พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

หนูเป็น LGBTQ+ โดนคดีแล้วได้เจอกับผู้ชายคนนึงในเรือนจำ รู้จักกัน จนรู้สึกดีต่อกัน ตกลงกันว่าในนี้เราจะคบกัน แต่ตอนนี้หนูออกมาแล้ว เพราะเขาช่วยหาทนาย สู้คดีให้ เขาบอกอยากให้หนูออกไปใช้ชีวิต

31 พ.ค. 2024

หนูเป็น LGBTQ+ โดนคดีแล้วได้เจอกับผู้ชายคนนึงในเรือนจำ รู้จักกัน จนรู้สึกดีต่อกัน

ตกลงกันว่าในนี้เราจะคบกัน แต่ตอนนี้หนูออกมาแล้ว เพราะเขาช่วยหาทนาย สู้คดีให้

เขาบอกอยากให้หนูออกไปใช้ชีวิต เจอคนใหม่ เริ่มต้นใหม่ เขาบอกอนาคตถ้าออกไป

ข้างนอกเราจะเป็นพี่น้องกัน

            “คุณแคลร์ (นามสมมติ)” อายุ 23 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [29 พ.ค. 67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาความรักกับคนในเรือนจำ

            โดย ​“คุณแคลร์ (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ย้อนไปเมื่อ 3 ปีก่อน เราประกอบอาชีพเป็นสตรีมเมอร์ และได้สิ้นสุดการประกอบอาชีพ เมื่อปลาย ปี 65 ที่ผ่านมา เพราะเราถูกฟ้องด้วยความเข้าใจผิด ในข้อหาดูหมิ่นด้วยการโฆษณา และเราก็สู้คดีมาจนถึงกลางปี 66 ซึ่งเป็นการสู้ที่เสียเปรียบมาโดยตลอด เพราะเราไม่มีกำลังทรัพย์มากพอ จึงได้ขอให้เป็นทนายขอแรงมาช่วย เขาก็ช่วยเท่าที่จะช่วยได้เท่านั้น

            จนเมื่อ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 ศาลมีคำสั่งฝากขัง ในทางปฏิบัติเราสามารถที่จะประกันตัวได้ แต่ว่าเราไม่มีเงินประกันตัว แม้กระทั่งครอบครัวที่มีคุณแม่เพียงคนเดียวก็ไม่สามารถช่วยตรงนี้ได้ จึงจำใจต้องเข้าฝากขังที่เรือนจำแห่งหนึ่ง เป็นระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งระหว่างที่อยู่ข้างใน เราได้มีโอกาส เจอกับพี่ผู้ต้องขังคนหนึ่ง เขามักจะฝากความเป็นห่วงผ่านเพื่อนผู้ต้องขังอีกคนมาถึงเรา เราก็สงสัยว่า เขาเป็นใคร ?  ต่อมาเราจึงได้ไปเจอกับเขาและได้พูดคุยกัน จนทราบว่าเขาบังเอิญเป็นคนที่อยู่ใกล้บ้านเรา แต่เราไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ซึ่งพี่เขาอายุ 40 ปีแล้ว

            หลังจากนั้น 2 อาทิตย์ ก็มีพูดคุยกัน มีการดูแลกันมากขึ้น เริ่มจากการแบ่งอาหารเช้าให้ ชวนมานั่งคุยปรับทุกข์กัน จนกระทั่งตกลงคบกัน ซึ่งเขาก็จะบอกตลอดว่า แคลร์ไม่จำเป็นต้องรักเขา ขอให้เขาได้รักแคลร์ก็พอ ส่วนตัวเราเองไม่ได้มีความตั้งใจที่จะไปเจอ หรือไปหาความสัมพันธ์แบบนี้ เพราะเราเองก็รู้สึกผิดกับตัวเองว่า ทำไมต้องมาเสียเวลาในที่แบบนี้ด้วย

            ซึ่งจากการสังเกตพฤติกรรมของเขาในการวางตัวในฐานะคนรัก เราก็เริ่มรู้สึกดีและเข้าใจอะไรหลายอย่างมากขึ้น จากที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เพราะตลอดเวลา 23 ปี แคลร์ไม่เคยมีแฟน จนกระทั่งมาเจอคนนี้ ซึ่งระหว่างที่อยู่ด้วยกัน เขาจะหาทางช่วยเหลือเราตลอด เช่น เรื่องของการอัพเดทคดีจากข้างนอก เรื่องการยื่นเรื่องส่งสภาทนายความ ให้เข้ามาช่วยตรวจสอบรูปคดี หรือการส่งคำร้องให้ศาลเร่งพิจารณาคดี เพราะว่าตอนนั้นที่เข้าไปเป็นเดือนสิงหาปีที่แล้ว และจะมีการนัดพิจารณาคดีอีกทีคือ เมษายนปี 67 ถ้าให้นับมันจะเป็นการอยู่แบบเสียเปล่าไปเลย 1 ปี

            เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ปี 66 เขาก็มาบอกกับเราว่า แคลร์พี่คุยกับทนายให้แล้วนะ ซึ่งเราก็ตกใจว่า พี่คุยกับทนายที่ไหนมา ทนายของแคร์เหรอ ? เขาก็บอกว่า เป็นทนายส่วนตัวของเขา เขาบอกทนายว่า ให้ยื่นประกันตัวให้แคลร์ เป็นการจ่ายเงินให้เราเพื่อการประกันตัว เราก็ตกใจมากว่า เขาทำเพื่อแคลร์ขนาดนี้เลยเหรอ เพราะเขาก็จะบอกกับเราตลอดว่า ออกไปก็ออกไปใช้ชีวิตนะ และไม่ต้องเป็นห่วงพี่ ลืมเรื่องราวทุกอย่าง ข้างในให้หมด ซึ่งตอนนี้แคลร์ได้ออกมาใช้ชีวิตเรียบร้อยแล้ว

            แคลร์เคยบอกกับเขาว่า อยากจะคบกับเขาเป็นแฟนจริงจัง แต่เขาบอกว่า เขาให้สัญญาไม่ได้ เพราะเขาไม่อยากให้ความหวัง และเขาก็ไม่อยากใช้คำพูดสวยหรู หากเขาได้ออกไปแล้ว เขาทำไม่ได้ แคลร์จะรับได้เหรอ ? เราก็คิดว่า สิ่งที่เขาพูดมันก็เรื่องจริง และเขาก็พูดอีกว่า แคลร์จะเป็นกะเทยคนเดียว ที่เขารักที่สุดในชีวิต และก็จะเป็นน้องที่เขารักตลอดไป

            ซึ่งเราก็ยังให้ความหวังตัวเองอยู่ในทุก ๆ วันว่า อย่างน้อยถ้าวันหนึ่ง เขาออกมา แล้วเขาเห็นว่าแคลร์ยังรอเขาอยู่ เขาก็อาจจะเปลี่ยนใจ เพราะหนูก็ไม่เคยมีความคิด ที่จะไปมองหาใครคนใหม่ตั้งแต่ออกมา เป็นระยะเวลา 7 เดือนแล้ว ซึ่งในทุกเดือนเราจะกลับไปเยี่ยมเขาเสมอ และปฏิกิริยาของเขาที่แสดงต่อเราก็ปกติทุกอย่าง แต่ทางเรือนจำจะมีการเขียนจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ รายวันถึงผู้ต้องขังด้านใน หนูก็จะเขียนถึงเขาทุกวัน แต่เขาก็จะเขียนตอบกลับมาว่า เขาขี้เกียจที่จะเดินมาหา ตอนที่เรามาเยี่ยม เขาไม่อยากที่จะเขียนจดหมายตอบกลับเรา ซึ่งเขาเป็นแบบนี้กับครอบครัวด้วย เหมือนเขาไม่อยากรับรู้เรื่องภายนอก เขาเลยพยายามกีดกันไม่ให้หนูไปเยี่ยมหรือเขียนอะไรหาเขา

            แคลร์อยากถามพี่ ๆ ดีเจว่า พอจะมีวิธีการยังไงที่จะรอเขา แบบให้ใช้ชีวิตที่มีความสุข ไม่เครียด ไม่ห่วงอะไร เพราะเราไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่เขาทำ เราไม่รู้ว่าการที่เขาทำแบบนี้เขาต้องการให้เรามีสถานะไหนกันแน่ และทุกวันนี้เขายังจ้างทนายเพื่อที่จะสู้คดีให้กับเราต่อ ซึ่งเราก็พึ่งทราบเรื่องนี้จากทนายว่า เขายังจัดการ เรื่องค่าใช้จ่ายให้เราทั้งหมดเลย และแม้ว่า เขาจะบอกให้หนูเดินหน้าต่อ แต่ด้วยความที่เขาเป็นแฟนคนแรกของเราด้วย เราเลยรู้สึกผูกพันและรู้สึกขอบคุณในการกระทำของเขา ที่ทำให้เราได้เหมือนมีชีวิตใหม่ เรารู้สึกว่า เราไม่สามารถเดินออกมาจากเขาตอนนี้ได้

            ซึ่ง “ดีเจต้นหอม” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘การที่เขาพูดว่า แคลร์เป็นน้องที่เขารัก มันเหมือนกับการที่เขาดับฝัน เพราะหากเขาออกมาข้างนอกเขาจะไม่คบกับแคลร์ แต่หากอยู่ข้างในก็เป็นแฟนกัน เหมือนกับการที่คนเหงามาเจอคนเหงา ซึ่งแคลร์ก็บังเอิญอยู่ใกล้เขา อยู่ในแดนเดียวกันได้ใกล้ชิดกัน แคลร์มีความหวังอยู่นิดหน่อยแต่ก็น้อยมาก ถ้าแคลร์จะรอเขา แคลร์ก็ต้องทรมานอยู่แล้ว แต่ถ้าแคลร์ไม่รอก็จะทรมานแค่ช่วงแรก ไม่ต้องทรมารไปเรื่อย ๆ ซึ่งถ้าเปรียบเป็นเกมไพ่ โอกาสที่แคลร์จะแพ้สูงมาก แต่ที่พี่ทำหอมรับแขกมา ได้สัมภาษณ์คนในเรือนจำและชีวิตรักในเรือนจำ ทำให้พี่ได้รู้ว่า มันเป็นชีวิตรักที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่อยู่ในเรือนจำเท่านั้น พอเราออกมา เขาก็จะมีคนใหม่เข้าไป ในขณะเดียวกัน คนที่ออกไปก็จะมีแฟนใหม่ มันเป็นวัฏจักรของเขาที่เขาจะรู้กันดีอยู่แล้ว แล้วการที่เขาส่งสัญญาณบอกเราว่า เขาไม่อยากเดินมาหา หรือการที่ เขาไม่อยากรับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ แปลว่าตอนนี้ เขาปฏิเสธเราแล้ว แล้วการที่เราเข้าไปหาเขา ก็เหมือนกับว่า เราไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการพยายามสื่อ การแสดงออกของเขาสุภาพ แต่ก็ชัดเจนว่า เขาต้องการยุติความสัมพันธ์แล้ว ซึ่งแคลร์ก็ยังไม่เข้าใจ และมันก็สร้างความอึดอัดให้กับเขา ฉะนั้นพี่คิดว่า แคลร์ไม่ควรรอ เพราะมันเป็นการรอฝั่งเดียว แคลร์ ควรหยุด เจ็บตอนนี้ให้จบและเดินหน้าใช้ชีวิตต่อไป ทางนี้จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว

            ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ด้วยสถานการณ์ที่แคลร์อยู่ตอนนั้น มันเป็นได้หลายเรื่องเลย ที่เค้าเข้ามาหาแคลร์ และมันอาจจะเป็นไปได้ว่า การที่เขาเข้ามาหาแคลร์ เขาไม่ได้รักแคลร์แบบความสัมพันธ์หนึ่ง แคลร์และเขาต่างเจอกันในช่วงเวลาที่ต้องการคนซัพพอร์ต ซึ่งชีวิตในนั้นมันมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่พี่ก็รู้สึกว่า เขาก็เป็นคนดีนะ เขาไม่ได้แค่ใช้แคลร์แก้เหงา เพียงอย่างเดียว แต่ก็ยังรับผิดชอบชีวิตของแคลร์ต่อ ซึ่งเขาก็ชัดเจนที่บอกกับแคลร์ว่า ถ้าออกจากคุก ก็ให้แคลร์ไปมีชีวิตใหม่เถอะ อย่ายึดติดอยู่กับเขา

            แต่พี่ก็เข้าใจแคลร์ เพราะเขาคือคนแรกของแคลร์ แคลร์เลยรู้สึกว่า รักครั้งนี้มันยิ่งใหญ่มาก เหมือนว่ามันเป็นพรหมลิขิต และมันคงจะดีมากถ้าเราได้อยู่ด้วยกันต่อไปจากนี้ แต่พี่คาดว่า แคลร์ไม่ใช่คนแรกของเขา แน่นอน และหลังจากแคลร์เขาก็ยังจะมีคนใหม่อีก ซึ่งเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่า เขาไม่ได้อยากมีอนาคตกับแคลร์ต่อ และเขาก็ไม่ได้ต้องการแคลร์หลังออกจากคุก ซึ่งนี่ก็เป็นคำตอบที่ใหญ่พอที่จะทำให้แคลร์เดินหน้าต่อ เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ถ้าเต็มที่สุด ๆ แคลร์อาจจะบอกกับเขาว่า แคลร์เข้าใจพี่นะ แต่ถ้าหากวันใดวันนึง ที่พี่ออกมาจากคุกแล้ว แล้วถ้าเราอยากคุยกันโดยที่ยังโสดทั้ง 2 ฝ่าย แคลร์ยังยินดีนะ แคลร์ แต่หากรอตั้งแต่ตอนนี้ มันจะเป็นการทุกข์ใจมากถึงมากที่สุด

            และสุดท้าย “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘ให้แคลร์ ไปดูรายการที่มีการสัมภาษณ์กลุ่มหนุ่มสาว LGBTQ+ ในเรือนจำ ซึ่งบทสัมภาษณ์ในรายการก็จะให้คำตอบทุกอย่าง เรื่องราวมักจะคล้ายกับสถานการณ์ที่แคลร์เจอมา เรื่องราวในนั้น เกิดขึ้นในนั้น และจบลงในนั้น ถ้าออกมาต่างคนก็ต่างไปใช้ชีวิตของตัวเอง ซึ่งหากแคลร์ได้ดู แคลร์ก็อาจจะเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างมากยิ่งขึ้น และหลังจากที่พี่อ่านแชทมาพี่ได้เข้าใจเลยว่า ความสุขของเขามันเกิดขึ้นแค่ในโลกเรือนจำ พอแคลร์ออกมาเรื่องมันก็จบ ไม่ใช่ว่าเค้าไม่รักในตัวแคลร์ แต่เป็นเพราะว่าสภาพแวดล้อมมันเปลี่ยน เรื่องมันเลยต้องจบลง ซึ่งการที่เขาออกมา มันไม่ได้การันตีเลยว่า เขาต้องสานต่อกับเรื่องราวที่เขาคิดว่ามันจบลงแล้ว ถ้าแคลร์ลองตั้งสติคิดดู แคลร์ก็รู้ว่า เขาอยากให้เรื่องราวนี้มันจบ จากการที่เขาตอบคำถามก็ตามมันก็ชัดเจนมากอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อเขาชัดเจนขนาดนี้ ก็อยู่ที่แคลร์จะยอมความจริงได้เร็วแค่ไหน ช่วงแรกมันก็อาจจะรู้สึกเศร้าบ้าง แต่มันก็ไม่ถึงขั้นทรมานเท่าการรอใครสักคนหนึ่ง ตอนนี้มันก็ต้องทำใจนิดนึง แล้วก็มีชีวิตใหม่ ให้มันกลายเป็นเรื่องราวดี ๆ ที่จบลงในเรือนจำ’

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

คุณแม่โทรปรึกษา 3 ดีเจ มีลูกสาวอายุ 11 ขวบ เขาเป็นคนที่ทำอะไรต้องเป๊ะทุกอย่าง แม้กระทั่งเรื่องเรียน บางวันทำการบ้าน อ่านหนังสือถึงตี 1 – 2 รู้สึกว่าเขาจะมีภาวะเครียดสะสม ไม่มีความสุขเวลาไปโรงเรียน พาเขาย้ายโรงเรียนแล้วก็ยังเครียดเหมือนเดิม

22 พ.ย. 2023

คุณแม่โทรปรึกษา 3 ดีเจ มีลูกสาวอายุ 11 ขวบ เขาเป็นคนที่ทำอะไรต้องเป๊ะทุกอย่าง แม้กระทั่งเรื่องเรียน บางวันทำการบ้าน อ่านหนังสือถึงตี 1 – 2 รู้สึกว่าเขาจะมีภาวะเครียดสะสม ไม่มีความสุขเวลาไปโรงเรียน พาเขาย้ายโรงเรียนแล้วก็ยังเครียดเหมือนเดิม

คุณแม่โทรปรึกษา 3 ดีเจ มีลูกสาวอายุ 11 ขวบเขาเป็นคนที่ทำอะไรต้องเป๊ะทุกอย่าง แม้กระทั่งเรื่องเรียนบางวันทำการบ้าน อ่านหนังสือถึงตี 1 – 2 รู้สึกว่าเขาจะมีภาวะเครียดสะสมไม่มีความสุขเวลาไปโรงเรียน พาเขาย้ายโรงเรียนแล้วก็ยังเครียดเหมือนเดิมตอนนี้แม่รู้สึกกังวลและเป็นห่วงมาก ควรพาลูกสาวไปพบจิตแพทย์ดีไหม? “คุณแม่เหมียว (นามสมมติ)” อายุ 48 ปี สายที่สามในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (8 พ.ย. 66) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับเรื่องของลูกสาวอายุ 11 ขวบ รู้สึกกังวลและเป็นห่วง เพราะเขาเครียดเกินวัย โดยสายนี้ “คุณแม่เหมียว (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ลูกสาวค่อนข้างมีภาวะเครียดสะสม ไม่มีความสุขเลยเวลาที่ลูกสาวอยู่ในโรงเรียน ต้องบอกว่าลูกสาวส่วนตัวเป็นคน Perfectionist มาก ทำอะไรก็ต้องดีทุกอย่าง เขาเป็นคนที่ลายมือสวย ระบายสีสวย แม้กระทั่งการเรียนก็ต้องดีที่สุด เขาจะสร้างบรรทัดฐานของตัวเองให้เป็นคนที่ดีมาตลอด จนทำให้เขาเริ่มมีความเครียดสะสม พอลูกสาวเราขึ้น ป.5 การเรียนของเขาก็เริ่มเข้มข้นขึ้น ครูที่สอนก็ไม่ได้ใจดีเหมือนเมื่อก่อน จะมีดุบ้าง ด่าบ้าง แต่ไม่ได้ดุหรือด่าลูกสาวเราคนเดียว หมายถึงว่าเขาก็พูดถึงโดยรวม แต่ลูกสาวเราก็จะเก็บมาคิดมาก เวลามีการบ้านเขาก็จะนั่งทำจนดึกดื่น ยิ่งช่วงสอบเขาจะนั่งติวหรืออ่านหนังสือดึกมาก บางทีอ่านไม่เข้าใจ เขาก็จะร้องไห้ หรือให้เราปลุกเขาตั้งแต่ตี 5 เรารู้สึกว่ามันเครียดเกินกว่าที่เด็กวัยนี้ควรจะเป็น ซึ่งเขาก็เป็นคนที่มีภาวะเครียดมาหลายปีอยู่แล้ว เคยมีเหตุการณ์หนึ่ง สมัยที่ลูกสาวเราเรียนอยู่ที่โรงเรียนเก่า เขามีภาวะเครียดเกี่ยวกับครูผู้สอน แม่ก็แก้ปัญหา โดยการพาเขาย้ายโรงเรียนไป ซึ่งเราก็มีการคุยกับครูไว้ว่าให้ดูแลเขาเป็นพิเศษ ตอนที่ลูกสาวขึ้น ป.5 คุณครูที่สอนแต่ละวิชาก็มีหลากหลายขึ้น แม่ก็เข้าใจ เพราะว่าแม่ก็อยากให้เขาเจอกับสังคมที่มันหลากหลายอยู่เหมือนกัน เพราะโตไปเขาก็ต้องเจออะไรแบบนี้อยู่แล้ว แต่เหมือนว่าลูกสาวยังคงเครียดอยู่เหมือนเดิม วันนี้เลยอยากปรึกษาว่า แม่ควรพาลูกสาวไปพบจิตแพทย์ไหม? เพราะว่าคุยกับหลาย ๆ บอกเราคิดไปเอง บางคนก็บอกว่ามันคือธรรมชาติของเด็ก ดีแล้วที่ลูกสาวเรามีความขยันมุ่งมั่นดี แต่เราก็รู้สึกว่ามันหนักเกินไปอยู่ดี หรืออีกอย่างที่อยากสอบถามคือ เราเองหรือเปล่าที่ต้องไปพบจิตแพทย์เอง เพราะรู้สึกว่าเราจะห่วงลูกมากเกินไป ซึ่งดีเจทั้ง 3 คน “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม” มีความคิดเห็นไปในทางเดียวกัน ว่า ‘สำหรับพวกเรา สิ่งที่เกิดกับลูกเป็นสิ่งที่ต้องคิดมาก ต้องใส่ใจอยู่แล้ว มันต้องคอยสังเกต สิ่งแบบนี้มันเป็นอะไรที่น่ากังวลมาก อะไรที่มันแพ้ไม่ได้ ยอมรับความผิดหวังไม่ได้ เราควรที่จะพาเขาไปพบจิตแพทย์เลยตอนนี้ เพราะว่าเด็กวัยนี้กำลังจะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นแล้ว ตอนนี้เรายังควบคุมเขาได้ ควรที่จะพาเขาไปให้เร็วที่สุด มันเครียดเกินไป เหมือนว่าเขาไม่ได้ใช้ชีวิตวัยเด็กเลย ได้วิ่งเล่นหมือนเด็กคนอื่น ๆ เลย ถ้าคุณแม่รู้สึกว่าตัวเองเลี้ยงลูกแล้วมันเครียด มันมีปัญหา ก็ไปพบจิตแพทย์ได้ เพราะเขาจะบอกเลยว่าคุณแม่ควรที่จะทำตัวยังไงเพราะว่าเราเป็น Effect สำหรับเขาอยู่แล้ว มันต้องเริ่มที่คุณแม่ เดี๋ยวลูกก็จะปรับไปตามนั้น การมีลูกเราคิดน้อยไม่ได้ มันควรมีความบาลานซ์กัน ในระหว่างรอที่จะไปพบแพทย์ เราก็หาข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกในเน็ตดูก่อน มันจะมีข้อมูลมากมาย ทั้งเทคนิคต่าง ๆ หรือคลิปวิดีโอที่มันจะพอเป็นแนวทางสำหรับคุณแม่ได้ หรือหากิจกรรมระหว่างครอบครัวให้เขารู้สึกได้ผ่อนคลาย รวมถึงการศึกษาที่มันเข้มข้นมากเกินไปอาจจะยังไม่เหมาะ ถ้ามันจะทำให้เด็กคนนึงต้องมีภาวะเครียดขนาดนี้ โรงเรียนทางเลือกอาจจะเป็นทางเลือกอีกอย่างหนึ่งก็ได้’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

ทุกคนเคยเจอไหม? มีไลน์กลุ่มที่อยู่หลายสิบคน มีไว้คุยเรื่องเรียน คุยเรื่องงาน แต่จะมีอยู่ 2-3 คน ที่คุยแต่เรื่องตัวเอง เรื่องส่วนตัวในกลุ่ม ถ้าไม่มีใครตอบ ก็กด @ALL แท็กทุกคนในกลุ่ม รู้สึกรำคาญมาก ถ้าปิดแจ้งเตือนก็กลัวพลาดข่าวสารอัปเดตในกลุ่ม ทำยังไงดี?

10 ต.ค. 2023

ทุกคนเคยเจอไหม? มีไลน์กลุ่มที่อยู่หลายสิบคน มีไว้คุยเรื่องเรียน คุยเรื่องงาน แต่จะมีอยู่ 2-3 คน ที่คุยแต่เรื่องตัวเอง เรื่องส่วนตัวในกลุ่ม ถ้าไม่มีใครตอบ ก็กด @ALL แท็กทุกคนในกลุ่ม รู้สึกรำคาญมาก ถ้าปิดแจ้งเตือนก็กลัวพลาดข่าวสารอัปเดตในกลุ่ม ทำยังไงดี?

“คุณนัท (นามสมมติ)” อายุ 33 ปี สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (4 ต.ค. 66) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม กับปัญหาคนในกรุ๊ปเรียนกรุ๊ปทำงานชอบเข้ามาคุยเรื่องส่วนตัว ที่ไม่เกี่ยวกับกรุ๊ป โดย “คุณนัท (นามสมมติ)” เริ่มเล่าว่า ‘ตอนนี้ตัวคุณนัทเองจะทั้งเรียนและทำงานด้วย โดยเรื่องนี้จะเกิดทั้งใน Line กลุ่มทำงานและเรียน แต่ส่วนมากจะเจอใน Line ของกลุ่มเรียน… โดยจะมีคนคนนึงในกลุ่ม ชอบโผล่เข้ามาว่า ‘เหงา หิวข้าว กลางวันกินอะไรดี วันนี้กินเหล้า กินเหล้าร้านนี้ กินเหล้ากับเราไหม’ อะไรแบบนี้ ถ้าไม่มีใครตอบเขาก็จะแท็ก All หาทุกคน แล้วมันก็จะเด้งเตือนทุกคน ก็จะกดเข้าไปดูว่ามีอะไรหรือเปล่า พอเข้าไปดูก็ไม่มีอะไร ก็จะเป็นพฤติกรรมอย่างนี้เรื่อยๆ มี ถ่ายรูปบ้านมาว่า เสร็จแล้วเหลืออีก 2% ถ่ายรูปอันนั้นมา อันนี้มา แล้วเขาก็มีคู่ขาเขา รับส่งกันว่า ”พี่กินเหล้าไหน พี่ทำอะไร“ เขาก็จะเฮฮากันอยู่ 2 - 3 คน ในกลุ่ม เขาไม่ตั้งกลุ่มไลน์แยก แต่เขามาใช้ไลน์กลุ่มที่สำหรับคุยเรื่องเรียน บางครั้งถ้าเราไม่เปิดดูเลย บางคนก็จะแบบ ปิดแจ้งเตือนไปเลยไม่ต้องรับรู้ ปิด แต่พอเปิดมาอีกทีร้อยกว่าข้อความ แล้วบางครั้งก็มีแท็กด้วยเราก็ต้องเปิดเข้าไปดู ว่ามีอะไรเกี่ยวกับเรื่องเรียนมั้ย แต่ก็ไม่เจออะไร ในไลน์กลุ่มทำงานก็จะมีคนที่ “พี่อยู่คอนเสิร์ตนี้ ใครมาที่นี่มาแจมกับพี่หน่อย พี่กินเหล้าอยู่ตรงนี้ ใครมาแจมกับพี่หน่อย เงาะอร่อยไปกินกับพี่ไหม” มันจะเป็นบุคคลซ้ำๆในแต่ละกลุ่ม กลุ่มเรียนก็จะเป็นคนเดิมซ้ำๆ มันก็เลยรู้สึกรำคาญ พอเราเริ่มรู้สึกรำคาญ เราไปเจอหน้าเขาก็จะรู้สึกแบบเบื่อหน้าเขา… ปัญหาที่จะถามวันนี้คือ หนูเป็นคนที่ขี้หงุดหงิด จุกจิกเรื่องพวกนี้เกินไปหรือเปล่า แล้วมีวิธีจัดการ Mindset หรือจัดการตัวเองยังไง ถ้าจะให้หนูเดินไปบอกเขา เห้ยพี่…พี่เลิกพิมพ์อย่างนี้ในไลน์กลุ่ม มันก็ทำไม่ได้อยู่ดี ถ้ามีวิธีแก้หรือแนะนำเพิ่มเติมได้ งานนี้ คำแนะนำจาก “ดีเจต้นหอม” คือ ‘สำหรับหอมไม่มี ถ้าเราจะบอกว่า พี่ หยุดพูดในกลุ่มแชท มันเป็นการสร้างบรรยากาศในกรุ๊ปให้มีปัญหา หอมก็จะเลือกปล่อยผ่าน แล้วก็อาจจะ สมมุติเจอร้อยกว่าข้อความแล้วแท็ก All มา ก็จะแบบ “อุ้ย…เปิดมาเจอร้อยหว่าข้อความ ตกใจเลย เอางี้ ถ้าเกิดมีอะไรเรื่องเรียนหรือสำคัญ ยังไงแท็กนัดมาต่างหากให้หน่อยนะคะ ขอบคุณค่าา555555” แต่มันจะมีปัญหา… ก็อดทน สำหรับหอม ไม่อยากทำให้บัวช้ำน้ำขุ่น’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ให้คำแนะนำว่า ‘พี่เข้าใจน้องนัท พี่ไม่รู้สึกน้องนัทมากไป เพราะพี่ก็เป็น เราก็อยากอ่านแต่เรื่องที่มันเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ซึ่งพี่ว่ามันไม่ได้แปลก พี่ว่าคนอื่นในนั้นก็อาจจะรู้สึกเหมือนน้องนัทแหละ เพียงแต่เขาเลือกที่จะไม่เสียเวลากับเรื่องพวกนี้ ก็เหมือนกับบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่นพี่ว่า เพราะเขาก็ไม่รู้ถ้าพูดไปมันจะยังไง แล้วก็ มันอาจจะดูว่าใครพูดก่อนใครเปิดก่อน คนนั้นมันก็อาจจะดูแบบไม่ค่อยดีในสายตาคนอื่นก็ได้ แต่ว่าถ้าจะให้แนะน ก็คือ… น้องนัทต้องทำใจจริงๆ แล้ว อันไหนข้ามได้ก็ข้าม แต่พี่ก็มีวิธีขำๆนะที่พี่เคยคิดว่าพี่จะทำ… ก็คือพี่จะเปลี่ยนชื่อไลน์ตัวเองแล้วพี่ก็จะไปเตะนางออก แล้วพี่ก็จะเปลี่ยนกลับ อันนี้คือกรณีที่แบบไม่ไหวแล้วโว้ยย แล้วมันจะจับไม่ได้ว่าใครเตะนางออกเผื่อนางจะรู้ว่า… ต้องมีอะไรแล้วแน่ๆเลย เผื่อนางจะได้พิจารณาตัวเอง แต่ถ้าจะให้ร้ายกว่านั้น ให้เปลี่ยนชื่อเป็นเพื่อนมันอ่ะ ให้มันด่ากันเองว่าเตะออกทำไม’ ปิดท้ายกันด้วย “ดีเจเผือก” ให้คำแนะนำว่า ‘การที่เราจะรู้สึกรำคาญไม่ผิด แต่ว่าถ้ามันรำคาญถึงขนาดที่ว่าโพสต์เลยเนี่ย… ผมว่ามันจะทำให้ชีวิตคุณนัทอ่ะ มันทุกข์ไปนิดนึง ก็คือตอนนี้ผมเนี่ย จะรู้สึกใช้หลักการดำเนินชีวิตที่อย่าไปสร้างความเครียดอะไรให้กับชีวิตมันมากมาย เก็บความเครียดนั้นไว้ปล่อยสำหรับเรื่องราวที่มันควรจะเครียด เวลาที่เราเครียดหรือเกิดรู้สึกทางลบ ทั้งสารเคมีในสมองเอย ทั้งระบบการเต้นของหัวใจ คือมันหงุดหงิดอ่ะ เมื่อไหร่ที่เราหงุดหงิดหรือรำคาญ มันก็จะทำให้วันนั้นมันเป็น Bad day แล้วโลกทุกวันนี้มันก็เลวร้ายมากพออยู่แล้ว มันมีเรื่องราวร้ายๆ อะไรมาทำให้เรารู้สึก Bad day อยู่เรื่อยๆ อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น อะไรที่มันไม่มีคุณค่าพอที่จะทำให้ผมหงุดหงิดได้ ผมก็จะไม่สนใจมัน ผมจะพยายามเก็บความหงุดหงิดไว้ใช้กับเรื่องที่มันเหมาะสม แล้วก็ ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะรู้สึกว่าเรื่องราวที่คุณนัทเจอมันเบา ก็ปิด Notification ก็ได้ แล้วค่อยๆมาไล่ๆดูก็ได้ ซึ่งสำหรับคุณนัทอาจจะมองปัญหานี้รุนแรงกว่าคนอื่น ก็อยากให้ค่อยๆปรับลง ถ้าคุณนัทยังมีเรื่องอื่นๆในชีวิต ที่ยังซีเรียสกว่านี้หรือน่าจะเครียดกว่านี้ แล้วคุ้มค่ากับการที่เราจะเสียเซลล์สมองกับการรับมือมากกว่านี้ ก็เปลี่ยนไปโฟกัสกับเรื่องนั้น แล้วผมเชื่อว่าทุกคนก็จะมีกรุ๊ปไลน์ที่ปิด Notification ไว้อยู่แล้ว เราไม่เปิดของทุกกรุ๊ปอยู่แล้ว ผมก็ปิดนะ แล้วเมื่อไหร่ที่เราเปิดกรุ๊ปไลน์เราก็มาไล่ดูว่าเราพลาดอะไรไปหรือเปล่า มันก็จะทำให้เราหลีกเลี่ยงความวุ่นวายไปได้เยอะเลยครับ ก็ลองปิด Notification ลองเอาใจออกมาจากกรุ๊ปไลน์ดู’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

ผ่านมา 14 ปี ผมมีเรื่องสารภาพ ผมปิ๊งสาวเฝ้าร้านเกมเชียงใหม่ วันนั้นเข้าห้องน้ำ แต่ทำสายฉีดตกพื้น หัวฉีดหลุดน้ำสะบัดทั้งห้อง ตกใจจนลืมเช็ดตูด หันไปเห็นฟองน้ำล้างจานเลยหยิบมาเช็ด เช็ดเสร็จ ล้างวางที่เดิม กดชักโครก อ้าว ส้วมเต็ม

10 มิ.ย. 2024

ผ่านมา 14 ปี ผมมีเรื่องสารภาพ ผมปิ๊งสาวเฝ้าร้านเกมเชียงใหม่ วันนั้นเข้าห้องน้ำ แต่ทำสายฉีดตกพื้น หัวฉีดหลุดน้ำสะบัดทั้งห้อง ตกใจจนลืมเช็ดตูด หันไปเห็นฟองน้ำล้างจานเลยหยิบมาเช็ด เช็ดเสร็จ ล้างวางที่เดิม กดชักโครก อ้าว ส้วมเต็ม

ผ่านมา 14 ปี ผมมีเรื่องสารภาพ ผมปิ๊งสาวเฝ้าร้านเกมเชียงใหม่ วันนั้นเข้าห้องน้ำแต่ทำสายฉีดตกพื้น หัวฉีดหลุดน้ำสะบัดทั้งห้อง ตกใจจนลืมเช็ดตูด หันไปเห็นฟองน้ำล้างจานเลยหยิบมาเช็ดเช็ดเสร็จ ล้างวางที่เดิม กดชักโครก อ้าว ส้วมเต็ม ไปบอกน้อง จากนั้นผมก็ไม่ได้ไปร้านนั้นอีกเลย “คุณเกม (นามสมมติ)” อายุ 36 ปี สายสุดท้ายในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [5 มิ.ย. 67] ได้โทรเข้ามาสารภาพความผิดกับ ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้วในอดีต ซึ่งผ่านมา 14 ปีแล้ว และวันนี้ก็มาถึง… วันที่คุณเกมได้ตัดสินใจอยากที่จะสารภาพความผิด! โดย ​“คุณเกม (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘เมื่อ 14 ปีที่แล้ว ผมมักจะไปเล่นเกมที่ร้านหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งหนึ่งในเหตุผลที่ผมไปร้านนี้เป็นประจำ เพราะผมแอบชอบน้องผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นคนดูแลร้าน และในทุกครั้งที่ผมจะเข้าไปเล่นเกม ผมมักจะซื้อขนมขบเคี้ยวติดไม้ติดมือเข้าไปด้วยอยู่เสมอ ผมเป็นคนที่เมื่อกินเสร็จก็จะถ่ายเลยทันที เป็นเหมือนภารกิจประจำวันที่ผมจะทำทุกครั้งเมื่อมาที่ ‘ร้านเกม’ แห่งนี้ จนมีวันหนึ่งผมก็เข้ามาเล่นเกมตามปกติ ผมก็ปวดท้องจึงลุกไปเข้าห้องน้ำ หลังทำภารกิจเสร็จสิ้น ผมก็เอื้อมมือไปหยิบสายฉีดชำระ จังหวะที่หยิบขึ้นมา มือของผมดันไปปัดชนกับขอบผนัง สายฉีดชำระจึงหล่นลงพื้นเสียงดัง ปั๊ก… ทำให้ตัวจับของสายฉีดชำระแตก สายฉีดชำระจึงสะบัดน้ำกระจายไปทั่วทั้งห้องน้ำ ซึ่งน้ำมันแรงมาก ทำให้ความเปียกครอบคลุมทุกพื้นที่ ทั้งพื้นกระเบื้อง พื้นผนัง พื้นเพดาน รวมถึงตัวผมด้วย เปียกตั้งแต่เส้นผมจดถึงเท้า ในใจผมก็คิดว่า ผมควรจะทำยังไงดี ? เพราะผมยังไม่เสร็จธุระ และเท่าที่สมองผมจะคิดได้ ผมก็พยายามมองหาวาล์วปิดน้ำ แต่มันไม่มี! ผมเลยเลือกที่จะทนเปียก และลากสายอ้อมทางด้านหลังจากฝั่งขวามาฝั่งซ้าย เพราะทางฝั่งซ้ายมีรูท่อระบายน้ำอยู่ ผมจึงตัดสินใจ จุ่มหัวของสายฉีดชำระลงไปในรูท่อระบาย และใช้เท้าเหยียบสายกดเอาไว้ หลังจากนั้นผมก็สบายใจขึ้นที่จะไม่ต้องเปียกเพิ่ม แต่ผมลืมคิดไปว่า ผมยังไม่ได้ล้างก้น !? ซึ่งผมไม่สามารถใช้น้ำตรงนั้นได้เลย เพราะน้ำมันแรงมาก ทำได้เพียงแต่กดเท้าซ้ายไว้ ในใจก็ค่อนข้างกระวนกระวายมาก แต่ก็ต้องทำอะไรสักอย่าง เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ผมก็เห็นอ่างล้างหน้าที่มีสก็อตไบรท์วางอยู่ ด้วยสถานการณ์ที่ผมเลือกอะไรไม่ได้ ผมคิดว่าจะต้องจัดการปัญหาให้เร็วที่สุด ผมจึงเอี้ยวตัวพยายามเอื้อมมือไปหยิบ ‘สก็อตไบรท์’ และพยายามที่จะเปิดน้ำที่อ่าง ทั้งที่ธุระของผมก็ยังค้างอยู่ ผมจึงเอาสก็อตไบรท์ชุบกับน้ำมาเช็ดก้น ซึ่งหลังจากเช็ดเสร็จ ผมก็ล้างทำความสะอาดสก๊อตไบรท์ และวางมันไว้ที่เดิม… หลังจากนั้นผมก็คิดว่า ผมจะทำอะไรต่อไปดี ? แม้ว่าผมจะทำธุระล้างก้นเสร็จแล้ว ผมก็ยังไม่สามารถลุกขึ้นได้ เพราะเท้าของผมยังเหยียบกับสายฉีดชำระอยู่ ผมจึงตัดสินใจถอดถุงเท้าข้างหนึ่ง และยัดอุดเข้าไปในรูท่อ เพื่อที่จะล็อคสายฉีดชำระกับรูท่อระบายไว้ด้วยกันได้ ซึ่งมันก็ได้ผล ! ผมจึงสามารถลุกขึ้นเพื่อที่จะแต่งตัว และทำการกดชักโครก เพื่อที่จะเคลียร์กับปัญหาตรงนี้ให้หมดไปได้สักที แต่เหมือนผมมีเคราะห์ซัดกรรมซัด… เพราะชักโครกมันตัน ซึ่งหลังจากที่ผมกดชักโครก ทำให้น้ำและสิ่งปฏิกูลตรงนั้นมันเอ่อล้นขึ้นมา ผมจึงรีบปิดฝาชักโครก และตั้งสติใหม่อีกครั้ง ผมเลือกที่จะไม่กดน้ำซ้ำ เพราะกลัวว่าครั้งนี้มันจะล้นออกมาข้างนอก หลังจากนั้นผมจึงจัดการกับตัวเอง สะบัดผมให้แห้ง รวมถึงบิดเสื้อผ้าให้หมาด ทำให้ทุกอย่างดูเป็นปกติที่สุด แต่เมื่อผมเดินเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ… ผมก็เจอกับน้องผู้หญิงคนนั้น ผมบอกกับเธอว่า ขอโทษครับ ห้องน้ำพัง… น้องผู้หญิงคนนั้นก็ทำหน้างุนงงใส่ผม แล้วก็เดินตรงไปเช็คที่ห้องน้ำ ด้วยความที่ผมกลัวความผิดและอับอาย จึงรีบเก็บของและออกไปทันที จากนั้นผมก็นำเหตุการณ์นี้มาเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็ถามผมว่า แล้วทำไมถึงไม่เอาสก็อตไบรท์ทิ้งไปใส่ถังขยะ !? ผมจึงตอบว่า ก็ตอนนั้นมันคิดไม่ทัน แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่า สก็อตไบรท์อันนั้น โดยปกติแล้ว น้องผู้หญิงคนนั้นน่าจะเอาไว้ใช้ล้างแก้วและจาน เพราะมันเป็นที่เดียวที่เธอสามารถจัดการกับภาชนะได้ ซึ่งหลังเหตุการณ์นั้นมันทำให้ผมรู้สึกผิดและฝังใจกับเรื่องนี้มาก ๆ เพราะผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมถึงไม่ทิ้งสก็อตไบรท์ไป ทำไมถึงเลือกที่จะทำความสะอาด เพื่อที่จะทำลายหลักฐาน หรือมันเป็นเพราะว่า ผมรนที่จะแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้า’ งานนี้ 3 ดีเจก็ให้ความคิดเห็นคล้ายกันว่า ‘เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณเกม มันทรหดและเป็นปัญหาเฉพาะหน้าจริง ๆ ซึ่งคนที่น่าสงสารที่สุดสำหรับเรื่องนี้ ก็คือ น้องผู้หญิงคนนั้น ไม่รู้ว่าตอนนั้นเธอได้ใช้สก็อตไบรท์ไปหรือเปล่า ?’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

พี่ๆคะ หนูจะทำยังไงต่อไปดี... คุณแม่เหลือเวลาอยู่กับหนูแค่ 6 เดือน ก่อนหน้านี้คุณแม่แอบไปหาหมอเองโดยไม่บอกใครเลย เพิ่งมาบอกหนูว่าเป็น "มะเร็งไขสันหลัง" ระยะที่ 3 ตอนนี้หนูกลัวและเสียใจที่สุดเลยค่ะ

22 ม.ค. 2024

พี่ๆคะ หนูจะทำยังไงต่อไปดี... คุณแม่เหลือเวลาอยู่กับหนูแค่ 6 เดือน ก่อนหน้านี้คุณแม่แอบไปหาหมอเองโดยไม่บอกใครเลย เพิ่งมาบอกหนูว่าเป็น "มะเร็งไขสันหลัง" ระยะที่ 3 ตอนนี้หนูกลัวและเสียใจที่สุดเลยค่ะ

“คุณเอ(นามสมมติ)” อายุ 21 ปี สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (17 มค. 67) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจต้นหอม - ดีเจเติ้ล – ดีเจเผือก เกี่ยวกับปัญหาที่พึ่งรู้ว่าคุณแม่เป็นมะเร็ง ซึ่งเหลือเวลาอีกแค่ 6 เดือน โดย ​“คุณเอ(นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘คุณแม่อายุประมาณ 53 ปี เป็นมะเร็งระยะที่ 3 ที่ไขสันหลัง ซึ่งอาการตอนนี้กำลังลุกลามไปยังจุดอื่น ๆ คุณแม่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งแต่ไม่ได้บอกคนในครอบครัว และแอบไปรักษาคนเดียว คุณแม่มีลูก 2 คน หนูอายุ 21 ปี ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ และพี่ชายอายุ 25 ปี ทำงานฟรีแลนซ์ ได้คุยกับพี่ชายพี่ก็ทำใจไม่ได้เหมือนกัน คุณพ่อก็อยู่บ้านเดียวกันแต่ไม่ได้อะไรกับคุณแม่แล้ว แค่ทำหน้าที่พ่อและแม่เฉย ๆ หลังจากที่พ่อรู้ว่าแม่เป็นมะเร็งก็ช็อคเหมือนกัน เขาไม่ได้รักกันแล้ว แต่ก็ยังมีความผูกพันอยู่ ตอนนี้คุณแม่ไม่ได้นอนที่โรงพยาบาลแต่ต้องไปฉีดมุ่งเป้า (คือการฉีดเฉพาะจุด) อยู่เรื่อย ๆ ตอนนี้คุณแม่ก็ใช้ชีวิตได้ปกติ แต่จะปวดตามกระดูก ตามข้อ ซึ่งวันที่คุณแม่มาบอก ตอนนั้นอยู่ ๆ เขาก็พูดว่า แม่เป็นมะเร็งระยะที่สาม แล้วที่เขาบอกว่าอยู่ได้อีก 6 เดือนคือมันห่างจากตอนนั้นแค่ 3 เดือน หนูรู้สึกว่ามันเร็วมาก และช่วงนี้เขาชอบพูดเกี่ยวกับเรื่องเขาตายบ่อย ๆ มันก็ยิ่งทำให้หนูเครียด คุณแม่ก็เครียดมากเพราะเป็นห่วงว่าถ้าเกิดเขาไปแล้วจะอยู่กันยังไง...? ซึ่ง “ดีเจต้นหอม” ให้คำปรึกษาว่า ‘วันนี้คงเป็นการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน สถานการณ์นี้เป็นสถานการณ์ยากลำบาก คือสถานการณ์ของการสูญเสีย แต่ต้องยอมรับว่าไม่ว่าใครทุกคนบนโลก เขาก็ไม่สามารถอยู่กับเราไปได้ตลอด ทีนี้เรื่องที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นเรื่องที่บ้านยังไม่ทันเตรียมตัว แล้วพี่ก็ไม่อยากให้คุณแม่เครียด ณ วันนี้ถ้าทุกคนที่บ้านเครียด ตัวคุณแม่เครียด มันก็จะทำให้ช่วงระยะเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน ความสุขมันก็ลดน้อยลงไปอีก เราอาจจะต้องเติมพลังบวกให้กันและกัน เหมือนกับก่อนหน้านี้เคยมีข่าวคุณหมอคนหนึ่งที่เป็นมะเร็ง เค้าเองก็รู้ว่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน เค้าก็เหมือนเติมพลังบวกให้กับตัวเอง ในการคิดว่ามันจะเป็นการออกเดินทางครั้งใหม่นะ เราอาจจะช่วยคุณแม่ ถ้าคุณแม่เป็นห่วงเรา เราอาจจะต้องทำตัวให้เราดูแข็งแกร่ง เป็นคนเก่ง แม่ไม่ต้องกังวลเลย เสาร์-อาทิตย์นี้อยากทำอะไรก็ทำด้วยกัน ให้รู้สึกว่าวันทุกวันเราสร้างความสุขแบ่งปันความสุขในทุก ๆ วันที่เราเจอกัน และก็เป็นกำลังใจให้กับเอและพี่ชายแล้วก็ครอบครัวทุกคนเลย ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้าช่วงเวลามันมีแค่ 6 เดือนตามที่คุณหมอบอก ซึ่งจริง ๆ มันมีปาฏิหาริย์เยอะแยะมากมายว่าถ้ากำลังใจของคนไข้ดี บางทีมันอาจยาวนานกว่านั้น แต่ถ้า 6 เดือนตามนั้นจริง ๆ พี่ก็แค่อยากบอกน้องเอว่า อยากให้ใช้เวลากับท่านให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่เวลามันเดินถอยหลัง ถ้าท่านอยากทำอะไรโดยที่มันไม่ไปขัดขวางการรักษา พี่อยากให้น้องเอใช้เวลาตรงนี้ให้เต็มที่ แล้วก็สิ่งหนึ่งที่พี่ฟังเหมือนท่านยังเป็นห่วง พี่อยากให้น้องเอทำเพื่อให้ท่านได้รู้ว่าถ้าไม่มีท่านอยู่จริง ๆ หนูกับพี่ชายจะอยู่กันได้ดี เพื่อที่ท่านจะไปอย่างไม่มีห่วงอะไร แต่ถ้าน้องเอทำให้ท่านรู้สึกเป็นห่วงด้วยการเสียใจ ไม่มีกำลังใจที่จะทำให้ท่านเห็นรอยยิ้ม พี่ว่าอันนี้ท่านจะยิ่งเป็นห่วง พี่รู้สึกว่าสิ่งหนึ่งที่บางทีคนที่ป่วยเขาไม่อยากเห็น คือคนรอบข้างเป็นทุกข์เพราะมันจะยิ่งทำให้เขาเป็นทุกข์ มันอาจจะต้องฝืน หนูอาจจะร้องไห้ในห้องได้หรือคุยกับพี่แล้วเศร้าใจได้ แต่เวลาอยู่กับท่านอยากให้ส่งพลังบวกให้กันและกัน เพราะเรื่องกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับคนป่วย ถ้าทำได้อยากให้เป็นแบบนี้ เพราะท้ายที่สุดท่านจะได้รู้สึกว่าเราอยู่กันได้และมีชีวิตต่อไปได้อย่างดี เขาจะได้ไม่เป็นห่วงเรามาก อย่างสุดท้ายพี่ฝากไว้ละกันเผื่อถ้าเวลามันมาถึง บางทีคนที่ป่วยเป็นโรคแบบนี้ เวลาเชื้อมะเร็งกัดกินแล้วไม่รู้สึกอะไร ถ้าคุณหมอบอกว่าในอีกไม่กี่วันเขาจะไม่รับรู้แล้ว อยากให้น้องเอและคนในครอบครัวไปคุยกับเขาเป็นวาระสุดท้าย เพราะ ณ ตอนนั้นมันเป็นช่วงเวลาที่มีค่ามาก สำหรับผู้ป่วยก่อนที่เขาจะไม่รู้ตัวและสื่อสารอะไรไม่ได้อีกแล้ว อันนี้พี่พูดในกรณีที่ถ้าเวลานั้นมาถึงจริง ๆ เหมือนเราเตรียมให้เขาไปอย่างสงบ เคลียร์ทุกอย่างบอกเขาว่าไม่ต้องห่วง หนูกับพี่กับพ่อจะอยู่กันอย่างมีความสุข แล้วเราจะคิดถึงเค้าด้วยรอยยิ้มทุกครั้งเมื่อที่เค้าจากไปแล้ว ขอเป็นกำลังใจให้น้องเอนะ สุดท้าย “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘จริง ๆ จะไม่พูดถึงว่าเวลาเหลืออีกเท่าไหร่ มันก็เป็นการประมาณการ สำหรับพี่ไม่อยากให้เอามาเป็นประเด็นเท่าไหร่ การที่เราเกิดมาเรารู้ว่ามันต้องมีอายุขัย สิ่งในชีวิตทุกอย่างบนโลกใบนี้มันมีอายุขัยของมัน ณ วันที่เราเกิด เราก็มาพร้อมกับแพ็กเกจคำว่าตายอยู่แล้ว มันอยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็วแต่ไม่มีใครอยู่ได้ จริง ๆ มันเป็นสัจธรรมมากเลยเนาะ แต่ว่ามันก็ยากในวัย 21 ปีที่เราจะเข้าใจว่าไม่ว่าช้าหรือเร็วมันก็ต้องจากกันอยู่ดี ทีนี้ความรู้สึกกะทันหันของเอ ถ้าได้คุยกับคนอื่นที่ประสบเหตุกันคนละอย่างกับที่เอเจอ ในหลาย ๆ สายที่เค้าโทรมาว่าคนที่เขารักประสบอุบัติเหตุกะทันหันชนิดที่ว่าเราไม่ได้แม้แต่จะบอกลา ถ้าเค้าเลือกได้บางทีเค้าอาจจะอยากให้เค้ามีเวลาบ้างอย่างที่เอมี อันนี้พี่เปรียบเทียบให้ดูว่าในความที่เราคิดว่าเรากำลังเจอเรื่องราวที่เลวร้าย อย่างน้อยเรายังมีโอกาสทำให้ในทุก ๆ วันที่มันยังมีอยู่ด้วยกัน ย้อนไปในวัย 21 ปี พี่ก็เสียคุณแม่ไปตอนปี 2 ก็ ณ วันนั้นเรายังเป็นวัยรุ่นที่ยังไม่ได้เป็นพ่อคน เรายังไม่เข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่มีต่อลูกมากพอ เรายังไม่ได้แสดงออก เรายังไม่ใช้โอกาสสุดท้ายในการบอกอะไรที่บางทีเรายังไม่ได้บอก เราก็แค่เขิน ไม่กล้าพูดอย่างที่เติ้ลบอก เพราะเราคิดว่ายังมีเวลา จนเมื่อเค้าไม่รู้ตัว เราถึงรู้ว่าคงไม่ได้บอกแล้ว ซึ่งถ้าเอได้ฟังอยู่ตอนนี้ก็คือ พี่ก็อยากให้เอมีโอกาสที่จะได้บอก บางครั้งเราแค่ไม่กล้าพูดว่ารัก เพราะว่าเราเป็นเด็กวัยรุ่นหรือเขิน ไม่กล้าพูด หรือคำพูดอื่น ๆ ที่เรายังไม่เคยบอก เพราะฉะนั้น ณ วันนี้ เอก็ยังมีเวลาที่จะทำให้ทุกวันที่ยังมีเค้าอยู่มันไม่มีอะไรติดค้าง ซึ่งสุดท้ายไม่ได้แปลว่าเราจะไม่เศร้าหรอก ทุกคนก็เศร้าทั้งนั้น วันสุดท้ายของมนุษย์มันเป็นสิ่งที่ประหลาดนะทุกคนต้องเจอ แต่เรามักจะถือสาว่าเราไม่ควรพูด เพราะมันเท่ากับแช่ง แต่ในความเป็นจริงถ้าเราได้พิจารณามันบ้าง ลองนึกดูบ้างว่าถ้าวันหนึ่งเราไม่มีคนที่อยู่ข้าง ๆ มันจะเป็นยังไง อย่างน้อย ๆ ในวันนั้นเหมือนเราได้ซ้อมรับแรงกระแทกไว้แล้วบ้าง ซึ่งวันนี้เอมีโอกาสละพี่ว่าอยากให้ใช้โอกาสที่เรามีอยู่ตอนนี้บอกหรือคุยกับเค้าไม่ให้มันมีอะไรติดค้าง’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1
Contact usGreenwave02-665-8377EFM02-665-8373
Advertise with usมัลลิกา ปราบอริพ่าย (กบ)(Atime Showbiz, Online Content)063-282-6915จุฑา วนศานติ (บี) (EFM)02-669-9512, 081-923-9823
อังคณา พองาม (นุก) (Greenwave)02-669-9444-7
ดาวน์โหลด Application ได้แล้ววันนี้ที่atime online application download from app storeatime online application download from play storeติดต่อสอบถาม / แจ้งปัญหาการใช้งานatimeplatform@atimemedia.com
บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน)เลขที่ 50 อาคาร จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เพลส ถนนสุขุมวิท21 (อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขต วัฒนา กรุงเทพ 10110