ผมรำคาญ! มีพี่ที่ทำงานคนนึง อายุ 52 เป็นรุ่นพ่อแล้ว แต่ยังแกล้งผม แกล้งรุ่นน้องผู้ชายในที่ทำงานเหมือนเด็ก เอาน้ำแข็งหยอดใส่หลัง ดึงกางเกงให้หลุด เดินเตะขาให้สะดุด กินข้าวก็เอามือมาปัดตะเกียบ หลังๆเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

ผมรำคาญ! มีพี่ที่ทำงานคนนึง อายุ 52 เป็นรุ่นพ่อแล้ว แต่ยังแกล้งผม แกล้งรุ่นน้องผู้ชายในที่ทำงานเหมือนเด็ก เอาน้ำแข็งหยอดใส่หลัง ดึงกางเกงให้หลุด เดินเตะขาให้สะดุด กินข้าวก็เอามือมาปัดตะเกียบ หลังๆเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ

04 มี.ค. 2024

ผมรำคาญ! มีพี่ที่ทำงานคนนึง อายุ 52 เป็นรุ่นพ่อแล้ว

แต่ยังแกล้งผม แกล้งรุ่นน้องผู้ชายในที่ทำงานเหมือนเด็ก

เอาน้ำแข็งหยอดใส่หลัง ดึงกางเกงให้หลุด เดินเตะขาให้สะดุด

กินข้าวก็เอามือมาปัดตะเกียบ หลังๆเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ เคยด่าอ้อมๆไปว่า

“ถ้าผมด่าพี่ได้ ผมคงด่าไปแล้วครับว่า เป็น *** อะไร?”

          “คุณนัท (นามสมมติ)” อายุ 30 ปี เป็นสายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [28 ก.พ 67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับปัญหาเรื่องพี่ที่ทำงานชอบแกล้ง

            โดย “คุณนัท (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘พี่ที่ทำงานอายุ 50 ปี ชอบแกล้งเหมือนเด็ก ๆ เช่น ดึงกางเกง ดึงผม ดีดหนังยาง ดึงหู บางที่ผมกำลังกินข้าวก็เอามือมาปัดแขนผม เพื่อให้ข้าวหล่น เอาน้ำแข็งใส่เสื้อ สกัดขาผมให้ล้ม เอานิ้วแหย่ก้น เอาปากกาเมจิกมาขีดแขน ผมก็รำคาญ ซึ่งผมเป็นคนหุ่นหมี พี่เขาตัวเล็กและอายุเยอะกว่า ผมจึงแกล้งเอาคืนพี่เขาไม่ลง วันไหนที่ผมต้องทำงานกับพี่เขาจะโดนแกล้งประมาณ 20 ครั้งต่อวัน

            ซึ่งคนอื่นก็โดนแกล้ง แต่ก็จะตะคอกและด่าพี่เขากลับ ด้วยความที่พี่เขาอายุเยอะกว่าผม เลยมีความเกรงใจ ผมจึงไม่ค่อยด่า แต่ผมก็เคยบอกกับพี่เขาไปว่า “ผมรำคาญ” พี่เขาก็หัวเราะ เห็นว่าผมอารมณ์ไม่ดีก็จะหายไปซักพัก พอเห็นว่าผมอารมณ์ดีแล้วก็จะกลับมาแกล้งผมอีก ผมก็เคยด่าเขาแต่ด่าแบบอ้อม ๆ พี่เขาก็เหมือนไม่รู้ตัว บางทีผมก็มีแกล้งเล่นกันกับเพื่อนที่ทำงาน แกล้งกันไปแกล้งกันมา ผมก็ไม่ได้โกรธอะไรเพื่อน แต่ถ้าพี่เขาแกล้งผมแล้วผมแกล้งพี่เขาคืน พี่เขาก็จะโกรธและงอนเหมือนเด็ก ทำฟึดฟัด ไม่พอใจ ผมก็ไม่ขอโทษเวลาที่พี่เขางอน เขาก็จะหายเอง แล้วก็จะกลับมาแกล้งผมอีก

            ตอนที่พี่เขาอยู่กับคนที่อายุใกล้ ๆ กันก็ปกติ แต่จะชอบแกล้งแค่คนที่อายุน้อยกว่า ผมไม่ได้โกรธพี่เขาแต่แค่รำคาญ บางทีก็โมโหเพราะดึงหัวครั้งแรก ครั้งที่สอง ผมก็ไม่ได้อะไร แต่พี่เขาดึงย้ำ ๆ บ่อยจนผมโมโห แล้วเขาก็จะหายไป พอผมอารมณ์ดีก็จะกลับมาอีก ผมก็สงสารพี่เขาเพราะพึ่งเข้ามาทำงาน ไม่ค่อยมีเพื่อน แต่บางทีก็ทำเกินไปจนผมโมโห

            มีครั้งหนึ่งผมอยากแกล้งพี่เขาคืน ก็มีการคุยกันประมาณว่า ผมให้พี่ดีดหนังยางใส่ผม 3 ครั้ง แล้วผมขอดีดพี่ครั้งเดียว แล้วพี่ห้ามโกรธ พี่เขาก็ตกลงแต่จะขอเป็นคนเริ่มก่อน พอพี่เขาดีดหนังยางใส่ผม 1 ครั้ง ก็บ่ายเบี่ยงว่ายังดีดไม่ครบ 3 ครั้งยังไม่ให้ผมดีดคืน ก็เลยอยากปรึกษาดีเจทั้ง 3 คนว่าผมควรทำยังไงให้พี่เขาหยุดแกล้งหรือจะเอาคืนพี่เขายังไงดี?

            ซึ่ง ดีเจทั้ง 3 คน ก็ให้คำปรึกษาว่าพวกพี่ก็จะรีแอคให้เขารู้ไปเลยว่าที่โดนแกล้งอยู่มันไม่สนุก ซึ่งการกระทำของคุณนัทที่ทำทุกวันก็เหมือนเล่นกับพี่เขาไปด้วย แต่บางทีก็เกินไป ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเราก็สนุกกับการเล่นกับพี่เขาในบางวัน เวลาแกล้งกันก็แบบนี้ อาจมีเลยเถิดไปบ้าง แต่เท่าที่ดูคุณนัทก็มีความปราณีกับพี่เขาอยู่ อยากให้เล่นกับพี่เขาต่อไป ไม่ต้องไปโกรธพี่เขา วันที่สนุกก็สนุกด้วยกัน แต่ถ้าไม่เล่นก็ต้องไม่เล่นเลยตั้งแต่แรก และต้องพูดกับพี่เขาแบบจริงจังหรือพูดตรง ๆ ไปเลยว่า “ผมรำคาญและทำงานอยู่ ผมไม่ได้มีอารมณ์เล่นกับพี่ได้ทุกครั้งนะ แต่ถ้าพี่ยังแกล้งผม ต่อไปนี้ผมจะแกล้งคืนแล้วนะ พี่จะได้รู้ว่ามันรู้สึกยังไง” เตือนพี่เขาก่อน แต่ถ้าเขายังแกล้งอีกก็แกล้งเขาให้หนักกว่าที่พี่เขาแกล้งเรา ให้พี่เขารู้ว่าเขาต้องหยุด ถ้าเราแกล้งคืนแล้วพี่เขางอน ก็ให้คุณนัทแจ้งกับฝ่ายบุคคล...’

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

หนูมาทำงานต่างประเทศ สามีบอกเดี๋ยวจะตามมา หนูส่งเงินค่ากิน ค่าใช้ ค่าเช่าบ้าน ค่ารถให้เขามา 8 เดือนกว่า เขาไม่ทำงานเลย จนมารู้ทีหลังว่ามีผู้หญิงอีกคน ตอนนี้สามีขอคบ 2 คน ถ้าไม่ยอมก็ท้าให้เราฟ้องเอา หาหลักฐานมาให้ได้สิ หนูเสียใจที่สุด...

01 พ.ย. 2024

หนูมาทำงานต่างประเทศ สามีบอกเดี๋ยวจะตามมา หนูส่งเงินค่ากิน ค่าใช้ ค่าเช่าบ้าน ค่ารถให้เขามา 8 เดือนกว่า เขาไม่ทำงานเลย จนมารู้ทีหลังว่ามีผู้หญิงอีกคน ตอนนี้สามีขอคบ 2 คน ถ้าไม่ยอมก็ท้าให้เราฟ้องเอา หาหลักฐานมาให้ได้สิ หนูเสียใจที่สุด...

“คุณมิวสิค (นามสมมติ)” สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [30 ต.ค.67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาทำงานอยู่ต่างประเทศ ส่งเงินให้แฟนที่ไทยตลอด แต่ตอนนี้เขาไปกับคนอื่น โดย “คุณมิวสิค (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘พอดีเรามาทำงานตามความฝันที่ต่างประเทศก่อนแฟน แล้วก็ส่งเงินให้เขาใช้จ่ายส่วนตัว พร้อมกับจ่ายค่าธุรกิจของเขาตลอดเลย แต่ตอนนี้เขาไปกับอีกคนนึง หนูมาอยู่ที่นี่ได้ประมาณปีกว่าๆ เราทั้งคู่ยังไม่ได้แต่งงาน แต่มีการจดทะเบียนกันเพื่อจะไปทำงานที่ต่างประเทศ หนูคบกับแฟนคนนี้มาประมาณ 10 ปี คบกันตั้งแต่เรียนอยู่ ซึ่งเขาเป็นคนที่เจ้าชู้มากๆ ตั้งแต่คบกันมาเขามีคนอื่นมาตลอด จับได้ตลอด นิ้วมือนิ้วเท้าหนูนับไม่ได้เลย บางคนหนูก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่หนูก็ให้อภัยเขามาตลอด บวกกับพอเราทำงาน เขาก็จะมีช่วงที่ทำงานไม่ได้ ทำงานได้บ้าง หนูก็จะเป็นคนที่ซัพพอร์ตเขามาตลอด จนมีช่วงนึงที่เขาป่วย แทบจะเดินไม่ได้เลย หนูก็ยังอยู่กับเขา พอเขาหายดีขึ้น เขาก็กลับมาเป็นคนเดิมที่ก็ยังแอบนอกลู่นอกทางมาตลอด แต่เขาก็ไม่ได้ไปไหน ยังอยู่กับหนู แล้วหนูก็ให้อภัยเขา จนพอเราอายุมากขึ้น เรามีการพูดถึงอนาคตมากขึ้นว่าจะทำยังไง? ด้วยความที่เขาไม่ได้มีการงานที่มั่นคง เราจึงคุยกันว่าเราจะมาทำงานที่ต่างประเทศ มีการเลือกหลายๆประเทศ แต่ก็มาจบที่ออสเตรเลีย ซึ่งคุณสมบัติการมาที่นี่ของเขามันยากกว่าของหนู ด้วยวุฒิการศึกษา หน้าที่การงานของหนูดีกว่าเขา จึงทำให้เขาไม่สามารถมาพร้อมกับหนูได้ หนูเลยต้องมาคนเดียว และเราก็มีการตกลง สัญญากันว่าถ้าหนูมาครบ 1 ปีแล้วเขาจะตามหนูมาที่นี่ แต่พอหนูมาจริงๆ เขาก็ไม่ได้มีความกระตือรือร้นที่จะมาที่นี่ ตลอดระยะเวลาประมาณ 8 – 9 เดือนที่ผ่านมาเขาไม่ทำงานเลย แล้วเขาก็ต้องมีรถยนต์ที่ต้องผ่อนเดือนละ 9 พัน บวกกับค่าใช้จ่ายของเขา ค่ากิน ค่าอยู่ ค่าเดินทาง เหมือนบางวันเขาก็บอกจะไปหางานทำ แต่ก็ไปแล้วไม่ได้ ไปแล้วไม่เอา จริงๆก่อนหน้านี้ตัวหนูเองอยากแต่งงานมาตลอด แต่ด้วยความที่มันไม่พร้อมอะไรเลย มันทำให้ไม่มีการได้แต่งงานกัน แต่พอวีซ่าหนูผ่านปุ๊บ เขาก็ขอหนูแต่งงาน พอวันเกิดหนูเขาก็พาไปจดทะเบียนสมรส แล้วหนูก็ถามเขาว่ามั่นใจหรอว่าจะอยู่กับคนแบบเราได้ ซึ่งหนูก็ถามตัวเองเหมือนกันว่าหนูจะอยู่กับเขาได้มั้ย? หนูก็คิดว่าเราไม่น่าจะอยู่กับคนแบบนี้ได้ แต่เหมือนเราคบกันมานาน แล้วเขาก็เป็นแฟนคนแรกของหนู มันมีความไม่กล้าเดินออกมา หนูคิดข้อดีของเขาไม่ออกเลย พอหนูมาอยู่ที่นี่ ด้วยความที่หนูอยากให้เขามาที่นี่ด้วย หนูก็ช่วยเขา เพราะเขาต้องทำตัวเองให้มีคุณสมบัติที่ดีเหมือนซัพพอร์ตเราได้ มีการมีงานที่ดีทำถึงจะติดตามมาที่นี่ได้ พอเขาไม่ทำงาน ไม่ทำอะไรเลยเป็นเวลาเกือบปี หนูก็รู้สึกว่าทำไมเขาไม่มีความกระตือรือร้น พยายามพูดแล้ว แต่พอพูดเราก็จะทะเลาะกัน หนูเลยเสนอเขาไปว่าถ้าเขาไม่อยากทำงานประจำ ไม่อยากเป็นลูกน้องคนอื่น งั้นเราเปิดธุรกิจกันมั้ย? เราเปิดร้านอาหารเล็กๆให้เธอ เพื่อทำสเตจเม้นแล้วให้เธอได้มาที่นี่ แล้วหนูก็เป็นคนลงทุนให้เขา ตอนแรกเขาไม่อยากทำเลย แต่พอหนูพูดให้เขาทำ เขาก็ไปทำจริงๆ ซึ่งตอนนี้ก็ยังทำอยู่ 3 เดือนแรกหลังจากเปิดร้านอาหารก็ดูโอเค เขายังคุยกับหนูปกติ แต่หนูเป็นคนที่ติดเขา หนูเลิกเรียนหนูโทรหาเขา หลังเลิกงานหนูโทรหาเขา แต่หลังๆมานี้ทุกอย่างที่หนูทำคือเขารำคาญหนู เขาทำให้หนูร้องไห้ตลอดเวลา ตั้งแต่ต้นปีจนถึงกลางปีนี้ หนูไม่รู้สาเหตุด้วย หนูพยายามถามเขาว่าเป็นเพราะอะไร ทำไมดูเหมือนไม่รัก ไม่คิดถึง ไม่โหยหา ทั้งๆที่หนูดูแล้วว่าโอกาสที่เขามาที่นี่ไม่ได้ หนูพยายามกลับไปหาเขามากๆ หนูพยายามพูดว่าถ้างั้นไม่เป็นไร ขอกลับบ้านไปอยู่กับเขาได้มั้ย? ซึ่งเขาจะพูดประมาณว่ากว่าจะได้มา มันยากนะ อยู่ต่ออีกหน่อยสิ เหมือนพูดเกลี่ยกล่อมให้เราอยู่ต่อ มันก็ทำให้เรารู้สึกว่า เรามาทำเพื่อความฝันของเรา เอาจริงหนูไม่ได้มีความฝันอะไรมากเลย หนูแค่อยากอยู่กับเขา แต่ความฝันของเขา เขาอยากมีนู้นมีนี่ ซึ่งหนูคิดว่าเขาทำคนเดียวไม่ได้ หนูต้องช่วยเขา เพราะฉะนั้นหนูเลยต้องอยู่ต่อ จนความรู้สึกนั้นมันมากเลยทำให้หนูน้อยใจ แล้วเวลาที่ไทยกับออสเตรเลียต่างกัน 3 – 4 ชั่วโมง หนูยอมนอนดึกทุกวัน เพื่อรอคุยกับเขาหลังจากที่เขาเก็บร้านเสร็จ แต่เขาบอกหนูว่า รอเขาทำไม? จากที่เราเคยคอลกัน เขาเริ่มไม่อยากคอล ไม่อยากคุย เขาบอกว่าหนูทำแบบนี้ เขาเหนื่อย แค่ทำงานเขาก็เหนื่อยแล้ว ทำไมเขาต้องมาเหนื่อยกับหนูอีก จนหนูเลยลองไม่ตามเขาบ้าง แล้วเขาก็บอกเลิกหนู แต่เขากลับมาแอดเฟซบุ๊กหนู ตอนนั้นหนูดีใจมาก แต่หนูไปเห็นว่ามีผู้หญิงคนนึงคอมเมนต์เขาทุกโพสต์ หนูก็เอะใจเพราะเป็นพี่ที่หนูรู้จัก แล้วคุณแม่ของเขาเป็นคนบอกหนูเองว่าเขามีคนอื่นมาตลอด ผู้หญิงคนนั้นก็บอกหนูว่าเขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ต้นปี แต่ผู้ชายไม่ยอมรับ แล้วบอกหนูว่าเขาขอมี 2 คนได้มั้ย? เพราะเขาขาดใครไปไม่ได้สักคน เลยอยากถามพี่ๆดีเจว่า หนูอยากหย่ากับเขา แต่เขาไม่ยอมหย่า หนูต้องทำไงดี?เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

สาวเครียด! พ่อกับป้าทะเลาะกัน จนป้าออกจากบ้าน ไปอยู่บ้านพี่สาว แต่ก็อยู่ไม่ได้ ย้ายไปอยู่ห้องเช่าคนเดียว ก็เป็นซึมเศร้า ย้ายไปอยู่โฮมแคร์ ก็อยู่ไม่ได้เพราะทะเลาะกับคนในนั้น! ตอนนี้สุขภาพจิตแย่ เพราะทุกครั้งที่คุยกับป้า เขาจะด่าพ่อกับแม่ให้ฟังแทบจะตลอดเวลา

27 พ.ย. 2023

สาวเครียด! พ่อกับป้าทะเลาะกัน จนป้าออกจากบ้าน ไปอยู่บ้านพี่สาว แต่ก็อยู่ไม่ได้ ย้ายไปอยู่ห้องเช่าคนเดียว ก็เป็นซึมเศร้า ย้ายไปอยู่โฮมแคร์ ก็อยู่ไม่ได้เพราะทะเลาะกับคนในนั้น! ตอนนี้สุขภาพจิตแย่ เพราะทุกครั้งที่คุยกับป้า เขาจะด่าพ่อกับแม่ให้ฟังแทบจะตลอดเวลา

สาวเครียด! พ่อกับป้าทะเลาะกัน จนป้าออกจากบ้านไปอยู่บ้านพี่สาว แต่ก็อยู่ไม่ได้ ย้ายไปอยู่ห้องเช่าคนเดียว ก็เป็นซึมเศร้าย้ายไปอยู่โฮมแคร์ ก็อยู่ไม่ได้เพราะทะเลาะกับคนในนั้น!ตอนนี้สุขภาพจิตแย่ เพราะทุกครั้งที่คุยกับป้า เขาจะด่าพ่อกับแม่ให้ฟังแทบจะตลอดเวลาเขาเหลือเราแค่คนเดียว ถ้าไม่อยากคุยกับป้าจะดูแย่รึป่าว... “คุณหนู (นามสมมติ)” อายุ 26 ปี สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (22 พ.ย. 66) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม กับปัญหาครอบครัวที่พ่อกับป้าระหองระแหงกัน จนทำให้รู้สึกลำบากใจ โดย “คุณหนู (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ตอนแรกบ้านหนูอยู่กัน 5 คน คือ หนู , พ่อ , แม่ , คุณป้า (พี่สาวพ่อ) และน้องชาย ทีนี้เหมือนความสัมพันธ์ของป้ากับพ่อแม่ไม่ค่อยดีมานานแล้ว มีเหตุการณ์ที่พ่อว่าป้าแรง ๆ ทำให้วันนั้นป้าขอออกจากบ้านไป ซึ่งหนูเป็นคนกลาง ประกอบกับหนูก็สนิทกับป้าที่สุดในบ้าน ป้าเขาก็เลยจะคอยมาเล่าเวลาพ่อกับแม่ทำอะไรไม่โอเค หรือบางทีพ่อกับแม่ทำอะไรที่ไม่โอเคกับเขา เขาก็จะเอามาเล่าให้หนูฟัง หลังจากที่เขาออกจากบ้านหนูไป ป้าเขาก็ย้ายออกไปอยู่กับพี่สาวแท้ ๆ ด้วยกันอีกคนนึง แต่เหมือนอยู่ไม่ได้ เขาอยากกลับมาอยู่ที่บ้านมากกว่า เขารอพ่อมาง้อแต่พ่อหนูเขาก็ไม่ไปง้อ เพราะพ่อบอกว่า “ป้าเขาออกไปเอง ไม่ได้ไล่” ต่อจากนั้นป้าเขาก็ย้ายไปอยู่ห้องเช่าคนเดียว เป็นเหมือนหอพัก ก็ตามสไตล์คนแก่เขาไม่เคยอยู่คนเดียวมาก่อนตลอด 60 ปี พอไปอยู่ก็เหมือนเป็นโรคซึมเศร้า ก็เลยไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชมาเดือนนึง ทีนี้พอออกมา เขาก็พูดว่า “ถ้าเขาอยู่ไม่ได้อีก จะยอมไปอยู่โฮมแคร์ (บ้านพักคนชรา) แล้ว” เพราะว่าตอนแรกหนูอยากให้เขาไปอยู่โฮมแคร์มากกว่า อย่างน้อยมันก็มีคนดูแล แล้วสุดท้ายพอออกมาประมาณ 1 เดือนก็อยู่ข้างนอกไม่ได้ เลยยอมไปอยู่โฮมแคร์ ช่วงระยะเวลาก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาพึ่งออกไปจากบ้าน และก็ก่อนที่จะไปเข้าโรงพยาบาลจิตเวช ป้าเขาจะโทรหาหนู มาว่า มาด่าพ่อกับแม่ให้หนูฟังทุกวัน แทบจะตลอดเวลาเลย ทำให้หนูรู้สึกเครียดและไม่อยากจะรับสายเขา แต่พอเขาย้ายเข้าไปอยู่โฮมแคร์ เหมือนเขาก็บอกว่ามันก็โอเคนะ แต่พออยู่มาได้ซักพักนึงป้าเขาก็บ่นว่าอยากออกแล้ว เพราะเหมือนเค้ามีปัญหากับคนในนั้น ตอนนี้เขาบอกว่าอยากจะออกมาอยู่หอข้างนอกเหมือนเดิม แม่ก็เคยถามว่าอยากจะให้เขากลับมาอยู่มั้ย? ซึ่งก่อนหน้านี้หนูก็ไม่ค่อยรู้ตัวเองเท่าไหร่ มันจะมีช่วงที่หนูไม่ค่อยอยากอยู่บ้าน แล้วพอมาช่วงหลัง ๆ หนูมานั่งทบทวนดู คือทุกครั้งที่ป้าเขาเจอหน้าหนูจะต้องว่าพ่อกับแม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ ด่าให้หนูฟัง มันทำให้หนูรู้สึกไม่อยากคุยกับเขา แต่หนูก็รู้ว่าเขามีแค่เรา มันเลยเหมือน “คุยก็เครียด ไม่คุยก็เครียด” หนูอยากจะถามว่า “หนูควรที่จะเปลี่ยนความคิดตัวเองมั้ย คือเขาก็แก่แล้ว และหนูก็พยายามคิดว่าเขามีเราแค่คนเดียว” แต่ที่หนูไปหาจิตแพทย์ เขาก็บอกว่าให้เราเอาตัวเองเป็นหลักถ้าเรารู้สึกไม่ดี หนูเลยคิดว่า หรือว่าเขาควรจะอยู่ในโฮมแคร์ต่อมั้ย คือหนูอยากรู้ความคิดเห็นพี่ ๆเฉยๆ ว่าคิดยังไงกัน... ซึ่ง “คุณหนู (นามสมมติ)” ได้เล่าเพิ่มเติมว่า ‘นิสัยอื่น ๆ ของคุณป้าก็นิสัยดี แต่แค่รู้ว่าเขาเป็นช่วงวัยทองเฉย ๆ ส่วนเรื่องที่มีปัญหากับที่โฮมแคร์ เหมือนว่ามีคนในนั้นเป็นผู้ป่วยติดเตียงชอบเปลี่ยนผ้าอ้อมตอนที่คนอื่นเขากำลังกินข้าวกัน แล้วเหมือนกับว่าป้าหนูเขาก็ไม่พอใจเพราะมันเหม็น เจ้าหน้าที่ก็เคยพูดกับคนที่ติดเตียงคนนี้ไปแล้วว่า “ไว้ค่อยเปลี่ยนได้มั้ย” คนนั้นเขาก็ไม่ยอม ซึ่งคนที่ติดเตียงเขาอยู่มาก่อนเลยมีพรรคพวกในนั้นเยอะ ป้าหนูเขาเลยเหมือนทะเลาะและโดนรุม คือเขาบอกว่าเขาจะไม่ไปอยู่โฮมแคร์ที่ไหน ๆ อีกแล้ว เขาบอกว่าที่ไหน ๆ ก็เหมือนกัน แต่ว่าหนูมองว่า ถ้าเป็นราคาที่มันสูงกว่านี้ขึ้นมา มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรอย่างงี้ แต่ว่าด้วยสถานะทางการเงินไม่ได้เอื้ออำนวยเราขนาดนั้น คือ คุณป้าจะมีพี่สาวของคุณป้าที่ให้เงินแต่ละเดือนทุกเดือนอยู่ ตอนแรกป้าหนูเขาจะใช้เงินที่เก็บไว้ แต่ว่าช่วงที่เขาไปอยู่กับพี่สาว แล้วพี่สาวเขาไม่โอเค ให้ออกอะไรแบบนี้ เขาก็โทรมาคุยกับพ่อหนูว่าเดี๋ยวจะให้เดือนละเท่านี้ ๆ นะ “พาป้ากลับไปได้มั้ย” เพราะพี่สาวป้าเขาก็พึ่งหายจากมะเร็ง ลูกเขาก็ไม่อยากให้เขาเครียดด้วย พ่อหนูเขาก็ไม่ค่อยอยากให้ป้ากลับมาอยู่บ้านเหมือนกัน เพราะเหมือนพ่อมองว่าป้าทำให้น้องชายหนูทำอะไรเองไม่เป็น แต่จริง ๆ หนูมองว่าปัญหามันก็เกิดจากทุกคนในบ้าน ซึ่งหนูไปอยู่หอตั้งแต่อายุ 13 ก็เลยไม่ได้สนิทใกล้ชิดกับคนในบ้านขนาดนั้น แล้วเหมือนแม่กับป้าก็สปอยน้องขั้นสุด จากที่หนูคิด ป้าหนูก็ช่วยน้องเกินไปจริง ๆ น้องหนูอายุ 21 ป้ายังช่วยจัดกระเป๋าไปมหาลัยให้อยู่เลย หรือแม้แต่ตอนนี้น้องหนูยังนั่งรถเมล์เองไม่เป็นเลย แต่ทุกวันนี้ที่ป้าไม่อยู่ น้องเขาก็ทำด้วยตัวเองเพราะหนูไม่ช่วย ก็เห็นว่าน้องก็ทำได้ “กำลังคิดว่าหนูมองเขาในแง่ร้ายเกินไปมั้ย ทำกับเขาแย่รึเปล่า ที่ไม่อยากรับสายเขา ไม่อยากคุยกับเขา ทั้ง ๆ ที่เขาก็เหลือเราแค่คนเดียว” ด้าน “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘เรื่องที่ว่าหนูมองโลกในแง่ร้ายจนรู้สึกกับเขาแบบนั้น เท่าที่พี่ฟังมา ถ้าพฤติการณ์รอบข้างเป็นแบบนี้ ถ้าเขาไปอยู่ที่ไหนแล้วคนก็จะไม่อยากอยู่กับเขา แสดงว่าเขาก็คงจริง ๆ แหละที่ทำให้หนูรู้สึกแบบนี้ จนหนูต้องไปคุยกับคุณหมอ พี่ว่ามันมีมูลแหละ หนูคงไม่ได้อยากรู้สึกไปเอง เพราะตอนนี้เหตุการณ์มันก็ชัดเจนว่าไปอยู่กับใครก็มักจะมีปัญหา พี่คิดว่าน่าจะให้เขาไปอยู่บ้านพักคนชราเพราะกลัวว่าถ้าไปอยู่คนเดียวจะซึมเศร้าอีก แล้วมันอาจจะนานไปจนสายเกินแก้พี่ว่ามันมีผลกระทบเยอะกว่าการไปอยู่บ้านพักคนชรา คือตอนนี้มันอยู่ที่ว่าเขาปรับตัวกับคนอื่นไม่ได้ แต่ถ้าเงื่อนไขในชีวิตเขา เขาไม่มีที่ไปแล้ว หนูก็ต้องคุยกับเขาให้ได้ว่าเขาจะต้องปรับตัวอยู่ให้ได้ เพราะบ้านพักก็มีเพื่อน มีอาหารต่าง ๆ ให้ ซึ่งมันก็ดีกว่าการไปอยู่หอพักคนเดียว เราอาจจะต้องคุยกับเขาให้เขาเห็นว่าเราหวังดีกับเขา บอกเขาตรง ๆ’ ต่อมาเป็น “ดีเจต้นหอม” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ป้า ป้าต้องฟังนะป้าต้องทบทวนก่อนว่าทำไมมันเกิดอะไรขึ้นในชีวิตป้าจนป่านนี้ ทำไมป้าถึงอยู่กับใครไม่ได้ ป้าต้องมีเวลาทบทวนตัวเองหรือคุยกับตัวเอง ไม่งั้นป้าจะย้ายที่จนไม่มีที่สิ้นสุด ป้าจะย้ายไปเรื่อย วันนี้ปัญหา คือ ป้าไม่สามารถอยู่กับใครได้ ป้ากำลังเล่นบทผู้ถูกกระทำ คนรอบข้างกระทำป้าทั้งหมด วันนี้ไหน ๆ ป้าอยู่บ้านพักคนชรา อยากให้ป้าทบทวนว่าเราสามารถปรับตัวอะไรได้บ้าง ป้าเป็นคนเก่ง ใช้ความเก่งของตัวเองในการปรับตัวให้อยู่กับคนอื่น มันไม่มีใครที่ทำอะไรถูกใจเราทั้งหมดหรอก แต่เราต้องอยู่บนโลกใบนี้ให้ได้ เราต้องอยู่บนที่นี้ให้ได้ ฉะนั้นเราลองปรับเปลี่ยนตัวเองดูมั้ย ลองปล่อยวางดูมั้ย เผื่อว่าอะไรดี ๆ มันจะดีขึ้น บอกป้าเขาอย่างงี้ บอกให้ป้าได้คิด เพราะจากเสียงหนูแล้ว หนูเป็นคนที่ยอมป้าทุกอย่าง แล้วหนูเป็นคนที่แบบเหมือนเป็นฟูกให้กับป้า “มีอะไร ก็มาล้มทางนี้” นี่คือฟูกชิ้นสุดท้ายแล้วป้า ก่อนที่ป้าจะเสียหนูไปอีกคน เพราะหนูบอกแล้วว่าหนูไม่ต้องการพลังงานลบ หนูจะรู้สึกดีใจ และภูมิใจมากที่ป้ายังอยู่ที่นี่อยู่ร่วมกับคนอื่นได้ และมันก็เป็นประโยชน์กับชีวิตป้า แล้วพอป้าจะขอพูดเรื่องนั้น ให้บอกป้า หยุดดดดด! ไม่ต้องพูด ให้ป้าคิดก่อนว่าสิ่งที่ป้าจะพูดออกมานั้นคนอื่นเสียหายหรือไม่ ถ้าเกิดว่าสิ่งที่ป้าพูด คนอื่นเสียหายป้าไม่ต้องพูดหรือลืมมันไป วันนี้ต้องการโทรแค่ “ป้ากินข้าวยัง สบายดีมั้ย” ต้องการแค่นี้ อยากได้แค่ความห่วงใยในมุมบวก เราควรมาแลกซึ่งกันและกัน และถ้าเกิดว่าป้าปรับตัวสามารถเข้ากับคนอื่นได้ วันนึงป้าอาจจะกลับมาอยู่ในบ้านเราก็ได้นะ แต่ถ้าเราไม่อยากให้เขากลับมาก็อย่าพูดประโยคนี้ออกไป’ และสุดท้ายเป็น “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘เอาตัวเองให้รอดก่อน ยุคนี้เอาตัวเองให้ตลอดรอดฝั่งโดยไม่ต้องกังวลอะไรก็ยากแล้ว ในเวลาแบบนี้เราจะแบกเขาไปได้ถึงไหน ก็คือจะดูแลไปตลอดเลยมั้ย ถ้าคุณหนูมีกำลังและสามารถดูแลได้ ก็ทำได้ตามความต้องการ แต่เท่าที่ฟังมาก็ดูเหมือนจะไม่ได้ เราก็มีคุณพ่อคุณแม่ของเราที่เราจะต้องดูแล ช่วยเหลือเท่าที่เราจะช่วยเหลือได้ การที่ป้าไปอยู่โฮมแคร์แล้วเราก็ต้องช่วยเหลือ คือ เราก็ช่วยเหลือตรงนั้นได้ แต่หมายความว่าจะเอาเขามาอยู่ในชีวิตเราตลอดก็คงเป็นไปไม่ได้ แล้วเวลาจะช่วยเหลือใคร เราเองก็ต้องสบายใจด้วย ถ้าเราไม่สบายใจเราจะมีกำลังไปช่วยเหลือเขาได้ยังไง ถ้าการมีอยู่ของเขามันทำให้เราสภาพจิตใจไม่ดีเลย แล้วมันดีจริง ๆ เหรอกับการที่หยิบยื่นมือไปช่วยเขาแล้วเราก็เจ็บเอง พี่เชื่อว่าการจะช่วยเหลือใคร ตัวเราต้องสบายใจก่อน สบายใจปุ๊บ จิตมันก็ดี เราก็มีกำลังที่จะช่วยเหลือกัน แต่เท่าที่ฟังดูเรื่องที่เปลี่ยนผ้าอ้อมตอนกินข้าวมันก็พอมีเหตุมีผลอยู่ แต่ว่าพอพิจารณาจากทั้งชีวิตเขาแล้ว มันก็น่าแปลกที่เขาจะมีปัญหาตลอดทางจริง ๆ แล้วก็เชื่อว่าต่อให้ด่าไปก็ไม่น่าเปลี่ยน คิดว่าด่าไป เขาก็จะงอนแล้วก็จะหาย สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้มา 60 ปีแล้ว มันกลายเป็นตัวเขาไปแล้ว มันคงยากที่เขาจะเปลี่ยนแล้ว เขาไม่ได้เกิดมาพร้อมทัศนคติที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เข้ากับคนอื่น ๆ ด้วย ซึ่งถ้าเขาไม่เปลี่ยนและเราไม่ไหว ก็เอาเท่าที่เราไหว’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

หนูโตแล้ว แค่อยากได้พื้นที่ส่วนตัวคืน... ตั้งแต่เด็กแม่มีรหัส Facebook ของหนู แม่สวมรอย คอมเมนต์ ตอบเพื่อน ทักหาผู้ชายไปทั่ว ขอร้องหนูให้ช่วยวิดีโอคอลกับผู้ชาย 5 นาที ให้ผู้ชายมั่นใจว่าคือหนูจริงๆ

29 มี.ค. 2024

หนูโตแล้ว แค่อยากได้พื้นที่ส่วนตัวคืน... ตั้งแต่เด็กแม่มีรหัส Facebook ของหนู แม่สวมรอย คอมเมนต์ ตอบเพื่อน ทักหาผู้ชายไปทั่ว ขอร้องหนูให้ช่วยวิดีโอคอลกับผู้ชาย 5 นาที ให้ผู้ชายมั่นใจว่าคือหนูจริงๆ

หนูโตแล้ว แค่อยากได้พื้นที่ส่วนตัวคืน... ตั้งแต่เด็กแม่มีรหัส Facebook ของหนูแม่สวมรอย คอมเมนต์ ตอบเพื่อน ทักหาผู้ชายไปทั่ว ขอร้องหนูให้ช่วยวิดีโอคอลกับผู้ชาย 5 นาทีให้ผู้ชายมั่นใจว่าคือหนูจริงๆ พีคสุด นัดครอบครัวผู้ชายมากินข้าวด้วยกัน ตอนนั้นหนูยังเด็ก ทำตัวไม่ถูกเลย “คุณน้ำ(นามสมมติ)” อายุ 22 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (27 มี.ค. 67) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาแม่สวมรอยเป็นเราไปคุยกับผู้ชายในเฟสบุ๊คจนได้คบกัน ถึงขั้นนัดกันไปกินข้าวกับครอบครัวผู้ชายคนนั้น! โดย ​“คุณน้ำ(นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘มันเริ่มมาจากหนูมีเฟซบุ๊ก น่าจะช่วงวัยประถม ประมาณ ป.4-ป.5 และไม่ได้รู้สึกว่าการที่แม่รู้พาสเวิร์ดหรือเข้าไปอ่านแชทเวลาเราคุยกับเพื่อนเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะตอนนั้นเด็กมาก ๆ เลยคิดว่าแม่คงเป็นห่วง แต่มันกลายเป็นว่าคุณแม่ตอบแชท ตอบคอมเมนท์แทน โดยที่ทำตัวเป็นเราและเป็นอย่างนี้มาเรื่อย ๆ จนประมาณช่วง ม.1 โรงเรียนไม่ให้เอาโทรศัพท์ไป เพราะฉะนั้นหนูจะเล่นโทรศัพท์ได้ตอนที่อยู่บนรถ ก่อนจะลงจากรถเข้าโรงเรียน และตอนเลิกเรียน ทีนี้หนูก็ทิ้งโทรศัพท์ไว้ให้แม่ก่อนที่จะเข้าโรงเรียน หนูเห็นแล้วว่ามีผู้ชายคนนึงแอดเฟซบุ๊กหนูมา แต่หนูไม่ได้สนใจอะไรคิดว่าเป็นเรื่องปกติ แต่พอหนูกลับมา เฟซบุ๊กผู้ชายคนนั้นหายไป แต่มีแชทที่แบบถามต่อว่า เธอชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ คุณแม่ก็ตอบแทนปกติ แต่หนูมารู้ทีหลังว่า... จริง ๆ แล้วคุณแม่เอาไอดีไลน์ของคุณแม่ให้เขาไป แล้วเขาก็ไปคุยกันในไลน์ โดยที่คุณแม่หลาย ๆ คนอาจจะชอบเอารูปลูกสาวหรือลูกชายตั้งเป็นโปรไฟล์ เขาอาจจะรู้สึกว่าไม่ได้แปลกอะไร แต่ว่านั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึกที่ไม่ปลอดภัย แล้วมันก็เกินเลยมาเรื่อย ๆ หนูแอบเห็น message ที่เด้งมา ตอนแรกเข้าใจว่าคงคุยกันปกติ แต่ไป ๆ มา ๆ มันเป็นการคุยเหมือนจีบกันเชิงชู้สาว จนมารู้ทีหลังว่าเขาคบกัน คุณแม่ก็มาพูดประมาณว่า ช่วยวิดีโอคอลคุยกับเขาให้หน่อยซัก 5-10 นาทีได้ไหม? ทั้ง ๆ ที่หนูไม่ได้รู้จัก ไม่ได้คุยกับเขาเลย แต่ให้หนูตีหน้าซื่อคุยวิดีโอคอลกับเขา หนูก็คุย ๆ ไปให้มันหมดเวลา แล้วก็วางสาย คุณแม่ก็คุยกันต่อในแชท คุณพ่อทำงานอยู่ต่างจังหวัดกลับมาอาทิตย์ละ 1 ครั้ง แต่คุณพ่อจับไม่ได้เพราะอาจจะเป็นคนไม่ค่อยเล่นโซเชียล และไม่ค่อยสนใจอะไร เขาก็ดูอินโทรเวิร์ตหน่อย ๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่คุยกับคุณแม่เลย ตอนหนูอายุ 15 ปี เป็นวันที่หนูต้องเปลี่ยนบัตรประชาชน หนูก็ถ่ายรูปลงมาจากอำเภอปุ๊บ แล้วคุณแม่ก็บอกว่า เดี๋ยวเราไปสยามกัน เนี่ยไปกินข้าวกัน นัดไว้แล้ว หนูก็ถามว่า ไปกินข้าวอะไร เขาก็เลยบอกว่า เขานัดผู้ชายคนนั้นกับครอบครัวเขาไว้แล้ว ต้องไปนะ เพราะว่าเขามาแล้ว หนูก็รู้สึกเหมือนโดนมัดมือชก ตอนนั่งกินอาหารก็คุยกันปกติ หนูอึดอัดมาก จนแบบหนูจะลุกไปเข้าห้องน้ำ แล้วแม่ของผู้ชายก็บอกผู้ชายคนนั้นว่า เนี่ย ไปกับน้องสิลูก จนหนูคิดว่าไม่ไปดีกว่ารู้สึกไม่ปลอดภัย หลังจากเหตุการณ์วันนั้น หนูก็พยายามที่จะบอกผู้ชาย โดยใช้แอคหลุมไอจีของหนูทักไปเลยว่า เธอรู้ไหมที่คุยกันมาตลอด 4-5 ปี แล้วที่นัดไปเจอเรื่องมันเป็นแบบนี้ ๆ ผู้ชายก็ไม่เชื่อ หนูก็ตั้งกล้องอัดหน้าตัวเองพูดว่า เนี่ย ดูหน้าเอาไว้ แล้วก็จำเสียงไว้ เสียงเราเป็นแบบนี้ พอเขาไม่เชื่อ หนูก็ไม่รู้จะทำยังไงหนูก็ปล่อยเขาไป แล้วเหมือนผู้ชายเริ่มจะรู้ว่านี่คือแอคหลุมของหนู แต่หนูไม่แน่ใจว่าเขาจะเข้าใจว่าแอคหลุมเป็นของแม่ไหม เพราะหนูคิดว่าผู้ชายมันก็ต้องแคปแชทที่หนูคุยส่งไปให้แม่ แม่ก็คงน่าจะบอกว่า นั่นแม่เราอย่าไปสนใจเลย ฟีลแบบสลับกัน และหนูพยายามหาว่าแม่กำลังจะทำอะไร ก็เลยเริ่มรู้ว่าแม่มีอีกเฟซบุ๊ก มีอีกไอจีนึงที่แม่สร้างเอง เหมือนเป็นอีกโลกที่เอาไว้คุยกับผู้ชายคนนั้น ด้วยความที่อยู่กับแม่ที่บ้าน 2 คน ก็เลยไปบอกเขาว่า แม่ทำแบบนี้ไม่โอเคเลยนะ เลิกได้ไหม เขาก็ขำแล้วบอกว่า จะอะไรนักหนาก็คุยกันผ่านแชท ไม่ได้ไปหาเขาสักหน่อย หนูก็เคย message ไลน์ไปบอกคุณพ่อ คุณพ่อก็อ่านแต่ไม่ตอบ แต่พอเวลาผ่านไปเหมือนคุณแม่ทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ หนูก็บอกว่า หนูทนไม่ไหวแล้วนะ หนูจะต้องบอกพ่อแล้วนะ เขาก็บอกว่า ครั้งที่แล้วก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรอ ถ้าบอกอีกจะเลิกกันแล้วนะ จนปัจจุบันหนูเริ่มมีสังคม มีแฟน หนูควรจะทำยังไง หนูถึงจะเอาพื้นที่ส่วนตัวคืนมา หรือหนูควรจะเปิดเฟซบุ๊กใหม่ไปเลย? ซึ่ง “ดีเจต้นหอม” ให้คำปรึกษาว่า ‘หนูต้องเรียกแม่มาคุย แล้วการคุยของหนูไม่ได้ถามว่าแม่โอเคไหม หนูต้องบอกโหมดที่แม่จะใช้ชีวิตอยู่กับหนูให้แม่รับทราบ หนูเปลี่ยนพาสเวิร์ดเฟซบุ๊กก่อนที่จะเรียกแม่เข้ามาคุย ให้ทุกอย่างมันเป็นไพรเวทอะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวของเรา คนอื่นจะเข้ามาก้าวก่ายไม่ได้ เรียกแม่มาคุยเลยว่า... 1. รับรู้เรื่องความเป็นส่วนตัวของเรา แล้วก็เราไม่ยุ่งเรื่องแม่ แม่ไม่ยุ่งเรื่องเรา อะไรที่เราอยากให้แม่รับรู้หรืออยากให้แม่แสดงความคิดเห็นเราจะบอก 2. เรื่องที่แม่แอบอ้างเป็นตัวตนของเราอันนั้นผิด อย่าทำอีก เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่าถูกคุกคามแล้วไม่ปลอดภัย ถ้าทำทั้งหมดแล้วแม่ยังเป็นแบบนี้อยู่ เรื่องนี้จะเรียกพ่อมาคุย แล้วจะถามความคิดเห็นจากพ่อด้วย และถ้าพ่อกับแม่จะเลิกกัน ไม่ใช่ตัวหนูที่เอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อ แต่เป็นเพราะแม่ทำตัวแบบนี้ แล้วก็เราจะไม่คอลไลน์กับผู้ชายโดยที่เราหลอกเขา เพราะเท่ากับเราสมรู้ร่วมคิดกับแม่ ถ้าแม่อ้างเหตุผลอะไร ให้พูดไปเลยว่า ไม่ ก่อนที่แม่จะทำอะไร อยากให้แม่ใช้ความคิดมากกว่านี้ อีกนิดแม่จะเข้าข่ายไม่ปกติแล้ว ถ้าแม่ยังเป็นอย่างนี้หรือไม่สามารถขจัดนิสัยแบบนี้ออกไปได้ แม่ต้องปรึกษาแพทย์แล้ว’ ต่อมา “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘การปลอมตัวเพื่อสวมรอยเป็นใครสักคนเพื่อคุยมันคือการหลอก ผู้ชายโดนเต็ม ๆ พี่ดูสารคดีของเมืองนอกเยอะเกี่ยวกับพวกหลอกลวง สวมรอย แล้วจุดจบมันไม่ค่อยดีทั้งนั้นเลยที่พี่ดู พี่เลยค่อนข้างตกใจ พอคิดตาม ที่มันรู้สึกไม่ปลอดภัยถูกต้องแล้วน้ำ เพราะฉะนั้นถ้าจะคุยกับแม่ น้ำต้องเด็ดขาดว่านี่มันไม่ใช่แล้ว สิ่งที่แม่ทำ มันอาจจะทำให้เกิดอันตรายกับลูกสาวตัวเองได้ ถ้าคิดว่าคุยไม่รู้เรื่องก็ปิดเฟสบุ๊คไปเลย ให้เขารู้ว่าเราไม่เอาแล้ว’ สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า ‘ก็ต้องปิดเฟสบุ๊ค ปิดช่องทางทุกอย่างที่เขาจะเป็นหนูได้ แม่ต้องไม่มีตัวตนของหนูอีกต่อไปแล้ว ต้องดูว่าเขาทนได้ไหม ถ้าเขาไม่ไหวต้องพาเขาไปหาหมอ แต่ถ้าไปหาหมอแล้วเขาทำไม่ได้ เขาก็ต้องหย่ากับพ่อ ตอนนี้เขามีพ่อเป็นสามี เขาไม่สามารถไปคุยกับคนอื่นได้ นอกจากเขาต้องหย่า ทีนี้เขาจะคุยกับคนอื่นไม่ว่า แต่เขาก็ต้องห้ามสวมรอยเป็นคนอื่น เขาต้องคุยในฐานะเป็นเขาเอง ถ้าเราอยากให้ปัญหานี้ยุติ ต้องถอนรากถอนโคน’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

ผมคบกับแฟนได้ 18 วัน แพลนจะไปเคาท์ดาวน์ที่ร้านแฟน แต่แฟนบอกหุ้นส่วนที่ร้านเป็นแฟนเก่า พอแฟนเก่ารู้ว่าผมจะไป เค้าไม่ยอม ฝากแฟนมาบอกว่าถ้าผมไปจะทำให้ร้านสะดุด เขาไม่โอเค ผมก็ให้แฟนไปคุยอีกรอบ เค้าก็บอกว่ามาได้ แต่แฟนผมห้ามมาโต๊ะผม ผมงงเลยว่าจะทำยังไงต่อ?

20 ธ.ค. 2024

ผมคบกับแฟนได้ 18 วัน แพลนจะไปเคาท์ดาวน์ที่ร้านแฟน แต่แฟนบอกหุ้นส่วนที่ร้านเป็นแฟนเก่า พอแฟนเก่ารู้ว่าผมจะไป เค้าไม่ยอม ฝากแฟนมาบอกว่าถ้าผมไปจะทำให้ร้านสะดุด เขาไม่โอเค ผมก็ให้แฟนไปคุยอีกรอบ เค้าก็บอกว่ามาได้ แต่แฟนผมห้ามมาโต๊ะผม ผมงงเลยว่าจะทำยังไงต่อ?

“คุณแม็ก (นามสมมติ)” อายุ 33 ปี สายที่สามในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [18 ธ.ค. 67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาความสัมพันธ์ โดย “คุณแม็ก (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘เรื่องนี้เป็นเรื่องความลำบากใจระหว่างผมกับแฟน เราสองคนพึ่งเริ่มคบกันได้ 18 วัน แต่ก่อนหน้านี้คุยกันมาประมาณ 3 เดือน เราไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ เพราะเราอยู่คนละจังหวัดกัน แฟนผมมีธุรกิจที่บ้านอยู่แล้วแต่ช่วงปลายปี เขามักจะรวมหุ้นกับเพื่อนเปิดลานเบียร์ ซึ่งในช่วงที่เราตกลงคบกันเขา เขาบอกกับผมว่า หนึ่งในหุ้นส่วนของเขาคือแฟนเก่าของเขาด้วย แต่เขาก็บอกผมว่าเลิกกันไปนานแล้ว ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน เป็นแค่พี่น้องหุ้นส่วนกัน ผมก็โอเคเพราะเขายืนยันว่าไม่น่าจะมีทางกลับไปได้ ถ้ากลับไปก็คงไม่เลิกกันตั้งแต่แรก เขาให้เหตุผลกับผมว่าปีนึงก็คุยกันแค่ช่วงที่มาทำร้านด้วยกัน ไม่ได้ติดต่ออะไรกันอีกนอกจากตอนที่ทำร้าน ซึ่งช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นวันหยุด เราได้ไปที่ร้านเพื่อไปหาแฟน แล้วตอนไปเราได้บังเอิญเจอกับแฟนเก่าเขา แต่เราไม่ได้แสดงตัวว่าเราคือคนใหม่ ด้วยความที่แฟนเรามันก็คงทำให้รู้ว่าคนนี้คือคนใหม่ เพราะว่าแฟนจะเดินเวียนมาโต๊ะเราบ่อย ๆ โต๊ะที่ผมนั่งก็จะมีเพื่อนผมด้วย เหตุการณ์วันนั้นก็ไม่มีอะไรปกติทุกอย่างแต่ก็จะมีหุ้นส่วนเขาเดินมาดูโต๊ะเราบ่อย เดินผ่านโต๊ะเราบ่อย จากที่เราสังเกตเห็น หลังจากวันนั้นเราก็กลับบ้านมาทำงานปกติ เราก็ได้คุยกันกับแฟนว่าวันเคาท์ดาวน์จะไปเคาท์ดาวน์กันที่ร้านเขา ตั้งแต่ก่อนที่ผมจะได้ไปเจอกับแฟนเก่าเขา เพราะเขาก็ไม่น่าจะไปไหนได้ต้องอยู่ดูแลร้าน พอจากวันนั้นเขามาบอกผมว่า พี่เขากลับมาเหมือนจะมาง้อเขา มาชวนไปกินข้าว ชวนไปห้อง เราก็เลยถามเขาว่าแล้วยังไง เขาก็บอกว่ารู้สึกอึดอัดทำไมต้องมาทำแบบนี้ พอรู้ว่าผมเป็นใคร แล้วทำไมต้องมาทำแบบนี้อีก ผมก็เลยบอกเขาไปว่า ถ้าคุณไม่โอเค คุณก็บอกเขาไปตรง ๆ เราเป็นใคร ยังไงเราก็ไม่โอเคที่เป็นแบบนี้ เขาก็บอกกับเราว่า อยากบอก แต่หุ้นส่วนแฟนเก่าเขาเป็นคนที่แยกแยะไม่ได้ระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว คือถ้าบอกหุ้นส่วนก็จะงอแง วุ่นวายไม่ทำงาน ด้วยความที่เขารู้จักกันมาก่อนเขาก็รู้นิสัยกัน แล้วผมก็บอกแล้วจะให้ทำยังไง ถ้าไม่บอกมันก็จะเป็นคาราคาซังแบบนี้ เขาก็บอกว่า ทนหน่อยได้ไหม เดี๋ยวขอเวลาแป๊บนึง เดือนหน้าก็หมดร้านแล้ว เขาบอกผมว่าจะบอกตอนที่มันใกล้ ๆ จะเสร็จเรื่องร้าน ผมพยายามให้เขาไม่ทำแบบนี้ ผมก็ถามเขาว่าทนไหวเหรอ เขาบอกได้ทนไหว เราก็โอเคปล่อยเขาไปช่วงนึง จนผ่านไปประมาณ 3 วัน เป็นวันที่เขานัดจะมาหาเรา เพราะอีกวันร้านจะหยุด ช่วงประมาณ 1 ทุ่มเขาทักมาบอกว่า วันนี้น่าจะไปหาดึกหน่อย เพราะหุ้นส่วนบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย เราก็เลยบอกว่า เรื่องกูแน่ ๆ แหละ ดูแล้วไม่น่าจะเป็นเรื่องอื่น เราก็เลยปล่อยเขาคุยกันไป เราก็ไม่ได้ถามอะไรเขา จนเขาทักมาบอกว่าคุยเสร็จแล้ว กำลังจะไปหาที่บ้าน พอเขามาถึงบ้าน อาบน้ำทำอะไรเสร็จ เราก็เลยถามเขาว่าสรุปที่คุยกันว่ายังไง เขาก็บอกเราว่าที่เรานัดกันจะไปเคาท์ดาวน์ที่ร้านเขายกเลิกก่อนได้ไหม เพราะเขาไม่อยากให้เสียงาน หุ้นส่วนบอกว่า ถ้าเธอมา พี่เขาจะทำใจไม่ได้ แต่ผมก็ยืนยันที่จะไป เขาก็เลยบอกว่า งั้นเดี๋ยวจะไปคุยใหม่ พอเสร็จหลังจากนั้นเขาก็กลับไปทำงานปกติ 2 - 3 วัน เขาก็มาบอกผมว่า ไปคุยมาแล้ว พี่เขาบอกว่าจะมาก็มา แต่แฟนผมอะอย่ามานั่งที่โต๊ะผมบ่อยนะ ต้องทำงาน ผมเลยสงสัยถามเขาไปว่า หุ้นส่วนต้องทำอะไรบ้างถ้าเธอไม่ทำเดี๋ยวกูไปช่วยทำเองก็ได้ ผมก็เลยอยากจะมาปรึกษาพี่ ๆ ว่าเราควรไปไหมมันจะทำให้แฟนเราอึดอัดมาไปไหม?’ ซึ่งเริ่มที่ “ดีเจต้นหอม” ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่ไม่แนะนำให้เปลี่ยนร้านนะ แต่พี่แนะนำให้เปลี่ยนแฟน ไม่มีคำว่าไปหรือไม่ไปคือการที่จะเดินมาบอกว่า เฮ้ยเธอต้องไปร้านนี้ได้ป่ะ เพราะแฟนเก่าไม่โอเค ถามหน่อยไอ่นั้นเป็นใครแล้วกูเป็นใครก่อนตอนนี้ ชั่งน้ำหนักก่อนใช่กูมา 18 วันกูเดินออกได้นะ ตอนนี้แม็กต้องไปสืบข้อมูล แม็กได้ข้อมูลไม่ครบแล้วล่ะกับเรื่องแฟนเก่าคนเนี้ย การที่แฟนเก่าเลิกมา 2 ปีแล้วนาน ๆ เราเจออกันทีเราจะมาเจอกันแค่ทำร้าน ขอโทษนะแค่ทำร้านปีนึงแปลว่ามันไม่ได้มีการติดต่ออะไรกันมาแล้ว อยู่ ๆ อีนี่จะมาหวงก้างขึ้นมาไม่ใช่ตลอดระยะเวลา 2 ปี ถ้าเลิกกัน 2 ปีจริง ๆ นะยังติดต่อกันอยู่แล้วเป็นแนวทางที่ไม่ใช่เพื่อรตัดขาด แฟนเก่ายังมีความหวังมาโดนตลอดแต่แม็กตอนนี้เลือกแคร์ผิดคน ทีนี้คือโทษเขาไม่ได้นะแม็กเธอมาแค่ 18 วัน สิ่งที่พี่อยากให้แม็กรู้คือน้ำหนักความสำคัญของตัวแม็กตอนนี้ แล้วคือการไปไปได้นะแต่ไม่ได้เต็มใจให้ไปคือการจัดการของคนกลางไม่ดีซึ่งพี่ไม่รู้ว่า คนกลางจัดการไม่ดีหรือคนกลางมันแคร์ตรงนั้นอยู่มันไม่ใช่เรื่องของการทำงาน แฟนเก่ามันเป็นแฟนเก่าจริงหรือเปล่าตอนนี้มันเหมือนมันไม่ใช่แฟนเก่าเท่าที่ฟัง ถ้ายังจะเอาคนนี้แม็กต้องยื่นคำขาดต้องวีนไปเลยว่า ทำไมถึงไม่ให้เราไปทำไมถึงไม่ให้ความสำคัญกับเราแล้วมันต้องเด็ดขาดกับแฟนเก่าไม่ใช่แบบ ไปก็ได้เดี๋ยวถามแฟนเก่าก่อนนะว่าให้เธอมาหรือเปล่า สถานะกูเป็นใคร ต้องตัดสินใตตั้งแต่ตอนนั้นต้องเคลียร์กับแฟนเก่าไม่ให้เรื่องแบบนี้มาถึงเรานะ ต้อง Protect ความรู้สึกเรา เราคือคนปัจจุบันเธอเอาไง ลองถามอึดอัดป่ะกับการที่มีเราอยู่เพราะถ้าเธอรู้สึกว่าอยากให้เราอยู่ตรงเนี้ยเธอทำอะไรให้เรารู้สึกอุ่นใจหน่อยได้ไหม เธอทำอะไรให้เรารู้สึกว่าที่ตรงเนี้ยคุ้มค่ากับการที่เราจะอยู่ตอนนี้เราไม่มั่นใจเลย คนกลางต้องหนักแน่นและเด็ดเดี่ยวมากกว่านี้’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่ว่า 18 วันนี้มีแต่สถานการณ์ประหลาดมาหมดเลย พี่ว่ามันอาจจะไม่ได้เลิกกันแบบตัดขาดเพราะถ้าตัดขาดไม่น่าจะเป็นแบบนี้นะอยู่ ๆ จะมาหึงเหรอไม่มีสิทธิ์ มันแปลก ๆ หมดเลยแต่พี่เชียร์ให้แม็กไปเพราะ ถ้าแม็กไปวันปีใหม่เนี้ยแม็กก็จะได้รู้แหละว่าตัวเองสำคัญขนาดไหนกับเขา มันอาจจะเคลียร์เลยก็ได้ว่าจริง ๆ แล้วมึงยังลืมเขาคนนั้นหรอก มึงอย่าเอากูมาแบบขัดตาทับขั้นเวลาเลย มึงไปอยู่กับเราเถอะ มันไม่ใช่แค่ข้ออ้างว่าเราต้องทำธุรกิจร่วมกันแล้วแต่อันนี้คือมันแคร์เขาค่ะ เชียร์ให้ไปจะได้รู้ว่าเรื่องมันเป็นยังไง อาจจะได้คำตอบคืนนั้นแหละจะได้กลับมาตั้งหน้าตั้งตาเป็น doctor’ สุดท้าย “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาเสริมอีกว่า ‘พี่ติดอยู่ขั้นตอนเดียวที่มาบอกเราว่า อีกฝ่ายมาขอคืนดีซึ่งเราทำอะไรไม่ได้เพราะถ้าทำไปแล้วเจาอาจจะงอแงแล้วไม่หุ้นด้วย อันนี้แปลกมากคือมันผิดอะ ถ้าเป็นพี่ก็จะรู้สึกว่าอ้าวอย่างงี้มึงให้ความสำคัญกับใครมากกว่าวะ ถ้าสมมุติแฟนเก่าซึ่งจริงตามที่อ้างเลิกกันมา 2 ปีแล้ว เป็นคนงี่เง่า แล้วจะมาขอคืนดีอะ คนที่แฟนแม็กควรจะห่วงความรู้สึกมากที่สุดคือเรา ที่พึ่งคบกันได้ 18 วัน เขาควรจะปกป้องเรากลับกลายเป็นว่าเขาเลือกที่จะปกป้องความรู้สึกของฝั่งนั้น เป็นพี่พี่น้อยใจตรงนี้ จริง ๆ ถ้าจะเลือกคนที่ไม่มีเหตุผลและงี่เง่าในวงจรนี้ควรจะเป็นแฟนเก่าแล้วควรจะจัดการกับอีนั่น ไม่ใช่มากันเราออก การลำดับความสำคัญหรือแบบความงี่เงาของเขามันเบอร์ไหนวะ ถ้าถามว่าไปหรือไม่ไป คือไปแล้วจะรู้เลยแน่นอนว่าสถานการณ์เป็นยังไงอันนี้จริง แต่ถ้าเป็นชีวิตจริงผมก็อาจจะไม่ไปก็ได้นะ หมายถึงว่าฉันก็มีเชิงของฉัน ศักดิ์ศรีของฉันเหมือนกันไม่อยากให้ไปก็ไม่ไปก็ได้แล้วก้ไม่ต้องโทรตามแล้วกันก็อย่ามารู้แล้วกันว่าเคาท์ดาวน์ไปไหน’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1