หนูโตแล้ว แค่อยากได้พื้นที่ส่วนตัวคืน... ตั้งแต่เด็กแม่มีรหัส Facebook ของหนู แม่สวมรอย คอมเมนต์ ตอบเพื่อน ทักหาผู้ชายไปทั่ว ขอร้องหนูให้ช่วยวิดีโอคอลกับผู้ชาย 5 นาที ให้ผู้ชายมั่นใจว่าคือหนูจริงๆ

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

หนูโตแล้ว แค่อยากได้พื้นที่ส่วนตัวคืน... ตั้งแต่เด็กแม่มีรหัส Facebook ของหนู แม่สวมรอย คอมเมนต์ ตอบเพื่อน ทักหาผู้ชายไปทั่ว ขอร้องหนูให้ช่วยวิดีโอคอลกับผู้ชาย 5 นาที ให้ผู้ชายมั่นใจว่าคือหนูจริงๆ

29 มี.ค. 2024

หนูโตแล้ว แค่อยากได้พื้นที่ส่วนตัวคืน... ตั้งแต่เด็กแม่มีรหัส Facebook ของหนู

แม่สวมรอย คอมเมนต์ ตอบเพื่อน ทักหาผู้ชายไปทั่ว ขอร้องหนูให้ช่วยวิดีโอคอลกับผู้ชาย 5 นาที

ให้ผู้ชายมั่นใจว่าคือหนูจริงๆ พีคสุด นัดครอบครัวผู้ชายมากินข้าวด้วยกัน ตอนนั้นหนูยังเด็ก ทำตัวไม่ถูกเลย

          “คุณน้ำ (นามสมมติ)” อายุ 22 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (27 มี.ค. 67) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาแม่สวมรอยเป็นเราไปคุยกับผู้ชายในเฟสบุ๊คจนได้คบกัน ถึงขั้นนัดกันไปกินข้าวกับครอบครัวผู้ชายคนนั้น!

            โดย ​“คุณน้ำ (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘มันเริ่มมาจากหนูมีเฟซบุ๊ก น่าจะช่วงวัยประถม ประมาณ ป.4-ป.5 และไม่ได้รู้สึกว่าการที่แม่รู้พาสเวิร์ดหรือเข้าไปอ่านแชทเวลาเราคุยกับเพื่อนเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะตอนนั้นเด็กมาก ๆ เลยคิดว่าแม่คงเป็นห่วง แต่มันกลายเป็นว่าคุณแม่ตอบแชท ตอบคอมเมนท์แทน โดยที่ทำตัวเป็นเราและเป็นอย่างนี้มาเรื่อย ๆ

            จนประมาณช่วง ม.1 โรงเรียนไม่ให้เอาโทรศัพท์ไป เพราะฉะนั้นหนูจะเล่นโทรศัพท์ได้ตอนที่อยู่บนรถ ก่อนจะลงจากรถเข้าโรงเรียน และตอนเลิกเรียน ทีนี้หนูก็ทิ้งโทรศัพท์ไว้ให้แม่ก่อนที่จะเข้าโรงเรียน หนูเห็นแล้วว่ามีผู้ชายคนนึงแอดเฟซบุ๊กหนูมา แต่หนูไม่ได้สนใจอะไรคิดว่าเป็นเรื่องปกติ แต่พอหนูกลับมา เฟซบุ๊กผู้ชายคนนั้นหายไป แต่มีแชทที่แบบถามต่อว่า เธอชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ คุณแม่ก็ตอบแทนปกติ แต่หนูมารู้ทีหลังว่า... จริง ๆ แล้วคุณแม่เอาไอดีไลน์ของคุณแม่ให้เขาไป แล้วเขาก็ไปคุยกันในไลน์

            โดยที่คุณแม่หลาย ๆ คนอาจจะชอบเอารูปลูกสาวหรือลูกชายตั้งเป็นโปรไฟล์ เขาอาจจะรู้สึกว่าไม่ได้แปลกอะไร แต่ว่านั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึกที่ไม่ปลอดภัย แล้วมันก็เกินเลยมาเรื่อย ๆ หนูแอบเห็น message ที่เด้งมา ตอนแรกเข้าใจว่าคงคุยกันปกติ แต่ไป ๆ มา ๆ มันเป็นการคุยเหมือนจีบกันเชิงชู้สาว จนมารู้ทีหลังว่าเขาคบกัน คุณแม่ก็มาพูดประมาณว่า ช่วยวิดีโอคอลคุยกับเขาให้หน่อยซัก 5-10 นาทีได้ไหม? ทั้ง ๆ ที่หนูไม่ได้รู้จัก ไม่ได้คุยกับเขาเลย แต่ให้หนูตีหน้าซื่อคุยวิดีโอคอลกับเขา หนูก็คุย ๆ ไปให้มันหมดเวลา แล้วก็วางสาย คุณแม่ก็คุยกันต่อในแชท คุณพ่อทำงานอยู่ต่างจังหวัดกลับมาอาทิตย์ละ 1 ครั้ง แต่คุณพ่อจับไม่ได้เพราะอาจจะเป็นคนไม่ค่อยเล่นโซเชียล และไม่ค่อยสนใจอะไร เขาก็ดูอินโทรเวิร์ตหน่อย ๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่คุยกับคุณแม่เลย

            ตอนหนูอายุ 15 ปี เป็นวันที่หนูต้องเปลี่ยนบัตรประชาชน หนูก็ถ่ายรูปลงมาจากอำเภอปุ๊บ แล้วคุณแม่ก็บอกว่า เดี๋ยวเราไปสยามกัน เนี่ยไปกินข้าวกัน นัดไว้แล้ว หนูก็ถามว่า ไปกินข้าวอะไร เขาก็เลยบอกว่า เขานัดผู้ชายคนนั้นกับครอบครัวเขาไว้แล้ว ต้องไปนะ เพราะว่าเขามาแล้ว หนูก็รู้สึกเหมือนโดนมัดมือชก ตอนนั่งกินอาหารก็คุยกันปกติ หนูอึดอัดมาก จนแบบหนูจะลุกไปเข้าห้องน้ำ แล้วแม่ของผู้ชายก็บอกผู้ชายคนนั้นว่า เนี่ย ไปกับน้องสิลูก จนหนูคิดว่าไม่ไปดีกว่ารู้สึกไม่ปลอดภัย

            หลังจากเหตุการณ์วันนั้น หนูก็พยายามที่จะบอกผู้ชาย โดยใช้แอคหลุมไอจีของหนูทักไปเลยว่า เธอรู้ไหมที่คุยกันมาตลอด 4-5 ปี แล้วที่นัดไปเจอเรื่องมันเป็นแบบนี้ ๆ ผู้ชายก็ไม่เชื่อ หนูก็ตั้งกล้องอัดหน้าตัวเองพูดว่า เนี่ย ดูหน้าเอาไว้ แล้วก็จำเสียงไว้ เสียงเราเป็นแบบนี้ พอเขาไม่เชื่อ หนูก็ไม่รู้จะทำยังไงหนูก็ปล่อยเขาไป แล้วเหมือนผู้ชายเริ่มจะรู้ว่านี่คือแอคหลุมของหนู แต่หนูไม่แน่ใจว่าเขาจะเข้าใจว่าแอคหลุมเป็นของแม่ไหม เพราะหนูคิดว่าผู้ชายมันก็ต้องแคปแชทที่หนูคุยส่งไปให้แม่ แม่ก็คงน่าจะบอกว่า นั่นแม่เราอย่าไปสนใจเลย ฟีลแบบสลับกัน และหนูพยายามหาว่าแม่กำลังจะทำอะไร ก็เลยเริ่มรู้ว่าแม่มีอีกเฟซบุ๊ก มีอีกไอจีนึงที่แม่สร้างเอง เหมือนเป็นอีกโลกที่เอาไว้คุยกับผู้ชายคนนั้น

            ด้วยความที่อยู่กับแม่ที่บ้าน 2 คน ก็เลยไปบอกเขาว่า แม่ทำแบบนี้ไม่โอเคเลยนะ เลิกได้ไหม เขาก็ขำแล้วบอกว่า จะอะไรนักหนาก็คุยกันผ่านแชท ไม่ได้ไปหาเขาสักหน่อย หนูก็เคย message ไลน์ไปบอกคุณพ่อ คุณพ่อก็อ่านแต่ไม่ตอบ แต่พอเวลาผ่านไปเหมือนคุณแม่ทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ หนูก็บอกว่า หนูทนไม่ไหวแล้วนะ หนูจะต้องบอกพ่อแล้วนะ เขาก็บอกว่า ครั้งที่แล้วก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรอ ถ้าบอกอีกจะเลิกกันแล้วนะ จนปัจจุบันหนูเริ่มมีสังคม มีแฟน หนูควรจะทำยังไง หนูถึงจะเอาพื้นที่ส่วนตัวคืนมา หรือหนูควรจะเปิดเฟซบุ๊กใหม่ไปเลย?

            ซึ่ง “ดีเจต้นหอม” ให้คำปรึกษาว่า ‘หนูต้องเรียกแม่มาคุย แล้วการคุยของหนูไม่ได้ถามว่าแม่โอเคไหม หนูต้องบอกโหมดที่แม่จะใช้ชีวิตอยู่กับหนูให้แม่รับทราบ หนูเปลี่ยนพาสเวิร์ดเฟซบุ๊กก่อนที่จะเรียกแม่เข้ามาคุย ให้ทุกอย่างมันเป็นไพรเวทอะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวของเรา คนอื่นจะเข้ามาก้าวก่ายไม่ได้ เรียกแม่มาคุยเลยว่า...

            1. รับรู้เรื่องความเป็นส่วนตัวของเรา แล้วก็เราไม่ยุ่งเรื่องแม่ แม่ไม่ยุ่งเรื่องเรา อะไรที่เราอยากให้แม่รับรู้หรืออยากให้แม่แสดงความคิดเห็นเราจะบอก 

            2. เรื่องที่แม่แอบอ้างเป็นตัวตนของเราอันนั้นผิด อย่าทำอีก เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่าถูกคุกคามแล้วไม่ปลอดภัย

            ถ้าทำทั้งหมดแล้วแม่ยังเป็นแบบนี้อยู่ เรื่องนี้จะเรียกพ่อมาคุย แล้วจะถามความคิดเห็นจากพ่อด้วย และถ้าพ่อกับแม่จะเลิกกัน ไม่ใช่ตัวหนูที่เอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อ แต่เป็นเพราะแม่ทำตัวแบบนี้ แล้วก็เราจะไม่คอลไลน์กับผู้ชายโดยที่เราหลอกเขา เพราะเท่ากับเราสมรู้ร่วมคิดกับแม่ ถ้าแม่อ้างเหตุผลอะไร ให้พูดไปเลยว่า ไม่ ก่อนที่แม่จะทำอะไร อยากให้แม่ใช้ความคิดมากกว่านี้ อีกนิดแม่จะเข้าข่ายไม่ปกติแล้ว ถ้าแม่ยังเป็นอย่างนี้หรือไม่สามารถขจัดนิสัยแบบนี้ออกไปได้ แม่ต้องปรึกษาแพทย์แล้ว’

            ต่อมา “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘การปลอมตัวเพื่อสวมรอยเป็นใครสักคนเพื่อคุยมันคือการหลอก ผู้ชายโดนเต็ม ๆ พี่ดูสารคดีของเมืองนอกเยอะเกี่ยวกับพวกหลอกลวง สวมรอย แล้วจุดจบมันไม่ค่อยดีทั้งนั้นเลยที่พี่ดู พี่เลยค่อนข้างตกใจ พอคิดตาม ที่มันรู้สึกไม่ปลอดภัยถูกต้องแล้วน้ำ เพราะฉะนั้นถ้าจะคุยกับแม่ น้ำต้องเด็ดขาดว่านี่มันไม่ใช่แล้ว สิ่งที่แม่ทำ มันอาจจะทำให้เกิดอันตรายกับลูกสาวตัวเองได้ ถ้าคิดว่าคุยไม่รู้เรื่องก็ปิดเฟสบุ๊คไปเลย ให้เขารู้ว่าเราไม่เอาแล้ว’

            สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า ‘ก็ต้องปิดเฟสบุ๊ค ปิดช่องทางทุกอย่างที่เขาจะเป็นหนูได้ แม่ต้องไม่มีตัวตนของหนูอีกต่อไปแล้ว ต้องดูว่าเขาทนได้ไหม ถ้าเขาไม่ไหวต้องพาเขาไปหาหมอ แต่ถ้าไปหาหมอแล้วเขาทำไม่ได้ เขาก็ต้องหย่ากับพ่อ ตอนนี้เขามีพ่อเป็นสามี เขาไม่สามารถไปคุยกับคนอื่นได้ นอกจากเขาต้องหย่า ทีนี้เขาจะคุยกับคนอื่นไม่ว่า แต่เขาก็ต้องห้ามสวมรอยเป็นคนอื่น เขาต้องคุยในฐานะเป็นเขาเอง ถ้าเราอยากให้ปัญหานี้ยุติ ต้องถอนรากถอนโคน’

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

หนูไปทำงานพาร์ทไทม์ที่นึง เจอรุ่นพี่ อายุ 37 แล้ว ขอแอดไลน์กัน เขาถ่ายรูปคู่กับเด็ก 7 ขวบ ถามเขา เขาบอกน้อง คุยไปคุยมา เริ่มคิดถึงเค้า เค้าโทรมาขอเงิน 100 พอเราจะโอนให้ เขาบอก ขอ 200 เลยแล้วกัน

13 ก.ย. 2024

หนูไปทำงานพาร์ทไทม์ที่นึง เจอรุ่นพี่ อายุ 37 แล้ว ขอแอดไลน์กัน เขาถ่ายรูปคู่กับเด็ก 7 ขวบ ถามเขา เขาบอกน้อง คุยไปคุยมา เริ่มคิดถึงเค้า เค้าโทรมาขอเงิน 100 พอเราจะโอนให้ เขาบอก ขอ 200 เลยแล้วกัน

หนูไปทำงานพาร์ทไทม์ที่นึง เจอรุ่นพี่ อายุ 37 แล้ว ขอแอดไลน์กัน เขาถ่ายรูปคู่กับเด็ก 7 ขวบถามเขา เขาบอกน้อง คุยไปคุยมา เริ่มคิดถึงเค้า เค้าโทรมาขอเงิน 100 พอเราจะโอนให้เขาบอก ขอ 200 เลยแล้วกัน โอนเสร็จ เพิ่งรู้ว่าบัญชีเมียเขา และ เขาก็หายไปเลยไม่เจอที่ทำงานแล้ว “คุณเบสท์ (นามสมมติ)” อายุ 20 ปี สายที่สามในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [11 ก.ย.67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาโอนเงินให้ผู้ชายที่มาจีบ 200 มารู้ทีหลังว่าเขามีลูกมีเมียแล้ว จากนั้นเขาก็หายไป เงินก็ไม่คืน โดย “คุณเบสท์ (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ขอเกริ่นก่อน พอดีหนูมีเพื่อนสนิทคนนึง เขาทำงานพาร์ทไทม์ในห้างสรรพสินค้าที่นึง เขาก็มาชวนหนูไปทำงาน หนูก็เลยตอบตกลงเพราะค่าตอบแทนค่อนข้างสูง ทีนี้เขารับเด็กพาร์ทไทม์เยอะ หนูเลยได้ไปเจอกับคนๆนึง เขาหล่อ ดูทรงแบดบอย เขาทำงานโซนเดียวกับหนู แล้วเขาก็สนิทกับเพื่อนหนูมาก่อน ต่อมาเขาก็เหมือนจะมาเต๊าะๆ จีบๆหนู ตอนแรกหนูก็ไม่ค่อยชอบ พราะเขาอายุค่อนข้างห่างกับหนูเยอะเลย เขาอายุ 37 ปี ด้วยความที่หนูโสดนาน ไม่มีคนคุยด้วย และเป็นคนใจง่ายนิดๆ พอเขาเต๊าะเข้ามากๆหนูก็ไปชอบเขาแล้ว หลังจบงานเขามาขอไลน์หนู หนูก็ให้ไป พอเขาแอดมา รูปโปรไฟล์ของเขาที่หนูเห็นคือเขากำลังจูงเด็กผู้ชายคนนึงอายุประมาณ 6 – 7 ขวบ หนูก็เลยถามเขาว่าลูกหรอ? เขาบอกว่าเป็นน้อง ด้วยความที่หนูซื่อบื้อก็ไม่ได้คิดอะไร น้องก็น้อง พอเลิกงานเขาก็ทักมาคุยว่า “คิดถึงนะ ฝันดีนะ เจอกันนะ พรุ่งนี้บ่ายสองเดี๋ยวพี่พักงานแล้วจะโทรหานะ” หนูก็รอโทรศัพท์จากเขา จนวันนั้นทั้งวันเขาก็ไม่โทรมา หนูก็เลยตัดใจ ไม่เอาแล้ว ไม่ชอบแล้ว พอเช้าวันถัดมาเขาโทรมาหาหนูช่วง 10 โมง หนูก็เลยกลับมาชอบเขา เขาก็บอกหนูว่า “คิดถึงจังเลย เดี๋ยววันจันทร์ไปกินหมูกระทะกันนะ วันนี้มีแพลนจะไปไหนมั้ย ไปไหนก็อย่าให้ไลน์ผู้ชายนะ อย่าให้ไลน์ใครนะ” เหมือนเขาหวง เป็นห่วงเรา หนูก็เลยคิดกับตัวเองว่า เอาล่ะ ดูทรงเหมือนจะมีแฟนแล้วแหละ ทีนี้เขาก็บอกหนูว่าน้องติดต่อเพื่อนคนนี้ได้มั้ย? บอกเขาว่าโอนตังให้พี่หน่อยร้อยนึง หนูก็งงๆ สะลึมสะลือ เลยให้เขาพูดใหม่อีกรอบ เขาก็บอกว่า “ยืมตังคนนี้ให้หน่อยนะ ให้เขาโอนให้หน่อย” สักพักนึงหนูก็บอกโอเคค่ะ เขาก็วกกลับมาที่หนูว่า “หรือน้องมีก่อนมั้ยตอนนี้?” หนูก็โอนไวด้วย เปย์ ตอนแรกหนูก็ถือสายรอให้เขาส่งคิวอาร์โค้ดมาให้ แล้วเขาก็บอกว่า “เออ...น้องเป็นสองร้อยได้มั้ย?” เดี๋ยวบ่ายสองวันนี้พี่โอนคืนให้ แล้วหนูก็โอนให้เขา ตอนแรกหนูก็สงสัยว่าทำไมบัญชีปลายทางเป็นของผู้หญิง ใช้นางสาว แต่หนูก็เข้าใจว่าคงจะโอนค่าอื่นๆหรือเปล่า? หลังจากนั้นเขาก็ไม่คืน บ่ายสองแล้วก็ไม่คืน วันถัดไปก็ไม่คืน หนูไลน์ไปหาก็ไม่อ่าน ไม่ตอบ คือเขาหายไปเลย ตอนแรกหนูก็ไม่กล้าบอกเพื่อนว่าพี่คนนี้มาขอตัง เพราะกลัวเพื่อนจะว่าเราเป็นสายเปย์ไปเปย์ผู้ชาย จน 4 ทุ่มวันนั้นหนูไลน์ไปบอกเพื่อน เพื่อนหนูก็เลยมาบอกว่า “มึง กูขอโทษนะ รู้หรือเปล่าว่าเขามีลูก มีเมียอยู่แล้ว ขอโทษที่ไม่ได้บอก ไม่ได้คิดว่ามึงจะจริงจัง” ตอนนั้นพอหนูรู้ หนูนอยเลย คือไม่ได้ติดเรื่องเงินเลย แต่หนูนอยมันไม่ใช่อ่ะ ทีนี้เพื่อนก็ถามว่าโอนเข้าบัญชีใครนะ หนูก็เอาชื่อบัญชีให้ดู มันพีคตรงที่บัญชีนั้นเป็นบัญชีเมียเขา เพื่อนหนูก็รู้จักกับเมียเขา เพราะเคยทำงานด้วยกัน เพื่อนเลยเล่าให้ฟังว่าเมียเขาค่อนข้างที่จะโอ้อวดว่าที่บ้านซื้อรองเท้าแบรนด์ดังให้ลูกเลยนะ ใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมต่างๆ เวลาที่หนูให้ใครยืมเงิน หนูไม่เคยทวงเงิน เพราะอยากให้เขาคืนด้วยจิตสำนึกของตัวเอง แต่พอหนูมารู้ว่าคนนี้มีลูก มีเมียแล้ว หนูก็เลยไม่โอเค หนูเป็นคนที่ทวงสุภาพมากเลยนะแบบทักไปบอกว่าทิ้งเลขบัญชีไว้ให้ก่อนนะคะ ไม่ได้ไปจี้ทวง ซึ่งคนนี้เขาก็หายไปเลย หนูทักไปเขาก็ไม่อ่าน ไม่ตอบ เขาเคยบอกว่าเขาทำงานประจำที่นี้ๆ เพื่อนหนูรู้จักกับคนที่ทำงานที่เดียวกับเขา พอไปถามถึงเขา คนที่ทำงานที่เดียวบอกว่า พี่คนนี้เขาลาออกไปเดือนนึงแล้ว เพื่อนหนูทักไปทั้งทางเมียและผัวเลยแต่ไม่มีใครตอบเลยสักคน หนูอยากได้วิธีทวงตังหรือไม่ก็อยากให้พี่ๆดีเจพูดอะไรให้เขาคืนตังหนูหน่อย?’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

คบแฟนได้ 6 เดือน แฟนบอกว่ามี FWB กับผู้หญิงอีกคน ตอนแรกคิดว่าพูดเล่น หลังๆเริ่มชวนไปกินข้าวกัน 3 คน แฟนหนูสั่งน้ำโปรดให้เขา ตักข้าวให้เขา จนหนูรู้สึกว่า "เรายังเป็นแฟนอยู่ไหม" พีคสุด เจอแชทเขาคุยเสียวกัน

10 พ.ค. 2024

คบแฟนได้ 6 เดือน แฟนบอกว่ามี FWB กับผู้หญิงอีกคน ตอนแรกคิดว่าพูดเล่น หลังๆเริ่มชวนไปกินข้าวกัน 3 คน แฟนหนูสั่งน้ำโปรดให้เขา ตักข้าวให้เขา จนหนูรู้สึกว่า "เรายังเป็นแฟนอยู่ไหม" พีคสุด เจอแชทเขาคุยเสียวกัน

คบแฟนได้ 6 เดือน แฟนบอกว่ามี FWB กับผู้หญิงอีกคน ตอนแรกคิดว่าพูดเล่นหลังๆเริ่มชวนไปกินข้าวกัน 3 คน แฟนหนูสั่งน้ำโปรดให้เขา ตักข้าวให้เขาจนหนูรู้สึกว่า "เรายังเป็นแฟนอยู่ไหม" พีคสุด เจอแชทเขาคุยเสียวกันตอนนี้เขาบอกไม่ได้ยุ่งกันแล้ว หนูควรเชื่อและคบแฟนต่อดีไหม? “คุณมน (นามสมมติ)” อายุ 32 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [8 พ.ค. 67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหารักของเราสามคน เพราะแฟนของคุณมนแอบมี FWB ลับหลัง โดย ​“คุณมน (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘มนมีแฟนอยู่คนหนึ่ง ซึ่งก่อนที่จะคบกัน คู่ของเราก็มีการพูดคุยดูใจกัน เหมือนคู่อื่น ๆ แต่ช่วงที่เรายังคุยกันอยู่ ทางฝ่ายชายก็ชอบเอ่ยปากว่า เขาอยากมีภรรยาสองคน แต่มนก็คิดว่าที่เขา พูดมันเป็นเรื่องขำ ๆ เพราะมนก็ถามเขาเกือบทุกครั้งว่า มันมีทางเป็นไปได้จริง ๆ หรอ ? เขาก็ตอบว่า ไม่มีอะไร เขาแค่ถามเล่น ๆ แค่ลองถามดู ซึ่งมนก็เป็นคนที่ไม่ได้คิดอะไรก็ลองคุยต่อไป ระยะเวลาก็ผ่านไป เราใช้เวลาคุยกัน 6 เดือน หลังจากนั้นก็เลยตัดสินใจคบกันดู ซึ่งตลอดระยะเวลาประมาณ 1 ปีที่คบกันมา มันเป็นความสัมพันธ์ที่ดีมาก เทคแคร์ ดูแล ใส่ใจกันมาตลอดทั้งเขาทั้งเรา แต่อยู่มาวันหนึ่ง เขาก็อยากพามนไปทานข้าวกับ “บี (นามสมมติ)” มนก็ถามเขาว่า บีเป็นใคร ? เขาก็เล่าให้ฟังว่า บีเป็น FWB กับเขามาก่อน เป็นแบบนี้มานานแล้ว และปัจจุบันนี้ ก็ยังเป็นอยู่ ซึ่งมนคิดว่า เขาคงอยากให้ความคิดของเขามันเป็นจริงมั้งคะ ความคิดที่ว่า… เขาอยากมีภรรยาสองคน ความพีคก็ คือ มนก็ตอบ ตกลง ยอมที่จะไปทานข้าวกับพวกเขา ซึ่งเป็นตัวของมนเองที่ปล่อยเลยตามเลย เพราะตอนนั้นมนแค่รู้สึกว่า ยังเลิกกับเขาไม่ได้ และ ยังรักเขาอยู่ และมนก็คิดว่า บนโลกใบนี้ ยังมีความสัมพันธ์อีกมากมายที่เรายังไม่รู้จัก ก็เลยอยากจะลองเปิดใจดูว่า มันอาจจะดีหรือว่ามันอาจจะเป็นไปได้หรือไม่ได้ อยากลองดูสักตั้งให้มันรู้ ดีกว่าปฏิเสธตั้งแต่ต้น หลังจากตกลงไปทานข้าวด้วยกัน มนก็ถามแฟนว่า ให้เราไปรับไหม ? เพื่อที่เราจะได้ไปร้านด้วยกัน เขาก็บอกว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวเขาไปเอง แต่พอมนไปถึงที่ร้าน มนกลับเจอเขามากับบีก่อนแล้ว พอถึงเวลาทานอาหาร มนก็นั่งข้างแฟน ส่วนบีก็นั่งฝั่งตรงข้าม ต้องขอเกริ่นก่อนว่า มนเป็นคนที่ชอบดื่มโคล่า ซึ่งมนก็คิดว่า บีก็ชอบดื่มเหมือนกัน แต่พอเริ่มสั่งอาหาร แฟนของมนกลับสั่งน้ำเปล่าให้มน แต่สั่งโคล่าให้บี มนก็เริ่มมีอารมณ์นิดหน่อยที่แฟนจำของเราไม่ได้ แต่กลับจำของบีได้ แต่มนก็ยังเดินอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์อยู่ คิดว่า เขาคงรู้จักกันมานาน ระหว่างที่ทานข้าวแฟนของมนก็ตักข้าวให้ทั้งตัวเราและบี สลับวนอยู่แบบนี้ตลอด ส่วนบทสนทนาบนโต๊ะอาหาร ส่วนใหญ่จะพูดถึงการทำธุรกิจ เพราะมนกับแฟนวางแผนกันว่า จะเปิดบริษัทร่วมกัน โดยตามหลักของการเปิดบริษัทจะต้องมีผู้ถือหุ้นทั้งหมด 3 คน ซึ่งมนก็คิดว่า ฝ่ายชายน่าจะวางแผนไว้แล้ว ว่าอยากจะให้เป็นตัวเขาเอง มน และบี เรื่องผู้ถือหุ้นในความรู้สึกของมน มนเฉยมาก ไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่ามนก็มีเรื่องที่รู้สึกน้อยใจ เพราะหลายอย่างที่แฟนมาขอความคิดเห็น เช่น รูปแบบโลโก้ หรือเรื่องภายในบริษัท แฟนกลับเลือกความคิดเห็นของบีมากกว่าของมน หลังจากนี้ เราก็เริ่มที่จะทะเลาะกัน เขาก็มีคำพูดที่ว่า จริง ๆ เราเลือกคนอื่นมาเป็นผู้ถือหุ้นก็ได้นะ ไม่จำเป็นที่ต้องเป็นเธอ และเธออย่าคิดว่า เรามาหลอกเธอ เพราะเธอจะไม่ถือหุ้นก็ได้ แต่เราต้องไม่เลิกกันนะ เรายังอยากมีเธออยู่ข้าง ๆ เรา ซึ่งการทำธุรกิจร่วมกันนี้ มนไม่มีการลงทุนลงเงิน เพราะมนรับผิดชอบด้านบัญชี ต้องลงแรง จึงไม่จำเป็นต้องลงเงิน ซึ่งมนไม่รู้ว่า เขาเข้าหามน เพราะทำบัญชีได้ เลยมาหลอกเอาผลประโยชน์ จากมนหรือเปล่า ? หลังจากที่กลับมาจากการรับประทานอาหารกัน มนก็มานั่งตกตะกอนความคิด ก่อนที่จะตัดสินใจคุยกับเขา อย่างเปิดใจว่า เรารู้สึกไม่โอเคกับความสัมพันธ์แบบนี้ เราไม่สามารถรับมือและไปต่อได้ เธอต้องเป็นคนเลือกแล้วว่า เธอจะอยู่กับเขา หรือเธอจะอยู่กับเรา ซึ่งถ้าเธอจะอยู่กับเรา เธอก็ไปเลิกกับเขามาให้ชัดเจน ไปหาหลักฐานหรืออะไรก็ตามมายืนยันให้ได้ว่า เธอได้เลิกกับเขาแล้วจริง ๆ หลังจากนั้น เขาก็ไปเคลียร์กันมา เขากลับมาบอกเราว่า เขาเลือกเรานะ แต่สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่า เราพลาด คือ เขาแคปแชทมาให้ดูว่า เขาได้บอกเลิกกับทางฝั่งนั้นแล้ว และเราก็เลือกที่จะไม่ทักถามฝ่ายหญิง เพราะโดยปกติเราก็ไม่เคยเช็คโทรศัพท์ของกันและกัน จากนั้นมนก็กลับมาเชื่อใจและให้โอกาสเขาอีกครั้ง จนกระทั่งเข้าปีที่ 2 แฟนของเราก็เริ่มพูดถึงชื่อของบีเยอะขึ้น อย่างเช่น นั่งดูหนังกันอยู่ เขาก็จะพูดแล้วว่า เรื่องนี้บีบอกว่าสนุกนะ หรือว่า ข้าวร้านนี้บีบอกว่าอร่อยนะ ซึ่งเราเป็นสายนิ่งเงียบอยู่แล้ว เวลาได้ยินชื่อก็ทำนิ่งไว้ แล้วก็ตามน้ำเขาไปว่า อ๋อ เหรอคะ พอเขาหลับเราก็แอบเช็คมือถือ เราได้แต่ภาวนาคิดว่า เขาคงคุยกันเรื่องงานที่บริษัท แต่ภายในแชทกลับกลายเป็นว่า เขาคุยไปในทาง 18+ มีการส่งรูปลับหากัน ไม่ได้มีเรื่องงานปนอยู่เลย ณ วันที่เราเห็น เราก็รู้สึกช็อคมาก เหมือนกลับว่าจะเป็นลม ในคืนนั้นมนก็เก็บเสื้อผ้าออกไปนอนอยู่ที่โรงแรม 2-3 วัน และใช้เวลาอยู่กับตัวเอง แต่ก็ยังต้องไปทำงานอยู่ ความรู้สึกคือตีกันหนักหน่วงมาก พอได้สติเราเลยเลือกที่จะกลับไปคุย และถามเขาว่า มันเกิดอะไรขึ้น ? ซึ่งเหตุการณ์ตอนนั้นมันกลายเป็นสงครามแล้ว มนทะเลาะกับเขา และบีด้วย ฝ่ายชายก็บอกว่า มันไม่มีอะไร มันเป็นเพียงข้อความที่คุยกันเท่านั้น เขาไม่ได้ไปมีสัมพันธ์อะไรกันเลยตั้งแต่ตอนนั้น มันจบกันนานแล้ว เธอก็เห็นว่า เราก็อยู่ด้วยกันทุกวัน คุยจบมนก็เลือกที่จะทักหาบีต่อว่า ทำไมถึงคุยกันแบบนี้ คือถ้าผู้หญิงบอกว่าผู้ชายมาหลอกเขา เราจะได้ด่าผู้ชายคนเดียวให้จบ แต่ผลสรุปแล้ว บีก็รู้เรื่องทั้งหมดอยู่แล้ว บอกมนว่า ขอโทษที่พิมพ์ไปแบบนั้น ก็คนมันเคยคุยกันแบบนี้ แต่จะไม่คุยกันแบบนั้นอีกแล้ว แล้วก็ขอโทษเรา ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ มนก็ยังคบกับแฟนมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนเหตุผลที่มนไม่เลิก แม้ว่าจะเจอเหตุการณ์อะไรสารพัด เป็นเพราะฝ่ายชายเคยพูดว่า เราอยู่ด้วยกันมา เขาเทคแคร์ ดูแลเราดีมากเลยในสถานะของแฟน ซึ่งตรงนี้มนก็ไม่เถียง เขาก็เลยถามเราว่า เขาทำผิดแค่นี้เอง ทำไมมนถึงไม่มองข้อดีของเขาบ้าง ? แต่มนกลับรู้สึกว่า ที่เราอยู่ด้วยกันตอนนี้ มันเป็นเพราะความผูกพัน ซึ่งมนไม่รู้ว่าจะเดินออกมาจากเขายังไง หรือจริง ๆ แล้ว มนยังรักเขาอยู่ ? ซึ่งมนอยากถามพี่ ๆ ดีเจว่า มนควรไปต่อหรือพอแค่นี้แบบ… เลิกกันไปเลย โดย “ดีเจต้นหอม” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้ามนรู้สึกไม่โอเคกับการที่เขายังมีบีอยู่ มนก็ได้คำตอบแล้วว่า มนต้องเดินออกมา แล้วถ้ามนคิดว่าปัญหานอกใจเป็นเรื่องใหญ่ มนก็ไม่ต้องคิดแล้ว เดินออกมาเลย ซึ่งถ้ามนคิดว่า ความผิดมันสามารถหักล้างกับความดีของเขาได้ มนแน่ใจใช่ไหมว่า มนจะทนไหวกับสถานการณ์ แบบนี้ได้ไปตลอดชีวิต สรุปแล้วพี่ว่า มนกำลังสับสนในตัวเอง คือมนไม่ได้อยากเลิก แต่สิ่งที่เกิดขึ้น มนก็ไม่สามารถรับได้ มนก็แค่รอวันที่มนทนไม่ไหว จนมนต้องเลิก สมมติว่าวันนี้มนจะซื้อบ้านหนึ่งหลัง เหนื่อยมากอยากจ่ายก้อนไปเลย แต่วันนี้มนเลือกที่จะจ่ายดอกเบี้ยไปก่อนเรื่อย ๆ จนกว่ามนจะหมดแรง แต่บ้านมันยังดีที่มันเป็นของเรา แต่นี่คือมนจ่ายโดยไม่รู้เลยว่า สุดท้ายแล้วจะเป็นของเราหรือเปล่า ? เพราะเขาเองก็พยายามสื่อและบอกมนมาตลอดว่า เขาต้องการมี 2 คน เขาพยายามบอกมนแล้วตั้งแต่วันแรก เราแค่ไม่ได้ฟังเสียงเขาเอง คือเอาจริงก็ฟัง แต่ไม่เอามาคิด ไม่ยอมรับว่า เขาเป็นคนแบบนี้ ซึ่งคนนี้เขาไม่ใช่คนซื่อสัตย์ เพราะถ้าเขาซื่อสัตย์ เขาจะไม่เอา FWB มารู้จักกัน เขาจะตัดตั้งแต่ตอนนั้น ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง คือตอนนั้นเขาเผื่อฟลุ๊ค เผื่อว่า มนจะยอม แต่สรุปมนไม่ยอม แทนที่เขาจะตัด แต่เขาก็เลือกทำต่อแปลว่า เขาไม่ใช่คนซื่อสัตย์ ลองเทียบว่า อยู่คนเดียวกับการที่มีเขาอยู่อันไหนสบายใจกว่ากัน’ ต่อด้วย “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่ถึงถามไงว่า ถ้าพี่บอกให้เลิก คนทั้งอินเตอร์เน็ตก็บอกให้เลิก มนทำได้หรือเปล่า ? เพราะวันนี้มนเองก็ไม่ได้มีน้ำเสียงที่พี่รู้สึกว่า มนสามารถตัดสินใจเลิกได้ คือการที่เจอแบบนี้ 2 รอบ เป็นคนอื่นอาจจะไปแล้ว แต่ความอดทนนมนอาจจะสูงกว่า มนก็แค่ต้องอยู่ไปเรื่อย ๆ แบบที่พี่หอมบอก จนกว่ามนจะทนไม่ได้ เดี๋ยวมนก็เดินออกมาเอง เพราะความอดทนนของคนเราไม่เท่ากัน ของมนพี่ว่า น่าจะมีความทนทานสูงอยู่ แล้วก็ไม่ต้องไปคิดว่ายังรักหรือว่าผูกพัน มันไม่สำคัญ เพราะสุดท้ายแล้วมนก็ยังเลิกกับเขาไม่ได้ มนยังไม่ใจแข็งพอที่จะเลิกกับเขา ไม่ต้องถามหาสาเหตุ’ สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่มองว่า ช่วงระยะเวลา 2 ปีนี้มันยากก็จริง แต่ถ้าเทียบว่า ปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้ แล้ววันหนึ่งเขาเป็นคนบอกเลิก อันนี้พี่ว่า ไปไม่รอดกว่า เพราะเราเป็นฝ่ายตาย คือตอนนี้มนมีสิทธิเลือก เลิกออกมาก็เจ็บพี่เข้าใจ แต่ถ้ามนจะรอวันนั้น วันที่เขาบอกว่า ออกไปได้แล้ว ซึ่งถ้าวันนั้นมาถึง มนจะไปไม่รอดมากกว่านี้อีก จะยิ่งซ้ำตายกว่านี้อีก เพราะตอนนั้นมนจะรู้สึกว่า ยอมมาขนาดนี้แล้ว แล้วยังมาโดนบอกเลิกอีก พี่ว่ามันเจ็บคนละแบบ แล้วถ้ามนอยากจะมีอนาคตกับผู้ชายคนนี้ คิดภาพแต่งงาน มีลูก แต่มนก็ยังต้องทนกับผู้หญิงคนนี้ตลอดเวลา หรือจะมีผู้หญิงคนอื่นอีก แล้วเราจะยังแข่งอดทนกับบีอยู่เหรอ ?’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

เพื่อนรักของหนูมีนิสัยชอบ กินข้าวต่อหนู บางทีหนูก็ไม่ชอบให้ใครมาแย่ง แล้วที่ผ่านๆมาจะมีผู้ชายหล่อ หน้าตาดี โปรไฟล์ดีๆเข้าหาหนูเยอะมาก เพื่อนบอก "ถ้าคนนี้มึงเลิกคุย กุขอได้ไหม?" ตอนแรกคิดว่าพูดเล่น...

09 เม.ย. 2024

เพื่อนรักของหนูมีนิสัยชอบ กินข้าวต่อหนู บางทีหนูก็ไม่ชอบให้ใครมาแย่ง แล้วที่ผ่านๆมาจะมีผู้ชายหล่อ หน้าตาดี โปรไฟล์ดีๆเข้าหาหนูเยอะมาก เพื่อนบอก "ถ้าคนนี้มึงเลิกคุย กุขอได้ไหม?" ตอนแรกคิดว่าพูดเล่น...

เพื่อนรักของหนูมีนิสัยชอบ กินข้าวต่อหนู บางทีหนูก็ไม่ชอบให้ใครมาแย่งแล้วที่ผ่านๆมาจะมีผู้ชายหล่อ หน้าตาดี โปรไฟล์ดีๆเข้าหาหนูเยอะมากเพื่อนบอก "ถ้าคนนี้มึงเลิกคุย กุขอได้ไหม?" ตอนแรกคิดว่าพูดเล่นแต่คนคุยเก่าของหนูแคปแชทเพื่อนมาให้ดูว่าเพื่อนหนูทักมาหาจริงๆ “คุณคะนิ้ง(นามสมมติ)” อายุ 23 ปี สายที่สามในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (3 เม.ย. 67) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจต้นเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาเพื่อนชอบกินของเหลือ ตั้งแต่ข้าว ขนม ไปจนถึงผู้ชาย! โดย ​“คุณคะนิ้ง(นามสมมติ)” เริ่มเล่าว่า ‘หนูมีเพื่อนสนิท 1 คน นามสมมุติว่า ​“บี” ในแก๊งจะมี 4 คน แต่หนูสนิทกับบีที่สุด เรา 2 คนเป็นเพื่อนสนิทกันแต่เราจะแตกต่างกันมาก ๆ บีจะเป็นคนติดเที่ยว ติดร้านเหล้า แต่หนูจะเป็นคนไม่ชอบไปไหน ชอบอยู่บ้าน ไม่ชอบเที่ยวกลางคืน สมัยมัธยมบีจะมีนิสัยนึงที่หนูรู้สึกว่าไม่โอเคเลยก็คือ เขาชอบมาแย่งข้าวหนูกิน ถ้าเป็นขนมแบบชิ้น ๆ เรายังจะแชร์กันได้ แต่บางทีมันเป็นข้าวในจานที่หนูทำมาจากห้อง พอเปิดกล่องมาปุ๊บ บีก็หันมาแล้วก็พูดว่า ขอกินบ้างดิคำนึง ซึ่งหนูยังไม่ได้กินเลย หนูก็เลยพูดอ้อม ๆ ไปว่า เออเนี่ย ความจริงกูอะไม่ชอบให้ใครมาแย่งข้าวกูกินนะ ค่อนข้างจะซีเรียส แต่เขาก็ไม่หยุด หนูก็ยอมเขา จนเราจบ ม.6 กันทั้งคู่ แล้วแยกย้ายกันไปเรียนมหาวิทยาลัยอื่น นาน ๆ ทีก็จะเจอกัน คราวนี้มันเป็นผลพวงต่อมาอีกเรื่องนึงคือ ด้วยความที่ตัวหนูเองมีคนเข้ามาเยอะมาก ๆ แล้วบีก็จะรู้ว่าหนูคุยกับใคร คบกับใคร รู้ตั้งแต่คุยยันเลิกคุย จะรู้กันทุกอย่าง ส่วนใหญ่คนที่เข้ามาหาหนูโปรไฟล์ดีมาก บางคนก็หล่อ บางคนก็รวย บางคนก็ทั้งหล่อทั้งรวย บีก็จะพูดเสมอว่า หาให้บ้างได้ไหม อยากได้อะไรแบบนี้บ้าง กูเป็นเพื่อนมึง ทำไมกูไม่เคยได้อะไรแบบนี้เข้ามาบ้างเลย หนูก็เลยบอกว่า โอเค เดี๋ยวหาให้ละกัน คราวนี้มันมาถึงจุดที่เริ่มจะแตกหักคือ หนูได้ไปนัดเจอกับผู้ชายคนหนึ่ง แล้วบีก็ขอไปด้วย พอไปเจอคนคุยหนู บีก็มากระซิบข้างหูว่า ถ้าคนนี้มึงเลิกคุย กูขอได้ไหม? หนูก็คิดว่าบีคงพูดเล่นแหละ คงไม่มีเพื่อนคนไหนอยากทำแบบนี้หรอก พอหนูเลิกคุยกันคนนี้ คุยกับคนที่ 2 ก็นัดเจออีก บีก็เหมือนเดิมไปด้วยแล้วพูดว่า อุ้ย คนนี้หล่ออะ ถ้ามึงเลิกคุยกูขอได้ไหมเนี่ย หล่อจริง ๆ หนูก็คิดว่าเพื่อนหยอกเล่น จนผ่านไป 3-4 คน หนูก็ไม่ได้อะไร ด้วยความที่หนูเป็นคนเชื่อใจเพื่อน พอมันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำ ๆ หนูก็มีพูดบ้างประปรายว่า มึงบ้าป่ะเนี่ย คือคุยต่อกูเนี่ยนะ บีก็ขำ จนมีวันหนึ่งคนคุยเก่าหนู เขาโทรมาแล้วส่งหลักฐานแชทมาว่า นิ้ง เพื่อนนิ้งทักมาหาพี่ เขามาขอคุยกับพี่นะ คือพี่ไม่รู้จะพูดยังไงดี พี่ก็ไม่อยากจะพูดทำร้ายจิตใจเขา อยากให้นิ้งจัดการคนของนิ้งเองนะ พี่อยากให้คุยกันเองเพราะเป็นเพื่อนกัน หนูก็ไปคุยกับเขาว่า มึงไปทักหาพี่เขาหรอ? เขาก็พูดว่า กูแค่ไปเต๊าะเล่น ๆ ก็ไม่มีอะไร หนูก็ไม่พอใจแหละแต่หนูก็ไม่ได้พูดอะไร หนูอยากรู้ว่า หนูควรจะพูดกับเพื่อนคนนี้ยังไง? ตอนนี้หนูยังเป็นเพื่อนกันอยู่ แต่ในอนาคตหนูอาจจะเลิกเป็นเพื่อนกัน หนูก็แค่อยากบอกให้เขาแก้นิสัยนี้แบบถาวร ไม่อยากให้เอานิสัยนี้ไปทำกับคนอื่นเพิ่ม ซึ่ง “ดีเจต้นหอม” ให้คำปรึกษาว่า ‘ไม่ต้องไปพูด เลิกคบก็คือเลิกคบ แต่ถ้าเพื่อนมาถามว่า ทำไมถึงเลิกคบ ก็บอกเหตุผลไปเลยว่า กูไม่ชอบมึงเรื่องนี้ กูก็เลยคิดว่ามึงกับกูอาจจะคนละเคมี ก็เลยเฟดแค่นั้น ส่วนเขาจะทำอะไรก็เรื่องของเขาเพราะเลิกคบแล้ว’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า ‘คือถามว่าสิ่งที่เพื่อนนิ้งทำ ที่เพื่อนบอกว่าถ้าไม่เป็นแฟนกันแล้ว ขอต่อนะ พี่รู้สึกว่าในบางคนที่เขาโอเคมันก็จะไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา แต่ตอนนี้มันเป็นปัญหาสำหรับนิ้ง เพราะนิ้งไม่ชอบคนที่มีพฤติกรรมแบบนี้ อันนี้มองแบบใจกว้าง พี่ก็รู้สึกว่าถ้านิ้งไม่ชอบเรื่องนี้ ก็ต้องบอกเขาให้ชัด เรื่องแย่งข้าวกินพี่รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพื่อนที่สนิทกันจริง ๆ กินได้ไม่ติด ไม่ได้รู้สึกว่า 3 คำทำให้ชีวิตมีปัญหานะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ถ้าเขาไม่ได้กินของหนูจนหมด พี่ว่าหนูเป็นคนหวงของด้วยแหละ ตอนนี้พี่รู้สึกว่าเหมือนนิ้งตัดสินเพื่อนโดยการเอาตัวเองเลือกเขา บางอย่างถ้าเป็นเพื่อนสนิทกันมันต้องพูดกันตรง ๆ แล้วถ้าเขาไม่ทำ ก็บอกไปว่า ไม่ได้ ไม่ชอบแบบนี้ เราก็มีสิทธิ์ที่จะเลิกคบกับเขาได้ ก็ไม่ได้มีปัญหา นิ้งอย่าบอกว่า หนูไม่อยากเลิกคบใครก่อน หนูไม่อยากทำใครหล่นหาย พี่ว่าถ้าคุยกันแล้วมันไม่โอเค รู้สึกว่าไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับการกินข้าว หรือมายุ่งกับแฟนเก่าเลย ก็ต้องห่างอย่าทนสนิทกัน แล้วยังคงมีเรื่องอย่างนี้อยู่ในใจ พี่ว่ามัน Toxic ทั้งตัวหนูเองแล้วก็เขา แล้วเราก็บอกเขาด้วยความหวังดีแล้ว จากนั้นชีวิตเขาจะเป็นยังไงก็ปล่อยเขาไป เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเขา อย่าหวังดีขนาดนั้น ถ้าสุดท้ายแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไร’ สุดท้าย “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่ว่าคงไม่ใช่เพื่อนสนิทอะไรขนาดนั้น สำหรับมาตรฐานของพี่ ถ้าเพื่อนสนิทมันคุยกันได้ทุกเรื่อง ไม่ต้องมาลำบากมากมาย เท่าที่พี่ฟังมาทั้งหมดพี่รู้สึกว่า เราเป็นคนหวงของ หวงทุกอย่างในชีวิต และรู้สึกว่าเราเหนือกว่าเพื่อน แล้วถ้าคนนี้มาคุยต่อคนเดียวกับเรา ฉันถือว่าเธอไม่ควรมาเสมอฉันได้ คนที่คุยกับฉันถ้าไม่หล่อก็รวย ไม่ก็ทั้งหล่อทั้งรวย คำนี้พี่เด้งตัวเองออกมาจากนิ้งเลย เพราะพี่รู้สึกว่านิ้งเหนือกว่าเพื่อน พี่ว่ามันอาจจะไม่ใช่หน้าที่เราที่จะไปเปลี่ยนแปลงชีวิตใครภายใน 1-2 ประโยค กาลเวลาจะค่อย ๆ สอนเขาเองว่า การที่เขาทำแบบนี้กับเพื่อน เพื่อนก็จะหนีเขาไปทีละคน แบบคะนิ้งคนหนึ่งละ ถ้าแก้ไม่หายกาลเวลาก็จะทำให้เขาไม่มีเพื่อนไปเรื่อย ๆ เอง โดยที่นิ้งไม่ต้องไปเป็นผู้เปลี่ยนชีวิตใคร แล้วตอนนี้ในเมื่อชีวิตมันพัดพาให้ห่าง ๆ กันไปแล้ว ถ้าพี่เป็นคะนิ้งก็รู้สึกว่า โชคดีแล้วล่ะ ปล่อยให้เขาได้ไปใช้ชีวิตแบบนี้กับคนอื่น โชคดีของเราแล้วที่เขาออกไปจากชีวิต ถ้ายิ่งเราเป็นคนที่ไม่กล้าตัดความสัมพันธ์กับใครก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ สุดท้ายถ้าเป็นเพื่อนสนิทก็คุยกันได้ แต่พี่ว่ามันเลยเวลาที่จะคุยแล้ว ถ้ามันห่างไปแล้วก็ช่างมัน’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

ตอนนี้อายุ 17 แต่ลังเลกับชีวิต... จะเลือก 'ลาออก' จากโรงเรียน แล้วไปหางานทำ หรือ 'เรียนต่อ' จนจบดี ตัดสินใจไม่ได้ รู้สึกเหมือนเปลืองเงินพ่อแม่ไปวันๆ

01 ธ.ค. 2023

ตอนนี้อายุ 17 แต่ลังเลกับชีวิต... จะเลือก 'ลาออก' จากโรงเรียน แล้วไปหางานทำ หรือ 'เรียนต่อ' จนจบดี ตัดสินใจไม่ได้ รู้สึกเหมือนเปลืองเงินพ่อแม่ไปวันๆ

“คุณชาเย็น (นามสมมติ)” อายุ 17 ปี สายที่สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (29 พ.ย. 66) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม กับปัญหาที่ว่าจะเรียนต่อหรือลาออกมาทำงานดีเพราะว่าสงสารพ่อแม่ที่ทำงานลำบากมาส่งตัวเองเรียน โดย “คุณชาเย็น (นามสมมติ)” ได้เริ่มปรึกษาว่า ‘หนูเลือกที่จะเรียนต่อ หรือว่าเลือกที่จะออกจากโรงเรียนดี หนูสงสารพ่อแม่ที่ต้องทำงานส่งหนูเรียนเพราะว่าหนูเป็นคนที่ไม่เข้าเรียน ชอบโดดเรียน เพราะในห้องหนูไม่มีเพื่อนเลย ก็จะโดดเรียนไปนั่งที่โรงอาหารกับเพื่อนห้องอื่น เพื่อนในห้องเดียวกันก็ไม่มีใครพูดกับหนู เพราะเขาเห็นหนูเป็นคนไม่ดีกันไปหมดแล้ว หนูเคยขึ้นไปเรียนครั้งนึง เรียนไปหนูก็ไม่มีความสุข หนูสงสารพ่อแม่ที่ต้องทำงานหาส่งหนูเรียน หนูเห็นท่านทำงานลำบากแล้วสงสาร หนูเลยคิดว่า ออกทำงานดีไหมเพื่อหาเงินให้พ่อแม่บ้าง อยากหาเงินมีอะไรเป็นของตัวเองบ้าง ตอนนี้หนูอยู่ ม.4 หนูคิดว่าจะไปทำเป็นเด็กเสิร์ฟแล้วก็ไปเรียน กศน. เอาวุฒิม.6 ไปต่อมหาวิทยาลัยหนูคิดไว้ว่าอย่างนี้ หนูอยากปรึกษาว่าหนูควรลาออกมาทำงานหรือว่าควรจะเรียนต่อดี’ โดยเริ่มที่ “ดีเจต้นหอม” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่เป็นคนที่อยู่ในกลุ่มเก ไม่เรียนหนังสือ ไม่ตั้งใจ เพื่อนพี่ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน พี่มีทั้งกลุ่มที่เป็นเด็กเรียน และไม่เรียน แต่พี่ชอบเอาตัวเองไปอยู่ในกลุ่มเด็กเกเร เพราะพี่มีปัญหาทางบ้าน บ้านพี่ไม่ค่อยอบอุ่นพี่ก็เลยไปทำอะไรแบบนั้น แต่คนที่เป็นรุ่นราวคราวเดียวหรือกลุ่มเกเรของพี่ ไม่ตายก็ติดคุก ไม่ติดคุกก็ติดยาแล้วก็เป็นบ้า ทั้งหมด 30 กว่าคน มีพี่รอดคนเดียว พี่เลยไม่แน่ใจว่าชาเย็นจะเป็น 1 ในคนที่รอดไหม ที่พี่รอดเพราะพี่หันกลับมาเรียนในวันหนึ่ง พี่เลือกที่จะไม่ติดยาแล้วก็ตายไปกับเพื่อน พี่เลือกวกกลับมา แล้วพี่รู้สึกเสียดายเวลาที่ ณ เวลานั้น กูไปทำอะไรอยู่วะ พี่ก็คิดแบบนี้ พี่อยากได้เงิน แต่การอยากได้เงินของพี่ พี่มีเป้าหมายในชีวิต ก็คือหาเงินเรียนในสิ่งที่ต้องการ พี่ฟังชาเย็น พี่ไม่เห็นเป้าหมายที่มันแข็งแรง เป็นเป้าหมายระยะสั้นๆ จะไปทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟแบบนี้ พี่ว่าความทะเยอทะยานมันน้อยไปหน่อย ถ้าเป็นเด็กเสิร์ฟแล้วต้องไปเรียนต่อ สุดท้ายมันก็ต้องไปเรียนต่อ แล้วปัญหาที่เพื่อนไม่คุยกับเรา มันไม่แปลกหรอกเพราะเราไปอยู่กลุ่มที่มันคนละเคมีกับเขา ถ้าวันนี้เราอยากกลับไปอยู่ ในสังคมที่เพื่อนเขาคุยกับเรา เราก็ลองคุยกับเขาก่อน เราไปตั้งใจเรียนไปอยู่ในกลุ่มของเขา มันมีวิธีในการเขาหาเพื่อนได้เยอะแยะ พี่ว่าโลกข้างนอกอันตรายเกินไป แต่มันก็อยู่ที่ใจชาเย็นนะ ถ้าอยากออกมาหาเงินจริง ๆ อันนี้ต้องคุยกับพ่อแม่ เราก็ลองปรึกษาเขาว่าให้หนูออกมาทำงานดีไหม หนูอยากหาเงิน แต่เป้าหมายต้องแข็งแรงกว่านี้หน่อยว่าทำงานอะไร ต้องการเงินเท่าไหร่ พี่ว่าการเรียนหนังสือมันก็ให้อะไรมากกว่าที่เราคิด วุฒิการศึกษามันสามรถทำให้ง่ายกับการเปลี่ยนอาชีพ สมมติว่าอยากไปทำธุรการ ไปเรียนคุณครู แบบนี้เขาดูวุฒิการศึกษา ยกเว้นชาเย็นจะบอกว่าหนูอยากจะไปเป็นเน็ตไอดอล หนูสามารถทำเงินได้ 100 ล้าน ไม่ต้องใช้วุฒิการศึกษา แต่ต้องถามตัวเองว่าแล้วเราชอบทางนี้ไหม หรือเรามีความสามารถทางนี้ไหม ถ้าวันนี้เรายังไม่รู้ตัวเองว่าต้องการอะไรหรือชอบอะไร พี่ว่าการเรียนไปก่อนเป็นสิ่งที่ดี พี่แนะนำแบบนี้ แต่ถ้าอยากจะออกจริงๆ ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่า เราต้องการเงินนี้ไปทำอะไร เพื่ออะไรแล้วเลือกอาชีพที่เหมาะกับเรา’ ต่อมาที่ “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘เราอยู่กับเพื่อนแบบไหนก็มีความเป็นไปได้ว่าเราจะกลายเป็นคนแบบนั้นเยอะมาก เลือกอยู่กับคนที่จะพาเราไปสู่สิ่งที่ดี พาเราเจริญขึ้น อันนี้คำแนะนำแรก คำแนะนำที่สอง ถ้าสงสารคุณพ่อคุณแม่จริงๆ สิ่งที่ง่ายที่สุดก็คือทำให้เงินที่เขาจ่าย กลับมามีค่ากลับมาคุ้มค่า ไม่ยากเลยแค่เดินขึ้นไปเรียน ขึ้นไปแล้วเขาไม่คุยด้วยไม่แปลกครับเพราะว่า ชาเย็นบอกเคยขึ้นไปครั้งเดียวแล้วใครจะคุยกับหนูล่ะลูก เพราะเขาเรียนกันมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว หนูเพิ่งเคยขึ้นไปครั้งเดียว ถ้าสมมติหนูเป็นคนที่นั่งเรียนอยู่ แล้วก็มีใครไม่รู้ที่โดดเรียนตลอดเลย แล้ววันหนึ่งมาเพิ่งขึ้นมา หนูจะไปสนิทกับเขาหรอ หนูจะอยากคุยกับเขาหรอ ต่อให้เขาไม่ได้มองว่าหนูเป็นคนดีหรือไม่ดีก็เถอะ เขาก็ไม่ได้สนิทพอที่จะเดินเข้ามาคุย ถ้าเขารู้ว่าใครดีใครไม่ดีแล้วไม่อยากจะมาอยู่กับคนไม่ดี ก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ถ้าชาเย็นจะบอก ชาเย็นไม่ใช่เป็นคนไม่ดี ชาเย็นแค่ขึ้นไปเรียนอยู่กับเพื่อนมันก็จะค่อยๆ รู้จักกันไปเอง ทีนี้ทำไมถึงอยากให้กับไปเรียน การเรียนให้มันจบอย่างน้อยคือการศึกษาขั้นต่ำ วุฒิการศึกษาที่ชาเย็นจะได้มันทำให้ชาเย็นจะเอาไปยื่นทำงานในอนาคตได้มากกว่าเยอะเลย แล้วโรงเรียนที่มีกฎระเบียบครอบไว้ชาเย็นยังไม่อยู่ แล้วถ้าไปเรียน กศน. ที่ไม่มีอะไรมาครอบไว้ ชาเย็นจะบังคับตัวเองได้หรอ แล้วจะจบไหม กศน. แล้วคิดว่าตัวเองจะสอบผ่านไหม จะเรียนตามเขาได้ไหมในเมื่อกฎของโรงเรียนหนูยังทำไม่ได้เลย พี่บอกสั้นๆ ว่า เรียนให้จบม.6 นี่เป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดที่คนเราจะรับผิดชอบตัวเองได้’ สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘อยากให้เรียน เพราะว่าฟังจนถึงตอนนี้ พี่อาจจะรีบตัดสินเร็วเกินไปแต่พี่คิดว่าชาเย็นไม่น่ารอดในการออกไปทำงานและหาเลี้ยงชีพด้วยตัวเองแล้วจะกลับไปเรียน กศน. ไปต่อมหาวิทยาลัย พี่คิดแบบี้เลยนะ อย่างที่พี่เผือกถาม หนูเรียนตอนนี้ตามหลักสูตรปกติหนูยังทำไม่ได้ ที่มีเงินจากพ่อแม่ที่ส่งให้หนูไปเรียน แล้วการที่ต้องไปเรียนและทำงานไปด้วยพี่ว่ามันยากมากเลยนะ อันนั้นพี่จะเห็นในกรณีของคนที่เขาไม่มีโอกาส ไม่มีเงิน เขามีเป้าหมายว่า เขาทำงานเพื่อหาเงินเพื่อนส่งตัวเองเรียน กศน. อันนั้นพี่เข้าใจได้ และพี่เชื่อว่าแบบนั้นเขาจะประสบความสำเร็จ เขามีเป้าหมายในชีวิต แต่ตอนนี้ชาเย็นเหมือนเอาอันนี้มาแก้ปัญหาที่มันเป็นการแก้ปัญหาผิดวิธีมากเลย พวกพี่พยายามจะถามว่า การที่กลัวว่าพ่อแม่จะเสียใจที่ทำงานส่งหนูเรียน หนูก็แค่ไปตั้งใจเรียนให้มันจบ หนูบอกปัญหาเรื่องเพื่อน พี่บอกว่าปัญหาเรื่องเพื่อนแค่นี้หนูยังสู้มันไม่ได้ หนูยังกลัว โลกข้างนอกพี่ว่ามันเลวร้ายกว่านี้อีก หนูจะทำอย่างไรถ้าหนูไปเสิร์ฟแล้วโดนเจ้าของร้านโกง หนูจะทำอย่างไรถ้าโดนลูกค้าด่า เพื่อนร่วมงานไม่คบ หรืออะไรก็ตามมันเกิดขึ้นได้ทั้งหมด โลกข้างนอกพี่ว่ามันโหดกว่าในโรงเรียน เยอะ เพื่อนไม่คุยกับหนูเพราะคิดว่าหนูเกเร ปัญหาแบบนั้นสำหรับพี่ มันสามารถแก้ปัญหาได้ แต่หนูเลือกที่จะเอาตัวเองออกจากโรงเรียน กระโจนเข้าสู่สิ่งที่มันมันเยอะกว่านี้ถ้ามันจะเกิดปัญหาขึ้น แล้วสำหรับพี่ การเรียนมันทำให้พี่มีชีวิตที่ดีขึ้นได้ มันไม่ใช่แค่วิชาความรู้ที่เราจะได้จากโรงเรียน แต่มันยังหมายถึงการที่เราจะรู้จักการปรับตัวให้เข้ากับเพื่อน รู้จักการเข้าสังคม รู้จักการทำงานร่วมกับคนอื่น ซึ่งตอนนี้พี่คิดว่ามันเร็วมากเลยที่ชาเย็นจะตัดสินใจหันหลังให้มันเลย เพียงเพราะว่าเพื่อนไม่คุยกับเรา ชาเย็นแก้ปัญหาที่ผิดอยู่ตอนนี้ เพราะคุณพ่อคุณแม่ลำบากในการหาเงินมาให้หนู หนูก็ต้องเห็นคุณค่าของมัน โดยการไปเรียนหนังสือและตั้งใจเรียน ช่วงม.ปลาย มันจะเป็นช่วงที่ทำให้หนูได้รู้ว่าหนูอยากเรียนเพื่อไปเป็นอะไร จะทำให้หนูได้รู้ว่าหนูชอบอะไร โลกภายนอกมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ที่หนูพูดพี่ว่าหนูยังไม่เจออะไรมาเลย สำหรับพี่ยังไงการเรียนก็สำคัญและมันก็ทำให้พี่เป็นผู้เป็นคนก็เพราะการเรียนนี่แหละ ทั้งเพื่อน คุณครู กิจกรรม ถ้าหนูเลือกออกมาแล้ว มันกลับไปหาแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว คิดดีๆ นะ พี่อยากให้กลับไปเรียนหนังสือ’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1