คบกับแฟนมาเกือบปี ถ้าทำอะไรผิดแฟนจะปรับหนู โทษหนัก เบา ต่างวาระ แอบไปเที่ยวปรับ 3000 ทักหาแฟนเก่าปรับ 30000 ตอนนี้จ่ายไปเกือบ 50000 บางโทษผ่อนชำระได้ แต่ถ้าแฟนคุยกับหญิงอื่นหนูไม่มีสิทธิ์ปรับ

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

คบกับแฟนมาเกือบปี ถ้าทำอะไรผิดแฟนจะปรับหนู โทษหนัก เบา ต่างวาระ แอบไปเที่ยวปรับ 3000 ทักหาแฟนเก่าปรับ 30000 ตอนนี้จ่ายไปเกือบ 50000 บางโทษผ่อนชำระได้ แต่ถ้าแฟนคุยกับหญิงอื่นหนูไม่มีสิทธิ์ปรับ

07 มี.ค. 2025

          “คุณหนู(นามสมมติ)”อายุ 27 ปี สายที่หนึ่งในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [5 มีนาคม 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหา โดนแฟนปรับเงินทุกครั้งที่ทำผิด

            โดย “คุณหนู(นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘คบกับแฟนได้ประมาณ 1 ปี เวลาที่หนูทำผิด แล้วเขาไม่โอเค เขาจะมาปรับเงินเราเพื่อเป็นการชดเชย ตอนนี้หนูโดนปรับเงินรวมทั้งหมด 50,000 บาทแล้ว และแฟนก็บอกว่ามันเป็นเรื่องปกติ

            ซึ่งความผิดหลักๆ เลย ที่โดนปรับทีละมากๆ ก็คือ บางทีหนูแอบไปเที่ยวแต่บอกเขาว่านอนแล้ว อันนี้รอบแรกโดนประมาณ 3,000 - 5,000 บาท แล้วก็มีเรื่องที่หนูทำผิดเองคือ ทักไปหาแฟนเก่า ประมาณว่าอยากกลับไปหาแฟนเก่า พอเขาจับได้ เขาจะเลิก แต่หนูก็รั้งเขาไว้ เขาเลยปรับเป็นเงินแทน อันนี้โดนปรับ 30,000 บาท และเรื่องที่หนูคุยกับเพื่อนผู้ชาย ซึ่งเป็นเพื่อนที่สนิทกัน รู้จักกันมานานแล้วตั้งแต่มัธยม หนูก็ไม่ได้คิดอะไรกับเพื่อนคนนี้ ส่วนเนื้อหาที่คุยกันก็ปกติ เวลาไปเที่ยวก็อาจจะมีถาม มีบอกบ้างว่าที่นี่สนุกนะ มาเที่ยวสิ ก็โดนปรับประมาณทีละ 10,000 - 20,000 บาท

            อีกรอบหนึ่ง คือเรื่องที่หนูไม่มั่นใจในตัวเขา เพราะเขามีเรื่องผู้หญิง ส่วนมากผู้หญิงที่ทักมาก็จะเป็นคนเดิมๆ เขาตอบผู้หญิงคนอื่น และก็มีบางครั้งที่เขาทักไปเอง แต่กับคนที่หนูมีปัญหา เขาก็ไม่ยอมบล็อก ไม่ยอมทำอะไรให้มันเคลียร์ แต่หนูก็ไม่เคยปรับเงินเขาเลย ซึ่งเขามีสิทธิ์ที่จะปิด บล็อก และเช็คโทรศัพท์หนูทุกอย่าง หนูให้สิทธิ์เขาหมดเลย เพราะว่าที่ผ่านมาหนูทำผิด หนูจะไม่ทำแล้ว แต่เขาบอกว่าหนูเป็นคนทำก่อน หนูไม่มีสิทธิ์ที่จะไปปรับเขา ที่หนูยอมให้เขาปรับเพราะตอนนั้นหนูก็ยังอยากไปต่อกับเขา แต่ก็เพิ่งมาเอ๊ะตอนหลัง เขาเคยพูดอยู่ครั้งหนึ่งว่า จะทำผิดอะไรมา ต้องโดนทั้งจำทั้งปรับ จะเอาเงินมาอย่างเดียวไม่ได้ เพราะมันเสียความรู้สึกเขาไปแล้ว เขาเลยบอกว่าเรายังไม่มีสิทธิ์ที่จะไปดูโทรศัพท์ของเขา

            ตอนนี้หนูข้องใจว่ามันเป็นเรื่องปกติไหม เพราะหนูก็รู้สึกว่าจำนวนเงินมันก็เยอะ และหนูโดนปรับแล้ว แต่หนูไม่มีสิทธิ์ที่จะเช็ค จะอะไรเขาอยู่ดี ซึ่งหนูก็ไม่รู้ว่าเขาเลิกคุยกับผู้หญิงคนอื่นหรือยัง เขาบอกว่าเขาเลิกคุยแล้ว แต่บางทีหนูก็ยังเห็นมีเด้งมาอยู่ หรือว่าแฟนเก่าเขายังโทรมาหาอยู่ หนูก็สงสัยว่าเราจะต้องจ่ายขนาดนี้เลยหรอ? เพราะว่าในชีวิตประจำวันค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่หนูก็เป็นคนจ่าย หารกันบ้าง เช่น ค่าอาหาร กินข้าว ไปคาเฟ่ ไปเที่ยว แล้วรายได้เราก็ไล่เลี่ยกัน แต่เขามองว่าเรามีรายได้เสริม และถ้าหนูไม่มีเงินก้อนจ่าย เขาก็ให้ผ่อนชำระได้เป็นรายเดือน  ก่อนหน้านี้ตอนที่เราก็ยังคุยกันอยู่ ไม่มีสถานะที่ชัดเจน หนูก็ไปคุยกับอีกคนหนึ่ง แล้วก็โดนปรับแบบนี้เหมือนกัน ตลอดเวลาที่คบกันมาเขาก็ดูแลหนูดีจริงๆ อบอุ่น ใส่ใจหนูตลอด มีแค่เรื่องนี้ที่หนูรู้สึกว่ามันแปลก หนูเลยอยากปรึกษาพี่ๆ ดีเจว่า แบบนี้ปกติไหม แล้วหนูควรไปต่อหรือควรพอแค่นี้ดีคะ?

            เริ่มที่ “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘สำหรับพี่ มันแปลกไปหมดเลย เงื่อนไขของการคบกัน การปรับเงิน ปรับมาก ปรับน้อยแล้วแต่คดี และแว็บแรกที่เขามาในหัวพี่คือ สมกันเนอะคู่นี้ คุณหนูก็แสบ ไอแฟนก็ไถเงิน คนหนึ่งก็คุยกับแฟนเก่าว่าจะกลับไป ในขณะที่ผู้ชายก็ปรับเงินได้ แต่ตัวเองก็ทำด้วย และพอฟังแล้ว ความผิดก็มีทั้งคู่ แต่แฟนคุณหนูคนนี้ รู้สึกแปลกและไม่น่าคบหามากขึ้นไปอีก คือไม่ใช่เขาเป็นคนดีหรือพยายามทำตัวให้ดี เขาเหมือนหวังเอาเงินจากคุณหนู จากความสัมพันธ์ครั้งนี้ เพราะตัวเขาเองก็ไปคุยกับผู้หญิงคนนั้นคนนี้ ไม่ให้คุณหนูทำอะไรด้วย

            เพราะฉะนั้นคำถามแรก ปกติไหม มันก็มีคู่ที่เขาปรับเงินกัน แต่เขาไม่ได้ปรับกันจริงจังหวังเงินแบบนี้ อันนี้คือเอาไป 50,000 ไม่มีเงินก้อนก็ผ่อนชำระได้ มันดูเป็น Business เกินไป ซึ่งมันแปลก แล้วถามว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ ก็พิจารณาเอาเอง เพราะต้องยอมรับว่าฝั่งคุณหนูก็ไม่ได้ทำตัวดี แล้ววันหนึ่งคุณหนูลองไม่จ่ายค่าปรับดูว่ามันจะเป็นยังไงต่อ’

            ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘มันแปลกไปหมดเลยคุณหนู มันตุๆ ไปหมดทุกอย่างที่คุณหนูเล่ามาเลย ยังไม่ได้เป็นแฟนกันก็ปรับเงินแล้ว ผู้ชายคนไหนหรือคู่ชีวิตคนไหน ที่รู้ว่าแฟนของเราไปคุยกับแฟนเก่าว่าอยากจะกลับไป แล้วเขาปรับเงิน คนปกติคือเขาเลิก แสดงว่าผู้ชายคนนี้อะไรก็สามารถแลกด้วยเงินได้ และเขาอาจจะอยู่กับหนูเพราะเขาไม่ได้รักหนู เขาโอเคเพราะหนูเอาเงินฟาดให้เขาอยู่ มีผู้ชายคนไหนที่ปรับเงินเราได้ แต่พอตัวเองทำผิดก็ไม่ยอมให้เราปรับ เพราะฉะนั้นทุกวันนี้เขาก็อยู่เพื่อเงินของหนู’

            สุดท้าย “ดีเจต้นหอม” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘เหตุผลที่คนไม่ไปจากเรามีเยอะแยะมากมาย ที่อยู่ก็ไม่ใช่เพราะรัก อาจเป็นความเคยชิน หรือความสุขสบาย เป็นไปได้หมด แต่ว่าอยู่แล้วเรามีความสุขไหม ก็ต้องถามตัวเอง เพราะว่าเขาก็มีความเห็นแก่ตัวที่ค่อนข้างสูงเลย บางเรื่องเขาทำได้ เราทำไม่ได้ เหมือนมันไม่เท่ากัน คือถ้าจะตั้งกฎอะไรสักอย่าง มันควรเป็นเอกภาพ คือทุกคนใช้กฎนี้ร่วมกัน ไม่ใช่ว่ากฎนี้ถูกบังคับใช้กับฉันอย่างเดียว แต่ตอนนี้ก็เหมือนมันได้ถูกใช้กับเราแค่คนเดียว ก็รู้สึกว่าเห็นแก่ตัว

            ถ้าอยากได้ผู้ชายดี ต้องถามตัวเองว่า แล้วเราสมควรได้รับสิ่งนั้นไหม สำหรับวันนี้หนูก็ยังไม่พร้อม ถ้าการคบกับแฟนแล้วหนูยังคุยกับผู้ชายคนอื่นอยู่ และถ้าอยากได้ผู้ชายดีๆ จริงๆ ลองพัฒนาตัวเองก่อน ให้ดีพอที่จะได้รับผู้ชายดีๆ มาอยู่ในชีวิต แล้วแฟนคนนี้จะเอาเงินอีกก็คือเลิก เพราะผู้ชายคนนี้อยู่กับหนูก็เพราะเงิน’

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

ลึกๆหนูรู้สึกอายมาตลอด ที่ตัวเองเป็น “ลูกชาวนา” โตมากับบ้านริมทุ่งนา ล่าสุด พาแฟนคนปัจจุบัน ไปกินข้าวที่บ้าน พ่อแม่เราก็ชาวบ้านๆ ไม่ค่อยพูดจาอะไรกับแฟนเลย พอแฟนกลับจากบ้านหนู หนูก็โทรไปบอกแฟนว่า “เราไม่น่าพาเธอมาลำบากเลย พ่อแม่เราเป็นแบบนี้อยู่แล้วนะ

25 ส.ค. 2025

ลึกๆหนูรู้สึกอายมาตลอด ที่ตัวเองเป็น “ลูกชาวนา” โตมากับบ้านริมทุ่งนา ล่าสุด พาแฟนคนปัจจุบัน ไปกินข้าวที่บ้าน พ่อแม่เราก็ชาวบ้านๆ ไม่ค่อยพูดจาอะไรกับแฟนเลย พอแฟนกลับจากบ้านหนู หนูก็โทรไปบอกแฟนว่า “เราไม่น่าพาเธอมาลำบากเลย พ่อแม่เราเป็นแบบนี้อยู่แล้วนะ

ลึกๆหนูรู้สึกอายมาตลอด ที่ตัวเองเป็น “ลูกชาวนา” โตมากับบ้านริมทุ่งนา ล่าสุด พาแฟนคนปัจจุบันไปกินข้าวที่บ้าน พ่อแม่เราก็ชาวบ้านๆ ไม่ค่อยพูดจาอะไรกับแฟนเลย พอแฟนกลับจากบ้านหนูหนูก็โทรไปบอกแฟนว่า “เราไม่น่าพาเธอมาลำบากเลย พ่อแม่เราเป็นแบบนี้อยู่แล้วนะ เขาไม่ค่อยพูดจาอะไรอย่าคิดมาก” แฟนหนูก็บอกไม่เป็นปัญหาอะไรเลย เขาก็ยังรักเราเหมือนเดิม คุยถึงอนาคตงานแต่งงานกับหนูบ่อยขึ้นด้วยซ้ำ ตอนนี้แฟนหนูโอเคทุกอย่าง ไม่ได้ติดอะไรมีแค่ตัวหนูเองที่ยังอายกับความเป็นอยู่ของตัวเอง กลัวว่าจะเป็นปัญหาของชีวิตคู่ในอนาคต... “คุณฟาง (นามสมมติ)” อายุ 29 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [20 ส.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม” เกี่ยวกับปัญหาไม่มั่นใจในฐานะทางบ้าน จนทำให้ไม่กล้าเปิดใจมีความรักเลย โดย “คุณฟาง (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูเป็นเด็กต่างจังหวัดที่โตมากับพ่อแม่ที่ รับจ้างทำนา เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว หนูได้คุยกับผู้ชายคนนึงซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนสมัยมัธยมแล้วก็ตกลงคบกันไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ระหว่างที่คบกันเขาก็พาหนูไปเจอที่บ้านบ่อย ๆ ที่บ้านเขาก็น่ารัก แฮปปี้ เอ็นดูหนู แล้วเขาก็ชอบเล่าให้ฟังว่าคุณแม่พูดถึงหนูยังไงบ้าง จนแม่ของแฟนก็พูดว่าให้แฟนหนูไปเจอพ่อแม่หนูบ้าง หนูก็เริ่มกดดันเพราะรู้สึกว่าหนูยังไม่พร้อมที่จะให้เขามาเจอ ก่อนหน้านี้หนูไม่เคยบอกแฟนเลยว่าที่บ้านทำอะไร แล้วแฟนก็ไม่เคยถามด้วย หนูกับแฟนไม่ได้อยู่ด้วยกันเพราะแฟนอยู่กรุงเทพ ส่วนหนูอยู่ต่างจังหวัด เราจะเจอกันแค่เสาร์-อาทิตย์เท่านั้น จนกระทั่งวันแม่ด้วยความที่แม่แฟนเอ็นดูหนูมาก แฟนก็เลยอยากจะเจอแม่ของหนูบ้าง จึงตัดสินใจไปหาแม่หนูเพราะตรงกับวันหยุด ถึงหนูกับแฟนจะโตมาในจังหวัดเดียวกันแต่บ้านแฟนจะอยู่ในเมือง ส่วนบ้านหนูจะอยู่ชานเมือง ระหว่างทางแฟนก็มีการเตรียมตัว อยากคุยนู่นคุยนี่กับแม่ แต่หนูก็กดดันจนหน้าถอดสี เพราะหนูรู้สึกไม่ดี ก็เลยบอกแฟนว่าไม่ต้องเตรียมอะไรมากหรอก พ่อแม่เป็นคนธรรมดา ไม่ค่อยพูด เผลอ ๆ ไม่พูดกับเราเลยด้วยซ้ำ พอไปถึงบ้านหนูปุ๊บ แฟนก็เหมือนจะช็อคไปนิดนึงแอบหน้าถอดสีนิด ๆ หนูก็เลยแนะนำตัวแฟนให้พ่อแม่รู้จัก ส่วนพ่อแม่หนูก็ได้แต่ยิ้ม มีทักทาย รับไหว้กันนิดหน่อยแต่ส่วนใหญ่ก็นั่งยิ้มมองกันเฉย ๆ เป็นชั่วโมงที่พ่อแม่หนูไม่พูดอะไรเลย แฟนหนูก็ทำตัวไม่ถูก ไม่พูดอะไรเลยเหมือนกันทั้ง ๆ ที่เป็นคนพูดเก่งมาก ณ เวลานั้นหนูก็เครียด ไม่รู้แฟนจะโอเคมั๊ย ไม่รู้แฟนคาดหวังเอาไว้ยังไง วันนั้นจะกินปิ้งย่างด้วยกันแต่ก็ไม่ได้กิน เพราะบรรยากาศดูไม่ได้เอนจอย เลยบอกแฟนว่ากลับบ้านก่อนก็ได้เดี๋ยวหนูตามไป ซึ่งก่อนหน้าที่จะมาบ้าน หนูบอกพี่ชายไว้ว่าจะพาแฟนมาแต่ไม่รู้เขาได้สื่อสารกับพ่อแม่หรือเปล่าเพราะหนูก็ไม่ได้คุยกับพ่อแม่เลย ปกติหนูไม่ค่อยสนิทกับพ่อแม่อยู่แล้ว คุยได้ เล่นได้ แต่ไม่ค่อยสนิท พอแฟนมาบ้านหนูที่เป็นคนกลางก็ไม่ได้ชวนคุยเพราะหนูก็ยังกดดันที่มันเป็นครั้งแรก ไม่รู้จะทำยังไง ลึก ๆ หนูก็อายที่พ่อแม่เป็นชาวนา หนูติดเรื่องนี้มาโดยตลอดตั้งแต่เด็ก รู้สึกว่าบ้านหนูที่เป็นบ้านไม้ ใต้ถุนเป็นดิน มันไม่ได้น่าอยู่เหมือนคนอื่น แล้วก็พ่อแม่ก็ไม่ได้แต่งตัวสวยหรูด้วย พอแฟนขับรถออกไปหนูก็ส่งข้อความไปว่าขอโทษที่พามาลำบากนะ แต่แฟนกลับบอกว่าชิลมาก ไม่ต้องคิดมากเลยใช้ชีวิตให้สนุกกับที่บ้านเพราะยังไงเราก็ต้องเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว แฟนหนูปกติมากเลย มีแต่หนูที่คิดมากเหมือนเป็นปมมานาน ก่อนมาเจอคนนี้หนูก็ตั้งปณิธานว่าหนูไม่อยากมีแฟนจนกว่าจะทำบ้านใหม่ให้พ่อแม่อยู่ ทำให้พ่อแม่หนูสบายได้ หวังว่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ หนูเลยอยากได้คำปรึกษาจากพี่ ๆ ว่า ทำยังไงให้หนูคิดให้ดีขึ้น? ไม่อยากเป็นคนที่คิดแบบนี้’ เริ่มต้นที่ “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘รู้ว่าอายในสิ่งที่มีเลยพยายามที่จะพัฒนาภาพลักษณ์ตัวเองให้ดีก่อนที่จะให้คนอื่นได้เห็น แต่พี่มองว่าฟางกังวลเรื่องภาพลักษณ์ตัวเองที่จะต้องสมบูรณ์แบบมากเกินไป ทั้ง ๆ ที่บางครั้งคนที่เข้ามาในชีวิตเราเขาอาจจะชอบที่ตัวเรามากกว่า แต่ก็เข้าใจว่าในสมัยเด็กคนเราเริ่มมีสังคม เริ่มมีความรัก เราก็จะเริ่มอายไม่กล้าพาใครมาบ้านเพราะมันเล็กนิดเดียวไม่ใหญ่เหมือนคนอื่น หลัก ๆ มันเกิดจากการที่เราเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น อีกอย่างคือเราตัดสินชีวิตเราเองว่ามันไม่ดีพอและมองมันเป็นข้อด้อยเพราะคิดว่าเขาคงอยากได้คนที่ฐานะเท่าเทียมกัน ซึ่งในชีวิตจริงก็มี แต่ถ้าใครที่คิดแบบนี้กับเราแปลว่าเขาไม่เหมาะที่จะมาเป็นคู่ชีวิตกับเรา คนที่เหมาะกับเราควรเป็นคนที่โฟกัสเรามากกว่า แล้วสิ่งที่แฟนฟางแสดงออกมาเขาก็ดีมาก ๆ กลับมาแล้วมีความสัมพันธ์ดีขึ้นด้วย คงมีแต่ฟางที่ไม่สามารถทำลายปมในใจของตัวเองได้สักที วันใดที่โตขึ้นมากพอฟางจะไม่เอาเรื่องนี้มาลดทอนตัวเองลง แค่กล้าที่จะพูดความจริงกับเขา ถ้าเขาโอเคคือจบ และวันนี้ฟางก็โชคดีที่เจอคนที่เข้าใจฟางได้แล้ว ในเมื่อคนที่เรารัก เราแคร์ ยังไม่สนใจอะไรเลยแล้วเราจะคิดมากไปทำไม เขาอาจจะอยากดูแลเรามากขึ้นด้วยซ้ำ แล้วเราจะเสียเวลานั่งคิดเรื่องปมนี้ไปทำไม เพราะฉะนั้นอย่าดูถูกตัวเองด้วยปัจจัยที่ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา จงภูมิใจที่ได้เจอแฟนคนนี้ ขอบคุณแฟนเยอะ ๆ พูดให้เขาชื่นใจ’ ต่อไป “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ชีวิตคนเราจะเจริญหรือดีขึ้นได้มันไม่จำเป็นต้องโค่นรากเหง้าเราทิ้ง ในยุคนี้ใครที่ยังตัดสินคนจากชาติกำเนิดถือว่าเป็นความคิดที่ตื้นเขินมาก เราไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกเกิดแต่เรามีสิทธิ์ที่จะพาตัวเองขึ้นไปเจอสิ่งที่ดีได้โดยที่เราไม่จำเป็นต้องปกปิด เพราะถ้าไม่มีมันในวันนั้นก็จะไม่มีเราในวันนี้ อย่างน้อยมันก็เป็นสารตั้งต้นให้เรา พอโตขึ้นจะรู้ว่ามันไม่ได้วัดจากสิ่งที่มีเลย มันวัดที่ปัจจุบันเรากำลังทำอะไรกันอยู่ ความจริงเราสามารถดูว่าบ้านมีปัญหาตรงไหนแล้วเข้าช่วยได้เลย โดยที่ไม่ต้องปกปิดหรือลืมไปเพราะมันคือความจริง สุดท้ายเราก็เกิดเป็นลูกชาวนาอยู่ดี แต่สิ่งนี้จะไม่มีวันล่มสลายหรือบั่นทอนคุณค่าของฟางได้เลยถ้าฟางไม่บั่นทอนคุณค่าตัวเอง’ สุดท้าย “ดีเจต้นหอม” ได้ให้คำปรึกษาเพิ่มเติมว่า ‘สมัยนี้เทรนด์การมองแค่เปลือกมันน้อยลงไปแล้ว แม้กระทั่งอินฟลูเอนเซอร์ที่เป็นสาวบ้านนาอะไรก็ตามเขาก็จะทำคอนเทนต์กับทุ่งหญ้า หรือกับสิ่งที่เขากำเนิดเกิดมา แล้วเขามีความภูมิใจด้วย เทรนด์ตอนนี้มันเปลี่ยนแล้ว ไม่มีใครสนใจเราแล้ว ที่สำคัญยังมีปัญหาอื่น ๆ ในชีวิตที่ใหญ่กว่านี้เยอะเลย อย่าเสียเวลาคิดเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้ามีใครสักคนมาว่าเรา คนนั้นไม่ได้ชีวิตดีไปกว่าเราหรอก เวลาเราลำบากคนเหล่านี้ไม่เคยหยิบยื่นหรือช่วยเราเลยเพราะฉะนั้นจงมั่นใจในตัวเอง’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

แม่บ้านที่ออฟฟิศ ทำหน้าที่แค่ “ทิ้งขยะ” อย่างอื่นไม่ยุ่ง พื้นบริษัทสกปรก ไมโครเวฟเปื้อน โต๊ะฝุ่นเกาะ จนแผนกเราต้องจัดเวรกันเอง พนักงาน 5 คนสลับกันทำคนละวัน แจ้ง HR แล้วก็ไม่เป็นผล ตอนนี้หัวหน้าลาออกไปแล้ว พวกหนูจะทำยังไงดีคะ?

31 ม.ค. 2025

แม่บ้านที่ออฟฟิศ ทำหน้าที่แค่ “ทิ้งขยะ” อย่างอื่นไม่ยุ่ง พื้นบริษัทสกปรก ไมโครเวฟเปื้อน โต๊ะฝุ่นเกาะ จนแผนกเราต้องจัดเวรกันเอง พนักงาน 5 คนสลับกันทำคนละวัน แจ้ง HR แล้วก็ไม่เป็นผล ตอนนี้หัวหน้าลาออกไปแล้ว พวกหนูจะทำยังไงดีคะ?

“คุณมด (นามสมมติ)” อายุ 25 ปี สายที่ 3 ในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [29 ม.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาแม่บ้านที่ทำงาน โดย “คุณมด (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘แม่บ้านที่ทำงานไม่ยอมทำความสะอาด จนปัจจุบันพวกหนูต้องกลายมาเป็นแม่บ้านเอง ต้องเกริ่นก่อนว่าตอนแรกจริง ๆ หนูจะทำงานอยู่ที่ตึกใหญ่ แต่มีเหตุจำเป็นที่ต้องย้ายอยู่อีกตึกนึง ซึ่งตึกนั้นจะมีอยู่แค่ 2 ชั้น ประเด็นอยู่ที่ว่าตั้งแต่ที่ย้ายเข้าไปวันแรก คือห้องมันเป็นห้องที่รีโนเวทใหม่ แล้วชั้นนั้นจะมีคนอยู่แค่ 1 ห้อง ซึ่งหนูก็ย้ายเข้าไปในห้องที่รีโนเวทใหม่ มันก็จะมีฝุ่นเยอะ แต่ก่อนหน้านี้ก็มีพี่ที่ไม่ใช่แม่บ้าน เขาจะเข้าไปทำความสะอาดให้แล้ว เรารู้สึกว่าตั้งแต่วันแรกที่แจ้งว่าจะย้าย ก็ไม่เห็นมีความคืบหน้าว่าจะมีการทำความสะอาดเกิดขึ้น พอย้ายเข้าไปวันแรกสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราต้องทำความสะอาดกันเอง คือมันทนไม่ไหว เลยต้องกวาดพื้นกันก่อน วันนั้นก็คือไม่ได้คิดอะไร เราก็คิดว่าทำไปก่อนแล้วกัน ต่อมาหัวหน้าก็มีการไปแจ้งที่เจ้าหน้าที่บุคคลว่าต้องมีการทำความสะอาดนะ ผ่านไป 1 สัปดาห์ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกหนูก็ต้องทำความสะอาดแล้วก็กวาดกันเองปกติ กิจวัตรประจำวันของแม่บ้านตึกนี้ก็คือเข้ามาแค่เก็บขยะ แต่จริง ๆ มันควรต้องมีแม่บ้านทำความสะอาด อย่างตึกเก่าแม่บ้านก็ดูแลอยู่ ตึกใหญ่ก็มีแม่บ้าน ส่วนตึกเล็กเขาก็จะแบ่งกันทำจากแม่บ้านตึกใหญ่ แต่ตึกเล็กก็มีแค่ 2 ชั้นประมาณ 5 ห้อง แต่แม่บ้านก็ไม่เคยทำความสะอาดเลย จนอาทิตย์นั้นพวกหนูทำความสะอาดกันเอง พอเข้าอาทิตย์ที่ 2 หนูก็สังเกตเห็น วันนั้นหนูเข้าทำงานเช้ามาก ประมาณช่วง 6 โมงเช้า หนูเห็นเขากวาดหนูก็ตกใจ เพราะมีแม่บ้านเข้ามากวาดทำความสะอาด ก็คิดว่าเขาก็น่าจะถูด้วยแหละ แต่พอหนูเปิดประตูเข้าไปปุ๊ป เขาก็เดินออกไปเลย แล้วก็บอกว่า มากวาดห้อง แค่นี้เลยแล้วก็ไม่มีการเข้ามาถูหรือมีการเช็ดโต๊ะอะไรเลย กวาดอย่างเดียว ตอนนี้ผ่านมาจะ 2 เดือนหนูเห็นเขาเข้ามากวาดให้หนูแค่ครั้งเดียวก็คือ 2 สัปดาห์ก่อนนั้น จนถึง ณ ปัจจุบันนี้ พวกหนูต้องใช้วิธีการจัดเวรประจำวันกันเอง เหมือนโรงเรียนประถม โดนที่หัวหน้าไม่ต้องทำเพราะตอนนั้นพวกหนูมีกันอยู่ 6 คน ลูกน้องก็ 5 คน ทำกันคนละวัน จริง ๆ หัวหน้าเขาก็มีการส่งแบบฟอร์มทุกเดือนอยู่แล้ว ตอนที่หนูย้ายเข้าไปเมื่อเดือนธันวาคมก็คือทางเจ้าหน้าที่บุคคล เขาก็มีการส่งมาให้หัวหน้างานประเมินแล้ว ว่าแม่บ้านทำความสะอาดไหม? ต้องการเปลี่ยนอะไรไหม? หัวหน้าก็แจ้งไปแล้ว แต่ก็ไม่มีการดำเนินงานอะไรต่อ ก็เลยไม่รู้ว่าเราจะต้องทำยังไงต่อ ซึ่งพอเดือนถัดมาหัวหน้าหนูก็ออก ตอนนี้อยู่กันแค่ 5 คน แต่ก็ยังแบ่งเวรกันทำอยู่ทุกวัน หนูก็มองว่าจริง ๆ มันก็เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่บุคคล จน 2 วันที่ผ่านมาหนูทนไหวก็เลยพยายามโกหกแจ้งไปว่า ทำของกินตก ขอที่ตักของ ไม้กวาด เขาก็บอกหนูว่าอยู่ตรงนั้น หยิบได้เลย เขาไม่เคยบอกเลยว่าเดี๋ยวป้าขึ้นไปเก็บให้นะ ไม่มีเลย ต่างจากแม่บ้านคนเดิมที่อยู่ตึกเก่ามาก หนูพยายามทำทุกอย่างให้เขารู้แต่ เขาก็ไม่ทำให้หนูเลย หนูเลยอยากจะปรึกษาพี่ ๆ ดีเจว่า มีวิธีพูดกับแม่บ้านที่ออฟฟิศยังไงดี?’ เริ่มที่ “ดีเจต้นหอม” ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่ว่ารวมกันให้คำแนะนำได้เลยเพราะว่าการพูดก็คือสื่อสารแบบตรงไปตรงมาเลยว่า ตอนนี้มันสกปรกแล้วเขาไม่มาช่วยทำความสะอาด อีกอย่าง HR ต้องเป็นฝ่านชนให้เราอยู่แล้ว คนแก้ปัญหานี้ให้เราคือ HR’ ต่อมา “ดีเจเผือก” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่รู้สึกว่าจำนวนแม่บ้านพอหรือเปล่า หรืองานที่เขาได้รับมอบหมายเนี่ย เขาให้ดูตึกนี้หรือเปล่ามันต้องมีอะไรผิดพลาดสักอย่าง การที่เขาไม่ดูหรือเขาไม่ทำหรือเขาไม่ไหว เพราะฉะนั้น HR ควรมาจัดการ ถ่ายรูปแล้วก็ไปคุยกับ HR เลย จริงไม่ต้องถามว่าต้องคุยว่าอะไร เพราะเขาเป็น HR เขาต้องทำเรื่องพวกนี้เองอยู่แล้วไม่ต้องรอให้เราเขาไปอ้อนวอนด้วยประโยคอะไรด้วยซ้ำ เขาจ้างมาเป็น HR เพื่อให้มาทำตรงนี้แหละ นัดคุยกับ HR นะเอารูปไปให้เขาดู’สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ปล่อยหนูให้มันกัดสายไฟให้หมด แล้วก็บอกแม่บ้านไม่ทำเอง คอมพังหมดแล้ว มันกัดหมดแล้วเราไม่ต้องยุ่ง พี่ว่า HR มันแก้ไขได้นะ’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

หนูเคยโทรมาในรายการ เคสที่เคยเจอพ่อเอาปืนจ่อหัว เพราะหนูเป็น LGBTQ จนหนูหนีออกจากบ้านมากับแฟน อยู่ด้วยกันตั้งแต่ไม่มีอะไร จนมีเงิน มีธุรกิจ สร้างตัวได้แล้ว แฟนที่คบกันมา 10 ปีรักกันดีไม่เคยมีปัญหาอะไรมาก่อน แต่ล่าสุดนี้

24 มิ.ย. 2025

หนูเคยโทรมาในรายการ เคสที่เคยเจอพ่อเอาปืนจ่อหัว เพราะหนูเป็น LGBTQ จนหนูหนีออกจากบ้านมากับแฟน อยู่ด้วยกันตั้งแต่ไม่มีอะไร จนมีเงิน มีธุรกิจ สร้างตัวได้แล้ว แฟนที่คบกันมา 10 ปีรักกันดีไม่เคยมีปัญหาอะไรมาก่อน แต่ล่าสุดนี้

หนูเคยโทรมาในรายการ เคสที่เคยเจอพ่อเอาปืนจ่อหัว เพราะหนูเป็น LGBTQ จนหนูหนีออกจากบ้านมากับแฟนอยู่ด้วยกันตั้งแต่ไม่มีอะไร จนมีเงิน มีธุรกิจ สร้างตัวได้แล้ว แฟนที่คบกันมา 10 ปีรักกันดีไม่เคยมีปัญหาอะไรมาก่อนแต่ล่าสุดนี้ เขาเพิ่งย้ายออกจากบ้านหนูไปได้ 2 เดือน พร้อมกับเหตุผลว่า เขารู้ตัวแล้วว่าเขาชอบผู้ชายมากกว่าตอนนี้เขาไม่มีวี่แววกลับมาเลย ย้ายไปอยู่กับผู้ชายคนนั้น 10 ปีที่ผ่านมา มันเหมือนโลกพังทลายลงไปเลยหนูจะทำยังไงต่อไปดีคะ อยากขอกำลังใจจากทุกคน “คุณเค (นามสมมติ)” อายุ 28 ปี เป็นสายที่ 4 ในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (18 มิถุนายน 2568) ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม” เกี่ยวกับปัญหาเรื่องความรักที่คบกับแฟนมา 10 ปี เคยสร้างเนื้อสร้างตัว ฝ่าฟันอุปสรรค์มาด้วยกัน แต่เขาดันบอกเลิกเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าชอบผู้ชาย โดย “คุณเค (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘เคยโทรมาในรายการแล้วครั้งหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องที่โดนพ่อไล่ออกจากบ้านเพราะเป็น LGBTQ แล้วหนีออกจากบ้านไปสร้างตัวกับแฟน แต่ปัญหาที่หนูโทรมาวันนี้ คือ หนูเพิ่งเลิกกับแฟนได้ 2 เดือน เขาบอกว่าเขาเพิ่งมารู้ตัวว่าเขาชอบผู้ชาย ซึ่งหนูอยู่กับเขามา 10 ปี เขาเป็นรักแรกของหนูและเป็นโลกทั้งใบของหนูเลย เมื่อก่อนใครๆก็บอกว่าหนูน่าอิจฉา แฟนก็รัก การงานก็ดี แต่ตอนนี้เหมือนโลกทั้งใบนั้นมันพังไปแล้ว หนูยังทำใจไม่ได้เลย หนูอยากให้พวกพี่ๆดีเจช่วยฮีลใจหนูหน่อย หนูควรทำยังไงดี?’ ซึ่ง “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ไม่มีอะไรจะช่วยได้นอกจากเวลา เวลาจะค่อย ๆ เยียวยารักษาแผลนี้ให้ดีขึ้น แค่ต้องพยายามข่มตานอน ฝืนกิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีโอกาสเจอใครที่จะเป็นคู่ชีวิตของเราจริง ๆ มันยังมีโอกาสอีกมากมาย จงให้โอกาสนั้นกับตัวเอง อย่าปิดโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่ และให้ชีวิตได้เรียนรู้จากความเจ็บปวดครั้งนี้ บางทีคู่ชีวิตอาจไม่ใช่คนที่คบกันมาเป็น 10 ปีก็ได้ สุดท้ายมันอาจจะเป็นคนใหม่ที่ก้าวเข้ามาก็ได้’ ต่อมา “ดีเจต้นหอม” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ไม่มีอะไรที่เป็นของเราถาวร ฉะนั้นอย่าให้ใครมาเป็นโลกทั้งใบของเราอีก ตราบใดที่โลกยังหมุนไปข้างหน้า นี่ไม่ใช่เรื่องเดียวที่จะทำให้เราเจ็บปวดในชีวิต ไม่ต้องเสียงดายหรืออาลัยอาวรณ์กับคนที่เราเอื้อมมือคว้าแล้วไม่เจออีกแล้ว ถ้าเขาอยู่ตรงหน้าเราไม่ได้ เราเองก็ต้อง move on ขึ้นอยู่กับเราว่าจะพร้อม move on เมื่อไหร่’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ให้เวลากับมันจนกว่าวันหนึ่งเคจะเลิกคิดว่าเขาคือโลกทั้งใบของเรา แล้วหันมาเติมโลกของเราให้มันเต็มให้ได้ มันเจ็บแต่สักวันมันจะหาย สุดท้ายเราก็ไม่ได้อยู่กับใครไปจนตาย ชีวิตมันก็แค่นี้ ลุกขึ้นมาแต่งตัวสวยและรอรักครั้งใหม่ที่จะเข้ามา’ และสุดท้ายดีเจทั้ง 3 คน (ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม) ได้ให้ความเห็นตรงกันว่า ‘ให้เวลาช่วยเยียวยาทุกอย่าง และให้โอกาสตัวเองได้เจอกับรักครั้งใหม่ที่จะเข้ามา’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

ผิดหรอครับที่ผม Move on จากความเศร้าได้ไว... คุณพ่อเพิ่งเสียชีวิต ผมร้องไห้หนักชั่วโมงเดียว แล้วบอกตัวเองเดินหน้าต่อ แต่ญาติไปบอกแม่ว่า "ถ้าร้องแค่นี้แสดงว่าไม่รักพ่อเลย หวังแค่สมบัติพ่อรึเปล่า?"

01 เม.ย. 2024

ผิดหรอครับที่ผม Move on จากความเศร้าได้ไว... คุณพ่อเพิ่งเสียชีวิต ผมร้องไห้หนักชั่วโมงเดียว แล้วบอกตัวเองเดินหน้าต่อ แต่ญาติไปบอกแม่ว่า "ถ้าร้องแค่นี้แสดงว่าไม่รักพ่อเลย หวังแค่สมบัติพ่อรึเปล่า?"

ผิดหรอครับที่ผม Move on จากความเศร้าได้ไว... คุณพ่อเพิ่งเสียชีวิต ผมร้องไห้หนักชั่วโมงเดียวแล้วบอกตัวเองเดินหน้าต่อ แต่ญาติไปบอกแม่ว่า "ถ้าร้องแค่นี้แสดงว่าไม่รักพ่อเลย หวังแค่สมบัติพ่อรึเปล่า?"คุณแม่ก็ฟังคำพวกเขา ตอนนี้ทุกคนในบ้านยังเสียใจร้องไห้ไม่หยุด ผมจะทำยังไงดี “คุณมิน(นามสมมติ)” อายุ 29 ปี สายที่ 4 ในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [27 มี.ค. 67] ได้โทรมาปรึกษา ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล และ ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับมูฟออนจากการเสียคุณพ่อเร็วเกินไป จนที่บ้านคิดว่าไม่เสียใจเลยหรอ... โดย “คุณมิน(นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ผมมูฟออนไวจากการเสียคุณพ่อ ผมผิดหรือเปล่า? คือคุณพ่อของผมเสียชีวิตเมื่อปีที่แล้ว และผมสนิทกับพ่อมาก พ่อผมเสียชีวิตที่กรุงเทพแต่ผมนั่งรถขนศพคุณพ่อ มาทำพิธีที่บ้านเกิดของพ่อ ที่บ้านก็เตรียมไว้เรียบร้อยและจัดการทุกอย่าง หลังจากเอาศพของพ่อไปไว้ที่วัด ผมก็กลับมาที่บ้าน พอมาที่บ้านก็เห็นบรรยากาศและนึกถึงพ่อว่า... ต่อไปนี้บ้านที่พ่อสร้างจะไม่มีพ่อตลอดไปแล้วนะ ผมก็ร้องไห้ชั่วโมงเดียว แล้วก็จบนั่นคือการร้องไห้ครั้งเดียวตอนที่ผมสูญเสียคุณพ่อ ผมก็ไปช่วยงานศพปกติ แต่อยู่ๆก็มีญาติของแม่บอกว่าไม่คิดจะร้องไห้ให้พ่อหน่อยหรอ? ผมก็บอกว่าผมร้องไปแล้ว ผมทำใจได้แล้ว จะร้องทำไมเยอะแยะ เขาก็พูดกับมาว่า ถ้าร้องแค่นี้แสดงว่าไม่รักพ่อจริงนะ ส่วนแม่ผมก็ร้องไห้เหมือนขาดสติก็มีญาติคนนี้แหละที่คอยปลอบเขา คอยให้กำลังใจ ผมเป็นคนที่ปลอบคนไม่เก่ง เพราะผมเป็นคนที่สนิทกับพ่อและมูฟออนไวไม่ยึดติดอะไรมาก น้าเค้าก็บอกว่าเนี้ยไม่รักพ่อจริงนี่น่า ถ้ารักจริงก็ต้องร้องไห้มากกว่านี้สิ อย่างนี้ก็ดูออกว่าไม่รัก หวังสมบัติ เขาก็ไปบอกแม่ผม ซึ่งแม่ก็สนิทกับเขาอยู่แล้ว แม่ผมก็เชื่อเขา แม่ผมก็มาต่อว่าผมด้วยทำนองเดียวกันว่าทำไมถึงไม่ร้องไห้เลย ระหว่างช่วงงานศพเวลากลางวันผมก็มีการเข้ายิมปั้นหุ่น เพราะนอกจากงานประจำผมรับงานนายแบบด้วย ผมมีถ่ายงานช่วงก่อนสงกรานต์ที่ต้องใช้รูปร่างเลยไปเข้าฟิตเนส เขาเลยบอกว่า เนี่ยช่วงงานศพพ่ออยู่ยังมีอารมณ์ไปเล่นฟิตเนส เข้ายิมอีกหรอ? พอหลังจากจบงานศพจากพระสวดเสร็จ ผมก็กลับมาที่บ้าน และผมเป็นคนที่ชอบเต้นตามเทรน ผมก็เต้นอยู่ในห้องของผมในจังหวะเดียวกัน แม่เปิดประตูมาเจอและบอกว่าทำไมอารมณ์ดีในช่วงงานศพพ่อ แต่ผมก็เต้นในห้องของผมไม่ได้ไปเต้นในวัดผมก็รู้กาลเทศะ แค่บรรยากาศในบ้านก็อึมครึมพอแล้ว เพราะว่าทุกคนก็มานอนกันอยู่ที่บ้านและมีแต่เสียงร้องไห้ แล้วผมเป็นคนเดียวที่มูฟออนอยู่คนเดียวในบ้าน ผมก็ฟังเพลง เต้นของผมอยู่คนเดียวในบ้าน ผมก็โดนด่า แต่ไม่ได้หมายความว่าผมไม่รักพ่อนะ ถ้าพ่อยังอยู่พ่อก็คงโอเคกับการที่ผมทำอย่างนี้ด้วยซ้ำ แต่ในมุมมองของคนอื่นเขาอาจจะไม่โอเค แล้วแม่ก็จะเชื่อคำพูดของญาติ ๆ มาก ตอนนี้ก็เหลือผมที่ Work form home อยู่ที่บ้านกับแม่แค่ 2 คน แม่ก็เอาแต่โทษผมว่าผมไม่รักพ่อ ผมก็พูดกับแม่แบบจริงใจสุด ๆ แล้วว่าที่ผมไม่เศร้าไม่ใช่ว่าผมไม่รักนะ ผมอยากกลับ กทม. มากเลยแต่ผมก็เป็นห่วงแม่ อยากถามพี่ๆดีเจว่า ผมจะ Work form home ต่อดีไหม? หรือจะหนีความ toxic ไปเลย ซึ่ง “ดีเจเผือก” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้าถามว่าพี่รู้สึกยังไงถ้าสมมุติพี่เป็นญาตินั่งอยู่ตรงนั้น เรื่องร้องไห้ตัดไปเลยเพราะมันไม่เกี่ยวการร้องไห้ไม่ได้แสดงรักหรือไม่รัก การร้องไห้คือการแสดงออกของอารมณ์ ณ ตอนนั้น บวกกับใครที่สามารถควบคุมและกลั้น คนบางคนที่เขาไม่ร้องเขาอาจจะกลั้นมันอยู่มือเค้าอาจจะกำ แทบจะจิกเข้าไปในเนื้อแต่แค่ว่าน้ำตาเขาไม่ได้อยากให้ไหลออกมาด้วยหลากหลายสาเหตุ เพราะฉะนั้นอย่าเอาการที่ว่าร้องไห้เยอะหรือร้องไห้น้อยมาวัดว่ารักหรือไม่รัก ถ้ามีญาติมาคุยกับพี่แบบนี้พี่ด่า อันนี้พี่มองว่ามันไม่เกี่ยว แต่พี่มาสะดุ้งนิดนึงตอนเต้นอันนี้พี่ตกใจพี่พูดตรง ๆ แต่พี่ก็จะแค่ตกใจที่เต้นพี่ก็คงจะไม่ไปผูกกับเรื่องที่ว่าไอ้นี่ไม่รักพ่อถึงเต้น อย่างมากพี่ก็จะคิดแค่ว่า อ๋อ มันทำใจได้เร็ว เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าเวลานี้แล้วเอายังไงต่อ ก็ถ้าที่บ้านเขาอยู่กันได้แล้วเราก็สามารถ Work form home ได้ก็อยู่ดูอีกสักหน่อย ให้เขาค่อย ๆ ทำใจกันได้ เพราะถ้าคนใดคนหนึ่งในครอบครัวเสียชีวิตบรรยากาศความเศร้ามันก็ตลบอบอวลอบอยู่ในนั้นสักพักนึง แต่สุดท้ายแล้วทุกชีวิตมันก็จะค่อย ๆ เดินต่อตามความจำเป็นของแต่ละคน บางคนชีวิตเขาไม่ต้องมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบมากหรือไม่ได้มีสิ่งที่จะต้องลุกขึ้นและเดินต่อ เขาก็สามารถปล่อยให้มันจมอยู่กับความเศร้าได้เต็มที่ แต่สำหรับคนที่พรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงาน มันก็ต้องตื่นก็ต้องหยุดร้องไห้ เพราะฉะนั้นเราก็คงไม่ตัดสินว่าใครจะร้องมากร้องน้อย ชีวิตแล้วสุดท้ายจะ ช้าหรือเร็วมันก็ต้องเดินต่อ และถ้ามินถามว่ามินจะต้องอยู่ต่อไหมก็กลับมาที่พี่พูดเมื่อกี้ แล้วชีวิตมินจำเป็นที่จะต้องเดินต่อหรือยัง งานการมันต้องลุยเลยไหม ถ้ามีก็ไปทำแต่ถ้ามันยังอยู่ดูแลกันได้ใช้เวลาตรงนี้ได้ ก็ลองอยู่อีกสักหน่อย สุดท้ายชีวิตมันก็ต้องเดิน’ ซึ่ง “ดีเจเติ้ล” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่แยกก่อนนะเรื่องร้องไห้ พี่ว่าหลายคนเป็นบางทีเจอเรื่องเศร้าแล้วมันไม่ร้อง พี่เองก็เป็นพี่เสียน้ำตาให้เรื่องที่ตัวเองมีความสุข แต่คนตายหรืออะไรอย่างเงี้ยไม่ร้อง ไม่รู้ว่าเป็นอะไรแต่ว่าพี่เป็นนิสัยอย่างเงี้ย ซึ่งพี่ว่าหลาย ๆ คนเป็น บางทีเราอาจจะรู้สึกเสียใจข้างในแต่แค่ว่ามันไม่ร้องออกมา อีกเรื่องหนึ่งเท่าที่พี่ฟังมินมาพี่ว่ามินเป็นคนสุขนิยมจริง ๆ หมายถึงว่าพร้อมที่จะบล็อกเรื่องที่ไม่สบายใจได้เลย แล้วก็มีความสุขกับตัวเองได้เลย กับอีกแบบนึงมินเป็นคนที่ ถ้าบรรยากาศรอบข้างมันทำให้มินไม่มีความสุข มันจะทำอะไรบางอย่างเพื่อที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกว่า ไม่อยากเป็นแบบนั้นมันก็เลยเกิดอาการเต้นออกมาถ้าให้เราวิเคราะห์ แต่ไม่ว่าอย่างไรพี่รู้สึกว่าเหมือนมินจะลืมนึกถึงความรู้สึกคนรอบข้างไปหน่อยในกรณีนี้ สำหรับพี่นะคือมินรู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าคนรอบข้างบ้านมินเขาเป็นแบบนี้กันหมด เหมือนเขาต้องการให้เราอยู่ฝั่งเดียวกับเขา ด้วยการแสดงออกหรืออะไรก็ได้ พี่ไม่ได้หมายความว่าให้มินไปร้องห่มร้องไห้กับเขานะ แต่พี่รู้สึกว่าถ้าบางอย่างทำได้เช่นเรารู้อยู่แล้วว่าเขาจับตามองเราแล้วการเต้นของมินอาจจะรู้ว่าเค้าจะเห็นเราก็ต้องห้ามตัวเอง ซึ่งมินต้องนึกถึงแม่ด้วยว่าตอนนี้เขาเศร้าอยู่ เราอ่ะไม่อยากเศร้าอยากมูฟออนนั่นมันไม่ผิด แต่ ณ ตอนนี้เขายังไปไหนไม่ได้ ณ ตอนนี้เขายังไม่มีใคร เพราะฉะนั้นมินอาจจะต้องบังคับตัวเองอยู่เป็นเพื่อนเขาก่อนนะตอนนี้ ในฐานะลูก ที่จะทำให้แม่ได้ พี่รู้สึกว่าถ้ามินแบบไม่เอาแล้วว่ะไม่อยากเศร้าแล้ว พี่ว่าอันนี้มันก็สนใจแต่เรื่องเราเกินไป มันก็ต้องฝืนใจตัวเองแหละพี่รู้ว่ามินไม่อยากเศร้าอยู่ในบ้านหลังนี้ แต่ทำยังไงได้ถ้าแม่ที่เขารักเราแล้วเขายังเศร้าอยู่ เราก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนเขาก่อน แล้วรอเวลาที่เขาดีขึ้นเราก็กลับมา ใช้ชีวิตของเราได้’ ซึ่ง “ดีเจต้นหอม” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘เป็นคนหนึ่งที่เห็นด้วยว่าตอนนี้ควรอยู่ดูใจแม่ เพราะบรรยากาศในบ้านตอนนี้แม่เขาดูเจ็บมากถ้าเราทิ้งไปอีกคนนึงแม่ก็ไม่เหลือใคร อยากให้มินมองภาพรวมของบ้านมากกว่าเรื่องราวของตัวเอง การมูฟออนได้เป็นสิ่งที่ไม่ได้ดูแย่อะไรเลยเพียงแต่ว่าบรรยากาศในบ้านเราต้องไม่สวนทางกับเขา เราอาจจะต้องสำรวมสักนิดนึงแต่การที่เราไม่ร้องไห้มันไม่ผิดเลยแล้วญาติคือผิด ส่วนมินพี่ว่าอยู่ที่นั่นก็ปั้นหุ่นได้นะ จะเข้ายิมหรือเล่นฟิตเนสไปได้เลย เพราะว่าเราต้องทำงานแล้วเมษาเรามีงานเราก็กลับไปทำงานเท่านั้นเอง แต่พี่ว่าเวลานี้เราไม่ควรทิ้งคุณแม่ เพราะว่าสภาพจิตใจเขาแย่ถ้าเราไม่ดูเขาก็ไม่มีใครดูเขา แล้วสภาพจิตใจเขาตอนนี้คือแกว่งมาก เหมือนลอยอยู่กลางน้ำ มินอาจจะต้องทำอะไรที่ไม่ขัดหูขัดตาเพิ่ม เราบอกตัวเองเลยว่าเรามีหน้าที่เป็นยารักษาเขา เพราะฉะนั้นอะไรที่เป็นพิษต่อเขามินเลี่ยงแค่ช่วงนี้ที่เขาจะหนัก อดทนหน่อยเพราะตอนนี้เราคือที่พึ่ง เวลานี้เขาต้องการเราก็มีมินนั่นแหละที่ต้องอยู่ตรงนี้กับเขา’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1