เกินไปรึเปล่าคะคุณป้า?? สาวสุดทนโทรปรึกษา 3 ดีเจ... ป้าสะใภ้เข้าไปส่อง Facebook ส่วนตัวของเรา ตามย้อนดูโพสต์หลายๆปี คัดมาเฉพาะรูปที่เราแต่งตัววาบหวิว รูปที่เราไปเที่ยวแล้วใส่บิกินี่ แคปส่งมาถามพ่อเราว่า “ลูกทำงานอะไร? ทำไมแต่งตัวแบบนั้น?”

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

เกินไปรึเปล่าคะคุณป้า?? สาวสุดทนโทรปรึกษา 3 ดีเจ... ป้าสะใภ้เข้าไปส่อง Facebook ส่วนตัวของเรา ตามย้อนดูโพสต์หลายๆปี คัดมาเฉพาะรูปที่เราแต่งตัววาบหวิว รูปที่เราไปเที่ยวแล้วใส่บิกินี่ แคปส่งมาถามพ่อเราว่า “ลูกทำงานอะไร? ทำไมแต่งตัวแบบนั้น?”

10 ก.ค. 2023

เกินไปรึเปล่าคะคุณป้า?? สาวสุดทนโทรปรึกษา 3 ดีเจ...

ป้าสะใภ้เข้าไปส่อง Facebook ส่วนตัวของเรา ตามย้อนดูโพสต์หลายๆปี

คัดมาเฉพาะรูปที่เราแต่งตัววาบหวิว รูปที่เราไปเที่ยวแล้วใส่บิกินี่

แคปส่งมาถามพ่อเราว่า “ลูกทำงานอะไร? ทำไมแต่งตัวแบบนั้น?”

พ่อก็มาต่อว่าแม่ จนแม่ร้องไห้เลย เราจะปกป้องแม่จากป้าคนนี้ยังไงดี?

        “คุณบิว (นามสมมติ)” สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [5 ก.ค. 66] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับปัญหาป้าสะใภ้พูดเสียๆหายๆให้พ่อแม่ฟัง

        โดย “คุณบิว (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูไม่เคยมีใครเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กเลย ทั้งญาติ พี่-น้อง หรือแม้แต่พ่อแม่ แต่มีป้าสะใภ้เขาไปค้นรูปเก่าๆของหนู ย้อนไปเป็นหลักปีเลย เขาจะเลือกแค่พวกชุดบิกินี่ หรือรูปที่มันดูวาบหวิว เขาไปไล่ถามพ่อหนู ญาติพี่น้อง เครือญาติของหนูทุกคนเลยว่าทำไมเขาต้องแต่งตัวแบบนี้ เขาทำงานอะไรหรอ เขามีอาชีพอะไร รู้มั้ยว่าลูกเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ พอคุณพ่อรู้ พ่อก็ไปด่าคุณแม่ว่าเลี้ยงลูกมายังไง ให้ลูกเป็นแบบนี้ ทำไมลูกทำแบบนี้...

        คุณแม่ก็โทรมาถามหนู ซึ่งหนูก็เข้าใจในส่วนที่พ่อกับแม่มาถาม เพราะเขาก็เคยให้ Space โดยที่ไม่มายุ่งวุ่นวายเลย แต่พอถึงจุดที่มีบุคคลที่สามมาถาม เขาก็เลยต้องมาถามหนู หนูคิดว่าสำหรับตัวป้าสะใภ้เขาไม่น่าจะรู้จักชื่อเฟซบุ๊กของหนู แต่อาจจะเป็นลูกสาวของป้าที่เขาเอามาให้ดู เพราะหนูเห็นแฟนของเขามาส่อง TikTok ของหนู ซึ่งแฟนเขาเป็นเพื่อนสมัยเรียนประถมของหนู เขาเคยจีบหนูมาตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยมเลย แต่หนูไม่เคยคบหรือคุยกับเขาเลย

        สำหรับป้า หนูก็ไม่ได้เจอเขาบ่อยในชีวิตขนาดนั้น นับครั้งได้เลย และก็ไม่ได้สนิทกันถึงขนาดที่มารู้ชื่อจริงของหนูด้วย ตอนแรกหนูตั้งค่าเฟซบุ๊กไว้เฉพาะเพื่อน แต่พอเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา หนูมีการขายเสื้อผ้าออนไลน์บ้าง อัพรูปรีวิวบ้าง เพราะอยากให้ลูกค้าได้เห็น หนูก็เลยเปิดเป็นสาธารณะ หนูคิดว่านี่แหละอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเข้ามาส่องได้

        หนูเล่าและอธิบายให้คุณแม่ฟัง เขาก็เข้าใจ เพราะงานหนูรับรีวิวต่างๆ หนูก็ให้แม่ดู หนูก็เป็นผู้หญิงทั่วไปที่ชอบแต่งตัว หนูก็เลยงงว่ามันเป็นยังไง แล้วแม่หนูก็ไม่ได้ว่าอะไรด้วย ป้าไม่ได้ส่งเสีย แต่ว่าสงสัยมากๆเลย ตอนแรกหนูจะโทรไปหาป้าคนนั้นด้วย แต่โดนแม่ห้ามไว้ หนูไม่เข้าใจว่าป้าเขาต้องการอะไร?

        คือ คนต่างจังหวัดเขาเป็นพี่น้องก็จะปลูกบ้านติดๆกัน ซึ่งพ่อหนูก็มีพี่น้อง 7 คน แล้วบ้านก็ติดกันทั้ง 7 หลัง ป้าคนนั้นเขาก็ไล่ถามทุกคนเลย ทั้งลุง ป้า น้า อา ญาติผู้ใหญ่ได้เห็นรูปของหนูหมดเลย ทั้งๆที่เรากันทุกคนออกจากเฟซบุ๊กแล้ว หนูก็เคยบอกแม่ว่า แม่เป็นแม่นะ ไม่ต้องมาเป็นเพื่อนก็ได้ หนูก็ยังพูดติดตลกกันอยู่เลย เพราะเรามีอะไร เราคุยกันได้ตลอดอยู่แล้ว เขาก็ให้ Space เข้าใจ และเคารพในสิทธิ์ของหนู หนูก็ไม่เข้าใจว่าทำไมป้าต้องเข้ามาเป็นอะไรในชีวิตคนอื่น

        หนูกับพ่อก็ไม่ค่อยคุยกัน เพราะเราเหมือนกันเกินไป คุณพ่อค่อนข้างหัวโบราณ พ่อไม่เข้าใจ แต่แม่เข้าใจ เวลาเขามีอะไรก็จะคุยผ่านแม่ หนูอยากถามพี่ๆดีเจว่า หนูควรทำยังไงกับเหตุการณ์นี้ หนูควรจะรับมือป้องกันตัวเอง และแม่จากเหตุการณ์นี้ยังไงดี เพื่อไม่ให้เขามาพูดในทางเสียหาย พูดเหมือนหนูทำอาชีพที่ไม่ดีหรือเสื่อมเสียเกียรติ

        ณ จุดนี้ หนูไม่สนใจคนอื่นแล้ว แต่หนูสนใจแค่ว่าถ้าเหตุการณ์นี้มันยังมีอยู่ มันจะกระทบแม่หนูอีก แล้วเหตุการณ์นี้เขาควรจะขอโทษแม่หนูด้วยมั้ย? ที่มาพูดหรือทำอะไรให้แม่ต้องโดนพ่อต่อว่า...

        “ดีเจเติ้ล” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘วิธีที่จะทำให้ป้าสะใภ้หยุด คือ ถ้าเขาเอารูปมาให้แม่ดูอีก บิวต้องขอให้คุณแม่พูดกับเขาว่า ฉันโอเค มันใส่อย่างงี้ถ่ายรูปทำงาน ฉันไม่ได้มีปัญหา แต่ถ้าเขามาทางพ่อ ซึ่งยังไงพ่อก็ไม่ยอมรับเรื่องนี้ได้ สิ่งที่เดียวที่บิวจะทำได้ คือ บิวต้องบล็อค ไม่ให้คนภายนอกเห็นรูปเหล่านั้น ถ้าเขาเห็นรูปเมื่อไร เราทำอะไรเขาไม่ได้เลย

        การที่บิวจะไปบอกป้าคนนั้นว่า หยุดทำแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องของป้า นี่มันเรื่องของหนู สิ่งที่ป้าทำแบบนี้มันทำให้ครอบครัวหนูวุ่นวาย พี่ว่าเขาก็ยังไม่หยุด เพราะคนมันจะหาเรื่อง ยังไงเขาก็ต้องหาจนได้ เพราะฉะนั้นต้นตอของปัญหา คือ เขาไปเห็นรูปเหล่านั้น  

        อีกหนึ่งปัญหา คือ เรื่องคุณพ่อ ที่เขาเป็นคนในครอบครัวและหนูแคร์เขาที่สุด ตอนนี้ถ้าแก้ทัศนคติของคุณพ่อได้ เรื่องนี้มันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ตอนนี้มีแต่คุณแม่ที่เข้าใจบิว และที่สำคัญคือ บิวต้องให้กำลังใจคุณแม่ เพราะเหมือนเราเป็นคนสองคนที่เข้าใจและจับมือกัน ต้องบอกคุณแม่ให้เข้มแข็ง แม่ต้องเข้าใจนะ ต้องปล่อยให้คำพูดเหล่านั้นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปเลย...’

        “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘ต้องยอมรับในสิ่งที่เราเปิดเป็นสิ่งสาธารณะ มันก็เหมือนแกลลอรี่ของเราก็จะมีคนผ่านไปผ่านมาเยอะ คนที่มันรักษาและเข้าใจในโลกยุคนี้ก็มี และคนที่มันไม่เข้าใจก็มี เพราะฉะนั้นอย่างแรกเอาเทคโนโลยีเข้ามาแก้ไขก่อน คือ มันมีวิธีการตั้งเยอะมาก ดีเทลการตั้งโพสต์ เราก็ไปไล่เก็บให้หมดเลยคนที่เราไม่อยากให้เขาเห็น

        เมื่อไหร่ที่เราเปิดเป็นสาธารณะแล้ว เราจะหวังว่าทุกคนจะเคารพสิทธิของกันและกัน ไม่มีวันเป็นแบบนั้น คำว่าสาธารณะ คำว่าสังคม มันปะปนไปด้วยคนที่มีการศึกษา คนที่ไม่มีการศึกษา คนที่เข้าใจและไม่เข้าใจ คนที่ไม่ทันโลก คนล้าสมัย มันหลากหลายมาก

        เทรนด์ชุดว่ายน้ำในปัจจุบัน มันก็ไปเร็วมาก โลกมันก็เปลี่ยนเร็ว แล้วคนที่รุ่นพ่อ-แม่ ลุง ป้า คิดว่าเปอร์เซ็นต์น้อยมากที่เขาจะคิดว่าเป็นเรื่องปกติและเข้าใจ มันคือความแตกต่างคนละ Generations ที่จะเกิดขึ้นแบบนี้ในทุกปัญหา มันยากมากที่เราจะไปเป็นคุณพ่อ และป้า ไม่ว่าจะคุยกี่รอบก็ตาม พี่การันตีไม่เชื่อว่าเขาจะเปลี่ยนได้

        เขาไม่ได้เกิดมาในยุคนี้ และไม่ได้พร้อมที่จะปรับเปลี่ยน เขาไม่ได้ถูกปลูกฝังว่าโลกของเรามันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆนะ เราต้องปรับตัวให้เขากับโลกนะ ชุดความคิดนี้มันเริ่มต้นที่ Generations เราเป็นต้นไป ส่วนสิ่งที่ทำได้ คือ ปกป้องหรือป้องกันจากฝั่งเราออกไป และอะไรที่คิดว่าเขารับไม่ได้ก็เก็บๆไป’

        ส่วน “ดีเจต้นหอม” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘เริ่มที่คุณพ่อก่อน โทรหาพ่อและบอกว่าบิวเป็นแบบนี้ เสื้อผ้าบิวใส่อย่างงี้ พ่อมีหน้าที่ปกป้องบิว เพราะว่าแม่ได้รับผลกระทบกับสิ่งนี้ แม่ไม่ว่า และนี่คือชีวิตของบิว บิวโทรมาบอกให้พ่อรับรู้ว่าบิวจะเป็นแบบนี้ หน้าที่ของพ่อเมื่อป้าคนนี้ เข้ามาพูดแบบนี้อีก ตอบไปเลยว่าพ่อไม่ว่า ใช่ว่าพ่อเอาปัญหาเข้ามาในบ้าน

        แต่ถ้าพ่อยังรับปัญหานี้ แล้วรู้สึกว่าเป็นปัญหา ให้พ่อโทรหาบิวโดยตรง ถ้าพ่อผ่านแม่แล้วทำให้แม่รู้สึกแย่เมื่อไหร่ บิวจะจัดการด่าป้าคนนั้นในเฟซบุ๊ก และจะไปเอาเรื่องป้า พ่อจะอายยิ่งกว่านี้ และจะบอกเลยว่าหลังจากวางหูของพ่อ บิวจะโทรหาป้าคนนั้น ถามความต้องการว่าจะมายุ่งชีวิตบิว แล้วได้อะไร? แต่ถ้าพ่อห้าม ไม่ให้โทรหาเขา บิวบอกเลยว่า ก็ได้ แต่พ่อต้องทำตามที่บิวบอก ถ้าพ่อโอเคกับดีลนี้ บิวก็จะหยุด...

        และสุดท้าย มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะมานั่งแก้ไขเฟซบุ๊ก แก้ไขการแต่งตัว เราจะใส่แบบนี้ เพราะชีวิตเราชอบจะใส่แบบนี้ เอาเวลาไปสั่งสอนลูกให้ดีดีกว่า ให้เขาเปลี่ยน ไม่ใช่เราเปลี่ยน ป้าต้องอยู่ร่วมกับความแตกต่าง โลกมันหมุนไปแล้ว ชุดความคิดเด็กรุ่นใหม่มันไปไกลแล้ว...

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

ก็งานเสร็จแล้ว จะนั่งต่อเพื่อ ?? สาวออฟฟิศสุดกลุ้ม ถึงเวลาเลิกงานแล้ว แต่หัวหน้าชอบยื้อเวลาให้อยู่ต่อ ทั้งๆที่ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว สงสัยจัง ทำไมจะกลับตรงเวลา ถึงเป็นเรื่องยากขนาดนี้ !! พี่ๆในแผนกก็เจอเหมือนกันหมด

27 มิ.ย. 2023

ก็งานเสร็จแล้ว จะนั่งต่อเพื่อ ?? สาวออฟฟิศสุดกลุ้ม ถึงเวลาเลิกงานแล้ว แต่หัวหน้าชอบยื้อเวลาให้อยู่ต่อ ทั้งๆที่ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว สงสัยจัง ทำไมจะกลับตรงเวลา ถึงเป็นเรื่องยากขนาดนี้ !! พี่ๆในแผนกก็เจอเหมือนกันหมด

“คุณมน (นามสมมติ)” อายุ 25 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [21 มิ.ย. 66] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับปัญหาเวลาการเลิกงาน โดย “คุณมน (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูเพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่ได้ 2 เดือนกว่าแล้ว ที่นี่ไม่ใช่บริษัทใหญ่ ตอนแรกหนูคุยกับเขา เขาบอกเข้างาน 09.30 น. เลิกงาน 18.30 น. แล้วเขาก็พูดทิ้งท้ายว่า แต่กลับสักทุ่มครึ่งก็ดีนะ หนูก็เอ๊ะ! แต่ตอนนั้นหนูอยากออกจากงานเก่าเต็มที แล้วเขาก็ให้เงินเดือนหนูเยอะเกินความคาดหมาย หนูก็เลยตัดสินใจทำงานที่นี่ พอเข้ามาทำงานจริงๆแล้ว ในช่วงเดือนแรกๆหนูก็กลับบ้านตรงเวลาอยู่ เพราะหนูเป็นคนกลับบ้านตรงเวลามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่หนูงงว่าทำไมในออฟฟิศไม่มีใครกลับเลย หนูก็เลยค่อยๆตะล่อมถามคนในออฟฟิศว่า เอ้อ...ทำไมไม่มีใครกลับเลย เขาก็เล่าให้หนูฟังว่าเจ้านายเขาไม่ค่อยอยากให้กลับตรงเวลา เขาจะดึงให้ทำงาน บางคนไม่ได้มีอะไรทำ แต่เขาก็ดึงเพื่อให้อยู่ด้วยกันแล้วเขาก็จะบอกว่าเดี๋ยวซื้อข้าวให้กิน พอช่วงหลังๆมาหนูก็ไม่ได้กลับตรงเวลา เพราะว่าจะมีงานให้บ้าง ที่หนูกลับดึกที่สุดตอนนี้ประมาณ 2 ทุ่ม – 2 ทุ่มครึ่ง ซึ่งเป็นการที่หนูกลับเอง คือไม่ไหวแล้ว อยากกลับแล้ว ก็ลาเขาแล้วก็ออกไปเลย ไม่ได้รอเขาตอบกลับอะไร วันที่อยู่ดึกๆกลับช้าหนูก็ไม่ได้โอที แต่มีคนเคยบอกว่าถ้าเกิดวันไหนทำถึง 4 ทุ่ม หนูก็จะได้โอที 200 บาท ส่วนเรื่องอื่นๆ หนูเคยถามว่าลาพักร้อนมีกี่วัน เขาก็ตอบหนูไม่ชัดเจน แล้วเขาก็บอกว่าแต่ต้องทำงานให้ครบปีก่อนนะ ถึงจะได้วันลาพักร้อน แต่เขาก็ไม่บอกจำนวนวัน บรรยากาศในการทำงานมันเป็นสภาวะที่อึดอัด ทุกคนทำงานเหมือนอยู่ในสถานปฏิบัติธรรม เงียบมาก เจ้านายก็นั่งอยู่ในห้องทำงาน แต่พอเจ้านายเดินออกจากห้องทำงาน ทุกคนก็เฮฮาหัวเราะ หนูก็เลยคิดว่าทำไมบรรยากาศมันแตกต่างจังเลย หนูเคยทำที่อื่นมาก่อน แต่ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เลย และล่าสุดที่เจอมา คือ มีเพื่อนคนนึงเขาป่วยหนักหลายวัน เจ้านายก็เลยให้เรียกรถมายกคอมไปให้ทำที่บ้านเลย การกลับบ้านของเจ้านายแต่ละวันก็แล้วแต่เขาเลย บางวันเขากลับเร็วก็เร็ว บางวันเขากลับดึกก็ดึก วันไหนที่เขากลับเร็วก็เหมือนเป็น Lucky ของพนักงานที่จะได้กลับเร็ว แต่ก็จะมีอีกกรณีนึงที่คนเก่าเขาเล่ามา คือ บางตำแหน่งที่เขาต้องคุยกับลูกค้า แล้วลูกค้าโทรมาให้ทำงานให้ตอนดึกๆ เจ้านายก็จะโทรมาบอกให้อยู่ทำงานก่อน ทำงานให้เสร็จ บางคนเลิกเที่ยงคืน ตี 1 ก็มี ส่วนค่าตอบแทน ที่นี่เขาให้เงินเดือนสูง คนอื่นๆก็ได้เงินเดือนสูงเหมือนกัน ได้โบนัสดี แต่เจ้านายคนนี้เขาก็ดี แค่เรื่องเวลาที่รู้สึกไม่ค่อยโอเค... “คุณมน (นามสมมติ)” อยากถามพี่ๆ ดีเจว่า ควรจะออกจากที่ทำงานนี้เลยมั้ย หรือ ทำต่อไป เพราะเราอยากได้ประสบการณ์ “ดีเจเผือก” ก็ได้ให้คำแนะนำว่า ‘เมื่อ15 ปีที่แล้ว ผมก็เคยทำงานออฟฟิศมาก่อน แต่ของผมเป็นออฟฟิศค่อนข้างใหญ่แบบ WorldWide ตอนนั้นก็สัมผัสได้ว่ามันเป็นวัฒนธรรมของงานในสายงานนี้ เมื่อคุณเสร็จงานประจำในช่วงเวลาปกติแล้ว หลังจากนั้นคุณสามารถทำอะไรต่อได้อีกเยอะเลย คุณสามารถทำงานเพื่อส่งประกวด เพื่อแคมเปญต่อๆไป ผมเลิกงานช้าสุดก็ตี 3 - 4 ไปเลย เน้นงานเสร็จไม่ได้เน้นเวลาการทำงาน ก่อนที่จะเลือกช้อยส์ 1 หรือช้อยส์ 2 ต้องถามตัวเองก่อนว่า มนมีทางเลือกหรือเปล่า? มีตัวเลือกอื่นที่จะทำให้มนย้ายและเงินเดือนเพิ่มขึ้น ได้งานที่รับผิดชอบที่สนุกสนานมากขึ้น หน้าที่การงานเติบโตขึ้นก็ย้าย แต่ถ้ารู้สึกว่าตัวเลือกนี้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด จากเงินเดือนที่เขาให้มาค่อนข้างสูงและจากที่ฟังมนเล่ามา เขาไม่ได้ดูเป็นคนเลวร้ายอะไร แค่เขาอาจจะขี้เหงา และเป็นหัวหน้าที่บ้างาน บางครั้งหัวหน้าที่บ้างานมักจะเอาความเป็นตัวเองใส่มาให้ลูกน้องด้วย แต่ถ้าไม่มีทางเลือก การที่อยู่เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ มนอาจจะได้เจออะไรที่เลวร้ายกว่า 2 เดือนแรกอีก เดี๋ยวอยู่ต่อไป มีถึงตี 1 – 2 วันที่ต้องปิดงานเพื่อจะต้องส่ง นั่นแหละต้องเจออีกแน่ ถ้าไม่มีทางเลือกก็อยู่ต่อไป มีทางเลือกเมื่อไหร่ก็บายบ๊าย เงินเดือนเพิ่มขึ้น ธรรมชาติของงานแบบนี้ย้ายกันบ่อยอยู่แล้ว ยิ่งย้าย มีผลงานเป็นที่พิสูจน์ ยิ่งอัพเงินเดือนเพิ่มขึ้น ถ้าเป็นพี่เมื่อ 15 ปีที่แล้วพี่ยังคงทำ...’ ‘ดีเจเติ้ล’ ให้คำแนะนำว่า ‘มนต้องถามตัวเองว่าเป็นคนประเภทไหน แน่นอนมันจะมีคนที่สู้เพื่องาน จะเหนื่อยเท่าไร จะไม่สบายยังไง แต่ถ้าทำงานแล้วงานมันดี มันทำให้เราเจริญเติบโตก้าวหน้ายอมเสียสละ ถ้าเอาแค่ปัญหาที่อยู่แล้วไม่มีงานทำ ก็อาจจะลองถามคนอื่นว่ามีอะไรให้ช่วย เพราะว่างานที่หนูทำอยู่มันไม่ใช่งานที่ทำแล้วจบ มันสามารถทำอย่างอื่นเพื่อเพิ่มสกิล ทักษะอื่นๆได้ ถ้าหนูอยากหาประสบการณ์ คือ มันอยู่ที่ทัศนคติของหนูในการทำงานว่าจะทำให้มันดีกับตัวเองได้หรือเปล่า หรือแค่มานั่งว่างๆเพื่อรอให้คนอื่นกลับ แล้วฉันจะกลับ อันนี้พี่ว่ามันไม่มีประโยชน์ เอาจริงๆ มันควรต้องแก้ที่ตัวหัวหน้า ที่จะให้เขารู้ว่า เวลาในการทำงานมันไม่ได้เท่ากับประสิทธิภาพในการทำงานนะ มันไม่ได้เสมอไปว่า ถ้าทำงานดึกๆ มันจะได้งานที่ดี แต่ถ้าเขาเป็นแบบนี้ เราไปเปลี่ยนเขาไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเราไปเป็นลูกน้องเขา ตอนนี้มันก็มีแค่มนที่ต้องปรับ อยู่แบบนี้ให้ได้ โดยที่อยู่ยังไงให้ดีกับตัวเรา เหมือนที่พี่ถามมนตั้งแต่แรกว่ามนเป็นคนประเภทไหน มันแล้วแต่เลยว่าเราอยากเห็นชีวิตเราเป็นแบบไหน เราเลือกเป็นแบบไหน ซึ่งมันไม่มีถูก ไม่มีผิด มันแล้วแต่ว่าเราแฮปปี้หรือไม่แฮปปี้เท่านั้นเอง ตอนนี้มนต้องถามตัวเองว่ามนแฮปปี้มั้ยที่เป็นแบบนี้ แต่ก็ต้องดูองค์ประกอบอื่นๆด้วยว่า ถ้ามนออก ที่อื่นจะยังไง จะรับเข้าทำงานมั้ย ตอนนี้เงื่อนไขชีวิตเป็นยังไง หรือถ้าทนได้ แล้วไม่มีอะไรทำก็หาอะไรทำได้ ถ้างานมันยังดี เจ้านายดี ติดแค่เวลาการทำงานที่ชอบให้อยู่ดึก ลองชั่งน้ำหนักดูแล้วถ้าข้อดีมันมีเยอะกว่าก็อยู่ต่อ...’ ‘ดีเจต้นหอม’ ให้คำแนะนำว่า ‘ถ้าพี่เป็นเจ้านายแล้วลูกน้องกลับก่อนคนอื่น พี่จะเช็คว่างานเขาเสร็จหรือยัง เพราะฉะนั้นมันจะฟ้องด้วยผลงาน ถ้าเกิดงานหมดมันเสร็จแล้ว มันก็สามารถกลับได้ เราก็เคยไปบอกเขาว่ากลับก่อนนะคะ เขาก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร พี่ว่าเราอาจจะยังไม่ต้องคิดอะไรไปก่อนก็ได้ คือ ถ้ามนทำงานแล้วคุณภาพมันไม่ได้ลดลง มนกลับได้! เจ้านายไม่ไล่ออกหรอก ถ้าคุณภาพการทำงานของมนดี ทำงานเกินเงินเดือน ถึงเวลาเราทำงาน เราทำเต็มที่ วัดกันที่คุณภาพ แต่ถ้าวันไหนที่เขามีเคสเร่งด่วนหน่อย เราก็มีน้ำใจในการช่วยเหลือเขา คนละครึ่งทาง มันก็คือการเอื้ออาทรต่อกัน ถามว่าจะอยู่ต่อหรือพอแค่นี้ เอามวลความสุขของเราว่าการที่เราอยู่ที่นี่เรารู้สึกมีความสุขมั้ย บางทีมันไม่ใช่เรื่องหัวหน้า ไม่ใช่เรื่องเวลาอย่างเดียวหรอก เพื่อนร่วมงาน องค์ประกอบทุกอย่าง เราอยู่แล้วเราโอเคมั้ย แล้วเงินมันจำเป็นมั้ยที่ต้องได้เท่านี้ มันมีปัจจัยให้มนตัดสินใจได้อีกเยอะ 2 เดือนยังตัดสินใจอะไรไม่ได้ ให้เวลากว่านี้หน่อย...’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

เจอเพื่อนร่วมงานแบบนี้ จะทำยังไงกันคะ? โกหกเพื่อนร่วมงานว่า ‘พ่อตาย’ สุดท้ายสืบรู้ว่า… วันนั้นเค้าแอบไปกดบัตรคอนเสิร์ต แล้วลาออกจากงานไปเลย ไม่ส่งต่องานใดๆ พีคสุด เค้าวางแผนมาตั้งนานแล้วว่าจะออก!!

10 มี.ค. 2023

เจอเพื่อนร่วมงานแบบนี้ จะทำยังไงกันคะ? โกหกเพื่อนร่วมงานว่า ‘พ่อตาย’ สุดท้ายสืบรู้ว่า… วันนั้นเค้าแอบไปกดบัตรคอนเสิร์ต แล้วลาออกจากงานไปเลย ไม่ส่งต่องานใดๆ พีคสุด เค้าวางแผนมาตั้งนานแล้วว่าจะออก!!

“คุณไข่หวาน (นามสมมุติ)” สายสุดท้ายในรายการพุธทอล์ค พุธโทรเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (08/03/2023) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับปัญหาเพื่อนร่วมงานมาโกหกใส่โดย “คุณไข่หวาน (นามสมมุติ)” ได้เล่าว่า ‘พอดีว่าช่วงกลางเดือนที่แล้ว เพื่อนที่ทำงานเขาแจ้งว่าพ่อเขาเสีย แล้วเขาก็ลางานไป พอถึงสิ้นเดือน วันที่เงินเดือนออก เขาก็ออกจากกรุ๊ปไลน์ไปเลย แบบเขาออกจากงานไปเลย จนเราไปเจอในทวิตเตอร์ของเขาว่าพ่อเขาไม่ได้เสีย เพราะวันที่เขาบอกว่าพ่อเขาเสีย คือเขากดบัตรคอนเสิร์ตอยู่ ใช้ชีวิตปกติ เขามีแพลนจะลาออกอยู่แล้วด้วย แบบสิ้นเดือนนี้จะลาออกแล้ว แต่เขาก็ไปแบบไม่ได้ลา ไม่ได้บอกหัวหน้าอะไรเลยลักษณะงานที่เราทำมันเป็นโปรเจกต์ ต้องมีการพูดคุยกับลูกค้า แล้วเขาก็เป็นคนประสานงานกับลูกค้า ซึ่งเขาออกไปแบบไม่ได้ส่งต่องาน ไม่ได้รับผิดชอบตรงนี้เลย ไม่มีใครรู้ หัวหน้าก็ไม่รู้ ตอนแรกที่เขามาบอกว่าพ่อเขาเสีย เราก็เห็นใจเขาว่าแบบสูญเสีย แต่พอเรามารู้ทีหลัง คือเรา พี่ๆทุกคนในทีมและหัวหน้าก็พูดกันว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้หัวหน้าอยากให้เรื่องนี้จบแล้ว แต่หนูเห็นทวิตเตอร์เขาหนูอยากจะไปบอกกับเขาว่าแบบทำไมคุณถึงทำแบบนี้ หนูอยากถามพี่ๆดีเจว่า การที่หนูจะไปทำแบบนี้มันจะเกินไปมั้ย? แล้วถ้าพี่ๆเจอเหตุการณ์แบบนี้จะรับมือกันยังไง?ทั้ง 3 ดีเจ ให้ความคิดเห็นว่า ‘มันเป็นนิสัย และความรับผิดชอบแต่ละบุคคล ถ้าเค้าทำแบบนี้ แสดงว่าเป็นคนที่ไม่ได้เรื่อง ซึ่งถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับดีเจทั้ง 3 คน ก็จะไม่เสียเวลาไปทวงถามความถูกต้อง มันไม่คุ้มกับเวลาที่เสียไป แต่ถ้าเป็นการทักไปถามเรื่องงานที่ค้างอยู่ก็ถามได้ เพราะเป็นเรื่องงานและถ้าส่วนตัวไม่ได้สนิทกับคนนี้ ก็ยิ่งต้องปล่อยไปเลย เพราะขนาดคนที่เป็นพ่อเค้ายังไม่แคร์เลยถึงขั้น โกหกว่าตายแล้วเค้าจะแคร์เราไหม? เค้าทำแบบไหน ก็จะได้แบบนั้น เราควรมองอีกมุม ดีด้วยซ้ำที่องค์กรเรา คนแบบนี้ได้ออกไปแล้ว ส่วนถ้าต้องสื่อสารกับลูกค้าก็แค่บอกว่า มีการเปลี่ยนตัวพนักงาน หรือคนรับผิดชอบ แล้วก็หาคนทำงานต่อท้ายที่สุดถ้าเค้าเป็นคนแบบนี้ ลักษณะแบบนี้ ไปทำงานที่ไหนก็จะไม่รอดหรอก ท่องไว้เลยว่า เค้าออกไปดีแล้วกับเราไม่ต้องไปตามด่า หรือต่อว่าอะไรเค้า มันไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย...’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

หนูอายุ 15 อยาก Make Friend กับเพื่อนผู้ชายคนนึง แต่ไม่กล้า หนูชอบเพลงยุค 90 มี ‘พี่มาช่า’ เป็นศิลปินในดวงใจ ตอนอยู่โรงเรียน เขาดีดกีต้าร์ร้องเพลงของ ‘พี่หนุ่ย อำพล’ ด้วย พีคสุด! เพิ่งรู้ว่าร้านเทปที่หนูเคยไปซื้อ แม่เค้าก็เป็นเจ้าของร้าน...

07 มี.ค. 2023

หนูอายุ 15 อยาก Make Friend กับเพื่อนผู้ชายคนนึง แต่ไม่กล้า หนูชอบเพลงยุค 90 มี ‘พี่มาช่า’ เป็นศิลปินในดวงใจ ตอนอยู่โรงเรียน เขาดีดกีต้าร์ร้องเพลงของ ‘พี่หนุ่ย อำพล’ ด้วย พีคสุด! เพิ่งรู้ว่าร้านเทปที่หนูเคยไปซื้อ แม่เค้าก็เป็นเจ้าของร้าน...

“น้องมัมมัม (นามสมมุติ)” อายุ 15 ปี สายแรกในรายการพุธทอล์คพุธโทรเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (01/03/2023) ได้โทรเข้ามาปรึกษาพี่ๆ ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับปัญหาการแอบชอบเพื่อนโดย “น้องมัมมัม (นามสมมุติ)” ได้เล่าว่า ‘ส่วนตัวหนูเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบเข้าหาคนอื่น ซึ่งเวลาที่คนนอกมองมาจะดูเหมือนคนหยิ่ง ไม่มองใคร ดูแบบใครๆก็เข้าถึงตัวยาก ทั้งๆที่ในใจหนูก็อยากเข้าหาแต่ไม่กล้า ตอนนี้หนูมีกลุ่มเพื่อนที่สนิทๆกัน แต่เพื่อนๆก็เป็นคนเข้าหาหนูก่อน เลยได้สนิทกันคือหนูอยากเมคเฟรนด์กับเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง อยู่ห้องเดียวกัน นั่งใกล้ๆกัน ที่หนูอยากเมคเฟรนด์กับเขาเพราะเขามีอะไรคล้ายๆกับหนูมากๆเลย หนูจะเป็นคนที่รสนิยมไม่ได้เหมือนกับเพื่อนในวัยเดียวกัน เพราะหนูชอบฟังเพลงเก่าๆ ยุค 90 หนูมีศิลปินในดวงใจคือ พี่มาช่า วัฒนพานิช...ตอนหนูขึ้นชั้น ม.4 มันทำให้หนูรู้ว่า จริงๆแล้วก็มีคนที่ฟังเพลงเหมือนหนูเหมือนกัน ซึ่งคนๆนั้นก็คือเพื่อนคนนี้ที่หนูอยากเมคเฟรนด์ด้วย จริงๆหนูแค่อยากเมคเฟรนด์กับเขา แต่สถานการณ์ทุกอย่างมันไม่เอื้ออำนวยเลย หนูเป็นคนขี้อายด้วย และเขาก็ไม่กล้าที่จะมาคุยกับหนูด้วยเหมือนกัน แรกๆก็ไม่รู้ว่าเขาชอบเพลงพวกนี้ แต่พอหลังๆเขาก็หยิบกีต้าร์ขึ้นมาเล่นเพลงเก่าๆ แล้วก็นั่งเล่นอยู่หลังห้อง เขาจะร้องพวกเพลงไทยสากล โมเดิร์นด็อก พอส เพลงแกรมมี่ และเขาก็เล่นเพลงของพี่หนุ่ย อําพล ด้วย ตอนนั้นหนูปลื้มใจมาก ไม่เคยมีใครรู้ว่าหนูชอบเพลงนี้ หนูนั่งเงียบอยู่หน้าห้อง เขินมาก แต่ไม่กล้าเลยและมีครั้งหนึ่งที่ความพยายามหนูจะเพิ่งขึ้น ตอนนั้นไปทัศนศึกษาที่ต่างจังหวัด มันจะมีพวกที่ร้องเพลงบนรถ แล้วช่วงนั้นเป็นขากลับ หนูเหมือนโดนเจ้าเข้า วิญญาณพี่ช่าเข้าใส่ร่างหนู แล้วหนูก็ร้องเพลงออกไป เพื่อนคนอื่นก็นั่งเงียบ เพราะไม่มีใครรู้จักพี่ช่าเลย หนูก็ไม่รู้เลยว่าหนูกับเขาร้องเพลงคู่กัน เขาร้องอยู่ของเขา หนูก็เลยไปแย่งไมค์คนอื่นมาร้อง หนูก็อยากจะเมคเฟรนด์กับเขาขึ้นเรื่อยๆ และเหมือนเขาก็อยากจะเมคเฟรนด์กับหนูเหมือนกัน เวลาที่หนูลงสตอรี่ไอจีอะไรเกี่ยวกับพวกเก่าๆ ที่บ้านหนูมีเครื่องเล่นเทปคาสเซ็ท หนูก็ชอบเอามาเปิดเล่นลงสตอรี่ไอจี เขาก็ชอบมากดใจให้ ก่อนหน้านี้หนูปิดรีพายไว้ แต่ตอนนี้เพิ่งเปิดเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา มันก็มีเหตุการณ์ที่เราได้คุยกันจริงๆจัง คือ หนูเดินไปซื้อเทปอยู่แถวๆตลาด หนูก็ได้เจอกับร้านๆนึง ซึ่งมันพีคมากตรงที่เจ้าของร้านนั้นเป็นแม่ของเขา บังเอิญมาก แล้วเราก็เลยได้ทักกัน หนูก็เลยเอาเทปที่เพิ่งซื้อมาลงในสตอรี่ไอจี เขาก็รีพายมาว่า เขาเพิ่งรู้ว่าคนที่ซื้อเทปจากร้านแม่เขาไปคือหนู แล้วก็คุยกัน ถามกันเป็นไงบ้าง อะไรประมาณนี้ ตอนนั้นหนูรู้สึกใจเต้นมากเลย เพราะเขาทักมา หนูไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เลยแล้วหนูก็แอบมองเขามาเรื่อยๆ จนเดือนที่ผ่านมา หนูก็นั่งเรียนวิชาพระพุทธในห้องพระตามปกติ แล้วมันเหลือที่ว่างข้างๆ หนูแค่ทีเดียว เขาเดินเข้ามาในห้องแล้วเห็นที่ว่างตรงนั้น เขาก็ไม่นั่ง เดินหนีไปทางอื่น แล้วก็พูดอะไรไม่รู้กับเพื่อน เหมือนไม่พอใจที่เหลือที่ว่างแค่ข้างหนู เขาก็ไปเบียดนั่งกับคนอื่นแทน ทำให้หนูรู้สึกว่า เอ๊ะ! หรือว่าจริงๆแล้วเขาไม่อยากเมคเฟรนด์กับเรา หรือเขาไม่ชอบเรารึป่าว หนูแค่หวังว่าอยากจะเมคเฟรนด์กับเขาในฐานะเพื่อน แต่ถ้าจะเป็นแฟนก็ไม่ปิดกั้นมันไม่ใช่แค่กับเขาคนเดียวที่หนูอยากจะเมคเฟรนด์ แต่หนูอยากเมคเฟรนด์กับเพื่อนๆหลายคน แต่ไม่กล้าเลย ไม่กล้าที่จะเข้าหาใครเลย รวมถึงกรณีของเขาด้วย...3 ดีเจก็ได้ให้คำปรึกษา “น้องมัมมัม (นามสมมุติ)” ว่า ‘สมัยนี้มันมีตัวช่วยเยอะมาก แอปพลิเคชันต่างๆ หลักพื้นฐานง่ายๆเวลาที่หนูอยากรู้จักกับใคร คือต้องพยายามสร้างบทสนทนาที่เป็นปลายเปิด เพื่อให้เขาได้แสดงความเห็นแล้วเราจะได้มีบทสนทนาการโต้ตอบกับเขาได้ การสร้างบทสนทนานั่นคือสิ่งสำคัญมาก การพูดคุย พยายามหาประสบการณ์ร่วมอะไรก็ได้ ที่หนูรู้สึกว่าถ้าคุยกันเรื่องนี้ หนูมีเรื่องที่จะคุยได้ และเขาก็มีเรื่องจะคุยกับเราได้ อย่างเพื่อนผู้ชายคนนี้ก็คือเรื่องเพลง หนูลองไปชวนเขาคุยเลย เช่น ได้ฟังเพลงนั้นเพลงนี้มั้ย เราชอบเพลงนี้เหมือนกันหนูลองหากิจกรรมที่มันจะเป็นตัวเชื่อมที่ทำให้หนูปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ไปเข้าชมรมอะไรก็ตามที่ทำให้หนูได้อยู่กับคน ได้พูดกับคน ทำความรู้จักกับคน เราต้องพยายามเอาตัวเองออกไปจากที่ที่เราคิดว่าปลอดภัยสำหรับเรา เพื่อที่เราจะได้รู้จักคนอื่นและโลกใหม่ๆแต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าวันใดวันหนึ่งหนูรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวหนู หนูไม่ใช่คนที่จะเป็นแบบนั้นก็ไม่ต้องพยายามนะ เพราะวันนึงโลกมันจะเหวี่ยงคนแบบหนูนี่แหละมาให้เจอกัน มองหน้ากันแล้วเดี๋ยวก็เป็นเพื่อนกันเอง มันเป็นการตามหาจุดที่เราสบายใจด้วย ว่าเราเป็นคนแบบไหน วางตัวแบบไหน จุดไหนที่เราเองก็แฮปปี้ เพื่อนก็แฮปปี้กับเรา แต่หลักๆคือไม่ต้องพยายามจนไม่เป็นตัวของตัวเองนะ...’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

คบแฟนมา 5 ปี รู้อีกที... เป็นเมียคนที่ 4 ไม่ทันตั้งตัว ผู้ชายขอไปๆมาๆ หาเมียคนที่ 1 คนที่ 2 เพราะมีลูกด้วยกัน ตอนนี้หนูตัดสินใจถอยออกมาจากบ้านเขาแล้ว... แต่ยังกลัวตัวเองจะใจอ่อนกลับไปหาเขา ถ้าเขาตามมาของ้อ

19 พ.ค. 2023

คบแฟนมา 5 ปี รู้อีกที... เป็นเมียคนที่ 4 ไม่ทันตั้งตัว ผู้ชายขอไปๆมาๆ หาเมียคนที่ 1 คนที่ 2 เพราะมีลูกด้วยกัน ตอนนี้หนูตัดสินใจถอยออกมาจากบ้านเขาแล้ว... แต่ยังกลัวตัวเองจะใจอ่อนกลับไปหาเขา ถ้าเขาตามมาของ้อ

“คุณเอ็ม (นามสมมติ)” อายุ 24 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (17 พ.ค. 66) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับปัญหาความสัมพันธ์กับแฟน โดย “คุณเอ็ม (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูคบกับผู้ชายคนหนึ่งมา 5 ปีแล้ว คบกันตั้งแต่หนูอายุยังไม่ถึง 20 เลย อายุเราสองคนห่างกัน 18 ปี แต่หนูมารู้ตัวอีกทีก็เป็นเมียที่ 4 ของเขาแล้ว ซึ่งช่วงปีแรกๆ หนูไม่รู้อะไรเลย มารู้ก็ช่วงคบกันได้ประมาณ 2 ปีกว่า ตอนที่คบกัน หนูอยู่บ้านเขา เราอยู่ด้วยกันจนไม่มีอะไรให้เอะใจเลย แต่หนูรู้ว่าเขามีลูก เขาบอกเลิกกันแล้ว แต่ต้องติดต่อกับแม่ของลูกตลอด ซึ่งเวลาคุยกันเขาจะคุยต่อหน้าหนู และจะคุยกันแต่เรื่องลูก ในระหว่างที่เขาอยู่กับหนู เขาไม่เคยไปหาลูกเลย วันนั้นหนูทำงานร้านเหล้าแห่งหนึ่ง แล้วก็ไปเจอแฟนคนที่ 3 ของเขา เดินมาคุยกับหนู แล้วถามหนูว่าคุยกับคนนี้อยู่หรอ? หนูก็บอกว่าคุย พอกลับมาถึงบ้านหนูก็ไปถามแฟนหนูว่าคนนี้เขาเป็นใคร ยังไง เขาก็ยอมรับมาว่าเขามีแม่ของลูก 2 คน แล้วลูกอายุเท่ากันด้วย ห่างกันไม่กี่เดือน ก่อนที่เขาจะเอาหนูมาอยู่บ้านด้วย เขาก็เคยอยู่กับคนที่ 3 เหมือนกัน แต่อีก 2 บ้านแรกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน คนที่ 3 ของเขาอยู่จังหวัดเดียวกัน แต่คนละอำเภอ หนูก็ไม่เคยรู้ว่ามีคนนี้อยู่ ซึ่งช่วงที่แฟนมาเจอหนู คนที่ 3 เขาไปอยู่ต่างจังหวัด ในระหว่างที่อยู่กับหนูหลายๆเดือน แฟนหนูไม่มีการบินไปหาหรือติดต่อกันเลย จนผู้หญิงคนที่ 3 เขากลับมาแล้วมาเจอหนูว่าหนูไปเฝ้าผู้ชายคนนี้ ซึ่งแฟนหนูเขาก็ทำงานสถานบันเทิงเหมือนกัน เขาไม่เคยเลิกกันเลย เขาบอกกับหนูว่าจะเคลียร์กับทุกบ้านให้ เขาขอรับผิดชอบแค่ลูกของบ้านแรกกับบ้าน 2 แล้วเขาก็ไปเคลียร์กับคนที่ 3 ให้จริงๆ เพราะคนที่ 3 เขามาโวยวายใส่หนู แต่ 2 บ้านแรก หนูก็ไม่ได้อะไร เพราะคิดว่าเขาไม่ได้ติดต่อกัน เพราะหนูอยู่บ้านกับเขาตลอด แทบจะ 24 ชั่วโมง ตอนแรกหนูก็ไปๆมาๆ บ้านหนูกับบ้านเขา แต่ครอบครัวหนูค่อนข้างท็อกซิกนิดนึง หนูก็เลยไม่อยากอยู่บ้าน ส่วนมากก็ใช้ชีวิตที่บ้านเขา หลังจากที่รู้ได้ไม่นาน หนูเข้าโทรศัพท์เขาได้ตลอด แต่เขาไม่รู้ แล้วมีช่วงนึงที่เขาขอไปนอนบ้านแรก เขาบอกเหมือนลูกอยากอยู่กับเขา ซึ่งหนูก็มารู้ทีหลังเหมือนกันว่า บ้านแรกเขาจดทะเบียนและก็ยังไม่ได้หย่ากันด้วย เหมือนบ้านแรกเขาก็รู้ว่าผู้ชายอยู่กับผู้หญิงอีกคนนึง แต่เขาไม่รู้ว่าหนูคือใคร หนูก็โอเค ให้เขาไปได้ หนูเชื่อใจเขา เพราะลูกเขามาอยู่กับหนูก็ไม่ได้ หลังจากนั้นทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เขาก็ไปนอนบ้านแรกทุกสัปดาห์ จนมีอยู่วันนึง หนูเข้าไปเช็คโทรศัพท์เขา หนูเห็นว่าบ้านแรกส่งที่ตรวจครรภ์มาให้เขาดูว่าท้องอีกรอบนึง หลังจากที่หนูรู้ หนูก็นิ่งมาตลอด ไม่เคยถามอะไรเขา หนูนั่งนับเดือนตลอดว่าจะคลอดเดือนไหน จนถึงเดือนที่ใกล้จะคลอด หนูก็คุยกับเขาว่าสรุปจะเอายังไง จะคลอดวันไหน เขาก็อึ้งไปเลย คือ เขาไม่รู้ว่าหนูรู้เรื่องนี้ เขาคิดว่ามีคนมาบอกหนู แล้วเขาก็ยอมรับและบอกว่าเดี๋ยวจะคลอดเร็วๆนี้แล้ว หนูก็เลยถามไปว่าแล้วจะเอายังไง จะให้หนูอยู่ต่อยังไง หนูอยู่ต่อไม่ได้... เขาก็บอกว่าเขาเคลียร์กันแล้ว ผู้ชายจะเอาลูกคนเล็กมาเลี้ยง แล้วให้ผู้หญิงเอาลูกคนโตไป หนูก็เชื่อเขาอีก ถ้าเขาจะเอาลูกมาเลี้ยง หนูก็ยินดีและเต็มใจ เขาบอกว่าเขาขอโทษ เขาพลาด ไม่ได้มีอะไรกันมานานแล้ว พลาดครั้งเดียว มันก็ดันติดเลย ตอนนี้หนูก็เลยคุยกับเขา แล้วก็โอเคกัน จนถึงวันที่ผู้หญิงคนนั้นคลอด เขาก็พาไปส่งและจนถึงตอนนี้ 2 ปี จะ 3 ปีแล้ว เขาก็ไม่ได้กลับมาอยู่บ้านกับหนูอีกเลย แต่ก็ยังคุยกัน เขาแค่ไม่กลับมานอนบ้านด้วยกัน หนูก็ยังอยู่บ้านเขา ตอนนี้ชีวิตหนูเหมือนมีจุดเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่าง ทุกวันนี้หนูตื่นมาไม่มีความสุขเลย แล้วก็เป็นโรคซึมเศร้าด้วย เราได้เจอกันแค่ตอนเขาเลิกงานวันละ 1 ชั่วโมงเอง บางวันก็ไม่ได้เจอ แค่เวลากินข้าวด้วยกันยังไม่มีเลย เขาให้เหตุผลว่าเขาต้องช่วยดูลูกฝั่งนู้น เพราะผู้หญิงไม่ให้ลูกมาเลี้ยง ในระหว่าง 2 ปีนี้เราก็ยังมีอะไรกับเขา เขาก็ยังวาดฝันให้หนูว่าจะกลับมาอยู่ด้วยกัน จะสร้างนั่น สร้างนี้ด้วยกัน จนสุดท้ายมาถึงทุกวันนี้ไม่มีอะไรเลย ตอนนี้หนูเก็บเสื้อผ้ากลับออกมาอยู่บ้านหนูแล้ว แต่ทุกครั้งที่ทะเลาะกัน เขาจะชอบพูดว่าถ้าหนูเจอคนใหม่ที่ดีกว่า หนูไปได้เลยนะ แต่พอทุกครั้งที่หนูจะไปจริงๆ เขาจะมาดึงหนูกลับไปตลอด แล้วหนูก็กลับไปกับเขา ล่าสุดเขาโทรมาแต่หนูไม่ได้รับ ส่งข้อความมาหนูก็ไม่ได้อ่าน หนูพยายามใจแข็งมากจริงๆ แต่หนูกลัวว่าถ้าวันนึงเขาจะมาหาหนู แล้วเจอหน้ากัน หนูกลัวจะใจอ่อน... 3 ดีเจก็ได้ให้คำปรึกษา โดยเริ่มจาก “ดีเจเติ้ล” : สมมุติถ้าเราดิ่งแล้วเค้ากลับมาวิธีแรกเลย คือ เอ็มต้องคิดว่าโหตั้งแต่จับได้จนถึงตอนนี้ มันคือชีวิตของเอ็มที่เสียเวลาไปโดยที่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย จากความทุกข์ใจที่เอ็มต้องรอคนคนนึงอยู่ ไม่มีคำตอบ ไม่มีอะไรให้เราทั้งสิ้น เอาเราไปแขวนไว้ตรงนั้น เหมือนกับเราเป็นอะไรก็ไม่รู้ จะมาก็มา จะไปก็ไป ตอนนี้คำสัญญาของเขา มันคือคำโกหกหลอกลวง เขาไม่ทำจริงหรอก เค้าเคลียร์ก็คงเคลียร์ไปตั้งแต่ตอนนู้นแล้ว มันชัดเจนตั้งแต่ที่บอกเอ็มว่าจะไปดูแลลูกแต่ก็ไปเผลอมีอะไรกันกับเมียคนแรก จนมีลูกอีกรอบ เค้าคงเห็นหนูเป็นแค่ชู้ทางใจ เค้าให้ค่าหนูเท่านี้แหละ เพราะฉะนั้นถ้าเค้าจะดึงให้หนูกลับมาอีกหนูต้องคิดแล้วนะ ว่าถ้าหนูกลับไปหนูก็จะต้องกลับไปเป็นแบบเดิม เวลาที่เหลือในชีวิตหนูอ่ะ หนูอยากจะเห็นตัวเองเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงเมื่อไหร่ ตอนเนี่ยไม่มีใครที่จะพาตัวหนูออกมาได้เลย เพราะถ้าหนูกลับไปมันก็เป็นตัวหนูที่เลือกกลับไปเอง ซึ่งมันก็จะไม่มีจุดสิ้นสุดเลย เพราะยังไงเค้าดูก็เป็นคนที่ไม่ปล่อยหนูอยู่แล้ว อย่างที่สอง คือ อยากให้หนูคิดในมุมที่ว่า ตอนนี้มีพ่อกับแม่ที่ต้องการหนู ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจทุกอย่างเพื่อดูแลเขา ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่หนักหนาสำหรับชีวิตเราแล้วแหละ แต่ถ้าหนูยังจะมีผู้ชายคนนี้อีก มันก็จะเป็นสามเด้งเลยนะ หนูจะเอาเวลาไหนไปเติบโตในชีวิตอ่ะ หรือไปมีชีวิตที่มันดีขึ้นกว่านี้และระหว่างทางที่หนูมีคนมารู้จัก หนูลองเปิดใจดูก็ได้นะ เผื่อมันจะมีคนดีๆที่เขาเข้ามาแล้ว เขาจะไม่ใช่คนแบบนี้ แล้วทำไมเราจะต้องเสียดายคนดีๆที่มีโอกาสรู้จักไป เพราะผู้ชายแบบนี้ ซึ่งจริงๆแล้วเค้าลากหนูไปไม่ได้นะ ถ้าหนูไม่กลับไปเอง สุดท้ายมันเป็นขาของหนูสองขาที่เดินตามเขากลับไปเอง เพราะฉะนั้นถ้าหนูรู้ตัวแล้วมันก็เป็นขาของหนูเองที่จะอยู่กับบ้านไม่ออกไปกับเขา... “ดีเจต้นหอม” : เอ็มต้องยอมรับความจริงก่อนว่านี่มันไม่ใช่ความรัก ที่ได้อยู่ มันเป็นความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยน คนรักกันไม่ทำกันอย่างนี้อยู่แล้ว ดูจากพฤติกรรมที่เรามาผู้ชายคนเนี้ยไข่ไปทั่ว แล้วก็เอาไปทั่ว ในจังหวะที่เมียกำลังท้องก็ไปมีอะไรกับอีกคนนึง เอ็มก็บอกเองว่าในขณะที่อยู่กับเอ็มเค้าไม่เคยไปดูลูกเลย แสดงว่าความรับผิดชอบของผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้ดีเลย แต่ในวันนี้คงไปตกลงไปดิวอะไรกับเมียซักอย่างนึง เมียถึงต้องยื่นคำขาดมาว่าต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูก เค้าก็เลยให้เอ็มได้แค่นี้ และการได้อยู่บ้านเขามันไม่ใช่สิทธิพิเศษนะ มันแค่ผู้หญิงคนอื่น ไม่ได้มาอยู่เพื่อเฝ้ารออะไรแบบนี้อยู่แล้ว แต่เอ็มอยู่รอ ในวันนี้เป็นเรื่องที่ดีนะที่เอ็มตัดสินใจว่า จะไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว มีทางไป ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเอ็มไม่ใช่เรื่องผู้ชายแต่คือเรื่องเงิน แนะนำให้เปลี่ยนโฟกัสเลย ผู้ชายเอาปัญหาเค้ามาถ่วงอีก เขาก็ไม่ได้เข้ามาให้ความรัก ไม่ได้เข้ามาเป็นแบตเตอรี่ ไม่ได้เข้ามาชาร์จแบตให้ที่ทำให้มี energy หรือรู้สึกดีขึ้น แถมยังทำให้เป็นโรคซึมเศร้าอีก เขาคือภาระ เขาคือมะเร็ง เขาจะก้าวเข้ามาในชีวิตเราไม่ได้แล้ว บล็อกทุกอย่าง แล้วเวลาดิ่งเขาไม่ได้อยู่ช่วยแก้ปัญหา เพราะคนนี้คือคนที่ทำให้เราดิ่งลงไปอีก มันไม่มีทางแบบเติมน้ำให้เต็มในทะเลทราย ซึ่งผู้ชายคนนี้ไม่ใช่โลกทั้งใบของเอ็ม แต่เป็นถังขยะ เอาตัวเราไปอยู่ในที่ที่ถูกต้องดีกว่า โฟกัสวันนี้คือเรื่องงาน เรื่องเงิน คิดว่าวันนี้เราจะทำยังไงให้ได้เงิน ทำยังไงให้สภาพ การเป็นอยู่ของเรามันดีกว่านี้ แล้วมันอาจจะมีคนเข้ามาในชีวิตเอ็มอีกแหละ ให้ระวังในวันที่เราเป็นโรคซึมเศร้า คนที่เข้ามาอาจจะทำให้เราดิ่งอีก วิธีการ คือ อย่าเอาชีวิตตัวเองไปฝากไว้กับคนอื่น เราจะเริ่มมีใครซักคนนึงอาจจะแบบใจเย็นๆ คือ รอดูว่าให้เขามาเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน แต่ถ้ารู้สึกว่าไม่ใช่ละ แนะนำให้เช็คบิลเลย เราไม่เอา ถ้าวันนี้ตัดสินใจแล้วว่าจะออกมา ขั้นแรกคือบล็อก เมื่อไหร่ก็ตามที่เห็นข้อความเขาขึ้นอยู่ จนรู้สึกว่าเนี่ยเค้ามาตามง้อละ มันเป็นการหลอกตัวเองเข้าข้างตัวเองว่าตัวเองสำคัญ ทั้งๆที่ผ่านมาไม่เคยสำคัญเลย แต่เราแค่ปิดประตูความจริงอยู่ เพราะการกระทำเค้ามันชัดมาก คนเป็นแฟนกันหายหัวไปเดือนนึง คนเป็นแฟนกัน มันต้องรู้แล้ว เราต้องรู้แล้วว่าเราไม่ได้สำคัญ แต่นี่หายหัวไปสองเกือบสามปี หล่อเลี้ยงด้วยการมาเจอกันวันละ 1 ชั่วโมง คนรักกันไม่ห่างกันขนาดนั้นอยู่แล้ว ให้มันเจ็บแล้วมันจบ เพราะไม่งั้นมันมูฟออนหรือเริ่มต้นใหม่ไม่ได้ การที่เราเป็นโรคซึมเศร้าเพราะใครคนหนึ่งที่ไม่ได้รักเรามันสุดมากแล้วนะ จะป่วยทั้งที ก็ป่วยกับคนที่มันสมควรที่ทำให้เราเจ็บหน่อยดิ เพราะเท่าที่ฟังมาไม่มีอะไรดีเลย แต่วันนี้เริ่มต้นใหม่ได้อ่ะ ถ้าลุกขึ้นได้เร็ว ก็วิ่งได้เร็ว คิดซะว่าถึงแล้วต้องวิ่งละ จะไม่ย่ำอยู่กับที่ หมดเวลาละ ปาดน้ำตา ปัดมาสคาร่าออกไปหาแขกเราต้องการเงินค่ะ... “ดีเจเผือก” : พี่ไม่รู้สึกถึง ความมั่นคง ความมั่นใจ ความเด็ดเดี่ยว ที่จะพาตัวเองออกจากสถานการณ์นี้เลย มันชัดเจนไปหมดเนอะ คนๆหนึ่งที่ผ่านความรักมา 4 เมีย มันไม่น่าจะใช่คนที่เราเห็นได้บ่อยๆ อันนี้เค้าพาตัวเองมาถึงจุดที่มี 4 เมียได้ ปัญหาของเมียแต่ละคนก็เยอะแยะไปอีก ถ้าเป็นคนอื่นเค้าคงพยายามถามหาข้อดีว่าอะไรที่ทำให้เราทนอยู่กับคนๆนี้ได้ เสียทั้งเวลา เสียทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต และวันนี้ที่เอ็มโทรมา เอ็มไม่ได้มีพลังพอที่จะพาตัวเองออกมาจากจุดนั้นได้ มันเพราะอะไร คงจะไม่ใช่เรื่องของเหตุผลแล้ว เพราะถ้าวันนี้เราคุยกันด้วยเหตุผล มันไม่มีข้อดีเลยนะ เพราะถ้ามันเป็นเรื่องของเหตุและผล เอ็มทำความเข้าใจกับมันได้ เอ็มคงเดินออกไปนานแล้ว ถ้าการอยู่ใกล้แล้วมันห้ามใจตัวเองไม่ได้ การพาตัวเองไปอยู่อีกที่ก็เป็นทางออกที่ดี ซึ่งพี่ก็เห็นด้วยว่าชีวิตของเอ็มปัญหามันรุมเร้าเหลือเกิน ชีวิตคนเรามันจะมีปัญหาที่เลี่ยงไม่ได้ และเราก็ต้องเผชิญมันในทุกๆวัน แต่มันมีปัญหาที่เอ็มเลี่ยงได้ กับการพอสักทีกับผู้ชายคนนี้ เอ็มหยุดมันได้ แต่เหมือนกับเอ็มไม่ยอมให้ตัวเองออกจากปัญหานี้ คนเราต้องหัดเอาปัญหาออกจากตัวเอง และเราก็เห็นๆกันอยู่ว่าเราสามารถหยุดมันได้ และไม่มีใครมาดึงใครทั้งนั้น เห็นแค่ว่าเค้ากวักมือเรียกเราก็พร้อมที่จะกลับไปหาเขาแล้ว หลังจากนี้ก็เป็นกำลังใจให้ในสิ่งที่ตั้งใจทำให้มันสำเร็จ ไปตั้งหลักที่อื่นยังไงก็ลองดูสักตั้ง ถ้าใจเรามันอ่อนก็ให้เทคโนโลยีช่วย โดยการบล็อกเขาซะ ถ้าวันไหนที่ไม่มีสติก็ย้อนกลับมาฟังสิ่งที่ตัวเองพูดกับพวกพี่ในวันนี้แหละ....เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1