บ้านหนูของหายทุกเสาร์ อาทิตย์ พ่อกับน้องชายเลยแอบติดกล้องวงจรปิดจับคนร้าย สุดท้ายเป็น แฟนของพี่ชาย เข้าออกห้องหนูทุกครั้งที่มาบ้าน เคยขโมยกระปุกครีมไป พอถาม ยอมรับว่าเอาไปจริง แต่เอาไปทิ้งเพราะไม่ชอบหนู

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

บ้านหนูของหายทุกเสาร์ อาทิตย์ พ่อกับน้องชายเลยแอบติดกล้องวงจรปิดจับคนร้าย สุดท้ายเป็น แฟนของพี่ชาย เข้าออกห้องหนูทุกครั้งที่มาบ้าน เคยขโมยกระปุกครีมไป พอถาม ยอมรับว่าเอาไปจริง แต่เอาไปทิ้งเพราะไม่ชอบหนู

23 ก.พ. 2024

​บ้านหนูของหายทุกเสาร์ อาทิตย์ พ่อกับน้องชายเลยแอบติดกล้องวงจรปิดจับคนร้าย

สุดท้ายเป็น แฟนของพี่ชาย เข้าออกห้องหนูทุกครั้งที่มาบ้าน เคยขโมยกระปุกครีมไป

พอถาม ยอมรับว่าเอาไปจริง แต่เอาไปทิ้งเพราะไม่ชอบหนู

พี่ชายหนูจ่ายค่าครีมให้แล้ว พ่อบอกไม่อยากให้ทะเลาะกัน ทำไงดีคะ?

            “คุณอาย (นามสมมติ)” อายุ 26 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (21 ก.พ. 67) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเติ้ล - ดีเจเผือก - ดีเจอ้อย นภาพร’ กับปัญหาของหาย แต่คนที่ขโมยคือแฟนของพี่ชาย...

          โดย ​“คุณอาย (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ที่บ้านหนูมีกันอยู่ 4 คน มีพ่อ พี่ชาย หนู แล้วก็น้องชาย และพี่ชายก็ชอบพาแฟนมาอยู่ที่บ้านทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ก่อนหน้านั้นก็ปกติไม่ได้มีปัญหาอะไร ทุกคนก็ทำหน้าที่ของตัวเอง จนวันหนึ่งพ่อกับน้องรู้สึกว่ามันเริ่มมีของหาย และหายไปทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ไม่ว่าจะเป็นเงิน ของมีค่าต่าง ๆ ทีนี้พ่อกับน้องก็เลยแอบติดกล้องวงจรปิดในบ้าน โดยที่หนูเองก็ยังไม่รู้ หลังจากติดกล้องก็เจอขโมย คือ แฟนของพี่ชายแอบมารื้อของในบ้าน แล้วก็แอบเข้าห้องของอาย วันนั้นอายกลับจากทำงาน ซึ่งกำลังจะล็อกห้อง พ่อก็บอกว่า ห้ามเก็บเงินสดหรือของมีค่าไว้ในห้องนอนตัวเอง และพ่อก็ไม่บอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น

            แต่พ่อเกริ่นมาขนาดนี้หนูก็เลยรู้สึกว่า อ้าว ทำไมเราเก็บของไว้ในห้องนอนตัวเองไม่ได้ หนูก็สงสัยเลยถามพ่อว่า เกิดอะไรขึ้น? พ่อก็บอกว่า เขากับน้องแอบติดกล้องวงจรปิดในบ้าน ก็เจอว่าแฟนของพี่ชายแอบรื้อของในห้องอาย ขโมยของไป และรื้อห้องน้องชายกับพ่อด้วย แอบย่องตอนที่ไม่มีคนอยู่บ้าน เขาก็จะเข้าห้องอายทุกอาทิตย์ อาทิตย์แรกที่แอบติดกล้องก็เจอแต่ไม่แน่ใจว่าเอาอะไรไปแต่เห็นควักใส่กระเป๋าตัวเอง ส่วนอาทิตย์ที่สองเจอว่าเอาครีมกระปุกใหญ่ของหนูไป ตั้งแต่นั้นมาหนูไม่พกเงินสด ปกติหนูก็เป็นคนไม่ได้ใส่ของมีค่าในตัวอยู่แล้ว จะมีพวกครีม พวกเซรั่มมากกว่า

            ตอนแรกพี่ชายยังไม่รู้ เราก็เลยคุยกัน 3 คน พ่อ น้องชาย แล้วก็อาย คุยกันว่าจะแก้ไขปัญหานี้ยังดี พ่อก็บอกว่า เรื่องนี้รู้เมื่อวันจันทร์ถ้าเราจะรอเขามา เราต้องรอวันเสาร์เพื่อที่จะคุยกับเขาโดยตรง จริง ๆ หนูอยากคุยกับเขาโดยตรง แต่พ่อน่าจะรู้ว่าหนูเป็นคนค่อนข้างรุนแรง พ่อก็เลยบอกว่า ให้พี่ชายเป็นคนคุยดีกว่า เพราะว่าพ่อกลัวพี่ชายจะเสียความรู้สึก แค่นี้พี่ชายก็เสียความรู้สึกมากพอแล้วที่แฟนตัวเองเป็นขโมย ก็เลยบอกพี่ชายว่าไปจัดการมา ทุกคนในบ้านไม่โอเคที่จะให้พามาที่บ้านอีก แล้วเราก็เอาหลักฐานกล้องวงจรปิดให้พี่ชายไป เขาก็ไปคุยกัน...

            หลังจากนั้นหนูก็ถามว่า เรื่องเป็นไงบ้าง? พี่ชายบอกว่า ตอนแรกเขาไม่ยอมรับ เขาบอกว่าที่เข้าห้องหนูเพราะมาเอาไม้แขวนเสื้อ แต่สถานการณ์ตอนนั้นเขาเพิ่งตากเสื้อผ้าเสร็จ หนูก็งงว่าตากเสร็จแล้วจะมาเอาอีกทำไม แล้วก็เข้าห้องเราบอกว่ามาเอาไม้แขนเสื้อ แต่จริง ๆ ไม่ได้มาเอาไม้แขวนเสื้อ ทีนี้พี่ชายก็เอาคลิปหลักฐานให้ดู สรุปเขาก็เลยยอมรับว่าเขาขโมยของอายไปจริง ๆ เขาบอกสาเหตุที่ขโมยว่า เขาไม่ได้เอาไปใช้ แต่เขาขโมยไปทิ้ง

            เขาบอกว่าเขาไม่ชอบหนู ทีนี้เขาก็ให้เหตุผลว่าของหนูมันหายบ่อย แต่จับขโมยไม่ได้ ด้วยความที่ของหายก็ต้องโวยวาย หนูก็เลยโวยวายว่า ของหายอีกแล้ว แต่ว่าเราจับไม่ได้สักที หนูว่าทุกคนก็ต้องเป็นต้องโวยวายเพราะของเราหาย เขาก็บอกว่า หนูชอบโวยวายเวลาของหายก็เลยเอาครีมของหนูไปทิ้งข้างบ้าน ของพ่อกับน้องที่หายมันไม่ได้มีหลักฐานชัดเจนว่าเอาไป พอเขาบอกว่าขโมยไปทิ้งตรงทุ่งหญ้าข้างบ้าน หนูกับน้องชายเลยไปรื้อตรงนั้น ก็ไม่มี... พี่ชายเลยชดใช้โดยการโอนเงินค่าครีมคืนมา

            หลังจากนั้นทุกคนก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีกเพราะว่าไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ของหายแล้ว เรื่องมันก็เริ่มเงียบ พี่ชายก็ไม่พาแฟนมาที่บ้าน แต่สุดท้ายเขาก็พาเข้ามาที่บ้านอีก คือของไม่หายเพราะว่าทุกคนล็อกห้องทำทุกอย่างใหม่ แล้วกลายเป็นว่าบ้านไม่ใช่เซฟโซน เราต้องระวังตัวเองแล้ว ตอนนั้นหนูไม่ค่อยได้เจอหน้าใครเพราะหนูทำงานกลับมาคนละเวลากับที่บ้าน หนูก็เลยทักไปหาพี่ชาย หนูบอกว่า ทำไมยังพามาอีกอะ ทั้ง ๆ ที่ทุกคนในบ้านไม่โอเคที่พาเขามา พี่ชายหนูก็บอกว่า เดี๋ยวถ้าเรียนจบอะ จะเป็นคนย้ายออกไปอยู่กับแฟนเอง จะได้ไม่ต้องพามาที่บ้านให้ทุกคนในบ้านรู้สึกไม่สบายใจ แต่ปัจจุบันพี่ชายหนูเรียนจบแล้ว แต่ก็ยังพามาอยู่ แล้วคือการที่หนูจะไล่พี่ชายออกจากบ้านมันก็ไม่ใช่ เราก็ทำไม่ได้ เพราะว่าบ้านมันคือของทุกคน หนูแค่รู้สึกว่าทำไมจะต้องเจอคนนี้ในบ้านทุกอาทิตย์เลย

            เมื่ออาทิตย์ก่อนน้องชายเดินมาถามหนูว่า พี่อายรู้สึกว่ามีคนเข้าห้องหรือเปล่า? เพราะก่อนออกไปน้องก็ปิดไฟแล้ว แต่ทำไมไฟยังเปิด รู้สึกว่าของในห้องมันย้ายที่ หนูก็ไม่อยากให้น้องคิดมากเลยบอกว่า อาจจะลืมปิดไฟเองหรือเปล่า มันเป็นเรื่องปกติที่เราลืม ต่อไปก็ห้ามลืมล็อกห้อง หนูก็เลยพูดแทนน้องชายไปวันนั้นว่า ไหนบอกว่าถ้าเรียนจบถ้าไม่พามาก็จะย้ายออกไปไง แบบให้คนในบ้านสบายใจ แต่พี่ชายหนูบอกว่า แล้วทำไมจะพามาไม่ได้เราเป็นแฟนกัน อันนี้ก็บ้านเราเหมือนกัน หนูเข้าใจว่ามันเป็นห้องใครห้องมัน แต่สุดท้ายของส่วนรวม ห้องโถงมันก็คือห้องของทุกคน เราก็ไม่สบายใจ

            ทีนี้พ่อได้ยินหนู 2 คนเริ่มทะเลาะกัน พ่อก็เลยออกมาคุยด้วย กลายเป็นว่าพ่อว่าหนู ทำไมหนูถึงยังรื้อฟื้นเรื่องเดิม ๆ ออกมา ทั้ง ๆ ที่เรื่องมันจบไปแล้ว คือพ่อไม่อยากมีเรื่อง หนูบอกว่า แต่หนูเป็นคนโดนกระทำ โดนขโมยของ โดนขโมยนู่นขโมยนี่ไป แล้วทำไมเรายังจะต้องเห็นหน้าคนนี้อยู่ในบ้าน แค่ไม่เอาเขามาให้ทุกคนสบายใจ นั่นคือปัญหามันจบหรือเปล่า แต่ทำไมพ่อต้องโมโหมาก ตะโกนด่าอายว่า เป็นตัวสร้างปัญหาที่เอาเรื่องเก่ามาพูดทั้งที่เรื่องมันจบไปแล้ว หนูก็เลยแบบ อ้าว แล้วคือเราต้องรอให้ของหายอีกรอบหรือโดนยกเค้าใช่ไหม เราถึงจะจัดการปัญหาได้

            หนูเลยอยากปรึกษาพี่ ๆ ว่า หนูจะจัดการหรือไปทางไหนดี หนูจะทำยังไงที่จะสามารถคุยกับพ่อให้เปลี่ยนความคิดได้ว่าเราไม่ควรให้เขาเข้ามาที่บ้าน’

            โดย “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘ประเด็นคือพี่ชายเราเขารัก เขาหลงมาก แล้วเขาก็ไม่ถือสาหาความ ตั้งแต่เหตุการณ์เกิดขึ้นใหม่ ๆ เขาก็เป็นคนโอนเงินมาให้ แล้วก็เหมือนทำให้ทุกอย่างปกติ นั่นแปลว่าเขายอมรับในความนิสัยขโมยของแฟนเขาได้ ตอนแรกพี่ก็ตั้งคำถามของตัวเองว่า ถ้าแฟนเราขโมยของคนในบ้านจะเลิกไหม? นี่คือคนที่เราจะเลือกเป็นคู่ชีวิตของเราในระยะยาวหรอ? แล้วมันไม่ใช่ขโมยของกินในตู้เย็นที่เคลียร์กันง่าย ๆ อันนี้คือขโมยไปทั่วด้วยซ้ำ ที่มันเป็นหลักฐานอาจจะของอายคนเดียว แต่ว่ามันมีของที่หายไปโดยที่หาคำตอบไม่ได้ และหายไปเฉพาะเสาร์-อาทิตย์อีก มันค่อนข้างที่จะชัดเจน ถ้าพี่เป็นพี่ชายอาย พี่คงตั้งคำถามตั้งแต่ตอนนั้น แต่ว่าพี่ชายเขาก็ก้าวข้ามผ่านมาได้ด้วยความรัก

            พี่มองว่าต่อให้อายสามารถกันเขาออกไปจากบ้านได้ แต่การที่ไม่เจอกันทั้งชีวิตก็ยาก พี่เข้าใจว่าคนโดนแล้วมันก็ฝังใจ ตอนนี้เราจะไปเปลี่ยนความคิดของพี่ชายก็คงลำบาก เขาเลือกที่จะอยู่กับคนนี้ อายเองก็ยังจำเป็นที่จะต้องอยู่บ้านนี้ ณ วันนี้ถ้าไปยื่นคำขาด บอกว่าพ่อต้องไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปให้ได้ ตอนนี้กระแสมันจะเทมาทางอายเป็นตัวร้ายแล้ว ทุกคนพยายามทำให้ครอบครัวยังอยู่ด้วยกันได้ อะไรที่ผิดพลาดไปแล้วให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเขาจะเลิกได้หรือไม่ได้ อาจจะต้องกล้ำกลืนฝืนทน ถ้าเป็นพี่ พี่ก็คงต้องดูแลตัวเอง ทำให้รู้เลยว่าเราไม่มีวันไว้ใจ แล้วระมัดระวังตัวเองให้ดี และถ้ามันเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้แหละเราจะมีน้ำหนักยื่นข้อเสนอครั้งสำคัญแล้วว่ามีอายไม่มีเขา มีเขาไม่มีอายหรือใดใดก็ตาม

            แต่ ณ ตอนนี้เหตุการณ์มันยังไม่เกิดขึ้นใหม่ คำถามที่ว่า ต้องรอให้เกิดขึ้นอีกครั้งหรอ? วันนี้พี่อาจจะต้องตอบว่า อาจจะเป็นอย่างนั้น โดยที่เราก็ยังต้องตั้งกล้องระแวดระวัง อาจจะลำบากทั้งที่เป็นบ้านของเราแท้ ๆ  แต่มันเป็นบ้านของทุกคนจริง ๆ แหละ แล้วพี่เขาก็เลือกของเขาแล้ว เราเองก็อาจจะต้องวัดใจกันดู และก็ภาวนาไม่ให้เกิดขึ้นอีก ความไม่ชอบกันก็ยังฝังอยู่และถ้าเขามาเป็นพี่สะใภ้เรา มันก็คงยังต้องมีความรู้สึกแบบนี้ทุกครั้งที่รวมญาตินั่นแหละ แต่ว่าถ้าเกิดขึ้นอีกครั้ง อายมีสิทธ์เต็มที่ ที่จะยื่นคำขาด ตอนนี้ก็ระมัดระวังตัวเองละกันนะอาย อาจจะต้องอดทนกับความลำบากใจนิดนึง

            ต่อมา “ดีเจอ้อย” ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง ตอนนี้หนูกำลังไปให้คุณค่าเขาเยอะมาก นี่คือบ้านหนู เขามาแค่ช่วงเสาร์-อาทิตย์ หนูไปให้คุณค่าเขาขนาดที่ว่า เธอทำให้ฉันไม่มีความสุขในบ้านนี้ได้ยังไง และความสุขของฉันจะกลับมาทันที ถ้าพี่ชายเอาผู้หญิงคนนี้ออกไปจากบ้าน พี่รู้สึกว่าในที่สุดวันนี้คนที่พี่จะโกรธ พี่ไม่ได้โกรธว่าที่พี่สะใภ้ พี่โกรธพี่ชายหนู เพราะคนอะไรมีสเปคเป็นมิจฉาชีพขนาดนั้น คือพี่ว่าดูประหลาดไป

            แต่คราวนี้พี่เห็นด้วยกับสิ่งหนึ่งคือ ต้องปกป้องตัวเองก่อน เป็นพี่ พี่จะอยู่ในบ้านอย่างมีความสุขก่อน ยิ่งเขาเข้ามาจะยิ่งทำให้เห็นว่า ฉันล็อคประตูนี้ อันนี้เปลี่ยนกุญแจ ถ้าเขาถามว่าทำไมต้องล็อคกุญแจขนาดนี้ อ้าว ก็กลัวของหายแล้วก็เพลิน ๆ กับการอยู่ในบ้านของเรา ทำไมเราต้องไปทำให้เขารู้สึกว่า เขาดูมีอิทธิพลต่อบ้านฉันเหลือเกิน พี่ว่าคุณพ่ออาจจะอยากได้ความสงบสุขในบ้าน ไม่มีใครหรอกอยากเอาขโมยเข้าบ้านแล้วแฮปปี้มีความสุข ถ้าน้องทะเลาะกับพี่ชายด้วยเรื่องนี้ มันจะกลายเป็นว่าทะเลาะกันเรื่องผู้หญิงคนอื่นด้วยซ้ำ แล้วถ้าเกิดว่าผู้ชายมีรสนิยมชอบแนว ๆ นี้ ชอบแนวต้องลุ้นกับตำรวจไปด้วย พี่เคารพการตัดสินใจของพี่ชาย แต่เราจะปกป้องสิทธิ์และความสุขในบ้าน เพราะนี่คือบ้านฉัน พี่ว่าเขาต้องมีความผิดปกติทางจิตใจบางอย่าง

            เพราะฉะนั้นพี่ว่าหนูต้องล็อคให้เห็นเลยว่า ตั้งแต่เธอเข้าบ้านฉัน ฉันรู้สึกว่าจะต้องปกป้องทรัพย์สมบัติของฉันให้ดีที่สุด ต้องดูกันไปสักตั้ง บางทีมันต้องมีอารยะขัดขืนกันบ้าง ตอนนี้พี่กำลังรู้สึกว่าเรากำลังโดนป่วน แล้วเราก็ดันป่วนไปตามแผนด้วย เพราะจริง ๆ นี่คือบ้านของหนู ปกป้องสิทธิ์ของเรา ไม่อยากได้อยากให้เราลุกขึ้นมาแล้วบอกว่า เธอจะต้องเลิกกับผู้หญิงคนนี้ เลิกเอาผู้หญิงคนนี้เข้ามาเดี๋ยวนี้นะ อะไรมันไม่ได้ดั่งใจเราทุกอย่างหรอก พี่ชายเรา เราก็ต้องเคารพในการเลือก แล้วอย่าไปถือโทษคุณพ่อ หนูบอกกับพ่อเลยว่า ในเมื่อพี่เขาเลือกแบบนี้ หนูไม่อยากจะไปแตะอะไร แค่หนูจะทำตามที่พ่อบอกละกันว่า หนูจะปกป้องสิทธิ์ของหนู และบ้านของหนู รวมไปถึงความสุขในบ้านหนูด้วย

            สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า ‘ในเมื่อบ้านหลังนี้ทุกคนมีสิทธิ์การเป็นเจ้าของร่วมกัน พี่ก็ไม่สามารถบอกให้อายไล่ทุกคนที่ไม่ชอบออกไปได้ เพราะว่าเขาก็มีสิทธิ์ของเขา พี่กลับมองว่าเหมือนพี่รู้สึกเห็นใจทุกคน ในแง่ที่ว่าทุกคนตกที่นั่งลำบากหมดเรื่องนี้ ทั้งหมดมันก็เกิดจากความรักนั่นแหละ แต่รักแบบไหนว่ากันอีกเรื่อง ทุกคนหวังดีต่อกันเลยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ทีนี้มันจำเป็นที่อายจะต้องอยู่กับเรื่องนี้เพราะว่าหนูก็ไม่สามารถย้ายออกได้

            มองอย่างงี้ละกัน นางโจรนี้ นางก็จะมาขโมยแค่เสาร์-อาทิตย์ จันทร์-ศุกร์นางไม่มา ก็ให้เป็นเสาร์-อาทิตย์ที่เตือนใจเราว่า เป็นวันที่เราต้องรัดกุม ก็ล็อกห้อง แล้วถ้าวันนั้นนางถึงขนาดงัดประตู งัดหน้าต่างแล้วเข้าบ้าน พี่ก็เรียกตำรวจ คือถ้าขนาดนั้นพ่อกับพี่ชายก็พูดอะไรไม่ได้อีกต่อไป เราก็ทำให้เห็นว่าล็อกแล้ว มันจะเอาไปไม่ได้ ถ้าเพื่อแลกให้คุณพ่อยังโอเค พี่ชายยังอยู่กันได้ อาจจะต้องยอมทำเพราะว่ามันไม่มีทางออกสำหรับเรื่องนี้ ของมีค่าในห้องเราเก็บให้เรียบร้อยวันเสาร์-อาทิตย์ และถ้านางทำอีกพี่ก็ขอให้แจ้งตำรวจ’

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

เพื่อนโกรธสามี ลั่น "จะฟ้องหย่าชู้ให้ได้!" ผมก็เลยถามเพื่อนว่าแน่ใจนะ? เพื่อนบอก "แน่ใจ!!" เพื่อนในกลุ่มก็เลยช่วยกันหาหลักฐานครบ หาทนายให้พร้อม สุดท้ายเพื่อนไปคุยกับทนายว่า ไม่ได้อยากฟ้อง แต่โดนเพื่อนยุให้ทำ

12 ม.ค. 2024

เพื่อนโกรธสามี ลั่น "จะฟ้องหย่าชู้ให้ได้!" ผมก็เลยถามเพื่อนว่าแน่ใจนะ? เพื่อนบอก "แน่ใจ!!" เพื่อนในกลุ่มก็เลยช่วยกันหาหลักฐานครบ หาทนายให้พร้อม สุดท้ายเพื่อนไปคุยกับทนายว่า ไม่ได้อยากฟ้อง แต่โดนเพื่อนยุให้ทำ

เพื่อนโกรธสามี ลั่น "จะฟ้องหย่าชู้ให้ได้!" ผมก็เลยถามเพื่อนว่าแน่ใจนะ? เพื่อนบอก "แน่ใจ!!"เพื่อนในกลุ่มก็เลยช่วยกันหาหลักฐานครบ หาทนายให้พร้อมสุดท้ายเพื่อนไปคุยกับทนายว่า ไม่ได้อยากฟ้อง แต่โดนเพื่อนยุให้ทำตอนนี้ผมเสียความรู้สึกมาก เหมือนโดนหักหลัง เป็นหมาทั้งกลุ่ม?? “คุณเอ็ม (นามสมมติ)” อายุ 35 ปี สายที่สามในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (10 ม.ค. 67) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจอ้อย กับปัญหาที่รู้สึกโดนหักหลังจากเพื่อน หลังจากที่ช่วยเพื่อนหาหลักฐานฟ้องมือที่สามของแฟน แต่สุดท้ายเทและโยนบาปมาให้เพื่อนทั้งหมด! โดย “คุณเอ็ม (นามสมมติ)” เริ่มเล่าว่า ‘เรื่องนี้เป็นเรื่องของเพื่อน เราเป็นฝ่ายไปช่วยเขา เพื่อนคนนี้เป็นเพื่อนในกลุ่ม ก่อนหน้านี้เราไม่ค่อยสนิทกันเพราะว่าทำงานคนละสาย แต่เราเริ่มมาคุยกันตอนที่ได้ทำงานร่วมกัน ผมให้เขามาช่วยงาน เราก็เห็นสภาพครอบครัวเขา พ่อแม่ลูกรักกันดี จนวันนึงเรามีงานที่ต้องทำกับเขาอีก เขาจึงได้เล่าให้เราฟังว่าตอนนี้เขาเลิกกับแฟนเขาแล้ว เราก็อ้าว! เพราะล่าสุดเพิ่งเห็นแฟนเขามาส่ง เขาก็เล่าว่าแฟนเขาไปมีอีกคนนึง ซึ่งอีกคนโปรไฟล์ดีมาก ด้วยความที่เป็นเพื่อนเรา เราก็มีความรู้สึกว่าทำไมเพื่อนเราถึงถูกกระทำแบบนี้ ทีนี้เราก็เลยนัดเพื่อนทุกคนมานั่งคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้น คุยกันเสร็จเขาก็บอกว่า ฝั่งแฟนเขาไปมีคนอื่น ขอเลิกกับเขา และหลอกเขาไปหย่า เรื่องเป็นประมาณนี้ หลังจากนั้นเพื่อนทุกคนก็ช่วยกันหาหลักฐาน เพราะเราคุยกันแล้วว่าจะฟ้องมือที่สาม เราบอกว่า “ตอนนี้เพื่อนเราไม่มีงานทำ ฉะนั้นถ้าฟ้องชนะอย่างน้อยเพื่อนก็ได้เงินก้อนนี้ไปตั้งตัวต่อ” เราคิดกันแค่นี้ เราก็ถามเขาว่า “ตกลงจะฟ้องใช่ไหม” เขาก็บอกมาว่า “ฟ้อง ยังไงก็ฟ้อง” แต่เราก็บอกเพื่อนไว้ก่อนว่า “ถ้าฟ้องเสร็จแล้ว จะกลับไปเป็นครอบครัวเดียวกับแฟนเขาอีก เราจะถือว่าเราไม่เป็นหมานะ เพราะเราถือว่ามันเป็นเรื่องของครอบครัว เราเข้าใจได้” ทุกอย่างก็ดำเนินต่อไป เพื่อนๆ ช่วยเขาทุกอย่าง ทั้งหางานใหม่ให้ จนได้งาน อยากได้ GPS เพื่อนก็หาให้ อยากสืบว่าแฟนไปที่ไหน เพื่อนก็ไปช่วยตาม แม้แต่เวลาตี 1-2 ก็ยังช่วยตามให้ จนได้ข้อมูลครบถ้วนและสามารถส่งฟ้องได้ ทุกคนจึงถามว่า “จะส่งฟ้องเมื่อไหร่” ทีนี้เพื่อนเราเริ่มอ้าง เดี๋ยวรอวันนั้น เดี๋ยวรอวันนี้ จนมีวันนึงเขาบอกว่าเขาตั้งท้องลูกคนที่ 2 เพื่อนทุกคนตกใจมาก แต่เราก็คุยกับเพื่อนไปว่า ตอนนั้นมันแค่ไม่กี่อาทิตย์ ถ้ายุติการตั้งครรภ์ได้ เราอยากให้ยุติ เพราะไม่งั้นปัญหาหลังจากนี้มันจะวุ่นวาย ปัญหาจะเยอะมาก ถ้าเธอคิดจะฟ้อง เขาก็เหมือนบ่ายเบี่ยงไป เราก็ไม่ได้ตามอะไรต่อ จนเขาบอกว่าเขาแท้งเพราะว่าแย่งโทรศัพท์กันแล้วเด็กหลุด แต่มันก็มีความตะหงิดใจบางอย่างคือ พี่สาวเอ็มก็มาถามว่า “เขาได้ขูดมดลูกไหม” เพราะปกติถ้าแท้งจะต้องขูดมดลูกอะไรแบบนี้ เพื่อนก็บอกมาว่า “หมอเขาแทงสวน” เราไม่เคยท้องเราก็ไม่รู้ว่ามันต้องอะไรยังไง แต่ก็เริ่มตะหงิดใจมาเรื่อย ๆ ในส่วนของเรื่องฟ้องก็ไม่คืบหน้าสักที จนเราเริ่มฟางเส้นสุดท้ายขาด เราทิ้งเรื่องฟ้องไว้ก่อน เรามีงานให้เขามาช่วย แต่ทีนี้เพื่อนบอกว่าเขาจะต้องเริ่มงานอีกที่นึง เราก็คุยกับเขาว่า “ตกลงแกเริ่มงานอีกที่นึงใช่ไหม” เขาก็บอกว่า “เดี๋ยวรอทางสำนักงานใหญ่แจ้งมา” เราก็ไม่ได้ตามอะไรต่อ แต่ก็คิดว่าถ้าเขารู้สึกว่าเราเป็นเพื่อนกัน เขาควรแจ้งเราก่อนว่ามาเริ่มทำงานที่นี่ไม่ได้ แต่นี่ต้องให้เรามารอ จนถึงวันงานเขาก็ยังไม่แจ้งเรา จนถึงเรื่องฟ้อง ฟางอีกเส้นที่ขาดก็คือ เพื่อนเอ็มเขามีแฟนเป็นทนาย ครั้งแรกที่คุยกับทนาย เขาบอกแล้วว่าเขาจะทำให้ฟรี แต่ทีนี้ทนายเขาบอกว่าเหมือนเพื่อนเอ็มไม่กระตือรือร้นที่จะทำ ทนายเขารู้สึกว่าแปลก ๆ เพื่อนทุกคนก็คุยกัน เหมือนแฟนของเพื่อนแต่ละคนเขาก็มองว่าเพื่อนเราไม่กระตือรือร้น ทำไมจะทำอะไรแต่ละอย่างถึงไม่ขวนขวายเอง ทำไมต้องให้เพื่อนรอบตัววุ่นวายไปหมด จนวันที่ทนายเขาถามรอบสุดท้าย ตอนเช้าคุยกับเพื่อนก็ถามอีกว่า “จะฟ้องจริงไหม” เขาก็ตอบว่า “จะฟ้องจริง 100% จะฟ้องจริงๆ” พอตกบ่าย ทนายมาคุยอีกรอบนึง เขาตอบมาว่า “50 50 ค่ะ” เพราะว่าตอนนี้ฝั่งผู้ชายเขาก็มาขอคืนดี แล้วก็บอกว่าเขาขอโอกาส อีก 50 ก็เหมือนเกรงใจเพื่อน ใช้คำว่าเกรงใจเพื่อน เหมือนประมาณว่าเพื่อนอยากให้ฟ้องแต่ตัวเองไม่อยาก ประมาณว่า “จริง ๆ หนูก็ไม่ได้อยากฟ้องนะคะ แต่เพื่อนยุให้ฟ้อง” ตอนนั้นเรายังไม่รู้เรื่อง เพื่อนก็ต่อสายมาคุยเลยว่าให้ใจเย็น ๆ แล้วก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง พอเพื่อนเล่าจบเราก็รู้สึกว่าทำไมเป็นแบบนี้ เพราะว่าก่อนหน้านั้นเราเป็นคนถามเขาเองว่าจะฟ้องใช่ไหม ตอนนั้นเพื่อนก็บอกว่าจะฟ้อง แต่เราก็บอกไปว่าให้กลับไปคืนดีคุยกับแฟนก่อนไหม แต่เพื่อนก็บอกว่า “ฉันจะไม่เอาผู้ชายคนนี้เป็นพ่อของลูกเด็ดขาด” แต่พอมาวันนี้กลายเป็นว่า “ฉันจะกลับไป” เราก็รู้สึกว่าจริง ๆ ถ้าเกิดเขาแค่เดินมาขอโทษเรา แล้วบอกว่าเราขอโทษนะ เราทิ้งครอบครัวไม่ได้จริง ๆ เพื่อนทุกคนก็พร้อมให้อภัย แต่พอมันเกิดเรื่อง กลายเป็นว่า คำขอโทษจากปากเขากับเพื่อนไม่มีเลย แล้วเขาก็เหมือนโยนบาปทุกอย่างให้เพื่อนว่าเพื่อนเป็นคนยุยงให้ทำ ตอนนี้ก็เหมือนทุกอย่างบีบให้เพื่อนออกหมด แต่ว่าหลักฐานบางอย่างยังอยู่ในมือเรา เราแค่มองว่าถ้าเกิดวันนั้นเราปล่อยหลักฐานให้เขาไปหมดเลย แล้วถ้าหลักฐานนี้มันหลุด เท่ากับว่าเพื่อนทุกคนที่ทำมา ขาข้าง หนึ่งคงเข้าไปอยู่ในคุกแล้ว จริง ๆ เพื่อนทุกคนก็บอกว่าเราไม่ต้องคิดอะไรมากแค่เต็มที่กับเพื่อน แต่ความรู้สึกที่มันตกค้างอยู่ในใจเราทุกวันนี้ ที่ว่าทำไมเพื่อนแม้แต่คำขอโทษก็ไม่มีให้เรา ทั้งที่เราเต็มที่กับเขาแต่บาปทุกอย่างเหมือนโยนมาให้เราหมด มันเหมือนเราถูกหักหลังกับการที่เขาไปบอกทนายว่า “ก็เพื่อนอยากให้ฟ้องอะค่ะหนูก็เลยจะฟ้อง” มันก็เลยเกิดตะกอนที่มันลบไม่ได้ จึงอยากถามว่า “ผมจะจัดการกับความรู้สึกนอยที่มันยังตกค้างอยู่ยังไงดี วันนึงถ้าเกิดเขาเดินมาขอโทษเรา เราอาจจะรู้สึกดีขึ้นก็ได้ แต่ตอนนี้เรายังรู้สึกว่ายังไม่ได้รับคำขอโทษเพื่อปลอบประโลมความรู้สึกจากเขาเลย” โดย “ดีเจอ้อย” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ในที่สุดแล้วแต่ละคนไม่เหมือนกัน น้องลองดูสิเพื่อนแต่ละคนมีเฉดที่แตกต่างกัน และเอ็มเป็นคนพูดเองว่าต่อให้ฟ้องกันไปแล้วกลับไปเอ็มก็โอเค ขั้นตอนมันยังไม่ไปถึงตรงนั้นเลยแค่เริ่มต้น 2 – 3 ก้าวเขาก็กลับไปอยู่ด้วยกันแล้ว ถ้าเป็นเพื่อนกันก็ให้ได้ แต่อย่าไปรู้สึกว่าเพื่อนเขาต้องอินกับสิ่งที่เราทำให้เขา เพราะไม่อย่างงั้นคนที่คาดหวังและเจ็บมากจะเป็นเราเอง และร้อยทั้งล้าน พอเป็นเรื่องความรัก มีเรื่องของใจ ก็ความรักมันไม่ใช้เหตุผล เขาถึงต้องไปรักคนที่ไม่ควรรัก เราเป็นเพื่อนที่เชียร์อยู่รอบสนามแต่เราไม่ได้รักคน ๆ นั้นเหมือนที่เพื่อนเรารัก ถ้าจะเป็นหมาก็เป็นหมาที่รักเพื่อน ให้เพื่อนเห็นว่าฉันก็เป็นหมาที่รักเธอ แต่มันต้องมีบทเรียนเช่น ครั้งต่อไปถ้าเป็นเรื่องของความรักหรือเรื่องของการฟ้องร้อง เขาต้องเป็นฝ่ายทุรนทุรายที่จะฟ้องร้องเอง ตอนนี้พี่รู้สึกว่าเราเสียความรู้สึก ถ้าจะบอกว่าเขาทรยศก็อาจจะพูดไม่ได้เต็มปากเพราะอันนั้นก็เป็นเรื่องเขา พวกเราเองต่างหากที่กรูเข้าไปช่วยเขา เพราะในที่สุดการเป็นเพื่อน เราเป็นได้แค่กองเชียร์แต่เขาเป็นกองหน้า การที่จะเอาเรื่องตรงนั้นมานอยจนทำให้เราไม่มีเวลาดูแลตัวเองหรือไม่มีความสุข พี่ว่าไม่คุ้ม ให้มันเป็นบทเรียนว่าวันหลังถ้าเกิดจะเกิดอะไรขึ้น ให้เขาจัดการชีวิตตัวเอง’ ต่อมาเป็น “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า ‘ในเรื่องของความสัมพันธ์ อันนึงที่ทำให้เราเจ็บได้เสมอคือคาดหวังในความสัมพันธ์ ลองสังเกตดูคนไหนที่เราแคร์เขามาก ถ้าเขาไม่ทำตามที่เราหวังไว้เราจะเจ็บปวด โดยเฉพาะกับเพื่อน สำหรับเอ็มพี่คิดว่าถ้าจะมูฟออนเรื่องนี้ไปให้ได้ ต้องคิดไปเลยว่าเพื่อนคนนี้เขาจะไม่มาขอโทษเอ็ม เขาจะเป็นแบบนี้และจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าวันไหนเขามาขอโทษ วันนั้นคือโบนัส แต่ถ้าตอนนี้สำหรับพี่นะเราต้องคิดไปเลยว่าเขาไม่มีวันจะมาขอโทษเรา ถ้าวันนี้เรายังโฟกัสเรื่องขอโทษว่าเมื่อไหร่ มันก็เหมือนเป็นเราที่เอาใจไปผูก ให้คิดไปว่าเราช่วยไปแล้ว เราทำดีที่สุดไปแล้ว ถึงขั้นเอาตัวเองไปเสี่ยงด้วยซ้ำ คือเราต้องการเห็นเขามีความสุขในครอบครัวใช่ไหม ถึงตอนนี้เขาจะไม่ไปฟ้อง แต่มันก็กลับไปที่จุดแรกของมันคือ เค้าได้กลับไปอยู่กับสามีและลูกของเขา สำหรับพี่พี่ว่าแค่นี้ก็พอแล้ว สุดท้ายเราก็ได้เรียนรู้คน ถ้าไม่ได้มีเหตุการณ์นี้เราก็อาจจะไม่รู้ ถ้าวันนึงเขายังอยากกลับมาเป็นเพื่อนเราเดี๋ยวเขาก็มาเอง’ สุดท้ายเป็น “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘คุณเอ็มบอกตั้งแต่ต้นเรื่องว่าได้คุยกันในกลุ่มว่าถึงยังไงเราก็ไม่หมา ผมจะบอกว่านี่แหละคือคำจำกัดความของคำว่าหมาที่แท้จริง คือจริง ๆ แล้วถ้าเกิดเราทำความเข้าใจเหมือนที่เราออกตัวไป เราจะต้องไม่รู้สึกเจ็บแค้นเคืองโกรธขนาดนี้ แสดงว่าเรายังไม่มีภูมิคุ้มกันความเป็นหมาเพียงพอ จะผ่านเรื่องนี้ไปได้ยังไงผมว่าให้ลองเข้าใจฝั่งเขาดู อย่างที่บอกเคสแบบนี้มันพร้อมที่จะกลับไปคืนดีกันไม่มีเหตุผลอยู่แล้ว แล้วเราก็ดันไปเป็นหัวหน้าทีมที่ลุยแทนเพื่อนทุกอย่าง ถ้าเราไม่ลืมความเสี่ยงนั้น วันนี้เราอาจจะลงจอดได้ง่าย พอถึงจุดนี้ผมว่าเราอาจจะต้องทำความเข้าใจเขาดู ว่าทำไมเขาถึงไม่ขอโทษ ทำไมเขาถึงเลือกวิธีที่จะแสดงออกแบบนี้ บางทีคำตอบมันอาจไม่เลวร้ายเหมือนที่คุณเอ็มคิดเอาไว้ บางทีเขาอาจจะยังไม่กล้าขอโทษในวันนี้ ใด ๆ ก็ตาม ถ้าเรายังไม่มีภูมิคุ้มกันความหมาในแบบนี้ ให้เลี่ยงที่จะเข้าไปช่วยใครหนัก ๆ เก็บไว้เป็นประสบการณ์และรอวันที่เขานิ่งขึ้น แล้วถ้ามันมีจังหวะ มีโอกาสผมว่าลึก ๆ แล้ว เขาก็คงอยากขอโทษ’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

ผมมี FWB 6 คนครับ รักความอิสระไม่ต้องผูกมัดกับใคร ครอบครัวผมที่อยู่ต่างประเทศ บอกว่าไทยผ่านสมรสเท่าเทียมแล้ว อยากให้ลูกมีคู่ชีวิตที่รักดูแลกันไปนานๆแต่เขาไม่รู้ว่าภาพที่ลงในโซเชียล เป็นคนละคนหมดเลย

04 ต.ค. 2024

ผมมี FWB 6 คนครับ รักความอิสระไม่ต้องผูกมัดกับใคร ครอบครัวผมที่อยู่ต่างประเทศ บอกว่าไทยผ่านสมรสเท่าเทียมแล้ว อยากให้ลูกมีคู่ชีวิตที่รักดูแลกันไปนานๆแต่เขาไม่รู้ว่าภาพที่ลงในโซเชียล เป็นคนละคนหมดเลย

ผมมี FWB 6 คนครับ รักความอิสระไม่ต้องผูกมัดกับใคร ครอบครัวผมที่อยู่ต่างประเทศบอกว่าไทยผ่านสมรสเท่าเทียมแล้ว อยากให้ลูกมีคู่ชีวิตที่รักดูแลกันไปนานๆแต่เขาไม่รู้ว่าภาพที่ลงในโซเชียลเป็นคนละคนหมดเลย ผมควรจะเชื่อตัวเอง หรือ ตกลงกับคนใดคนนึงไปเลยดีครับ? “คุณบี (นามสมมติ)” อายุ 28 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [2 ต.ค.67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล – ดีเจอ้อย’ เกี่ยวกับปัญหาเเม่อยากให้เเต่งงาน เพราะสมรสเท่าเทียมผ่านแล้ว เเต่เรายังไม่พร้อมเพราะมีความสัมพันธ์เเบบ FWB อยู่ 6 คน โดย “คุณบี (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ผมใช้ชีวิตเเบบโสดเเต่ไม่โสด ผมมี FWB เป็นผู้ชาย ตอนนี้มีอยู่ประมาณ 6 คน เเต่ทั้ง 6 คนเป็น Long term หมดเลย เป็น 1-5 ปี ไม่มีระยะสั้นแบบคืนเดียว วันไนท์ จะหลากหลายเดือน หลายปีไปเลย เเล้วตอนนี้มันมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมเพิ่งจะผ่าน ทีนี้ผมก็เลยโดนกดดันมาจากที่บ้านนิดนึงว่า “แต่งงานได้เเล้วมั้ย?” ซึ่งปัญหานี้คงเป็นปัญหาที่ทุกคนอาจจะมองไม่เป็นเรื่องใหญ่ ผมอยู่เมืองไทยคนเดียว ครอบครัวอยู่ต่างประเทศหมดเลย ตั้งเเต่เด็ก ๆ เเล้ว คือทางครอบครัวผมเขาค่อนข้างเป็นห่วงในการใช้ชีวิตคนเดียว คุณเเม่เเละก็ครอบครัวผมเขาเข้าใจว่าผมมีแฟนคนเดียวมาตลอดเลย เพราะว่าเวลาผมถ่ายรูปลงโซเชียลเนี่ย ผมก็ถ่ายติดแขน ติดมือ ไม่ได้แบบให้เห็นหน้าหรือเห็นตัว ทีเนี่ยคุณเเม่เขาเข้าใจว่าเราคบมานานเเล้ว เเบบมีเป็นตัวเป็นตนแล้ว เราก็ไม่ได้ปฎิเสธเขาเเต่ก็ไม่ได้บอกเขาตรง ๆ ว่าเรามีหลายคนหรือมีคนเดียว ทีนี้เเม่เขาก็โทรมาในวันที่แบบกฎหมายผ่านจริง ๆ เมื่ออาทิตย์ที่เเล้ว เขาก็คุยจริงจังเลยว่า “เเต่งงานได้มั้ย? เเต่งงานให้เเม่ได้มั้ย?” เพราะว่าตลอดชีวิตผมเนี่ยเเม่เขาตามใจผมมากมาตลอด อยากได้ไรได้ อยากทำอะไรทำ อยากเรียนที่ไหนอยากทำอะไรได้ตลอด ไม่เคยขัดใจเลย เเล้วก็ไม่เคยขออะไรจากผมเลย เพราะเขารู้สึกว่าเขาเป็นเเม่เขาต้องให้ ไม่ใช่หน้าที่เขาที่ต้องขอจากเรา ทีนี้เเม่ผมเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายมาเข้าปีที่ 6 แล้วครับ เเล้วเราไม่รู้ว่าเขาจะอยู่กับเราอีกได้นานแค่ไหน เขาก็เข้า รพ. อาการหนักตลอด 6 เดือนครั้ง ปีละครั้ง ก็จะมีหนัก ๆ เข้า รพ.ตลอด เเล้วครั้งที่เขาตรวจเจอมะเร็งระยะสุดท้ายเนี่ย จังหวะนั้นที่เขาต้องเข้าผ่านตัด โอกาสรอดที่หมอบอกเราคือไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำว่าเเม่จะรอดออกมา ทีนี้จังหวะที่เเม่จับมือเราก่อนเข้าห้องผ่านตัดอะ สิ่งที่เเม่เขาพูดกับเราคือ “เขาเป็นห่วงเรา ไม่อยากให้เราอยู่คนเดียว” เพราะว่าผมไม่มีพ่อตั้งเเต่เด็กเลย พ่อเขาเสียตั้งเเต่ตอนยังเด็ก มีเเม่คนเดียวมาตลอด เเม่เขากลัวเราอยู่คนเดียวไม่คนช่วยคิด ช่วยตัดสินใจในชีวิต เเล้วเรารู้สึกว่าตอนนั้นมันเป็นความกังวลของเขาเฉย ๆ เเต่ตอนนี้มันเป็นสิ่งที่เขารู้สึกว่าเขาต้องการจริง ๆ ว่าอยากให้เราเป็นฝั่งเป็นฝาจริง ๆ ในเมื่อกฎหมายบ้านเรามันทำได้ ผมก็มี FWB 1 ใน 6 คนนี้ที่คบกันมาตอนนี้ปีที่ 5 แล้วครับ อยู่กันมาปีที่ 5 เป็นคนที่อยู่กันนานที่สุด เเล้วก็รู้สึกว่ารู้ใจกันทุกอย่าง คุยกันทุกเรื่อง เเต่เเค่เราไม่ได้แบบว่าผูกมัดกันเฉย ๆ เขาก็พูดมาเมื่อหลายเดือนที่เเล้วอะ ตอนเราดูข่าวว่าสภาเขาโหวตเรื่องสมรสเท่าเทียมกัน เขาก็หันมาพูดกับเราจริงจังเลยเเบบจริงจังมากเลยว่าแบบ “เออเนี่ย จริง ๆ เเล้วอ่ะเขาคิดกับเราไปถึงขั้นนั้นเลยนะ ที่วันนึงจะเเต่งงานอยู่ด้วยกันไรเงี้ย เเต่เเบบเขาอ่ะ เห็นว่าเราอ่ะยังไม่พร้อมที่จะเป็นแบบนั้นได้จริง ๆ เขาก็เลยรู้สึกว่า เขาไม่กล้าขอให้เราอะแบบผูกมัดกับเขา เขากลัวว่าเขาจะเสียเราไปด้วย” ปัญหามันอยู่ที่ความรู้สึกของเรา ด้วยความที่เเม่เราตามใจเรามาก เราใช้ชีวิตเเบบโดนตามใจตลอดทีเนี้ยะ เราถูกสอนมาให้ซื่อสัตย์กับตัวเองมาก ๆ ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยโกหกแม่เลย เราต้องการอะไรไม่ต้องการอะไรในชีวิตเราเรารู้ตลอด เราทำตามที่เราต้องการมาตลอด ทีเนี้ยเรารู้สึกว่าตอนนี้มันเป็นทางที่เราต้องเลือกระหว่างทำในสิ่งที่แม่ขอ ซึ่งแม่ไม่เคยขอเลย กับสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำจริง ๆ ก็คืออยากอยู่เป็นชีวิตโสดอย่างงี้ต่อไป มันเป็นทางที่ผมรู้สึกว่า ไม่ว่าเลือกทางไหนอ่ะผมก็ต้องเสียใจแน่ ๆ แต่ผมจำเป็นต้องเลือกซักทางนึง ซึ่งผมตัดสินใจไม่ได้จริง ๆ ใจผมมันไปทางไม่แต่งอยู่เเล้วแหละ เเต่ก็อยากทำให้เเม่สบายใจ เลยอยากถามพี่ ๆ ว่า ในความคิดเห็นของพี่ ๆ ควรเลือกทางไหนดีครับ?’ โดยเริ่มที่ “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ในกรณีนี้เราสามารถคุยกับเเม่ตรง ๆ ว่าการที่บีไม่ได้เเต่งงาน ไม่ได้หมายถึงว่าบีจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้อย่างดี เข้าใจว่าเเม่เป็นห่วง ในอดีตบีอยู่คนเดียวได้เเล้วอยู่ได้อย่างดีด้วย มันก็น่าจะวัดได้ประมาณนึงเเล้วว่าบีเป็นคนดูเเลชีวิตตัวเองที่แบบได้ดี ถ้าจะคิดเเค่ว่าการเเต่งงานมันจะทำให้ชีวิตดีขึ้น ทุกวันนี้มันไม่ใช่ทุกคู่รักคู่สมรสจะจบกันด้วยดี บางทีการเเต่งงานมันยิ่งนำพาปัญหามาเกิดขึ้นเลย แต่ตอนนี้มันมีเงื่อนไขที่คุณเเม่ป่วย การที่บอกว่าเเม่ตามใจมาตลอดเเล้วกับเรื่องนี้ที่เขาอยากเห็นมันสักครั้งก่อนเขาไป ถ้าเป็นพี่ที่รักเเม่มาก เเล้วเป็นข้อเดียวที่เขาอยากเห็นนะ พี่ก็ทำได้นะ พี่รู้สึกถ้าเเต่งเพื่อให้เเม่สบายใจก่อนเขาเสีย ในมุมถ้าพี่รักเเม่คนนี้นะ พี่ทำได้ แต่ก็เเต่งกับคนที่เรารักนะ เเล้วเรื่องหลังจากนั้นค่อยว่ากัน’ ต่อมา “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ไม่แปลกที่เขาจะคิดว่าการเเต่งงานหมายถึงชีวิตมั่นคง ถึงบีไม่เเต่งงานก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีใคร การไม่เเต่งงานไม่ได้บ่งบอกว่าไม่มีคู่ชีวิต การไม่มีคู่ชีวิตไม่บอกว่าบั้นปลายชีวิตจะไม่มีใครดูเเล ไม่อยากให้ตัดสินใจเพียงเพื่อระยะสั้น การแก้ปัญหาระยะสั้นกับคุณเเม่พี่ว่ามีวิธีอื่น ถ้ามองระยะยาวพี่ว่าเสี่ยง ต้องคิดดี ๆ คิดยาว ๆ’ สุดท้าย “ดีเจอ้อย” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ไม่อยากให้มองว่างานเเต่งงานเป็นเเค่อีเว้นท์นึง การทำให้เเม่สบายใจไม่น่าจะใช้การโกหก โกหกเพื่อความสบายใจมารู้ทีหลังพังกว่าทั้งนั้นแหละ ก็สื่อสารกับเเม่ตรง ๆ ว่าตอนนี้ยังไม่สามารถหาใครซ้กคนมาเป็นคู่ชีวิตจริง ๆ เเต่ไม่ต้องห่วงเลือดของเเม่ที่อยู่ในตัวเราอ่ะ จะทำให้เราเป็นคนที่มีสติเเละดีที่สุดเเละไม่อยากเเต่งวันนี้เพื่อไปเลิกวันหน้า การแต่งงานไม่ใช่รับใบปลิว พี่ว่าคุณเเม่เองคงไม่มีความสุข ถ้ารู้ว่าสิ่งที่คุณเเม่อยากได้ เป็นการฝืนความรู้สึกของลูก เพราะการเเต่งงานคือความสุขของลูกเป็นที่ตั้ง ในอนาคตถ้าเจอใครที่จริงจัง เราก็คงต้องปรับเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต เราอยากได้คนจริงใจก็อย่าเอาความหลายใจเข้าไปแลก เเต่ทั้งหมดบีเป็นคนตัดสินใจ’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

หนูอายุ 18 แล้ว เริ่มอยากมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง แต่คุณแม่ก็ยังเข้าห้องมาตลอด แบบไม่เคาะประตู บางทีเข้ามาย้ายของ จัดของจนหนูหาของอะไรไม่เจอเลย เคยล็อคกุญแจแล้ว แต่คุณแม่ก็มีกุญแจสำรอง จะเจรจา

07 ต.ค. 2024

หนูอายุ 18 แล้ว เริ่มอยากมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง แต่คุณแม่ก็ยังเข้าห้องมาตลอด แบบไม่เคาะประตู บางทีเข้ามาย้ายของ จัดของจนหนูหาของอะไรไม่เจอเลย เคยล็อคกุญแจแล้ว แต่คุณแม่ก็มีกุญแจสำรอง จะเจรจา

หนูอายุ 18 แล้ว เริ่มอยากมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง แต่คุณแม่ก็ยังเข้าห้องมาตลอดแบบไม่เคาะประตู บางทีเข้ามาย้ายของ จัดของจนหนูหาของอะไรไม่เจอเลย เคยล็อคกุญแจแล้วแต่คุณแม่ก็มีกุญแจสำรอง จะเจรจา พูดกับแม่ยังไงให้เขาเข้าใจหนูสักทีคะ? หนูให้เข้ามาได้แต่อย่ามาย้ายของ “คุณแจกัน (นามสมมติ)” อายุ 18 ปี สายที่ 2 ในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [2 ต.ค.67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย‘ เกี่ยวกับปัญหาทำยังไงให้คุณเเม่เลิกเข้าห้องส่วนตัวเรา เพราะรู้สึกเริ่มโตเเล้ว โดย “คุณเเจกัน (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ครอบครัวหนูแยกทางกัน มีพี่น้อง 3 คน หนูเป็นคนกลาง พ่อแม่แยกทางกัน พี่สาวไปอยู่กับแฟน น้องชายไปอยู่กับพ่อ ส่วนหนูอยู่กับเเม่ ตอนนี้คุณเเม่อายุ 42 ปี เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา หนูขอแม่เเยกห้องนอนส่วนตัว คุณเเม่ก็โอเค ให้แยกนอนได้ บางทีคุยกันก็เหมือนเขาไม่พอใจ ผ่านไปอาทิตย์นึงคุณเเม่ก็เริ่มเข้าห้องเราโดยที่ไม่เคาะหรือบอกเราก่อน บางทีหนูไปโรงเรียนกลับมาของที่วางอยู่บนโต๊ะเหมือนเดิมก็หายหรือหาไม่เจอ เช่น หนูเรียนมีการบ้าน เขาจะชอบจัดเเล้วเขาจะเก็บรวมไปเลย บางทีหนูล็อคห้อง หรือติดป้ายไว้เเล้ว เคยคุยกับเเม่เเล้วด้วย เเม่ก็โอเคจะไม่เข้า เเต่พอผ่านไปแค่ 2 - 3 วันเขาก็ยังเข้าห้องเหมือนเดิม หนูไม่ได้ว่าที่เขาเข้าห้อง เเต่หนูอยากให้เขาบอกก่อนว่า จะเข้าไปเก็บของนะหรือจะเข้าไปห้องให้ บางทีหนูนอนอยู่ เขาก็จะเข้ามาโดยที่ไม่บอกเรา เข้ามาเฉย ๆ ดูเเล้วก็ออกไป บางทีหนูอาบน้ำเเต่งตัวอยู่ เขาก็เข้ามาเลย ทำให้หนูรู้สึกเหมือนเขาเข้ามาในพื้นที่ของหนู ทำให้หนูเกิดอาการเหมือนหงุดหงิดตัวเอง ไม่ได้หงุดหงิดแม่ หนูก็เก็บไว้ว่าอย่าไปหงุดหงิดเขา เหมือนเราเคยนอนด้วยในห้องเดียวกัน พอหนูแยกออกมาเขาอาจจะเเบบอยากรู้รึเปล่าว่าเราแยกออกมาเเล้ว ยังเป็นเหมือนเดิมรึเปล่า? หนูเป็นคนทำความสะอาดทั้งบ้านเอง เหมือนเรื่องของเราก็จะไม่ให้แม่ยุ่ง ซักผ้าหรืออะไรก็ทำเองหมดเลย เพราะไม่อยากให้แม่ทำ หนูไม่รู้ว่าต้องจัดการยังไง ก็เลยอยากถามพี่ ๆ ดีเจทั้งสามคนว่า หนูควรต้องทำยังไงดี? โดยเริ่มที่ “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘หัวอกคนเป็นพ่อเป็นเเม่รู้เเหละว่าวันนึงลูกจะโต จะไปมีชีวิตของตัวเอง เราจะไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าห้องโดยพลการอีกต่อไป นี่คือที่พ่อแม่รุ่นใหม่พยายามบอกตัวในทุก ๆ วัน เเต่มันโครตยากเลย ด้วยวัยของคุณเเม่ที่เท่า ๆ พี่พี่ว่าคุยได้ มันเปลี่ยนได้ เพราะฉะนั้นต้องมีวิธีการคุยจะไม้อ่อนไม้เเข็งอันนี้เเล้วเเต่เเจกัน ถ้าเคยคุยแบบไม้อ่อนเเล้วยังเหมือนเดิม ก็ตเองขยับเป็นไม้เเข็งขึ้น เเต่ก็ไม่รู้ความคิดเขาถ้าโดนอย่างงี้พอเขาโดนเเบบนี้จะยังไง เเต่พี่ว่าถ้าเห็นลูกเริ่มจริงจังขึ้นไม่ว่าจะคำพูดหรือการกระทำที่โตขึ้น เป็นพี่พี่ยอมเปลี่ยนนะ อย่างน้อยยังได้ก้าวเข้าไปในห้องเขาอ่ะ ถ้าไม่ได้จริง ๆ ให้คุณเเม่ฟังคลิปนี้’ ต่อมา “ดีเจอ้อย” ได้ให้คำปรึกษา ‘เข้าใจหมดว่าเราอยากมีโลกส่วนตัว เเต่ก็ต้องเข้าใจความเป็นเเม่เลี้ยงเดี่ยวเเล้วหนูเป็นลูกที่ใกล้เขามากที่สุด เขาก็จะเเอบคิดเข้าใจไปเองว่า ยังไงลูกต้องอยู่ในอ้อมกอดของชั้นตลอดไป ชั้นจะปกป้องเขาให้เขาไม่เจอสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ นา ๆ เเละม่ความไม่ค่อยไว้ใจลูกสาวหน่อย ๆ การที่เขาได้เข้าไปในห้องของลูกสาว เหมือนเขาได้เข้าไปอยู่โลกของลูกสาวด้วย เขาเลยอยากสร้างความมั่นใจว่ายังอยู่ในสายตาชั้น ไม่มีอะไรหรอก อยากให้ทำความเข้าใจด้วย เเม่ไม่ได้เข้ามาอยู่ในห้องตลอดชีวิตเราหรอก วันนึงก็ต้องจากกัน ก่อนจะถึงวันนั้นปรับวิธีคิดเราจะได้ไม่หงุดหงิดมากเกินไป ยังไงก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเรา มันก็เป็นบทเรียนให้หนูเหมือนกัน ที่หนูต้องรักเเละปกป้องตัวเองด้วย ค่อย ๆ สร้างความมั่นใจไปเรื่อย ๆ ถ้าเเม่มั่นใจในตัวเรามากขึ้น สิ่งเหล่านี้มันจะค่อย ๆ หายไป เพราะฉะนั้นมันไม่ได้แปลว่าพูดกับเเม่ 1 ครั้งเเล้วเเม่อยู่ในโอวาทของลูกสาวตลอดไป เเต่เมื่อไหร่ที่มันมาจากความรัก ปัญหาความรักแก้ง่ายกว่าปัญหาความไม่รัก ให้สื่อสารที่เป็นทางบวกเเละลองเข้าใจความเป็นห่วงของคุณเเม่ดูบ้าง’ สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘มันต้องหาตรงกลางที่ทั้งคู่แฮปปี้ พี่ว่ามันสามารถคุยได้นะถ้ามันส่งผลกระทบการเรียนเราอ่ะหรือเรามีนัดกันกับเขามั้ย ทุกวันอาทิตย์หรือทุกวันใด ๆ หนูอยู่ในห้องด้วยเเล้วเเม่ก็จัดจะได้รู้ว่าย้ายของเเล้วก็บอกหนูจะได้รู้ อย่าทำโดยที่หนูไม่อยู่อ่ะเพราะบางทีมันจะวุ่นวายต่อการหาของ ส่วนไอการเข้ามาโดยที่ไม่มีสัญญาณก่อนอ่ะ หรือมันโมบายอะไรหน้าห้องมั้ย อะไรก็ได้ให้ถ้าร่างเข้าผ่านเเล้วมันจะเกิดเสียงอะ เพื่อให้เขาเองก็ต้องมีสติด้วยนะว่าต้องเคาะก่อนต้องบอกก่อนเข้าอ่ะ’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

แต่งงานกับสามีมา 8 ปี ชีวิตคู่ราบรื่น ปกติดีมาตลอด ติดเรื่องเดียว "หนูมีปัญหาสุขภาพ ไม่สามารถมีลูกได้" พยายามกันมาตลอด อยู่ๆมีเฟสผู้หวังดี มาเม้นรูปหนูว่า "ถ้าไม่อยากโง่ให้เปิดแชทอ่าน" ถึงรู้ว่าสามีไปมีลูกกับผู้หญิงอีกคน

26 เม.ย. 2024

แต่งงานกับสามีมา 8 ปี ชีวิตคู่ราบรื่น ปกติดีมาตลอด ติดเรื่องเดียว "หนูมีปัญหาสุขภาพ ไม่สามารถมีลูกได้" พยายามกันมาตลอด อยู่ๆมีเฟสผู้หวังดี มาเม้นรูปหนูว่า "ถ้าไม่อยากโง่ให้เปิดแชทอ่าน" ถึงรู้ว่าสามีไปมีลูกกับผู้หญิงอีกคน

แต่งงานกับสามีมา 8 ปี ชีวิตคู่ราบรื่น ปกติดีมาตลอด ติดเรื่องเดียว"หนูมีปัญหาสุขภาพ ไม่สามารถมีลูกได้" พยายามกันมาตลอด อยู่ๆมีเฟสผู้หวังดีมาเม้นรูปหนูว่า "ถ้าไม่อยากโง่ให้เปิดแชทอ่าน" ถึงรู้ว่าสามีไปมีลูกกับผู้หญิงอีกคนสามีบอกเป็นความพลาด แต่เขาขึ้นบ้านใหม่ด้วยกันแล้ว “คุณเหมียว (นามสมมติ)” อายุ 36 ปี สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (24 เม.ย. 67) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจต้นเผือก - ดีเจเติ้ล – ดีเจอ้อย นภาพร’ เกี่ยวกับปัญหามีลูกให้สามีไม่ได้ แต่เขาดันไปมีลูกกับคนอื่น โดย ​“คุณเหมียว(นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘คบกับแฟนมา 10 ปี พอคบกันได้ 2 ปีก็ตัดสินใจแต่งงาน ก็คือแต่งงานกันมาแล้ว 8 ปี สร้างตัวจากที่ไม่มีอะไรเลย แล้วเราก็คบกันปกติเหมือนคู่รักคู่อื่น ตอนแรกเรา 2 คนก็ขายของตามตลาดนัดด้วยกัน แต่เศรษฐกิจไม่ดี ผู้ชายเลยตัดสินใจไปทำงานประจำ ซึ่งช่วงแรก ๆ ที่เขาไปทำงาน เราก็มีไปที่ทำงานผู้ชายบ้าง ที่ทำงานก็รู้หมดว่าเป็นสามีภรรยากัน เหมือนปีที่ 9 เราทำงานหนักเลยไม่มีเวลาไปตามผู้ชายสักเท่าไหร่ ไม่ค่อยได้ออกจากบ้าน ไม่ได้ไปไหนด้วยกัน เพราะว่าต่างคนก็ต่างทำงาน จึงไม่ได้สงสัยหรือระแวงในตัวเขา และหนูก็เป็นโรคเกี่ยวกับมดลูก ซึ่งตอนแรกผู้ชายก็บอกว่า อยากมีลูก แล้วหนูก็ได้มีการปรึกษากันมาตลอดว่า ถ้าเกิดว่าเราไม่มีลูกจะเป็นอะไรไหม ผู้ชายบอกว่า ไม่เป็นไร เรารักกัน เราเก็บเงินให้กันและกันไปเรื่อย ๆ เรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเลย ถ้าเราอยากมีจริง ๆ อาจจะใช้เป็นวิธีอื่นได้ในอนาคต ซึ่งปรึกษากันตลอด ไม่เคยทะเลาะกันรุนแรง เพราะเราเป็นคู่ที่ใช้ชีวิตปกติมาก ๆ แต่มาวันหนึ่งก็มีเฟซบุ๊คพึ่งสร้างใหม่ส่งข้อความมาหาว่า ถ้าไม่อยากโง่ให้เปิดข้อความในแชทอ่าน ในวันที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งพอเราเปิดเข้าไปอ่านก็เป็นรูปสามีเราไปขึ้นบ้านใหม่กับผู้หญิง แล้วก็มีแม่สามีนั่งอยู่ข้าง ๆ เป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ มีรูปสลิปการโอนเงิน ซึ่งเป็นชื่อ - นามสกุลของสามีเรา แล้วมีแคปชั่นว่า ขอบคุณสามีที่เปย์ให้กันตลอดมา เป็นรูปการโพสต์ด่าเราเรื่องต่าง ๆ นานา เขาแคปมาให้เราดูหมด ซึ่งผู้หญิงคนนั้นเป็นคนโพสต์ ที่พีคไปกว่านั้นคือ มีรูปการคลอดลูก ซึ่งเป็นแคปชั่นที่มีนามสกุลสามีของเรา เรื่องความสัมพันธ์เขาบอกว่า คบกันมา 1 ปีแล้ว แต่ว่าคบกัน 2 เดือนผู้หญิงก็ท้องเลย และเป็นรูปสามีของเราอยู่ในห้องคลอดซึ่งมีเด็กด้วย รายละเอียดในรูปคือ เหมือนผู้หญิงพึ่งคลอดลูกมาเมื่อวาน แล้วเอาเฟซบุ๊คปลอมส่งมาบอกเราในวันนี้ แบบพึ่งเกิดแล้วให้เรารู้เลย เราก็ช็อกมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น และไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น เราก็เลยโทรไปถามผู้ชายว่า มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ตอนแรกผู้ชายเขาก็ไม่ได้ยอมรับผิด เราก็เลยบอกว่า ถ้ามันเกิดเรื่องอะไรแล้ว เดี๋ยวเรามาช่วยกันแก้ไขปัญหาด้วยกันไหม หนูอยากให้เขายอมรับความจริง เขาก็เลยสารภาพว่า เขาไปทำผู้หญิงท้อง ซึ่งเป็นน้องที่ทำงานเดียวกันกับเขา คบกันมาเป็นเวลา 1 ปีแล้ว พอคบกันได้ 2 เดือนปุ๊บ ผู้หญิงก็ท้องเลย และเป็นการพลาดพลั้ง ถ้ามันเป็นการพลาดพลั้งจริง ๆ ทำไมเขาถึงมีการซื้อบ้านใหม่ด้วยกัน ทำไมเขาถึงสร้างทุกอย่างด้วยกันหมดแล้ว หนูก็ไม่เชื่อ แต่หนูยังรักเขา หนูรักเขามากเพราะว่าเราไม่มีปัญหาอะไรที่จะทะเลาะกันแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งเราเคลียร์กันทุกเรื่อง ทุกวันอยู่แล้ว หนูคิดว่าถ้าหนูไม่รู้เรื่องนี้ เขาก็ไม่ได้แย่ แต่หนูมานั่งทบทวนประมาณ 3-4 วัน ก็ตัดสินใจบล็อกเบอร์ ไม่ติดต่อไปหาเขาอีกเลย เพราะหนูคิดว่าเขาคงอยากไปสร้างอนาคตใหม่ด้วยกันโดยที่ไม่มีหนูแล้ว ถ้าเขารักเราจริง ๆ เขาจะไม่ทำร้ายเราทั้งที่เราผ่านความลำบากมาก่อน จนเรามีทุกวันนี้มันไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งหนูไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับฝั่งผู้ชายเลย ส่วนฝั่งนั้นเขาบอกว่า ไม่ได้จดเหมือนกัน แต่รับเป็นบุตร หนูรู้สึกแพ้แล้วกับความรัก 10 ปีที่ผ่านมาของหนู’ อยากถามคำถามแรกกับพี่เผือกว่า คิดว่าหนูทำถูกไหมที่หนูยอมเดินออกมาแทนที่จะเก็บผู้ชายไว้? ซึ่ง “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่ต้องถามกลับว่าทำไมถึงรู้สึกว่ามันจะไม่ถูก เหมียวมีความลังเลหรอว่ามันจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดที่เดินออกมา ถ้าถามคนที่ได้ฟังเรื่องนี้พี่ว่าร้อยทั้งร้อยต้องบอกว่า เหมียวทำถูกแล้วแหละ พี่ยังไม่เจอเหตุผลที่จะต้องเก็บเขาเอาไว้ มันต้องแยกให้ออกระหว่างความเสียใจกับการตัดสินใจที่จะตัดใครสักคนที่เขาไม่ใช่คนดีออกไป มันคนละเรื่องกัน ไอ้ความเสียใจ ไอ้ความช็อก ตื่นมาแล้วอีกคนหนึ่งในชีวิตเราหายไป มันรู้สึกอยู่แล้วเหมียว แต่สาเหตุที่เขาไม่อยู่วันนี้มันต้องแยก พี่ไม่เห็นเหตุผลว่าการเก็บเขาไว้ในสถานการณ์ของเหมียวมันจะเป็นสิ่งที่ดีได้ยังไง ในเมื่ออีกฝั่งเขามีลูกด้วย ต่อให้คิดกันแบบ Positive สุด ๆ คุยกันได้ลงตัว ทำหน้าที่แค่พ่อ ไปดูแลแต่ยังรัก เหมียวคิดว่ามันจะไปตลอดรอดฝั่งจริง ๆ หรอ? แล้วพี่ก็ไม่เชื่อว่าตัวเหมียวเองจะรับมันได้ ไม่งั้นเหมียวคงไม่ตัดสินใจเดินออกมา พี่อยากจะเป็นอีกหนึ่งเสียงที่ให้ความมั่นใจว่า เราตัดสินใจแล้ว ทุกการตัดสินใจของเราที่เกิดขึ้นมันดีเสมอแหละ เราจะได้เรียนรู้อะไรจากมัน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มันอาจจะรุนแรงหน่อย แต่ว่าถ้ามันผ่านพ้นไปได้ พี่ว่ามันเป็นจุดที่ดีของชีวิต ขอให้มั่นใจ ตัดสินใจแล้วก็ทำให้มันเด็ดขาด ยอมเจ็บหน่อย ยอมช็อกหน่อย แต่ถ้ามันผ่านพ้นไปจะรู้สึกโล่ง อย่างที่พี่อ้อยพูดเห็นด้วยมาก ๆ เราไม่ได้แพ้อะไร สุดท้ายพอเวลามันผ่านไป จนถึงวันหนึ่งเหมียวอาจจะเริ่มรู้สึกว่า ฉันชนะแล้วแหละที่ออกมาได้’ คำถามที่ 2 ให้พี่อ้อย หนูขอวิธีการมูฟออนที่หนูยังติดอยู่วังวนความรัก 10 ปีที่ผ่านมา หนูไม่สามารถมีใครได้หรือมีความรักครั้งใหม่หนูก็รู้สึกกลัว? ต่อมา “ดีเจอ้อย” ให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้าเป็นพี่จะบอกว่า วิธีการมูฟออนอย่างหนึ่งคือ ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นให้ได้ก่อน เข้าใจว่าน้องรักเขาเท่าที่เขารักน้องแหละ คบกันมาตั้ง 10 ปี รักเขาเราไม่เห็นมีใคร เขารักเราทำไมถึงทรยศ พอน้องค่อย ๆ ทำความเข้าใจกับมัน น้องอาจจะเข้าใจว่า คนบางคนนะ ออกจากชีวิตฉันไป น่าดีใจกว่าได้เขามาอีก เพียงแต่วันนี้การมูฟออนของน้อง ยังไม่สามารถมูฟออนได้เพราะยังคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของเรา มีคนในโลกนี้เยอะแยะมากมาย ลูกไม่ได้เป็นโซ่ทองคล้องใจเสมอไป มันไม่ได้แปลว่าการที่ผู้หญิงคนหนึ่งมีลูกแล้วนั่นคือที่สุดของชีวิต และการที่ผู้หญิงคนหนึ่งมีลูกไม่ได้ก็เลยถูกพิพากษาให้เขาต้องไปทรยศนอกใจกับคนอื่น พี่ว่ามันไม่ใช่เป็นเหตุเป็นผลกัน วันนี้ถ้าไม่เจอ Account ที่เขามาบอกว่า ถ้าไม่อยากโง่ก็อ่านแชทสิ แค่สิ่งที่เขาบอกกับเราก็ดูไม่ใช่ผู้หวังดีอยู่แล้ว การที่ผู้ชายคนหนึ่งไม่รับผิดชอบความรู้สึกของเราเลยแม้แต่น้อย พี่รู้สึกว่า ฉันทำดีที่สุดในฐานะของคนที่เป็นภรรยามา 10 ปีแล้ว เธอต่างหากที่ยอมให้ใครสักคนเข้ามาทำร้ายความรู้สึกฉันได้มากขนาดนั้น โดยที่มีเธอเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด พอเหมียวค่อย ๆ ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ การมูฟออนก็เกิดขึ้นจากการทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้อยู่ แต่ถ้าน้องบอกว่า ไม่เอาค่ะพี่ หนูอยากได้วิธีการมูฟออนจริง ๆ อันแรกเลิกส่อง มีคนเยอะมากที่พยายามจะมูฟออนแต่ยังไปเฝ้าดูโซเชียลเขาตลอดเวลา ที่สุดแล้วพอไปเห็นว่าเขาดูมีความสุขมาก คนที่พังสุดก็คือเราอยู่ดี วันนี้ความสัมพันธ์มันเคลื่อนตัว ต่อให้ 10 ปี ความผูกพันดันเกิดขึ้นกับเหมียวคนเดียว ไม่ได้เกิดขึ้นกับเขา ถ้าความผูกพันนี้เกิดขึ้นกับเขาด้วย เขาจะไม่ทำร้ายหนูขนาดนี้ แค่เหมียวเห็นคุณค่าในตัวเอง ชีวิตของฉัน ฉันทำเต็มที่ในตอนที่ฉันเป็นภรรยาที่น่ารัก ดูแลเธออย่างซื่อสัตย์ แต่ถ้าเธอไม่สามารถให้ความซื่อสัตย์กับฉันได้ ฉันก็แค่ตัดเธอออกจากชีวิต มันคือแบบนี้ แต่ไม่ใช่ว่าเรากลายเป็นคนที่ด้อยค่าตัวเอง พี่ว่ามันอยู่ที่วิธีคิดของเรา ถ้าน้องอยากได้เป็นแบบรูปธรรม 1.เลิกส่อง 2.ช่วยเห็นข้อดีของตัวเองใน 10 ปีที่ผ่านมาหน่อย เพราะน้องไม่เคยวอกแวกไปมีใคร และในที่สุดแล้วไม่มีใครดีพอ สำหรับคนที่ไม่รู้จักพอ ต่อให้น้องดีแทบตาย สุดท้ายเขาไม่รู้จักพอเขาก็มีคนอื่นอีก แล้วเอาสิ่งนั้นมาเป็นข้ออ้าง เพื่อทำให้เขาเลิกกับเราได้แบบที่เขารู้สึกผิดน้อยที่สุด พี่รู้สึกแบบนั้นไม่ได้ผิดที่เหมียว หนูต้องรักตัวเอง เพราะหนูมีคุณค่ามากพอ และพี่คิดว่าเดี๋ยววันหนึ่งเหมียวจะขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจแบบนี้’ และคำถามที่ 3 ให้พี่เติ้ล มีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการนอกใจครั้งนี้ เป็นเพราะหนูไม่ใส่ใจเขามากพอหรือว่าเป็นเพราะหนูท้องไม่ได้ เขาก็เลยไปมีคนอื่น? สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่ตอบอันหลังก่อนที่เหมียวถามว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะหนูไม่ใส่ใจหรือว่าหนูมีลูกให้เขาไม่ได้ ไปที่เรื่องไม่ใส่ใจก่อน อันนี้พี่ไม่รู้เพราะเหมียวไม่ได้บอก เหมียวบอกว่าเราเป็นชีวิตคู่ปกติ ถ้างั้นคงไม่เกี่ยวกับการใส่ใจ พี่ว่าอย่าไปเพ่งโทษตัวเองแบบนั้น กับเรื่องที่มีลูกให้เขาไม่ได้ ตอนที่เหมียวโทรมาพี่กรี๊ดเหมือนกัน เพราะว่ามันคือบทสนทนาในห้องประชุมเขียนบทเมื่อวาน ถ้าคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งที่รักกันมาก กลายเป็นว่าปัญหาเรื่องเดียวคือสามีอยากมีลูก แล้วภรรยาลูกให้เขาไม่ได้ มันจะไปได้ถึงไหน ซึ่งตอนที่พี่คุยในห้องประชุมบอกจริง ๆ ว่ามันมีสิทธิ์เกิดอะไรขึ้นก็ได้ แต่มันไม่เกี่ยวกับการนอกใจ ถ้าวันใดวันหนึ่งที่เขารู้สึกว่าอยากมีลูกจริง ๆ เขาก็ต้องซื่อสัตย์กับตัวเองและเรามากพอในฐานะคนรักกัน ไม่ว่ามันจะเกิดเหตุการณ์หรือปัญหาอะไรในชีวิตคู่ มันไม่ใช่สาเหตุที่จะมาอ้างว่า เพราะฉะนั้นฉันจะไปมีคนอื่น เพราะเธอทำข้อ 1-3 ไม่ได้ มันคือการนอกใจ คุณจะทำอะไรก็ได้เลยถ้าบอกกับคนรักตรง ๆ ว่า เราไม่แฮปปี้ ถ้าแก้ไม่ได้ เราขอไปมีคนอื่น อย่างนี้มันคือแฟร์ ยุติธรรมกันทั้ง 2 ฝ่าย เราเองก็ต้องยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นว่า เราให้ในสิ่งที่เขาอยากได้ไม่ได้ แต่การที่เขาไปมีคนอื่น มีลูกแบบนี้ พี่ว่าเขาไม่ได้พลาด เพราะพี่รู้สึกว่าคนรักกัน ถ้าพลาดเขาต้องมาบอกหนู เขาจะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้คลอดลูกออกมาจนเรื่องนี้มาเข้าหูหนูเอง พี่ว่าอันนี้ไม่ใช่คนรักกัน เขาคือผู้ชายที่ทรยศหนู ซึ่งมันก็จะเด้งไปที่คำตอบพี่อ้อยกับพี่เผือกว่า การที่หนูตัดสินใจเลิกกับเขาแบบเด็ดขาดก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีในชีวิตหนูที่เกิดขึ้นแล้วกับ 1 ปีที่หนูเจออะไรแบบนี้มา’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1