หนูสู้ไม่ไหวแล้ว... 15 ปีที่แล้วเคยคบแฟนคนนึง เวลาเราสองคน ทะเลาะกัน เขาจะชอบพูดว่า “ถ้าเลิกกัน ต้องมีคนใดคนนึงตาย” หนูเลยตอบไปว่า “หนูยังไม่อยากตาย ถ้าพี่จะตายเชิญตายไปก่อนเลย” หลังจากนั้น 3 วัน เขาฆ่าตัวตายจริงๆ นับจากวันที่เสียชีวิต ผ่านมาแล้ว 9 ปี...

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

หนูสู้ไม่ไหวแล้ว... 15 ปีที่แล้วเคยคบแฟนคนนึง เวลาเราสองคน ทะเลาะกัน เขาจะชอบพูดว่า “ถ้าเลิกกัน ต้องมีคนใดคนนึงตาย” หนูเลยตอบไปว่า “หนูยังไม่อยากตาย ถ้าพี่จะตายเชิญตายไปก่อนเลย” หลังจากนั้น 3 วัน เขาฆ่าตัวตายจริงๆ นับจากวันที่เสียชีวิต ผ่านมาแล้ว 9 ปี...

02 มิ.ย. 2023

         “คุณบี (นามสมมติ)” อายุ 30 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [31 พ.ค. 66] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก - ดีเจเฟี๊ยต – ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับปัญหาที่โทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้แฟนฆ่าตัวตาย

        โดย “คุณบี (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูคบกับแฟนคนนี้มา 15 ปีแล้ว เขาเป็นแฟนคนแรกของหนูด้วย คบกันมานานมาก เมื่อก่อนหนูเป็นคนที่พูดจาไม่ค่อยดี พูดตรงๆ คบกับเขามาสักพักนึง ในช่วงมหาลัยหนูจะติดเที่ยว ติดเพื่อน แล้วก็จะทะเลาะกันบ่อยมาก พอทะเลาะกัน เขาก็พูดมาคำนึงว่า ถ้าเกิดจะเลิกกัน จะต้องมีคนใดคนนึงตาย ด้วยความที่เราเป็นคนปากไม่ดีอยู่แล้ว ก็เลยพูดออกไปว่า หนูยังไม่อยากตาย หนูยังอยากใช้ชีวิต ยังไม่พร้อมที่จะตายตอนนี้ ถ้าพี่อยากตาย พี่ไปตายก่อนเลย พอหลังจากนั้น 3 วัน หนูเพิ่งมารู้จากเพื่อนของเขาว่า เขาฆ่าตัวตายจริงๆ จากนั้นหนูก็ช็อคมาหลายปี รักษาซึมเศร้ามาตลอด

        หลังจากที่เขาตาย ทั้ง พ่อแม่ และญาติเขาก็จะทักมา โทรมา ด่าหนูตลอด บอกว่า หนูเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกเขาตาย หนูก็รู้สึกผิดมาตลอด จนคิดว่าถ้าหนูเป็นฝ่ายไปแทนได้ หนูก็จะไป หลังจากนั้นหนูก็อยากใช้ชีวิต ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ จนไปเจอกับผู้ชายอีกคนนึงที่ดีมาก เขามาขอหนูแต่งงาน แต่กลับกลายเป็นหนูไม่กล้า หนูรู้สึกจมอยู่ตรงนี้นานมาก ก้าวออกไปไม่ได้ ไม่ได้ตอบรับไป หนูฟังรายการมาตลอด หนูรู้สึกว่าอยากจะคุยกับคนนอกบ้าง อยากฟังความคิดเห็น บางครั้งหนูยังคิดที่จะไม่อยากมีชีวิตอยู่เลย เพราะคำพูดที่หนูเคยพูดออกไป มันวนกลับมาในหัวหนูตลอดเลย หนูมีปรึกษาแพทย์ รักษาตามอาการ เขาก็พูดว่า เราต้องปล่อยวาง แต่หนูพยายามแล้วก็ไม่สามารถทำได้

          ณ วันนั้นหนูไม่คิดว่าพี่เขาจะตายจริงๆ หนูพูดไปอย่างงั้น หนูพยายามอธิบายทางญาติฝั่งเขาแล้ว แต่เขาไม่ฟังเลย เขาพูดแค่ว่าหนูเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกเขาตาย เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการสูญเสีย หนูรู้สึกว่าเหมือนบางครั้งหนูก็ดีขึ้น บางครั้งหนูก็รู้สึกแย่ลงมากๆ ยิ่งหนูพยายามหนีจากครอบครัวเขาเท่าไหร่ เหมือนครอบครัวเขาพยายามตอบย้ำตลอดว่าหนูเป็นคนผิด

          พี่เขาจะพูดเสมอว่า ถ้าเลิกกัน จะต้องมีคนใดคนนึงตายไป พูดตลอด จนหนูถึงพูดคำนั้นไปว่ายังไม่พร้อมที่จะตายจริงๆ ตอนนี้รู้ไม่อยากฟังคำตอกย้ำใดๆแล้ว หนูอยากจะเดินไปข้างหน้าจริงๆ หนูตัดการติดต่อ พยายามหนีมาตลอด เปลี่ยนเบอร์ เปลี่ยนเฟซบุ๊กมาเป็นสิบๆรอบ แต่หนูยังไม่เคยสู้กลับใดๆกับญาติฝั่งนั้น

         มีครั้งนึงที่แม่เค้าเอาสเปรย์มาฉีดที่รถหนู เขียนว่า มึงทำให้ลูกกูต้องตาย ทำถึงขั้นนั้นเลย แต่หนูไม่ได้แจ้งความอะไรเลย แต่หนูก็รู้ว่าเป็นฝีมือของแม่เค้า ปัจจุบันเขายังมาระราน ตามมาที่ทำงาน จนหนูลาออกจากงานเลย หนูแค่อยากจะบอกว่าหนูไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้เลย เรื่องมันเป็นไปแล้ว หนูกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้เลย หนูควรจะทำยังไง ควรจะใช้ชีวิตยังไง? หนูจะต้องอยู่ต่อไปยังไง? เหมือนหนูต้องอยู่กับอดีตไปตลอดเวลา

       ตอนแรกหนูคิดว่าหนูกลัวเรื่องราวในอดีต แต่หนูคิดว่าหนูทำใจได้ระดับนึงแล้ว แต่ปัจจุบันนี้คิดว่าหนูกลัวครอบครัวของเขามากกว่า นับตั้งแต่วันที่เขาเสียญาติเค้าก็จะทักแชทมาด่า แอดเฟสมาด่าตลอด เพื่อนหนูก็แนะนำให้ด่ากลับไปเลย แต่หนูไม่กล้า พอได้ยินเสียงเขา หนูก็จะรีบกดวางสายไปเลย ตอนนี้หนูควรไปแจ้งความไหมคะ?

           สำหรับความคิดเห็นของ “ดีเจต้นหอม” แนะนำว่า ควรไปแจ้งความเพราะตอนนี้เราเป็นฝ่ายโดนระราน รังควานมาตลอด ทั้งฉีดสเปรย์รถ ทั้งตามไปที่ทำงาน เราควรไปแจ้งความไว้

           “ดีเจเฟี๊ยต” เสริมว่า ควรจะหาคนที่คุยด้วยได้ มีอะไรก็ปรึกษาเขา เช่น เพื่อน หรือ นักจิตวิทยา เพราะถ้าไม่มีใครที่คอยช่วยคิด จะกลายเป็นเราที่อยู่คนเดียว จมอยู่กับเรื่องนั้นๆ อย่ากลัวว่าเราจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนรึเปล่า? ถ้าท้ายที่สุดถ้าเขาเดือนร้อน เขาก็แค่จะไม่ช่วย แต่ถ้าคนที่เราสนิทและไว้ใจ เราขอเขา แล้วเขาช่วย มันจะเป็นการทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันมันแน่นขึ้น ชีวิตเราควรที่จะ Connect กับคนอื่น อยากจะให้ปรับตรงนี้ เพราะชีวิตควรจะมีใครสักคนที่คอยรับฟังเรา

            “คุณบี (นามสมมติ)” ได้เล่าต่อว่า “หนูอยากรู้ว่าหนูควรจะสู้กับเขาไหม? แล้วควรจะสู้กับเขายังไง? หนูรู้สึกยอมไม่ไหวแล้ว หนูเปลี่ยนโซเชียลมีเดียมาเยอะแล้ว เปลี่ยนงานมาเป็นสิบงานแล้ว หนูรู้สึกไม่ไหวแล้วจริงๆ”

         ด้าน “ดีเจเผือก” ให้ความเห็นว่า ถ้าตอนนี้มีคนใหม่ที่เข้ามาแล้ว เขาควรจะเป็นคนที่มาช่วยซัพพอร์ตเราเรื่องนี้ ช่วยเหลือเรา ลองเปิดใจคุยกับเขาดูไหม? เหมือนเขาจะเป็นหลัก คอยเป็นเซฟโซนให้เรา มันก็จะทำให้เราผ่านเรื่องนี้ไปด้วย โดยที่ไม่เก็บเรื่องนี้ไว้เพียงลำพังแบบที่ผ่านมา

          นอกจากนี้ “ดีเจเฟี๊ยต” ยังกล่าวเสริมว่า ดีเจเฟี๊ยตมองเรื่องนี้แบ่งออกเป็นทั้งหมด 3 ก้อนด้วยกัน อย่างแรกคือเรื่อง ‘สาเหตุการตายของเขา’ มีความรู้สึกว่าการที่คนเราจะตัดสินใจจบชีวิตตัวเองนั้น มักจะมีสาเหตุหลายๆอย่างประกอบกันด้วย บางทีเขาอาจจะมีภาวะซึมเศร้าร่วมอยู่ด้วย ถ้าเปรียบเทียบให้เห็น การที่เราใช้คำคำเดียวด่าคนอื่นๆ แต่ละคนก็จะมีปฏิกิริยาตอบรับไม่เหมือนกันเลย เผอิญว่าส่วนผสมของบีที่มีตอนนั้น กับส่วนผสมของเขาที่มีตอนนั้น มันบังเอิญเหมาะกันพอดี ถ้าถามพี่ว่าสาเหตุเดียวเลยมั้ยที่ทำให้เขาฆ่าตัวตาย คือ บี พี่ว่ายังไม่ใช่

             สำหรับข้อที่สองคือ ‘การระรานของครอบครัวเขา’ ถ้าแรกๆ พี่พอเข้าใจว่าเป็นการสูญเสีย คือปกติแล้วมันจะมีระดับของการสูญเสีย หนึ่ง สอง สาม สี่ แต่ผ่านมาแล้ว เขายังไม่ผ่านตรงนั้นมาได้เลย รู้สึกว่าครอบครัวเขาก็ยังไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ ถ้ามองในมุมนี้ บ้านเขาก็ค่อนข้างน่าสงสารทั้งบ้าน เพราะเขาไม่สามารถก้าวต่อไปได้เลย เลยเลือกที่จะเอาเราเป็นสาเหตุว่าทำให้ลูกเขาตาย ณ วันนั้น บีไม่ได้ถือมีดบังคับเขาว่า ต้องตายสิ ตายเลย บีก็ไม่ได้ทำ ดังนั้นมันก็ค่อนข้างไม่แฟร์สำหรับบีเลย ถ้าผ่านมาขนาดนี้แล้วยังโทษเรา ขอกล่าวเสริมว่าการที่ใครไม่สมหวังในความรัก ไม่ควรจะจดชีวิตลงด้วยการฆ่าตัวตาย เพราะมันส่งผลต่อคนอื่นไปหมด กระทบกันไปหมด

          เพราะฉะนั้นในส่วนที่ครอบครัวเขามาระรานเรา ให้เราคิดว่าเรากำลังรับมือกับคนที่อยู่ในสภาวะไม่ปกติ ควรสงสารเขาด้วยซ้ำ คิดว่าอาจจะต้องไปบำบัดกันทั้งครอบครัวด้วย

           สำหรับข้อที่สาม คือประเด็นที่บี “โทษตัวเองว่าไม่ดีพอ เลยทำให้ไม่กล้าเริ่มต้นใหม่กับใคร” ผิดไม่ผิดอยากไร อยากให้ดูที่เจตนา คราวหน้าอยากจะให้บีทบทวนตัวเองในเรื่องของท่าทีในการแสดงออก

          สุดท้ายก็อยากจะมองว่า หยุดที่จะหนีได้แล้ว อย่างน้อยไปแจ้งความไว้สำหรับกรณีที่ เขามาทำให้ข้าวของเราเสียหาย หรือ เกิดคดีความ การแจ้งความไว้ก็อาจจะมาช่วยตรงนี้ได้ อยากจะให้บีมองว่าที่ผ่านมา เราเป็นฝ่ายเสียหายมาเยอะแล้ว เราควรป้องกันตัวเองไว้ก่อน สิ่งสำคัญคือ ให้อภัยตัวเองด้วย คนนั้นในอดีต กับเราในปัจจุบันที่อายุเท่านี้แล้ว เราคือคนละคนกันแล้ว ณ วันนี้ เรียนรู้ และ เติบโตไปได้แล้ว

               ก่อนวางสาย “คุณบี (นามสมมติ)” ได้บอกว่า หนูจะสู้นะคะ และถ้าหนูทำได้หนูจะติดต่อทีมงานมา หนูจะสู้ต่อไป ขอบคุณมากๆเลยนะคะ...

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

หนุ่มโทรปรึกษา แฟนนัดเพื่อนผู้ชายไปเที่ยวต่างจังหวัด 3 วัน มารู้ทีหลังว่าเพื่อนผู้ชายคนนี้ เป็นรักแรก สมัยเรียนมัธยม เราทะเลาะกันจนถึงขั้นจะเลิกกันเลย และผมก็ไม่ค่อยสบายใจ แต่ตอนนี้อยากกลับไปรู้สึกดีๆกับแฟนเหมือนเดิม... ทำไงดี?

27 มี.ค. 2023

หนุ่มโทรปรึกษา แฟนนัดเพื่อนผู้ชายไปเที่ยวต่างจังหวัด 3 วัน มารู้ทีหลังว่าเพื่อนผู้ชายคนนี้ เป็นรักแรก สมัยเรียนมัธยม เราทะเลาะกันจนถึงขั้นจะเลิกกันเลย และผมก็ไม่ค่อยสบายใจ แต่ตอนนี้อยากกลับไปรู้สึกดีๆกับแฟนเหมือนเดิม... ทำไงดี?

“คุณภู (นามสมมุติ)” สายที่สองในรายการพุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (15 มีนาคม 2566) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับปัญหาความรู้สึกไม่สบายใจที่แฟนไปเที่ยวกับ Puppy Love โดย “คุณภู (นามสมมุติ)” ได้เล่าว่า 'ตอนนี้คบกับแฟนมาได้ 3 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้แฟนผมเขาเคยบอกว่าจะมีเพื่อนผู้ชายกลับมาจากต่างประเทศ มาเที่ยวที่ประเทศไทย แล้วจะไปต่างจังหวัดด้วยกัน 3 วัน เพื่อไปหาเพื่อนผู้หญิงอีกคนหนึ่ง และจะนอนค้างที่บ้านของเพื่อนผู้หญิงคนนี้แหละ ผมก็โอเค ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย เพราะแฟนบอกเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก ซึ่งตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าเพื่อนผู้ชายคนนี้เคยเป็นรักครั้งแรกของแฟนมาก่อน แต่พอแฟนผมจองตั๋วเครื่องบินเสร็จเรียบร้อย ผมก็เอะใจ เลยเข้าไปดูข้อความในเฟซบุ๊กของแฟนว่าคุยอะไรกันบ้าง เพราะผมรู้รหัสปลดล็อกโทรศัพท์ของแฟนอยู่แล้ว ผมก็ย้อนแชทไปดู จนเจอว่าข้อความบางส่วนถูกลบไปเมื่อปีที่แล้ว ข้อความที่เหลืออยู่ แฟนผมก็คุยกับเพื่อนผู้ชายคนนี้ประมาณว่า คิดถึงแกนะ เพราะเขาอยู่ต่างประเทศ และผมก็เอะใจกับประโยคหนึ่งที่เพื่อนผู้ชายคนนี้ถามว่า แฟนแกจะไม่ว่าอะไรหรอ เพราะเราเคยเป็นรักในวัยเด็ก มันก็ทำให้ผมไม่สบายใจว่าแบบได้ด้วยหรอ เพราะเขาทั้งสองคนกำลังจะไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน ซึ่งแฟนผมก็ตอบกลับไปว่า มันนานมาก 10 กว่าปีตั้งแต่ตอนเด็กๆแล้ว ไม่ได้คิดอะไรแล้ว เขาไม่เคยเล่าความรักครั้งนี้ให้ผมฟังเลย แล้วหลังจากที่ผมเห็นแชท ผมก็ถามเขาว่า เคยเป็นอะไรกันหรอ แฟนก็บอกว่าคนนั้นเคยมาชอบสมัยวัยเด็ก ปกติผมไว้ใจแฟนมากๆ รวมถึงนิสัยของแฟนก็ไม่เคยมีเรื่องเจ้าชู้เลยสักครั้ง เวลาไปเที่ยวก็ไปด้วยกันตลอด ผมก็บอกเขาไปแล้วว่า ผมไม่สบายใจนะ ถึงขั้นทะเลาะกันรุนแรงจนจะเลิกกันเลย แต่สักพักเขาก็มาคุยดีใส่ ผมก็บอกว่า งั้นแล้วแต่คุณ ถ้าอยากไปคุณก็ไป เขาก็ไม่เชิงว่าชวนผมไปด้วย เพราะมารู้ทีหลังก็จองตั๋วเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว แต่ผมก็ไปกับเขาด้วยไม่ได้ เพราะผมติดงาน ปกติเราสองคนจะ Face Time หากันตลอด และระหว่างทริปที่ไปแฟนผมจะถ่ายรูปส่งให้ดูว่าอยู่ที่ไหน พักที่ไหน มีโทร และ Face Time หากันบ้างเวลาเขาอยู่คนเดียว จนผ่านมาถึงวันนี้ แฟนผมกำลังเดินทางกลับ ผมก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้จะพูดกับเขายังไงดี กลัวกลับมาเจอกันแล้วความรู้สึกมันจะไม่เหมือนเดิม แต่เขาก็ยังคุยกับเราเหมือนเดิม ก็เลยจะมาขอคำปรึกษาให้ตัวผมเองมองไปในทางที่ดีขึ้น หรือ กลับไปรู้สึกดีๆกับแฟนแบบเดิมได้' งานนี้ดีเจทั้ง 3 คนก็ได้ให้คำปรึกษาว่า 'จากที่ฟังมาทั้งหมดเรามองว่ามันคือการกลับไปเจอเพื่อนเก่าแค่นั้นเลย แต่เรามีสิทธิ์ที่จะไม่สบายใจได้นะ เพราะเขาอาจจะแสดงความมั่นใจให้เราน้อยไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้มากพอที่จะทำให้เราฟันธง 100 % ว่าเขานอกใจ แต่ถ้านำความรู้สึกที่ไม่ดีตรงนี้ไปขยายต่อ มันอาจจะทำลายความสัมพันธ์ให้แย่ลง เราต้องรู้จักแฟนเรามากกว่าคนอื่น แต่ให้ภูรู้ไว้ว่า...ถ้าใครสักคนนอกใจ ภูแทบไม่ต้องทำอะไรเลย ภูจะได้รู้โดยที่ไม่ต้องไปสืบค้นเลย เพราะถ้านอกใจมันจะมีอะไรที่เปลี่ยนไปแน่นอน แต่ถ้าปกติเหมือนเดิมแปลว่าไม่มี คนอยู่ด้วยกันมันจะรู้ ควรปรับจูนเข้าหากันทั้งคู่ ทั้งนี้ทั้งนั้นมาจากการคุยกัน อาจจะเริ่มจากการขอโทษ และปรับความเข้าใจที่ว่า ถ้ามีอะไรให้บอกก่อน ดีกว่าการที่ให้รู้เองทีหลัง บางทีเรื่องนี้มันไม่มีอะไรเลยตั้งแต่แรก ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลยเลือกที่จะไม่พูด เพราะถ้าพูดมันจะมีเรื่องอะไรขึ้นมาทันที ซึ่งมันก็อยู่ที่ว่าใครสักคนหนึ่งเป็นคนรับฟังมากขนาดไหน เราต้องรู้จักกันและกันให้มากกว่านี้จริงๆ ซึ่งถ้า ณ วันนี้ เขายังเป็นแฟนที่น่ารักกับเรา ยังคงทำให้เรามั่นใจอยู่ ต้องมองข้ามเรื่องนี้ไปเลย...'เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

หนูทำงานเป็นผู้ช่วย เผลอไปมีอะไรกับหัวหน้าที่ทริปต่างจังหวัด มารู้ทีหลังว่า...

03 มี.ค. 2023

หนูทำงานเป็นผู้ช่วย เผลอไปมีอะไรกับหัวหน้าที่ทริปต่างจังหวัด มารู้ทีหลังว่า...

“คุณหวาน (นามสมมุติ)” สายที่สามในรายการพุธทอล์คพุธโทรเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (01/03/2023) ได้โทรเข้ามาปรึกษาดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับปัญหาความสัมพันธ์กับหัวหน้าโดย “คุณหวาน (นามสมมุติ)” ได้ปรึกษาว่า ‘เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว หัวหน้าต้องการคนช่วยงาน เขาก็เลือกหนูกับเพื่อนอีกคนนึงให้ไปช่วยงานเขา เป็นงานจิปาถะ ทั้งเอกสาร เตรียมของ หรือไปออกต่างจังหวัด ในช่วงแรกๆยังไม่มีอะไร จนกระทั่งหัวหน้าได้ย้ายไปอีกที่นึง เขาก็ขอให้หนูกับเพื่อนคนนี้ไปช่วยอีก แต่เพื่อนได้ทุนจากที่ทำงานไปศึกษางานที่ต่างประเทศ ก็เหลือหนูคนเดียว ซึ่งเวลาไปดูงานที่ต่างจังหวัด หนูก็ดูแลหัวหน้ามาตลอด ไม่ได้คิดอะไรมาก เวลาเขาจะเอาของ จะดื่ม จะกินอะไร หนูคอยเทคแคร์ ดูแลให้หมด เป็นคล้ายๆเลขาแต่ก็ไม่ใช่ทุกอย่าง ปกติจะมีเพื่อนอีกคนช่วยกัน แต่พอเหลือหนูคนเดียว หนูก็ต้องทำทุกอย่างวันนึงไปดูงานที่ต่างจังหวัดกับหัวหน้า แล้วเขาก็ดื่มแอลกอฮอล์ แบบกรึ่มๆเมาๆ หนูก็กลัวเขาจะขึ้นห้องไม่ไหวก็เลยพาขึ้นไปส่ง แต่ในช่วงที่พาเขาขึ้นไปส่ง หนูก็ดันเกิดซัมติง ไปมีอะไรกับเขา ซึ่งส่วนตัวเราชอบบุคลิก ชอบการทำงานของเขาอยู่แล้ว เขาก็บอกหนูว่าเขาดีใจ เขาชอบที่มีหนูไปคอยดูแลเขา มันก็เลยเผลอถลำลึกลงไป โดยที่รู้อยู่แล้วทั้งใจว่าเขามีครอบครัวแล้ว และมันก็เป็นแบบนี้มาตลอดทุกทริป หรือแม้แต่ไม่มีทริป เวลาเข้าไปช่วยงาน เขาก็จะมากอดหนูตลอด เป็นแบบนี้มาเกือบปี...จนกระทั่งเพื่อนคนเดิมกลับมา หัวหน้าก็เอาเพื่อนมาช่วยงานเหมือนเดิม มันก็จะกลายเป็นเซ็ทเดิมที่เคยช่วยเขา ซึ่งหนูก็ไม่ได้อะไร เพราะหัวหน้าก็ยังไลน์คุยกับหนูปกติ แต่มีอยู่วันนึงต้องไปออกทริปต่างจังหวัดอีก หนูกับเพื่อนก็ไปด้วย แต่หนูเริ่มมีเซ้นส์ รู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไป คุยกับหนูน้อยลง แล้วสุดท้ายก็เจอแจ็คพอตไปรู้ว่าเขาก็ไปมีอะไรกับเพื่อนคนนี้เหมือนกัน พอรู้หนูก็ช็อคไปเลย กินไม่ได้ ทำงานไม่ได้ จนเป็นโรคซึมเศร้าเพราะเรื่องนี้เลย และยังมีสภาพแวดล้อมอีก ยอมรับว่าเพื่อนร่วมงานเป็นคนค่อนข้างเก่งในสายตาหนู เขาเป็นคนละเอียด ทำงานเร็ว ตอบโจทย์หัวหน้าได้ดีมาก มันก็เลยมากดดันความรู้สึกว่าหนูทำงานไม่ดีหรอ ทำไมเขาถึงไปกับอีกคนนึงสภาพหนูไม่ไหว น้ำหนักจาก 40-50 เหลือ 40 กิโล ภายใน 2 อาทิตย์ ก็เลยไปปรึกษาคุณหมอและกินยา หมอก็บอกว่าต้องเปลี่ยนสภาพแวดล้อมนะ ถ้าไม่เปลี่ยน โอกาสแย่มีมากกว่านี้ หนูก็เลยไปบอกหัวหน้า ขอกลับไปทำงานที่เดิม ตอนแรกเขาก็จะไม่ยอมปล่อย เหมือนเขาจะรู้สึกผิดว่าทำให้หนูเป็นแบบนี้ แต่สำหรับหนูไม่ได้แล้ว อยู่ไม่ได้ ถ้าอยู่ต่อคือหนักกว่าเดิมแน่นอน และหนูก็ยืนยันว่ายังไงก็ขอกลับ เขาก็โอเค ยอม แต่พอเรากลับมาที่เดิม เขาก็หายไปเลยสักพักนึง หนูก็ไม่พยายามติดต่อด้วยประมาณเกือบเดิมกว่าๆ อยู่ๆเขาก็ทักมาว่าเป็นไงบ้าง ดีขึ้นมั้ย แค่เขาทักมาใจมันก็ไปหมดเลย ยอมตั้งแต่หน้าประตู โหยหาเขา อยากเจอ อยากคุย อยากกอดเขาทุกอย่างเลย แล้วมันก็กลับมาวนลูปเดิม เขาก็คอยไลน์มาคุย มานู้นมานี่ จนถึงขั้นกลับมามีอะไรกันอีก และล่าสุดประมาณสองอาทิตย์ที่แล้ว ไม่รู้เป็นเพราะมีสติขึ้นหรือเปล่า ไปได้ยินประโยคนึงของซีรีส์คลับฟรายเดย์ ที่ผู้หญิงบอกว่า พอแล้ว ไม่เอาแล้ว มันไม่มีความสุข หนูก็เลยกลับมานั่งคิดว่าที่เป็นอยู่มันมีความสุขหรอวะ นั่งรอเขามาคุย มาหา ในขณะที่เขาก็ไม่ได้รอหนู ไม่ได้มาสนใจหนูตลอด แต่ใจหนูมุ่งแต่กับเขา มีงานทำก็จริงแต่พอทำเสร็จปุ๊บก็มานั่งไถไลน์ดูว่าเขาทักอะไรมาหรือยัง ตอนนี้ก็เลยสับสนกับตัวเองว่าจะเอายังไงดี จะตัดความสัมพันธ์แบบนี้ยังไง บางทีพอคิดได้ มันก็มาโทษตัวเองอีกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เราควรรัก เพราะเขาก็มีครอบครัวแล้ว ต่อให้รักกันจริงมันก็เป็นไปไม่ได้ ซึ่งหนูควรจะทำยังไงกับความสัมพันธ์แบบนี้ดี?'3 ดีเจ ก็ให้คำปรึกษาว่า 'ยังไงก็ควรตัดขาด หรือ Block หัวหน้าคนนี้ไปเลย ถ้าทุกคนบอกให้หวานหยุด บอกให้หวานออกมาจากจุดที่ยืนอยู่ แต่ถ้าใจหวานยังไม่ออกก็จะอยู่ตรงนั้นต่อไป ถ้าจำเป็นต้องตอบทางไลน์ ก็คุยเฉพาะเรื่องงาน แต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้อยู่ร่วมกันกับหัวหน้าไม่ได้แล้ว เหมือนกับแพ้ตั้งแต่หน้าประตูแล้วอยากให้หวานคิดดีๆว่าตัวเองทั้งน้ำหนักลด ทั้งเป็นซึมเศร้ากับแฟนของคนอื่น มันไม่ได้คุ้มค่าอะไรกับชีวิตของหวานเลย หัวหน้าคนนี้คือไม่ได้มีข้อดีอะไรเลย มีครอบครัวอยู่แล้ว แต่ก็กล้ามีอะไรกับเพื่อนร่วมงาน มีอะไรกับเราอีก เค้ามีแค่คำหวาน ประตูก็มีทางออกอยู่แล้ว หวานเองก็รู้ว่าทางออกมันควรออกทางไหน แต่ก็ยังอยากอยู่ในวงกลมนี้ ทั้งๆที่มันเจ็บปวดวันนี้แค่ยังไม่ตื่นมายอมรับความจริง ความจริงรอเราอยู่แล้ว ตื่นเมื่อไหร่ รับเมื่อไหร่ มันยังยืนอยู่ที่เดิมเสมอ รักตัวเองให้เยอะๆ พ่อแม่เลี้ยงเรามาไม่ได้เลี้ยงมาเพื่อเสียน้ำตาให้คนอื่น ขนาดหวานรู้ว่าหัวหน้ามีอะไรกับเพื่อนร่วมงานยังเจ็บขนาดนี้ แล้วภรรยาของเค้าถ้ารู้เรื่องนี้ว่ามีอะไรกับผู้หญิงอีกหลายคน จะเจ็บแค่ไหน ออกมาได้แล้ว ออกมาใช้ชีวิตและหาความสุขให้กับตัวเองท้ายที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ต่อหรือย้ายงานไปที่ไหนแล้ว ถ้าใจหวานยังรัก และหลงหัวหน้าอยู่ ตัวไกลแค่ไหน ก็มีความเสี่ยงอยู่ดี ณ ตอนนี้ หวานยังอ่อนแอเกินไปที่จะปล่อยให้ตัวเองทำตามหัวใจของตัวเอง โดยที่ไม่สนความถูกต้องหรือสิ่งที่หวานรู้ดีอยู่แล้วว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ เพราะหวานก็รู้ดีอยู่แล้วว่าหัวหน้าก็มีครอบครัว เพราะฉะนั้นจะต้องทำให้ตัวเองเข้มแข็ง ต้องมองตัวเองในกระจก ข้างในตัวเองต้องบอบช้ำแค่ไหน แล้วบอกตัวเองว่า เราจะไม่กลับไปเป็นคนนั้นอีก ไม่ได้ทำเพื่อใครเลย สุดท้ายก็ทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น...'เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

คบแฟนมา 5 ปี รู้อีกที... เป็นเมียคนที่ 4 ไม่ทันตั้งตัว ผู้ชายขอไปๆมาๆ หาเมียคนที่ 1 คนที่ 2 เพราะมีลูกด้วยกัน ตอนนี้หนูตัดสินใจถอยออกมาจากบ้านเขาแล้ว... แต่ยังกลัวตัวเองจะใจอ่อนกลับไปหาเขา ถ้าเขาตามมาของ้อ

19 พ.ค. 2023

คบแฟนมา 5 ปี รู้อีกที... เป็นเมียคนที่ 4 ไม่ทันตั้งตัว ผู้ชายขอไปๆมาๆ หาเมียคนที่ 1 คนที่ 2 เพราะมีลูกด้วยกัน ตอนนี้หนูตัดสินใจถอยออกมาจากบ้านเขาแล้ว... แต่ยังกลัวตัวเองจะใจอ่อนกลับไปหาเขา ถ้าเขาตามมาของ้อ

“คุณเอ็ม (นามสมมติ)” อายุ 24 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (17 พ.ค. 66) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับปัญหาความสัมพันธ์กับแฟน โดย “คุณเอ็ม (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูคบกับผู้ชายคนหนึ่งมา 5 ปีแล้ว คบกันตั้งแต่หนูอายุยังไม่ถึง 20 เลย อายุเราสองคนห่างกัน 18 ปี แต่หนูมารู้ตัวอีกทีก็เป็นเมียที่ 4 ของเขาแล้ว ซึ่งช่วงปีแรกๆ หนูไม่รู้อะไรเลย มารู้ก็ช่วงคบกันได้ประมาณ 2 ปีกว่า ตอนที่คบกัน หนูอยู่บ้านเขา เราอยู่ด้วยกันจนไม่มีอะไรให้เอะใจเลย แต่หนูรู้ว่าเขามีลูก เขาบอกเลิกกันแล้ว แต่ต้องติดต่อกับแม่ของลูกตลอด ซึ่งเวลาคุยกันเขาจะคุยต่อหน้าหนู และจะคุยกันแต่เรื่องลูก ในระหว่างที่เขาอยู่กับหนู เขาไม่เคยไปหาลูกเลย วันนั้นหนูทำงานร้านเหล้าแห่งหนึ่ง แล้วก็ไปเจอแฟนคนที่ 3 ของเขา เดินมาคุยกับหนู แล้วถามหนูว่าคุยกับคนนี้อยู่หรอ? หนูก็บอกว่าคุย พอกลับมาถึงบ้านหนูก็ไปถามแฟนหนูว่าคนนี้เขาเป็นใคร ยังไง เขาก็ยอมรับมาว่าเขามีแม่ของลูก 2 คน แล้วลูกอายุเท่ากันด้วย ห่างกันไม่กี่เดือน ก่อนที่เขาจะเอาหนูมาอยู่บ้านด้วย เขาก็เคยอยู่กับคนที่ 3 เหมือนกัน แต่อีก 2 บ้านแรกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน คนที่ 3 ของเขาอยู่จังหวัดเดียวกัน แต่คนละอำเภอ หนูก็ไม่เคยรู้ว่ามีคนนี้อยู่ ซึ่งช่วงที่แฟนมาเจอหนู คนที่ 3 เขาไปอยู่ต่างจังหวัด ในระหว่างที่อยู่กับหนูหลายๆเดือน แฟนหนูไม่มีการบินไปหาหรือติดต่อกันเลย จนผู้หญิงคนที่ 3 เขากลับมาแล้วมาเจอหนูว่าหนูไปเฝ้าผู้ชายคนนี้ ซึ่งแฟนหนูเขาก็ทำงานสถานบันเทิงเหมือนกัน เขาไม่เคยเลิกกันเลย เขาบอกกับหนูว่าจะเคลียร์กับทุกบ้านให้ เขาขอรับผิดชอบแค่ลูกของบ้านแรกกับบ้าน 2 แล้วเขาก็ไปเคลียร์กับคนที่ 3 ให้จริงๆ เพราะคนที่ 3 เขามาโวยวายใส่หนู แต่ 2 บ้านแรก หนูก็ไม่ได้อะไร เพราะคิดว่าเขาไม่ได้ติดต่อกัน เพราะหนูอยู่บ้านกับเขาตลอด แทบจะ 24 ชั่วโมง ตอนแรกหนูก็ไปๆมาๆ บ้านหนูกับบ้านเขา แต่ครอบครัวหนูค่อนข้างท็อกซิกนิดนึง หนูก็เลยไม่อยากอยู่บ้าน ส่วนมากก็ใช้ชีวิตที่บ้านเขา หลังจากที่รู้ได้ไม่นาน หนูเข้าโทรศัพท์เขาได้ตลอด แต่เขาไม่รู้ แล้วมีช่วงนึงที่เขาขอไปนอนบ้านแรก เขาบอกเหมือนลูกอยากอยู่กับเขา ซึ่งหนูก็มารู้ทีหลังเหมือนกันว่า บ้านแรกเขาจดทะเบียนและก็ยังไม่ได้หย่ากันด้วย เหมือนบ้านแรกเขาก็รู้ว่าผู้ชายอยู่กับผู้หญิงอีกคนนึง แต่เขาไม่รู้ว่าหนูคือใคร หนูก็โอเค ให้เขาไปได้ หนูเชื่อใจเขา เพราะลูกเขามาอยู่กับหนูก็ไม่ได้ หลังจากนั้นทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เขาก็ไปนอนบ้านแรกทุกสัปดาห์ จนมีอยู่วันนึง หนูเข้าไปเช็คโทรศัพท์เขา หนูเห็นว่าบ้านแรกส่งที่ตรวจครรภ์มาให้เขาดูว่าท้องอีกรอบนึง หลังจากที่หนูรู้ หนูก็นิ่งมาตลอด ไม่เคยถามอะไรเขา หนูนั่งนับเดือนตลอดว่าจะคลอดเดือนไหน จนถึงเดือนที่ใกล้จะคลอด หนูก็คุยกับเขาว่าสรุปจะเอายังไง จะคลอดวันไหน เขาก็อึ้งไปเลย คือ เขาไม่รู้ว่าหนูรู้เรื่องนี้ เขาคิดว่ามีคนมาบอกหนู แล้วเขาก็ยอมรับและบอกว่าเดี๋ยวจะคลอดเร็วๆนี้แล้ว หนูก็เลยถามไปว่าแล้วจะเอายังไง จะให้หนูอยู่ต่อยังไง หนูอยู่ต่อไม่ได้... เขาก็บอกว่าเขาเคลียร์กันแล้ว ผู้ชายจะเอาลูกคนเล็กมาเลี้ยง แล้วให้ผู้หญิงเอาลูกคนโตไป หนูก็เชื่อเขาอีก ถ้าเขาจะเอาลูกมาเลี้ยง หนูก็ยินดีและเต็มใจ เขาบอกว่าเขาขอโทษ เขาพลาด ไม่ได้มีอะไรกันมานานแล้ว พลาดครั้งเดียว มันก็ดันติดเลย ตอนนี้หนูก็เลยคุยกับเขา แล้วก็โอเคกัน จนถึงวันที่ผู้หญิงคนนั้นคลอด เขาก็พาไปส่งและจนถึงตอนนี้ 2 ปี จะ 3 ปีแล้ว เขาก็ไม่ได้กลับมาอยู่บ้านกับหนูอีกเลย แต่ก็ยังคุยกัน เขาแค่ไม่กลับมานอนบ้านด้วยกัน หนูก็ยังอยู่บ้านเขา ตอนนี้ชีวิตหนูเหมือนมีจุดเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่าง ทุกวันนี้หนูตื่นมาไม่มีความสุขเลย แล้วก็เป็นโรคซึมเศร้าด้วย เราได้เจอกันแค่ตอนเขาเลิกงานวันละ 1 ชั่วโมงเอง บางวันก็ไม่ได้เจอ แค่เวลากินข้าวด้วยกันยังไม่มีเลย เขาให้เหตุผลว่าเขาต้องช่วยดูลูกฝั่งนู้น เพราะผู้หญิงไม่ให้ลูกมาเลี้ยง ในระหว่าง 2 ปีนี้เราก็ยังมีอะไรกับเขา เขาก็ยังวาดฝันให้หนูว่าจะกลับมาอยู่ด้วยกัน จะสร้างนั่น สร้างนี้ด้วยกัน จนสุดท้ายมาถึงทุกวันนี้ไม่มีอะไรเลย ตอนนี้หนูเก็บเสื้อผ้ากลับออกมาอยู่บ้านหนูแล้ว แต่ทุกครั้งที่ทะเลาะกัน เขาจะชอบพูดว่าถ้าหนูเจอคนใหม่ที่ดีกว่า หนูไปได้เลยนะ แต่พอทุกครั้งที่หนูจะไปจริงๆ เขาจะมาดึงหนูกลับไปตลอด แล้วหนูก็กลับไปกับเขา ล่าสุดเขาโทรมาแต่หนูไม่ได้รับ ส่งข้อความมาหนูก็ไม่ได้อ่าน หนูพยายามใจแข็งมากจริงๆ แต่หนูกลัวว่าถ้าวันนึงเขาจะมาหาหนู แล้วเจอหน้ากัน หนูกลัวจะใจอ่อน... 3 ดีเจก็ได้ให้คำปรึกษา โดยเริ่มจาก “ดีเจเติ้ล” : สมมุติถ้าเราดิ่งแล้วเค้ากลับมาวิธีแรกเลย คือ เอ็มต้องคิดว่าโหตั้งแต่จับได้จนถึงตอนนี้ มันคือชีวิตของเอ็มที่เสียเวลาไปโดยที่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย จากความทุกข์ใจที่เอ็มต้องรอคนคนนึงอยู่ ไม่มีคำตอบ ไม่มีอะไรให้เราทั้งสิ้น เอาเราไปแขวนไว้ตรงนั้น เหมือนกับเราเป็นอะไรก็ไม่รู้ จะมาก็มา จะไปก็ไป ตอนนี้คำสัญญาของเขา มันคือคำโกหกหลอกลวง เขาไม่ทำจริงหรอก เค้าเคลียร์ก็คงเคลียร์ไปตั้งแต่ตอนนู้นแล้ว มันชัดเจนตั้งแต่ที่บอกเอ็มว่าจะไปดูแลลูกแต่ก็ไปเผลอมีอะไรกันกับเมียคนแรก จนมีลูกอีกรอบ เค้าคงเห็นหนูเป็นแค่ชู้ทางใจ เค้าให้ค่าหนูเท่านี้แหละ เพราะฉะนั้นถ้าเค้าจะดึงให้หนูกลับมาอีกหนูต้องคิดแล้วนะ ว่าถ้าหนูกลับไปหนูก็จะต้องกลับไปเป็นแบบเดิม เวลาที่เหลือในชีวิตหนูอ่ะ หนูอยากจะเห็นตัวเองเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงเมื่อไหร่ ตอนเนี่ยไม่มีใครที่จะพาตัวหนูออกมาได้เลย เพราะถ้าหนูกลับไปมันก็เป็นตัวหนูที่เลือกกลับไปเอง ซึ่งมันก็จะไม่มีจุดสิ้นสุดเลย เพราะยังไงเค้าดูก็เป็นคนที่ไม่ปล่อยหนูอยู่แล้ว อย่างที่สอง คือ อยากให้หนูคิดในมุมที่ว่า ตอนนี้มีพ่อกับแม่ที่ต้องการหนู ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจทุกอย่างเพื่อดูแลเขา ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่หนักหนาสำหรับชีวิตเราแล้วแหละ แต่ถ้าหนูยังจะมีผู้ชายคนนี้อีก มันก็จะเป็นสามเด้งเลยนะ หนูจะเอาเวลาไหนไปเติบโตในชีวิตอ่ะ หรือไปมีชีวิตที่มันดีขึ้นกว่านี้และระหว่างทางที่หนูมีคนมารู้จัก หนูลองเปิดใจดูก็ได้นะ เผื่อมันจะมีคนดีๆที่เขาเข้ามาแล้ว เขาจะไม่ใช่คนแบบนี้ แล้วทำไมเราจะต้องเสียดายคนดีๆที่มีโอกาสรู้จักไป เพราะผู้ชายแบบนี้ ซึ่งจริงๆแล้วเค้าลากหนูไปไม่ได้นะ ถ้าหนูไม่กลับไปเอง สุดท้ายมันเป็นขาของหนูสองขาที่เดินตามเขากลับไปเอง เพราะฉะนั้นถ้าหนูรู้ตัวแล้วมันก็เป็นขาของหนูเองที่จะอยู่กับบ้านไม่ออกไปกับเขา... “ดีเจต้นหอม” : เอ็มต้องยอมรับความจริงก่อนว่านี่มันไม่ใช่ความรัก ที่ได้อยู่ มันเป็นความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยน คนรักกันไม่ทำกันอย่างนี้อยู่แล้ว ดูจากพฤติกรรมที่เรามาผู้ชายคนเนี้ยไข่ไปทั่ว แล้วก็เอาไปทั่ว ในจังหวะที่เมียกำลังท้องก็ไปมีอะไรกับอีกคนนึง เอ็มก็บอกเองว่าในขณะที่อยู่กับเอ็มเค้าไม่เคยไปดูลูกเลย แสดงว่าความรับผิดชอบของผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้ดีเลย แต่ในวันนี้คงไปตกลงไปดิวอะไรกับเมียซักอย่างนึง เมียถึงต้องยื่นคำขาดมาว่าต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูก เค้าก็เลยให้เอ็มได้แค่นี้ และการได้อยู่บ้านเขามันไม่ใช่สิทธิพิเศษนะ มันแค่ผู้หญิงคนอื่น ไม่ได้มาอยู่เพื่อเฝ้ารออะไรแบบนี้อยู่แล้ว แต่เอ็มอยู่รอ ในวันนี้เป็นเรื่องที่ดีนะที่เอ็มตัดสินใจว่า จะไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว มีทางไป ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเอ็มไม่ใช่เรื่องผู้ชายแต่คือเรื่องเงิน แนะนำให้เปลี่ยนโฟกัสเลย ผู้ชายเอาปัญหาเค้ามาถ่วงอีก เขาก็ไม่ได้เข้ามาให้ความรัก ไม่ได้เข้ามาเป็นแบตเตอรี่ ไม่ได้เข้ามาชาร์จแบตให้ที่ทำให้มี energy หรือรู้สึกดีขึ้น แถมยังทำให้เป็นโรคซึมเศร้าอีก เขาคือภาระ เขาคือมะเร็ง เขาจะก้าวเข้ามาในชีวิตเราไม่ได้แล้ว บล็อกทุกอย่าง แล้วเวลาดิ่งเขาไม่ได้อยู่ช่วยแก้ปัญหา เพราะคนนี้คือคนที่ทำให้เราดิ่งลงไปอีก มันไม่มีทางแบบเติมน้ำให้เต็มในทะเลทราย ซึ่งผู้ชายคนนี้ไม่ใช่โลกทั้งใบของเอ็ม แต่เป็นถังขยะ เอาตัวเราไปอยู่ในที่ที่ถูกต้องดีกว่า โฟกัสวันนี้คือเรื่องงาน เรื่องเงิน คิดว่าวันนี้เราจะทำยังไงให้ได้เงิน ทำยังไงให้สภาพ การเป็นอยู่ของเรามันดีกว่านี้ แล้วมันอาจจะมีคนเข้ามาในชีวิตเอ็มอีกแหละ ให้ระวังในวันที่เราเป็นโรคซึมเศร้า คนที่เข้ามาอาจจะทำให้เราดิ่งอีก วิธีการ คือ อย่าเอาชีวิตตัวเองไปฝากไว้กับคนอื่น เราจะเริ่มมีใครซักคนนึงอาจจะแบบใจเย็นๆ คือ รอดูว่าให้เขามาเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน แต่ถ้ารู้สึกว่าไม่ใช่ละ แนะนำให้เช็คบิลเลย เราไม่เอา ถ้าวันนี้ตัดสินใจแล้วว่าจะออกมา ขั้นแรกคือบล็อก เมื่อไหร่ก็ตามที่เห็นข้อความเขาขึ้นอยู่ จนรู้สึกว่าเนี่ยเค้ามาตามง้อละ มันเป็นการหลอกตัวเองเข้าข้างตัวเองว่าตัวเองสำคัญ ทั้งๆที่ผ่านมาไม่เคยสำคัญเลย แต่เราแค่ปิดประตูความจริงอยู่ เพราะการกระทำเค้ามันชัดมาก คนเป็นแฟนกันหายหัวไปเดือนนึง คนเป็นแฟนกัน มันต้องรู้แล้ว เราต้องรู้แล้วว่าเราไม่ได้สำคัญ แต่นี่หายหัวไปสองเกือบสามปี หล่อเลี้ยงด้วยการมาเจอกันวันละ 1 ชั่วโมง คนรักกันไม่ห่างกันขนาดนั้นอยู่แล้ว ให้มันเจ็บแล้วมันจบ เพราะไม่งั้นมันมูฟออนหรือเริ่มต้นใหม่ไม่ได้ การที่เราเป็นโรคซึมเศร้าเพราะใครคนหนึ่งที่ไม่ได้รักเรามันสุดมากแล้วนะ จะป่วยทั้งที ก็ป่วยกับคนที่มันสมควรที่ทำให้เราเจ็บหน่อยดิ เพราะเท่าที่ฟังมาไม่มีอะไรดีเลย แต่วันนี้เริ่มต้นใหม่ได้อ่ะ ถ้าลุกขึ้นได้เร็ว ก็วิ่งได้เร็ว คิดซะว่าถึงแล้วต้องวิ่งละ จะไม่ย่ำอยู่กับที่ หมดเวลาละ ปาดน้ำตา ปัดมาสคาร่าออกไปหาแขกเราต้องการเงินค่ะ... “ดีเจเผือก” : พี่ไม่รู้สึกถึง ความมั่นคง ความมั่นใจ ความเด็ดเดี่ยว ที่จะพาตัวเองออกจากสถานการณ์นี้เลย มันชัดเจนไปหมดเนอะ คนๆหนึ่งที่ผ่านความรักมา 4 เมีย มันไม่น่าจะใช่คนที่เราเห็นได้บ่อยๆ อันนี้เค้าพาตัวเองมาถึงจุดที่มี 4 เมียได้ ปัญหาของเมียแต่ละคนก็เยอะแยะไปอีก ถ้าเป็นคนอื่นเค้าคงพยายามถามหาข้อดีว่าอะไรที่ทำให้เราทนอยู่กับคนๆนี้ได้ เสียทั้งเวลา เสียทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต และวันนี้ที่เอ็มโทรมา เอ็มไม่ได้มีพลังพอที่จะพาตัวเองออกมาจากจุดนั้นได้ มันเพราะอะไร คงจะไม่ใช่เรื่องของเหตุผลแล้ว เพราะถ้าวันนี้เราคุยกันด้วยเหตุผล มันไม่มีข้อดีเลยนะ เพราะถ้ามันเป็นเรื่องของเหตุและผล เอ็มทำความเข้าใจกับมันได้ เอ็มคงเดินออกไปนานแล้ว ถ้าการอยู่ใกล้แล้วมันห้ามใจตัวเองไม่ได้ การพาตัวเองไปอยู่อีกที่ก็เป็นทางออกที่ดี ซึ่งพี่ก็เห็นด้วยว่าชีวิตของเอ็มปัญหามันรุมเร้าเหลือเกิน ชีวิตคนเรามันจะมีปัญหาที่เลี่ยงไม่ได้ และเราก็ต้องเผชิญมันในทุกๆวัน แต่มันมีปัญหาที่เอ็มเลี่ยงได้ กับการพอสักทีกับผู้ชายคนนี้ เอ็มหยุดมันได้ แต่เหมือนกับเอ็มไม่ยอมให้ตัวเองออกจากปัญหานี้ คนเราต้องหัดเอาปัญหาออกจากตัวเอง และเราก็เห็นๆกันอยู่ว่าเราสามารถหยุดมันได้ และไม่มีใครมาดึงใครทั้งนั้น เห็นแค่ว่าเค้ากวักมือเรียกเราก็พร้อมที่จะกลับไปหาเขาแล้ว หลังจากนี้ก็เป็นกำลังใจให้ในสิ่งที่ตั้งใจทำให้มันสำเร็จ ไปตั้งหลักที่อื่นยังไงก็ลองดูสักตั้ง ถ้าใจเรามันอ่อนก็ให้เทคโนโลยีช่วย โดยการบล็อกเขาซะ ถ้าวันไหนที่ไม่มีสติก็ย้อนกลับมาฟังสิ่งที่ตัวเองพูดกับพวกพี่ในวันนี้แหละ....เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

มาร่วมแชร์ความคิดเห็น... สาววัย 30 โทรปรึกษาในรายการ หนูมีคำถามอยู่ในใจ คำว่า “มีลูกเมื่อพร้อม” ที่หลายๆคนพูดกัน แค่ไหนของแต่ละคนเหรอคะ?? ถึงเรียกว่า “พร้อม” และอยากรู้ว่า... “การส่งลูกเรียนอินเตอร์” จำเป็นแค่ไหนในยุคปัจจุบัน ??

23 พ.ค. 2023

มาร่วมแชร์ความคิดเห็น... สาววัย 30 โทรปรึกษาในรายการ หนูมีคำถามอยู่ในใจ คำว่า “มีลูกเมื่อพร้อม” ที่หลายๆคนพูดกัน แค่ไหนของแต่ละคนเหรอคะ?? ถึงเรียกว่า “พร้อม” และอยากรู้ว่า... “การส่งลูกเรียนอินเตอร์” จำเป็นแค่ไหนในยุคปัจจุบัน ??

“คุณนนท์ (นามสมมติ)” อายุ 30 ปี สายที่สองในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (17 พ.ค. 66) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับความพร้อมในการมีลูก โดย “คุณนนท์ (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูค่อนข้างสับสนที่เวลาหลายๆคนชอบพูดว่า มีลูกเมื่อพร้อม หนูก็เลยอยากรู้ว่าคำว่าพร้อม มันคือยังไง แล้วเอาอะไรมาเป็นเกณฑ์ในการวัด คำถามแรกหนูอยากถามว่า ถ้าสมมติมีลูก การส่งลูกเรียนโรงเรียนอินเตอร์ มีความจำเป็นมาก น้อยขนาดไหน? แล้วค่าเรียนลูกควรจะคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้? อีกเรื่องนึง Facilities (สิ่งอำนวยความสะดวก) ในประเทศไทย ถ้ามองในหลายๆมุมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเอื้อต่อการมีลูกอะไรขนาดนั้น แล้วแบบนี้การมีลูกเป็นการเห็นแก่ตัวมั้ย? ที่เกิดมาในยุคแบบนี้... ซึ่ง 3 ดีเจก็ได้ให้คำแนะนำว่า ‘พร้อมสำหรับพวกพี่คือ เมื่อลูกออกมาแล้ว ใครเป็นคนเลี้ยง มีเงินแค่ไหน แล้วเรามีเวลาขนาดไหน และพร้อมจะเปลี่ยนเป้าหมาย เปลี่ยนความสำคัญ พร้อมสละทุกอย่างในชีวิตเพื่อเด็กคนหนึ่งหรือยัง? ส่วนโรงเรียน ไม่จำเป็นต้องเรียนอินเตอร์ แต่ถ้าอยากให้ลูกได้ภาษาอังกฤษ ให้ไปเรียนเพิ่มเติมเอาได้ เพราะภาษาก็โคตรสำคัญในโลกนี้และโลกอนาคต มันเป็นโอกาสที่จะเพิ่มมากขึ้นเมื่อคุณได้ภาษา และเราดูเอาว่าลูกเราไปในทางไหน สายวิชาการ หรือสายครีเอทีฟ แล้วลองหาโรงเรียนที่เหมาะกับลูก เพราะลูกจะโชว์ออกมาให้เห็นเลยว่าถ้าเขาเป็นสายครีเอทีฟ เขาจะมีความคิดสร้างสรรค์ เขาจะจับนู้นจับนี่มาประดิษฐ์กัน อยากเรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ อยากเป็นผู้ใหญ่ แต่ถ้าเด็กท่องจำจะไม่มีอะไรที่เป็นครีเอทีฟเลย ไม่ได้อยากเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เด็กพวกนี้อาจจะเป็นสายวิชาการ มันจะมีบางอย่างบอกออกมาเลย ซึ่งพี่กับน้องก็ไม่เหมือนกันด้วย มันจะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเด็กเลย ถึงเวลานั้นเราค่อยเลือกโรงเรียนที่เหมาะกับลูก ถามว่าเห็นแก่ตัวมั้ย? ตอบไม่ได้เหมือนกัน แต่ถ้าดูเหมือนเห็นแก่ตัวก็ต่อเมื่อเราดูแลเขาได้ไม่ดี เราไม่ได้มีความพร้อมในการดูแลเขา แล้วการที่เอาเขาออกมาเพียงหวังว่าจะให้เขาเลี้ยงเราในยามแก่ นั่นก็คือความเห็นแก่ตัว จากที่เราไม่เคยห่วงใคร แต่ความห่วงของเรามันจะไปลงที่เขาคนเดียวเลย แต่มันเป็นความสุขทางใจที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน เพราะความรักของเขามันไม่มีเงื่อนไข การมีลูกมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ถ้าชีวิตนี้ไม่ต้องการมีห่วงกับใครเลยก็อย่ามีลูกเลย เพราะมันเป็นห่วงที่เราไม่มีทางถอดออกจากชีวิตได้ และหน้าที่แม่มันลาออกไม่ได้...เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1