ทุกคนคิดว่า "งานข้าราชการ" มั่นคงกันไหมครับ? ผมเป็นครูอัตราจ้างมาหลายปี แต่โดนคนรอบข้าง และ คนในครอบครัวดูถูกมาว่า "ทำงานมาหลายปี ไม่เห็นมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน"

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

ทุกคนคิดว่า "งานข้าราชการ" มั่นคงกันไหมครับ? ผมเป็นครูอัตราจ้างมาหลายปี แต่โดนคนรอบข้าง และ คนในครอบครัวดูถูกมาว่า "ทำงานมาหลายปี ไม่เห็นมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน"

16 ก.พ. 2024

ทุกคนคิดว่า "งานข้าราชการ" มั่นคงกันไหมครับ? ผมเป็นครูอัตราจ้างมาหลายปี

แต่โดนคนรอบข้าง และ คนในครอบครัวดูถูกมาว่า "ทำงานมาหลายปี ไม่เห็นมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน"

คนอื่นมีบ้าน มีรถกันหมดแล้ว ได้ยินบ่อยๆจนตอนนี้เริ่มท้อ คิดอยากเปลี่ยนอาชีพทั้งที่ยังรักการสอนอยู่

            “คุณโอ (นามสมมติ)” อายุ 26 ปี สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [14 ก.พ 67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย นภาพร เกี่ยวกับเรื่องการทำงานข้าราชการ

            โดย “คุณโอ(นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ผมทำงานในสายข้าราชการมาประมาณ 5-6 ปี เมื่องช่วงปี 65 ผมตัดสินใจลาออก เพราะไม่ถูกกับผู้บริหาร เพราะผมเคยทำงานในตำแหน่งงานธุรการมาก่อน แล้วได้เลื่อนมาเป็นครูพิเศษสอน ผู้บริหารมักจะพูดกับผมประมาณว่า “เดี๋ยวให้ลงไปเป็นธุรการเหมือนเดิม” พูดแบบนี้กับผมทุกวัน และที่หนักสุดคือ เขาด่าผมว่า “โง่” ต่อหน้าเด็กนักเรียนกลางหน้าเสาธง จนทำให้ผมตัดสินใจลาออก และไปทำงานบริษัทเอกชนในกรุงเทพ

            1-2 เดือนต่อมา ผมได้ข่าวว่าผู้บริหารคนนี้ลาออก คุณครูคนเก่าที่โรงเรียนนี้จึงโทรมาหาผม ถามว่า “ยังอยากกลับมาไหม” เพราะผลงานที่ผมทำให้กับโรงเรียนก็ได้มาตรฐาน คุณครูที่โรงเรียนก็เล็งเห็นเลยอยากให้ผมกลับไป ด้วยความที่ผมก็ทำงานสายข้าราชการมาโดยตลอด และรักในความเป็นครู ผมจึงตัดสินใจกลับไป

            ตอนที่ผมตัดสินใจลาออก จากบริษัทเอกชน ผมก็ได้ไปปรึกษากับหลายคน เริ่มจากคนในครอบครัว ครอบครัวของผมมีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด 5 คน ผมเป็นคนสุดท้อง พี่ทุกคนต่างทำงานบริษัทเอกชนกันหมด ผมก็มีความคิดประมาณว่า “ต้องมีใครสักคนในครอบครัว เป็นข้าราชการ เพื่อจะได้รับสวัสดิการ” ผมก็เอาเหตุผลนี้ไปบอกกับครอบครัว แต่ครอบครัวก็ไม่เข้าใจ ผมพยายามหาหลาย ๆ เหตุผลมาอธิบาย เช่น “อยู่ไปก่อน เดี๋ยวก็ค่อยไล่สอบ ซึ่งไม่ใช่จะต้องเป็นครูอย่างเดียว งานข้าราชการไหนที่เปิดรับสมัครก็จะพยายามลงสอบให้ได้” พอผมอธิบายแบบนี้ไป ครอบครัวก็บอกว่า “ไหวหรอ เงินเดือนก็น้อย อยู่ได้ไม่นาน มีใต้โต๊ะบ้าง มีทุจริตบ้าง” ซึ่งผมก็บอกว่า “มันเป็นเรื่องปกติ ขึ้นอยู่กับเราว่าจะทำตัวแบบไหน” และด้วยความที่ว่าอัตราเงินเดือนของผมตอนนี้ มันน้อยกว่าทุกคนในบ้าน เรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งปม ผมเลยไปปรึกษาเพื่อนที่ทำงานข้าราชการและทำงานเอกชน ผมถามคนที่ทำงานข้าราชการ เขาก็จะบอกข้อดีของการทำงานข้าราชการ ผมไปถามคนที่ทำงานเอกชน เขาก็จะบอกข้อดีของการทำงานเอกชน

            ย้อนกลับไปตอนที่ผมทำงานบริษัทเอกชน ผมก็ได้มีการเรียนต่อปริญญาโทด้วย พอตอนที่คุณครูที่โรงเรียนตามกลับไปทำงาน ผมก็ลาออกจากการเรียนปริญญาโท แล้วมาเรียนต่อป.บัณฑิต(วิชาชีพครู) และช่วงเดือนธันวาคมผมเรียนจบ ผมก็เลยมีความคิดว่า อยากลาออกแล้วกลับไปทำงานที่บริษัทเอกชนอีก เพราะว่าผมก็อายุ 26 ปี แต่ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ขณะที่พวกพี่ ๆ มีทุกอย่างหมดแล้ว ผมอยากจะถามพี่ ๆ ดีเจว่าผมควรจะเลือกทางไหนดี? สำหรับคนที่อายุเท่านี้

            ซึ่ง “ดีเจเติ้ล” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ที่พี่รู้คือ ตอนนี้คุณโออยากเป็นครู หรืออะไรก็ได้ที่เป็นราชการ ถ้าเรามี Passion กับเรื่องอะไร ก็อยากให้ทำอันนั้น แต่มันจะมีประโยคที่คุณโอพูดว่า “ต้องมีใครสักคนในครอบครัว  เป็นข้าราชการ เพื่อจะได้รับสวัสดิการ” ถ้าเป็นเหตุผลนี้พี่ไม่เห็นด้วย เพราะพี่คิดว่ามันไม่ได้เป็นหน้าที่ใครในครอบครัวที่จะมารับผิดชอบชีวิตคนอื่น คุณโอไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปทำงานข้าราชการ ถ้าคุณโอไม่อยากทำ แต่ถ้าคุณโออยากเป็นครูจริง ๆ เพราะรักในการสอนนักเรียน เป็นครูที่ดี อันนี้พี่เชียร์ให้ทำ แต่ต้องขยัน สอบบรรจุเป็นครูประจำให้ได้ เพราะครูอัตราจ้างยังไม่มั่นคง เงินเดือนก็ค่อนข้างน้อย และไม่อยากให้คุณโอเอาชีวิตตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น คุณโออยากเห็นตัวเองเป็นอะไร และมีความสุขกับการทำอะไร อันนี้ต่างหากที่สำคัญ’

            ต่อมา “ดีเจพี่อ้อย” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่มองว่าไม่ได้เกี่ยวกับข้าราชการหรือเอกชน พี่รู้สึกว่าชอบอะไร ทำสิ่งนั้น  แต่ถ้ายังเป็นครูอัตราจ้างอยู่ ก็ไม่ได้สวัสดิการตามนั้น และถ้าคุณโอทำงานบริษัทเอกชน เรายังมีสวัสดิการเรื่องอื่น ๆ ที่เทียบกันแล้วก็อาจจะใกล้เคียงกับสิทธิ์ข้าราชการก็ได้ หรือแม้แต่พี่ ๆ ของคุณโอที่ทำงานบริษัทเอกชน ก็มีเงินเก็บ มีประกันชีวิต ถ้าเราคิดว่าจะต้องดูแลครอบครัว พี่น้องตั้งหลายคนก็ช่วยกัน เรื่องนี้ก็สามารถทำได้ ไม่อยากล็อกไว้แค่ว่า ตกลงเป็นข้าราชการหรือเอกชนเท่านั้น อันไหนถึงจะดี แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเราว่าเป็นงานที่ชอบ เป็นงานที่เรารัก และเป็นงานที่เราพร้อมจะพัฒนาตัวเอง ในที่สุดแล้วเราก็ต้องเลือกงานที่เราชอบก่อน ‘

            และสุดท้าย “ดีเจเผือก” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ครอบครัวน่าจะเข้าใจผิด เพราะหลายคนที่เลือกรับข้าราชการ ก็เพราะความมั่นคง เรื่องของรายได้ อาจจะสู้เอกชนไม่ได้ แต่ในระยะยาวมั่นคงกว่า เท่าที่พี่เคยคุยกับคนที่ทำอาชีพครู เขาก็บอกว่าครูเอกชน เงินดีจริง แต่เมื่อไหร่ที่คุณมาตรฐานตก หรือมีครูที่มีชื่อเสียงกว่า คุณมีสิทธิ์โดนแทนได้ทุกเมื่อ แต่การที่จะสอบครูข้าราชการมันยาก รับคนไม่เยอะ การที่คนจะไปเป็นครูอัตราจ้างก่อน เพื่อที่จะมีสนามสอบพิเศษ คุณโอต้องประเมินตัวเองก็ว่า อยากเป็นครูจริง ๆ และทำได้ดีในอาชีพครู ช่วงแรกก็คงต้องอดทนไปก่อน จนกว่าจะสอบบรรจุได้ และอยากจะส่งกำลังใจให้ เพราะหาคนที่มีใจรัก ที่อยากเป็นครูจริง ๆ หายาก แล้วผมก็อยากให้มีครูดี ๆ เยอะ ๆ เพราะการศึกษาไทยจะได้พัฒนาขึ้นไปอีก’

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

คบผู้ชายโปรไฟล์ดี หน้าตาดี ได้เกือบปี จับได้เขานอนกับหญิงอื่น ตอนนี้เลิกกันแล้ว แต่ห้ามใจตัวเอง ตามรังควานเขาไม่ได้ ตอนนี้ทั้งรัก ทั้งแค้น อยากมูฟออนทำไงดีคะ?

18 ธ.ค. 2023

คบผู้ชายโปรไฟล์ดี หน้าตาดี ได้เกือบปี จับได้เขานอนกับหญิงอื่น ตอนนี้เลิกกันแล้ว แต่ห้ามใจตัวเอง ตามรังควานเขาไม่ได้ ตอนนี้ทั้งรัก ทั้งแค้น อยากมูฟออนทำไงดีคะ?

“คุณกระต่าย(นามสมมติ)” อายุ 23 ปี สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (13 ธ.ค 66) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจต้นหอม – ดีเจเติ้ล – ดีเจอั๋น กับปัญหาเลิกกับแฟน แต่ยังรู้สึกรักเขา ถึงขั้นเคยไปตามรังควานผู้หญิงเขาทุกคน แต่ก็เลิกทำไปแล้ว โดย “คุณกระต่าย(นามสมมติ)” เริ่มเล่าว่า หนูไม่สามารถมูฟออนจากแฟนเก่าได้ ก่อนหน้านี้หนูรักเขามาก แต่ตอนนี้ทั้งรักทั้งเกลียด และไม่สามารถมูฟออนได้ เขาเป็นคนที่ดีมาก และอบอุ่นมากคนนึง ด้วยความที่เขาเป็นคนหน้าตาดี ทำให้หนูคิดว่าเขาคงไม่จริงจังกับหนู แต่พอคุยกันไปมาก็ตกลงที่จะอยู่ด้วยกัน ซึ่งระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันนั้นไม่นานแต่ก็รักเขามาก อยู่มาวันนึงเขาขอไปกินเหล้า ต้องเท้าความก่อนว่าก่อนหน้านี้หนูเป็นคนที่ชอบโทรจิกโทรตามตลอด แต่รอบนี้หนูตัดสินใจที่จะปล่อยเพราะคิดว่าคงไม่มีอะไร แต่พอเขากลับมาบ้านตัวเขากลับไม่มีกลิ่นเหล้า มีแต่กลิ่นน้ำหอม อีกทั้งเนื้อตัวก็สะอาดผิดปกติ หนูเองก็สงสัยอยู่ในใจแต่คิดว่าคงไม่มีอะไร ด้วยความที่คนเราจะมีเซนส์ถ้าเกิดว่ามีอะไรผิดปกติจะรับรู้ได้ จนวันถัดมาเขาทำตัวน่ารักซึ่งผิดปกติมาก ๆ จากที่ปกติชอบมีอะไรกับเราแล้วไม่ใส่ถุงยาง แต่วันนั้นเขากลับยอมใส่ถุงให้ ตอนที่เขาหลับ หนูจึงแอบเช็คโทรศัพท์เขา ลองเปิด Google Maps ดูไทมไลน์ ก็เห็นหมดเลยว่าเขาไปไหน ไปกี่โมง ไปที่ไหน ซึ่งตอนที่รู้ หนูไม่ได้โวยวายอะไรทำตัวตามปกติ แต่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ไม่กี่วัน เพราะหนูรับไม่ได้ หนูจึงตัดสินใจที่จะคุยกับเขา สรุปความได้ว่าเขาไปมีอะไรกับคนอื่น หาสาวจากแอพลิเคชันนึงแล้วจึงนัดไปมีอะไรกัน เขาให้เหตุผลว่าเขาเบื่อหนู แต่ยังไม่อยากเริ่มต้นใหม่จึงยังไม่บอกเลิก เขาอยากลองไปมีอะไรกับคนอื่นดูก่อน เขายังบอกหนูอีกว่าการที่เขาไปมีอะไรกับคนอื่นมันทำให้เขามีความสุขมาก ๆ ทำให้เขาหายเครียดได้ ซึ่งหนูทำไม่ได้ สุดท้ายหนูกับเขาก็จบกันไม่ดี เพราะหนูตามราวีรังควานผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาในชีวิตเขาไม่จบไม่สิ้น เพราะหนูทั้งแค้น ทั้งรัก ทั้งเป็นห่วงเขา เขาเป็นคนที่ทำให้หนูรู้จักคำว่า ทั้งรัก ทั้งเกลียด ว่ามันเป็นแบบไหน หนูจึงอยากขอคำปรึกษาว่า “หนูควรมูฟออนยังไง แล้วควรรักษาใจตัวเองยังไง ณ ตอนนี้หนูไม่สามารถเริ่มความสัมพันธ์กับใครได้เลย เพราะยังกลัวและเข็ดจากเหตุการณ์ครั้งนั้น” คุณกระต่ายยังเสริมอีกว่า ตอนนี้หนูเลิกตามรังควานเขาประมาณ 1 เดือนแล้ว แต่หนูแค่ต้องการที่จะมาจัดการความรู้สึกตัวเองว่าจะต้องทำยังไงถึงจะลืมเขา หรือจะทำยังไงให้ความรู้สึกที่มีกับเขาน้อยลง ตอนนี้แค่เหมือนหนูยังปล่อยวางไม่ได้ รอบล่าสุดที่คุยกันเขายังบอกหนูอีกว่าตอนแรกเขารู้สึกผิดแต่ก็รู้สึกเกลียดหนูด้วย ก็เลยกลายเป็นว่าตอนนี้เราสองคนเกลียดกัน ไม่ได้ต้องการที่จะกลับมาหากัน เพราะตัวหนูก็ไม่รู้ว่าจะยังมีความเชื่อใจให้เขาได้มั้ย ถ้าเขากลับมา ก่อนหน้านี้หนูมีแฟนมีครอบครัวมาแล้วสองครั้งแต่ก็จบไม่ดีเหมือนกัน ส่วนตัวหนูก็มีลูกแล้ว 2 คน คนโตอยู่กับหนู ส่วนคนเล็กอยู่กับพ่อเขา หนูมีลูกคนแรกตอนอายุ 16 ปี ซึ่งตอนนี้คนโตก็อายุ 7 ขวบได้แล้ว โดย “ดีเจต้นหอม” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘วิธีการที่จะตัดใครออกจากชีวิตมันง่ายมาก คือให้นึกถึงความเลวของเขา แต่พี่จะไม่แค้น ไม่ไปราวีผู้หญิง เพราะพี่รู้สึกว่ามันทำให้เราไร้คุณค่า พี่จะมองว่าเขาไม่ได้คู่ควรกับเรา แล้วก็ไม่ได้คู่ควรขนาดที่ต้องไปราวีเพื่อเอาเขาคืนมา ฉะนั้นการที่เขาจะไปอยู่กับใคร ถ้าภูมิคุ้มกันเราแข็งพอ เราไม่ต้องเลิกติดตามเขา แต่ถ้าภูมิคุ้มกันเราต่ำมากถึงขนาดไปราวีเขา พี่แนะนำให้เราเลิกติดตามเขาทุกช่องทาง แล้วก็บล็อค ลบรูปคู่ ที่มันทำให้เราดูแล้วรู้สึกเจ็บปวด หรืออะไรที่ทำให้รู้สึกว่ายังแค้นให้ตัดออกไปเลย ทีนี้วิธีมูฟออนคือ ถ้ามีลูกให้มองหน้าลูกเยอะ ๆ เราคือโลกทั้งใบของลูก ลูกจะรู้สึกแย่มากถ้ารู้ว่าแม่ตัวเองกำลังทุกข์หรือเสียใจ โลกของเขาถ้าแม่เขามีความสุขมันทำให้โลกเขามีความสุขไปด้วย ทำให้โลกของลูกและเรามีความสุขไปด้วยกัน ตัดคนที่ไม่ใช่ออกจากชีวิต พี่ก็หวังว่ากระต่ายจะมีความสุขในเร็ววัน เพราะว่าความสุขของกระต่ายจะส่งผลถึงลูกของกระต่ายด้วย มองหน้าลูกเยอะ ๆ แล้วคิดว่าลูกเราไม่ควรต้องมาเห็นเรานั่งทุกข์เพราะคนเลว ๆ ลูกไม่ควรต้องรับสิ่งเหล่านั้น เพราะเขารักเรามาก’ ต่อมาเป็น “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่ว่าอันนี้เป็นห้วงเวลานึงที่คุณกระต่ายต้องใช้เวลาในการทำใจเหมือนเดิม คุณกระต่ายต้องเข้าใจว่าเราเป็นคนที่ใช้เวลามูฟออนนานกว่าคนอื่น อย่างแรกเลยพี่อยากให้คุณกระต่ายเข้าใจตัวเอง ไม่ต้องพยายามบีบคั้นให้ตัวเองทำใจให้ได้ เพราะโดยธรรมชาติของคุณกระตายเป็นคนแบบนี้ บางคนแผลเจ็บแล้วหายเร็ว บางคนใช้เวลานานเพราะเรื้อรัง พี่เห็นด้วยกับพี่หอม ถ้าคุณกระต่ายมีลูกแล้ว ความสำคัญที่สุดในชีวิตคุณกระต่ายก็คงเป็นเรื่องของลูก ไม่ว่าเราจะผิดหวังขนาดไหนกับเรื่องความรักที่เป็นเรื่องส่วนตัวของเรา พี่ไม่อยากให้คุณกระต่ายเอาสิ่งนั้นมากระทบตัวคุณกระตาย จนลามไปกระทบลูก ถ้าเรายิ่งเสียเวลาให้เรื่องนั้นมากเท่าไหร่ เวลาที่เราควรมีให้กับลูกเรามันจะถูกลดทอนไปด้วยเท่านั้น เอาเวลามาใช้ประโยชน์กับลูก และตัวเราเองดีกว่าที่จะไปเฝ้ารออะไรที่จะไม่กลับมาอีก ซ้ำแล้วเขายังเกลียดเราอีก ทำสิ่งไม่ดีกับเราด้วย’ สุดท้ายเป็น “ดีเจอั๋น” ให้คำปรึกษาว่า ‘ในที่สุดแล้วเราอยากเห็นตัวเราเองเติบโตไปเป็นกระต่ายแบบไหนในอนาคต เราอยากเห็นตัวเราเองเป็นคุณแม่แบบไหน ไม่จำเป็นเป็นต้องเป็นภรรยาก็ได้ เป็นแค่คนหนึ่งคน เราอยากพาตัวเองไปจุดไหน ซึ่งมันจะเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ เราอาจจะบังเอิญไปเจอคนเจ้าชู้ เข้าใจว่ามันคงต้องเจ็บบ้าง ถ้าหากว่าเรารู้สึกว่าเขาทรยศเรา แต่พี่คิดว่าถ้าเราอยู่กับความปรารถนาร้ายในทุกรูปแบบ ในที่สุดแล้วมันคือไฟที่เผาตัวเราเอง ตอนนี้เขาอาจจะมีความสุขอยู่ก็ได้ ในขณะที่เรายังรู้สึกร้อนรน เช่นกันถ้าตอนนี้ยังรู้สึก เจ็บ ปวด แค้น ยังปล่อยวางไม่ได้ ก็ยังไม่ต้องพยายาม ถ้ายังอยากจะถือไว้ ก็ถือไว้สักพักเดี๋ยวก็เมื่อยเอง แล้วมันจะหยุดเอง เหมือนถ้าเสียใจ แล้วยังรู้สึกว่ายังอยากร้องไห้ก็ร้องออกมา ก็ค่อย ๆ คุยกับตัวเองว่าเมื่อไหร่ที่เรายังปรารถนาร้ายกับคนอื่น ไม่มีทางเลยที่จะมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับชีวิตเรา เอาพลังงานทำชีวิตเราให้ดี คือวิธีการแก้แค้นที่ดีที่สุดในทุกรูปแบบ’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

ผมแต่งงานกับแฟนมา 10 ปี ล่าสุดแฟนผมเปลี่ยนไป สารภาพ มีผู้ชายอีกคน ผมดูแลเค้าอย่างดีมาตลอด สุดท้ายเค้าเอากระเป๋าแบรนด์เนม ทองคำ ไปจำนำแล้วเอาเงินไปให้ผู้ชายอีกคน ตอนนี้เค้าขอหย่ากับผม อยากลองไปคบผู้ชายอีกคนก่อน แต่ขออยู่บ้านเดิม ให้ผมเลี้ยงดูเค้าเหมือนเดิม

19 ม.ค. 2024

ผมแต่งงานกับแฟนมา 10 ปี ล่าสุดแฟนผมเปลี่ยนไป สารภาพ มีผู้ชายอีกคน ผมดูแลเค้าอย่างดีมาตลอด สุดท้ายเค้าเอากระเป๋าแบรนด์เนม ทองคำ ไปจำนำแล้วเอาเงินไปให้ผู้ชายอีกคน ตอนนี้เค้าขอหย่ากับผม อยากลองไปคบผู้ชายอีกคนก่อน แต่ขออยู่บ้านเดิม ให้ผมเลี้ยงดูเค้าเหมือนเดิม

“คุณโอ (นามสมมติ)” อายุ 36 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [17 มกราคม 67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับปัญหาที่ภรรยาขอหย่าไปอยู่กับผู้ชายอื่น แต่ยังอยากเป็นแม่ของลูกอยู่ โดย “คุณโอ (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ผมแต่งงานกับภรรยามา 10 ปี มีลูกด้วยกัน 1 คน ทุกเทศกาลวันหยุดยาว ผมก็จะพาครอบครัวไปเที่ยวต่างประเทศเสมอ เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมาได้พาครอบครัวไปเคาท์ดาวที่ญี่ปุ่น พอกลับจากญี่ปุ่น ผมจับได้ว่าภรรยาแอบไปคุยกับผู้ชายคนอื่น ผมถามถึงสาเหตุ กลับได้คำตอบว่า ‘หมดรักผมแล้ว รักผู้ชายคนใหม่มากกว่า’ เพราะที่ผ่านมาภรรยารู้สึกเจ็บปวดที่อยู่กับผม เพราะเขารู้สึกเหมือนผมไปบงการชีวิต และพูดหักน้ำใจภรรยาอยู่บ่อย ๆ หลังจากที่จับได้ ภรรยาก็บอกอีกว่า ‘ทั้งทองและกระเป๋าแบรนด์เนม เอาไปจำนำเพื่อเอาเงินไปให้ผู้ชายคนใหม่ยืม’ ฝั่งผู้ชายคนใหม่ก็รู้ว่าภรรยามีครอบครัวอยู่แล้ว ผมเป็นห่วง กลัวว่าภรรยาจะโดนหลอก จึงขอประชุมสายกัน 3 คน ผมขอให้ผู้ชายคนใหม่คืนเงิน สิ้นเดือนมกราคมนี้ เพื่อแลกกับการจะไปฟ้องร้อง เป็นสิ่งที่ภรรยาขอไว้ว่าถ้าไม่ฟ้องผู้ชายคนใหม่ ก็อาจกลับไปเป็นครอบครัวเหมือนเดิม พอจบการสนทนา ผมก็แอบโทรศัพท์ไปหาผู้ชายคนใหม่อีกครั้ง เพื่อยื่นข้อเสนออีกว่า ‘เงินที่ยืมไปจะไม่เอาคืน แต่ให้แลกกับการบอกความจริงทุกอย่างที่เกิดขึ้น’ ผู้ชายคนใหม่ ก็เล่าให้ฟังว่า ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ วีดิโอคอลกันไปจนถึงเรื่อง Sex แล้ว พอรู้แบบนี้ผมยิ่งกลัวว่าภรรยาตัวเองจะถูกแบล็คเมล์ ผมก็เลยดาวน์โหลดข้อมูลการสนทนาและรูปภาพทางแชทมาเก็บไว้ ตอนแรกยังไม่กล้าเปิดดู จนล่าสุดเปิดดู ก็ปรากฏว่ามีรูปภาพตามที่คิดไว้จริง ซึ่งผมกับภรรยาเคยเดินทางไปที่อำเภอ 1 ครั้งแล้ว เพื่อจดทะเบียนหย่า แต่ผมร้องไห้ ขอร้องว่าไม่อยากหย่า เพราะ พ่อ-แม่ ของผมก็หย่ากัน เลยไม่อยากให้ครอบครัวตัวเองเป็นแบบนั้นอีก ก่อนหน้านี้ 2 วัน ก่อนที่จะโทรมาหาทางรายการ ภรรยาบอกกับผมว่า ‘รักลูก และก็ยังรักผู้ชายคนใหม่ด้วย เราหย่ากัน แต่ยังขออยู่เป็นครอบครัวได้ไหม’ ไม่ได้เป็น สามี-ภรรยา เป็นแค่ พ่อ-แม่ของลูก “คุณโอ” จึงโทรมาปรึกษาดีเจทั้ง 3 คนว่า ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับดีเจทั้ง 3 คน จะทำยังไง? งานนี้ “ดีเจเผือก” ก็ได้ให้คำแนะนำว่า ‘ถ้าเป็นพี่คงไม่พยายาม ไม่ฝืน ในสิ่งที่มันจะไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ ภรรยาเลือกทุกอย่างไว้แล้ว เหลือแค่คุณโอยอมรับความจริง และปล่อยไป การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของครอบครัวครั้งนี้ สิ่งสำคัญคือ หนึ่งลูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด สองก็ต้องถามภรรยาให้แน่ว่า ถ้าไปแล้วดีกว่าเรา ยังทำใจได้ แต่ถ้าไปแล้วยังเอาของที่คุณโอซื้อให้ไปจำนำแล้วเอาเงินไปให้ผู้ชายคนนั้น มันเป็นทางเลือกที่ดีกว่าตอนนี้จริง ๆ หรอ’ “ดีเจเติ้ล” ให้คำแนะนำว่า ‘สเตปแรก คุณโอต้องยอมรับให้ได้ว่า ภรรยาเขาไม่ได้รักคุณโอแล้ว จะด้วยระหว่างทางที่คุณโอได้ทำผิดพลาดอะไรกับภรรยา หรือที่จริงแล้วเป็นแค่ข้ออ้างที่จะไปรักผู้ชายคนใหม่ คุณโอต้องผ่านสเตปนี้ไปให้ได้ก่อน ถึงจะไปสเตปสอง คือการอยู่ด้วยกันแบบ พ่อ-แม่ ของลูก สิ่งที่คุณโอเคยบอกว่า พ่อ-แม่ เลิกกันและไม่อยากให้ครอบครัวตัวเองเป็นแบบนั้น ถ้าคุณโอยังฝืน รู้ทั้งรู้ว่าภรรยาไม่รัก แต่รั้งไว้เพื่อให้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ พี่เติ้ลว่ามันผิด เหมือนว่าหนึ่งการมีเป้าหมายแบบนั้น กระทำแบบนี้ มันไม่ได้ทำให้ครอบครัวดีขึ้น สองเราคิดว่าเราหลอกว่าเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ แต่ลูกก็คงรู้ แบบนี้มันแย่กว่าครอบครัวที่แตกซะอีก หรือสเตปต่อไป ถ้าอยากทำให้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แต่ พ่อ-แม่ ไม่ได้รักกันแล้วก็ทำได้นะ แต่ไม่อยากให้คุณโอ ส่งเสียหรือดูแลภรรยาแบบเกินไป ในเมื่อภรรยาเลือกคนใหม่แล้ว ภรรยาก็ต้องดูแลตัวเองและเขาก็ต้องทำหน้าที่แม่ของลูก ตามที่เขาอยากจะเป็น จะมาใช้ข้ออ้างว่าเป็นแม่ของลูก แล้วคุณโอต้องมารับผิดชอบทุกอย่าง ให้เงินให้ทอง แบบนี้ไม่ได้’ “ดีเจต้นหอม” ให้คำแนะนำว่า ‘ความจริงเจ็บปวดเสมอ เวลาเราเลิกกัน มันมีคนบาดเจ็บ คนที่บาดเจ็บคือคนที่ยังไม่มีคนใหม่ ถ้าเขารักลูกมากพอ เขาจะไม่มีคนอื่น เขาจะรักษาครอบครัวไว้มากกว่านี้ การที่ภรรยายังเลือกอยู่กับคุณโอ แล้วอ้างความเป็นแม่ เขายังรักสบายอยู่ ในเมื่อสถานะ สามี-ภรรยา สิ้นสุดแล้ว เราไม่ควรรับผิดชอบภรรยาเก่า คุณโอกับเขาแยกกันอยู่ถึงเวลาก็มาดูแลลูก ถ้าเขาทำหน้าที่แม่ได้ไม่ดี เงินที่เคยให้ภรรยา เอามาจ้างคนดี ๆ เลี้ยงลูกคุณโอ สิ่งที่ไม่ให้ทำคือ เลี้ยงดูปูเสื่อ ถ้าผู้ชายคนใหม่สุภาพบุรุษจริง เขาจะไม่เอาเงินผู้หญิง ถ้าสุภาพบุรุษจริง คุณโอที่เป็นสามีโทรศัพท์ไปหาเขา ผู้ชายดี ๆ เขาเลิกยุ่งไปแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคุณโอต้องสงสารตัวเอง ทำหน้าที่ พ่อ-แม่ เท่านั้น สามี-ภรรยามันจบแล้ว’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

พี่ๆคะ หนูจะทำยังไงต่อไปดี... คุณแม่เหลือเวลาอยู่กับหนูแค่ 6 เดือน ก่อนหน้านี้คุณแม่แอบไปหาหมอเองโดยไม่บอกใครเลย เพิ่งมาบอกหนูว่าเป็น "มะเร็งไขสันหลัง" ระยะที่ 3 ตอนนี้หนูกลัวและเสียใจที่สุดเลยค่ะ

22 ม.ค. 2024

พี่ๆคะ หนูจะทำยังไงต่อไปดี... คุณแม่เหลือเวลาอยู่กับหนูแค่ 6 เดือน ก่อนหน้านี้คุณแม่แอบไปหาหมอเองโดยไม่บอกใครเลย เพิ่งมาบอกหนูว่าเป็น "มะเร็งไขสันหลัง" ระยะที่ 3 ตอนนี้หนูกลัวและเสียใจที่สุดเลยค่ะ

“คุณเอ(นามสมมติ)” อายุ 21 ปี สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (17 มค. 67) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจต้นหอม - ดีเจเติ้ล – ดีเจเผือก เกี่ยวกับปัญหาที่พึ่งรู้ว่าคุณแม่เป็นมะเร็ง ซึ่งเหลือเวลาอีกแค่ 6 เดือน โดย ​“คุณเอ(นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘คุณแม่อายุประมาณ 53 ปี เป็นมะเร็งระยะที่ 3 ที่ไขสันหลัง ซึ่งอาการตอนนี้กำลังลุกลามไปยังจุดอื่น ๆ คุณแม่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งแต่ไม่ได้บอกคนในครอบครัว และแอบไปรักษาคนเดียว คุณแม่มีลูก 2 คน หนูอายุ 21 ปี ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ และพี่ชายอายุ 25 ปี ทำงานฟรีแลนซ์ ได้คุยกับพี่ชายพี่ก็ทำใจไม่ได้เหมือนกัน คุณพ่อก็อยู่บ้านเดียวกันแต่ไม่ได้อะไรกับคุณแม่แล้ว แค่ทำหน้าที่พ่อและแม่เฉย ๆ หลังจากที่พ่อรู้ว่าแม่เป็นมะเร็งก็ช็อคเหมือนกัน เขาไม่ได้รักกันแล้ว แต่ก็ยังมีความผูกพันอยู่ ตอนนี้คุณแม่ไม่ได้นอนที่โรงพยาบาลแต่ต้องไปฉีดมุ่งเป้า (คือการฉีดเฉพาะจุด) อยู่เรื่อย ๆ ตอนนี้คุณแม่ก็ใช้ชีวิตได้ปกติ แต่จะปวดตามกระดูก ตามข้อ ซึ่งวันที่คุณแม่มาบอก ตอนนั้นอยู่ ๆ เขาก็พูดว่า แม่เป็นมะเร็งระยะที่สาม แล้วที่เขาบอกว่าอยู่ได้อีก 6 เดือนคือมันห่างจากตอนนั้นแค่ 3 เดือน หนูรู้สึกว่ามันเร็วมาก และช่วงนี้เขาชอบพูดเกี่ยวกับเรื่องเขาตายบ่อย ๆ มันก็ยิ่งทำให้หนูเครียด คุณแม่ก็เครียดมากเพราะเป็นห่วงว่าถ้าเกิดเขาไปแล้วจะอยู่กันยังไง...? ซึ่ง “ดีเจต้นหอม” ให้คำปรึกษาว่า ‘วันนี้คงเป็นการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน สถานการณ์นี้เป็นสถานการณ์ยากลำบาก คือสถานการณ์ของการสูญเสีย แต่ต้องยอมรับว่าไม่ว่าใครทุกคนบนโลก เขาก็ไม่สามารถอยู่กับเราไปได้ตลอด ทีนี้เรื่องที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นเรื่องที่บ้านยังไม่ทันเตรียมตัว แล้วพี่ก็ไม่อยากให้คุณแม่เครียด ณ วันนี้ถ้าทุกคนที่บ้านเครียด ตัวคุณแม่เครียด มันก็จะทำให้ช่วงระยะเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน ความสุขมันก็ลดน้อยลงไปอีก เราอาจจะต้องเติมพลังบวกให้กันและกัน เหมือนกับก่อนหน้านี้เคยมีข่าวคุณหมอคนหนึ่งที่เป็นมะเร็ง เค้าเองก็รู้ว่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน เค้าก็เหมือนเติมพลังบวกให้กับตัวเอง ในการคิดว่ามันจะเป็นการออกเดินทางครั้งใหม่นะ เราอาจจะช่วยคุณแม่ ถ้าคุณแม่เป็นห่วงเรา เราอาจจะต้องทำตัวให้เราดูแข็งแกร่ง เป็นคนเก่ง แม่ไม่ต้องกังวลเลย เสาร์-อาทิตย์นี้อยากทำอะไรก็ทำด้วยกัน ให้รู้สึกว่าวันทุกวันเราสร้างความสุขแบ่งปันความสุขในทุก ๆ วันที่เราเจอกัน และก็เป็นกำลังใจให้กับเอและพี่ชายแล้วก็ครอบครัวทุกคนเลย ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า ‘ถ้าช่วงเวลามันมีแค่ 6 เดือนตามที่คุณหมอบอก ซึ่งจริง ๆ มันมีปาฏิหาริย์เยอะแยะมากมายว่าถ้ากำลังใจของคนไข้ดี บางทีมันอาจยาวนานกว่านั้น แต่ถ้า 6 เดือนตามนั้นจริง ๆ พี่ก็แค่อยากบอกน้องเอว่า อยากให้ใช้เวลากับท่านให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่เวลามันเดินถอยหลัง ถ้าท่านอยากทำอะไรโดยที่มันไม่ไปขัดขวางการรักษา พี่อยากให้น้องเอใช้เวลาตรงนี้ให้เต็มที่ แล้วก็สิ่งหนึ่งที่พี่ฟังเหมือนท่านยังเป็นห่วง พี่อยากให้น้องเอทำเพื่อให้ท่านได้รู้ว่าถ้าไม่มีท่านอยู่จริง ๆ หนูกับพี่ชายจะอยู่กันได้ดี เพื่อที่ท่านจะไปอย่างไม่มีห่วงอะไร แต่ถ้าน้องเอทำให้ท่านรู้สึกเป็นห่วงด้วยการเสียใจ ไม่มีกำลังใจที่จะทำให้ท่านเห็นรอยยิ้ม พี่ว่าอันนี้ท่านจะยิ่งเป็นห่วง พี่รู้สึกว่าสิ่งหนึ่งที่บางทีคนที่ป่วยเขาไม่อยากเห็น คือคนรอบข้างเป็นทุกข์เพราะมันจะยิ่งทำให้เขาเป็นทุกข์ มันอาจจะต้องฝืน หนูอาจจะร้องไห้ในห้องได้หรือคุยกับพี่แล้วเศร้าใจได้ แต่เวลาอยู่กับท่านอยากให้ส่งพลังบวกให้กันและกัน เพราะเรื่องกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับคนป่วย ถ้าทำได้อยากให้เป็นแบบนี้ เพราะท้ายที่สุดท่านจะได้รู้สึกว่าเราอยู่กันได้และมีชีวิตต่อไปได้อย่างดี เขาจะได้ไม่เป็นห่วงเรามาก อย่างสุดท้ายพี่ฝากไว้ละกันเผื่อถ้าเวลามันมาถึง บางทีคนที่ป่วยเป็นโรคแบบนี้ เวลาเชื้อมะเร็งกัดกินแล้วไม่รู้สึกอะไร ถ้าคุณหมอบอกว่าในอีกไม่กี่วันเขาจะไม่รับรู้แล้ว อยากให้น้องเอและคนในครอบครัวไปคุยกับเขาเป็นวาระสุดท้าย เพราะ ณ ตอนนั้นมันเป็นช่วงเวลาที่มีค่ามาก สำหรับผู้ป่วยก่อนที่เขาจะไม่รู้ตัวและสื่อสารอะไรไม่ได้อีกแล้ว อันนี้พี่พูดในกรณีที่ถ้าเวลานั้นมาถึงจริง ๆ เหมือนเราเตรียมให้เขาไปอย่างสงบ เคลียร์ทุกอย่างบอกเขาว่าไม่ต้องห่วง หนูกับพี่กับพ่อจะอยู่กันอย่างมีความสุข แล้วเราจะคิดถึงเค้าด้วยรอยยิ้มทุกครั้งเมื่อที่เค้าจากไปแล้ว ขอเป็นกำลังใจให้น้องเอนะ สุดท้าย “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘จริง ๆ จะไม่พูดถึงว่าเวลาเหลืออีกเท่าไหร่ มันก็เป็นการประมาณการ สำหรับพี่ไม่อยากให้เอามาเป็นประเด็นเท่าไหร่ การที่เราเกิดมาเรารู้ว่ามันต้องมีอายุขัย สิ่งในชีวิตทุกอย่างบนโลกใบนี้มันมีอายุขัยของมัน ณ วันที่เราเกิด เราก็มาพร้อมกับแพ็กเกจคำว่าตายอยู่แล้ว มันอยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็วแต่ไม่มีใครอยู่ได้ จริง ๆ มันเป็นสัจธรรมมากเลยเนาะ แต่ว่ามันก็ยากในวัย 21 ปีที่เราจะเข้าใจว่าไม่ว่าช้าหรือเร็วมันก็ต้องจากกันอยู่ดี ทีนี้ความรู้สึกกะทันหันของเอ ถ้าได้คุยกับคนอื่นที่ประสบเหตุกันคนละอย่างกับที่เอเจอ ในหลาย ๆ สายที่เค้าโทรมาว่าคนที่เขารักประสบอุบัติเหตุกะทันหันชนิดที่ว่าเราไม่ได้แม้แต่จะบอกลา ถ้าเค้าเลือกได้บางทีเค้าอาจจะอยากให้เค้ามีเวลาบ้างอย่างที่เอมี อันนี้พี่เปรียบเทียบให้ดูว่าในความที่เราคิดว่าเรากำลังเจอเรื่องราวที่เลวร้าย อย่างน้อยเรายังมีโอกาสทำให้ในทุก ๆ วันที่มันยังมีอยู่ด้วยกัน ย้อนไปในวัย 21 ปี พี่ก็เสียคุณแม่ไปตอนปี 2 ก็ ณ วันนั้นเรายังเป็นวัยรุ่นที่ยังไม่ได้เป็นพ่อคน เรายังไม่เข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่มีต่อลูกมากพอ เรายังไม่ได้แสดงออก เรายังไม่ใช้โอกาสสุดท้ายในการบอกอะไรที่บางทีเรายังไม่ได้บอก เราก็แค่เขิน ไม่กล้าพูดอย่างที่เติ้ลบอก เพราะเราคิดว่ายังมีเวลา จนเมื่อเค้าไม่รู้ตัว เราถึงรู้ว่าคงไม่ได้บอกแล้ว ซึ่งถ้าเอได้ฟังอยู่ตอนนี้ก็คือ พี่ก็อยากให้เอมีโอกาสที่จะได้บอก บางครั้งเราแค่ไม่กล้าพูดว่ารัก เพราะว่าเราเป็นเด็กวัยรุ่นหรือเขิน ไม่กล้าพูด หรือคำพูดอื่น ๆ ที่เรายังไม่เคยบอก เพราะฉะนั้น ณ วันนี้ เอก็ยังมีเวลาที่จะทำให้ทุกวันที่ยังมีเค้าอยู่มันไม่มีอะไรติดค้าง ซึ่งสุดท้ายไม่ได้แปลว่าเราจะไม่เศร้าหรอก ทุกคนก็เศร้าทั้งนั้น วันสุดท้ายของมนุษย์มันเป็นสิ่งที่ประหลาดนะทุกคนต้องเจอ แต่เรามักจะถือสาว่าเราไม่ควรพูด เพราะมันเท่ากับแช่ง แต่ในความเป็นจริงถ้าเราได้พิจารณามันบ้าง ลองนึกดูบ้างว่าถ้าวันหนึ่งเราไม่มีคนที่อยู่ข้าง ๆ มันจะเป็นยังไง อย่างน้อย ๆ ในวันนั้นเหมือนเราได้ซ้อมรับแรงกระแทกไว้แล้วบ้าง ซึ่งวันนี้เอมีโอกาสละพี่ว่าอยากให้ใช้โอกาสที่เรามีอยู่ตอนนี้บอกหรือคุยกับเค้าไม่ให้มันมีอะไรติดค้าง’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

ไม่คิดว่าจะเป็นลุงตัวเอง ! ทำยังไงดีลุงหนูชอบทำตัวเป็น มนุษย์ลุง ด่าคนไปทั่ว พูดจาไม่ดี เคยไปร้านอาหาร นั่งหน้าพัดลม สั่งน้ำมูกกระเด็นติดคนด้านหลัง พอเขาเดินมาเตือน ก็ด่ากราดเขาอีก กลัวว่าสักวันเขาจะเจอคนจริงเข้า หนูควรเตือนหรือปล่อยไปเลย

31 พ.ค. 2024

ไม่คิดว่าจะเป็นลุงตัวเอง ! ทำยังไงดีลุงหนูชอบทำตัวเป็น มนุษย์ลุง ด่าคนไปทั่ว พูดจาไม่ดี เคยไปร้านอาหาร นั่งหน้าพัดลม สั่งน้ำมูกกระเด็นติดคนด้านหลัง พอเขาเดินมาเตือน ก็ด่ากราดเขาอีก กลัวว่าสักวันเขาจะเจอคนจริงเข้า หนูควรเตือนหรือปล่อยไปเลย

“คุณบิว (นามสมมติ)” อายุ 28 ปี สายที่สี่ในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (29 พ.ค. 67) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจต้นหอม - ดีเจเติ้ล – ดีเจเผือก’ เกี่ยวกับปัญหาอยากตักเตือนมนุษย์ลุง โดย “คุณบิว (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูมีลุงคนหนึ่ง เป็นคนที่อารมณ์ร้อน บางครั้งการพูดของแกก็จะดูเป็นการบูลลี่คนอื่น แต่หนูก็ไม่รู้ว่าแกจะรู้ตัวหรือไม่ จนมีเหตุการณ์นึงที่หนูรู้สึกว่ามันหนักแล้ว เหตุการณ์ก็คือ เมื่อประมาณ 10 วันที่แล้วหนูไปงานแต่ง ซึ่งมีแม่ หนู และลุงอายุ 67 ปี ในงานจะนั่งโต๊ะจีน โต๊ะละ 10 คน สักพักนึงก็จะมีผู้หญิงอายุประมาณ 60 กว่าๆ มาขอนั่งแชร์โต๊ะด้วย นั่งข้างหนู หลังจากนั้นก็มีคนมานั่งเรื่อยๆจนครบ 10 คน และพิธีการก็เริ่มไป งานเลี้ยงตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงตรง ก็จะมีคนที่พ่อแม่ของบ่าวสาว ให้เกียรติขึ้นไปอวยพร ซึ่งก็เป็นผู้ใหญ่ที่เคารพ พออวยพรเสร็จ ปกติงานอื่นๆมีมอบของที่ระลึก แม่ก็เลยถามว่า เอ๊ะ งานนี้เขาไม่มอบหรอ เพราะว่าพอพูดเสร็จก็เชิญลงไปพักผ่อนเลย หนูก็เลยแบบ เขาคงลืมแหล่ะแม่ แล้วลุงหนูอยู่ๆก็พูดขึ้นมา เขาเชิญมาก็บุญแล้ว ที่เขายังให้ความสำคัญอยู่ หนูก็อึ้งมากเลย เพราะว่าแกพูดต่อหน้าคนบนโต๊ะ 10 คน ซึ่งหนูนั่งห่างกับแกที่มีแม่นั่งขั้นกลาง ยังได้ยินชัด แล้วหนูคิดว่าคนอื่นที่เป็นแขกในงานเขาก็ต้องรู้จัก ไม่พ่อก็แม่ของบ่าวสาว หนูก็แบบ อึ้งว่าแกพูดไปได้ยังไง แกก็ดูเหมือนไม่สลด หนูก็เลยหันไปบอกแม่ แม่ก็บอกลุงว่า พี่อย่าพูดแบบนั้น แล้วก็นั่งไปจนจบงาน หลังจากนั้นป้าคนที่นั่งข้างหนูเขาก็บอกว่า เดี๋ยวขอตัวก่อนนะคะ พอดีสามีโทรตามไปอีกงานแล้ว แล้วเขาก็เอียงตัวมาหาหนูพุูดเบาๆว่า สามีพี่คือคนที่ขึ้นไปอวยพรเมื่อตะกี้ แต่เขาจงใจพูดให้หนูได้ยิน คือหนูก็แบบ ทำยังไงดีนะ แล้วหนูก็เก็บเรื่องนี้จนถึงบ้าน แล้วอยู่ๆแม่ก็พูดกับลุงขึ้นมาว่า วันนี้พี่ไม่ควรพูดแบบนั้นเลย เพราะคนที่นั่งในโต๊ะเราก็ไม่รู้ว่าเป็นใครบ้าง แล้วลุงก็พูดเสียงดังด้วย หนูก็เลยเล่าประโยคที่ผู้หญิงคนนี้พูดกับหนูให้แม่ฟัง แล้วแม่ก็แบบ โอ๊ะ ตายละ และก็ยังมีเหตุการณ์พีคๆอีก วันนั้นหนูไปทานก๋วยเตี๋ยว หนูนั่งฝั่งเดียวกับแม่ ลุงแกนั่งตรงข้าม แล้วทีนี้พัดลมเป่าจากข้างหลังหนู แล้วเป่าไปก็ต้องผ่านแก แล้วแกมีอาการไอและเป็นหวัด ปกติเราก็ต้องเอาทิชชู่มาปิดตอนไอหรือเป็นหวัด แต่แกดันไอแล้วสั่งน้ำมูกไป แล้วลมมันก็พัดพอดี ไปโดนคนข้างหลัง แล้วคนข้างหลังก็เหมือนบ่นอะไรไม่รู้ แต่ประมาณว่า คุณสั่งน้ำมูกแล้วมันกระเด็นมาโดนฉัน แกเลยหันไปเหมือนจะหาเรื่อง ทำให้หนูอดกินก๋วยเตี๋ยวร้านนั้นไปครึ่งปี พอชวนลุงไปลุงก็บอกว่าไม่ไป ไม่อร่อย ไม่อยากกินร้านนี้ ไม่กล้าไปกินเลย หลังจากนั้นหนูก็มาคุยกับแม่ว่า ถ้าเราจะปล่อยลุงเป็นอย่างงี้ แล้วไม่รู้ว่าแกรู้ตัวมั้ยว่าการพูดเเบบนี้ทำให้คนที่อยู่ด้วยอึ้ง และคนที่ไม่รู้จักก็มองลุงไม่ดี แล้วถ้าวันนึงเจอคนที่เอาจริง เอาเรื่องมาจะทำยังไง หนูเลยบอกแม่ว่า หรือเราควรสะกิดเวลาที่ลุงมีพฤติกรรมแบบนี้ แม่หนูบอกว่า อย่าเลย แกดึงดัน เถียงไปก็ไม่ชนะหรอกลูก ก่อนหน้านี้เขาก็เป็น แต่เป็นน้อยกว่านี้ ภรรยาเขาก็มองเวลาเขาพูดแบบนี้ แต่ก็ตามๆ คือหนูอยากรู้ว่า หนูควรพูดเตือนใน ณ ขณะนั้นดี หรือว่า อยู่ๆไปพูดกับลุงทีหลัง มันจะแปลกๆมั้ยคะ’ ซึ่ง “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘เป็นพี่ พี่ไม่พูด เพราะว่าพี่ไม่คิดว่าเขาจะเปลี่ยน และพี่ก็ไม่คิดว่า เขาจะมาเห็นความสำคัญของพี่ ที่เขาจะเปลี่ยนอะไร ถ้าเป็นแม่พี่ พี่จะพูด แต่นี่เป็นลุงพี่ไม่พูด พูดไปพี่คิดว้าเขาไม่เปลี่ยนนะถ้าทำมาขนาดนี้ ถามว่าเขารู้ตัวมั้ย พี่ว่าเขารู้แหล่ะ แต่เขาก็คือ ก็รู้แล้ว กูก็จะทำ จนกว่าเขาจะเจอของแข็ง เขา 67 ปี แล้ว ถ้าวันไหนเขาเจอของแข็ง มันก็จะเป็นบทเรียนของเขา ก็เพราะลุงทำตัวแบบนี้ไง เขาไม่ใช่คนไม่มีสติ กินเหล้าเมา หรืออะไรอย่างงี้ เขาพูด เขารู้ เขามีสติทุกอย่าง เพียงแต่มันเป็นนิสัยของเขาที่เขาปากไวแบบนั้น คนที่จะเตือนเขาก็คือเมีย และลูกเขา หรือไม่ก็แม่บิว สำหรับพี่คิดนะ บิวไม่จำเป็นต้องพูด นอกจากสมมติอย่างเรื่องก๋วยเตี๋ยว พี่คิดว่าบิวไม่ต้องไปยอมไม่ไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านนั้นนะ ถ้าจะไป แล้วทำไมลุงต้องมาห้ามไม่ให้หนูไปกินละ แล้วถ้าแกบอกว่า ”ก็วันนั้นลุงไปทะเลาะกับเขา“ เราก็บอกไปเลย ก็ลุงไปสั่งขี้มูกโดนเขา ลุงควรที่จะขอโทษเขาสิ แบบนี้ มันจะได้มีเรื่องที่ทำให้พูด แต่พี่จะไม่อยู่ๆไปพูดว่าแบบ ”ลุง หนูว่าลุงเป็นคนพูดไม่คิด“ พี่ว่าจังหวะมันไม่ได้ มันงงอะ และคิดว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาไม่แก้ไข’ ต่อด้วย “ดีเจเผือก” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ไม่คิดว่าพูดแล้ว จะมีผลดีขึ้นมา ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนอะไรเขาได้ ยิ่งอายุเยอะจะยิ่งหนักขึ้นด้วย ถ้าอยากจะพูดจริงๆ ลองได้ แต่พี่ค่อนข้างอยากจะการันตีแทบจะ 100% ว่าจะไม่มีอะไรดีขึ้น ถ้าอยากพูด พูดหลังจากเหตุการณ์นั้นได้ แต่ไม่ใช่สดๆร้อนๆ รอออกมาจากร้านก๋วยเตี๋ยวก่อน ขึ้นรถแล้วพูดว่า พูดแบบนี้ไม่ได้นะ เดี๋ยวทัวร์ลงนะ เอาเป็นว่าคนรุ่นเราจะเปลี่ยนตัวเองยังยากเลย ขนาดเรารู้ว่าสังคมมันเป็นยังไง บางทีข้อเสียของเราก็ยังเปลี่ยนกันยากเลย นี่เขาอยู่มาจะ 70 ปี นิสัยมันคงฝังลึกไปแล้วแหล่ะ ยิ่งอายุเยอะมันจะคิดน้อย พูดมาก อย่าไปอยู่กับเขามาก เวลาเสียมันไม่ได้เสียที่เขาคนเดียว มันเสียทั้งตระกูล เสียทั้งกลุ่ม’ และสุดท้าย “ดีเจต้นหอม” ให้คำปรึกษาว่า ‘ก็อย่างที่รู้เเหล่ะ ไม้แก่ดัดยาก แต่มันต้องพูดนะ บอกเขาว่า เอาวัน เดือน ปีเกิดของลุงไปดูมาละ ชาติที่แล้วลุงฆ่าเป็นอย่างทรมานเพื่อเอาปากเป็นมากิน ชาตินี้ปากลุงเลยไม่ดี ฉะนั้น เมื่อไหร่ลุงอยากเจริญ ลุงต้องพูดดีๆ แล้วไปหาลิปมันสาลิกาที่หมอดูเขาลงมาทาปากบอกเขาไปว่า ถ้าทาปากแล้วให้พูดแต่สิ่งดีๆ แล้วสิ่งดีๆจะเข้ามาหาตัวลุง บางทีเรื่องไสยศาสตร์ อาจจะช่วยได้ และไปไหนมาไหนกับเขาน้อยลง ให้เขารู่ว่าเขาไม่น่าคบหา’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1