่นไม่ได้นะ ในประโยคคล้าย ๆ กันมันมีความหนักเบาที่ต่างกัน เพราะว่าถ้ายาหยีบอกว่าถ้าเป็นเพื่อนสนิทหนูจะเป็นผีบ้าเลย ซึ่งพี่เชื่อว่าผีบ้าเนี่ย ถ้าเจอคนไม่สนิทมันก็จะลดลงมาในเลเวลที่ไม่ถึงกับไร้มนุษยสัมพันธ์ มันก็อาจจะลงมาในเลเวลปกติ แต่อาจจะตอบน้อยหน่อย พี่เลยไม่รู้ว่ากายหยาบหรือกายละเอียดเราต่างกันมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าจะถามเรื่องของการเข้าสังคมให้เป็นคนช่างพูด ช่างคุย พี่ไม่รู้ว่าจะให้ยาหยีไปฝึกยังไง แต่ข้อดีคือยาหยีมีตัวตนสนุกสนาน เฮฮาเวลาอยู่กับเพื่อนสนิท เราลองจินตนาการว่าเราสนิทกับคนเหล่านั้นมากขึ้นแล้วได้มั้ย หรือสุดท้ายแล้วยาหยีอาจจะไม่ต้องกังวลอะไรเลยก็ได้ มันอาจจะเป็นรีแอคปกติกับคนที่เรายังไม่สนิท ถ้ายาหยีเริ่มทำงานที่ไหนไป ระยะเวลามันมากกว่าฝึกงานอยู่แล้ว พอเราค่อย ๆ สนิทขึ้น เราก็จะเริ่มพูดคุยมากขึ้น ร่างผีบ้าเราก็จะออกมามากขึ้น สุดท้ายมันก็อาจจะไม่เป็นปัญหา แต่พี่จะให้เป็นเทคนิคเบื้องต้น คือ ให้ฟังเรื่องของอีกฝ่ายเยอะ ๆ แล้วเอาเรื่องของเค้ามาคุยเป็นหลัก เราอย่าพึ่งตั้งใจที่จะพูดแต่เรื่องของเรามากจนเกินไป บางทีเรื่องที่เราคิดว่าน่าสนใจแล้วพูดออกไป เค้าอาจจะไม่ได้สนใจกับเรื่องที่เล่ามากเท่าไหร่นัก พี่เลยจะรู้สึกว่าเราต้องระวังการเล่าเรื่องของเรามากจนเกินไป เราอาจจะเน้นไปที่การต่อยอดเรื่องที่เค้าเล่า ทำให้อีกฝั่งรู้สึกสนุกที่คุยกับเรา’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่คิดเหมือนพี่เผือกว่า พี่ต้องรู้ข้อมูลจากยาหยีว่ามันเป็นปัญหาขนาดไหน เพราะว่าการที่ยาหยีเล่าว่าไปฝึกงานแล้วไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์เท่าไหร่ พี่ว่ามันปกติ เพราะสถานะเราคือเด็กฝึกงาน แต่ถ้าพื้นฐานยาหยีเป็นคนพูดคุยอยู่แล้ว พี่ว่าถ้าอยากจะเพิ่มทักษะนี้เพื่อคุยกับคนที่ไม่สนิทได้จริง ๆ มันจะมีคอร์สที่ฝึกการพูด ฝึกการเข้าสังคม ถ้าหนูมีเงิน มีเวลา แล้วอยากจะฝึกจริง ๆ แต่ถ้าอยากลองทำเองง่าย ๆ พี่ว่าเวลาออกจากบ้านไปเจอผู้คน เช่นแม่ค้า ลองคุยกับเค้าดูมั้ย เหมือนทำให้มันชินไปเอง’ สุดท้าย “ดีเจต้นหอม” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่รู้สึกว่าอย่าไปสะกดจิตตัวเองว่า คุยไม่เก่งแล้วประหม่า ปล่อยให้มันไหลไปตามธรรมชาติ มันจะมีพวก How To ในเน็ตก็เสริชได้เลยที่สอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ และพี่รู้สึกว่ายาหยีไม่ได้มีปัญหาขนาดนั้น หนูสามารถแก้ไขได้ ปกติหนูชอบดูข่าวดาราหรือข่าวใหม่ ๆ มั้ยเพราะมันมีหัวข้อเป็น 108 อย่าง หรือการถามคำถามตอบกลับเวลาที่คนอื่นถามมามันก็ดี ให้ยาหยีฝึกถามคำถามตอบกลับ เพราะคนที่เค้าตั้งคำถามมาแปลว่าเค้าอยากจะพูดคุยกับเราอยู่แล้ว’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

แฟนคือ “เดอะแบก” ของครอบครัว ให้ครอบครัวเขาเป็นที่หนึ่ง จนแทบมองไม่เห็นอนาคตของคู่เรา คบกันมา 10 ปี รู้สึกเหมือนยังใช้ชีวิตทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่มีภาพอนาคตของเราเลย ซื้อบ้านด้วยกันแต่เขาก็พาพี่สาว คุณแม่ มาอยู่ด้วย

31 ม.ค. 2025

แฟนคือ “เดอะแบก” ของครอบครัว ให้ครอบครัวเขาเป็นที่หนึ่ง จนแทบมองไม่เห็นอนาคตของคู่เรา คบกันมา 10 ปี รู้สึกเหมือนยังใช้ชีวิตทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่มีภาพอนาคตของเราเลย ซื้อบ้านด้วยกันแต่เขาก็พาพี่สาว คุณแม่ มาอยู่ด้วย

แฟนคือ “เดอะแบก” ของครอบครัว ให้ครอบครัวเขาเป็นที่หนึ่งจนแทบมองไม่เห็นอนาคตของคู่เรา คบกันมา 10 ปี รู้สึกเหมือนยังใช้ชีวิตทุกอย่างเหมือนเดิมไม่มีภาพอนาคตของเราเลย ซื้อบ้านด้วยกันแต่เขาก็พาพี่สาว คุณแม่ มาอยู่ด้วยเวลามีปัญหาอะไรเขาก็บอกว่าพูดไม่ได้เพราะเป็นคนกลาง “คุณเอ็น (นามสมมติ)” อายุ 35 ปี สายที่หนึ่งในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [29 ม.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาของครอบครัวแฟนที่ส่งผลต่อชีวิตคู่ โดย “คุณเอ็น (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูคบกับแฟนตั้งแต่อายุ 19 - 20 ปี จนตอนนี้ก็คบกันมา 10 ปีแล้ว เราสองคนไม่ได้มีฐานะที่ดีมาก เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย สร้างทุกอย่างมาด้วยกัน ในระหว่างนั้นก็มีปัญหาจากทางบ้านแฟนมาเรื่อยๆ ในหลายๆ เรื่อง ทั้งเรื่องเงินหรือเรื่องปัญหาในบ้านของเขา เรื่องของลูกๆ เขา ทางบ้านแฟนก็จะมีปัญหามาให้แฟนแก้ตลอด ส่วนแฟนก็ใจดี แก้ให้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน ภาระทุกอย่าง แฟนหนูเป็นเดอะแบกตลอด ด้วยความที่เราลำบากมาด้วยกัน หนูก็เห็นภาพทุกอย่างทั้งหมด หนูก็เข้าใจเขา เพราะเมื่อก่อนเราก็เสียดายเวลา เลยไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องพวกนี้ แต่หลังๆ ก็จะมีเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้าน เพราะตอนนี้เราทั้งคู่ซื้อบ้านอยู่ด้วยกัน แต่บ้านเป็นชื่อแฟน และในบ้านก็ไม่ได้มีแค่หนูกับแฟน 2 คน แต่ที่อยู่ด้วยกันจะมีครอบครัวแฟนทั้งหมดเลย 5 คน มีแม่แฟน มีพี่-น้องแฟนอีก 2 คน พออยู่ด้วยกันหลายๆ คน ปัญหามันก็จะเกิดขึ้นทุกวัน แต่ในส่วนของหนู หนูก็รับผิดชอบตัวเองได้ค่อนข้างเยอะ ก็มีช่วยแฟนบ้าง แต่ก็ไม่ได้ช่วย 100% จะช่วยแค่ค่าใช้จ่ายในบ้านที่หนูช่วยได้ แต่เรื่องในบ้าน เรื่องการรับผิดชอบก็จะเป็นหน้าที่แฟนทั้งหมด แม่เขาไม่ได้ทำงาน พี่สาวเขาอายุ 42 ปีก็ไม่ได้ทำงาน และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาพี่สาวแฟนไม่เคยทำงานเป็นกิจจะลักษณะเลย อยู่บ้านอย่างเดียว ไปทำงานที่ไหนก็โดนไล่ออกตลอด ก่อนหน้านี้พี่สาวเขาก็มีครอบครัว แต่ก็เลิกกันมาหลายปีแล้ว และกลับมาอยู่บ้าน คนที่อยู่บ้านอีกคนคือน้องที่ไปๆ มาๆ แต่ที่อยู่บ้านหลักๆ ก็มีแม่ พี่สาว แฟนและก็หนู แต่ก็ยังเป็นคำถามของหนูอยู่ ว่าเขาอยู่ได้ยังไง? ซึ่งแม่เขาก็ปกป้องเขาในระดับหนึ่ง ทุกวันนี้เวลาหนูคุยเรื่องอนาคต ด้วยความที่หนูกับแฟนหาเงินกันมาเอง เรื่องค่าใช้จ่ายในครอบครัว หนูเลยไม่ได้ซีเรียสว่าจะต้องแต่งงาน หนูก็ไม่ได้คิดเรื่องแต่งงานเลย จนเงินหมดไปกับทางบ้านแฟนเยอะมาก หนูเลยคิดได้ว่ามีเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่หนูรู้สึกว่าหนูไม่ไหวแล้ว เมื่อก่อนหนูยอมทางบ้านแฟนค่อนข้างเยอะ แต่พอหลังๆ หนูไม่ค่อยฟังเขา เพราะด้วยหน้าที่การงาน วุฒิภาวะ ทำให้หนูเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเองค่อนข้างเยอะ เลยทำให้มีปากเสียงกับที่บ้านเขาเหมือนกัน แล้วเราอยู่ในบ้านเขาด้วย หนูก็เริ่มรู้สึกไม่ไหว ไม่รู้จะไปต่อหรือยังไงดี เพราะตลอดระยะเวลาที่คบกัน แฟนหนูเขาไม่เคยมีเรื่องผู้หญิงหรืออะไรเลย เขาไม่เคยทำอะไรที่ผิดพลาดกับหนูเลย ติดแค่เรื่องครอบครัวเขาอย่างเดียว ช่วงปลายปีที่ผ่านมาก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จนหนูคิดว่าจะเอาตัวเองออกมาจากบ้านนั้น อยากจะแยกอยู่แบบสงบๆ แต่หนูยังไม่ได้พูดถึงขั้นจะเลิกกับแฟน แค่จะย้ายออกมาเช่าคอนโดอยู่ เพราะเวลาที่กลับมาบ้านบรรยากาศมันไม่น่าอยู่ แต่แฟนหนูเขาก็ไม่ยอม และบอกว่า ถ้าออกจากบ้านไปก็คือต้องเลิกกับเขา แต่หนูก็ไม่ได้อยากเลิกกับแฟน แค่อยากให้เขาได้ดูแลครอบครัวเขา ซึ่งตอนนี้ที่มีปัญหากัน ต่างคนก็ต่างอยู่ ไม่ค่อยคุยกันแยกห้องกันไปเลย ส่วนใหญ่หนูจะมีปัญหากับแม่และพี่สาวแฟนมากกว่า เขามองว่าหนูเป็นคนขี้เกียจ เพราะเมื่อก่อนหนูเคยรีดผ้าของทุกคนในบ้าน พอวันหนึ่งไม่ทำ เขาก็บอกว่าหนูขี้เกียจ หนูก็มองว่ามันเป็นน้ำใจ หนูช่วยเพราะเผื่อบางคนไม่ว่าง หนูก็รีดให้ได้ แต่พอครั้งต่อไปมันกลายเป็นว่า ทำไมหนูไม่ทำละ? และก็มีเรื่องเงิน เขาคิดว่าแฟนหนูให้เงินหนูอยู่คนเดียว ไม่ให้ที่บ้านเขาด้วย ซึ่งหนูไม่เคยเอ่ยปากขอแฟนเลย หนูหาเองได้ บางเดือนหนูหาได้มากกว่าแฟนหนูด้วยซ้ำ แต่หนูกับแฟนเหมือนโตมาด้วยกัน เขาไม่มีเงิน หนูก็ให้ พอหนูไม่มี เขาก็ให้ ซึ่งเรื่องพวกนี้หนูไม่เคยไปเล่าให้พวกเขาฟังอยู่แล้ว เขาเลยมองว่าลูกเขาหลงหนูให้แต่หนูคนเดียว ไม่ให้พวกเขาเลย ทั้งๆ บ้านที่เขาอยู่ แฟนหนูก็เป็นคนผ่อน ค่าน้ำ ค่าไฟ แฟนหนูเป็นคนจ่ายหมด ซึ่งแม่และพี่สาวเขาจะออกแค่ค่ากินของเขา เพราะแม่เขาได้เงินส่วนนี้มาจากการรับซ่อมผ้าเล็กๆ น้อยๆ หนูกับแฟนเคยคุยกันเรื่องนี้ เขาก็บอกว่าเขาเป็นคนกลาง แต่หนูก็เคยชวนแฟนออกมาอยู่ข้างนอกกันสองคน เขาก็ไม่สะดวก ไม่กล้าปล่อยคนที่บ้านไว้ สถานะตอนนี้ของหนูกับแฟน คือไม่ได้แต่งงานกัน ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ไม่มีลูก อยู่กันมา 10 กว่าปีแล้ว บางช่วงจังหวะของชีวิตหนูจะทำอะไร หนูก็ไม่เห็นภาพในอนาคตว่าหนูจะทำต่อไปได้ยังไง หนูไม่รู้ว่าควรไปต่อหรือพอแค่นี้ ในใจหนูก็สงสารเขาเพราะเขาก็ไม่ได้ผิดอะไร หนูอยากถามพี่ๆ ดีเจว่า หนูควรไปต่อหรือพอแค่นี้ ถ้าหนูเดินออกมา หนูจะเห็นแก่ตัวไหม?’ เริ่มที่ “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่คิดว่าหนูไม่ได้เห็นแก่ตัว หนูแค่รักตัวเอง ไม่อยากเห็นตัวเองเป็นแบบนี้อีกแล้ว แล้วหนูก็มีช้อยส์ให้เขาเลือกแล้ว แต่เขาดันยื่นคำขาดว่าถ้าย้ายออกเท่ากับเลิก สำหรับพี่ถ้าเขาเป็นคนกลางจริงๆ เขาก็ต้องเห็นว่าทั้งสองฝ่ายจะมีความสุขได้ยังไง การที่เขาเป็นคนกลางถ้าเขาไม่พยายามทำให้เรารู้สึกโอเคขึ้น เขาก็ต้องมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งจากที่ฟังเขาก็ไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของเราขนาดนั้น และเขาก็ต้องเจอกับผู้หญิงที่รับที่บ้านเขาได้’ ต่อมา “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ปัญหาที่น้องกำลังเจอมีโอกาสสูงมากที่จะเป็นปัญหาเรื้อรังระยะยาว การที่เอาคนในครอบครัวมาอยู่ในบ้าน ร่วมกันเป็นบ้านใหญ่ มันจะปรับเปลี่ยนอะไรยากมาก ถ้าวันหนึ่งคุณแม่แฟนไม่อยู่แล้ว ก็มีโอกาสที่เราจะต้องดูแลพี่สาวเขาด้วยหรือเปล่า ถ้ามองในมุมของเขาก็คงคิดว่าถ้าแฟนแยกไปอยู่ข้างนอกความสัมพันธ์ที่คบกันมา 10 กว่าปี ความสัมพันธ์จะถอยหลังหรือเปล่า ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นเขาอาจจะเลือกดูแลเรา แต่ผู้ชายคนนี้เขาก็เลือกครอบครับเขา ซึ่งก็ไม่ผิด และมันก็เป็นสิทธิของเราที่จะต้องเลือกดูแลตัวเอง รักตัวเอง และก็สงสารตัวเอง’ และสุดท้าย “ดีเจต้นหอม” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘สำหรับพี่ ไม่ได้เรียกว่าเห็นแก่ตัว เพราะมันไม่มีความจำเป็นที่ต้องเห็นแก่ครอบครัวใคร ครอบครัวเขายังไม่ช่วยกันเองเลย เรื่องอะไรจะต้องมาเป็นภาระเรา ยกเว้นถ้าน้องรับได้ว่าต้องรับภาระนี้ไปตลอดชีวิตก็อยู่กับคนๆ นี้ แต่ถ้ารู้สึกว่าไม่ไหวก็ออกมาเลย เสียเวลา’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1