เพื่อนโกรธสามี ลั่น "จะฟ้องหย่าชู้ให้ได้!" ผมก็เลยถามเพื่อนว่าแน่ใจนะ? เพื่อนบอก "แน่ใจ!!" เพื่อนในกลุ่มก็เลยช่วยกันหาหลักฐานครบ หาทนายให้พร้อม สุดท้ายเพื่อนไปคุยกับทนายว่า ไม่ได้อยากฟ้อง แต่โดนเพื่อนยุให้ทำ

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

เพื่อนโกรธสามี ลั่น "จะฟ้องหย่าชู้ให้ได้!" ผมก็เลยถามเพื่อนว่าแน่ใจนะ? เพื่อนบอก "แน่ใจ!!" เพื่อนในกลุ่มก็เลยช่วยกันหาหลักฐานครบ หาทนายให้พร้อม สุดท้ายเพื่อนไปคุยกับทนายว่า ไม่ได้อยากฟ้อง แต่โดนเพื่อนยุให้ทำ

12 ม.ค. 2024

เพื่อนโกรธสามี ลั่น "จะฟ้องหย่าชู้ให้ได้!" ผมก็เลยถามเพื่อนว่าแน่ใจนะ? เพื่อนบอก "แน่ใจ!!"

เพื่อนในกลุ่มก็เลยช่วยกันหาหลักฐานครบ หาทนายให้พร้อม

สุดท้ายเพื่อนไปคุยกับทนายว่า ไม่ได้อยากฟ้อง แต่โดนเพื่อนยุให้ทำ

ตอนนี้ผมเสียความรู้สึกมาก เหมือนโดนหักหลัง เป็นหมาทั้งกลุ่ม??

              “คุณเอ็ม (นามสมมติ)” อายุ 35 ปี สายที่สามในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (10 ม.ค. 67) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจอ้อย กับปัญหาที่รู้สึกโดนหักหลังจากเพื่อน หลังจากที่ช่วยเพื่อนหาหลักฐานฟ้องมือที่สามของแฟน แต่สุดท้ายเทและโยนบาปมาให้เพื่อนทั้งหมด!

            โดย “คุณเอ็ม (นามสมมติ)” เริ่มเล่าว่า ‘เรื่องนี้เป็นเรื่องของเพื่อน เราเป็นฝ่ายไปช่วยเขา เพื่อนคนนี้เป็นเพื่อนในกลุ่ม ก่อนหน้านี้เราไม่ค่อยสนิทกันเพราะว่าทำงานคนละสาย แต่เราเริ่มมาคุยกันตอนที่ได้ทำงานร่วมกัน ผมให้เขามาช่วยงาน เราก็เห็นสภาพครอบครัวเขา พ่อแม่ลูกรักกันดี จนวันนึงเรามีงานที่ต้องทำกับเขาอีก เขาจึงได้เล่าให้เราฟังว่าตอนนี้เขาเลิกกับแฟนเขาแล้ว เราก็อ้าว! เพราะล่าสุดเพิ่งเห็นแฟนเขามาส่ง เขาก็เล่าว่าแฟนเขาไปมีอีกคนนึง ซึ่งอีกคนโปรไฟล์ดีมาก ด้วยความที่เป็นเพื่อนเรา เราก็มีความรู้สึกว่าทำไมเพื่อนเราถึงถูกกระทำแบบนี้ ทีนี้เราก็เลยนัดเพื่อนทุกคนมานั่งคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้น คุยกันเสร็จเขาก็บอกว่า ฝั่งแฟนเขาไปมีคนอื่น ขอเลิกกับเขา และหลอกเขาไปหย่า เรื่องเป็นประมาณนี้

            หลังจากนั้นเพื่อนทุกคนก็ช่วยกันหาหลักฐาน เพราะเราคุยกันแล้วว่าจะฟ้องมือที่สาม เราบอกว่า “ตอนนี้เพื่อนเราไม่มีงานทำ ฉะนั้นถ้าฟ้องชนะอย่างน้อยเพื่อนก็ได้เงินก้อนนี้ไปตั้งตัวต่อ” เราคิดกันแค่นี้ เราก็ถามเขาว่า “ตกลงจะฟ้องใช่ไหม” เขาก็บอกมาว่า “ฟ้อง ยังไงก็ฟ้อง” แต่เราก็บอกเพื่อนไว้ก่อนว่า “ถ้าฟ้องเสร็จแล้ว จะกลับไปเป็นครอบครัวเดียวกับแฟนเขาอีก เราจะถือว่าเราไม่เป็นหมานะ เพราะเราถือว่ามันเป็นเรื่องของครอบครัว เราเข้าใจได้” ทุกอย่างก็ดำเนินต่อไป เพื่อนๆ ช่วยเขาทุกอย่าง ทั้งหางานใหม่ให้ จนได้งาน อยากได้ GPS เพื่อนก็หาให้ อยากสืบว่าแฟนไปที่ไหน เพื่อนก็ไปช่วยตาม แม้แต่เวลาตี 1-2 ก็ยังช่วยตามให้ จนได้ข้อมูลครบถ้วนและสามารถส่งฟ้องได้

            ทุกคนจึงถามว่า “จะส่งฟ้องเมื่อไหร่” ทีนี้เพื่อนเราเริ่มอ้าง เดี๋ยวรอวันนั้น เดี๋ยวรอวันนี้ จนมีวันนึงเขาบอกว่าเขาตั้งท้องลูกคนที่ 2 เพื่อนทุกคนตกใจมาก แต่เราก็คุยกับเพื่อนไปว่า ตอนนั้นมันแค่ไม่กี่อาทิตย์ ถ้ายุติการตั้งครรภ์ได้ เราอยากให้ยุติ เพราะไม่งั้นปัญหาหลังจากนี้มันจะวุ่นวาย ปัญหาจะเยอะมาก ถ้าเธอคิดจะฟ้อง เขาก็เหมือนบ่ายเบี่ยงไป เราก็ไม่ได้ตามอะไรต่อ จนเขาบอกว่าเขาแท้งเพราะว่าแย่งโทรศัพท์กันแล้วเด็กหลุด แต่มันก็มีความตะหงิดใจบางอย่างคือ พี่สาวเอ็มก็มาถามว่า “เขาได้ขูดมดลูกไหม” เพราะปกติถ้าแท้งจะต้องขูดมดลูกอะไรแบบนี้ เพื่อนก็บอกมาว่า “หมอเขาแทงสวน” เราไม่เคยท้องเราก็ไม่รู้ว่ามันต้องอะไรยังไง แต่ก็เริ่มตะหงิดใจมาเรื่อย ๆ

            ในส่วนของเรื่องฟ้องก็ไม่คืบหน้าสักที จนเราเริ่มฟางเส้นสุดท้ายขาด เราทิ้งเรื่องฟ้องไว้ก่อน เรามีงานให้เขามาช่วย แต่ทีนี้เพื่อนบอกว่าเขาจะต้องเริ่มงานอีกที่นึง เราก็คุยกับเขาว่า “ตกลงแกเริ่มงานอีกที่นึงใช่ไหม” เขาก็บอกว่า “เดี๋ยวรอทางสำนักงานใหญ่แจ้งมา” เราก็ไม่ได้ตามอะไรต่อ แต่ก็คิดว่าถ้าเขารู้สึกว่าเราเป็นเพื่อนกัน เขาควรแจ้งเราก่อนว่ามาเริ่มทำงานที่นี่ไม่ได้ แต่นี่ต้องให้เรามารอ จนถึงวันงานเขาก็ยังไม่แจ้งเรา

            จนถึงเรื่องฟ้อง ฟางอีกเส้นที่ขาดก็คือ เพื่อนเอ็มเขามีแฟนเป็นทนาย ครั้งแรกที่คุยกับทนาย เขาบอกแล้วว่าเขาจะทำให้ฟรี แต่ทีนี้ทนายเขาบอกว่าเหมือนเพื่อนเอ็มไม่กระตือรือร้นที่จะทำ ทนายเขารู้สึกว่าแปลก ๆ เพื่อนทุกคนก็คุยกัน เหมือนแฟนของเพื่อนแต่ละคนเขาก็มองว่าเพื่อนเราไม่กระตือรือร้น ทำไมจะทำอะไรแต่ละอย่างถึงไม่ขวนขวายเอง ทำไมต้องให้เพื่อนรอบตัววุ่นวายไปหมด จนวันที่ทนายเขาถามรอบสุดท้าย ตอนเช้าคุยกับเพื่อนก็ถามอีกว่า “จะฟ้องจริงไหม” เขาก็ตอบว่า “จะฟ้องจริง 100% จะฟ้องจริงๆ” พอตกบ่าย ทนายมาคุยอีกรอบนึง เขาตอบมาว่า “50 50 ค่ะ” เพราะว่าตอนนี้ฝั่งผู้ชายเขาก็มาขอคืนดี แล้วก็บอกว่าเขาขอโอกาส อีก 50 ก็เหมือนเกรงใจเพื่อน ใช้คำว่าเกรงใจเพื่อน เหมือนประมาณว่าเพื่อนอยากให้ฟ้องแต่ตัวเองไม่อยาก ประมาณว่า “จริง ๆ หนูก็ไม่ได้อยากฟ้องนะคะ แต่เพื่อนยุให้ฟ้อง”

            ตอนนั้นเรายังไม่รู้เรื่อง เพื่อนก็ต่อสายมาคุยเลยว่าให้ใจเย็น ๆ แล้วก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง พอเพื่อนเล่าจบเราก็รู้สึกว่าทำไมเป็นแบบนี้ เพราะว่าก่อนหน้านั้นเราเป็นคนถามเขาเองว่าจะฟ้องใช่ไหม ตอนนั้นเพื่อนก็บอกว่าจะฟ้อง แต่เราก็บอกไปว่าให้กลับไปคืนดีคุยกับแฟนก่อนไหม แต่เพื่อนก็บอกว่า “ฉันจะไม่เอาผู้ชายคนนี้เป็นพ่อของลูกเด็ดขาด” แต่พอมาวันนี้กลายเป็นว่า “ฉันจะกลับไป” เราก็รู้สึกว่าจริง ๆ ถ้าเกิดเขาแค่เดินมาขอโทษเรา แล้วบอกว่าเราขอโทษนะ เราทิ้งครอบครัวไม่ได้จริง ๆ เพื่อนทุกคนก็พร้อมให้อภัย แต่พอมันเกิดเรื่อง กลายเป็นว่า คำขอโทษจากปากเขากับเพื่อนไม่มีเลย แล้วเขาก็เหมือนโยนบาปทุกอย่างให้เพื่อนว่าเพื่อนเป็นคนยุยงให้ทำ

            ตอนนี้ก็เหมือนทุกอย่างบีบให้เพื่อนออกหมด แต่ว่าหลักฐานบางอย่างยังอยู่ในมือเรา เราแค่มองว่าถ้าเกิดวันนั้นเราปล่อยหลักฐานให้เขาไปหมดเลย แล้วถ้าหลักฐานนี้มันหลุด เท่ากับว่าเพื่อนทุกคนที่ทำมา ขาข้าง หนึ่งคงเข้าไปอยู่ในคุกแล้ว จริง ๆ เพื่อนทุกคนก็บอกว่าเราไม่ต้องคิดอะไรมากแค่เต็มที่กับเพื่อน แต่ความรู้สึกที่มันตกค้างอยู่ในใจเราทุกวันนี้ ที่ว่าทำไมเพื่อนแม้แต่คำขอโทษก็ไม่มีให้เรา ทั้งที่เราเต็มที่กับเขาแต่บาปทุกอย่างเหมือนโยนมาให้เราหมด มันเหมือนเราถูกหักหลังกับการที่เขาไปบอกทนายว่า “ก็เพื่อนอยากให้ฟ้องอะค่ะหนูก็เลยจะฟ้อง” มันก็เลยเกิดตะกอนที่มันลบไม่ได้ จึงอยากถามว่า “ผมจะจัดการกับความรู้สึกนอยที่มันยังตกค้างอยู่ยังไงดี วันนึงถ้าเกิดเขาเดินมาขอโทษเรา เราอาจจะรู้สึกดีขึ้นก็ได้ แต่ตอนนี้เรายังรู้สึกว่ายังไม่ได้รับคำขอโทษเพื่อปลอบประโลมความรู้สึกจากเขาเลย”

            โดย “ดีเจอ้อย” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ในที่สุดแล้วแต่ละคนไม่เหมือนกัน  น้องลองดูสิเพื่อนแต่ละคนมีเฉดที่แตกต่างกัน และเอ็มเป็นคนพูดเองว่าต่อให้ฟ้องกันไปแล้วกลับไปเอ็มก็โอเค ขั้นตอนมันยังไม่ไปถึงตรงนั้นเลยแค่เริ่มต้น 2 – 3 ก้าวเขาก็กลับไปอยู่ด้วยกันแล้ว ถ้าเป็นเพื่อนกันก็ให้ได้ แต่อย่าไปรู้สึกว่าเพื่อนเขาต้องอินกับสิ่งที่เราทำให้เขา เพราะไม่อย่างงั้นคนที่คาดหวังและเจ็บมากจะเป็นเราเอง

            และร้อยทั้งล้าน พอเป็นเรื่องความรัก มีเรื่องของใจ ก็ความรักมันไม่ใช้เหตุผล เขาถึงต้องไปรักคนที่ไม่ควรรัก เราเป็นเพื่อนที่เชียร์อยู่รอบสนามแต่เราไม่ได้รักคน ๆ นั้นเหมือนที่เพื่อนเรารัก ถ้าจะเป็นหมาก็เป็นหมาที่รักเพื่อน ให้เพื่อนเห็นว่าฉันก็เป็นหมาที่รักเธอ

            แต่มันต้องมีบทเรียนเช่น ครั้งต่อไปถ้าเป็นเรื่องของความรักหรือเรื่องของการฟ้องร้อง เขาต้องเป็นฝ่ายทุรนทุรายที่จะฟ้องร้องเอง ตอนนี้พี่รู้สึกว่าเราเสียความรู้สึก ถ้าจะบอกว่าเขาทรยศก็อาจจะพูดไม่ได้เต็มปากเพราะอันนั้นก็เป็นเรื่องเขา พวกเราเองต่างหากที่กรูเข้าไปช่วยเขา เพราะในที่สุดการเป็นเพื่อน เราเป็นได้แค่กองเชียร์แต่เขาเป็นกองหน้า การที่จะเอาเรื่องตรงนั้นมานอยจนทำให้เราไม่มีเวลาดูแลตัวเองหรือไม่มีความสุข พี่ว่าไม่คุ้ม  ให้มันเป็นบทเรียนว่าวันหลังถ้าเกิดจะเกิดอะไรขึ้น ให้เขาจัดการชีวิตตัวเอง’

            ต่อมาเป็น “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า ‘ในเรื่องของความสัมพันธ์ อันนึงที่ทำให้เราเจ็บได้เสมอคือคาดหวังในความสัมพันธ์ ลองสังเกตดูคนไหนที่เราแคร์เขามาก ถ้าเขาไม่ทำตามที่เราหวังไว้เราจะเจ็บปวด โดยเฉพาะกับเพื่อน

            สำหรับเอ็มพี่คิดว่าถ้าจะมูฟออนเรื่องนี้ไปให้ได้ ต้องคิดไปเลยว่าเพื่อนคนนี้เขาจะไม่มาขอโทษเอ็ม เขาจะเป็นแบบนี้และจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าวันไหนเขามาขอโทษ วันนั้นคือโบนัส แต่ถ้าตอนนี้สำหรับพี่นะเราต้องคิดไปเลยว่าเขาไม่มีวันจะมาขอโทษเรา ถ้าวันนี้เรายังโฟกัสเรื่องขอโทษว่าเมื่อไหร่ มันก็เหมือนเป็นเราที่เอาใจไปผูก ให้คิดไปว่าเราช่วยไปแล้ว เราทำดีที่สุดไปแล้ว ถึงขั้นเอาตัวเองไปเสี่ยงด้วยซ้ำ

            คือเราต้องการเห็นเขามีความสุขในครอบครัวใช่ไหม ถึงตอนนี้เขาจะไม่ไปฟ้อง แต่มันก็กลับไปที่จุดแรกของมันคือ เค้าได้กลับไปอยู่กับสามีและลูกของเขา  สำหรับพี่พี่ว่าแค่นี้ก็พอแล้ว สุดท้ายเราก็ได้เรียนรู้คน ถ้าไม่ได้มีเหตุการณ์นี้เราก็อาจจะไม่รู้ ถ้าวันนึงเขายังอยากกลับมาเป็นเพื่อนเราเดี๋ยวเขาก็มาเอง’

            สุดท้ายเป็น “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘คุณเอ็มบอกตั้งแต่ต้นเรื่องว่าได้คุยกันในกลุ่มว่าถึงยังไงเราก็ไม่หมา ผมจะบอกว่านี่แหละคือคำจำกัดความของคำว่าหมาที่แท้จริง คือจริง ๆ แล้วถ้าเกิดเราทำความเข้าใจเหมือนที่เราออกตัวไป เราจะต้องไม่รู้สึกเจ็บแค้นเคืองโกรธขนาดนี้  แสดงว่าเรายังไม่มีภูมิคุ้มกันความเป็นหมาเพียงพอ

            จะผ่านเรื่องนี้ไปได้ยังไงผมว่าให้ลองเข้าใจฝั่งเขาดู อย่างที่บอกเคสแบบนี้มันพร้อมที่จะกลับไปคืนดีกันไม่มีเหตุผลอยู่แล้ว แล้วเราก็ดันไปเป็นหัวหน้าทีมที่ลุยแทนเพื่อนทุกอย่าง  ถ้าเราไม่ลืมความเสี่ยงนั้น วันนี้เราอาจจะลงจอดได้ง่าย

            พอถึงจุดนี้ผมว่าเราอาจจะต้องทำความเข้าใจเขาดู ว่าทำไมเขาถึงไม่ขอโทษ ทำไมเขาถึงเลือกวิธีที่จะแสดงออกแบบนี้ บางทีคำตอบมันอาจไม่เลวร้ายเหมือนที่คุณเอ็มคิดเอาไว้ บางทีเขาอาจจะยังไม่กล้าขอโทษในวันนี้ ใด ๆ ก็ตาม ถ้าเรายังไม่มีภูมิคุ้มกันความหมาในแบบนี้ ให้เลี่ยงที่จะเข้าไปช่วยใครหนัก ๆ เก็บไว้เป็นประสบการณ์และรอวันที่เขานิ่งขึ้น แล้วถ้ามันมีจังหวะ มีโอกาสผมว่าลึก ๆ แล้ว เขาก็คงอยากขอโทษ’

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

หนูอายุ 23 เพิ่งเริ่มงานที่ใหม่ได้ 1 เดือนกว่าๆ แต่ตลอด 1 เดือนกว่าๆที่ผ่านมา เจอคำถามจากหัวหน้าทุกวันว่า... “อายุ 23 ทำไมยังให้พ่อแม่มารับ มาส่ง” แล้วเขาก็ส่งแผนผังเดินรถเมล์มาให้ แต่ที่บ้านหนูเขาสบายใจ ที่จะมารับส่งหนูแบบนี้ทุกวันมากกว่า จะทำยังไงดี?

23 พ.ค. 2025

หนูอายุ 23 เพิ่งเริ่มงานที่ใหม่ได้ 1 เดือนกว่าๆ แต่ตลอด 1 เดือนกว่าๆที่ผ่านมา เจอคำถามจากหัวหน้าทุกวันว่า... “อายุ 23 ทำไมยังให้พ่อแม่มารับ มาส่ง” แล้วเขาก็ส่งแผนผังเดินรถเมล์มาให้ แต่ที่บ้านหนูเขาสบายใจ ที่จะมารับส่งหนูแบบนี้ทุกวันมากกว่า จะทำยังไงดี?

หนูอายุ 23 เพิ่งเริ่มงานที่ใหม่ได้ 1 เดือนกว่าๆ แต่ตลอด 1 เดือนกว่าๆที่ผ่านมา เจอคำถามจากหัวหน้าทุกวันว่า...“อายุ 23 ทำไมยังให้พ่อแม่มารับ มาส่ง” แล้วเขาก็ส่งแผนผังเดินรถเมล์มาให้ แต่ที่บ้านหนูเขาสบายใจที่จะมารับส่งหนูแบบนี้ทุกวันมากกว่า จะทำยังไงดี? หัวหน้าเช็คถามทุกวันเลยว่า วันนี้มายังไง กลับยังไงทำไมยังไม่ช่วยเหลือตัวเองอีก ลูกพี่อายุเท่าๆหนูก็ทำได้แล้ว ตอนนี้หนูอึดอัด และ เบื่อกับคำถามเดิมๆในทุกๆวันถ้าจะโกหกว่านั่งรถเมล์มา เขาก็คงจะถามซอกแซกอีก กลัวว่าตัวเองจะโป๊ะแล้วตอบคำถามเขาไม่ได้ “คุณส้ม (นามสมมติ)” อายุ 23 ปี เป็นสายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [21 พ.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย” เกี่ยวกับปัญหาพี่ที่ทำงานตกใจที่คุณแม่ยังรับ-ส่งหนูไปทำงาน โดย “คุณส้ม (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูเพิ่งเข้าทำงานออฟฟิศที่นึง ในแผนกที่เข้าไปทำจะมีพี่หัวหน้าหนู 1 คน ซึ่งเขาเป็นผู้ชายอายุประมาณ 50 ปี แล้วห้องทำงานก็มีแค่หนูกับพี่เขาในห้องแค่ 2 คน เรื่องเกิดตั้งแต่วันแรกที่หนูเข้าไปทำงานเลย พี่เขาก็เข้ามาคุยด้วยว่า บ้านหนูอยู่แถวไหน แล้วมาทำงานยังไง หนูก็ตอบเขาไปว่า อ่อ คุณแม่หนูมาส่งค่ะ แล้วคุณแม่ก็จะมารอรับ เพราะปกติที่บ้านจะค่อนข้างหวง จะชอบไปรับ-ส่งตลอด แต่พอหนูตอบไปแบบนั้น พี่เขาก็ตกใจและถามหนูว่า เราอายุเท่าไรนะ? ทำไมยังให้แม่ไปรับ-ส่ง แล้วเขาก็บ่นหนูว่า ทำแบบนี้ไม่ได้นะ เราโตแล้ว เราต้องหัดเดินทางเองบ้างนะ หนูก็ไม่รู้จะตอบยังไง ก็เลยตอบ ค่ะๆ แล้วก็ยิ้มตอบไป พอช่วงบ่ายของวันนั้น พี่เขาก็ส่งรูปสายรถเมล์มาให้หนูดูว่า รถเมล์สายนี้มันผ่านแถวบ้านหนู แล้วมันมาถึงออฟฟิศได้เลยนะ หนูก็ไม่รู้จะตอบยังไง ก็เลยเออ ออตามเขาไปว่า จริงหรอคะ? หนูก็คิดในใจว่าหนูก็คงไม่ได้ขึ้นรถเมล์อยู่แล้ว เพราะหนูไม่เคยขึ้นรถเมล์เลย ตอนนี้หนูทำงานมาได้เดือนกว่าๆแล้ว แต่พี่เขาจะถามหนูแทบทุกเช้าเลยว่า วันนี้มาทำงานยังไงลูก? หรือ วันนี้ลองขึ้นรถเมล์หรือยัง? จริงๆเขาแนะนำวิธีการเดินทางอื่นด้วย ทั้งขึ้นรถ ลงเรือ แล้วทุกเช้าหนูก็จะตอบเขาเหมือนเดิมว่า วันนี้แม่มาส่งค่ะ บางวันเขาก็จะรับฟังเฉยๆ แต่บางวันเขาก็บ่นเราเลยว่า ทำไมไม่ลองเดินทางเอง ทำไมไม่ลองขึ้นรถเมล์ ลองดูมั้ยพรุ่งนี้ เขาชวนหนูคุยทั้งวันเลย เวลาหนูนั่งทำงานอยู่ เขาจะชอบเดินมาถามว่า เป็นยังไงบ้าง เย็นนี้กลับยังไง พรุ่งนี้กินข้าวอะไร เพราะแม่หนูจะทำข้าวกล่องมาให้ด้วยทุกวัน เขาจะชอบมาดูข้าวกล่องหนูว่าวันนี้แม่ทำอะไรมาให้กิน เขาบอกว่าลูกเขาอายุเท่าๆกับหนู หนูก็เคยตอบเขาไปแล้วว่า คุณแม่หนูเขาชอบมารับ-ส่งจริงๆ หนูไม่สามารถเดินทางแบบอื่นได้ ยกเว้นบางวันที่รีบมากๆ คุณแม่ก็จะให้ขึ้น BTS บ้าง เขาก็รู้แล้วว่าที่บ้านหนูมารับ-ส่งได้ หนูไม่ได้บังคับแม่ แต่เขาก็ยังถามหนูอยู่ทุกเช้า ที่หนูโทรมาวันนี้ คือ หนูไม่ได้อยากเปลี่ยนคำถามเขา แต่อยากเปลี่ยนคำตอบของตัวเองมากกว่า หนูไม่อยากโกหกเขาด้วย บางทีก็อยากจะตอบปัดๆไปว่า อ่อวันนี้เดินทางเอง แต่ด้วยความพี่เขาน่าจะถามต่ออีกเยอะ หนูอยากถามพี่ๆดีเจว่า หนูควรจะตอบยังไงดีให้เขาเลิกถามเรื่องนี้กับหนูไปเลย?’ ซึ่ง “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ลองบอกหัวหน้าไปว่า คุณแม่มีปมกับการขึ้นรถเมล์ การขึ้นรถเมล์ของคุณแม่คือไม่ได้เลย มันเป็นสิ่งที่คุณแม่ไม่อนุญาตให้ส้มทำ ส้มเคยอยากลองแล้วแต่ส้มทำไม่ได้จริงๆ’ ต่อมา “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘อาจจะต้องใช้วิธีอ้างคุณแม่ไปเลยว่า นี่คือช่วงเวลาที่แม่เขาชอบที่สุด ได้คุยกัน ได้ส่งลูก เขาว่างแล้วเขาก็อยากดูแลลูก เคยบอกว่าจะขึ้นรถเมล์แล้ว แม่เขาร้องไห้เลย พี่ไม่ต้องถามหนูแล้วนะ หนูจะร้องไห้เลย หรือบอกไปว่า หนูเคยบอกให้แม่ไม่มาส่งแล้ว แต่มันเป็นอย่างเดียวที่แม่อยากทำเพื่อลูกอยู่’ และสุดท้าย “ดีเจอ้อย” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่ว่ามันก็อาจจะเป็นการแสดงออกซึ่งความห่วงใยอย่างนึง ถ้าหนูมองเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่ดีที่หัวหน้าพูดคุยกับลูกน้อง เพราะถ้าเขาไม่คุยเลย แสดงว่าเราถูกเขม่นอยู่นะ พี่ไม่อยากให้หนูรู้สึกถึงขั้นว่า หนูรู้สึกไปหมดกับสิ่งที่เขาถาม หรือเราอาจจะชิงถามเขาไปก่อนว่า พี่กินข้าวหรือยัง หรืออาจจะคุยเรื่องงานไปเลยก็ได้ มันอยู่ที่ความรู้สึกของเรามากกว่า เพราะไม่งั้นหนูเองที่ดันไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่เขาถาม ทั้งที่มันอาจจะเป็นการชวนคุยเฉยๆ’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

แฟนดีทุกอย่างแต่เขาไม่ค่อยใส่ใจ เราเลยนอกใจแฟนไปมีอะไรกับเด็กฝึกงาน เราจะตัดสัมพันธ์กับน้องฝึกงานยังไงดีคะ แฟนเราเป็น 90% ของเรา แต่น้องฝึกงานก็เติมเต็ม 10% ที่หายไป ตอนนี้เหมือนเราหลอกผู้ชายทั้งสองคนในเวลาเดียวกัน

24 ม.ค. 2025

แฟนดีทุกอย่างแต่เขาไม่ค่อยใส่ใจ เราเลยนอกใจแฟนไปมีอะไรกับเด็กฝึกงาน เราจะตัดสัมพันธ์กับน้องฝึกงานยังไงดีคะ แฟนเราเป็น 90% ของเรา แต่น้องฝึกงานก็เติมเต็ม 10% ที่หายไป ตอนนี้เหมือนเราหลอกผู้ชายทั้งสองคนในเวลาเดียวกัน

“คุณบุ๋ม (นามสมมติ)” อายุ 31 ปี สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [22 ม.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย’ เกี่ยวกับปัญหาความรัก แอบคบกับเด็กฝึกงานทั้งๆที่มีแฟนอยู่แล้ว โดย “คุณบุ๋ม (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูเป็นพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ปัจจุบันคบกับแฟนมาได้ 4 ปีแล้ว แฟนอายุน้อยกว่าหนู เรื่องราวเกิดขึ้นประมาณตอนที่เราคบกันได้ 3 ปี ตอนคบกันก็ดี หนูอยู่บ้านเขามาตั้งแต่ปีแรก หนูก็ทำตัวดีมาตลอด แฟนเราเขาก็นิสัยดี ทำงานก็โอเค มีความรับผิดชอบ ดีทุกอย่าง ที่บ้านเขาก็รับหนูได้ แต่ว่าเขาก็คือเขา ทำงานอย่างเดียว ไม่ค่อยสนใจ ไม่ค่อยเทคแคร์เท่าไหร่ตั้งแต่แรกเลย เหมือนหนูเป็นคนติด skinship แต่ว่าเขาเป็นคนนิ่งๆ โดยส่วนตัวหนูเป็นคนเจ้าชู้อยู่แล้วระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นมาตลอด 3 ปี หนูก็เจอพฤติกรรมที่เขาไม่ค่อยสนใจเราเท่าไหร่ น้อยมากที่เขาจะถามว่ากินข้าวหรือยัง ไม่ได้ถามเลยว่าเราเหนื่อยมั้ย เป็นหนูมากกว่าที่ถามแบบนั้น จนวันหนึ่งมีเด็กฝึกงานเข้ามาที่บริษัท เขาก็น่ารักดีและหนูเป็นคนขี้เล่นชอบหยอดเขา ซึ่งเราก็รู้จักในฐานะที่หนูดูแลเขาแล้วก็มี LINE ส่วนตัวกัน พอเขาเข้ามาฝึกงานก็เห็นว่าน่ารักดีเลยหยอดกันไปมาจนเขาทักมาจีบหนูก็เลยได้คุยกัน คุยกันไปคุยกันมา ก็เริ่มบ่อยขึ้น มีนัดไปกินข้าวด้วยกัน สานสัมพันธ์กันมาพักใหญ่ๆ หนูกับแฟนก็เริ่มมีปัญหากันหลายเรื่อง เรื่องไม่สนใจก็สะสมมา ยังมีปัญหากับเรื่องครอบครัวเขา คือครอบครัวเขาดีทั้งหมด แต่มันจะมีอยู่คนหนึ่งที่เขาไม่ดีกับหนู หนูเลยไม่ดีกับเขามันเลยทำให้มีปัญหากัน ทำให้เราทะเลาะกันบ่อยขึ้น แล้วหนูก็ออกไปเจอเพื่อนบ่อยขึ้น หาเพื่อนไปเที่ยว ซึ่งในนั้นก็มีเด็กฝึกงานอยู่ด้วย แล้วหนูก็เริ่มห่างกับแฟน ไปกินข้าวกับเพื่อนบ่อยก็เริ่มถลำลึกจนไม่กลับบ้าน ถึงขั้นที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเด็กฝึกงาน แต่เด็กฝึกงานคนนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าหนูมีแฟนอยู่แล้ว และหนูก็ตั้งใจที่จะไม่บอกเรื่องนี้เพราะไม่ได้คิดจะเลือกเขาตั้งแต่แรก และมันก็ถลำลึกไปเรื่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ หนูกับแฟนก็ทะเลาะกันหนักเข้าไปใหญ่ จนวันหนึ่งเหมือนเขาจับได้ จากที่แฟนไม่เคยพูดจาไม่เพราะก็เริ่มขึ้นมึง-กู โยนเสื้อผ้าหนูออกจากตู้ ถึงขั้นไล่หนูออกจากบ้าน หนูเลยพูดขอโอกาสว่า “จะไม่ทำอย่างงี้อีก” ซึ่งหนูตั้งใจพูดไปแบบนั้นเพื่อให้เขาอยู่ต่อเพราะว่าหนูไม่มีครอบครัวที่กรุงเทพ แล้วหนูไม่อยากเริ่มต้นใหม่ หลังจากนั้นก็ง้อเขาอยู่เรื่อยๆ ช่วงที่ทะเลาะกับเขา หนูก็พยายามกลับบ้านเร็ว ทำกับข้าวไว้ให้เขา แต่มันก็เหมือนเป็นผลของการกระทำ เพราะเขาก็ออกไปกินเหล้ากับเพื่อน กลับดึก กลับมาบ้านก็เดินหนี เหมือนเขาทำแบบที่หนูทำเพื่อประชดหนู ซึ่งหนูก็รู้อยู่แล้วว่าเขาก็ไม่ได้มีคนอื่น มันเป็นแบบนั้นอยู่ 2 เดือน แต่ในช่วงนั้นหนูก็ไม่ได้หยุดคุยกับเด็กฝึกงาน มีเวลาเจอกันก็ยังได้เจอ บางทีเลิกงานก็ยังไปเจอกัน ที่หนูยังไม่หยุดคุยกับเด็กฝึกงานเพราะหนูคิดว่าหนูยังไม่ได้แต่งงานก็ยังมีสิทธิ์เลือก กับแฟนก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ หนูก็ยอมให้เขาทำแบบนั้นไปเรื่อยๆ จนมันเกิดเหตุการณ์ที่ถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาล แต่วันนั้นแฟนหนูเลือกที่จะตัดหนู ทิ้งให้หนูเผชิญปัญหาตรงนั้นคนเดียว ซึ่งมันหนักมาก หนูก็คิดว่าไม่เป็นอะไร ต้องผ่านไปให้ได้ แต่เด็กฝึกงานคอยให้กำลังใจและอยู่ข้างๆ หนู เขาบอกกับหนูว่า “มันไม่เป็นอะไร มันไม่เกิดขึ้นกับเราหรอก” แต่หนูอยากได้คำพูดแบบนี้จากแฟนหนูมากกว่า และตอนนี้ผ่านมา 1 ปีแล้ว หนูก็ยังคบซ้อนทั้ง 2 คนอยู่ อยู่กับคนนี้ 3 วัน กับอีกคนหนึ่ง 4 วัน โดยที่ทั้งคู่ยังไม่รู้ และหนูก็คิดว่าแฟนรักหนูจนไม่คิดจะตามหาว่าหนูไปทำอะไร อยู่ที่ไหน แค่หนูกลับไปบ้านเขาก็ดูมีความสุขแล้ว เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราทะเลาะกันหนักมาก จนหนูย้ายออกมาอยู่หอ เขาปล่อยให้หนูขับรถ 590 กิโล กลับบ้านคนเดียวช่วงปีใหม่ หนูเลยบอกกับแม่ว่าหนูจะย้ายออกมาจากบ้านเขา แต่สุดท้ายเขาก็นั่งรถทัวร์ตามมา ในช่วงปีใหม่ก็ยังตึงใส่กันจนไม่มีความสุข ซึ่งช่วงที่หนูย้ายมา เด็กฝึกงานก็ไม่ได้ฝึกที่บริษัทต่อแล้ว เราก็ไม่ค่อยได้คุยกัน แต่ปัจจุบันเด็กฝึกงานคนนั้นก็กลับมาทำงานที่บริษัท หนูกับแฟนก็ยังอยู่และตกลงซื้อบ้านด้วยกัน ตอนนี้เป็นรักสามเศร้าแต่ทั้ง 2 คนก็ยังไม่รู้ กับแฟน เขาดีพร้อมทุกอย่างที่หนูต้องการ 90% แต่อีก 10% ที่แฟนไม่ได้มีให้หนู แต่เด็กฝึกงานคนนั้นเขามีให้ หนูอยากถามพี่ๆดีเจว่า มีวิธีไหนที่เราจะปล่อยเด็กฝึกงานไปไหม?” เริ่มที่ “ดีเจอ้อย” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘หนูบอกว่าเขาไม่ได้ทำผิดอะไรแต่หนูไม่กล้าบอกเลิก มันแปลกตรงที่หนูไม่กล้าบอกเลิก แต่ดันกล้านอกใจ กับเด็กฝึกงานคนนั้นหนูก็ตั้งใจหลอกเขา หนูจะบอกว่าหนูยังไม่รู้จะเลือกใครดี แต่หนูยังไม่ได้เปิดโอกาสให้ใครสักคนเลือกหนูเลย เพราะหนูดันปิดบังทั้งคู่ วิธีการปล่อยเด็กฝึกงานง่ายจะตายไป หนูแค่บอกความจริงเขาไปว่า พี่ทรยศแฟนมามีหนู แล้วหนูไม่จำเป็นต้องคิดเลยว่าจะทำยังไงดีถึงจะตัดเขาได้ อยากได้ความจริงใจ แต่ทำไมหนูเอาความหลายใจเข้าไปแลกล่ะ’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘แฟนที่หนูบอกว่ามีดี 90% ทุกวันนี้เขายังรักผู้หญิงที่เห็นแก่ตัวแบบหนู 100% ได้เลย ทำไมหนูถึงคิดว่าหนูต้องการ 10% จากคนอื่น’ และสุดท้าย “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘จริงๆ เราไม่จำเป็นต้องถามคนไปทั่วว่าตัดคนหนึ่งยังไง เราทำได้แค่ไม่ทำเท่านั้นเอง เด็กฝึกงานมี 10% พี่ไม่รู้ว่าต้องหาผู้ชายคนไหนที่ให้เราได้ 90% อีก แล้วเราถามตัวเองหรือยังว่าให้คนๆ นั้นกี่เปอร์เซ็นต์ เราเอา 10% มาเทียบกับคนที่ให้เรา 90% มันแทบจะไม่ต้องเป็นช้อยส์เลยด้วยซ้ำ สุดท้ายแล้วมันอยู่ที่เราจะทำหรือไม่ หรือทำเมื่อไหร่แค่นั้นเอง’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

บางทีมันก็ลำไย!! น้องที่ทำงานอายุ 20 ชอบบอกว่าเราอายุ 24 แล้ว "หน้าแก่" พูดบ่อยมาก เคยสวนกลับไป "แหม ชีวิตนี้จะไม่อายุ 24 เลยมั้ง?" น้องตอบ "ถ้าผม 24 พี่ก็โคตรแก่แล้ว" ถ้าเป็นทุกคนเจอแบบนี้ทำไงคะ?

09 ก.พ. 2024

บางทีมันก็ลำไย!! น้องที่ทำงานอายุ 20 ชอบบอกว่าเราอายุ 24 แล้ว "หน้าแก่" พูดบ่อยมาก เคยสวนกลับไป "แหม ชีวิตนี้จะไม่อายุ 24 เลยมั้ง?" น้องตอบ "ถ้าผม 24 พี่ก็โคตรแก่แล้ว" ถ้าเป็นทุกคนเจอแบบนี้ทำไงคะ?

“คุณหนู (นามสมมติ)” อายุ 24 ปี สายสุดท้ายในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [7 ก.พ 67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล – ดีเจอ้อย นภาพร เกี่ยวกับเรื่องที่น้องที่ทำงานชอบล้อว่าหน้าแก่ โดย “คุณหนู(นามสมติ)” ได้เล่าว่า ‘มีน้องผู้ชายที่ทำงานมาล้ออายุ ประมาณว่า ‘พี่อายุตั้ง 24 ปี แก่แล้ว แก่มากแล้ว’ พูดแบบนี้กับหนูหลายรอบมาก ซึ่งน้องคนนั้นอายุ 20 ปี แต่ก็มีคนในบริษัทที่อายุเยอะกว่าหนู น้องก็ไม่ได้ล้อคนอื่นนะ น้องเขาล้อแต่หนูคนเดียว หนูก็คิดว่าน้องเขาน่าจะชอบหนูแหละ ตอนแรกที่โดนล้อหนูก็รู้สึกเฉย ๆ แต่พอโดนบ่อย ๆ หนูก็เริ่มรำคาญ แล้วเหตุการณ์ล่าสุดที่หนูโดนก็คือ น้องคนนี้ก็คุยกับเพื่อนอยู่ เรื่องอะไรก็ไม่รู้ หนูก็เดินไปตรงนั้นพอดี แล้วอยู่ดี ๆ ก็จะวนพูดถึงเรื่องอายุของหนูอีก ‘อายุ 24-25 ปีแล้ว แก่ก็แก่’ หนูก็เลยตอบกลับไปว่า ‘เธอคิดว่าเธอจะไม่อายุเท่าฉันหรอ’ แล้วน้องก็ตอบกลับหนูว่า ‘กว่าผมจะอายุเท่าพี่ พี่ก็คงแก่ไปมากแล้ว’ แล้วน้องก็ทำท่าทางตลกขบขัน แต่หนูคือหน้าเสียไปแล้ว หนูก็เลยเดินหนีไป หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์อีกครั้งนึง ซึ่งครั้งนี้หนูคิดว่ามันแรงสำหรับหนูมาก ก็คือ หนูทำเรื่องเอกสารการเรียนต่อ หนูก็คุยเล่นกับเพื่อนอยู่ แล้วน้องก็พูดขึ้นมาว่า ‘แก่ขนาดนี้ ยังจะเรียนต่ออีกหรอ’ แล้วหนูก็ตอบไปว่า ‘คือการเรียนไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ก็มีสิทธิ์เรียนได้หมดทุกคน’ แล้วน้องก็ยังว่าหนู ‘หน้าลาว’ อีกด้วย งานนี้ดีเจทั้ง 3 คน ก็ได้ให้คำปรึกษาไปในทางเดียวกันว่า ‘พอพวกพี่ฟังเรื่องของคุณหนูแล้ว รู้สึกว่าคุณหนูเหมือนมีใจ ในขณะที่คุณหนูก็เหมือนมีความสุขตอนที่ถูกน้องล้อ ถ้าเรื่องแบบนี้เกิดกับพวกพี่ พวกพี่ก็จะตอบกลับไปแรงครั้งเดียว แล้วเรื่องนี้มันก็จะจบไปนานแล้ว พอคุณหนูคิดว่าตัวเองแก่จริง ๆ เรื่องนี้ก็ถูกใจคนที่ล้อ เพราะน้องก็คงคิดว่าล้อถูกคน ตอนนี้พวกพี่รู้สึกแปลกใจมากกว่า ที่คุณหนูรู้สึกกับเรื่องนี้ว่าสิ่งที่น้องล้อว่าเราแก่ แล้วเราแก่จริง ๆ พวกพี่ไม่อยากให้คุณหนูเครียดกับเรื่องนี้ ก็แค่คนปากเสียคนหนึ่ง เดี๋ยวสังคมก็ลงโทษเขาเอง...’ ก่อนวางสาย คุณหนูก็ได้อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า ‘ตอนแรกที่หนูโดน หนูรู้สึกเครียดมาก และก็ไม่ได้หลงรักน้องคนนี้ เพราะทั้งน้องและหนูก็ต่างมีแฟนกันแล้ว ที่หนูเล่าไปด้วย หัวเราะไปด้วย เพราะหนูได้คุยกับพวกพี่ ๆ ดีเจ หนูก็รู้สึกดีขึ้น’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

หนูทำงานเป็น Customer Service หัวหน้ามอบหมายให้ดูแลลูกค้าคนสำคัญ VIP รายใหญ่ของบริษัท แต่กลายเป็นว่าลูกค้าคนนี้ มีปัญหา และ ต้องการคุยทุกวัน วันละ 1-2 ชั่วโมง จนหนูแทบไม่มีเวลาดูแลลูกค้าคนอื่นเลย ลูกค้า VIP รายนี้ เอาแต่ใจ ไม่ได้อะไรดั่งใจ ด่ากราด

23 พ.ค. 2025

หนูทำงานเป็น Customer Service หัวหน้ามอบหมายให้ดูแลลูกค้าคนสำคัญ VIP รายใหญ่ของบริษัท แต่กลายเป็นว่าลูกค้าคนนี้ มีปัญหา และ ต้องการคุยทุกวัน วันละ 1-2 ชั่วโมง จนหนูแทบไม่มีเวลาดูแลลูกค้าคนอื่นเลย ลูกค้า VIP รายนี้ เอาแต่ใจ ไม่ได้อะไรดั่งใจ ด่ากราด

หนูทำงานเป็น Customer Service หัวหน้ามอบหมายให้ดูแลลูกค้าคนสำคัญ VIP รายใหญ่ของบริษัทแต่กลายเป็นว่าลูกค้าคนนี้ มีปัญหา และ ต้องการคุยทุกวัน วันละ 1-2 ชั่วโมง จนหนูแทบไม่มีเวลาดูแลลูกค้าคนอื่นเลยลูกค้า VIP รายนี้ เอาแต่ใจ ไม่ได้อะไรดั่งใจ ด่ากราด คำหยาบใส่แบบเสียๆหายๆ วันไหนหนูลาป่วย ไม่สบายลูกค้ารายนี้ก็โทรมาต่อว่าว่าทำไมไม่ทำงาน เรื่องนี้รายงานหัวหน้าแล้วก็ยังเฉย ให้เราดูแลเขาต่อเพราะเราทำมานานแล้วตอนนี้เครียดมากๆ แต่ต้องเก็บอาการเวลาทำงานอย่างเดียว “คุณกบ (นามสมมติ)” อายุ 28 ปี สายที่ 2 ของรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [21 พ.ค. 68] เกี่ยวกับปัญหาเรื่องการรับมือกับพฤติกรรม Toxic ของลูกค้ารายใหญ่ จึงโทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย” โดย “คุณกบ (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูทำอาชีพ Customer Service มา 2 ปี ดูแลลูกค้ารายใหญ่ที่มีเม็ดเงินสูงของบริษัท ตอนนี้หนูรับมือกับพฤติกรรมของเขาไม่ไหวแล้ว ลูกค้าท่านนี้ค่อนข้างสูงอายุ จึงรับมือกับอารมณ์ได้ยาก ชอบเอาแต่ใจ รบกวนเวลา ถ้าวันไหนที่ต้องดูแลลูกค้าท่านนี้ หนูจะไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย หนูมีการแจ้งหัวหน้ามาโดยตลอด แจ้งถี่มาก หนูก็บอกหัวหน้าไปว่า ลูกค้ากดดันหนู หัวหน้าจะช่วยอะไรได้บ้าง แต่หัวหน้าก็กดดันหนูกลับอีกที บอกว่า ทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกค้าโอเคกับข้อเสนอ โดยที่เราไม่ได้ให้เขาทุกอย่างที่เขาอยากได้ หนูต้องรักษาลูกค้าคนนี้ไว้ สนใจแค่ยอดอย่างเดียว แล้วหัวหน้าก็ย้ำอย่างเดียวว่า ทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้าพอใจ! งานนี้มีแค่หนูคนเดียวเท่านั้นที่ต้องรับมือและดีลกับลูกค้าทุกคนก่อนกระจายงานให้กับทีม หนูก็เลยโดนหัวหน้าด่าอยู่บ่อย ๆ ตอนนี้มีลูกค้ารายใหญ่ 5 ราย แต่ท่านนี้พอรวมยอดสะสมแล้วมากกว่าท่านอื่น ๆ เลยต้องดูแลเป็นพิเศษ เหตุการณ์ที่รู้สึกไม่สมเหตุสมผลของลูกค้าคนนี้ เช่น บางอย่างเขาคิดว่ามันง่ายสำหรับเรา แต่จริง ๆ มันไม่ง่าย หนูพยายามอธิบายดี ๆ เขาก็ไม่รับฟัง แถมอุทานคำหยาบใส่หนูอีก มีครั้งหนึ่งหนูแอดมิท และเขาต้องการใช้บริการตอนนั้น เขาก็พูดใส่หนูว่า โกหกหรือเปล่าเนี่ย อายุน้อยแค่นี้ป่วยเลยหรอ หนูเลยอยากถามพี่ๆดีเจสองข้อคือ 1. หนูอยากได้คำแนะนำว่าจะรับมือกับลูกค้าอย่างไรดี? 2. มีวิธีไหนที่หนูสามารถคุยกับหัวหน้าได้บ้าง? เพราะเพิ่งเลิกงานและโดนดุมาเหมือนกัน’ ซึ่ง “ดีเจทั้งสามคน” (ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย) ได้ให้คำปรึกษาตรงกันว่า ‘คนทำอาชีพนี้ต้องเป็นคนที่เกิดมาเพื่อรองรับอารมณ์จากทุกฝ่าย ทั้งลูกค้าและฝั่งของเรา หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแย่ คนที่รองรับก็ต้องแย่ เพราะฉะนั้นถ้าเรารับมาก็ต้องถ่ายออก ต้องรู้วิธีกำจัดความเครียด คิดแค่เรื่องงานจริง ๆ เราคงเปลี่ยนนิสัยลูกค้าไม่ได้ แต่เราสามารถพูดคุยและต่อรองกับหัวหน้าในสิ่งที่เราพึงจะได้รับได้ เช่น ขอขึ้นเงินเดือนและได้รับค่าคอมมิชชั่นที่มากขึ้น หรือเจรจาว่า ถ้าต้องการให้เราอยู่ต่อ จะต้องส่งคนมาซัพพอร์ตในส่วนนี้เพิ่ม เพราะจากประสบการณ์การทำงานที่สูงของเราแล้ว มีสิทธิ์ที่จะต่อรองได้สูงมาก เพราะถ้าบริษัทขาดเราไป บริษัทก็เสียหายมากเช่นกัน’ ปิดท้ายด้วย “ดีเจอ้อย” บอกว่า ‘ถ้าสุดท้ายแล้ว ยังเหลือเราที่ต้องทำงานคนเดียวก็พอเลย เราต้องโอบกอดตัวเองบ้าง การทำงานทุกอย่างในโลกนี้ ถ้าเราทำไม่ได้ก็ยังหาคนมาทำแทน แต่การที่เราเสียสุขภาพจิตทุกวัน ถ้าวันหนึ่งหนูป่วยไป ครอบครัวจะเอาใครมาแทน’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1