ลูกสาวเศร้า คุยกับผู้ชายคนนึง เคยมีอะไรกันแล้ว แม่เป็นห่วงเลยฟอล IG ผู้ชาย ปรากฏผู้ชายทักมาจีบแม่ แม่ลองใจพาผู้ชายมาดื่มที่บ้านกัน 3 คน ไว้ใจแม่ สุดท้ายมารู้ทีหลังว่าแม่มีอะไรกับผู้ชายคนเดียวกับหนู

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

ลูกสาวเศร้า คุยกับผู้ชายคนนึง เคยมีอะไรกันแล้ว แม่เป็นห่วงเลยฟอล IG ผู้ชาย ปรากฏผู้ชายทักมาจีบแม่ แม่ลองใจพาผู้ชายมาดื่มที่บ้านกัน 3 คน ไว้ใจแม่ สุดท้ายมารู้ทีหลังว่าแม่มีอะไรกับผู้ชายคนเดียวกับหนู

26 ม.ค. 2024

ลูกสาวเศร้า คุยกับผู้ชายคนนึง เคยมีอะไรกันแล้ว แม่เป็นห่วงเลยฟอล IG ผู้ชาย

ปรากฏผู้ชายทักมาจีบแม่ แม่ลองใจพาผู้ชายมาดื่มที่บ้านกัน 3 คน ไว้ใจแม่

สุดท้ายมารู้ทีหลังว่าแม่มีอะไรกับผู้ชายคนเดียวกับหนู

ตอนนี้ทั้งหนูและแม่เลิกยุ่งกับผู้ชายคนนั้นแล้ว แต่รู้สึกไม่ค่อยดีกับแม่เลย

          “คุณแนน (นามสมมติ)” อายุ 20 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (24 ม.ค. 67) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจต้นหอม - ดีเจเติ้ล - ดีเจเผือก’ กับปัญหาที่มารู้ทีหลังว่าแม่แอบมีอะไรกับคนคุยเรา

            โดย ​“คุณแนน (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘คือหนูไปเจอผู้ชายคนหนึ่งในแอปพลิเคชัน ก็คุยกันแล้วไปเจอกัน แม่ของหนูก็มารู้ว่าหนูคุยกับคนนี้ แม่ก็ไปสืบมาและก็ให้หนูเลิกคุย หนูก็หลอกเขาว่าเลิก แต่จริง ๆ ก็ยังคุยอยู่ เขาก็จับได้อีกรอบนึง เขาก็เลยฟอลไอจีผู้ชายคนนั้นไป แล้วผู้ชายคนนั้นก็เลยทักมาจีบแม่ แม่ก็บอกให้หนูรู้ว่าผู้ชายคนนั้นจีบแม่ ซึ่งผู้ชายคนนั้นอายุ 27 ปี แม่อายุ 40 ปี และที่แม่มาบอกแบบนั้นเพราะอยากให้หนูรู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนไม่ดี แล้วเขาก็อยากลองใจผู้ชายคนนั้นเลยให้มานั่งดื่มที่บ้าน ผู้ชายคนนั้นก็มาทั้ง ๆ ที่รู้ว่าแม่เป็นแม่ของหนู แต่ผู้ชายคนนั้นเขาก็ยังคุยกับหนูปกติ และก็จีบทั้งแม่ทั้งหนู ตอนนั่งดื่มก็นั่งกัน 3 คน ฟังเพลงและก็ดื่มไปด้วย หนูดื่มได้นิดเดียวก็ขึ้นไปนอนก่อน คือหนูไว้ใจแม่ เวลาเจอหน้ากันเขาก็เรียกหนูว่าน้อง เรียกแม่ว่าพี่ ทีนี้เขาก็มาทุกวัน แม่ก็อนุญาตให้เขามา แล้วก็มีอยู่คืนหนึ่งที่หนูเมามาก ๆ แล้วก็ไปทำตัวหึงใส่เขา คือตอนแรกหนูบอกแม่ว่าแค่คุยกับคนนี้ไม่ได้มีอะไร แม่ก็มาแบบซักถามหนูว่าเคยมีอะไรกันใช่ไหมกับผู้ชายคนนี้ คือเขาซักจนหนูบอกไปว่า ใช่ ครั้งนึง เขาก็ร้องไห้ออกมา ที่เขาร้องไห้เพราะเขาบอกว่าคนนี้นิสัยไม่โอเค แต่ก่อนหน้านั้นเขาก็เคยมีอะไรกับผู้ชายคนนี้แต่ว่าหนูพึ่งมารู้ทีหลัง เขารู้ว่าหนูคุยแล้วแต่ว่าเขาเผลอไปมีอะไรด้วยเพราะเขาเมามาก ผู้ชายก็เมา แล้วแม่ก็เลยห้ามไม่ให้คุยอ้างว่านิสัยไม่ดีแต่ที่จริงตัวเองเคยมีแล้ว ซึ่งแม่ชอบผู้ชายคนนี้เลยบอกให้เลิก คือหนูให้อภัยแม่ได้ แต่ว่าบางทีก็ยังคิดถึงเรื่องนี้และมันทำให้หนูทุกข์ใจว่าทำไมแม่ถึงโกหกหนู คำถามคือหนูควรที่จะต้องจัดการกับความรู้สึกตรงนี้ยังไงอะค่ะ?

          ซึ่ง “ดีเจต้นหอม” ให้คำปรึกษาว่า ก็คือว่าเรายังเรียนอยู่ 20 ปีเรายังต้องใช้เงินแม่ ไม่ใช่ทุกคนบนโลกเป็นคนดี ก็แค่คนไม่ดีที่มีลูก เขาบังเอิญมีแนนออกมา ความผิดที่เกิดขึ้นมันค่อนข้างร้ายแรงในฐานะคนเป็นแม่ ในฐานะที่พี่เป็นแม่ พี่ก็รู้สึกสะอึกกับเรื่องนี้ว่าปล่อยให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้นกับลูกเราได้ยังไง แต่วันนี้ถ้าแนนคิดจะให้อภัย พี่คิดว่าแม่คงได้รับบทเรียนแล้ว แล้วเราก็คงรู้แล้วว่าอย่าเอาผู้ชายเข้าใกล้แม่ ถ้าสมมุติว่าเรามีแฟนแล้ววันหนึ่งเขามายุ่งกับเราอีก เราก็พูดกับเขาดี ๆ ว่าให้แม่ควบคุมตัวเองหรือเป็นตัวอย่างที่ดีให้ได้ก่อน ก่อนที่จะสอนเรา แต่ถ้าแนนคิดจะให้อภัยแล้ว พี่คิดว่าแนนควรปล่อยวาง ไม่ต้องไปคิดเรื่องพวกนั้นอีก คิดซะว่าผู้ชายเลว ๆ คนหนึ่งออกไปจากชีวิตเราแล้ว ผู้ชายดี ๆ เขาก็ไม่จีบทั้งแม่ทั้งลูกเหมือนกัน

          ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า พี่จะมองแบบนี้แนน ถ้าแนนอยากจะให้อภัยเขาเหมือนแบบแนนรักเขา พี่จะมองว่า อย่างน้อยแม่เขาจะทำตัวยังไง นั่นเป็นอีกเรื่องนึง แต่ว่าอย่างน้อยเขาทำให้เห็นจริง ๆ แล้วว่าผู้ชายคนนี้ไม่น่าเอาเป็นผัว เหมือนเขาเอาตัวเขาทำให้เราเห็น อย่างน้อยปลายทางคือเราได้รู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ควรเอาเป็นผัว ถ้าพยายามอยากจะให้อภัยเขา แต่ว่าสิ่งที่เค้าทำอันนั้นไว้อีกเรื่องนึง

          สุดท้าย “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ถ้าเป็นพี่ก็คงคิดว่าเป็นแอลกอฮอล์ ถ้าจะคิดให้มันสบายใจขึ้น มันอาจจะเป็นแอลกอฮอล์ที่ทำให้สมองที่มันยับยั้งชั่งใจมันหายไป แล้วเพศชาย เพศหญิงอยู่ด้วยกันความยับยั้งชั่งใจมันหาย แล้วเรื่องมันก็เกิดขึ้น’

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

ที่หนีบปูหนูผิดตรงไหน? พรุ่งนี้หนูจะไปกินเลี้ยงปีใหม่ ทุกครอบครัวจะเอาอาหารไปรวมกัน บ้านเจ้าภาพเลี้ยงกุ้งล็อบสเตอร์ กับ ปูขน หนูบอกพ่อแม่ว่าเตรียมที่หนีบปูไปด้วยไหม จะได้กินกันสะดวก พ่อแม่หัวเราะ บอกเอาไปไม่ได้ จะดูตั้งใจไปกินเกิน

17 ม.ค. 2025

ที่หนีบปูหนูผิดตรงไหน? พรุ่งนี้หนูจะไปกินเลี้ยงปีใหม่ ทุกครอบครัวจะเอาอาหารไปรวมกัน บ้านเจ้าภาพเลี้ยงกุ้งล็อบสเตอร์ กับ ปูขน หนูบอกพ่อแม่ว่าเตรียมที่หนีบปูไปด้วยไหม จะได้กินกันสะดวก พ่อแม่หัวเราะ บอกเอาไปไม่ได้ จะดูตั้งใจไปกินเกิน

ที่หนีบปูหนูผิดตรงไหน? พรุ่งนี้หนูจะไปกินเลี้ยงปีใหม่ ทุกครอบครัวจะเอาอาหารไปรวมกันบ้านเจ้าภาพเลี้ยงกุ้งล็อบสเตอร์ กับ ปูขน หนูบอกพ่อแม่ว่าเตรียมที่หนีบปูไปด้วยไหม จะได้กินกันสะดวกพ่อแม่หัวเราะ บอกเอาไปไม่ได้ จะดูตั้งใจไปกินเกิน หนูแค่หวังดีอยากให้ทุกคนกินกันสะดวกขึ้น “คุณเอฟ (นามสมมติ)” อายุ 24 ปี สายที่ห้าในรายการ ‘พุธทอล์ค พุธโทร’ เมื่อคือวันพุธที่ [15 ม.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาปาร์ตี้บ้านเพื่อน โดย “คุณเอฟ (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘เพื่อนสนิทของพ่อ เขาจัดงานปีใหม่วันที่ 18 มกราคมนี้แล้วเขาเชิญครอบครัวเราไป ในงานจะมีประมาณ 10 คน หนูก็เลยถามพ่อว่าในงานเป็นแบบไหนยังไง เราจะได้เตรียมพร้อม เตรียมตัว เพื่อให้ดูเข้ากับงาน พ่อก็เลยบอกว่าทุกคนจะเอาอาหารไปแชร์กัน ฟีลแบบหนังฝรั่งที่มีเพื่อนบ้านมาปาร์ตี้กัน เราก็เลยคุยกันว่า เราจะเอาอาหารอิตาลีไปไหม? พวกสปาเก็ตตี้ พิซซ่า สั่งจากร้านอาหารแล้วเอาไป เราก็เลยตกลงกันว่าจะเอาอันนั้นไป คราวนี้พ่อก็มาบอกว่าเจ้าบ้าน เขาเลี้ยงล็อบสเตอร์กับปูขนนะ หนูก็เลยบอกว่าจะเอาที่หนีบปูไปนะ พอบอกเสร็จพ่อกับแม่ก็ขำหนักมากเลย กับสิ่งที่เราพูดว่าจะเอาที่หนีบปูไป แล้วเราก็เลยงงว่าเขาขำอะไรกันเหรอ พ่อก็เลยบอกว่า “อย่าเอาไปเลย มันดูแบบไม่มีมารยาท เหมือนเราตั้งใจจะไปกินปูอย่างเดียว” ซึ่งตัวเราไม่ได้ชอบกินปูขนาดนั้นด้วยซ้ำ ก็เลยเล่าเจตนาให้พ่อฟังตอนนั้นว่า ‘งานเขาจัดที่บ้าน บ้านคนเราจะมีที่หนีบปูสักกี่อันเชียว มันก็น่าจะมีสักอันสองอัน แต่คนไปประมาณ 10 กว่าคนเลย ถ้าทุกคนกินปู คนก็ต้องรอนานไหม เพราะมีที่หนีบปู 1-2 อัน เจตนาเราคือหวังดี ที่หนูเอาไปไม่ได้จะเอาไปวางให้เขาเห็นเลย แต่สิ่งที่เราคิดคือแค่พกไป ดูสถานการณ์ก่อนว่ามันพอใช้ไหม ละการที่เราเอาไปเพิ่มอีกหนึ่งอัน มันจะกลายเป็น 3 อัน มันอาจจะทำให้การหมุนเวียนที่หนีบปูดีขึ้น ทุกคนจะได้กินไวขึ้น’ ละเขาก็ไม่เก็ทกับสิ่งที่เราอธิบาย เขาก็ขำหนักอีกหลังจากที่เราอธิบายเจตนาของเราไป แล้วเขาก็บอกว่า “ถึงขออธิบายไปก็ไม่เข้าใจหรอก ลองไปเล่าให้คนอื่นฟัง ให้คนอื่นอธิบายเอาละกัน อาจจะเข้าใจมากกว่า” หนูเลยอยากถามพี่ ๆ ดีเจทั้งสามคนว่าหนูผิดไหมที่หนูเอาที่หนีบปูไป’ ทางด้านดีเจทั้ง 3 ท่าน “ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม” ให้ความคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่า ‘ไม่ผิดเลย แล้วก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ด้วย แต่เข้าใจในมุมของพ่อแม่ เนื่องจากว่ามันเป็นอาหารที่เขาเตรียมมาเอง แสดงว่าบ้านเอฟเตรียมตัวขนาดนั้น เพื่อที่จะเตรียมตัวมากินปู การที่เราไปแล้วเอาที่หนีบไปด้วย ต่อให้มีพิซซ่าอะไรอยู่ในมือ มันก็เข้าใจในมุมผู้ปกครองที่คิดว่าตั้งใจเกินไป เพราะว่าผู้ใหญ่อาจจะไม่ได้มองว่าที่หนีบปูมันจำเป็นขนาดนั้น คนกินปูก็ใช้มือแกะกันส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นมันเป็นความหวังดีที่ไม่จำเป็นต้องทำ ถ้าบ้านหนูจัดเป็นโฮสต์ว่าไปอย่าง แต่นี่เราไปในฐานะแขก’ ดีเจทั้งสามท่านยังเสริมอีกว่า ‘ถ้าอยากทดลองแนะนำให้เอาไป ใส่กระเป๋าไป แล้วดูว่ามันจะต้องใช้ไหม?’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 20.00 – 23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

ผู้ชายออกตัวแรง จีบเก่ง ดูแลดี แค่ช่วงแรกๆ พอเราเริ่มจริงจัง คุยมาเดือนกว่าๆ เขาก็เทแรง ซ่อนสตอรี่IG บล็อกเบอร์ ติดต่อไม่ได้ หายไปเลย ครั้งหน้าถ้าเจอผู้ชายทรงนี้อีก จะทำยังไงดีคะ?

27 พ.ค. 2024

ผู้ชายออกตัวแรง จีบเก่ง ดูแลดี แค่ช่วงแรกๆ พอเราเริ่มจริงจัง คุยมาเดือนกว่าๆ เขาก็เทแรง ซ่อนสตอรี่IG บล็อกเบอร์ ติดต่อไม่ได้ หายไปเลย ครั้งหน้าถ้าเจอผู้ชายทรงนี้อีก จะทำยังไงดีคะ?

“คุณสอง (นามสมมติ)” อายุ 20 ปีกว่าๆ สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [22 พ.ค. 67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาไม่เข้าใจผู้ชายที่เข้ามาจีบ ตอนจีบก็จีบแรง แต่พอจะเทก็เทแรงเหมือนกัน… โดย “คุณสอง (นามสมมุติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูคุยกับผู้ชายคนหนึ่งมาได้ประมาณเดือนกว่าๆ ผู้ชายคนนี้เขาแก่กว่าหนู ประมาณ 3 ปี บุคลิกของเขาจะเป็นคนที่ขี้เล่น ขี้หยอด จีบแรง เหมือนเพลย์บอยคนนึง แต่เขาก็จะมีมุมที่จริงจังเหมือนกัน เขาบอกกับหนูว่า เขาอยากจะมองหาความสัมพันธ์ที่ระยะยาว คนที่จะสร้างอนาคตไปด้วยกันได้ แล้ว ณ ตอนนั้น เขาก็บอกกับหนูอีกว่า หนูตรงกับคนที่เขาวางเอาไว้มากๆ เป็นคนที่ใช่เลย แล้วเขาก็เคยเล่าให้ฟังว่า ถ้าเกิดว่าเขาเจอคนที่ไม่ตรงกับภาพในหัวของเขา เขาก็จะเทเลย ในช่วงที่คุยกันเหมือนเขาจะรู้สึกอินกับหนูมากๆ ทั้งเสมอต้นเสมอปลาย ทั้งดูแล้วเขาก็ดูแคร์หนูมากๆ เลยด้วย มีอยู่วันนึง หนูมีนัดกับเพื่อนตอนค่ำๆ แล้วสรุปเพื่อนเทหนู หนูก็เลยทักแชทไปหาเขาว่า ว่างมั้ย แล้วเขาก็ตอบกลับมาว่า เขามีนัดกินข้าวกับที่บ้านแล้ว หนูก็เลยบอกว่า ไม่เป็นไร งั้นไว้นัดกันวันหน้าก็ได้ แล้วหลังจากนั้นเขาก็ปกติดีทุกอย่าง จนกระทั่งช่วงเวลาดึกๆ ของวันนั้นหนูส่งข้อความไปเขา เขาก็ไม่ตอบ หนูก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ เพราะปกติเวลาแบบนี้เขาจะตอบแชทหนู วันถัดไปหนูก็เลยส่งข้อความไปหาเขาอีก สลับกับโทรหา พยายามติดต่อเขาทุกช่องทาง แต่เขาก็ไม่ตอบข้อความแล้วก็ไม่รับสายโทรศัพท์ด้วย แล้วทีนี้เหมือนใน IG เขาจะ Hide ไม่ให้หนูเห็น Story เขาด้วย ที่หนูรู้ว่าเขา Hide เพราะโปรไฟล์เขาเป็นสาธารณะ มันก็จะมีเว็บไซต์ที่เอาไว้ส่องโปรไฟล์สาธารณะได้ แล้วดูว่าเขาลง Story อะไร เราก็แค่พิมพ์ชื่อแอคเคาท์ไปก็สามารถรู้ได้เลย แล้ววันนั้นที่เขาไม่ตอบแชท ไม่รับสายหนู แต่ใน IG เขาลง Story เยอะมาก คือหลังจากนั้นหนูก็มีทักไปหาเขาประมาณว่า เราขอ Unfollow แล้วกัน จนถึงตอนนี้ก็ไม่ได้พยายามทักอะไรเขากลับไป ส่วนเขาก็ไม่ได้มีทักอะไรหนูกลับมาเหมือนกัน มันเป็นความคาใจมากๆ เพราะก่อนหน้านี้หนูก็เคยเล่าให้เขาฟังว่า เคยเจอคนที่นิสัยเหมือนเขามากๆ แล้วเราก็โดนเทแรง ซึ่งตอนนั้นเขาก็รับฟัง แล้วก็ให้คำแนะนำดีมากๆ ดูเข้าอกเข้าใจ แต่มันกลับกลายมาเป็นว่าเขาเป็นคนทำซะเอง หนูก็เลยไม่เข้าใจคนแบบนี้มากๆ หรือมันมีอะไรในตัวหนูที่ไปทำให้เขาตัดสินใจหายออกไปจากชีวิตได้ไวขนาดนี้ วันนี้หนูมี 3 คำถามที่อยากจะปรึกษาพี่ๆ ดีเจ คำถามที่ 1. อยากรู้ว่าคนแบบอะไรที่มันทำให้เขาเปลี่ยนไปได้ไวขนาดนี้ ? คำถามที่ 2. เขาไม่ละอายคำพูดตัวเองบ้างหรอ เพราะสิ่งที่เขาทำกับสิ่งที่เขาพูดมันคนละเรื่องกันเลย? คำถามที่ 3. ถ้าเราเจอคนที่นิสัยประมาณนี้อีก เราจะรู้ได้ยังไงว่าเขามาหลอกเรา? งานนี้ “ดีเจเผือก” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘อะไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนพี่ไม่รู้หรอก มันสารพัดเหตุผลถ้าแค่รู้ว่าเรา ไม่ใช่สำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว ส่วนคำถามกล้าพูดได้ยังไง คนบุคลิกแบบนี้ไม่ละอายคำพูดตัวเองหรอ ช่วงการทำความรู้จักกันกับใครสักคนในช่วงแรกๆ เราก็จะพยายามทำให้อีกฝ่ายประทับใจกับสิ่งที่เราพูดอยู่แล้ว เพราะงั้นคำพูดที่อยู่ในช่วงนี้ก็อย่าไปนับ อย่าไปเชื่อมันมาก ให้ดูยาวๆ แล้วถ้าเจอคนประมาณนี้อีกทำยังไง ก็อยู่ที่ตัวเราว่า พร้อมจะเจ็บมั้ย ความรักคือการเสี่ยงอยู่แล้ว เราไม่มีวันรู้หรอกว่า คนทรงเดิม หน้าตาแบบเดิม เขาจะทำกับเราแบบเดิมมั้ย มนุษย์ถูกออกแบบมาไม่เหมือนกัน คนเรามีวิธีชิ่งจากใครสักคนหนึ่งในแบบที่แตกต่างกัน จงคิดในแง่ดีว่า อย่างน้อยเขาเด็ดขาดพอที่จะชัดเจน ไม่ก็คือไม่ หายก็คือหาย เพราะฉะนั้นจงคิดว่าเขาแฟร์กับเราแล้วนะ อาจจะไม่ได้บอกลากันดีๆ ก็เถอะ แล้วพี่ว่า 3 คำถามที่สองถามมา ขีดฆ่าไปได้เลย มันเป็นแค่ความสัมพันธ์ครั้งหนึ่งที่คนเราทำความรู้จักกัน แล้วมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่อยากจะไปต่อแล้ว แต่มันดันซวยมาเกิดขึ้นกับสอง คล้ายๆ กันถึง 2 ครั้งแล้ว ทำให้สองเสียความมั่นใจในตัวเอง เราทำอะไรผิดมั้ย หรือในทางกลับกันไปโทษอีกฝั่งหนึ่งว่า ทำไมฉันต้องเจอคนอย่างเธอ แต่ทั้งหลายทั้งมวลแค่ ถ้าสองตั้งสติแล้วบอกกับตัวเองว่า คน 2 คนที่คุยกันแล้วมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตัดสินใจไม่เดินต่อ ก็คือจบ เราก็แค่เริ่มมองหาความสัมพันธ์ใหม่ แล้วก็เสี่ยงวัดดวงกันใหม่ ชีวิตมีเท่านี้เอง แค่ยอมรับความจริงว่า “เออเทก็เท” มันโชคร้ายที่คน 2 คนรู้สึกไม่เท่ากันแค่นั้นเอง เราเลยพยายามที่จะหาคำตอบแวดล้อมเพื่อให้การโดนเทครั้งนี้มันชอบธรรมสำหรับเรามากขึ้น สุดท้ายแล้วมันก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้มีความรักครั้งที่ 15 16 มันก็ยังต้องเสี่ยง ปัญหาบางอย่างอาจจะไปเกิดตอนคบกันก็ได้ สุดท้ายมันคือการเดิมพัน มันอีกเยอะอ่ะ เราอยู่แค่สเตจแรกแล้วมันไม่สมหวังแค่นั้นเอง มันยังเหลืออีกหลายสเตจเลยสอง ต่อให้ไม่ทิ้งไม่เทกันก็เถอะ อยู่กันไป แล้วเกิดการด่าทอ ตบสองทุกวัน อย่างงี้เอามั้ยล่ะ เทียบกับคนนี้ที่เขาชัดเจนว่า ไม่ใช่ก็ไป แยกย้ายจบ อย่าไปคิดว่าเราโชคร้าย อย่าไปคิดว่าฉันไม่ดี มีคนที่โชคร้ายในความรักหนักกว่าเราอีกเยอะเลยสอง ถ้าโชคดีแล้วล่ะที่ทุกอย่างมันจบภายในเดือนหนึ่งอ่ะ ให้เธอได้มีเวลา ให้เธอยังไม่ได้ผูกพันมาก แล้วก็ให้เธอได้ตั้งหลักพอที่จะหาใหม่’ ต่อด้วย “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘เท่าที่ฟังพี่ว่าสองเป็นคนที่อินกับคนง่ายมากเลยนะ ยิ่งถ้าหนูเจอในออนไลน์อีกก็คือไม่ต้องสงสัยเลย อะไรทำให้เขาเปลี่ยนไป อันนี้พี่ไม่รู้เลย คือเขาไม่ชอบหนู หนูไม่ใช่ไทป์เขาแล้ว เขามีอีกคนที่ดูไว้อยู่ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าเขาคิดจะทิ้งหนู แต่พี่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่มันเป็นไปได้หมดทุกอย่าง คนที่บุคลิกแบบนี้ทำไมไม่ละอายคำพูดตัวเอง พี่ก็ไม่รู้อีก คนปกติก็มีแบบนี้ ยิ่งคนในออนไลน์เรื่องแบบนี้ยิ่งปกติสุดๆ มันอยู่ที่กมลสันดานของแต่ละคนด้วย บางคนก็อาจจะพูดไปเพราะเขาอยากได้เรา ให้เราชอบเขา เขาก็พูดไปก่อน สักพักไม่ชอบแล้วเขาก็เทเลย หรือบางคนอาจจะมีปมอะไรก็ได้หมดเลย เช่นเดียวกันพี่ก็ตอบไม่ได้ ถ้าเจอคนประมาณนี้อีกทำไง อย่างแรกที่พี่อยากจะแนะนำถ้าจะคุยผ่านออนไลน์ อย่าอินคนง่าย ต้องดูเขานานๆ มันมีคนดีแน่นอน แต่มันมีคนไม่ดีเยอะมาก อย่างแรกที่พี่ขอก็คือ 1.อย่าอินเกิน 2.ทำใจ เพราะว่าเจอแบบนี้ปกติสุดๆ 3.ถ้าอยากจะมีความรักก็ต้องยอมรับว่าเราต้องเจอคนแบบนี้เต็มไปหมดเลย ไม่ว่าจะออนไลน์หรือว่าจะในชีวิตจริง แต่ว่าถ้าวันหนึ่งมันมีคนดีจริง เดี๋ยวมันก็มีคนเข้ามาหาเราต้องรีบ อย่าไปลดคุณค่าตัวเอง อย่างที่พี่เผือกบอก ก็แค่หนึ่งคนที่คุยแล้ว มันไม่คลิกก็ไป ไม่ต้องไปตั้งคำถามมันเสียเวลา ยิ่งกับคนออนไลน์ เราหาใหม่ได้เลย’ สุดท้าย “ดีเจต้นหอม” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ตอบคำถามแรกอะไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนไป เขาอาจจะไม่ได้เปลี่ยนไปก็ได้ เขาอาจจะเป็นคนแบบนั้นอยู่แล้ว แล้วก็เขาก็ออกตัวแล้วนะว่า ถ้าไม่ใช่เขาก็เท แปลว่า ความสัมพันธ์ยังอยู่ในช่วงของการดูใจ แล้วก็สองแค่ไม่ใช่สำหรับเขาอีกต่อไป พอไม่ใช่เขาก็ไป คือเดือนหนึ่งโดนเทโดยที่ตัดขาดเลยอ่ะ ไม่น่าเกลียดนะเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าคุยกันมานานๆ แบบ 5 - 6 เดือนเกิดความผูกพันกัน แล้วเขาจะเทถ้าเป็นผู้ชายดีๆ เขาก็จะบอกเลยว่า ขอลดระดับความสัมพันธ์ ก็จะมีคำพูดดีๆ แบบนี้ แต่ถ้าแค่เดือนเดียวมันไม่ใช่แค่ผู้ชาย ถ้าเป็นพี่ พี่ก็เทเพราะมันไม่ใช่ มันเป็นช่วงเวลาที่ไม่จำเป็นต้องแคร์กัน ส่วนทำไมไม่ละอายคำตัวเอง ก็อย่างที่พี่เผือกบอกเลย มันเป็นช่วงเวลาของการทำคะแนน ช่วงนี้อะไรมันก็ดีไปหมดแหล่ะ มันอยากได้อ่ะเนอะ บางคนก็มาเพื่อแบบหลอกฟันก็มี พอได้แล้วก็เลิก หรือช่วงนั้นเขาอาจะรู้สึกแบบ แฮปปี้ฉันอยู่กับเธอแล้วมีความสุข เพราะมันเป็นช่วงของการหลงใหลอยู่ไง แล้วพออยู่ไปนานๆ แล้วมันไม่ใช่ พอไม่ใช่เขาก็ไม่จำเป็นต้องแคร์ ทำยังไงถ้าเจอคนประมาณนี้อีก เป็นสิ่งที่เราก็ต้องใช้เวลาในการเลือกเยอะๆ ไม่ให้ใจใครง่ายๆ วิธีการเช็คก็เข้าไปตรงแพลตฟอร์มเขา อย่างเช่นใน IG ผู้ชายคนนี้สนใจเรื่องอะไร ถ้าใน Followers มีแต่ผู้หญิงเซ็กซี่ๆ ก็มีความสุ่มเสี่ยงที่จะเป็นผู้ชายเจ้าชู้ หรือผู้ชายที่ชอบเซลฟี่หน้าตัวเองแล้วทำหน้าเซ็กซี่ๆ อันนี้ต้องการเรตติ้ง หรือถ่ายบอดี้ตัวเองที่แบบหุ่นดีๆ พยายามพรีเซ้นท์ความเซ็กซี่ของตัวเอง คนเหล่านี้มีความสุ่มเสี่ยง ไม่ได้บอกว่าเขาไม่ดี หรือไม่ได้บอกว่าเขาไม่ใช่ แต่ผู้ชายเหล่านี้สุ่มเสี่ยงที่จะบริหารเสน่ห์มีความเป็นไปได้ ฉะนั้นถ้าเราเจอคนประเภทนี้ เราอาจจะค่อยๆ ที่จะเรียนรู้กันไป ยังไม่ต้องรีบเท่านั้นเอง โดยสรุปเลยก็คือว่า สิ่งที่โดนเทมาไม่ใช่เรื่องแปลก แล้วตัวสองเองก็สามารถที่จะเลือกคนใหม่ได้ แล้วถ้ามันไม่ใช่ก็สามารถเทแบบนี้ได้เหมือนกัน ไม่น่าเกลียด ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันอย่าไปย้อนดูว่า ตอนนั้นทำไมเขาพูดดีกับเราจัง อันนั้นเป็นช่วงเวลาที่อยากได้ คือมันต้องเจอคนเยอะๆ เจอคนบ่อยๆ ถึงจะประเมินได้โดยเบื้องต้นว่า คนนี้ไม่ธรรมดา คนนี้เจ้าชู้ มันจะมีการกระทำอะไรบางอย่าง ให้วัดที่การกระทำ ไม่ใช่วัดที่คำพูด’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

หนูเป็น LGBTQ+ โดนคดีแล้วได้เจอกับผู้ชายคนนึงในเรือนจำ รู้จักกัน จนรู้สึกดีต่อกัน ตกลงกันว่าในนี้เราจะคบกัน แต่ตอนนี้หนูออกมาแล้ว เพราะเขาช่วยหาทนาย สู้คดีให้ เขาบอกอยากให้หนูออกไปใช้ชีวิต

31 พ.ค. 2024

หนูเป็น LGBTQ+ โดนคดีแล้วได้เจอกับผู้ชายคนนึงในเรือนจำ รู้จักกัน จนรู้สึกดีต่อกัน ตกลงกันว่าในนี้เราจะคบกัน แต่ตอนนี้หนูออกมาแล้ว เพราะเขาช่วยหาทนาย สู้คดีให้ เขาบอกอยากให้หนูออกไปใช้ชีวิต

หนูเป็น LGBTQ+ โดนคดีแล้วได้เจอกับผู้ชายคนนึงในเรือนจำ รู้จักกัน จนรู้สึกดีต่อกันตกลงกันว่าในนี้เราจะคบกัน แต่ตอนนี้หนูออกมาแล้ว เพราะเขาช่วยหาทนาย สู้คดีให้เขาบอกอยากให้หนูออกไปใช้ชีวิต เจอคนใหม่ เริ่มต้นใหม่ เขาบอกอนาคตถ้าออกไปข้างนอกเราจะเป็นพี่น้องกัน “คุณแคลร์ (นามสมมติ)” อายุ 23 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [29 พ.ค. 67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาความรักกับคนในเรือนจำ โดย ​“คุณแคลร์ (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ย้อนไปเมื่อ 3 ปีก่อน เราประกอบอาชีพเป็นสตรีมเมอร์ และได้สิ้นสุดการประกอบอาชีพ เมื่อปลาย ปี 65 ที่ผ่านมา เพราะเราถูกฟ้องด้วยความเข้าใจผิด ในข้อหาดูหมิ่นด้วยการโฆษณา และเราก็สู้คดีมาจนถึงกลางปี 66 ซึ่งเป็นการสู้ที่เสียเปรียบมาโดยตลอด เพราะเราไม่มีกำลังทรัพย์มากพอ จึงได้ขอให้เป็นทนายขอแรงมาช่วย เขาก็ช่วยเท่าที่จะช่วยได้เท่านั้น จนเมื่อ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 ศาลมีคำสั่งฝากขัง ในทางปฏิบัติเราสามารถที่จะประกันตัวได้ แต่ว่าเราไม่มีเงินประกันตัว แม้กระทั่งครอบครัวที่มีคุณแม่เพียงคนเดียวก็ไม่สามารถช่วยตรงนี้ได้ จึงจำใจต้องเข้าฝากขังที่เรือนจำแห่งหนึ่ง เป็นระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งระหว่างที่อยู่ข้างใน เราได้มีโอกาส เจอกับพี่ผู้ต้องขังคนหนึ่ง เขามักจะฝากความเป็นห่วงผ่านเพื่อนผู้ต้องขังอีกคนมาถึงเรา เราก็สงสัยว่า เขาเป็นใคร ? ต่อมาเราจึงได้ไปเจอกับเขาและได้พูดคุยกัน จนทราบว่าเขาบังเอิญเป็นคนที่อยู่ใกล้บ้านเรา แต่เราไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ซึ่งพี่เขาอายุ 40 ปีแล้ว หลังจากนั้น 2 อาทิตย์ ก็มีพูดคุยกัน มีการดูแลกันมากขึ้น เริ่มจากการแบ่งอาหารเช้าให้ ชวนมานั่งคุยปรับทุกข์กัน จนกระทั่งตกลงคบกัน ซึ่งเขาก็จะบอกตลอดว่า แคลร์ไม่จำเป็นต้องรักเขา ขอให้เขาได้รักแคลร์ก็พอ ส่วนตัวเราเองไม่ได้มีความตั้งใจที่จะไปเจอ หรือไปหาความสัมพันธ์แบบนี้ เพราะเราเองก็รู้สึกผิดกับตัวเองว่า ทำไมต้องมาเสียเวลาในที่แบบนี้ด้วย ซึ่งจากการสังเกตพฤติกรรมของเขาในการวางตัวในฐานะคนรัก เราก็เริ่มรู้สึกดีและเข้าใจอะไรหลายอย่างมากขึ้น จากที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เพราะตลอดเวลา 23 ปี แคลร์ไม่เคยมีแฟน จนกระทั่งมาเจอคนนี้ ซึ่งระหว่างที่อยู่ด้วยกัน เขาจะหาทางช่วยเหลือเราตลอด เช่น เรื่องของการอัพเดทคดีจากข้างนอก เรื่องการยื่นเรื่องส่งสภาทนายความ ให้เข้ามาช่วยตรวจสอบรูปคดี หรือการส่งคำร้องให้ศาลเร่งพิจารณาคดี เพราะว่าตอนนั้นที่เข้าไปเป็นเดือนสิงหาปีที่แล้ว และจะมีการนัดพิจารณาคดีอีกทีคือ เมษายนปี 67 ถ้าให้นับมันจะเป็นการอยู่แบบเสียเปล่าไปเลย 1 ปี เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ปี 66 เขาก็มาบอกกับเราว่า แคลร์พี่คุยกับทนายให้แล้วนะ ซึ่งเราก็ตกใจว่า พี่คุยกับทนายที่ไหนมา ทนายของแคร์เหรอ ? เขาก็บอกว่า เป็นทนายส่วนตัวของเขา เขาบอกทนายว่า ให้ยื่นประกันตัวให้แคลร์ เป็นการจ่ายเงินให้เราเพื่อการประกันตัว เราก็ตกใจมากว่า เขาทำเพื่อแคลร์ขนาดนี้เลยเหรอ เพราะเขาก็จะบอกกับเราตลอดว่า ออกไปก็ออกไปใช้ชีวิตนะ และไม่ต้องเป็นห่วงพี่ ลืมเรื่องราวทุกอย่าง ข้างในให้หมด ซึ่งตอนนี้แคลร์ได้ออกมาใช้ชีวิตเรียบร้อยแล้ว แคลร์เคยบอกกับเขาว่า อยากจะคบกับเขาเป็นแฟนจริงจัง แต่เขาบอกว่า เขาให้สัญญาไม่ได้ เพราะเขาไม่อยากให้ความหวัง และเขาก็ไม่อยากใช้คำพูดสวยหรู หากเขาได้ออกไปแล้ว เขาทำไม่ได้ แคลร์จะรับได้เหรอ ? เราก็คิดว่า สิ่งที่เขาพูดมันก็เรื่องจริง และเขาก็พูดอีกว่า แคลร์จะเป็นกะเทยคนเดียว ที่เขารักที่สุดในชีวิต และก็จะเป็นน้องที่เขารักตลอดไป ซึ่งเราก็ยังให้ความหวังตัวเองอยู่ในทุก ๆ วันว่า อย่างน้อยถ้าวันหนึ่ง เขาออกมา แล้วเขาเห็นว่าแคลร์ยังรอเขาอยู่ เขาก็อาจจะเปลี่ยนใจ เพราะหนูก็ไม่เคยมีความคิด ที่จะไปมองหาใครคนใหม่ตั้งแต่ออกมา เป็นระยะเวลา 7 เดือนแล้ว ซึ่งในทุกเดือนเราจะกลับไปเยี่ยมเขาเสมอ และปฏิกิริยาของเขาที่แสดงต่อเราก็ปกติทุกอย่าง แต่ทางเรือนจำจะมีการเขียนจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ รายวันถึงผู้ต้องขังด้านใน หนูก็จะเขียนถึงเขาทุกวัน แต่เขาก็จะเขียนตอบกลับมาว่า เขาขี้เกียจที่จะเดินมาหา ตอนที่เรามาเยี่ยม เขาไม่อยากที่จะเขียนจดหมายตอบกลับเรา ซึ่งเขาเป็นแบบนี้กับครอบครัวด้วย เหมือนเขาไม่อยากรับรู้เรื่องภายนอก เขาเลยพยายามกีดกันไม่ให้หนูไปเยี่ยมหรือเขียนอะไรหาเขา แคลร์อยากถามพี่ ๆ ดีเจว่า พอจะมีวิธีการยังไงที่จะรอเขา แบบให้ใช้ชีวิตที่มีความสุข ไม่เครียด ไม่ห่วงอะไร เพราะเราไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่เขาทำ เราไม่รู้ว่าการที่เขาทำแบบนี้เขาต้องการให้เรามีสถานะไหนกันแน่ และทุกวันนี้เขายังจ้างทนายเพื่อที่จะสู้คดีให้กับเราต่อ ซึ่งเราก็พึ่งทราบเรื่องนี้จากทนายว่า เขายังจัดการ เรื่องค่าใช้จ่ายให้เราทั้งหมดเลย และแม้ว่า เขาจะบอกให้หนูเดินหน้าต่อ แต่ด้วยความที่เขาเป็นแฟนคนแรกของเราด้วย เราเลยรู้สึกผูกพันและรู้สึกขอบคุณในการกระทำของเขา ที่ทำให้เราได้เหมือนมีชีวิตใหม่ เรารู้สึกว่า เราไม่สามารถเดินออกมาจากเขาตอนนี้ได้ ซึ่ง “ดีเจต้นหอม” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘การที่เขาพูดว่า แคลร์เป็นน้องที่เขารัก มันเหมือนกับการที่เขาดับฝัน เพราะหากเขาออกมาข้างนอกเขาจะไม่คบกับแคลร์ แต่หากอยู่ข้างในก็เป็นแฟนกัน เหมือนกับการที่คนเหงามาเจอคนเหงา ซึ่งแคลร์ก็บังเอิญอยู่ใกล้เขา อยู่ในแดนเดียวกันได้ใกล้ชิดกัน แคลร์มีความหวังอยู่นิดหน่อยแต่ก็น้อยมาก ถ้าแคลร์จะรอเขา แคลร์ก็ต้องทรมานอยู่แล้ว แต่ถ้าแคลร์ไม่รอก็จะทรมานแค่ช่วงแรก ไม่ต้องทรมารไปเรื่อย ๆ ซึ่งถ้าเปรียบเป็นเกมไพ่ โอกาสที่แคลร์จะแพ้สูงมาก แต่ที่พี่ทำหอมรับแขกมา ได้สัมภาษณ์คนในเรือนจำและชีวิตรักในเรือนจำ ทำให้พี่ได้รู้ว่า มันเป็นชีวิตรักที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่อยู่ในเรือนจำเท่านั้น พอเราออกมา เขาก็จะมีคนใหม่เข้าไป ในขณะเดียวกัน คนที่ออกไปก็จะมีแฟนใหม่ มันเป็นวัฏจักรของเขาที่เขาจะรู้กันดีอยู่แล้ว แล้วการที่เขาส่งสัญญาณบอกเราว่า เขาไม่อยากเดินมาหา หรือการที่ เขาไม่อยากรับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ แปลว่าตอนนี้ เขาปฏิเสธเราแล้ว แล้วการที่เราเข้าไปหาเขา ก็เหมือนกับว่า เราไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการพยายามสื่อ การแสดงออกของเขาสุภาพ แต่ก็ชัดเจนว่า เขาต้องการยุติความสัมพันธ์แล้ว ซึ่งแคลร์ก็ยังไม่เข้าใจ และมันก็สร้างความอึดอัดให้กับเขา ฉะนั้นพี่คิดว่า แคลร์ไม่ควรรอ เพราะมันเป็นการรอฝั่งเดียว แคลร์ ควรหยุด เจ็บตอนนี้ให้จบและเดินหน้าใช้ชีวิตต่อไป ทางนี้จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ด้วยสถานการณ์ที่แคลร์อยู่ตอนนั้น มันเป็นได้หลายเรื่องเลย ที่เค้าเข้ามาหาแคลร์ และมันอาจจะเป็นไปได้ว่า การที่เขาเข้ามาหาแคลร์ เขาไม่ได้รักแคลร์แบบความสัมพันธ์หนึ่ง แคลร์และเขาต่างเจอกันในช่วงเวลาที่ต้องการคนซัพพอร์ต ซึ่งชีวิตในนั้นมันมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่พี่ก็รู้สึกว่า เขาก็เป็นคนดีนะ เขาไม่ได้แค่ใช้แคลร์แก้เหงา เพียงอย่างเดียว แต่ก็ยังรับผิดชอบชีวิตของแคลร์ต่อ ซึ่งเขาก็ชัดเจนที่บอกกับแคลร์ว่า ถ้าออกจากคุก ก็ให้แคลร์ไปมีชีวิตใหม่เถอะ อย่ายึดติดอยู่กับเขา แต่พี่ก็เข้าใจแคลร์ เพราะเขาคือคนแรกของแคลร์ แคลร์เลยรู้สึกว่า รักครั้งนี้มันยิ่งใหญ่มาก เหมือนว่ามันเป็นพรหมลิขิต และมันคงจะดีมากถ้าเราได้อยู่ด้วยกันต่อไปจากนี้ แต่พี่คาดว่า แคลร์ไม่ใช่คนแรกของเขา แน่นอน และหลังจากแคลร์เขาก็ยังจะมีคนใหม่อีก ซึ่งเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่า เขาไม่ได้อยากมีอนาคตกับแคลร์ต่อ และเขาก็ไม่ได้ต้องการแคลร์หลังออกจากคุก ซึ่งนี่ก็เป็นคำตอบที่ใหญ่พอที่จะทำให้แคลร์เดินหน้าต่อ เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ถ้าเต็มที่สุด ๆ แคลร์อาจจะบอกกับเขาว่า แคลร์เข้าใจพี่นะ แต่ถ้าหากวันใดวันนึง ที่พี่ออกมาจากคุกแล้ว แล้วถ้าเราอยากคุยกันโดยที่ยังโสดทั้ง 2 ฝ่าย แคลร์ยังยินดีนะ แคลร์ แต่หากรอตั้งแต่ตอนนี้ มันจะเป็นการทุกข์ใจมากถึงมากที่สุด และสุดท้าย “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘ให้แคลร์ ไปดูรายการที่มีการสัมภาษณ์กลุ่มหนุ่มสาว LGBTQ+ ในเรือนจำ ซึ่งบทสัมภาษณ์ในรายการก็จะให้คำตอบทุกอย่าง เรื่องราวมักจะคล้ายกับสถานการณ์ที่แคลร์เจอมา เรื่องราวในนั้น เกิดขึ้นในนั้น และจบลงในนั้น ถ้าออกมาต่างคนก็ต่างไปใช้ชีวิตของตัวเอง ซึ่งหากแคลร์ได้ดู แคลร์ก็อาจจะเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างมากยิ่งขึ้น และหลังจากที่พี่อ่านแชทมาพี่ได้เข้าใจเลยว่า ความสุขของเขามันเกิดขึ้นแค่ในโลกเรือนจำ พอแคลร์ออกมาเรื่องมันก็จบ ไม่ใช่ว่าเค้าไม่รักในตัวแคลร์ แต่เป็นเพราะว่าสภาพแวดล้อมมันเปลี่ยน เรื่องมันเลยต้องจบลง ซึ่งการที่เขาออกมา มันไม่ได้การันตีเลยว่า เขาต้องสานต่อกับเรื่องราวที่เขาคิดว่ามันจบลงแล้ว ถ้าแคลร์ลองตั้งสติคิดดู แคลร์ก็รู้ว่า เขาอยากให้เรื่องราวนี้มันจบ จากการที่เขาตอบคำถามก็ตามมันก็ชัดเจนมากอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อเขาชัดเจนขนาดนี้ ก็อยู่ที่แคลร์จะยอมความจริงได้เร็วแค่ไหน ช่วงแรกมันก็อาจจะรู้สึกเศร้าบ้าง แต่มันก็ไม่ถึงขั้นทรมานเท่าการรอใครสักคนหนึ่ง ตอนนี้มันก็ต้องทำใจนิดนึง แล้วก็มีชีวิตใหม่ ให้มันกลายเป็นเรื่องราวดี ๆ ที่จบลงในเรือนจำ’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

ผมอายุ 37 คบแฟน 24 น้องเขาขี้หึงมาก ผมทำงานเป็นตากล้อง เจอนางแบบสวยๆ แต่แฟนไม่โอเค สั่งให้ลบรูปในโซเชียลทั้งหมด ผมลงเพราะเก็บพอร์ตก็ต้องลบ หลังๆมา แฟนบอกว่าให้เลิกทำอาชีพตากล้อง ผมเลิกไม่ได้เพราะคือรายได้หลัก ตอนนี้ผมห่างกับเขาแล้ว

21 มี.ค. 2025

ผมอายุ 37 คบแฟน 24 น้องเขาขี้หึงมาก ผมทำงานเป็นตากล้อง เจอนางแบบสวยๆ แต่แฟนไม่โอเค สั่งให้ลบรูปในโซเชียลทั้งหมด ผมลงเพราะเก็บพอร์ตก็ต้องลบ หลังๆมา แฟนบอกว่าให้เลิกทำอาชีพตากล้อง ผมเลิกไม่ได้เพราะคือรายได้หลัก ตอนนี้ผมห่างกับเขาแล้ว

ผมอายุ 37 คบแฟน 24 น้องเขาขี้หึงมาก ผมทำงานเป็นตากล้อง เจอนางแบบสวยๆ แต่แฟนไม่โอเคสั่งให้ลบรูปในโซเชียลทั้งหมด ผมลงเพราะเก็บพอร์ตก็ต้องลบ หลังๆมา แฟนบอกว่าให้เลิกทำอาชีพตากล้องผมเลิกไม่ได้เพราะคือรายได้หลัก ตอนนี้ผมห่างกับเขาแล้ว แต่ยังไม่ได้ถอนหมั้นกัน จะทำยังไงดี? “คุณกอล์ฟ (นามสมมติ)” อายุ 37 ปี สายที่สามในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [19 มี.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา “ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม” เกี่ยวกับปัญหาแฟนขี้หึงมากจนกระทบกับงาน โดย “คุณกอล์ฟ (นามสมมติ)” เล่าว่า ‘ผมหมั้นกับน้องคนนึง เขาอายุ 24 ปี เราคบกันและหมั้นมารวมทั้งหมด 2 ปี ผมทำอาชีพเป็นช่างภาพ ส่วนน้องเขาทำงานที่ร้านของบ้านผม น้องเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยมีสังคม เอาแต่ใจ และเริ่มลามไปถึงเรื่องงานของผม ช่วงแรกๆที่คบกันน้องมีนิสัยงี่เง่านิดหน่อย แต่ยังไม่ได้ฉายแสงอะไร แต่ก็หึงหวงแรงมาก เช่น ตัดเพื่อนในโซเชียลมีเดียของผมเองเลย ช่วงที่ผมหมั้นกับเขาและทำงานไปด้วย ผมตัดเรื่องการถ่ายรูปเล่น เก็บพอร์ต ผมตัดทุกอย่างเพื่อเขา และรับแต่งานถ่ายภาพที่เป็นงานจริง ๆ เท่านั้น สาเหตุที่ผมตัดสินใจหมั้นกัน เพราะน้องเขาเป็นคนหน้าตาดี ผมก็อายุ 37 ปีแล้ว รู้สึกว่าถึงเวลาที่ควรจะมีครอบครัวได้แล้ว ถ้าช้ากว่านี้ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นชีวิตครอบครัวตอนไหน ก่อนคบกับเขา ผมค่อนข้างเจ้าชู้ เป็นคนเฟรนลี่ เล่นกับทุกคนไปหมด แต่พอคบกับเขา น้องก็มองว่าช่างภาพเจ้าชู้ทุกคน ผมเลยให้ความเชื่อใจโดยให้เขาดูทุกอย่าง รับงาน คุยกับใคร เช็คโทรศัพท์ได้ตลอด ซึ่งไม่เคยมีปัญหาเรื่องมือที่สามเลย จนกระทั่ง เวลาที่ผมจะต้องออกไปทำงาน ผมต้องคอยรายงานเขาตลอด แต่เวลาที่ผมเริ่มถ่ายงานเสร็จ ผมไม่ได้ทักบอกเขา เขาก็บอกว่า ทำไมถ่ายงานเสร็จแล้วไม่ทักบอกเลย ผมก็บอกว่า ขอนั่งพักซักแปปนึงได้ไหม เป็นแบบนี้ทุกครั้งมาตลอด เขาจะกลัวว่าผมจะไปจีบลูกค้า ไปคุยกับลูกค้าเกินกว่าที่เป็นช่างภาพกับลูกค้าคุยกัน ผมก็คอยแต่บอกเขาว่า มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ก็ให้เช็คได้ตลอดทุกครั้ง เราทะเลาะกันเรื่องนี้มาตลอด พอทะเลาะกันก็จะมีคำพูดนึงขึ้นมาว่า ไม่เคยชอบหรอกนะที่เธอถ่ายรูป และสุดท้ายเรื่องนี้ก็ลามไปถึงที่บ้านผม เพราะน้องอยากไปทำงานต่างจังหวัด ผมให้เขาไปคุยกับพ่อแม่ก่อน แต่พอคุยเสร็จก็ทะเลาะกับพ่อแม่ผม น้องยื่นคำขาดว่า ถ้าอยากให้เขาทำงานที่บ้าน ต้องให้ผมเลิกถ่ายรูป ผมถามเขาว่า แล้วจะทำอะไรกิน? เพราะแม้ว่าผมจะช่วยที่บ้านทำงาน แต่รายได้จากการถ่ายรูปก็ไม่ใช่น้อย ๆ ต่อเดือน กลายเป็นว่าเขาก็เลือกที่จะไปทำงานต่างจังหวัด ช่วงแรกเขาทดลองงาน 3 เดือน ผมซัพพอร์ตทุกอย่าง ค่าหอพัก ค่ากิน ค่าจิปาถะ ผมเคยแนะนำให้เขาทำงานที่บ้าน ถ้าไม่อยากทำงานที่บ้านก็ทำข้างนอก แต่ให้อยู่จังหวัดเดียวกัน จะได้กลับบ้านมาเจอกัน เป็นครอบครัว แต่น้องบอกว่า ไม่ ถ้าอยากให้เขาอยู่ ต้องเลิกถ่ายรูป หลังจากทดลองงานเสร็จ ผมบอกให้กลับมาขายของหน้าบ้านก็ได้ เพราะเขามีประสบการณ์ด้านร้านคาเฟ่ แต่น้องบอกหมดแพชชั่น ไม่อยากทำ ซึ่งผมคิดว่าไม่ใช่ คงเป็นเพราะไม่อยากมาเจอหน้าพ่อแม่ผม ที่เขาทะเลาะกับพ่อแม่ผมด้วยเรื่องที่เขาจะขอไปทำงานต่างจังหวัด เพราะพ่อแม่ไม่อยากให้ไป อยากให้ทำงานใกล้ ๆ ต่อให้ไม่ทำงานที่บ้านก็ไปทำงานในระแวกนั้นก็ได้ แล้วก็กลับบ้านมาเป็นครอบครัว แต่กลายเป็นว่า เขาเป็นคนดื้อ เขาเป็นคนเอาแต่ใจ ว่าฉันต้องทำแบบนี้ มีเส้นชัยไว้แบบนี้ ฉันต้องไปให้ได้ ซึ่งตอนนี้เขาไปทำงานไกลกว่าเดิมอีก ตอนแรกเขาฝึกงานกับอินฟลูเอนเซอร์คนนึงอยู่ในจังหวัดขอนแก่น แล้วก็ไปสมัครกับอินฟลูเอนเซอร์อีกคนที่โคราช ณ ตอนนี้ก็ทำงานอยู่ที่โคราช ยิ่งอยู่ห่างกัน น้องยิ่งหวงมากขึ้น พ่อแม่ผมถามว่า เธอไม่ไว้ใจลูกฉัน แล้วฉันไว้ใจเธอได้ไหม? น้องตอบว่า เชื่อใจได้สิ แต่ผมไม่เคยเช็คมือถือเขาเลย เพราะผมมองว่าชีวิตคู่ไม่ควรตึงหรือหย่อนเกินไป ต้องพอดี ๆ และเชื่อใจกัน ตอนแรกเราหมั้นกัน แล้วกะว่าครบปีจะจดทะเบียนสมรส แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าวันสุดท้ายที่ขาดสัมพันธ์กันเพราะความงี่เง่าของเขา วันนั้นผมออกไปถ่ายรูปรับปริญญาแต่เช้า บอกเขาแล้วว่าออกจากบ้านแล้วนะ แต่พอไปถึงที่งาน ผมไม่ได้ทักบอก น้องก็โกรธ พอตอนเย็นผมมีประชุมต่อ ก็ถ่ายรูปให้ดูว่าสถานที่ประชุมอยู่ตรงไหน แต่น้องก็งอนว่า ทำไมไม่บอกก่อนออกจากบ้าน ทุกครั้งที่ทะเลาะกัน ผมเป็นคนง้อ ขอโทษทุกอย่าง แต่ครั้งนี้ผมสุดจริง ๆ ผมบอกว่า ถ้าผมไม่ดี เปลี่ยนใหม่ไหม หรือห่างกันสักพัก น้องเขาก็ไม่ง้อผม เปลี่ยนสีแชท ลบทุกอย่าง หายไปหมด ผมเลยอยากถามพี่ๆดีเจว่า ผมทำถูกไหม ควรรอให้เขาคิดได้มากกว่านี้ หรือควรไปง้อเขา แล้วถ้าเขากลับมาง้อผม ผมควรพูดยังไง?’ เริ่มที่ “ดีเจต้นหอม” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘คิดว่าเขายังคิดไม่ได้ แล้วก็ถ้าคุณกอล์ฟจะรอก็สุ่มเสี่ยงไป อายุ 37 แล้ว ถ้าคิดจะวางแผนอนาคต ลองมองหาคนที่เป็นผู้ใหญ่และเข้าใจเรามากกว่านี้ คือการมีแฟนต้องไม่แตะเรื่องการทำงานของเราเลย งั้นก็เลือกตัดแฟน ถูกต้องแล้ว คนนี้ไม่ได้เข้ามาอยู่ในวงจรของเรา เขาไม่สามารถเข้ามาโลกของเราได้ เขาไม่ได้เหมาะ เปลี่ยนคน เอาผู้ใหญ่ที่โตกว่านี้ เข้าใจการทำงานของเรา ไม่ได้ผิดที่เราผิดที่เขา’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘รู้สึกว่าคุณกอล์ฟดูถูกตัวเองไปหน่อย ว่าอายุ 37 แล้วยังไม่แต่งงานมันจะช้า เพราะรู้สึกว่า 37 มันควรได้อยู่ที่ส่งเสริมกันและกัน ซึ่งน้องเขาอาจจะไม่เหมาะกับแบบนี้ คุณกอล์ฟต้องถามตัวเองว่าถ้าแต่งงานแล้ว เราจะอยู่กับเขาได้จริง ๆ ใช่ไหม ถ้าเขากลับมา แล้วคุณกอล์ฟใจอ่อน ก็ต้องคุยกับเขาว่า เป็นแบบนี้ไม่ได้ เพราะอันไหนที่มันเกินไป ก็ต้องบอกว่าคุณกอล์ฟไม่โอเคกับเรื่องนี้ ก็ต้องปรับตัว ถ้าไม่ได้ก็เลิก’ สุดท้าย “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ด้วยความห่างของอายุ 37 กับ 24 มันห่างกันมาก และคนละ Generation วิธีคิด การแสดงออก คนละแบบ ความตกตระกอนในชีวิตคนละเรื่อง ถ้าเราจะรอให้ผู้หญิงคนนี้ให้โต มันไม่ได้การันตีว่า อายุเยอะขึ้นแล้วจะหาย บางคนก็งี่เง่าแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ถ้างี่เง่าเรื่องอื่นโอเค แต่ถ้ามาตัดรายได้มันอยู่ด้วยกันไม่รอดแล้ว นั่นแปลว่าทัศนคติในการสร้างครอบครัวมันไม่เหมือนกันแล้ว การสร้างครอบครัวมันไม่ใช่แค่การคบแค่เป็นแฟน มันคือการหาเงิน การช่วยกันบริหารรายจ่าย รายรับ แต่เราดันไปเจอคนที่ไม่พร้อมมาก ๆ ถ้ามีแล้วปวดหัว มีแล้วการงานเสีย มีแล้วรายได้หด ก็อย่าเพิ่งมีดีกว่า’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1