แต่งงานกับสามีมา 16 ปี สามีด่าเราด้วยคำหยาบ เสียๆหายๆ ด่าถึงพ่อแม่เรา เราเก็บกวาดบ้านแล้ว มีข้าวตก 1 เม็ดบนพื้น เขาพูดเสมอว่าไม่น่ามาคบกับคนอย่างเราเลย ที่สำคัญสิ่งที่เขาด่า เขาด่าต่อหน้าลูกทั้ง 2 คนด้วย ตอนนี้เรายังต้องเข้าบ้านเขาไปส่งลูกเข้านอนทุกคืน

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

แต่งงานกับสามีมา 16 ปี สามีด่าเราด้วยคำหยาบ เสียๆหายๆ ด่าถึงพ่อแม่เรา เราเก็บกวาดบ้านแล้ว มีข้าวตก 1 เม็ดบนพื้น เขาพูดเสมอว่าไม่น่ามาคบกับคนอย่างเราเลย ที่สำคัญสิ่งที่เขาด่า เขาด่าต่อหน้าลูกทั้ง 2 คนด้วย ตอนนี้เรายังต้องเข้าบ้านเขาไปส่งลูกเข้านอนทุกคืน

25 ก.ค. 2025

แต่งงานกับสามีมา 16 ปี สามีด่าเราด้วยคำหยาบ เสียๆหายๆ ด่าถึงพ่อแม่เรา เราเก็บกวาดบ้านแล้ว

มีข้าวตก 1 เม็ดบนพื้น เขาพูดเสมอว่าไม่น่ามาคบกับคนอย่างเราเลย ที่สำคัญสิ่งที่เขาด่า

เขาด่าต่อหน้าลูกทั้ง 2 คนด้วย ตอนนี้เรายังต้องเข้าบ้านเขาไปส่งลูกเข้านอนทุกคืน พอเช้ามาเราก็กลับบ้านเรา

ลูกยังไม่รู้ว่าเราหย่ากันแล้ว สามีจะโกหกลูกว่าแม่ออกไปทำงานตอนกลางวัน เลิกงานก็มาส่งลูกเข้านอนตามปกติ

เราควรจะทนต่อไปยังไง ในสถานการณ์ที่กำลังเจออยู่ตอนนี้

                “คุณดาว (นามสมมติ)” อายุ 41 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [23 ก.ค 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา "ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม" เกี่ยวกับปัญหาสามีชอบด่าเราด้วยคำพูดรุนแรงต่อหน้าลูก

                โดย “คุณดาว (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘เราแต่งงานมา 16 ปีแล้ว ตลอดเวลาที่คบกัน 13 ปีเขาอยู่บ้านเรา แต่เขาทะเลาะกับแม่เราตลอด จน 3 ปีหลังเราย้ายไปอยู่บ้านเขา เราก็โดนเขาไล่ออกจากบ้านถึง 7 ครั้ง และยังโดนสามีด่าด้วยคำหยาบคายมาโดยตลอด ด่าถึงพ่อถึงแม่ด้วย แทบจะทุก ๆ สามชั่วโมง ซึ่งสาเหตุที่สามีมักจะด่า มักจะมาจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดในบ้าน เช่น เราเช็ดพื้นแล้วมีข้าวตกอยู่ 1 เม็ด เขาก็จะด่า หรือถ้าเราตียุงในห้องนอนแล้วมันมียุงเหลืออยู่ 1 ตัว เราก็จะโดนด่าอีก ด่าเป็นคำหยาบแบบสัตว์ทุกชนิด ด่าว่าเรารั้นเหมือนแม่ ชั่วเหมือนพ่อ มันจะเป็นเรื่องภายในบ้านที่เป็นกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ หรืออย่างเช่น เขากำลังยืนอยู่แล้วเราเป็นคนเช็ดพื้น เขาจะเป็นคนมองเห็นคราบมัน แต่ตัวเราเองจะไม่เห็นเพราะว่ามันอยู่ข้างล่าง อย่างนี้เราก็จะโดน

                ซึ่งเรามีลูกด้วยกัน 2 คน คนหนึ่งเป็นผู้หญิงอยู่ ป.4 อีกคนผู้ชายอยู่ ป.3 เขามักจะด่าเราต่อหน้าลูกเลย และลูกก็เห็นเหตุการณ์มาตลอด ตอนนี้เรากับเขาเลิกและหย่ากันแล้วเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เพราะเขาเคยพูดมาหนึ่งประโยคว่า “ชีวิตกู ไม่น่ามาเจอคนอย่างมึง” เขาพูดบ่อยมาก ๆ เราจึงคืนชีวิตให้เขาโดยการไปหย่าและโพสต์แจ้งทุกคนรอบตัวว่าเขาโสดแล้ว ถ้าเขาจะคบกับใครก็คบได้เลย แต่เขาก็บอกเราอีกว่าเราเห็นแก่ตัวที่ทิ้งลูกไป ตอนหย่าศาลก็ตัดสินว่าลูกสาวจะอยู่กับเรา ส่วนลูกชายจะอยู่กับเขา เราเคยทำแบบนี้แล้ว แต่เราไม่อยากจะแยกพี่แยกน้อง ตอนนั้นคือทำมาทุกวิถีทางแล้ว เขาเคยพูดกับเราว่า “พี่น้องไม่ควรต้องแยกกัน” พอย้ายบ้านครั้งที่สอง เราก็พาทั้งลูกสาวลูกชายมาอยู่กับเรา แต่เขาก็มายืนเกาะประตูอยู่ที่หน้าบ้านมาขอว่า“ขอมาอยู่กับลูกหน่อย คิดถึง”

                แต่ปัญหามันดันมาอยู่ตรงที่เขาไม่ได้อยากให้ลูกมาอยู่กับเรา เพราะเขาบอกว่าบริเวณบ้านเรามันมีคนติดยา เขากลัวสิ่งแวดล้อมจะไม่ดี ซึ่งตอนนี้ยังคงต้องเจอกับเขาเพื่อที่เราจะต้องไปกล่อมลูกนอนทุก ๆ วัน เพราะลูกจะนอนไม่หลับ ถ้าเราไม่ได้กล่อม บ้านเรากับบ้านเขาไม่ได้ห่างกันมาก แต่ตอนนี้หลังจากที่เลิกกัน เขาก็พยายามที่จะปรับปรุงตัวเอง ไม่พูดคำหยาบ แต่ว่าเนื้อหาที่เขาพูดกับเรามันยังคงเป็นการเหยียดและดูถูกเราอยู่เหมือนเดิม เขาพูดมาประมาณว่า “สมองเธอคิดได้แค่นี้หรอ” เรื่องความรู้สึกพอกลับมาอยู่บ้านตัวเองมันก็รู้สึกดี แต่เมื่อพอต้องไปเจอกับเขามันจะเป็นอารมณ์ประมาณว่า ห้ามใจนะ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรต้องห้ามใจ แต่บางทีมันห้ามไม่ได้ มันโมโห เหมือนกับความต้องการของเขามันมากเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างเช่น ถ้าเราไปกล่อมลูกนอนหลับและเรากลับมาอยู่บ้านเรา เขาก็จะบอกกลับมาว่าเราไม่มีสัญชาตญาณความเป็นแม่ แทนที่จะไปนอนกล่อมลูกให้อยู่ทั้งคืน

                เวลาเราโดนว่าเสร็จ เราจะหนีกลับบ้านเลย แล้วเราทำแบบนี้ไปหลายรอบ มันทำให้เราไม่ได้เจอหน้าลูก จึงจำใจต้องทนฟังเขาพูด เพราะเราไม่อยากจะตอบโต้ มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ คือจริง ๆ เราเคยสวนกลับเขาไปครั้งนึง แล้วมันกลายเป็นอารมณ์บ้านระเบิด ถึงขั้นทำลายข้าวของแต่เขาไม่เคยลงไม้ลงมือกับเรานะ แต่ครั้งนี้มันทำให้ลูกไปนั่งสั่นอยู่มุมห้อง เราเคยตกลงกันตอนที่แยกบ้านกันแล้ว ให้ผู้ใหญ่มารับฟังแล้วว่าศุกร์กับเสาร์ลูกจะมาอยู่กับเรา แต่สุดท้ายแล้วเขาก็บอกว่า ไม่อยากให้ลูกเร่ร่อน ไปนอนบ้านนี้ที บ้านนั้นที ปัญหาของเราวันนี้ที่อยากจะปรึกษาดีเจทั้งสามคนคือ เราจะทำใจอย่างไรให้สงบ? ในสถานการณ์ที่มีคนมาต่อว่าเราต่อหน้า ซึ่งเราไม่สามารถที่จะตอบโต้หรือหนีออกจากสถานที่นั้น ๆ ได้เลย เพราะเราไม่อยากให้มันเกิดสงครามกันภายในบ้าน เพราะถ้าเราเถียงไป ความรุนแรงมันจะทวีคูณขึ้น’

                โดยดีเจทั้งสามคน (ดีเจต้นหอม – ดีเจเติ้ล – ดีเจเผือก) ได้ให้คำปรึกษาไปในทางเดียวกันว่า ‘อย่าไปเอาผิดเอาถูกกับสิ่งที่เขาพูด มันไม่ใช่ตรรกะอยู่แล้ว ตอนนี้จากที่ฟังมา เขาเอาทุกอย่างเลย เจรจาไม่ได้เลย เขาไม่ได้มีอะไรให้คุณดาวเป็นทางเลือกเลย เอาทุกอย่างไม่พอ ยังเอาทุกอย่างไปอีกด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นผัวเมียกันแล้ว จริง ๆ เหมือนตอบได้ง่ายว่าก็ให้คิดถึงลูก แต่ไม่อยากตอบไปแบบนี้เพราะเป็นห่วงความรู้สึกของคุณดาว แต่ถ้าให้ตอบจริง ๆ จะตอบว่าไม่ได้ เพราะมันไม่มีใครทนได้หรอก คนที่โดนขนาดนี้มันไม่สามารถทนไปได้ตลอดแน่นอน ความอดทนของคนเรามันมีจำกัด

                ถามว่าจะทนอย่างไร คือมันพูดง่าย แต่เวลาทำจริง ๆ แล้วมันโดนด่าทุก ๆ สามชั่วโมง มันคงจะดีแหละที่ลูกจะได้ไม่แตกหักกัน แต่ก็ไม่เห็นว่ามันจะดีกับลูกจริง ๆ เลย ถ้าแม่ไปแล้วพ่อด่าต่อหน้าลูกอยู่ทุกครั้ง ชีวิตตอนนี้จะไม่มีอะไรดี ถ้ายังจะยอมเป็นแบบนี้อยู่ เราต้องลุกขึ้นมาแก้ปัญหา ไม่ใช่ว่าจะทำใจอย่างไร เพราะมันทำไม่ได้ มันไม่มีอะไรที่คุณดาวขอแล้วจะได้ไปเลย เพราะถ้าบอกว่า “อ่ะ เดี๋ยวฉันไปกล่อมลูกให้เธอก็ได้ แต่เธอต้องพูดจาดี ๆ กับฉัน ไม่งั้นจะไม่มาอีก” มันก็ไม่ได้อยู่ดี ที่คุณดาวเคยหนีกลับบ้านไปนั่นถูกต้องแล้ว ถ้าจะให้แนะนำคือถ้าเขาด่าปุ๊บ กลับเลย แต่คุณดาวก็ดันรู้สึกว่าไม่ได้เจอลูกอีก แต่วิธีมันไม่มีอะไรมากไปกว่านี้แล้ว

                ส่วนเรื่องที่กฎหมายบอกว่าให้ผู้หญิงอยู่กับแม่ ผู้ชายอยู่กับพ่อ ถ้าเขาบอกกับเราว่าไม่อยากให้พี่น้องแยกกัน งั้นก็มีอีกทางเลือกคือ เสาร์อาทิตย์มาอยู่นี่ ที่เหลืออยู่นู้น มีแค่นี้เลย ถ้ากฎหมายเซ็นต์ไว้ก็ต้องยืนหยัดใบนั้นว่าฉันจะเอาตามกฎ ถ้าไม่ได้ ไม่ลงตัวก็ต้องให้ตำรวจหรือทนายมาช่วย คุณดาวต้องทำให้เขาเห็นว่าตัวเองไม่ยอมและเอาจริงกับเรื่องนี้ เพราะที่ผ่านมาพอเขาแข็งใส่เรา คุณดาวก็ยอมหมด’

                โดย “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาเพิ่มเติมว่า ‘ไม่งั้นให้เราไปเอาลูกมา แล้วถ้าเขาบอกว่าสภาพแวดล้อมบ้านเราไม่ดี ก็ให้เราตอบไปเลยว่า  “สภาพแวดล้อมบ้านกูมันยังน่ากลัวน้อยกว่าที่มึงอยู่บ้านนั้นอีก” เพราะถ้าเขาแค่มาเกาะประตูรั้วหน้าบ้านแล้วพูดว่า กลับมาเถอะ คิดถึงลูก ก็ให้ตอบว่าไม่ จนกว่าเขาจะปรับปรุงตัว เพราะถ้าเขาปรับตัวแล้ว คุณดาวจะไม่มาปรึกษาพวกพี่แล้ว คุณดาวต้องไม่ปล่อยให้คนเฮงซวยมาทำให้ชีวิตคุณดาวไม่ดี เราไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ถ้าคุณดาวไม่สู้ไม่งัดมันก็ต้องเป็นเช่นนี้ไปตลอด ต้องเป็นเหมือนเดิมคือนึกถึงลูก ก้มหน้าก้มตาฟัง หากรู้สึกว่าทำคนเดียวไม่ไหวหรือเข้มแข็งไม่พอ ให้ลองไปปรึกษาเพื่อน คนรู้จักหรือครอบครัวให้เขามาช่วยเรา ไม่งั้นปัญหานี้มันจะไม่ถูกแก้ไข อย่าเคยชินอะไรแบบเดิม ๆ ไม่งั้นมันก็จะได้แต่อะไรเดิม ๆ กลับมา ต้องเข้มแข็งนะ’

                ต่อมา “ดีเจต้นหอม” ได้ให้คำปรึกษาเพิ่มเติมอีกว่า ‘ผู้หญิงอยู่กับเรา ผู้ชายอยู่กับเขา ถ้าพ่อเขาบอกว่าอยากให้พี่น้องอยู่ด้วยกัน เสาร์อาทิตย์เด็กผู้ชายจะได้มานอนบ้านเรา ฉะนั้นน้องชายจะได้มาเจอพี่สาวได้แค่วันเสาร์อาทิตย์ คือเราจะไม่ให้ลูกเราไปบ้านนู้นแล้ว เราต้องบอกให้เขาทำความเข้าใจว่าเราจะมาทางนี้ ถ้าคุณไม่อยากให้ลูกชายมาที่นี่ โอเคคุณก็ดูแลลูกชายไปทั้ง 7 วัน แต่ลูกสาวจะต้องอยู่ที่นี่ แล้วไม่ว่าเขาจะให้เหตุผลอะไร ไม่อยากจะนู้นนี่ ก็ให้เป็นเรื่องของเขา คุณดาวแค่ตอบไปว่า “ไม่” ตามที่ตกลงกันไว้ ที่สำคัญคือลูกสามารถรู้ได้ว่าพ่อกับแม่เลิกกัน มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ใช้วิธีการบอกลูกว่า “ตอนนี้เรามีสถานการณ์นึงที่ลูกอาจจะต้องปรับตัว คือพ่อกับแม่แยกกันอยู่และลูกจะอยู่กับแม่ ส่วนน้องจะอยู่กับพ่อ” บอกให้เขาได้รับรู้ เด็กฉลาดกว่าที่เราคิด และก็ทำบุญเยอะ ๆ สวดมนต์ให้คนนั้นขิตเร็ว ๆ เราจะได้ลูกทั้งสองคน เพราะจริง ๆ ลูกไม่ควรต้องอยู่กับคนเฮงซวยแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ สงสารลูก’

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

เจอแต่ผู้ชาย “โปรไฟล์ดีๆ” รู้สึกดี แต่พอถึงขั้นจะต้องจริงจัง นัดเจอ หนูกลับเป็นฝ่ายที่ไม่กล้าเจอ เพราะ แอบเข้าไปส่อง IG ส่องโปรไฟล์เขามาแล้ว ก็คิดไปเองว่า เราไม่คู่ควรกับเขาเลย 4 คนแล้ว ที่เรารู้สึกแบบนี้

31 ม.ค. 2025

เจอแต่ผู้ชาย “โปรไฟล์ดีๆ” รู้สึกดี แต่พอถึงขั้นจะต้องจริงจัง นัดเจอ หนูกลับเป็นฝ่ายที่ไม่กล้าเจอ เพราะ แอบเข้าไปส่อง IG ส่องโปรไฟล์เขามาแล้ว ก็คิดไปเองว่า เราไม่คู่ควรกับเขาเลย 4 คนแล้ว ที่เรารู้สึกแบบนี้

เจอแต่ผู้ชาย “โปรไฟล์ดีๆ” รู้สึกดี แต่พอถึงขั้นจะต้องจริงจัง นัดเจอ หนูกลับเป็นฝ่ายที่ไม่กล้าเจอเพราะ แอบเข้าไปส่อง IG ส่องโปรไฟล์เขามาแล้ว ก็คิดไปเองว่า เราไม่คู่ควรกับเขาเลย 4 คนแล้วที่เรารู้สึกแบบนี้ จะสร้างความมั่นใจให้ตัวเองกล้าอยู่ในความสัมพันธ์ที่จริงจังยังไงดีคะ? “คุณน้ำตาล (นามสมมติ)” อายุ 22 ปี สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [29 ม.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม” เกี่ยวกับปัญหาความไม่มั่นใจในตัวเองที่ส่งผลต่อความรัก ความสัมพันธ์ โดย “คุณน้ำตาล (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูเป็นคนที่ขาดความมั่นใจในตัวเองมาก ๆ จนกระทบต่อชีวิตและความสัมพันธ์ หนูเคยเลิกกับผู้ชายมาแล้ว 4 คน เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเขา ตั้งแต่เด็ก ครอบครัวเลี้ยงหนูให้พึ่งพาตัวเอง ไม่ซัพพอร์ตเรื่องที่มองว่าไม่จำเป็น เช่น การเที่ยวเล่นหรือการซื้อของฟุ่มเฟือย ฐานะที่บ้านก็เป็นฐานะปานกลาง แต่หนูก็ต้องหาเงินเองมาตลอด และหนูก็เริ่มมองคนที่ประสบความสำเร็จ สวยๆ รวยๆ และเก่งๆ เพราะหนูอยากเป็นแบบนั้น รู้สึกว่าการมีเงินทำให้ชีวิตดีขึ้น ซึ่งหนูมองว่าความคิดนี้มันก็ดี เพราะผลักดันให้หนูพยายามพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด เพราะตอนที่เราเริ่มมีเงิน ชีวิตมันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ แต่ข้อเสียคือ หนูจะชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนที่ดูดีและมีพร้อมทุกอย่าง จนเกิดความรู้สึกด้อยค่าตัวเอง รู้สึกซึมไปเลยว่าเราจะมีแบบนี้ได้มั้ย แล้วทำไมเราถึงไม่มีชีวิตแบบนี้? ต่อให้หนูจะมีแล้ว แต่หนูรู้สึกว่ามันยังไม่พอ เท่าไรก็ไม่พอ หนูอิจฉาคนที่มีอาชีพดี ชีวิตสบาย และครอบครัวที่ซัพพอร์ตโดยไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องลำบาก พอหนูเข้าใกล้ช่วงเรียนจบ หนูก็สร้างฐานะของตัวเองได้ในระดับที่ไม่ต้องลำบากเหมือนเมื่อก่อน มีบ้าน มีรถ และเริ่มมีคนที่มีฐานะดีเข้ามาจีบ แต่พอความสัมพันธ์เริ่มจริงจัง หนูกลับคิดมาก เริ่มเปรียบเทียบตัวเองกับสังคมและเพื่อนรอบข้างของเขา แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองสวยไม่พอ ฐานะปานกลาง หนูรู้สึกแย่มาก หนูเลยเลือกที่จะถอยห่างและหายไปแบบเงียบ ๆ เพราะไม่อยากคิดมากซ้ำ ๆ เป็นแบบนี้กับคนที่เข้ามาถึงสี่ครั้งแล้ว จนมาถึงช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา หนูได้รู้จักผู้ชายคนหนึ่งผ่านแอปฯ แล้วก็คุยกัน เลยได้แลก IG กัน หนูก็แอบอึ้งเพราะเขามีผู้ติดตามเยอะ และเป็นนักกีฬาระดับประเทศ มีหน้าตาดี จนเพจต่าง ๆ เอาไปลง และมีแฟนคลับสาว ๆ กรี๊ดเยอะ แรก ๆ หนูไม่ได้คิดอะไรมาก คุยกันตามปกติ แต่พอได้ลองพูดคุยจริง ๆ หนูกลับรู้สึกว่าเราเข้ากันได้ดีมาก ทั้งเรื่องฐานะ การงาน ปัญหาชีวิต รวมถึงความสัมพันธ์เก่า ๆ ของเขา เขากล้าเปิดใจและคุยกันจนหนูรู้สึกสบายใจมาก ไลฟ์สไตล์ก็ตรงกัน จนมันถึงในจุดๆนึงที่เขาอยากเจอหนู แต่ความรู้สึกเดิม ๆ ของหนูก็กลับมาอีก หนูเริ่มกังวล หนูรู้สึกไม่มั่นใจ ไม่พร้อม หนูก็เลยหาข้ออ้างมาเรื่อยๆที่จะไม่ไปเจอเขา เขาเองก็เริ่มรู้สึกไม่ดีที่หนูเป็นแบบนี้ สุดท้ายความสัมพันธ์เราก็เริ่มห่างกันไป ต่างคนต่างหาย หลังจากนั้น หนูลงสตอรี่แล้วเขาตอบกลับมา เราเลยกลับมาคุยกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้หนูรู้สึกว่าเราเข้าใจกันมากกว่าเดิม จนถึงจุดที่ต้องเจอกันอีกครั้ง แต่หนูยังไม่มั่นใจเหมือนเดิม หนูก็ยังคงหาข้ออ้างไม่ไปหาเขาเหมือนเดิม หนูกังวลเพราะเพื่อนของเขาสวยมาก สังคมเขาครบมาก หนูกลัวว่าตัวเองจะไม่ดีพอสำหรับเขา หนูกลัวผิดหวัง และสงสัยว่าทำไมเขาถึงมาชอบหนู ทั้งที่คนรอบตัวเขามีแต่คนที่ดูดีและสมบูรณ์แบบ หนูก็เลยอยากจะมาปรึกษาพี่ ๆ ว่า หนูควรทำยังไงถึงจะก้าวข้ามความรู้สึกนี้ไปได้? ถึงจะไม่เจอคนนี้ แต่พอไปเจอคนอื่นต่อไป หนูไม่อยากจะหนีเขาไปอีกแล้ว เพราะเราก็มีโอกาสมาอยู่ข้างหน้าแล้ว’ เริ่มที่ “ดีเจต้นหอม” ให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้าความไม่มั่นใจของหนูรุนแรงจนกลัวไปหมด อาจต้องลองปรึกษานักจิตวิทยา เพราะต่อให้หนูไปเจอเขา ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าความสัมพันธ์จะราบรื่น และอย่ากังวลที่เขาจะมีแต่คนสวย ๆอยู่รอบตัว ผู้ชายไม่ได้ชอบผู้หญิงสวยทุกคน บางคนมองหาคนที่ใช่ และไม่ใช่แค่เขาที่เป็นฝ่ายเลือก หนูก็มีสิทธิ์เลือกเหมือนกัน แต่ถ้าความรู้สึกนี้มันฝังลึกจริง ๆ การพบนักจิตวิทยาอาจช่วยได้’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า ‘หนูต้องเลิกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นก่อนเลย เพราะว่าไม่มีทางที่หนูจะสวยที่สุด ดีที่สุด รวยที่สุด เพราะทุกอย่างจะมีขั้นกว่าเสมอ ถ้าหนูเทียบตัวเองกับคนอื่นไปเรื่อย ๆ จะไม่มีวันพอใจในตัวเอง และโลกโซเชียลเต็มไปด้วยภาพที่แต่งมาแล้ว หนูต้องเป็น The Best Version of ตัวเอง และอย่าลืมว่า ถ้าหนูไม่มีอะไรดี ทำไมถึงมีผู้ชายสี่คนมาสนใจ? ’ สุดท้าย “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ในอีกมุมหนึ่ง คนที่ใช่สำหรับเรา ควรทำให้เรารู้สึกมีคุณค่า ไม่ใช่ทำให้เราด้อยกว่าคนอื่น บางทีหนูอาจเคยเจอคนที่ดีแล้ว แต่ไม่ได้ให้โอกาสเขา และลอง Social Detox ถ้าหนูรู้ว่าตัวเองเปรียบเทียบกับโซเชียลจนเป็นปัญหา การลดการใช้ลงอาจช่วยให้หนูรู้สึกดีขึ้น‘เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

ซื้อลิปมากี่อัน เพื่อนคนเดิมก็ยืมใช้ทุกอัน เค้าไม่ยืมคนอื่นเลยค่ะ รอแต่จะยืมของหนู เช้าก็ทา เที่ยงก็ทา ก่อนกินข้าว หลังกินข้าวก็ทา พีคสุด ปากมันยังไม่เช็ดปากก็หยิบไปทา ตอนนี้กลิ่นลิปหนูเปลี่ยนด้วย ต้องซื้อใหม่ตลอด เจอแบบนี้ทำไงดี?

10 ม.ค. 2025

ซื้อลิปมากี่อัน เพื่อนคนเดิมก็ยืมใช้ทุกอัน เค้าไม่ยืมคนอื่นเลยค่ะ รอแต่จะยืมของหนู เช้าก็ทา เที่ยงก็ทา ก่อนกินข้าว หลังกินข้าวก็ทา พีคสุด ปากมันยังไม่เช็ดปากก็หยิบไปทา ตอนนี้กลิ่นลิปหนูเปลี่ยนด้วย ต้องซื้อใหม่ตลอด เจอแบบนี้ทำไงดี?

“คุณแพร (นามสมมติ)” อายุ 19 ปี สายที่สี่ในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร’ เมื่อคือวันพุธที่ [8 ม.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาเพื่อนยืมลิปสติกบ่อยมาก แถมใช้แล้วลิปสติกมีกลิ่นแปลกไป! โดย “คุณแพร (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูซื้อลิปสติกมาใหม่ เพื่อนขอลอง แล้วก็ทาไปที่ปากเลย ตอนแรกหนูคิดว่าจะใช้นิ้วแตะ ๆ ก่อนแล้วค่อยทา ต่อมาเพื่อนก็ถามว่าซื้อที่ไหน? กี่บาท? หนูก็บอกไป แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มยืมบ่อยขึ้นก่อนเข้าเรียน เลิกเรียน ก่อนกินข้าว หลังกินข้าว ก็มาขอหนูว่า “มึงขอยืมลิปหน่อย” ไปห้องน้ำก็ทา เดินไปไหนก็ทาทั้งวัน ทามากกว่าหนูอีก พอบอกว่าหนูขายต่อ เพื่อนก็บอกกลับมาว่า “บ้าหรอ กูก็ต้องเอาอันใหม่สิ” หนูก็เลยส่งพิกัดอันใหม่ให้เขา เขาก็ไม่ซื้อ แล้วตอบมาแบบเปลี่ยนเรื่องแทน พอวันต่อมาเขาก็ยังยืมหนูเหมือนเดิม ซึ่งเขาก็มีลิปของเขา หนูก็ถามว่าไม่ใช้ลิปตัวเองแล้วเหรอ? เขาก็บอกว่า “ก็ต้องใช้ของมึงด้วย” กลุ่มหนูมีกัน 3 คน อีกคนหนึ่งคือเพื่อนของเขา ที่มาจากประถมด้วยกัน เขาไม่เห็นเคยยืมของเพื่อนคนนั้นเลยสักครั้ง ยืมแต่ของหนูคนเดียว หนูเริ่มไม่โอเคตรงที่กลิ่นลิปของหนูมันเริ่มเปลี่ยน เหมือนมันบูดเพราะหลังกินข้าวปากมัน ๆ เขาก็ยังทา หนูไม่กล้าปฏิเสธแบบตรง ๆ เขานิสัยดีทุกอย่าง แต่ติดแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเลย หนูเคยบอกว่าไม่ให้แล้ว แต่เขาก็บอกกลับมาว่า “โห ขี้งกว่ะ” หนูเลยให้ยืมมาตลอด ไม่ใช่แค่ลิปด้วย กระเป๋า เสื้อ เสื้อกันหนาว เขาจะขอเลย พูดแบบว่าถ้าหนูไม่ใช้ ขอได้ไหมอยากได้ เพื่อนอีกคนก็โดนแบบเดียวกัน เรื่องกิ๊บติดผม เขาบอกว่าขอติดได้ไหม? พอเขาติดแล้วก็เนียน ๆ เอากลับบ้านไปเลย พอทวงเขาก็จะทำเป็นลืม หนูอยากถามพี่ๆดีเจว่า ถ้าเจอสถานการณ์อย่างนี้ หนูควรทำอย่างไรดี?’ ทางด้านดีเจทั้ง 3 ท่าน “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม” ให้ความคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่า ‘ควรบอกไปตรง ๆ เลยว่าของแบบนี้มันใช้ร่วมกันไม่ได้ หนูต้องบอกว่ามันมีเหตุผลของการไม่ให้ยืม มันเป็นสิ่งที่พูดได้ โตแล้วบอกเขาได้ หนูต้องรู้จักปฏิเสธ’ นอกจากนี้ “ดีเจเผือก” ยังพูดเสริมอีกว่า ‘ซื้อให้ไปเลย มึงกูไม่ให้ยืมแล้วนะ ใช้อันนี้ไปเลย ของแบบนี้มันไม่ใช้ร่วมกัน มันเหมือนแปรงสีฟัน ถ้าเพื่อนใหม่พึ่งเจอกันแล้วมันจะคัดกรองกันด้วยเรื่องลิป เรื่องยืมของก็โอเค ‘หาเพื่อนใหม่’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

ตลกแXก ของจริง ! หนูมีญาติคนนึง เขาชอบหาวาระยินดีกับครอบครัวหนู พีคสุด หมาบ้านหนูคลอดลูก ขับรถมาหาที่บ้าน บอกว่า ยินดีด้วย วันนี้จะเลี้ยงอะไร? แรกๆมากินคนเดียว หลังๆพาลูกหลานมาด้วย หนักสุดพาเพื่อนข้างบ้านเขามากินฟรีอีก

07 ก.พ. 2025

ตลกแXก ของจริง ! หนูมีญาติคนนึง เขาชอบหาวาระยินดีกับครอบครัวหนู พีคสุด หมาบ้านหนูคลอดลูก ขับรถมาหาที่บ้าน บอกว่า ยินดีด้วย วันนี้จะเลี้ยงอะไร? แรกๆมากินคนเดียว หลังๆพาลูกหลานมาด้วย หนักสุดพาเพื่อนข้างบ้านเขามากินฟรีอีก

ตลกแXก ของจริง ! หนูมีญาติคนนึง เขาชอบหาวาระยินดีกับครอบครัวหนูพีคสุด หมาบ้านหนูคลอดลูก ขับรถมาหาที่บ้าน บอกว่า ยินดีด้วย วันนี้จะเลี้ยงอะไร?แรกๆมากินคนเดียว หลังๆพาลูกหลานมาด้วย หนักสุดพาเพื่อนข้างบ้านเขามากินฟรีอีกจนตอนนี้มีข่าวดีอะไร หนูต้องแอบไปฉลองเงียบๆกันเอง “คุณหนู(นามสมมุติ)” อายุ 33 ปี สายสุดท้ายของรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [5 ก.พ. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาญาติหาทุกโอกาส ทุกเทศกาลในการกินฟรี โดย “คุณหนู (นามสมมุติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูมีญาติคนนึงที่เขาอยากให้หนูเลี้ยงอาหารทุกมื้อ ทุกงานเทศกาล เเละทุกโอกาสที่สามารถเลี้ยงหรือจัดปาร์ตี้ได้ เขาเป็นญาติทางฝั่งของคุณเเม่ ซึ่งเขาเป็นน้าของหนู อายุประมาณ 60 กว่าๆ มีอยู่ครั้งนึงหนูโพสต์ว่า หลานของหนูได้เกรด 3.5 เขาก็โทรมาเลยว่า อุ้ย! วันนี้กินที่ไหน เลี้ยงที่ไหนดี หรือบางโอกาสอย่าง หมาที่บ้านหนูคลอดลูก เขาก็จะขับรถมาที่บ้านเเล้วถามเลยว่า อุ้ย ฉลองที่ไหนดีวันนี้ กินอะไรดี ร้านไหนดีวันนี้ ตอนเเรกหนูก็ยังโอเค ไปกินชาบู หมูกะทะ หนูก็ชวนเขาไปด้วย แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ครั้งแรกๆเขาจะไปคนเดียว แต่พอชวนบ่อยๆ เขาก็จะเอา พ่อเขา , แม่เขา , ลูกชาย , หลาน , ลูกสะใภ้มากินด้วย หนักสุดคือเขาชวนคนข้างบ้านของเขา มาด้วยโดยที่ไม่ได้บอกหนูก่อนเลย เพราะหนูก็ต้องตั้งงบไว้ด้วยว่าใช้เท่าไหร่ หัวละเท่าไหร่ และทุกครั้งเขาก็จะคิดว่าหนูเป็นเจ้ามือ เป็นเจ้าภาพทุกครั้ง ไม่ว่าหนูจะโพสต์อะไรที่เป็นการแสดงความยินดีกับคนในครอบครัว เขาก็จะโทรมา หรือไม่ก็ขับรถมาหาที่บ้านเลย เเล้วก็จะถามว่าวันนี้กินที่ไหนดี ที่เขาทำแบบนี้ได้เพราะเขาค่อนข้างสนิทกับเเม่ของหนู แต่ก็ไม่ได้มีความสนิทกับหนูขนาดนั้น ก็เป็นเเค่ญาติคนนึง แล้วพอหนูปฎิเสธเขาไป เขาก็ไปคุยกับคนอื่นว่าบ้านหนูจะไปจัดกินเลี้ยงกันยิ่งใหญ่ เเล้วคนที่ได้ฟังก็จะโทรมาหาหนู เเล้วก็ถามว่าจริงหรอ ทำให้หนูรู้สึกว่าเขาพยายามที่จะกดดันให้หนูจัดเเละก็เลี้ยงเขาด้วย ก่อนหน้านี้หนูจัดงานวันเกิดคุณเเม่ของหนู หนูก็ต้องขับรถไปกินร้านไกลๆ ขนาดจะถ่ายรูปโพสต์ลงFacebook หนูยังไม่กล้าเลย หนูกลัวเขาจะทักมาว่าทำไมไม่ชวนเขา กลายเป็นตอนนี้หนูเริ่มรู้สึกอึดอัดมากเลย เพราะทุกครั้งที่ไปกินข้าวกับเขา เขาไม่เคยออกเงินเลยสักบาท คนข้างบ้านที่เขาชวนมา หนูก็ต้องเป็นคนจ่ายเงินให้ เเล้วถ้าหนูไปมีปัญหากับเขา เขาจะเอาเราไปพูดกับคนอื่นทำให้ญาติคนอื่นก็จะไม่คุยกับเราด้วย แล้วหนูก็จะรู้สึกไม่สบายใจ เพราะกลัวพ่อเเม่หนูจะมีปัญหาอะไรกับเขาอีก เเละล่าสุดหนูกับเเฟน ก็พึ่งไปจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมด้วยกัน เขาก็ถามหนูตั้งแต่วันที่หนูจดว่า ครั้งนี้จะไปกินเลี้ยงอะไรดีล่ะ? แต่พอกลับกันเวลาบ้านเขามีงานปาร์ตี้หรือจัดฉลองอะไร เขาไม่เคยคิดที่จะชวนเราไปด้วยเลย ซึ่งที่หนูไม่ค่อยพูดอะไร เพราะพยายามรักษาน้ำใจเอาไว้อยู่ หนูเลยอยากถามพี่ๆดีเจว่า ‘หนูควรทำยังไงดีกับญาติคนนี้ หรือมีวิธีพูดยังไงไม่ให้เสียน้ำใจไหมคะ?’ โดย “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม” ก็ได้ให้คำปรึกษาไปในทิศทางเดียวกันว่า ‘ญาติเเบบนี้เราไม่จำเป็นต้องไปเเคร์หรอก ไม่ต้องรักษาน้ำใจ ถ้าเขามาถามเราอีกรอบเรื่องที่หนูไปจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมกับแฟนมา แล้วจะเลี้ยงอะไร? ถามเขากลับไปเลยว่า รอบนี้น้าต้องใส่ซองให้หนูด้วยนะ เพราะเลี้ยงข้าวน้า ไปเยอะเเล้วเหมือนกัน หรือก็ไม่ต้องชวนเขาไปด้วย เพราะทีเขาจัดปาร์ตี้อะไร เขาก็ไม่เคยชวนเราไปด้วยเหมือนกัน ถ้าอยากปฎิเสธเเบบดีๆหน่อยก็บอกไปว่า ไม่เลี้ยง ไม่มีเงินเเล้ว เพราะงั้นอย่าไปยอม ให้พูดตรงๆกลับไปบ้าง สวนเขาไปเลยสักนึงเเมตช์’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

พี่ๆคะ หนูจะทำยังไงต่อไปดี... คุณแม่เหลือเวลาอยู่กับหนูแค่ 6 เดือน ก่อนหน้านี้คุณแม่แอบไปหาหมอเองโดยไม่บอกใครเลย เพิ่งมาบอกหนูว่าเป็น "มะเร็งไขสันหลัง" ระยะที่ 3 ตอนนี้หนูกลัวและเสียใจที่สุดเลยค่ะ

22 ม.ค. 2024

พี่ๆคะ หนูจะทำยังไงต่อไปดี... คุณแม่เหลือเวลาอยู่กับหนูแค่ 6 เดือน ก่อนหน้านี้คุณแม่แอบไปหาหมอเองโดยไม่บอกใครเลย เพิ่งมาบอกหนูว่าเป็น "มะเร็งไขสันหลัง" ระยะที่ 3 ตอนนี้หนูกลัวและเสียใจที่สุดเลยค่ะ

“คุณเอ(นามสมมติ)” อายุ 21 ปี สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (17 มค. 67) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจต้นหอม - ดีเจเติ้ล – ดีเจเผือก เกี่ยวกับปัญหาที่พึ่งรู้ว่าคุณแม่เป็นมะเร็ง ซึ่งเหลือเวลาอีกแค่ 6 เดือน โดย ​“คุณเอ(นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘คุณแม่อายุประมาณ 53 ปี เป็นมะเร็งระยะที่ 3 ที่ไขสันหลัง ซึ่งอาการตอนนี้กำลังลุกลามไปยังจุดอื่น ๆ คุณแม่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งแต่ไม่ได้บอกคนในครอบครัว และแอบไปรักษาคนเดียว คุณแม่มีลูก 2 คน หนูอายุ 21 ปี ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ และพี่ชายอายุ 25 ปี ทำงานฟรีแลนซ์ ได้คุยกับพี่ชายพี่ก็ทำใจไม่ได้เหมือนกัน คุณพ่อก็อยู่บ้านเดียวกันแต่ไม่ได้อะไรกับคุณแม่แล้ว แค่ทำหน้าที่พ่อและแม่เฉย ๆ หลังจากที่พ่อรู้ว่าแม่เป็นมะเร็งก็ช็อคเหมือนกัน เขาไม่ได้รักกันแล้ว แต่ก็ยังมีความผูกพันอยู่ ตอนนี้คุณแม่ไม่ได้นอนที่โรงพยาบาลแต่ต้องไปฉีดมุ่งเป้า (คือการฉีดเฉพาะจุด) อยู่เรื่อย ๆ ตอนนี้คุณแม่ก็ใช้ชีวิตได้ปกติ แต่จะปวดตามกระดูก ตามข้อ ซึ่งวันที่คุณแม่มาบอก ตอนนั้นอยู่ ๆ เขาก็พูดว่า แม่เป็นมะเร็งระยะที่สาม แล้วที่เขาบอกว่าอยู่ได้อีก 6 เดือนคือมันห่างจากตอนนั้นแค่ 3 เดือน หนูรู้สึกว่ามันเร็วมาก และช่วงนี้เขาชอบพูดเกี่ยวกับเรื่องเขาตายบ่อย ๆ มันก็ยิ่งทำให้หนูเครียด คุณแม่ก็เครียดมากเพราะเป็นห่วงว่าถ้าเกิดเขาไปแล้วจะอยู่กันยังไง...? ซึ่ง “ดีเจต้นหอม” ให้คำปรึกษาว่า ‘วันนี้คงเป็นการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน สถานการณ์นี้เป็นสถานการณ์ยากลำบาก คือสถานการณ์ของการสูญเสีย แต่ต้องยอมรับว่าไม่ว่าใครทุกคนบนโลก เขาก็ไม่สามารถอยู่กับเราไปได้ตลอด ทีนี้เรื่องที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นเรื่องที่บ้านยังไม่ทันเตรียมตัว แล้วพี่ก็ไม่อยากให้คุณแม่เครียด ณ วันนี้ถ้าทุกคนที่บ้านเครียด ตัวคุณแม่เครียด มันก็จะทำให้ช่วงระยะเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน ความสุขมันก็ลดน้อยลงไปอีก เราอาจจะต้องเติมพลังบวกให้กันและกัน เหมือนกับก่อนหน้านี้เคยมีข่าวคุณหมอคนหนึ่งที่เป็นมะเร็ง เค้าเองก็รู้ว่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน เค้าก็เหมือนเติมพลังบวกให้กับตัวเอง ในการคิดว่ามันจะเป็นการออกเดินทางครั้งใหม่นะ เราอาจจะช่วยคุณแม่ ถ้าคุณแม่เป็นห่วงเรา เราอาจจะต้องทำตัวให้เราดูแข็งแกร่ง เป็นคนเก่ง แม่ไม่ต้องกังวลเลย เสาร์-อาทิตย์นี้อยากทำอะไรก็ทำด้วยกัน ให้รู้สึกว่าวันทุกวันเราสร้างความสุขแบ่งปันความสุขในทุก ๆ วันที่เราเจอกัน และก็เป็นกำลังใจให้กับเอและพี่ชายแล้วก็ครอบครัวทุกคนเลย ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้าช่วงเวลามันมีแค่ 6 เดือนตามที่คุณหมอบอก ซึ่งจริง ๆ มันมีปาฏิหาริย์เยอะแยะมากมายว่าถ้ากำลังใจของคนไข้ดี บางทีมันอาจยาวนานกว่านั้น แต่ถ้า 6 เดือนตามนั้นจริง ๆ พี่ก็แค่อยากบอกน้องเอว่า อยากให้ใช้เวลากับท่านให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่เวลามันเดินถอยหลัง ถ้าท่านอยากทำอะไรโดยที่มันไม่ไปขัดขวางการรักษา พี่อยากให้น้องเอใช้เวลาตรงนี้ให้เต็มที่ แล้วก็สิ่งหนึ่งที่พี่ฟังเหมือนท่านยังเป็นห่วง พี่อยากให้น้องเอทำเพื่อให้ท่านได้รู้ว่าถ้าไม่มีท่านอยู่จริง ๆ หนูกับพี่ชายจะอยู่กันได้ดี เพื่อที่ท่านจะไปอย่างไม่มีห่วงอะไร แต่ถ้าน้องเอทำให้ท่านรู้สึกเป็นห่วงด้วยการเสียใจ ไม่มีกำลังใจที่จะทำให้ท่านเห็นรอยยิ้ม พี่ว่าอันนี้ท่านจะยิ่งเป็นห่วง พี่รู้สึกว่าสิ่งหนึ่งที่บางทีคนที่ป่วยเขาไม่อยากเห็น คือคนรอบข้างเป็นทุกข์เพราะมันจะยิ่งทำให้เขาเป็นทุกข์ มันอาจจะต้องฝืน หนูอาจจะร้องไห้ในห้องได้หรือคุยกับพี่แล้วเศร้าใจได้ แต่เวลาอยู่กับท่านอยากให้ส่งพลังบวกให้กันและกัน เพราะเรื่องกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับคนป่วย ถ้าทำได้อยากให้เป็นแบบนี้ เพราะท้ายที่สุดท่านจะได้รู้สึกว่าเราอยู่กันได้และมีชีวิตต่อไปได้อย่างดี เขาจะได้ไม่เป็นห่วงเรามาก อย่างสุดท้ายพี่ฝากไว้ละกันเผื่อถ้าเวลามันมาถึง บางทีคนที่ป่วยเป็นโรคแบบนี้ เวลาเชื้อมะเร็งกัดกินแล้วไม่รู้สึกอะไร ถ้าคุณหมอบอกว่าในอีกไม่กี่วันเขาจะไม่รับรู้แล้ว อยากให้น้องเอและคนในครอบครัวไปคุยกับเขาเป็นวาระสุดท้าย เพราะ ณ ตอนนั้นมันเป็นช่วงเวลาที่มีค่ามาก สำหรับผู้ป่วยก่อนที่เขาจะไม่รู้ตัวและสื่อสารอะไรไม่ได้อีกแล้ว อันนี้พี่พูดในกรณีที่ถ้าเวลานั้นมาถึงจริง ๆ เหมือนเราเตรียมให้เขาไปอย่างสงบ เคลียร์ทุกอย่างบอกเขาว่าไม่ต้องห่วง หนูกับพี่กับพ่อจะอยู่กันอย่างมีความสุข แล้วเราจะคิดถึงเค้าด้วยรอยยิ้มทุกครั้งเมื่อที่เค้าจากไปแล้ว ขอเป็นกำลังใจให้น้องเอนะ สุดท้าย “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘จริง ๆ จะไม่พูดถึงว่าเวลาเหลืออีกเท่าไหร่ มันก็เป็นการประมาณการ สำหรับพี่ไม่อยากให้เอามาเป็นประเด็นเท่าไหร่ การที่เราเกิดมาเรารู้ว่ามันต้องมีอายุขัย สิ่งในชีวิตทุกอย่างบนโลกใบนี้มันมีอายุขัยของมัน ณ วันที่เราเกิด เราก็มาพร้อมกับแพ็กเกจคำว่าตายอยู่แล้ว มันอยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็วแต่ไม่มีใครอยู่ได้ จริง ๆ มันเป็นสัจธรรมมากเลยเนาะ แต่ว่ามันก็ยากในวัย 21 ปีที่เราจะเข้าใจว่าไม่ว่าช้าหรือเร็วมันก็ต้องจากกันอยู่ดี ทีนี้ความรู้สึกกะทันหันของเอ ถ้าได้คุยกับคนอื่นที่ประสบเหตุกันคนละอย่างกับที่เอเจอ ในหลาย ๆ สายที่เค้าโทรมาว่าคนที่เขารักประสบอุบัติเหตุกะทันหันชนิดที่ว่าเราไม่ได้แม้แต่จะบอกลา ถ้าเค้าเลือกได้บางทีเค้าอาจจะอยากให้เค้ามีเวลาบ้างอย่างที่เอมี อันนี้พี่เปรียบเทียบให้ดูว่าในความที่เราคิดว่าเรากำลังเจอเรื่องราวที่เลวร้าย อย่างน้อยเรายังมีโอกาสทำให้ในทุก ๆ วันที่มันยังมีอยู่ด้วยกัน ย้อนไปในวัย 21 ปี พี่ก็เสียคุณแม่ไปตอนปี 2 ก็ ณ วันนั้นเรายังเป็นวัยรุ่นที่ยังไม่ได้เป็นพ่อคน เรายังไม่เข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่มีต่อลูกมากพอ เรายังไม่ได้แสดงออก เรายังไม่ใช้โอกาสสุดท้ายในการบอกอะไรที่บางทีเรายังไม่ได้บอก เราก็แค่เขิน ไม่กล้าพูดอย่างที่เติ้ลบอก เพราะเราคิดว่ายังมีเวลา จนเมื่อเค้าไม่รู้ตัว เราถึงรู้ว่าคงไม่ได้บอกแล้ว ซึ่งถ้าเอได้ฟังอยู่ตอนนี้ก็คือ พี่ก็อยากให้เอมีโอกาสที่จะได้บอก บางครั้งเราแค่ไม่กล้าพูดว่ารัก เพราะว่าเราเป็นเด็กวัยรุ่นหรือเขิน ไม่กล้าพูด หรือคำพูดอื่น ๆ ที่เรายังไม่เคยบอก เพราะฉะนั้น ณ วันนี้ เอก็ยังมีเวลาที่จะทำให้ทุกวันที่ยังมีเค้าอยู่มันไม่มีอะไรติดค้าง ซึ่งสุดท้ายไม่ได้แปลว่าเราจะไม่เศร้าหรอก ทุกคนก็เศร้าทั้งนั้น วันสุดท้ายของมนุษย์มันเป็นสิ่งที่ประหลาดนะทุกคนต้องเจอ แต่เรามักจะถือสาว่าเราไม่ควรพูด เพราะมันเท่ากับแช่ง แต่ในความเป็นจริงถ้าเราได้พิจารณามันบ้าง ลองนึกดูบ้างว่าถ้าวันหนึ่งเราไม่มีคนที่อยู่ข้าง ๆ มันจะเป็นยังไง อย่างน้อย ๆ ในวันนั้นเหมือนเราได้ซ้อมรับแรงกระแทกไว้แล้วบ้าง ซึ่งวันนี้เอมีโอกาสละพี่ว่าอยากให้ใช้โอกาสที่เรามีอยู่ตอนนี้บอกหรือคุยกับเค้าไม่ให้มันมีอะไรติดค้าง’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1