หนูเป็น LGBTQ+ โดนคดีแล้วได้เจอกับผู้ชายคนนึงในเรือนจำ รู้จักกัน จนรู้สึกดีต่อกัน ตกลงกันว่าในนี้เราจะคบกัน แต่ตอนนี้หนูออกมาแล้ว เพราะเขาช่วยหาทนาย สู้คดีให้ เขาบอกอยากให้หนูออกไปใช้ชีวิต

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

หนูเป็น LGBTQ+ โดนคดีแล้วได้เจอกับผู้ชายคนนึงในเรือนจำ รู้จักกัน จนรู้สึกดีต่อกัน ตกลงกันว่าในนี้เราจะคบกัน แต่ตอนนี้หนูออกมาแล้ว เพราะเขาช่วยหาทนาย สู้คดีให้ เขาบอกอยากให้หนูออกไปใช้ชีวิต

31 พ.ค. 2024

หนูเป็น LGBTQ+ โดนคดีแล้วได้เจอกับผู้ชายคนนึงในเรือนจำ รู้จักกัน จนรู้สึกดีต่อกัน

ตกลงกันว่าในนี้เราจะคบกัน แต่ตอนนี้หนูออกมาแล้ว เพราะเขาช่วยหาทนาย สู้คดีให้

เขาบอกอยากให้หนูออกไปใช้ชีวิต เจอคนใหม่ เริ่มต้นใหม่ เขาบอกอนาคตถ้าออกไป

ข้างนอกเราจะเป็นพี่น้องกัน

            “คุณแคลร์ (นามสมมติ)” อายุ 23 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [29 พ.ค. 67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาความรักกับคนในเรือนจำ

            โดย ​“คุณแคลร์ (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ย้อนไปเมื่อ 3 ปีก่อน เราประกอบอาชีพเป็นสตรีมเมอร์ และได้สิ้นสุดการประกอบอาชีพ เมื่อปลาย ปี 65 ที่ผ่านมา เพราะเราถูกฟ้องด้วยความเข้าใจผิด ในข้อหาดูหมิ่นด้วยการโฆษณา และเราก็สู้คดีมาจนถึงกลางปี 66 ซึ่งเป็นการสู้ที่เสียเปรียบมาโดยตลอด เพราะเราไม่มีกำลังทรัพย์มากพอ จึงได้ขอให้เป็นทนายขอแรงมาช่วย เขาก็ช่วยเท่าที่จะช่วยได้เท่านั้น

            จนเมื่อ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 ศาลมีคำสั่งฝากขัง ในทางปฏิบัติเราสามารถที่จะประกันตัวได้ แต่ว่าเราไม่มีเงินประกันตัว แม้กระทั่งครอบครัวที่มีคุณแม่เพียงคนเดียวก็ไม่สามารถช่วยตรงนี้ได้ จึงจำใจต้องเข้าฝากขังที่เรือนจำแห่งหนึ่ง เป็นระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งระหว่างที่อยู่ข้างใน เราได้มีโอกาส เจอกับพี่ผู้ต้องขังคนหนึ่ง เขามักจะฝากความเป็นห่วงผ่านเพื่อนผู้ต้องขังอีกคนมาถึงเรา เราก็สงสัยว่า เขาเป็นใคร ?  ต่อมาเราจึงได้ไปเจอกับเขาและได้พูดคุยกัน จนทราบว่าเขาบังเอิญเป็นคนที่อยู่ใกล้บ้านเรา แต่เราไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ซึ่งพี่เขาอายุ 40 ปีแล้ว

            หลังจากนั้น 2 อาทิตย์ ก็มีพูดคุยกัน มีการดูแลกันมากขึ้น เริ่มจากการแบ่งอาหารเช้าให้ ชวนมานั่งคุยปรับทุกข์กัน จนกระทั่งตกลงคบกัน ซึ่งเขาก็จะบอกตลอดว่า แคลร์ไม่จำเป็นต้องรักเขา ขอให้เขาได้รักแคลร์ก็พอ ส่วนตัวเราเองไม่ได้มีความตั้งใจที่จะไปเจอ หรือไปหาความสัมพันธ์แบบนี้ เพราะเราเองก็รู้สึกผิดกับตัวเองว่า ทำไมต้องมาเสียเวลาในที่แบบนี้ด้วย

            ซึ่งจากการสังเกตพฤติกรรมของเขาในการวางตัวในฐานะคนรัก เราก็เริ่มรู้สึกดีและเข้าใจอะไรหลายอย่างมากขึ้น จากที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เพราะตลอดเวลา 23 ปี แคลร์ไม่เคยมีแฟน จนกระทั่งมาเจอคนนี้ ซึ่งระหว่างที่อยู่ด้วยกัน เขาจะหาทางช่วยเหลือเราตลอด เช่น เรื่องของการอัพเดทคดีจากข้างนอก เรื่องการยื่นเรื่องส่งสภาทนายความ ให้เข้ามาช่วยตรวจสอบรูปคดี หรือการส่งคำร้องให้ศาลเร่งพิจารณาคดี เพราะว่าตอนนั้นที่เข้าไปเป็นเดือนสิงหาปีที่แล้ว และจะมีการนัดพิจารณาคดีอีกทีคือ เมษายนปี 67 ถ้าให้นับมันจะเป็นการอยู่แบบเสียเปล่าไปเลย 1 ปี

            เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ปี 66 เขาก็มาบอกกับเราว่า แคลร์พี่คุยกับทนายให้แล้วนะ ซึ่งเราก็ตกใจว่า พี่คุยกับทนายที่ไหนมา ทนายของแคร์เหรอ ? เขาก็บอกว่า เป็นทนายส่วนตัวของเขา เขาบอกทนายว่า ให้ยื่นประกันตัวให้แคลร์ เป็นการจ่ายเงินให้เราเพื่อการประกันตัว เราก็ตกใจมากว่า เขาทำเพื่อแคลร์ขนาดนี้เลยเหรอ เพราะเขาก็จะบอกกับเราตลอดว่า ออกไปก็ออกไปใช้ชีวิตนะ และไม่ต้องเป็นห่วงพี่ ลืมเรื่องราวทุกอย่าง ข้างในให้หมด ซึ่งตอนนี้แคลร์ได้ออกมาใช้ชีวิตเรียบร้อยแล้ว

            แคลร์เคยบอกกับเขาว่า อยากจะคบกับเขาเป็นแฟนจริงจัง แต่เขาบอกว่า เขาให้สัญญาไม่ได้ เพราะเขาไม่อยากให้ความหวัง และเขาก็ไม่อยากใช้คำพูดสวยหรู หากเขาได้ออกไปแล้ว เขาทำไม่ได้ แคลร์จะรับได้เหรอ ? เราก็คิดว่า สิ่งที่เขาพูดมันก็เรื่องจริง และเขาก็พูดอีกว่า แคลร์จะเป็นกะเทยคนเดียว ที่เขารักที่สุดในชีวิต และก็จะเป็นน้องที่เขารักตลอดไป

            ซึ่งเราก็ยังให้ความหวังตัวเองอยู่ในทุก ๆ วันว่า อย่างน้อยถ้าวันหนึ่ง เขาออกมา แล้วเขาเห็นว่าแคลร์ยังรอเขาอยู่ เขาก็อาจจะเปลี่ยนใจ เพราะหนูก็ไม่เคยมีความคิด ที่จะไปมองหาใครคนใหม่ตั้งแต่ออกมา เป็นระยะเวลา 7 เดือนแล้ว ซึ่งในทุกเดือนเราจะกลับไปเยี่ยมเขาเสมอ และปฏิกิริยาของเขาที่แสดงต่อเราก็ปกติทุกอย่าง แต่ทางเรือนจำจะมีการเขียนจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ รายวันถึงผู้ต้องขังด้านใน หนูก็จะเขียนถึงเขาทุกวัน แต่เขาก็จะเขียนตอบกลับมาว่า เขาขี้เกียจที่จะเดินมาหา ตอนที่เรามาเยี่ยม เขาไม่อยากที่จะเขียนจดหมายตอบกลับเรา ซึ่งเขาเป็นแบบนี้กับครอบครัวด้วย เหมือนเขาไม่อยากรับรู้เรื่องภายนอก เขาเลยพยายามกีดกันไม่ให้หนูไปเยี่ยมหรือเขียนอะไรหาเขา

            แคลร์อยากถามพี่ ๆ ดีเจว่า พอจะมีวิธีการยังไงที่จะรอเขา แบบให้ใช้ชีวิตที่มีความสุข ไม่เครียด ไม่ห่วงอะไร เพราะเราไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่เขาทำ เราไม่รู้ว่าการที่เขาทำแบบนี้เขาต้องการให้เรามีสถานะไหนกันแน่ และทุกวันนี้เขายังจ้างทนายเพื่อที่จะสู้คดีให้กับเราต่อ ซึ่งเราก็พึ่งทราบเรื่องนี้จากทนายว่า เขายังจัดการ เรื่องค่าใช้จ่ายให้เราทั้งหมดเลย และแม้ว่า เขาจะบอกให้หนูเดินหน้าต่อ แต่ด้วยความที่เขาเป็นแฟนคนแรกของเราด้วย เราเลยรู้สึกผูกพันและรู้สึกขอบคุณในการกระทำของเขา ที่ทำให้เราได้เหมือนมีชีวิตใหม่ เรารู้สึกว่า เราไม่สามารถเดินออกมาจากเขาตอนนี้ได้

            ซึ่ง “ดีเจต้นหอม” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘การที่เขาพูดว่า แคลร์เป็นน้องที่เขารัก มันเหมือนกับการที่เขาดับฝัน เพราะหากเขาออกมาข้างนอกเขาจะไม่คบกับแคลร์ แต่หากอยู่ข้างในก็เป็นแฟนกัน เหมือนกับการที่คนเหงามาเจอคนเหงา ซึ่งแคลร์ก็บังเอิญอยู่ใกล้เขา อยู่ในแดนเดียวกันได้ใกล้ชิดกัน แคลร์มีความหวังอยู่นิดหน่อยแต่ก็น้อยมาก ถ้าแคลร์จะรอเขา แคลร์ก็ต้องทรมานอยู่แล้ว แต่ถ้าแคลร์ไม่รอก็จะทรมานแค่ช่วงแรก ไม่ต้องทรมารไปเรื่อย ๆ ซึ่งถ้าเปรียบเป็นเกมไพ่ โอกาสที่แคลร์จะแพ้สูงมาก แต่ที่พี่ทำหอมรับแขกมา ได้สัมภาษณ์คนในเรือนจำและชีวิตรักในเรือนจำ ทำให้พี่ได้รู้ว่า มันเป็นชีวิตรักที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่อยู่ในเรือนจำเท่านั้น พอเราออกมา เขาก็จะมีคนใหม่เข้าไป ในขณะเดียวกัน คนที่ออกไปก็จะมีแฟนใหม่ มันเป็นวัฏจักรของเขาที่เขาจะรู้กันดีอยู่แล้ว แล้วการที่เขาส่งสัญญาณบอกเราว่า เขาไม่อยากเดินมาหา หรือการที่ เขาไม่อยากรับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ แปลว่าตอนนี้ เขาปฏิเสธเราแล้ว แล้วการที่เราเข้าไปหาเขา ก็เหมือนกับว่า เราไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการพยายามสื่อ การแสดงออกของเขาสุภาพ แต่ก็ชัดเจนว่า เขาต้องการยุติความสัมพันธ์แล้ว ซึ่งแคลร์ก็ยังไม่เข้าใจ และมันก็สร้างความอึดอัดให้กับเขา ฉะนั้นพี่คิดว่า แคลร์ไม่ควรรอ เพราะมันเป็นการรอฝั่งเดียว แคลร์ ควรหยุด เจ็บตอนนี้ให้จบและเดินหน้าใช้ชีวิตต่อไป ทางนี้จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว

            ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ด้วยสถานการณ์ที่แคลร์อยู่ตอนนั้น มันเป็นได้หลายเรื่องเลย ที่เค้าเข้ามาหาแคลร์ และมันอาจจะเป็นไปได้ว่า การที่เขาเข้ามาหาแคลร์ เขาไม่ได้รักแคลร์แบบความสัมพันธ์หนึ่ง แคลร์และเขาต่างเจอกันในช่วงเวลาที่ต้องการคนซัพพอร์ต ซึ่งชีวิตในนั้นมันมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่พี่ก็รู้สึกว่า เขาก็เป็นคนดีนะ เขาไม่ได้แค่ใช้แคลร์แก้เหงา เพียงอย่างเดียว แต่ก็ยังรับผิดชอบชีวิตของแคลร์ต่อ ซึ่งเขาก็ชัดเจนที่บอกกับแคลร์ว่า ถ้าออกจากคุก ก็ให้แคลร์ไปมีชีวิตใหม่เถอะ อย่ายึดติดอยู่กับเขา

            แต่พี่ก็เข้าใจแคลร์ เพราะเขาคือคนแรกของแคลร์ แคลร์เลยรู้สึกว่า รักครั้งนี้มันยิ่งใหญ่มาก เหมือนว่ามันเป็นพรหมลิขิต และมันคงจะดีมากถ้าเราได้อยู่ด้วยกันต่อไปจากนี้ แต่พี่คาดว่า แคลร์ไม่ใช่คนแรกของเขา แน่นอน และหลังจากแคลร์เขาก็ยังจะมีคนใหม่อีก ซึ่งเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่า เขาไม่ได้อยากมีอนาคตกับแคลร์ต่อ และเขาก็ไม่ได้ต้องการแคลร์หลังออกจากคุก ซึ่งนี่ก็เป็นคำตอบที่ใหญ่พอที่จะทำให้แคลร์เดินหน้าต่อ เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ถ้าเต็มที่สุด ๆ แคลร์อาจจะบอกกับเขาว่า แคลร์เข้าใจพี่นะ แต่ถ้าหากวันใดวันนึง ที่พี่ออกมาจากคุกแล้ว แล้วถ้าเราอยากคุยกันโดยที่ยังโสดทั้ง 2 ฝ่าย แคลร์ยังยินดีนะ แคลร์ แต่หากรอตั้งแต่ตอนนี้ มันจะเป็นการทุกข์ใจมากถึงมากที่สุด

            และสุดท้าย “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘ให้แคลร์ ไปดูรายการที่มีการสัมภาษณ์กลุ่มหนุ่มสาว LGBTQ+ ในเรือนจำ ซึ่งบทสัมภาษณ์ในรายการก็จะให้คำตอบทุกอย่าง เรื่องราวมักจะคล้ายกับสถานการณ์ที่แคลร์เจอมา เรื่องราวในนั้น เกิดขึ้นในนั้น และจบลงในนั้น ถ้าออกมาต่างคนก็ต่างไปใช้ชีวิตของตัวเอง ซึ่งหากแคลร์ได้ดู แคลร์ก็อาจจะเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างมากยิ่งขึ้น และหลังจากที่พี่อ่านแชทมาพี่ได้เข้าใจเลยว่า ความสุขของเขามันเกิดขึ้นแค่ในโลกเรือนจำ พอแคลร์ออกมาเรื่องมันก็จบ ไม่ใช่ว่าเค้าไม่รักในตัวแคลร์ แต่เป็นเพราะว่าสภาพแวดล้อมมันเปลี่ยน เรื่องมันเลยต้องจบลง ซึ่งการที่เขาออกมา มันไม่ได้การันตีเลยว่า เขาต้องสานต่อกับเรื่องราวที่เขาคิดว่ามันจบลงแล้ว ถ้าแคลร์ลองตั้งสติคิดดู แคลร์ก็รู้ว่า เขาอยากให้เรื่องราวนี้มันจบ จากการที่เขาตอบคำถามก็ตามมันก็ชัดเจนมากอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อเขาชัดเจนขนาดนี้ ก็อยู่ที่แคลร์จะยอมความจริงได้เร็วแค่ไหน ช่วงแรกมันก็อาจจะรู้สึกเศร้าบ้าง แต่มันก็ไม่ถึงขั้นทรมานเท่าการรอใครสักคนหนึ่ง ตอนนี้มันก็ต้องทำใจนิดนึง แล้วก็มีชีวิตใหม่ ให้มันกลายเป็นเรื่องราวดี ๆ ที่จบลงในเรือนจำ’

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

นักศึกษาท้อใจ โทรเล่าความรู้สึกเหมือนโดนอาจารย์ใช้อำนาจข่ม ขายหนังสือเรียนหลายร้อย แต่เรามีข้อจำกัดเรื่องเงิน ต้องส่งตัวเองเรียน ไปขออาจารย์ถ่ายแบบฝึกหัดแล้วส่งออนไลน์พร้อมเพื่อนคนอื่นได้ไหม? อาจารย์บอก ไม่ได้ มันจะละเมิดลิขสิทธิ์ สุดท้ายต้องจำใจจ่ายเงิน

20 พ.ย. 2023

นักศึกษาท้อใจ โทรเล่าความรู้สึกเหมือนโดนอาจารย์ใช้อำนาจข่ม ขายหนังสือเรียนหลายร้อย แต่เรามีข้อจำกัดเรื่องเงิน ต้องส่งตัวเองเรียน ไปขออาจารย์ถ่ายแบบฝึกหัดแล้วส่งออนไลน์พร้อมเพื่อนคนอื่นได้ไหม? อาจารย์บอก ไม่ได้ มันจะละเมิดลิขสิทธิ์ สุดท้ายต้องจำใจจ่ายเงิน

“คุณแซ่บ (นามสมมติ)” อายุ 20 ปี สายที่สี่ในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (15 พ.ย. 66) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม กับปัญหาที่รู้สึกเหมือนโดนอำนาจข่มทางการเรียน โดย “คุณแซ่บ (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ล่าสุด เปิดเทอม 2 ซึ่งในแต่ละรายวิชาก็เหมือนจะให้เราได้เลือกซื้อหนังสือ ใครจะซื้อหรือไม่ซื้อก็ได้ แล้วมันก็มีอยู่วิชานึงที่เรารู้สึกว่าเราไม่ซื้อก็ได้ เราหารกับเพื่อนเหมือนครั้งก่อน ๆ ที่เคยเรียนมา เรารู้สึกว่าหนังสือเล่มนึงไม่ได้ใช้ขนาดนั้นเพราะเหมือนที่อาจารย์สอนก็มีสไลด์ให้ แล้วมันมีอยู่วิชานึงอาจารย์ก็ให้ลงชื่อคนที่ซื้อหนังสือ เพราะว่าเขาจะนับจำนวน หนูไม่ได้ลงชื่อเพราะหนูหารกับเพื่อนเลยเขียนเป็นชื่อเพื่อนลงไป ทีนี้พอส่งกระดาษรายชื่อไป อาจารย์เขาเหมือนเห็นว่าที่ช่องชื่อหนูไม่มีการลงชื่อ อาจารย์เลยเรียกให้หนูไปคุยหน้าห้อง แต่ที่หน้าห้องก็มีเพื่อน ๆ นั่งอยู่ แล้วอาจารย์เขาก็บอกว่า ‘หนูแน่ใจหรอว่าหนูจะไม่ซื้อหนังสือ ตัวนี้จะเปิดเรียนเป็นเทอมสุดท้ายแล้วนะ’ ก็คือปีหน้าเขาจะปรับหลักสูตรอะไรแบบนี้ จะไม่ซื้อจริง ๆ หรอ หนูก็เลยตอบไปว่า ‘จริงค่ะ อยากลดค่าใช้จ่าย’ อาจารย์ก็เลยถามว่า ‘แล้วถ้าอาจารย์ให้ทำแบบฝึกหัดจะทำยังไง’ หนูเลยตอบว่า ‘ก็คงให้เพื่อนถ่ายหน้าแบบฝึกหัดมาให้ แล้วหนูจะเขียนคำตอบในโทรศัพท์แล้วค่อยส่งผ่านระบบแทนอะไรแบบนี้’ แล้วอาจารย์เขาก็บอกมาว่า ‘ถ้าอย่างนั้นมันจะติดเรื่องลิขสิทธิ์นะ หนูต้องเขียนหนังสือขออนุญาตอาจารย์’ เขาบอกว่าถ่ายรูปแล้วเขียนคำตอบลงกระดาษแล้วก็ส่งอาจารย์เขาอีกที เขาก็จะให้เขียนหนังสือแล้วก็จะเซ็นต์เก็บเป็นหลักฐานเอาไว้ แล้วทีนี้หนูก็เหมือนถามอาจารย์ว่ายังมีเพื่อนอีกหลายคนที่ไม่เอา ทำไมอาจารย์ไม่เรียกมาทีเดียวอาจารย์ เขาก็ตอบว่ามันเหมือนเช็คชื่อยังไม่ถึง หนูก็เลยบอกว่าโอเคค่ะ เดี๋ยวสัปดาห์หน้าหนูจะเอาหนังสือของญาติมาส่งอาจารย์ แล้วทีนี้หนูก็ไปนั่งที่พอซักพักอาจารย์เขาก็ปล่อยกลับให้กลับได้เลย หนูก็สงสัยว่าทำไมเขาไม่เห็นเรียกคนอื่นเลย แล้วหนูก็เอาเรื่องนี้มาปรึกษาที่บ้าน เพราะว่าในความรู้สึกหนู อาจารย์เขาเหมือนถามย้ำซ้ำ ๆ ว่า ‘จะไม่ซื้อจริงหรอ ถ้าแบบเกรดไม่ดีจะทำยังไง’ ในความรู้สึกหนูเหมือนกับว่าถ้าไม่ซื้อหนังสือ เกรดหนูจะไม่ดี ที่บ้านก็เลยบอกว่าให้ซื้อไปเถอะลูก ให้มันจบ ๆ ไป เพราะว่าในตอนมัธยม หนูมีปัญหาอะไรแบบนี้แล้ว คือให้ลงชื่อเรียนพิเศษ แต่ว่าหนูไม่ได้ลงเรียน ทีนี้อาจารย์ที่เขาสอนพิเศษเหมือนเขาขายคอร์สพร้อมข้อสอบย่อย ที่จะเอาไปออกข้อสอบนักเรียนทั่วไป เหมือนนักเรียนที่เขาเรียน จะรู้แนวข้อสอบอยู่แล้ว แล้วห้องที่ไม่ได้เรียนก็ต้องมานั่งลุ้นเอาว่าจะออกอะไร ในความรู้สึกส่วนตัวหนูรู้สึกเหมือนมีอคติกับบุคลากรที่ทำแบบนี้ มันไม่ดี หนูอยากพูด มันรู้สึกอึดอัดมากเลย เหมือนหนูรู้ว่ามันผิด แต่ก็ต้องยอม หนูก็เลยอยากถามพวกพี่ ๆ ว่า ‘ถ้าสมมติเราเจอเหตุการณ์แบบนี้ สายการทำงานแบบนี้ เจอแบบนี้ในสังคม เราควรจะปรับตัวยังไง จะตั้งรับยังไงดีคะ ?’ ซึ่ง “ดีเจต้นหอม” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ก็วันนึงที่เราออกมาเราอย่าเป็นคนแบบนั้น เราคือเด็กรุ่นใหม่แล้ว เราก็คือมองแล้วจำไว้เลยว่านี่คือคนในยุคนี้ คนที่มันทุจริตเล็ก ๆ น้อย ๆ พอรวมกันแล้วมันกลายเป็นฟันเฟืองที่ยิ่งใหญ่ แล้วถ้าเกิดคนพวกนี้ที่ทุจริตไปอยู่ในจุดที่มีอำนาจสูงสุด มันก็จะทำความฉิบหายได้เยอะมาก เราเติบโตมาแล้ว อย่าเป็นอย่างงั้น หนูจะใช้ชีวิตยังไง ก็คงใช้ชีวิตตามน้ำ ซื้อก็ซื้อเพื่อตัดปัญหา เหมือนไม้ซี่ที่งัดไม้ซุงไม่ไหว’ ต่อมา “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘มองไปรอบ ๆ ตัว ก็เห็นการโกงกันซึ่ง ๆ หน้าเยอะเลย พี่ไม่สามารถจะบอกให้แซ่บไปต่อสู้ความถูกต้องอะไร เพราะว่ารู้สึกแย่เหมือนกันที่เราจะบอกเด็กคนนึงไม่ได้ว่าแบบ งั้นหนูก็สู้เพื่อความถูกต้องสิ เพราะเรารู้อยู่แก่ใจว่าสู้ ร้องเรียนอะไรก็ไม่ได้ดีขึ้นมา แซ่บลองมองออกไปนอกมหาลัยมันมีอะไรที่ไม่โปร่งใสเต็มไปหมด คำถามคือแล้วเราคิดยังไง คือคนเจนพี่ฝากความหวังไว้ให้คน GEN Z นะ ว่าเด็กที่กำลังตาม ๆ มา มันเติบโตมาพร้อมกับตรรกะชีวิตอีกแบบนึง พี่มองขึ้นไป GEN ก่อนหน้าพี่มันแก้อะไรไม่ได้แล้ว รุ่นพี่ก็ยังไม่ได้เป็นรุ่นที่คิดได้เหมือนรุ่นใหม่ ๆ รุ่นพี่ก็ยังอยู่ในรุ่นปรับตัว คนที่ปรับได้เหมือนเราก็มี คนที่มันยังอยู่กับชุดความคิดเดิม ๆ ก็มี ซึ่งมันไม่โปร่งใสเต็มไปหมด พวกพี่ก็ไม่ได้พอใจ พี่ถึงให้คำแนะนำกับแซ่บไม่ได้ว่าให้สู้เพื่อความถูกต้องสิ เพราะสู้ไปก็เท่านั้น’ สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พอฟังเสียงแซ่บเหมือนแซ่บจะผิดหวัง เดี๋ยวจะเฟล พี่แค่รู้สึกว่ามันมีครูที่เป็นแบบคนนี้หนึ่งคน แต่พี่ก็เชื่อว่าอาจารย์ท่านอื่น ๆ ก็ไม่เป็นแบบนี้กับแซ่บ มันก็ต้องมีอาจารย์ดี ๆ ด้วย แต่ถูกต้องแล้วที่หนูรู้สึกผิด พี่เห็นด้วย แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว แล้วเราจะทำยังไงกับตัวเองต่อ ไม่อยากให้ตัวเองหมดหวังสิ้นหวัง หมดกำลังใจ ก็ต้องบอกตัวเองเลยว่าเราจะไม่เป็นคนแบบนั้นเหมือนที่เคยพูดกัน เราก็จะไม่ทำแบบนี้กับคนอื่น เพราะตอนนี้เราควบคุมมันได้ แต่ตอนนั้นเราควบคุมไม่ได้เพราะอาจารย์นั่นมันเป็นคนแบบนั้น ในกลุ่มอาจารย์ที่เยอะ ๆ นางก็เป็นคนนิสัยแบบนั้น แต่เอาจริงมันอาจมีเหตุผลเบื้องหลัง บางคนเขาเสนอว่าแบบ คณะอาจเสนอมาว่าแบบช่วยหน่อยเว้ย ดันหนังสือขายหน่อย อะไรอย่างงี้เพราะเราก็ไม่รู้เบื้องหลังรู้ดีเทลละเอียดขนาดนั้น ตัวแซ่บเองก็ไม่รู้ มันก็เป็นไปได้หมดเลย ที่จะทำให้คน ๆ นึงตัดสินใจทำอะไรลงไป อย่างที่เราเห็นในข่าว เราไม่รู้ว่าคน ๆ นั้นเขาเจออะไรมาหรืออะไอย่างนี้ด้วย’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

ลูกสาวม.1 อึดอัดใจ พ่อแม่แยกทางกัน พ่อให้เงินค่าขนมลูก อาทิตย์ละ 700 แม่ได้อาทิตย์ละ 1000 แต่พอได้เงินมา แม่ขอลูกอาทิตย์ละ 300-400 ยืมเงินค่าขนมลูกมาตั้งแต่ ป.5 ผ่านมา 3 ปี ยอดเป็นแสนแล้ว

03 พ.ค. 2024

ลูกสาวม.1 อึดอัดใจ พ่อแม่แยกทางกัน พ่อให้เงินค่าขนมลูก อาทิตย์ละ 700 แม่ได้อาทิตย์ละ 1000 แต่พอได้เงินมา แม่ขอลูกอาทิตย์ละ 300-400 ยืมเงินค่าขนมลูกมาตั้งแต่ ป.5 ผ่านมา 3 ปี ยอดเป็นแสนแล้ว

ลูกสาวม.1 อึดอัดใจ พ่อแม่แยกทางกัน พ่อให้เงินค่าขนมลูก อาทิตย์ละ 700แม่ได้อาทิตย์ละ 1000 แต่พอได้เงินมา แม่ขอลูกอาทิตย์ละ 300-400ยืมเงินค่าขนมลูกมาตั้งแต่ ป.5 ผ่านมา 3 ปี ยอดเป็นแสนแล้ว พอไม่ให้แม่ก็ร้องไห้ใส่ลูกสาวเผยความรู้สึก หนูอยากจบลูปนี้จะทำยังไงดีคะ? “คุณมีน (นามสมมติ)” อายุ 13 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [1 พ.ค. 67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาที่ตัวเองโดนคุณแม่ยืมเงินตั้งแต่ ป.5 จนตอนนี้ขึ้น ป.1 แล้ว พฤติกรรมของแม่ก็ยังเหมือนเดิม โดย ​“คุณมีน (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ย้อนกลับไปสมัยที่ยังเป็นเด็ก แม่ของหนูมักจะถามย้ำมาตลอด และถามย้ำแทบจะทุกปีว่า ‘ถ้าแม่กับพ่อเลิกกัน หนูจะเป็นอะไรไหม?’ จนกระทั่งขึ้นชั้น ป. 5 หนูก็บอกกับแม่ไปว่า ‘ถ้าแม่เหนื่อย แม่ก็ออกมานะ’ แล้วแม่ก็ถามอีกว่า ‘แล้วเราจะยังอยู่กับแม่ไหม?’ ตอนนั้นเลยตอบแม่ไปว่า ‘อยู่ค่ะ’ เวลาผ่านไปไม่นานพ่อกับแม่ก็หย่ากัน พ่อจึงย้ายไปอยู่กับภรรยาใหม่ ส่วนหนูก็อยู่กับคุณแม่ หลังจากนั้นก็ขึ้นชั้น ป.6 หนูทำคะแนนสอบ O-Net ได้เต็ม จึงได้เงินสนับสนุนจากโรงเรียน 5,000 บาท พฤติกรรมของแม่ก็เริ่มเปลี่ยน แม่ก็เริ่มที่จะขอยืมเงินจากหนูทีละ 2,000 บาท โดยอ้างว่าจะเอาเงินไปเปิดบัญชีให้ หนูก็ไม่ได้คิดอะไร เอาเงินให้แม่ไป แล้วหนูก็มารู้ทีหลังว่า แม่เอาเงินไปลงทุนขายของ แต่ไม่ได้กำไรอะไรกลับคืนมาเลย ให้เหตุผลกับหนูว่า ‘แม่ขายไม่ดี’ ซึ่งตอนนั้นหนูก็ไม่รู้เลยว่า ‘แม่เอาเงินของหนูไปใช้เพื่อการลงทุนขายของจริงหรือเปล่า ?’ หลังจากนั้นก็ขึ้นชั้น ม.1 หนูก็ได้เงินค่าขนมเพิ่มจากพ่อ เป็นรายอาทิตย์ครั้งละ 700 บาท แม่ก็เริ่มที่จะขอยืมเงินอีกครั้ง ซึ่งขอยืมทีละ 300 - 400 บาท หนูก็ถามหาเหตุผลจากแม่ แม่ก็ให้เหตุผลว่า ‘เอาไว้ใช้ซื้อข้าวให้หนู’ หนูอยากจะถามแม่ว่า ‘แล้วเงิน 1,000 ที่พ่อให้แม่เอาไว้ซื้อข้าวให้หนูมันหายไปไหน ?’ แต่หนูก็ไม่ได้ถามออกไป ทำได้แค่ให้เงินแม่ไป รวมถึงช่วงปิดเทอมด้วย หนูได้เงินค่าขนม 500 บาท แม่ก็จะมาขอยืมทีละ 200 - 300 บาท แล้วมันก็เป็นแบบนี้มาเรื่อย ๆ จนเคยมีครั้งหนึ่ง หนูลองปฏิเสธแม่ แม่เขาก็ร้องไห้ บอกกับหนูว่า ‘ทำไมหนูถึงไม่ช่วยเขาเลย หนูไม่รักเขาแล้ว’ ทุกครั้งที่ยืมเขาจะคืนบ้าง ไม่คืนบ้าง แต่จะขอยืมทุกครั้งเมื่อหนูได้เงิน ซึ่งหนูให้เกือบทุกครั้ง หนูก็ปล่อยเลยตามเลยไป โดยหลังจากที่แม่เลิกลงทุนขายของ แม่ก็ไปเป็นลูกจ้างขายของในตลาดหน้าโรงเรียน และตอนนี้แม่ก็ทำงานอยู่ในสถานบันเทิง ซึ่งแม่ก็ไม่ได้มีครอบครัวใหม่ ปัจจุบันแม่อายุ 46 ปีแล้ว หนูเคยถามว่า ‘แม่เอาเงินไปใช้ทำอะไร?’ แม่เคยให้เหตุผลว่าเอาไปเลี้ยงแมว เพราะหนูเคยเลี้ยงแมว ที่บ้านของแม่ ซึ่งแมวพวกนั้นก็ไม่ได้ทำหมัน ทำให้มีแมวเยอะ ภาระของแม่ก็เลยเยอะขึ้น ทั้งค่าอาหาร และค่าดูแลรักษา ในหลายครั้งที่แม่ยืมเงินหนู แต่ละอาทิตย์ หนูจะต้องบริหารเงินใช้เอง โดยการขอค่าขนมหรือค่าข้าวเพิ่ม จากคนอื่นในครอบครัว ซึ่งตอนนี้หนูขึ้น ม.2 แล้ว ตลอดระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่ ป.5 ถึง ม.2 แม่ก็จะขอยืมเงินมาตลอด จากการคาดการณ์จำนวนเงินที่แม่ยืมก็น่าจะถึง 10,000 กว่า แม้ในตอนที่หนูชวนเขาไปเที่ยว หนูก็ต้องเป็นคนออกค่ากิน ค่าเดินทางให้เขาทั้งหมดเลย พ่อรับรู้เรื่องนี้ แต่พ่อไม่รู้ว่า ทุกวันนี้แม่ก็ยังยืมอยู่ ก่อนหน้านี้เคยมีเหตุการณ์ที่พ่อให้เงินหนูเพิ่ม เพื่อเอามาให้แม่ แต่แม่ก็ไม่รับเงินนั้น แต่ก็มาเอาเงินของหนูแทน พ่อกับแม่เคยทะเลาะกันเพราะเรื่องเงิน เพราะจริง ๆ แล้ว แม่ก็ทำงานมีเงินหลักหมื่น พอเขาทะเลาะกัน แม่ก็มาคุยกับหนูว่า ‘ทำไมถึงไปบอกพ่อ ทำไมหนูถึงไม่ช่วยเขาเลย’ แม่มักพูดประโยคเดิม ๆ ซ้ำ ๆ จนหนูจำได้ขึ้นใจ ตอนช่วงหลังๆ เวลาที่พ่อถามหนูก็ต้องแก้ต่างให้แม่ หลังจากเหตุการณ์ที่แม่บอกว่า ‘หนูไม่รักเขา’ ทุกครั้งที่แม่ขอยืม หนูก็จะปฏิเสธ แต่แม่ก็ยังทำเหมือนว่าเสียใจ จนหนูต้องเป็นคนรู้สึกผิด เพราะหนูถูกปลูกฝังมาโดยตลอดว่า ‘คนเป็นลูกต้องกตัญญู’ แม้ว่าแม่จะไม่เคยทวงบุญคุณ แต่หนูก็จะรู้สึกแปลก แม่ของหนูเป็นคนที่ชอบดูดวง จนมาพูดกรอกหูกับหนูตลอดเลยว่า ‘เขามีดวงที่มีคนเข้าอุปถัมภ์ เหมือนว่าเดี๋ยวเขาก็จะรวยขึ้น เขาจะมีเงินเยอะ แล้วหนูจะไม่มีวันทิ้งเขา’ เหมือนกับว่า ‘ให้แม่มาก่อน เดี๋ยวแม่ก็รวย แม่ก็จะใช้เงินดูแลมีน’ หนูอยากถามว่า ‘หนูควรจะทำอย่างไร ให้แม่หยุดยืมเงิน โดยที่ไม่ต้องมีปัญหาต่อ เพราะว่าหลังจากนี้ แม่คงไม่ได้มีบทบาทของความเป็นแม่อีกแล้วค่ะ’ ​ซึ่ง “ดีเจเผือก” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘คงต้องบอกปัญหานี้กับพ่อ เพื่อให้พ่อเป็นคนจัดการปัญหาให้ เพราะแม่เขาคงคิดว่าเงินจำนวนนี้เป็นเงินของพ่อ เป็นเงินที่พ่อให้มา ไม่ใช่เงินของหนู เขาคิดว่านี่คือเงินที่พ่อ หรือญาติ ๆ ให้ เขาไม่ได้มองว่านี่คือเงินของมีน การที่เขามาเอาเงินจากมีน ก็เหมือนว่าเขาเอาเงินพ่อ ที่บางทีเขาอาจจะไปขอที่พ่อแล้ว แต่พ่อก็ไม่ให้ หรือมันอาจจะเป็นเงินที่เขาจำเป็นต้องใช้เพิ่มเติม ซึ่งถ้าหนูบอกว่าอยากให้เรื่องนี้จบ หนูก็ต้องบอกพ่อ ให้พ่อจัดการกับเรื่องนี้ แล้วหนูก็ต้องเลือกสักฝั่ง ต้องไม่ปกป้องแม่ ต้องเลือกทำสิ่งที่ถูก แล้วเรื่องนี้ก็จะจบ เพราะจุดเริ่มต้นมันมาจากเงินที่พ่อให้ หนูไม่สามารถจัดการกับเรื่องนี้เองได้ ต้องให้ผู้ใหญ่เป็นคนจัดการ แล้วก็เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้พ่อฟังเหมือนที่โทรมาเล่าให้พวกพี่ฟัง’ ต่อมา “ดีเจต้นหอม” ให้คำปรึกษาว่า ‘ข้อหนึ่ง น้องมีนต้องเรียกแม่มาคุย ถ้าไม่กล้าก็ข้ามข้อนี้ไป แต่ถ้ากล้าก็บอกแม่เลยว่า ที่มีนเรียกแม่มาคุย เพราะต่อจากนี้มีนจะไม่ให้แม่ยืนเงินแล้ว เพราะมีนก็ยังไม่มีรายได้ แล้วปัญหาของแม่ก็คือ มันดีแค่ไหนแล้วที่แม่ไม่ต้องออกค่าเทอม ทั้ง ๆ ที่แม่ควรจะมีส่วนในการดูแลมีนด้วยซ้ำ แล้ววันนี้มินก็ไม่ได้เรียกร้องให้แม่ทำหน้าที่แม่ด้วยซ้ำ มีนก็แค่อยากจะบอกแม่ว่าปัญหาของแม่ แม่ก็ต้องแก้เอง และถ้าแม่มีปัญหาเรื่องเงินอีก มีนจะต่อสายให้คุยกับพ่อ เพราะนั่นเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ข้อสอง อาจจะแก้ว่าพ่อมีปัญหาเรื่องเงิน แม่ขอค่าเทอมหน่อย เพื่อให้แม่รู้ว่า นี่ก็เป็นหน้าที่แม่เหมือนกัน กับข้อสาม… วิธีของพี่เผือก… ให้ผู้ใหญ่จัดการปัญหานี้แทนเรา แล้วก็อยากให้มีนเข้มแข็งในการปฏิเสธ ต้องมีเด็ดเดียว ! สมมติว่าเขามาขออีก ก็บอกเขาไปเลยว่า ดีแค่ไหนแล้วที่แม่ไม่ต้องมาออกค่าเทอมให้มีน แม่รู้ใช่ไหมว่าการที่ทำให้เด็กคนนึงเกิดมา คนที่ทำให้เกิดมาจะต้องรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่าย อันนี้มันกลับตาลปัตรไปหมดเลย มีนต้องเข้มแข็ง ไม่ให้ก็คือไม่ให้ ! ถ้าแม่ร้องไห้ก็คือต้องยื่นทิชชูให้แม่ แล้วก็บอกว่าจะร้องอีกแค่ไหน ให้กลับไปร้องที่บ้าน อันนี้ยากไปไหมคะ ถ้ายากพี่จะบอกวิธีที่ง่ายกว่านี้… บอกแม่ว่า มีนก็ไม่มีเหมือนกัน แล้วถ้าแม่อยากได้จริง ๆ มีนจะให้แม่คุยกับพ่อนะ แล้วมีนก็ต่อสายโทรศัพท์ตรงนั้นเลย ทำยังไงก็ได้ แต่หนูต้องไม่ให้เขายืม เพราะเขาจะติดนิสัยแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เป้าหมายคือไม่ให้ยืมอีกแล้ว มีนต้องเก็บเงิน หรือบริหารเงินด้วยตนเอง เพราะตอนนี้มีนก็ 13 แล้ว เราต้องดูแลตัวเอง ! พี่ก็เห็นด้วย ที่คุณพ่ออาจจะต้องลงมาแก้ปัญหาเรื่องนี้ แล้วไม่ว่าแม่จะว่าเรายังไงก็ตาม ก็ไม่ต้องสนใจ ถ้าแม่เป็นแบบนี้อยู่ พ่อก็ต้องลงมาจัดการ’ และสุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า ‘วิธีแรก แบบประนีประนอมที่พี่คิดได้ตอนนี้ ลองบอกแม่ว่าพ่อให้เงินใช้รายวัน ถ้าจะมาขอยืมต้องไปเอากับพ่อ หนูใช้วันละ 100 ก็ไม่พอแล้ว ถ้าแม่ต้องการเงินเพิ่ม ก็ไปเอากับพ่อเลย หนูไม่มี ! วิธีสอง ก็คือการคุยกับคุณพ่อว่าแม่ยืมเงินหนู แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม พี่อยากบอกกับมีนว่า ถ้าแม่เขาพูดว่า ทำแบบนี้คือลูกอกตัญญู พี่ว่าตัวพี่และคนอื่น ๆ ที่ฟังอยู่ อยากบอกหนูว่าหนูไม่ใช่เด็กอกตัญญู อย่างที่หนูบอก คุณแม่เขาต้องดูแลหนูด้วยซ้ำ แต่นี่หนูเอาค่าขนมของตัวเองไปให้เขาตั้ง 3 ปี มันไม่ใช่สิ่งที่หนูจำเป็นต้องทำด้วยซ้ำ แต่นี่คือหนูก็รักเขา อยากช่วยเหลือเขา แต่บางครั้งเราต้องรู้ว่า ถ้าเราต้องช่วยเหลือคนอื่น เราต้องไม่ลำบากด้วย แต่ตอนนี้มันชัดเจนว่า ตัวหนูลำบากและหนูมีใช้ไม่พอ หนูต้องไปขอเพิ่ม หนูจึงไม่สบายใจ เขาจำเป็นต้องรู้ผิดชอบชั่วดี ว่าการที่เขามายืมเงินลูกที่ลูกได้อาทิตย์ละ 700 แสดงว่าเขาก็ไม่ได้คิดเลยว่ามีนจะกินอยู่ยังไง หรืออาจเป็นเพราะว่าเค้ามั่นใจ ว่ามีนจะรอด เพราะว่ามีนยังมีพ่อกับป้าคอยดูแล แต่ถ้าเราทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เขาก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่เสียคน !’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

หัวหน้างานมีลูกมีเมียแล้ว แต่มาขอเลี้ยงดูเรา แบบไม่หวังผลอะไร เราปฏิเสธไปแล้ว แต่เขาก็โอนมาให้ทีละ 1000 2000 5000 ตอนนี้อึดอัด ไม่อยากออกงานเพราะงานดี เงินก็ดี เสียดายงานนี้ จะทำยังไงดี?

12 ธ.ค. 2023

หัวหน้างานมีลูกมีเมียแล้ว แต่มาขอเลี้ยงดูเรา แบบไม่หวังผลอะไร เราปฏิเสธไปแล้ว แต่เขาก็โอนมาให้ทีละ 1000 2000 5000 ตอนนี้อึดอัด ไม่อยากออกงานเพราะงานดี เงินก็ดี เสียดายงานนี้ จะทำยังไงดี?

“คุณเอ (นามสมมติ)” อายุ 23 ปี สายที่สามในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (6 ธ.ค 66) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจต้นหอม – ดีเจเติ้ล – ดีเจอั๋น กับปัญหาพี่ที่ทำงานอยากขอเลี้ยงดูเรา ทั้งๆ ที่เขาก็มีลูกมีเมียแล้ว โดย “คุณเอ (นามสมมติ)” เริ่มเล่าว่า ‘เป็นเรื่องที่พี่หัวหน้าที่ทำงาน เขาอายุห่างกับหนูเกือบ 20 ปี เขามาขอดูแลเรา ทั้งๆที่เขามีลูกมีเมียอยู่แล้ว แล้วหนูก็ไม่ได้อยากออกจากงาน เขามาพูดว่า “เขาอยากดูแล เขาไม่อยากได้อะไรจากเรา ขอแค่ดูแล” แต่พอมันเยอะขึ้นๆ หนูก็รู้สึกอึดอัด ก็เลยบอกเขาไปว่า “ไม่ต้องดูแลก็ได้ค่ะ แค่ถามไถ่กันอย่างนี้ก็พอ” แต่มันจะมีช่วงที่เขาให้คนมาถามเวลาเราคุยโทรศัพท์ ว่าเราคุยกับใคร? คุยกับผู้หญิงหรือผู้ชาย ช่วงแรกๆ ที่หนูมาทำงาน เขาก็จะซื้อน้ำ ซื้ออะไรมาให้ “หนูก็ไม่เป็นไรค่ะ เกรงใจ” แต่พี่เขาก็บอกว่า “ไม่เป็นไร พี่แค่อยากช่วย เห็นเราเป็นรุ่นน้อง” แต่มันเริ่มข้ามเส้นเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว เขาฟอลไอจีมา ไม่รู้ว่าหามาจากไหน หลังจากนั้นเขาก็เริ่มมาชวนเราไปทานข้าว ซื้อของราคาแพงให้เรา บางทีก็โอนเงินมาให้ ครั้งละ 1,000 บ้าง 2000 บ้าง มากสุด คือ 5000 บาท เขาบอกว่า “เขาแค่อยากให้ เขาไม่ได้ต้องการอะไร” หนูก็รู้สึกแปลกๆ เพราะมันมีด้วยหรอที่ให้แล้วไม่ต้องการอะไร เขาก็มีลูกมีเมียอยู่แล้ว และหนูเองก็มีคนคุยอยู่เหมือนกัน หลังจากนั้น 2 เดือนต่อมาเขาก็มาบอกว่า “ขอคุยในฐานะอื่นได้ไหม” หนูก็บอกเขาไปว่า “พอดีมีคนคุยแล้ว แล้วก็ไม่ได้คิดจะชอบเขา” เหมือนมันจะดีขึ้น แต่สักพักเขาก็มาชวนไปทานข้าว ส่งสติกเกอร์ ส่งไลน์ ส่งเพลงมาให้ บางทีหนูก็รำคาญแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาเป็นรุ่นพี่ เป็นหัวหน้างานเรา เคยปฏิเสธไปแล้ว แต่เขาก็ตึงๆ ใส่เรา บรรยากาศมันก็จะตึงๆ บางทีก็เลยยอมไปกับเขาด้วย แล้วเขายังเคยทักไปหาคนคุยเราว่าคุยกับเราจริงไหม? เขาบอกว่าเขาต้องการความชัดเจน แต่งานนี้เงินดี แล้วงานก็ดีมาก ก็เลยไม่อยากจะออก หนูอยากจะปรึกษาว่าควรจะทำยังไง หรือหาคำพูดยังไง หรือว่าควรบอกภรรยาเขาเลยดีไหม?’ โดย “ดีเจต้นหอม” ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่กำลังเป็นห่วงความปลอดภัย มันปลอดภัยแค่ไหนถ้าเราทำงานอยู่กับเขา 2 คน ถ้าเกิดเขาใช้กำลังกับเรา ถ้าแนะนำตอนนี้คือปฏิเสธให้เด็ดขาด สิ่งที่เขาทำให้อึดอัด แล้วเขาน่าจะเริ่มเข้ามาได้ไม่นาน ฉะนั้นเขาน่าจะไม่ได้มีความหวังอะไรมาก การไม่ไปกินข้าวกับเขาสองต่อสองเป็นการดับความหวัง เพราะการไปกินข้าวกับเขามันเป็นการให้เขามีความหวัง แล้วเขารู้ว่าเราเป็นคนใจอ่อน แล้วของทุกอย่างไม่ต้องรับ เราต้องไม่รับของเขาเพื่อทำให้เขารู้ในความชัดเจน ต่อให้เขาจะไล่หนูออกหรือว่าต้องหางานใหม่ พี่ว่าก็หางานใหม่ถ้าเขาจะไล่เราออกด้วยเหตุผลแค่นี้ ถ้าเขาให้เงินมาก็บอกไปว่าขอไม่รับ หนูรู้สึกอึดอัดหนูขอไม่รับดีกว่าหนูจะสบายใจกว่า การรับผลประโยชน์จากเขามันแปลว่าเรายอมรับนิดนึงแล้วต้องชัดเจน สำหรับพี่ถ้ายังเสียดายงานนี้ ก็ตีตัวออกห่างแสดงความชัดเจนเลย ผู้ชายคนนี้น่ากลัวมาก เราพูดไปเลยว่า “พี่คะ สิ่งที่พี่กำลังทำอยู่หนูอยากให้หยุดเพราะหนูอยากมาที่นี่เพื่อทำงาน แล้วหนูรู้สึกอึดอัด แล้วหนูก็รู้จักกับครอบครัวพี่ ถ้าพี่จะถามหาความชัดเจนระหว่างเราหนูขอปฏิเสธตรงนี้เลย ว่าหนูไม่ได้คิดอะไร สิ่งที่พี่ทำอยู่มันทำให้หนูรู้สึกไม่สบายใจ” ชัดเจนไปเลยต่อให้เราไม่มีแฟนเขาก็ไม่มีสิทธิ์มาทำอะไรกับเราแบบนี้’ ต่อมา “ดีเจอั๋น” ให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้าหนูจะบอกภรรยาเขาหนูเตรียมหางานใหม่ ซึ่งถ้าหนูคิดว่าจะหางานใหม่อยู่แล้วก็ไม่ต้องไปบอกภรรยาอยู่ดี พี่ว่าไม่จำเป็นต้องไปถึงขั้นนั้น ถ้าเขาจะให้เงินเรา เราก็บอกไปว่า “ถ้าพี่เห็นหนูทำงานดี พี่ให้เป็นโบนัสเลยตอนปลายปี” จริงๆ นี่คือคุกคามอย่างชัดเจน และคุกคามโดยเอาหน้าที่การงานมากดทำให้เราอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถปฏิเสธ แล้วก็เราพูดไปเลยว่า “แล้วถ้าบังเอิญหนูทำอะไรให้พี่เข้าใจผิดไปว่าหนูมีใจ หนูขออภัยด้วยค่ะ แล้วสิ่งสุดท้ายที่หนูจะทำในชีวิต คือการยุ่งกับคนมีเจ้าของแล้ว เพราะมันเป็นบาปค่ะ” แต่พี่ว่ายังไงเราควรหางานอื่นสำรองไว้’ และสุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า ‘หนูเริ่มต้นงานอื่นได้ พี่ว่าสิ่งที่เขาทำมันเกินไปแล้ว พื้นที่ส่วนตัวของเรา มันคุกคามแล้วก็ยิ่งเขาชัดเจนว่าขอดูแลเราพี่ว่าเขาไม่ได้หวังดีกับเรา ไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นได้ขนาดไหน ถ้าเขายังขนาดนี้ ทั้งที่เขามีลูกมีเมียอยู่แล้ว พี่ว่าหนูไปทำงานที่อื่นสำหรับพี่ แล้วยืนยันไปว่าหนูไม่มีอะไรมากกว่าการทำงานเลย น้องเอต้องคิดดีๆ พี่ว่าอย่าละเลยต้องระวัง’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

ก่อนคบสามีเราพอรู้นิสัยว่าแม่เขาเป็นคนยังไง พอแต่งงานเข้าไปอยู่บ้านเขาได้ 1 เดือน หนูท้อง แม่สามีจับผิดทุกอย่าง ห่วงเราเกินเหตุ อึดอัดจนหนูเก็บเสื้อผ้าหนีออกจากบ้าน สามีพาแม่มาขอโทษขอให้กลับไป ตอนนี้หนูย้ายออกมาอยู่บ้านหนูแล้ว

25 เม.ย. 2025

ก่อนคบสามีเราพอรู้นิสัยว่าแม่เขาเป็นคนยังไง พอแต่งงานเข้าไปอยู่บ้านเขาได้ 1 เดือน หนูท้อง แม่สามีจับผิดทุกอย่าง ห่วงเราเกินเหตุ อึดอัดจนหนูเก็บเสื้อผ้าหนีออกจากบ้าน สามีพาแม่มาขอโทษขอให้กลับไป ตอนนี้หนูย้ายออกมาอยู่บ้านหนูแล้ว

ก่อนคบสามีเราพอรู้นิสัยว่าแม่เขาเป็นคนยังไง พอแต่งงานเข้าไปอยู่บ้านเขาได้ 1 เดือนหนูท้อง แม่สามีจับผิดทุกอย่าง ห่วงเราเกินเหตุ อึดอัดจนหนูเก็บเสื้อผ้าหนีออกจากบ้านสามีพาแม่มาขอโทษขอให้กลับไป ตอนนี้หนูย้ายออกมาอยู่บ้านหนูแล้วแต่แม่เขาอยากให้หนูจดทะเบียนสมรสกับลูกเขา “คุณเเพรว (นามสมมติ)” อายุ 28 ปี สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [23 เม.ย. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม” เกี่ยวกับปัญหาระหว่างตัวเองกับเเม่ของสามี โดย “คุณเเพรว (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘เหตุการณ์ที่หนูเจอคือปัญหาโลกเเตกระหว่างหนูกับเเม่ผัว จนตอนนี้ทำให้หนูต้องออกจากบ้านของเเฟน เเละหนีกลับมาอยู่กับครอบครัวของตัวเอง มันทำให้หนูคิดว่าหนูจะต้องกลายเป็นเเม่เลี้ยงเดียวเลยหรือป่าว ปัญหาในตอนนี้เกิดขึ้นตอนที่หนูพึ่งจะเเต่งงานกับเเฟนได้เเค่ 4 เดือน เเต่ว่าหนูท้องตั้งเเต่เดืิอนเเรกที่เเต่งงาน ช่วงเเรกๆ ความสัมพันธ์ของหนูกับเเม่เเฟนก็ยังดีอยู่เพราะหนูไม่ค่อยได้ไปนอนที่บ้านของเขา ส่วนมากจะเป็นการไปๆมาๆ มากกว่า จนเเต่งงานในเดือนเเรก เเม่ของเเฟนจะจ้องจับผิดหนูเเทบจะตลอดเวลา เช่น การหยุดงานของที่ทำงานหนู เขาจะไม่ได้มีวันหยุดเเบบตายตัว เเล้ววันไหนที่หนูหยุดเเล้วไม่ได้บอกเขา เขาก็จะเเสดงออกว่าโกรธ งอน เเต่หนูก็ไม่รู้ว่าการที่หนูหยุดงานเเล้วไม่ได้บอก มันส่งผลอะไรกับเขา เขาก็จะเป็นเเบบนี้กับหนูเเค่คนเดียว เเล้วหนูก็ไม่สามารถบอกเเฟนได้ทุกครั้ง เพราะเขาจะเอาเรื่องที่หนูบอกไปคุยกับเเม่ ทำให้เขาก็จะทะเลาะกัน เเต่ว่าก็ไม่ได้มีเเค่เรื่องนี้ อีกเรื่องนึงคือ เเม่ของเเฟนเขาจะชอบทำกับข้าวให้หนูไว้ไปกินที่ทำงาน เวลาเลิกงานกลับมาหนูก็จะบอกเขาว่า เอ่อ วันนี้อร่อยนะ วันนี้เเซ่บมาก เเต่ครั้งไหนที่หนูเหนื่อยๆเเล้วกลับมาเข้าห้องนอนเลยเเล้วไม่ได้บอกเขา เขาก็จะมาพูดกับหนูว่า วันหลังจะไม่ทำให้กินเเล้ว พอหนูเล่าให้เเฟนฟัง เเม่ของเเฟนก็จะพูดว่า ก็ไม่เห็นบอกเลยว่าอร่อยไม่อร่อยใครจะไปรู้ ใครจะไปอยากทำให้กิน เเละอีกเรื่องนึงคือ เวลาที่เป็นวันหยุด บางครั้งหนูก็จะกลับบ้านไปหาพ่อ เพราะบ้านหนูกับบ้านเเฟนอยู่ไม่ได้ห่างกันมาก เเค่ประมาณ 10 นาที เขาก็จะพูดว่า ไปอีกเเล้ว คือไปอีกละ หรือบางทีที่หนูหยุดงานนานๆ หนูจะจองตั๋วเครื่องบินเพื่อจะไปหาเเม่ ตอนเเรกเขาก็บอกว่าไปได้ เเต่พอวันถัดมา เขาก็จะมาบอกให้หนูยกเลิกเพราะเขาไปหาข้อมูลมาว่า เราท้องอยู่ไม่อยากให้ไป มันไม่ดีอะไรเเบบนั้น จนมาถึงเรื่องล่าสุดที่ทำให้หนูทนไม่ไหวคือเรื่อง ในช่วงวันสงกรานต์ หนูก็บอกเขาว่า เอ่อ หนูขอเวลาสัก 3 วันนะ หนูจะกลับไปนอนกับพ่อ ตอนเเรกเขาก็เหมือนเดิมคือ บอกว่า โอเค อยากไปก็ไปสิ พอวันถัดมา เขาก็บอกว่า เเม่ว่าหนูไม่ต้องไปดีกว่า เเม่ว่ามันนานเกินไป เเละก็จะได้ใช้เวลาครอบครัวกับบ้านนี้ด้วย เเต่คือหนูก็บอกพ่อไปเเล้ว ในความคิดของหนูคือ ถ้าเขาจะไม่ให้เราไป ทำไมเขาไม่บอกเราตั้งเเต่เเรก อีกอย่างนึงคือ ทำไมเขาไม่บอกเราเลยว่าเขาไม่ชอบอะไร ทำไมต้องให้หนูทำก่อนเเล้วค่อยมางอน ในเมื่อเขาก็เป็นผู้ใหญ่เเล้ว ในวันเเรกที่หนูหนีออกมาจากบ้านเขา เเม่เเฟนถึงขั้นที่ ตามไปดักรอหนูถึงที่ทำงานเเล้วถามว่า ทำไมหนูถึงไม่บอกเเม่ว่าจะย้ายไป จะให้เเม่ปรับตัวยังไงหนูก็บอกเเม่สิ เเต่หนูก็คือรู้ว่าเเม่เขาปรับไม่ได้เเล้ว เเละหนูก็ไม่ได้ต้องการอะไร เเค่ต้องการใช้ชีวิตคู่ของหนู หนูอยากอยู่กับเเฟน เเต่ต้องเล่าย้อนกลับไปอีกเรื่องนึง คือตอนเเรกเเม่ของเเฟนจะ บังคับให้หนูจดทะเบียนสมรสด้วย เเต่หนูก็ไม่ได้จดทะเบียน อีกเหตุผลนึงคือไม่ใช่เเค่เรื่องนิสัยของเขา เเต่เป็นเรื่องสภาพเเวดล้อมภายในบ้านด้วย คือที่บ้านจะมีกลิ่นทีิ่่อับ เหม็นสาบ เเละเขาก็จะชอบตะโกนเสียงดัง ด่ากันด้วยซึ่งมันทำให้หนูคิดภาพไม่ออกว่า เราจะเลี้ยงลูกของเราในสภาพเเวดล้อมในบ้านเเบบนี้ได้ยังไง จนในตอนที่หนูย้ายกลับมาบ้านตัวเอง เเฟนหนูก็เงียบๆไปเลย เเต่จะมีทักมาถามเรื่องลูกบ้าง ว่าถ้าเราเเยกกันอยู่เเบบนี้เราจะเเบ่งกันเลี้ยงลูกยังไง หนูก็ได้เเต่คิดว่าทำไมต้องเเบ่งกันเลี้ยงละ ลูกไม่ใช่สิ่งของ หนูสามารถที่จะเลี้ยงลูกด้วยตัวหนูเองได้ในตอนนี้ปัญหาที่หนูเจอหนูคิดว่า อาจจะเพราะเขาเเค่อยากจะเลี้ยงหลาน เพราะลูกหนูเป็นหลานคนเเรกของเขา ในส่วนของพ่อหนู เขาก็โอเคที่เราย้ายกลับมาที่บ้าน ตอนเเรกที่หนูได้เจอที่บ้านเขา ในตอนที่คบกัน 6 ปี ก่อนที่จะมาเเต่งงาน หนูคิดว่าหนูสามารถที่จะทนได้ อยากลองที่จะเปิดใจ จน 4 เดือนที่ผ่านมา หนูเริ่มท้อง หนูก็ต้องรองรับอารมณ์ตัวเอง เเต่พอมาเจออารมณ์ของเเม่เเฟนเเบบนี้หนูก็เหนื่อย หนูเลยอยากที่จะปรึกษาพี่ๆดีเจว่า คือหนูใจร้ายกับลูกหรือเเฟนมากกว่าเกินไปหรือป่าวที่ทำเเบบนี้?’ เริ่มที่ “ดีเจต้นหอม” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘คือด้วยความที่ว่า พี่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งยิ่งเป็นลูกเรา เราต้องการที่จะเลี้ยงเองในเเบบของเรา ยิ่งเป็นเเม่ผัวคือยิ่งห้ามมาวุ่นวายเลย ถ้าฉันจะให้เล่น ฉันจะให้เล่นเอง เเละถ้าฉันจะสอนลูกเเบบนี้คืออย่ามาขัด อันนี้คือตัวของพี่เพราะพี่ก็เป็นเเม่เลี้ยงเดี่ยว เเต่คือการที่มีพ่อเเม่เป็นคนเลี้ยงลูกก็จะดีอีกเเบบเพราะมี 2 ความคิดในการเลี้ยงดูเด็ก ฉะนั้นสำหรับพี่ ถ้าใครที่ทำให้เราอึดอัด เราก็จะออกมาเลย อีกอย่างเด็กอ่อนไม่ควรที่จะอยู่ในสภาพเเวดล้อมที่ไม่ดี เเละบอกกับเเฟนว่าถ้าอยากเลี้ยง ก็มาที่บ้านนี้ เอาตัวของลูกกับสุขภาพจิตของตัวเองไว้ก่อน’ ต่อมา “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘อันนี้ก็เป็นหนึ่งในสายที่ทำให้รู้ว่า เราอาจจะต้องลองใช้ชีวิตด้วยกันเเบบ 24 ชม. ก่อนที่จะเเต่งงาน ลองเรียนรู้การใช้ชีวิตคู่ก่อนที่จะตกลงเป็น สามี - ภรรยา กัน ถ้าถามว่าใจร้ายไหม สำหรับผม ผมว่าไม่ ถ้าเรามองในมุมของเเม่คนนึงที่จะปกป้องลูกในท้องจากปัจจัยหลายๆอย่างที่จะกระทบต่อการตั้งท้อง อย่างบ้านของพี่ ตอนที่กำลังตั้งท้องอยู่คนทั้งบ้านก็คือสามัคคีกันมาก เพราะไม่อยากให้มีอะไรมากระทบต่อเด็กในท้อง เพราะฉะนั้นถือว่าเเพรว เก่งมากเเละน่านับถือในความเป็นเเม่มากๆ สนับสนุนการตัดสินใจทุกอย่าง เเละที่สำคัญตัวของเเฟนคุณเเพรวก็ต้องทำอะไรสักอย่างนึงเพราะเขาก็เป็นคนกลาง’ สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ใจร้ายไหมกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกคนพูดชัดเจนได้เลยกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่า ไม่ใจร้าย เพราะเเพรวทำเพื่อลูก เพราะลูกคือสิ่งสำคัญที่สุด ในตอนนี้ยังไม่ใจร้าย เเต่ในอนาคตที่เเฟนคุณเเพรวเริ่มพยายามที่จะจัดการ หรือเเก้ปัญหา เช่นพยายามที่จะมาหา จัดการด้วยการที่มาอยู่กับเเพรวด้วย เเละเเม่เขาก็ยังโอเค ถ้าเขาทำเเบบนี้เเล้วในตอนนั้นเเพรวยังยืนยันที่จะเป็นเเม่เลี้ยงเดี่ยว สำหรับพี่ก็อาจจะดูใจร้ายนิดนึง เเต่ถ้าเขาไม่ทำอะไรเลย เเพรวก็มีสิทธิ์เต็มที่ เพราะเขาไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1