เปิดชีวิตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ของ "ป้าตือ สมบัษร" Celebrity ตัวแม่ ที่สะกดคำว่า “แก่” ไม่เป็น!

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

เปิดชีวิตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ของ "ป้าตือ สมบัษร" Celebrity ตัวแม่ ที่สะกดคำว่า “แก่” ไม่เป็น!

02 พ.ค. 2023

รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญที่เป็นคนใกล้ชิด “ก็อตจิ” หนึ่งในพิธีกรรายการ ที่ต้องบอกเลยว่าแขกรับเชิญคนนี้พูดได้แบบน้ำไหลไฟดับ พูดแบบพิธีกรไม่ได้พูด สรวนแบบตัวแม่ และที่สำคัญเขาสะกดคำว่า “แก่” ไม่เป็น

ความแซ่บแบบไฟลุกเริ่มขึ้น เมื่อ 2 ดีเจ ดีเจพี่อ้อย และ ดีเจก็อตจิ เปิดไมค์กล่าวต้อนรับ “ป้าตือ สมบัษร ถิระสาโรช” Celebrity ชื่อดังผู้มากความสามารถ ไม่ว่าจะนักแสดง, พิธีกร, ออแกไนซ์, Youtuber หรือ TikToker เธอคนนี้ทำมาหมด! แต่กว่าจะเป็น “ป้าตือ” ในทุกวันนี้ มีเรื่องพีคเกิดขึ้นมากมาย ที่ได้มาแชร์ให้ฟังกันในรายการ

 

 

ชีวิตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และคำว่า “เกษียณ” สะกดไม่เป็น!

แม้ทุกวันนี้ ป้าตือ จะอายุเลข 6 แล้ว แต่ ป้าตือ เป็นคนที่ใช้ชีวิตและบริหารเวลาใน 1 วัน ได้คุ้มค่ามาก ๆ โดย ป้าตือ ได้เล่าการใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ฟังว่า “ในหนึ่งวัน หนูเป็นคนที่ต้องนอนแปดชั่วโมงอย่างต่ำ ถ้านอนไม่ถึงแปดชั่วโมงหนูไม่ตื่น บางทีก็ตื่น 11 โมง ทำงานเร็วสุดคือประชุม 11 โมง แล้วส่วนมากหนูจะทำงานต่อตอนบ่ายจนถึงกลางคืนเลยพี่

60 แล้วพี่จ๋า  อย่างวันนี้ตื่นเช้ามาหนูก็ต้องไปทำงานอีเวนท์ เสร็จหนูก็ต้องไปเคลียร์งานที่ออฟฟิศ แล้วไปนั่งทำสคริปต์ทำอะไรเสร็จหนูก็ต้องไปไลฟ์ต่อ แล้วเดี๋ยวเสร็จรายการก็ไปไลฟ์กับผู้ชายต่ออีก  โอ้ยพี่ คำว่าเกษียณสะกดยังไงคะพี่ หนูไม่รู้ หนูทำงานแบบฟาร์มแพชชั่นฟรุ๊ตค่ะ”

 

“ฮักหลายแต้วโหลด” เพลงรักฉบับป้าตือ ที่ฉีกทุกกฎวงการเพลง

แม้จะเป็นที่รู้จัก และมักเป็นผู้สั่นสะเทือนวงการได้ทุกครั้งที่ลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ ๆ แต่ ป้าตือ ยังคงสร้างสรรค์ผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง และหนึ่งผลงานที่เพิ่งปล่อยออกมาสด ๆ ร้อน ๆ และได้รับการตอบรับที่ดีมาก ๆ จากแฟนคลับ ก็คือเพลง “ฮักหลายแต้วโหลด” ที่นอกจากจะเปิดตัวคู่จิ้นอย่าง “พี่หนวด” แล้ว ป้าตือ ยังลงมือทำเพลงเอง, เขียนเพลงเอง, มิกซ์เพลงเอง, แสดง MV เอง ซึ่ง ป้าตือ ได้เปิดเพลงนี้ให้สองดีเจได้ฟังในรายการ ความมันของเพลงทำเอาสองดีเจต้องโยกตามไปเลยทีเดียว จากนั้น ป้าตือ ยังได้เผยเรื่องราวในการตัดสินใจทำเพลงนี้ขึ้นมาว่า

“หนูขอพูดเลยนะ เวลาหนูเข้าไปไลฟ์ทุกคนจะต้องขอให้หนูเปิดเพลงนี้วันนึงไม่ต่ำกว่า ร้อยรอบค่ะพี่ เขาบอกว่าไม่งั้นเขานอนไม่หลับ ชื่อเพลงคือ ฮักหลายแต้วโหลด มันเป็นเพลงบำบัดตน มันเป็นอัจฉริยะในการแต่งนะพี่นะ MV ก็มีนางเอกเยอะ ตัวแสดงเยอะมาก หนูบอกเลยว่าเลือกไม่ถูก นางเอกมันเยอะมาก

จริง ๆ ทำเพลงนี้หนูไม่ได้อะไรหรอก หนูก็ทำมาอย่างงั้นแหละพี่ ตื่นมาแล้วไม่มีอะไรทำ หนูก็เลยอยากทำ หนูก็มาเขียน เขียนเสร็จหนูก็โทรไปหาครูปิงปอง นัดกันว่าเจอกันที่ห้องอัดนะ แล้ววันอัดหนูก็ร้องครั้งเดียวก็เลิกเลยจบ แล้วก็รีมิกซ์ ทำเองตัดต่อกันไป คือถ้าบอกว่าตัดต่อเองก็ดูเคลมเนาะ แต่ก็คือเราเป็นคนคิดว่าเอาอย่างงี้ แล้วก็ถ่าย ถ่ายก็เอามือถือถ่ายเพื่อนแต่ละคนมา แล้วก็เอาไปตัด ตัดแบบคัทชนจบอ่ะพี่”

 

 

เพ้นท์กระเป๋าแบรนด์เนม วิธีสมาธิบำบัดของป้าตือ

ใครที่ติดตาม Instagram ของป้าตือ คงจะได้เห็นคลิปที่ป้าตือ ได้ลงทุนละเลงพู่กันลงบนกระเป๋าแบรนด์เนมอย่าง หลุยส์ วิตตอง ด้วยคำเกร๋ๆ บนกระเป๋าว่า Don’t call me Chanel,I’m not Dior หรือแม้กระทั่งกระเป๋าถืออย่าง Prada ป้าตือก็มีความสุขกับการบรรเลงศิลปะตามจินตนาการด้วยหมึกสีดำแบบมีชิ้นเดียวในโลก โดยป้าตือเล่าให้ฟังว่า

“หนูพูดตรง ๆ หนูมีของที่มันไม่ได้ใช้เยอะมาก เพราะหนูเป็นคนบ้าช็อปปิ้ง แล้วถ้าจะให้หนูเอาของเก็บไว้เฉย ๆ มันก็ไม่ได้ ก็ต้องเอามาใช้ พอมันหมดอายุปั๊ป เราก็เอามาใช้ต่อพี่ เราก็มาทำอย่างงี้”

 

“เพื่อนหลายกลุ่ม” สิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตไม่เฉา

สิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตของ ป้าตือ ไม่เฉาคือ “เพื่อน” โดย ป้าตือ ได้เล่าเรื่องราวของมิตรภาพให้ฟังว่า

“ตือจะมีเพื่อนหลายกลุ่มพี่ การที่เราอายุเท่านี้เนี่ย เราไม่ได้รู้สึกว่าเราต่างจากเขา และเราก็รู้สึกว่าการมีเพื่อนหลายกลุ่มหรือหลากหลาย มันทำให้เราชีวิตเราไม่เฉา แล้วการอยู่กับเพื่อน ๆ ทุกคนเนี่ยมันเป็นความสุข

หนูว่าหนูโชคดีนะ โชคดีคือจากวันนึงที่หนูทำงานกับคนหลาย ๆ คน จนถึงวันนี้คนหลาย ๆ คน ที่ทำงานกัน กลายมาเป็นเพื่อนเยอะเลย คือหนูโชคดีตรงนี้ แม้แต่แบบว่าน้อง ๆ ดาราหลายคน มิวเอย แต้วเอย ใครเอยที่เข้ามา มันก็กลายเป็นเพื่อนกันอะพี่ หนูไม่ได้รู้สึกว่าหนูเป็นป้าตือ นั้นคือสาเหตุที่วันนึงพอหนูออกมาทำงานที่เป็นเรื่องเป็นราวแบบว่าหน้าม่าน หนูก็เรียกตัวเองว่า น้องลูกตือ หนูไม่อยากให้คนอื่นเรียกว่าป้าตือ เพราะพอใช้คำว่าป้า มันจะมีอะไรบางอย่างที่มันกั้น แต่ถ้าน้องลูกตือ เรากลายเป็นน้องใหม่ ลบทุกอย่างทิ้งไป แล้วเวลาหนูไปทำงานกับทุกคน หนูจะบอกว่า เห้ยแกเต็มที่นะ นี่น้องลูกตือนะ แล้วเราก็จะทำงานเป็นทีมเวิร์ค และต้องทำให้ทุกอย่างดีขึ้น”

 

 

ป้าตือไม่ได้เป็นคนดุ แต่เป็นคนพูดตรง

หลายคนมักจำภาพ ป้าตือ ว่าเป็นคนดุ ชอบโมโหร้าย เสียงดังโวยวาย งานนี้ ป้าตือ 
ได้เผยเรื่องนี้ว่า

“ฉันไม่ได้ดุนะ ฉันเป็นคนพูดตรง หนูเนี่ยมักจะพูดกับคนทุกคนว่า เวลาเกิดอะไรขึ้นก็ตาม หนูยกมือไหว้เขาเลยนะพี่ ขอโทษนะถ้าพูดอะไรผิดแล้วอย่าโกรธนะ ไม่ต้องเขียนเฟสบุ๊คมาด่าหรือไม่ต้อง DM มาด่านะ เพราะว่านี่เป็นคนพูดตรง หนูเป็นคนตรง ๆ พี่ วันนี้หนูเพิ่งไปสอนคนมา เขาบอกว่าเขาชอบหนูเพราะว่าหนูพูดพลังงานบวก หนูเลยบอกเขาว่า ฉันจะบอกความลับให้อย่างนึงนะ บางทีเธอไม่จำเป็นต้อง Positive ตลอดเวลาก็ได้ การกดตัวเองให้ Positive ตลอดเวลา บางทีเป็นบ้านะ คือเราไม่โอเค เราก็ต้องบอกว่าไม่โอเค

แล้วหนูก็มีนิสัยแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้วพี่  หนูไม่ใช่คนแบบเขวี้ยงข้าวเขวี้ยงของ คนชอบมาหาว่าหนูเขวี้ยงข้าวเขวี้ยงของ หนูไม่เคย หนูแค่ถีบฉากล้ม  ทำไมหนูต้องถีบฉากล้มพี่ฟังนะ เราได้เงินลูกค้ามา แล้วคนทำฉากทำออกมาไม่สมกับที่ลูกค้าจ้าง หนูก็เลยถามว่าโทษนะคะ อันนี้ใช้มือทำหรือใช้อะไรทำ ถ้าเกิดใช้มือทำไม่ใช่อย่างงี้ แต่ถ้าไม่ได้ใช้มือทำก็ใช้อันนั้น ฉันก็ใช้อันนั้นถีบล้มเหมือนกัน เพราะว่าเธอเอาเงินเขามา เอาเงินมาแล้วทำงานไม่ดีก็เหมือนเราปล้นเขา เราไม่ใช่โจรนะ เห็นแก่ตัวนั่นแหละพี่ เคยถีบฉากครั้งนึง แต่ว่านอกนั้นหนูก็ไม่ได้ทำอะไรใคร อย่างมากสุดเลย หนูก็เดินออกไปข้างนอกไปหายใจ นับหนึ่งสองสามสี่ห้าหกเจ็ดแปดเก้าสิบ แล้วเดินกลับเข้ามาจับมือ บอกว่าเคลียร์นะ จบนะ ถ้าไม่จบไม่ใช่ปัญหาของฉันละ เป็นปัญหาของเธอเพราะเธอแบกเอง

หนูเป็นคนอย่างงี้แหละพี่ และหนูก็ชัดเจนแล้ว ถ้าจะให้มานั่งนินทา หนูไม่นินทา หนูพูดกันตรง ๆ มันก็เลยยิ่งทำให้เวลาเราพูดอะไรตรง ๆ คนก็เลยยิ่งกลัวแล้วก็เกรงใจ แต่ถามว่าคิดอะไรไหม พี่ด้วยความสัจจริง ตื่นเช้ามาหนูไม่มีอะไรในหัวเลย แม่หนูสอนมาว่า ตื่นเช้ามาหัวต้องโล่ง ไม่งั้นหัวจะไม่มีที่เก็บเรื่องดี ๆ

และเวลาต้องเป็นกรรมการ มันจะไม่เหมือนกับเวลาที่หนูพูดกับเพื่อน เพราะการที่เราไปเป็นกรรมการ เราจะต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด และเราจะต้องเสริมให้ดีที่สุดสำหรับคนที่ประกวด มันมีหลายกรณีมากที่ทัวร์ลงแบบมหากาพย์แต่หนูก็ไม่แคร์ อย่างกรณี โยชิ หนูก็พูดตรงๆ เรื่องที่ว่า โยชิ เขายังดูเป็นเด็กอยู่ หนูก็บอกว่ามาประกวดมิสทิฟฟานี่ มิสแปลว่านางสาว หนูจะต้องมี Attitude ของความเป็นนางสาว และจะต้องมีความหิวกระหายที่จะต้องเป็นนักสู้ หนูจะต้องสู้ และตอนนั้นเขามาในสายเด็ก ๆ หวาน ๆ หนูก็เลยบอกว่า ถ้าไม่เปลี่ยนตัวเองหนูก็ไม่ได้เข้าสามสิบคน จากนั้นทัวร์ก็ลงหนู แต่ถามว่าหนูกลัวไหมหนูเฉย เพราะหนูถือว่าหนูพูดความจริงกับเขา และหนูดีใจที่เขาเดินมาจับมือหนูหลังจากที่เขาได้มงกุฎ เขามาบอกว่า หนูดีใจมากที่ป้าพูดอะไรกับหนูวันนั้น หนูก็บอกว่า ป้าพูดจริงและป้าไม่ได้คิดร้ายกับใครเลย ซึ่งเวลาหนูพูดในรายการ หรือว่าพูดเป็นกรรมการทุกที่ หนูไม่เคยคิดร้ายกับคน”

 

 

ชีวิตไม่ใช่ขนมชั้น ไม่ต้องมีเลเยอร์เยอะ

หนึ่งคำถามจากดีเจ ถาม ป้าตือ ว่า “มีคนแบบไหนบ้าง ที่ป้าตือไม่เอาเข้ามาในชีวิต?” จากคำถามนี้ เราได้เห็นมุมมองดี ๆ จาก ป้าตือ เพราะ ป้าตือ ได้ตอบคำถามว่า

“เอาความจริงนะพี่อย่าว่าหนูโลกสวยนะ หนูไม่ค่อยเกลียดคน ถ้าถามว่ามีคนที่หนูไม่เอาไหม มี มีคนที่หนูลบชื่อออกจากมือถือไหม มี แต่ถามหนูว่าหนูโกรธเขาไหม โกรธแล้วได้อะไรพี่ อย่างมากหนูก็ Delete ทิ้ง

เวลาเกิดอะไรขึ้น หนูมักจะบอกตัวเองเสมอว่าผิดที่เรา ผิดที่เราตั้งแต่ หนึ่ง เดินไปซื้อมือถือแล้วให้เบอร์เค้าแล้วก็โทรคุยกัน ผิดตั้งแต่นี้แล้วอะพี่ เพราะฉะนั้นทุกอย่างในโลกนี้ ทำอะไรไม่ต้องไปหวังพึ่ง ไม่ต้องหวังว่าเขาจะต้องคืนเรา แต่ถ้าเราอยากได้อะไร เราจะเดินไปบอกเขา ขอเขา สำหรับหนู หนูไม่ได้เป็นคนแบบว่าต้องมาหนึ่งสองสามสี่ห้า มันยากพี่ ชีวิตหนูไม่ได้เป็นขนมชั้น ไม่ต้องมีเลเยอร์เยอะ

คือหนูเป็นคนง่ายนะ และหนูเป็นคนที่ไม่เอาเปรียบคนเลยในชีวิต พ่อแม่สอนมานะว่า คนเราเนี่ยกฎของการเป็นมนุษย์เราต้องรู้จักให้ และให้โดยที่เราไม่ต้องคิดว่าเขาจะให้คืนมา แต่เรามีสิทธิ์ที่จะบอกว่า เธอฉันอยากได้อย่างงี้นะ ถ้าให้ได้ให้ ให้ไม่ได้ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกรงใจ

และหนูกล้าพูดกล้ายืนยันเลยว่าหนูมีข้อดี ซึ่งพ่อแม่สอนมาให้เป็นคนรู้จักให้ เวลาเราเห็นอะไรดี ๆ เห็นของดี ๆ เราจะชอบยกให้คน แม้แต่ทุกวันนี้ไหว้พระ หนูไม่เคยขออะไรให้ตัวเองเลย หนูก็จะไหว้พระขอ สิ่งดี ๆ ที่หนูทำทุกอย่างให้พ่อให้แม่ให้ผู้มีพระคุณ ให้พระให้เทวดาที่คุ้มครองหนู หนูพูดอย่างงี้เลย หนูไม่เคยขออะไรให้เข้าตัวเอง ขอแค่ว่าให้เรามีสติ เราจะได้ไปทำสิ่งดี ๆ ให้คนอื่น”

 

ไม่ชอบยึดติด และไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จ

ตลอด 30 ปีที่อยู่ในวงการอีเวนต์ แม้จะมีหลากหลายอีเวนต์เปลี่ยนไป มีเทรนด์ใหม่ ๆเกิดขึ้น แต่ ป้าตือ ก็สามารถก้าวทันตลอด จนได้นิยามว่าเป็นบุคคลที่ไม่ตายวงการ ซึ่ง ป้าตือ ได้เผยมุมมองเรื่องนี้ให้ฟังว่า

“คือตัวหนูไม่ยึดติดกับตัวเอง หนูไม่ได้รู้สึกว่าหนูประสบความสำเร็จ สิ่งที่มันเกิดวันนี้ เดี๋ยวมันก็จบไป แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้มันก็มีของใหม่มา

หนูพูดกับตัวเองตลอดเวลาว่าหนูเป็นคนโชคดี จน , ซวย หนูไม่เคยพูดเลย เพราะหนูรู้สึกว่ามันไม่ใช่คำของหนู ในชีวิตหนูเนี่ย หนูพูดแต่ว่าหนูจะต้องเจอคนดี แล้วคนดีจะอยู่ใกล้ ๆ หนู ถ้าเราคิดเรื่องดี ๆ มันจะดึงแต่เรื่องดี ๆ เข้ามา สมมติเราชอบผู้ชายคนนี้เนี่ย เราก็บอกว่าฉันชอบเธอจังเลย เขาก็จะมาหาเราทันที”

 

 

เป็นคนร้องไห้ยาก แต่เซนซิทีฟกับเรื่องครอบครัว

แม้ภายนอกจะเป็นคนดูเข้มแข็ง แต่ ป้าตือ ก็มีมุมเซนซิทีฟของตัวเอง โดย ป้าตือ เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า “หนูเป็นคนร้องไห้ยากมาก ตั้งแต่เด็กเลยไม่ค่อยร้องไห้ จำได้ว่าหนูร้องไห้เวลาดูหนังนีโม่ นีโม่มันตามหาพ่อมัน หนูร้องไห้แต่ก็ยังดู หรือบางทีร้องไห้อย่างเช่นว่า หนูทำงานเสร็จอะ หนูจัดงานเพชรใหญ่โตมโหฬารเลย แล้วหนูก็รู้สึกว่าเออมันมีความสุขจังเลยที่ได้ทำ แต่หนูไม่รู้จะเล่าให้ใครฟัง หนูก็มาจอดรถหน้ามาบุญครอง จอดข้างถนนฝนก็ตก แล้วหนูก็ร้องไห้ แบบว่ามันคือความปิติของหนู ที่หนูรู้สึกว่าเราก็โชคดีจังเลยที่ได้ทำอะไรดี ๆ แล้วก็กลับบ้าน

สมัยก่อนครอบครัวเนี่ยหนูต้องดูแลทุกอย่าง หนูชอบดูแลครอบครัว เพราะว่าหนูเป็นลูกคนเล็ก เตี่ยกับแม่มีลูก 10 คน แต่พี่หนูกลัวหนูหมดเลย แล้วตอนที่เตี่ยเสีย เขาก็จะแบ่งเงินแบ่งมรดกให้กับทุกคน แต่ก็จะมีพี่บางคนที่ว่าอ่ารู้ ๆ กัน ก็เลยรู้สึกว่าหนูก็ต้องดูแลเขา หนูก็ถาม เธอเดือนร้อนช่วงไหน หนูก็ส่งหลานเรียน เรียนหรู จนจบปริญญาโท ปริญญาตรี ซื้อคอนโด ซื้อบ้าน ซื้ออะไรให้ทุกคน หนูก็ดูแลให้หมดจนจบเบ็ดเสร็จแล้ว ทุกวันนี้หนูก็ถือว่าหมดหน้าที่หนูแล้ว ทุกคนก็โตแล้ว ทุกคนต้องไปดูแลตัวเอง

ปัจจุบันนี้หนูพูดด้วยความจริง หนูตายไปหนูไม่ให้มรดกพี่น้องหนูนะ หนูยกให้สามีกับคนที่หนูรักกับคนที่อยู่ใกล้ตัว ครอบครัวมันมีจุดนึงแล้ว พอมันหมดเวลาแล้วเขาก็ต้องไปอยู่กับครอบครัวของเขา แล้วเราก็คือคนนอก เพราะฉะนั้นครอบครัวมันไม่ได้แปลว่าพี่น้องท้องเดียวกัน แต่ครอบครัวมันคือความสุขที่อยู่รอบเรามากกว่า”

 

 

เรื่องราวความรักของป้าตือ

นอกจากมุมมองการใช้ชีวิตแล้ว ป้าตือ ยังได้มีโอกาสเล่าเรื่องราวความรักให้ฟังด้วย ซึ่งมีหลากหลายเรื่องราวพีคมากๆ เช่น เคยโดนผู้ชายจูบตอน ม.2 เลยต้องขอย้ายจังหวัดหนี! โดยป้าตือ เล่าว่า “หนูโดนผู้ชายจูบ ผู้ชายมาจากเมกันแล้วมาจูบหนู แล้วหนูไม่ได้ชอบเขาแต่ว่าหนูชอบเพื่อนเขา แล้วหนูก็เลยเดินไปบอกแม่ว่า แม่หนูโดนผู้ชายจูบเมื่อคืน หนูอยู่จังหวัดลำปางไม่ได้แล้ว หนูต้องย้ายจังหวัดหนี แล้วแม่ต้องย้ายโรงเรียนหนูด้วย ย้ายไปกลางคันเลย ก็รู้สึกว่าการโดนจูบ มันรู้สึกว่าตัวเองเสียความบริสุทธิ์ คือในวัยนั้นอายุ 14 เนอะ มันก็แบบ เห้ยย!
ช็อตเหมือนกันนะ แม่เลยย้ายให้เลย”

นอกจากนี้ยังมีเรื่องสุดพีคของป้าตือ กับรัก 13 ปี ที่ต้องเลิกรากัน แถมยังต้องเรียกทรัพย์สินจากการเลิกกันครั้งนี้ด้วย! เรื่องราวสุดแซ่บนี้จะเป็นยังไง ต้องไปฟังย้อนหลังจาก ป้าตือ กันได้เลย

“พี่หนูจะบอกให้นะ หนูไม่ได้อวดนะ คือเลิกกับสามีไม่เกิน 3 วัน หนูมีใหม่ตลอด และหนูก็เชื่อตลอดว่า จักรวาลนี้มีคนรอรักเราอยู่  ทุกวันนี้แจกบัตรคิวไม่พอนะ ต้องพรีออเดอร์ด้วย ของอย่างงี้มันเป็นเรื่องที่แบบว่าเขาเสกมาไงพี่ เทวดาเขาปั้น”

 

 

ท้ายรายการ ป้าตือ ได้พูดข้อคิดดีๆ ทิ้งท้ายไว้ว่า “หนูไม่เคยคิดมากไปกว่า 2 วินาที คือหนูไม่รู้จะคิดไปทำไม แบบว่าไม่ต้องคิดเผื่อพรุงนี้ก็ได้ เดี๋ยวหนูเดินออกไปข้างนอกเกิดหนูตุยขึ้นมามันก็จะเสียโอกาส เพราะฉะนั้น อยากทำอะไรทำเลย อยากพูดไรพูด แต่เราไม่พูดให้คนทุกข์ ไม่พูดให้คนมีเรื่องเสียใจ” - ป้าตือ

 

ติดตามรายการย้อนหลัง

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

เปิดความสนิท รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “เต้ และ อาร์ตตี้” สองเพื่อนซี้สุดปัง ผู้สร้างสรรค์พลังความสนุก จากแก๊ง Powerpuff Gay

02 ส.ค. 2024

เปิดความสนิท รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “เต้ และ อาร์ตตี้” สองเพื่อนซี้สุดปัง ผู้สร้างสรรค์พลังความสนุก จากแก๊ง Powerpuff Gay

CLUB นี้ยังคงรวมหลากหลายสีสันของชีวิต และคอยแบ่งปันแรงบันดาลใจดี ๆ ในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดซี้ จากจักรวาล Powerpuff Gay “เต้ และ อาร์ตตี้” จาก นักแสดงละครเวที และ เด็กภาพยนตร์และแอนิเมชั่น สู่การเป็น Content Creator ชื่อดัง ที่หลากหลายคนชื่นชอบ สีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ถูกส่งต่อเอาไว้แล้วในรายการย้อนวัยเด็ก และการยอมรับจากครอบครัว ของ อาร์ตตี้ และ เต้ Powerpuff Gayอาร์ตตี้ : “ในวัยเด็ก เราค่อนข้างจะเป็นคนที่ชอบเสียงหัวเราะ ชอบแสดงออกตั้งแต่เด็กๆ เลย เป็นคนชอบทำกิจกรรม ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ค่อยมีเพื่อน LGBTQ+ นะ จะมีเพื่อนผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ เพราะว่าเราจบโรงเรียนหญิงล้วนมาคือตอน ม.ปลาย หนูเข้าไปอยู่โรงเรียนที่เป็นโรงเรียนหญิงล้วนของจังหวัด แต่ว่าปีหนูเป็นปีแรกของโรงเรียนที่มีผู้ชายเข้ามา เพราะฉะนั้นก็จะมีนักเรียน 55 คนต่อ 1 ห้อง เป็นผู้หญิง 50 คน ผู้ชาย 5 คน แล้วผู้ชาย 5 คือกะเทย 3 เกย์ 1 ไม่ระบุเพศอีก 1 เพราะฉะนั้นเราก็จะมีเพื่อนเป็นผู้หญิงซะส่วนใหญ่ แต่พอเราเป็นกะเทย พอได้เข้าไปโรงเรียน ความกิจกรรมมันนำพาเรื่องความแปลกใหม่ สีสันหลังจากที่เราเข้ามาเรียนโรงเรียนหญิงล้วน แล้วด้วยความที่เรารำเป็น ชอบแสดง เวลามีงานฝรั่งเศส เราก็จะครีเอทการแสดงแบบปัง เอาความ Lip sync มาโชว์ ทั้งที่ไม่เคยมีมาก่อน เราเลยกลายเป็นผู้นำพาสีสันเข้ามาในเรื่องการยอมรับตัวตนของคนในครอบครัว เราเกิดมาโชคดีที่สถาบันครอบครัวของเราค่อนข้างจะสนับสนุนกับสิ่งที่เราเป็น แล้วก็โชคดีที่สถาบันการศึกษาของเราทุก ๆ ที่ไม่เคยปิดกั้น แล้วก็ซัพพอร์ทเราทุกอย่าง เราเป็นหัวหน้ากิจกรรม เป็นตัวแทน ประกวดมารยาท เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งขันตลอด ซึ่งผู้ชายจริงหญิงแท้ก็มี แต่ทำไมต้องเป็นเรา เพราะฉะนั้นเราถูกซัพพอร์ทมาโดยตลอด ก็ไม่ได้รู้สึกว่าโดนกดขี่ จะมีแค่คำพูดจากเพื่อนที่ทำงานของคุณพ่อ ที่มีบ้างบางครั้งเรารู้สึกว่า ทำไมต้องพูดอะไรแบบนี้ ซึ่งพวกเขาเป็นคนนอกที่มีปัญหา แต่คนในบ้านเราไม่มีปัญหาเลย”เต้ : “ของเต้ เราเป็นคนที่ปิดบังเรื่องเพศไม่ให้ใครรู้มาตั้งแต่สมัยเด็ก แล้วมาเริ่มยอมรับตัวเองตอนช่วง ม.ปลาย เหมือนกับว่ามีรุ่นน้องชอบมาถามบ่อย ๆ ว่า พี่เต้เป็นเกย์รึเปล่าอะไรแบบนี้ ตอนแรกเราก็ยังไม่ค่อยโอเคในการถามอะไรแบบนี้ จนมันเกิดความสงสัยว่าเอ๊ะหรือฉันเป็น แล้วมันก็บวกกับการที่เราบังเอิญไปชอบเพื่อนที่เป็นผู้ชายด้วย ก็เลยรู้สึกว่าก็ใช่แหละ เต้ก็เลยรู้สึกตัวเองไม่ได้ผิดแปลก และเป็นตัวของตัวเองแต่ว่าไม่ได้บอกใคร จนพอเราโตขึ้นมาช่วงนึงเหมือนที่บ้านเค้าก็คงจะรับรู้ได้ว่าเราไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้มีการคุยกัน จนมาทำงาน เราก็เลยได้มีโอกาสเปิดอกคุยกัน ตอนที่ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับคุณพ่อคุณแม่ ก็เลยไปนั่งคุยกับเค้าเลยว่าเต้ไม่ได้ชอบผู้หญิงนะ เต้ก็บอกเค้าตรง ๆ แล้วเค้าก็บอกว่าไม่แปลกใจ รู้อยู่แล้ว พอได้นั่งคุยกับเค้าไปเรื่อย ๆ ถึงรู้ว่ามันมีบางอย่างที่เค้าเป็นห่วง กลัวว่าเราอาจจะต้องใช้ชีวิตคนเดียว นี่คือปัญหาหลัก ๆ เลยของพ่อแม่ที่มีลูกเป็น LGBTQ+ จะต้องเจอพอเราได้พูดคุยกันมันปลดล็อคครับ เหมือนเป็นช่วงเวลาที่เราได้ยกบางอย่างที่มันหนักมาก ๆ ที่เราแบกมาแบบตั้งแต่เรารู้ตัวเอง ตั้งแต่อายุ 16 ปี จนมาบอกเค้าตอนอายุเกือบๆ 30 ปี แล้วมันสบายใจ หลังจากนั้นมาเต้ก็สนิทกับพ่อกับแม่ได้แบบเยอะขึ้นกว่าเก่า แล้วแม่อยากได้อะไร ป๊าอยากได้อะไร เราให้เค้าได้หมดเลยทุกอย่าง ตอนนี้เราสามารถแนะนำเครื่องสำอางให้แม่ใช้ได้โดยที่ไม่เคอะเขิน”อาร์ตตี้ : “พอพูดถึงประเด็นนี้ ต้องบอกว่ากะเทยเมื่อก่อน ถ้าเป็นกะเทยต้องเก่ง ต้องมีความสามารถ ต้องเรียนให้ดี ถึงจะเป็นที่ยอมรับ ทั้ง ๆ ที่เราก็แค่คน ๆ หนึ่ง”เต้ : “จริง ๆ เราก็ใช้ชีวิตของเราได้ ไม่ต้องไปพิสูจน์ให้ใคร”อาร์ตตี้ : “อย่างแม่เค้าจะเห็นอาร์ตกล้าแสดงออก ชอบทำกิจกรรมมาตั้งแต่เด็ก ๆ ซึ่งเมื่อก่อนเค้าก็จะไม่ค่อยมีคอมเมนต์อะไร แต่ก็แค่รู้ว่าลูกเราไปซ้อมนะ แล้วเค้าก็ค่อนข้างที่จะปล่อยแล้วก็เชื่อใจเราว่าไปซ้อมเต้นกลับมาตี 1 ตี 2 เดี๋ยวมันก็กลับมา และเราก็ตั้งใจเรียนไม่เคยสอบตก ไม่เกเร เพราะฉะนั้นตั้งแต่เด็ก จนตอนนี้ เค้าไม่ค่อยมีฟีดแบ็คอะไรจนมาเป็น Tiktoker มันมีเรื่องของเงิน เรื่องของงาน มันเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ แล้วเราก็เป็นคนที่ชอบให้แม่เล่น Tiktok ด้วย เวลาเราแสดงจนมีงานเข้ามา แม่ก็จะเริ่มมีฟีดแบ็คว่า ลองทำแบบนี้ดูมั้ย ผมมันดูไม่เป๊ะหนีบอีกมั้ย หรือพูดไม่ชัดแม่ขอปรับ เค้าก็จะมีคอมเมนต์เพราะมันเป็นเรื่องของงาน แล้วก็ใส่ใจตลอดเพราะเค้ารู้ว่านี่คืองานของลูก”เต้ : “เดี๋ยวต่อไปคุณแม่อาจจะเป็นคนเช็คเทปก่อนลงด้วย”จุดเริ่มต้นสู่แก๊ง Powerpuff Gay ของ เต้ และ อาร์ตตี้เต้ : “ของเต้ คือเต้จะเคยทำงานกับพี่ใหม่มาก่อน เป็นงานถ่ายแฟชั่น ไปถ่ายที่เยาวราช แล้วเราก็ทำผลงานออกมาแล้วกระแสตอบรับดี เต้ก็เลยบอกพี่ใหม่ว่ากระแสตอบรับมันดีเนาะ เราอยากทำอีก แล้วพี่ใหมก็บอกว่าถ้าทำต่อ แค่เราสองคนคงไม่ไหวหรอก เราต้องมีทีม ต้องมีอีก 2 คนเข้ามา ซึ่งพี่มีในหัวแล้ว 2 คน คือพี่หนุ่ม กับ พี่อาร์ตตี้”อาร์ตตี้ : “ตอนแรกอาร์ตไม่ได้เป็นเพื่อนกับใหม่ใน Facebook แล้ววันหนึ่งใหม่ก็มากดขอเป็นเพื่อน แว๊บแรกที่เห็นใหม่ เราก็คิดว่ามันเป็นคนยังไงนะ คือเราไม่ได้มีเพื่อนแบบนี้ ทรงมีหนวดแต่ว่าเป็นกะเทย แอบคิดว่าคนนี้ต้องแรงแน่ ๆ เพราะดูจากการแต่งตัว แต่ไม่เป็นไร ก็เป็นแค่เพื่อนในโซเชียลจะกลัวอะไร ก็เลยกดรับ แล้วเค้าก็ทักมาว่าสนใจอยากมาร่วมแก๊ง Powerpuff Gay ไหมซึ่งก่อนหน้านั้นเราก็จะแซวกันแค่ในคอมเมนต์ เพราะว่าเราจะเห็นผลงานของแต่ละคนใน Facebook อยู่แล้ว แต่ละคนชอบถ่ายคลิป ชอบถ่ายรูป เราก็จะแซวผ่านคอมเมนต์ ไม่คิดว่าวันหนึ่งใหม่จะกล้าทัก Facebook มาหาเรา”จาก The Powerpuff Girls สู่แก๊ง Powerpuff Gayเต้ : “เดี๋ยวเล่าพื้นเพก่อน พี่ใหม่เค้าชอบสีชมพู เป็นคนแบบหวาน ๆ ซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้เค้าจะเป็นสีชมพูเป็นตัวบอสซั่มไป ส่วนพี่หนุ่มเค้าก็ชอบสีเขียว เค้าก็จะเป็นตัวบัตเตอร์คัพ ส่วนเต้ตอนแรกตั้งใจว่าจะเป็นศาสตราจารย์ เป็นคนที่โผล่มาตอนที่เค้าต้องการ เป็นคนที่คอยซัพพอร์ทข้างหลัง ต่อมาเหมือนกับว่าพี่ ๆ เค้าบอกว่าเธอไม่ต้องอยู่ข้างหลังหรอก เธอมาอยู่ข้างหน้ากับฉันเลย เค้าก็เลยให้เราเป็นตัวสีม่วงซึ่งเราก็ชอบเหมือนกัน มันเป็นความแตกต่างที่เรารู้สึกว่ามีคาแรกเตอร์ขึ้นมา”อาร์ตตี้ : “คือจริง ๆ แล้ว เราไม่ได้มารวมตัวกันเพื่อจะเลือกสีนะ แต่มันเป็นความบังเอิญที่ว่าแต่ละคนจะมีสีที่ชอบอยู่แล้ว แล้วบวกกับนิสัยตัวละครด้วย อย่างอาร์ตตี้ชอบสีฟ้า ก็จะเป็นตัวสีฟ้าที่มีคาแรกเตอร์แบบน่ารัก ๆ เป็นสาวแบบนักวิชาการผู้ช่ำชองในเรื่องของเศรษฐกิจ”หมอดูทัก! Powerpuff Gay คือส่วนผสมที่ลงตัวอาร์ตตี้ : “เคยไปดูดวง แล้วหมอดูพูดว่า 4 คนนี้แปลกนะ มันเป็นความต่างที่พอมาอยู่รวมกันแล้วมันครบ มันสมบูรณ์แบบพี่ใหม่ เค้าก็จะเป็นคนคุยกับลูกค้าฉะฉาน แล้วก็มีความรู้ความสามารถในเรื่องของแบบเสื้อผ้าแฟชั่น การถ่ายภาพนิ่ง และเป็นคนที่มีคอนเน็คชั่นเยอะมากพี่หนุ่ม ก็จะมีความสามารถในการไลฟ์สด เป็นคนที่ด้นสดได้เก่ง แล้วก็แบบมุกหรือ เค้ามีสกิล เวลาที่พี่หนุ่มเล่นมุกตลกที่มันจะไปส่อเสียดคนอื่น มันกลายเป็นว่ามันจะดูน่ารัก น่าเอ็นดู เค้าเลยกลายเป็นคนที่คนรักพี่เต้ เก่งเรื่องการใช้อุปกรณ์การตัดต่อทั้งหมด แล้วก็เค้าเรียนมาโดยตรงเกี่ยวกับเรื่องนี้อาร์ตตี้ ก็จะถนัดในเรื่องของการทำคลิป เพราะเราเล่น Tiktok บ่อย ก็จะเป็นคนที่มีภาพในหัว และเราเล่นละครเวทีที่รัชดาลัยมาด้วย บวกกับที่เราอยากเป็นผู้กำกับมิวสิควีดีโอ การได้มาทำเพจเหมือนเป็นการฝึกเราหลาย ๆแล้วพอ 4 คนมารวมกันมันเหมือนกับว่าแต่ละคนถนัดในศาสตร์ที่ต่างกัน แล้วพอมีงานเข้ามามันสามารถทำได้ สมมติเช่นมีไลฟ์สด หนุ่มจะเป็นคนนำนะ เล่นกับพี่ใหม่ อาร์ตเต้ก็จะเป็นคนซัพพอร์ท ถ้าเกิดมีงานภาพนิ่ง ใหม่ก็จะเป็นคนจัดเซ็ท เต้ถ่าย เราก็จะมีหน้าที่ในเรื่องการเขียนสตอรี่ไลน์ส่งลูกค้า”เต้ : “มันคือเรื่องแปลกที่พอถึงหน้างานแล้วทุกคนเหมือนรู้ตัวเองเลยว่าต้องไปอยู่แผนกไหน เราเหมือนเป็นโปรดักชั่นนึง แต่ละคนจัดการแต่ละแผนกไปเลย ไม่ได้ก้าวก่ายกัน อาจจะมีแค่บางงานขี้เกียจก็โยนให้เพื่อนทำ แต่หลัก ๆ เราจะรู้และจัดการงานของตัวเอง”การหาจุดกึ่งกลาง ในวันที่ความคิดไม่ตรงกันอาร์ต : “ส่วนมาก Powerpuff Gay จะทะเลาะกันเพราะว่าเรื่องงานเป็นหลัก จะทะเลาะกันเรื่องเงินก็คิดว่าไม่น่าจะใช่ เพราะว่าต่างคนก็ไม่มีเงินอยู่แล้ว เรื่องผู้ชายก็คงจะไม่เกี่ยวกัน แต่ว่าสุดท้ายจุดมุ่งหมายของเราคือ อยากให้งานมันออกมาดีที่สุด ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน เพราะฉะนั้นเวลาไม่ชอบ ไม่โอเค เราจะหาทางออกด้วยการโหวต”เต้ : “ถ้าผลออกมาเป็น 3 ใน 4 ก็คือทำเลย หรือว่าถ้าเป็น 2:2 ก็จะเอาความเห็นมาควบรวมกัน หาวิธีหยิบนั่นมาใส่ หยิบนี่มาปรับ หาจุดกึ่งกลางว่าแบบนั้นได้ไหม แบบนี้จะโอเคกว่ารึเปล่า”อาร์ต : “เพราะว่าพอเราทำงานมาจนถึงวันนี้ แต่ละคนมีประสบการณ์ มีฝีมือ และมีความมั่นใจว่าฉันคิดแบบนี้มันน่าจะโอเคดี แต่ถ้าสมมติว่ามีเพื่อน ๆ อีก 3 คนไม่เห็นด้วย ก็แสดงว่าความคิดนั้นไม่ใช่ละ ก็ต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ แล้วตัดสินใจอีกครั้งว่า เค้าอยากให้งานออกมาเป็นแบบไหน ความกดดันที่เจอทุกวันนี้คือพอมันโตขึ้น เราอยากคืนอะไรให้กับคนดูบ้าง คอนเทนต์มันต้องคิดอีกขั้นหนึ่งรึเปล่า อยากทำอะไรให้มันลึกกว่าเดิม จากเมื่อก่อนเราร้องเพลงกันบ้า ๆ บอ ๆ ตอนนี้มันต้องคิดแล้วว่าจะยังไงต่อ แล้วจะให้อะไรกับคนดูบ้าง”เต้ : “ตอนนี้ Powerpuff Gay เข้าปีที่ 5 แล้วครับ แก๊งเราเกิดก่อนโควิดแป๊บนึง แล้วเราอยู่ด้วยกันตลอดเลย”อาร์ตตี้ : “มีคนถามว่า 4 คนนี้ ตีกันรึเปล่า ทะเลาะกันรึเปล่า คือ รอเลน กับ ม้าม่วงเนี่ย ภาพจำคือเค้าจะไปคู่กันบ่อย แล้วเค้าเป็นสายแฮงค์เอาท์ กลางคืนก็จะไปปาร์ตี้กัน แต่เราอยู่กับแม่ เต้อยู่กับแฟน ก็เลยไม่ค่อยได้ไปปาร์ตี้กับสองคนนั้นเท่าไหร่ แล้วสองคนนั้นเวลาไปปาร์ตี้ก็จะมีมีม กลายเป็นไวรัล เลยทำให้คนเห็นอยู่ตลอดแล้วภาพจำคือเราเกิดมาพร้อมกัน 4 คนนี้มันอยู่ด้วยกันตอนโควิด คนก็เลยคิดว่าเวลาไปไหนต้องไปด้วยกัน แต่จริง ๆ แล้ว เราทุกคนก็มีชีวิตของกันและกัน มีความชอบที่แตกต่างกัน แล้วพอวันนึงเมืองมันเปิดเราก็ต่างคนต่างไปทำกิจกรรมที่ตัวเองเคยทำมาก่อนหน้านั้น”เต้ : “ใช่คือเรารักกันเหมือนเดิม สนิทเหมือนเดิม แต่แค่ว่าบุคลิกเราไม่เหมือนกัน ส่วนเต้ กับ อาร์ตตี้ ที่หลายคนเห็นว่าเราจิ้นกัน จริง ๆ ตอนแรกเราทะเลาะกันเรื่องงานค่อนข้างบ่อย เพราะแรก ๆ เหมือนกับเรายังไม่ค่อยจูนกัน เต้เป็นคนที่เรียนพวกฟิล์ม พวกตัดต่อมา เต้ก็จะมีวิชั่นของเต้ที่จะมองตรงไปอย่างเดียว แต่พอมาเจอพี่อาร์ตตี้ เค้าก็จะมีวิชาชีพของเค้าที่ทำมา เป็นมุมมองจากนักแสดง”อาร์ตตี้ : “คือก่อนหน้าที่หนูจะมาทำ Powerpuff Gay หนูเป็นผู้จัดการ พี่ต๊งเหน่ง รัดเกล้า มาก่อน แล้วหนูก็จะไปออกกองกับพี่ต๊งเหน่ง ก็มีโอกาสได้ไปเจอหม่อมน้อย เค้าจะชอบเรียกพี่โต๊งเหน่งให้มาเช็คเทปหน่อย ซึ่งเราก็เข้าไปด้วยแล้วมันเหมือนได้เรียนไปด้วย ได้รู้วิธีมองภาพกว้าง ภาพแคบมั้ย เรียนรู้วิธีการเล่า แล้วพอมาทำงานกับ Powerpuff Gay แรก ๆ งานมันจะเป็นแบบ MV ล้อเลียน เราจะเป็นคนเขียนบท แล้วก็เป็นอาร์ตไดเร็คเตอร์ เราก็จะวาดภาพเรียงกัน เพื่อให้อารมณ์คนดูมันเป็นอย่างที่เราจะสื่อสาร แล้วก็ส่งตัดต่อ ปรากฏว่าไม่ตรงกับภาพที่เราวางไว้”เต้ : “เพราะมันก็จะมีบางอย่างที่มีข้อจำกัดของมันในเรื่องของเครื่องมือ หรือเรื่องของฉากที่เราถ่ายออกมา ก็เลยกลายเป็นไม่เชิงว่าตีกัน แต่มันเป็นการคุยเพื่อปรับความเข้าใจ”อาร์ตตี้ : “ต้องชมเต้นะ เต้เป็นคนที่มาจากพื้นฐานครอบครัวที่อบอุ่น เพราะฉะนั้นทัศนคติของเต้มันจะดี ไม่ค่อยนินทาคนอื่น ท่ามกลางกะเทยในกลุ่มที่มี 3 คน ที่บางทีก็จะหย่อนภาพใครสักคนมาในแชทแล้วก็เมาท์ แต่เต้ก็จะแค่หัวเราะแบบพอเป็นพิธี บางครั้งคงไม่ได้เห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้อยากให้บรรยากาศมันเสีย”เต้ : “คือเราเคยอยากมีบทใช่ไหม เราเคยส่งข้อความของเราเข้าไป แล้วก็เหมือนแบบ ไม่มีใครตอบเลย เต้ส่งไปปุ๊บทุกคนอ่านหมดเลย 4 คน แล้วก็หายไปเลย ก็เลยกลัวมุกแป๊ก เลยไม่เล่นละ”คอมเมนต์เชิงลบ ที่ถูกรับจบด้วยเหล่าแฟนคลับเต้ : “ยังไม่ค่อยเจอคอมเมนต์ลบแบบแรง ๆ สักเท่าไหร่ครับ ส่วนใหญ่คนที่เค้าเข้ามาดูเหมือนกับว่าทุกคนจะเข้าใจความเป็นเรา อย่างล่าสุดที่ทำรายการผีด้วยกัน มันก็จะเป็นการทดลองทำ แล้วทุกคนก็จะไม่ได้มาคอมเมนต์เชิงลบ แต่ก็จะเป็นแบบว่าปรับปรุงเรื่องนี้ให้หน่อยได้ไหม ก็จะเป็นข้อติที่ติเพื่อให้เราแก้ไขมากกว่า”อาร์ตตี้ : “คนที่ตามเราก็ต้องขอบคุณ เป็นคนน่ารักไม่ค่อยมีคอมเมนต์ที่มันบั่นทอน แต่จะเป็นการแนะนำ แล้วก็หาทางออกให้เรา และค่อนข้างที่จะเอ็นดูพวกเราแต่มันก็จะมีแบบบางคอมเมนต์ที่บางทีเค้าอาจจะหยอกเราเล่น แต่ว่ามันก็แรง แล้วเราก็สะอึกเหมือนกัน แต่เราก็ใช้วิธีมองข้าม หรือให้เทพพิทักษ์ที่เป็นแฟนคลับของเราจัดการ คือหมายถึงว่าแฟนคลับของเรา พอเค้าเห็นว่าคน ๆ มารังควาน เค้าก็จะออกมาปกป้องเราเอง โดยที่เราแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ต้องไปด่าต่อ แค่บอกว่าขอโทษค่ะ ได้ค่ะเดี๋ยวจะปรับปรุงให้ดีขึ้นนะคะ แล้วถ้าคนอื่น ๆ เห็นว่าคอมเมนต์นี้มันมีอคติ ทั้ง ๆ ที่พวกเราไม่ได้ผิดอะไรเลย เค้าจะออกมาปกป้องเราเอง”เปิดหัวใจ ส่องความรักของ เต้ และ อาร์ตตี้ Powerpuff Gayเต้ : “ตอนนี้ก็เป็นชีวิตความรักที่มีความสุขครับ เหมือนกับว่าเราได้เจอความชัดเจนจากคน ๆ นึง คือสุดท้ายแล้วเต้มาได้บทเรียนอย่างหนึ่งจากชีวิตความรักที่มันผ่าน ๆ มา เต้รู้สึกว่า สิ่งเดียวที่เราต้องการ คือเรื่องความชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเพศอะไร ฉันอยากจะเป็นแฟนเธอนะแค่นี้ แล้วพอต่างคนต่างมีศีลเสมอกัน แล้วทุกอย่างมันพาไปด้วยกันได้เอง ต่อให้ระหว่างทางมันจะเป็นแบบไหน แต่เต้รู้สึกว่ามันสามารถพาไปด้วยกันได้”อาร์ต : “เป็นเหมือนกันค่ะ คืออาร์ตเป็นคนที่โหยหา อยากมีสามีมาโดยตลอด แล้วตอนที่มีจริง ๆ มันก็มีทั้งสิ่งที่เป็นไปตามที่เราคิดไว้ และก็มีบางอย่างที่ไม่ใช่แบบที่เราคิดไว้ แต่มันก็เป็นการเรียนรู้ เมื่อก่อนความรักของเราคือเธอต้องอย่างงี้นะ ไปไหนมาไหนต้องรายงานทุกชั่วโมง มันเหมือนเป็นเจ้าของชีวิต และเราก็ไม่ชอบส่วนความรักตอนนี้ก็คือรู้สึกปล่อย ให้เกียรติ ให้พื้นที่กันและกัน ไม่ต้องมานั่งคิดกังวลแล้วว่าเค้าอยู่ไหน เค้าไปกับใคร แล้วสุดท้ายก็คือเราให้เกียรติเค้ามากพอ เค้าก็ให้เกียรติเรา กลายเป็นเซฟโซนของกันและกัน”สีสันแรงบันดาลใจจาก เต้ และ อาร์ตตี้ Powerpuff Gayเต้ : “สำหรับคนที่อยากเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ สิ่งที่เราได้เรียนรู้มาจากพี่ ๆ ทั้ง พี่ใหม่ พี่หนุ่ม พี่อาร์ตตี้ คืออย่าหยุด อย่าท้อ อย่าถอย เพราะว่าเราไม่รู้ว่าคอนเทนต์ไหนที่เราตั้งใจทำมันจะสำเร็จ เพราะอย่างพวกเราก็ไม่ใช่ว่าทำคอนเทนต์แรกแล้วสำเร็จต่อให้มาทำคอนเทนต์ที่ 1 ถึง 100 มันอาจจะไปสำเร็จที่ 101 ก็ได้ เพราะฉะนั้นแล้วเราเดาไม่ได้ อยู่ที่ว่าเราจะดูแลคอนเทนต์ของเราและช่องของเรายังไง ให้ไปในทิศทางที่โอเค”อาร์ต : “เวลาที่เราเป็นวิทยากร แล้วเค้าถามว่าทำยังไงถึงดัง เราจะบอกเสมอว่า อย่าคาดหวัง แต่ต้องกลับมาถามตัวเองให้ชัดก่อนว่าเราอยากทำจริงรึเปล่า นี่คือความสุขของเราจริงรึเปล่า ถ้าคำตอบในหัวมันคือใช่ นี่แหล่ะคือความสุข แล้วเราจะขยัน เราอยากจะทำคอนเทนต์ในทุก ๆ วัน โดยที่ไม่เบื่อ ไม่เหนื่อย คนจะดูหรือไม่ดูยังไงไม่รู้ แต่อย่างน้อย เราจะมีกำลังใจในการทำคอนเทนต์ในทุก ๆ วัน เพราะนี่คือสิ่งที่เราชอบ ขอให้ยึดมั่นว่านี่คือความสุขของคุณ เราจะได้ไม่เหนื่อยในทุก ๆ วัน”คำขอบคุณจาก เต้ และ อาร์ตตี้ Powerpuff Gayอาร์ตตี้ : “ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ คน 4 คนมารวมตัวกันเริ่มจากศูนย์ แต่เราทำเพราะว่าเราอยากทำ เราอยากเป็น เราอยากแต่งตัวเป็นคนโน้นคนนี้ ใส่วิกแล้วก็ได้ร้องเพลงกับเพื่อน ๆ แต่มาวันหนึ่งความไร้สาระของพวกเรามันกลับมีคนชอบ แล้วทุกคนให้คุณค่ากับสิ่งที่พวกเราทำ”เต้ : “มันเคยมีคอมเมนต์หนึ่งที่แบบว่า จริง ๆ หนูเกือบจะลาโลกนี้ไปแล้ว แต่เพราะว่าหนูบังเอิญมาเปิดเจอพวกพี่ พวกพี่ช่วยชีวิตหนูไว้ แล้วไม่ใช่แค่คนเดียว มันมีคอมเมนต์แบบนี้เยอะมาก”อาร์ตตี้ : “ในช่วงโควิดเราเจอแบบนี้เยอะมาก และเราได้แต่บอกว่าน้องเข้มแข็งนะ แล้วก็ขอบคุณจริง ๆ ที่น้องมาคอมเมนต์เรา เพราะเอาจริง ๆ มันก็เหมือนพลังอีกอันหนึ่ง ที่ทำให้พี่อยากจะทำคอนเทนต์ในทุก ๆ วัน เพราะพี่รู้ว่ามันมีคนอีกเยอะที่ต้องการพลังบวก และต้องการเสียงหัวเราะแบบนี้”พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

เปิดความ Proud คุยเรื่องราวเติมพลังใจ กับ “โม จิรัชยา” อินฟลูฯ ลุคนางฟ้า ผู้คว้าตำแหน่ง Miss International Queen 2016

10 ก.พ. 2025

เปิดความ Proud คุยเรื่องราวเติมพลังใจ กับ “โม จิรัชยา” อินฟลูฯ ลุคนางฟ้า ผู้คว้าตำแหน่ง Miss International Queen 2016

“พอโตขึ้นเรารู้สึกว่า การอยู่ได้ด้วยตัวเอง มันมีความสุขมาก ๆ เราสามารถจัดการความสุขได้ง่ายมาก ๆ อยากทำอะไรก็ทำเลย และรู้ว่าความสุขมันหาได้จากสิ่งง่าย ๆ ใกล้ตัว และมันเกิดขึ้นได้ทุกวัน”เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญที่สวยระดับโลก “โม จิรัชยา” อินฟลูเอนเซอร์สาวสุดแซ่บแห่งยุค ผู้ที่มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง สู่ความทุ่มเทตั้งใจจนได้เป็น Miss Tiffany's Universe 2016 พ่วงกับตำแหน่ง Miss International Queen 2016 เพราะพลังที่สำคัญที่สุด คือพลังที่อยู่ในตัวเอง และ ณ วันนี้ เธอพบว่าความสุขในชีวิตมันหาได้จากสิ่งง่าย ๆ ใกล้ตัว เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการย้อนวัยใส ของ ด.ช.อัครพล“ตอนเด็ก ๆ ชื่อ โจ้ อัครพล แล้วมาเปลี่ยนเป็น โม จิรัชยา ตอนประกวดนางงามแล้ว คือจริง ๆ เราไม่อยากเปลี่ยนชื่อเล่นเลย แต่ว่าพอโตขึ้นเราอยากให้ชื่อมันลื่นหูขึ้น เพราะตอนเข้าโรงพยาบาลแล้วโดนเรียกชื่อคนไข้ คุณอัครพล เราจะต้องเจอสายตาที่งง ๆ เลยรู้สึกว่าเปลี่ยนชื่อให้มันลื่นหูก็น่าจะดี เพื่อความสบายใจของตัวเอง ก็เลือกชื่อ โม แล้วกันง่าย ๆ แล้วชื่อจริงก็ตั้งเองด้วย พยายามหา สละ พยัญชนะ ที่เราใช้ได้ แล้วเราก็มาเลือกชื่อที่ชอบโม เกิดในครอบครัวคนจีน มีพี่ชายหนึ่งคน แล้วเราก็เป็นน้องชาย ซึ่งกว่าที่โมจะได้มาใช้ชีวิตในแบบผู้หญิง ก็คือตอนเรียนปี 1 แต่ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นเรากดดันนะ ทั้งเรื่องที่เราแอบทานยาคุม หรือมีเพื่อนที่เป็นตุ๊ดเป็นกะเทย ที่บ้านเราจะกีดกันหมด ในตอนที่รู้ว่าโมทานยาคุม ที่บ้านก็คือค้นโต๊ะ ค้นทุกอย่าง แล้วให้ทุกคนในครอบครัวมานั่งคุยเลยว่าจะเอายังไง ยานี้มันอันตรายไหม ซึ่งตอนนั้นเค้าก็คงเป็นห่วงเรามาก ๆ แล้วความเป็นฮอร์โมน เค้าก็ไม่รู้ว่ามันอันตรายหรือไม่ แล้วพอโตขึ้นมา เค้าก็เห็นเราไปอยู่กับเพื่อนกะเทยเยอะ ซึ่งก็เป็นที่มาของการที่โมตีเทนนิสในปัจจุบันนี้ เพราะเค้าจับหนูให้ไปเรียนเทนนิส เพื่อที่จะไม่ให้ใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนหลังเลิกเรียน ทำให้เราต้องอยู่บ้าน แต่เป็นชีวิตที่คุยกับที่บ้านน้อยมาก พออยู่บ้านเราจะเป็นอีกคนที่ไม่กล้าพูดไม่กล้าคุยไม่กล้าแสดงความเป็นตัวเองแบบ 100% เพราะเรากลัวว่าเค้าจะมองเราไม่ดี แล้วเราจะโดนดุ เราก็เลยต้องพยายามทำตัวเป็นคนเรียบร้อย จะได้แต่งเป็นผู้หญิง ใส่กางเกงขาสั้นแค่ตอนจะออกจากบ้าน แต่ตอนจะกลับบ้านก็ต้องกลับสู่ปกติ แต่การใช้ชีวิตในแต่ละวันมันต้องลุ้น และระแวงว่าเพื่อนของพ่อจะเจอเราไหม พ่อจะเจอเราข้างนอกบ้านไหม มันกลัวไปหมด ก็เลยรู้สึกว่าตอนเรียนมัธยมเป็นช่วงที่ตัวเองรู้สึกอึดอัดที่สุด จนผ่านมาถึงมหาวิทยาลัย”เขียนจดหมายเปิดใจ จนได้เจอความสุขที่แท้จริง“ความภูมิใจแรก ๆ มันเกิดขึ้นตอนสอบติดมาวิทยาลัย ตอนนั้นพ่อแม่ก็รู้สึกประหลาดใจด้วยนะ เพราะว่าตอนนั้นเราก็ไม่ได้ตั้งใจเรียน โม สอบติด มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เรียนแฟชั่นดีไซน์ ศิลปกรรม ซึ่งตอนปี 1 ต้องไปเรียนที่องครักษ์ จ.นครปฐม นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้ใช้ชีวิตเป็นผู้หญิง เพราะต้องอยู่หอ พ่อแม่ไม่เจอเรา ก็เลยได้ใช้ชีวิตแบบเป็นผู้หญิง ใส่เสื้อชั้นใน ใส่ชุดนิสิตหญิง จนถึงวันที่เราต้องกลับมาเรียนปี 2 ที่ ประสานมิตร เราทำใจไม่ได้ถ้าต้องกลับมาแต่งชาย เพราะเรารู้สึกว่าสังคมเพื่อน คนรอบตัวมองเราเป็นผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว ถ้าเราจะกลับไปเป็นผู้ชาย เรารู้สึกว่ามันไม่ได้มาก ๆ ก็เลยกลับไปคุยกับที่บ้าน เป็นการคุยโดยการเขียนจดหมาย เพราะว่าเราไม่รู้จะเรียบเรียงคำพูดยังไง วันนั้นเป็นคาบเรียนสุดท้าย เรียนเสร็จเราก็นั่งเขียนจดหมายเลยว่าเกิดอะไรขึ้น การที่เราใช้ชีวิตอยู่เป็นแบบไหน อยากให้พ่อแม่เข้าใจ ตอนนั้นเขียนไปแล้วร้องไห้น้ำตาท่วม แต่สุดท้ายมันง่ายมาก เพราะพ่อบอกว่าก็รู้อยู่แล้ว ไม่ได้ว่าอะไร เราก็เลยงงว่าทำไมทุกคนเข้าใจง่ายจัง หลังจากได้อ่านจดหมาย วันรุ่งขึ้นแม่พาไปซื้อเสื้อชั้นในเลย หลังจากนั้นมันกลายเป็นความสุขที่แท้จริง เหมือนเราไม่มีอะไรที่ต้องโกหก ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง พอมันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในชีวิตเราก็อยากเล่าสู่ครอบครัว เดี๋ยวจะไปกับเพื่อนนะ เราสามารถพูดได้เลย มันไม่เหมือนกับตอน ม.ปลาย และยิ่งโตขึ้นมามันยิ่งแฮปปี้ขึ้น เพราะที่บ้านกลายเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างสนิทกันมาก คุยเล่นได้หมดเลย พ่อแม่จะกลายเป็นเหมือนเพื่อน คุยกันได้ทุกเรื่องแม่กระทั่งตอนจะไปหาผู้ชาย ก็เปิด Instagram ผู้ชายให้แม่ดูได้เลย แม่ก็จะบอกเลยคนนี้หล่อดีนะ คนนี้ไม่โอเคนะ เรารู้สึกโชคดีมาก ๆ ที่ครอบครัวเราน่ารัก พร้อมสนับสนุนทุกอย่าง เช่น ตอนนั้นเรียนอยู่ปี 3 อยากทำหน้าอกมาก เราก็ตื้อจนพ่อก็พาไปโรงพยาบาล ไปจ่ายเงินให้ ทำทุกอย่างให้ แม้แต่ตอนจะทรานส์พ่อก็ไปรับไปส่ง ดูและเราอย่างดี มันคือความสุขที่เกิดขึ้นและเราสัมผัสได้”จุดเริ่มต้น บนเส้นทางนางงาม“จุดเริ่มต้นบนเส้นทางนางงามของโม คือ ตอนนั้นเราไม่ได้เป็นคนที่เล่นโซเชียล ไม่ได้เป็นคนที่ดูนางงาม แต่แค่มองอนาคตว่า เราชอบวงการบันเทิง แล้วเราจะทำยังไงดีให้เราเข้าสู่วงการบันเทิงได้ เราก็เลยรู้สึกว่าการประกวดนี่แหละเป็นสิ่งที่ทำได้ และทำให้เรารู้สึกว่ามันได้นำทักษะที่เราเรียนมา เอามาใช้ในการประกวดด้วย ก็เลยไปประกวด Miss Tiffany’s Universe ตอนปีแรกที่ประกวดคือ 2014 ตอนนั้นไม่พร้อม ตกรอบ 30 คนสุดท้าย เดินชุดราตรีสวย ๆ แล้วก็กลับบ้าน แต่พอปี 2016 มีรุ่นพี่ที่แนะนำเราให้กับค่ายนางงามที่ชื่อ พี่ชาติ ซึ่งค่อนข้างที่จะคร่ำหวอดในวงการนางงาม ซึ่งตอนเราประกวด เค้าก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะส่ง เพราะว่าเค้าไม่มีเวลาแต่เราก็บอกว่า แม่จะส่งหนูไหม ถ้าแม่ส่ง แม่แค่แต่งหน้าให้หนู เรื่องชุด เรื่องสไตล์ลิส เดี๋ยวหนูจัดการเอง พี่ชาติ ก็เลยตกลงส่งเราประกวด วันที่เจอกันครั้งแรกคือวันออดิชั่น และเป็นวันที่ไวรัลที่สุด เพราะมันจะมีรูปที่คนแชร์กันเยอะมากในโซเชียล เป็นรูปที่โมใส่ชุดสีขาว แล้วก็จะมี แปรงแต่งหน้าจากมือแม่ชาติ ซึ่งตอนนั้นเราไม่ได้เล่นโซเชียล แล้วเราก็ไม่ได้รู้เรื่องว่ารูปมันเป็นไวรัล จนกลับมาจากออดิชั่นถึงเริ่มรู้ แล้วก็สงสัยว่าทำไมคนถึงรู้จักเรา เหตุผลมาจาก พี่ช่า ไดอารี่ตุ๊ดซี่ แชร์รูปของเรา แล้วหลังจากนั้นคน 20,000 คน ก็เริ่มมาติดตามเรา แล้วเราก็เริ่มมาสนใจโซเชียลมากขึ้น และมาคิดได้ว่าการจะเป็นที่รู้จักของคนในโซเชียลมันเร็วมากเลยตอนกลับไปประกวดปี 2016 เราเตรียมตัวมาอย่างดี เรียนบุคลิกภาพ แล้วก็เข้าใจประโยคที่ว่า เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม เพราะว่าการเป็นนางงาม มันก็จะต้องมีความเป็นนางงามอยู่โมก็พยายามคิดว่า เราจะนำเสนออะไรที่มันเป็นรูปแบบใหม่ ๆ แต่สุดท้ายนางงามมันก็จะต้องมีมาตรฐานความเป็นนางงามอยู่ ดังนั้นการเดิน บุคลิกภาพ เราต้องเรียน แล้วปี 2016 ตอนนั้นคนที่ประกวดได้ต้องอายุไม่เกิน 25 ปี แล้วตอนนั้น โม อายุ 25 พอดี มันเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว ทุกอย่างเราใส่เต็ม แล้วในปีนั้นกระแสการเชียร์นางงามกำลังมา น้ำตาล ชลิตา, โม จิรัชยา แล้วก็ ฝ้าย สุภาพร จะมีแต่ตัวเต็งของเวทีเกิดขึ้นต้องขอบคุณสังคม คือเราเรียนแฟชั่นมา เราก็จะรู้จักแบรนด์ต่าง ๆ หรือรุ่นพี่ รวมถึงเพื่อน ๆ ที่เคยทำงานด้วย เคยฝึกงานพร้อมกัน แล้วเราก็เริ่มรู้สึกว่า สิ่งที่เราชอบจากที่เราเรียนก็คือการแต่งตัวแฟชั่น หรือเรื่องรสนิยมต่าง ๆ เรารู้ว่าตัวเองใส่อะไรแล้วสวย ใส่สีอะไรแล้วเราดูดี แล้วในยุคที่โมประกวด มันเป็นยุคที่การออกงานต่าง ๆ จะต้องมีการถ่ายรูป ชุด หน้าผม แล้วก็แท็กชื่อคน ชื่อห้องเสื้อ แล้วช่วงนั้นเรารู้สึกว่าสนุกกับการประกวด เราเตรียมเสื้อผ้า วางลุคไว้แต่ละวัน ไม่ซ้ำแบรนด์กันเลย ทำการบ้านว่าเราจะต้องนำเสนอสิ่งที่เราชอบ ทรงผม การแต่งหน้า การแต่งตัว การเดิน กริยาต่าง ๆ มันต้องเป็นตัวเราที่สุด แล้วตอนนั้นการประกวดมันก็ค่อนข้างเข้มข้น เพราะว่ามันเป็นยุคที่คนเริ่มมาดูนางงาม นางงามต้องมีการเตรียมตัวแบบสุด ๆ นอกจากบุคลิกภาพ เสื้อผ้าหน้าผมแล้ว ก็ยังมีเรื่องของน้ำหนัก เพราะแต่ก่อนเราผอม อยู่บนเวทีมันก็จะยิ่งตัวเล็ก แต่นางงามมันต้องมีน้ำมีนวล มีความเป็นควีน แม่ชาติก็พาไปกินทุเรียนทุกวันตอน 4 ทุ่ม กินขนมปังเนยนม ให้มันมีเนื้อมีหนัง แล้วการประกวดนางงามมันเหนื่อยมาก 7 โมงเช้าเราต้องเข้ากอง ดังนั้น ตี 4 ต้องตื่นมาแต่งหน้าทำผม แต่ก่อนหน้านั้น ก่อนที่เราจะได้ตื่นตี 4 ทำกิจกรรมเสร็จกว่าจะกลับบ้านรถติด ต้องเตรียมของ ถึงบ้านก็ตี 1 แล้ว ตอนนั้นเรานอนน้อยมาก แล้วโมเป็นภูมิแพ้ เวลาแต่งหน้าน้ำตาก็จะไหล ขนตาก็จะหลุด ระหว่างแต่งหน้าเราก็จาม บอกเลยว่าการเป็นนางงามมันที่สุดในชีวิตเลย นอกจากเหนื่อยกายแล้ว เราเหนื่อยหน้าที่เราจะต้องคอยยิ้มหวาน เหนื่อยสมองเวลามีสัมภาษณ์ ต้องตอบให้ดูเป็นคนฉลาด มีความรู้ ต้องมีโครงการเพื่อสังคม เข้าใจเลยว่าถ้าเห็นนางงามคนไหนหน้าบูด ไม่ต้องไปโกรธเค้านะคะ เพราะเค้าเหนื่อย ให้เค้าพักบ้างอย่างปีนี้ Miss Tiffany’s Universe 2025 มาในธีม Moving Forward พุ่งทะยานสู่วันใหม่ ในฐานะที่เป็นรุ่นพี่นางงาม โมมองว่ายุคนี้สิ่งที่ต้องการมาก ๆ มันคือโลกโซเชียล ทุกอย่างมันต้องเร็ว ต้องสมัยใหม่ นางงามจะต้องทันโลก แล้วหนูเคยฟัง คุณจ๋า พูดในรายการหนึ่งว่า เค้าชอบคนที่กระฉับกระเฉง มีไหวพริบ ฉับไว ดังนั้นถามอะไรตอบให้ตรง ไม่ต้องไปอ้อมโลก เราอยากจะให้น้อง ๆ นางงาม คิดว่าถ้าสมมติตัวเองเป็นเจ้าของเวที เราจะเลือกใครมง แล้วเราก็จงเป็นคน ๆ นั้น ต้องดูว่าเวทีต้องการอะไร เราจะต่อยอดได้ยังไง ถ้าตอบโจทย์ก็มงได้ค่ะ”จากตัวแทนประเทศไทย สู่ชัยชนะบนเวที Miss International Queen 2016“การประกวดในประเทศ และต่างประเทศ ความยากเย็นมันแตกต่างตรงที่ว่า ในประเทศเราทำเพื่อตัวเอง ส่วนต่างประเทศ มันต้องแบกภาระ มันมีความคาดหวัง มีคำแนะนำเยอะ จนเราสับสนว่าต้องทำให้ใครก่อน แล้วมันกดดัน แต่ตอนนั้นโมรู้สึกว่า การได้เข้ามาเป็นตัวแทนที่สวมสายสะพายไทยแลนด์ มันมีโอกาสเดียว แล้วน้อยคนมากที่จะเข้ามาได้ ก็เลยอยากทำให้มันเต็มที่ ต้องทำทุกอย่าง หาสปอนเซอร์ชุด ช่างหน้า ช่างผม ทุกอย่างต้องอินเตอร์ขึ้น ต้องซ้อมการแสดงความสามารถ ต้องหาเงินเพื่อจองตั๋วเครื่องบิน อย่างรอบไฟนอลก็ได้สปอนเซอร์ชุดจาก พี่ฉอด ต้องขอบคุณพี่ ๆ ทุกคนที่แบบซัพพอร์ตเรา แล้วเราต้องทำให้ดีที่สุด ผลจะเป็นยังไงค่อยว่ากัน จนวินาทีสุดท้ายก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมงลงเหมือนกันหลังจากนั้น พ่อแม่ภูมิใจกับเรามาก ๆ เหมือนลูกเป็นดาราแล้ว พอเรากลับพ่อแม่ก็จะดีใจ อวดไปสามบ้านแปดบ้านว่า โมกลับมาแล้ว มาถ่ายรูปไหม เหมือนเด็กอวดของ เราก็ดีใจแล้วนั่นมันกลายเป็นช่วงเวลาดี ๆ ที่นึกถึงเมื่อไหร่ก็ได้กำลังใจ”เมื่อความภูมิใจ คือการได้ส่งต่อโอกาส“ณ ตอนนี้ สิ่งที่ภูมิใจมากที่สุด คือการที่เราทำอะไรให้สังคม แต่ก่อนตอนเด็ก เราก็ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดัง พอเราโตขึ้นมา แล้วผ่านการประกวด สิ่งต่าง ๆ ที่เราพูดออกไป มันออกไปสู่สังคมได้มากขึ้น คือตอนนี้หนูได้เป็นส่วนหนึ่งในผู้ก่อตั้ง “Feline Agency” เป็นเอเจนซี่เกี่ยวกับโมเดลล้วน ๆ ที่เปิดรับทุกเพศตั้งแต่เกย์ ทรานส์ หญิง ชาย หรือ Nonbinary ทุกอย่างครบหมดเลย มันเริ่มมาจากที่เราทำงานมา แล้วเรารู้สึกว่าโอกาสในการทำงานของทรานส์ในวงการนางแบบมันมีน้อยมาก แล้วเราก็ถูกปิดโอกาส จนได้มาเจอ พี่มี่ มิลิน กับ พี่เล็ก สองคนก็มาคุยกันว่า มีแรงบันดาลใจอะไรบ้าง หนูก็เล่าชีวิตหนูไป แล้วก็เลยเกิดมาเป็น “Feline Agency” มีเด็กในสังกัด 20-30 คน เป็นการให้โอกาส แล้วก็ต่อยอดเส้นทางความฝันของน้อง ๆ ทำมาประมาณ 4 ปี แล้วเรารู้สึกว่าทำแล้วเกิดเป็นพลังงานดี ๆ กับคนอื่น เป็นความภูมิใจของเรา ก็เลยรู้สึกว่า “Feline Agency” เป็นสิ่งที่ภูมิใจอย่างประสบการณ์ของโม แต่ก่อนเราก็เคยโดนปิดกั้น ตอนเด็กเราอยากเป็นพริตตี้มาก 10 ปีก่อน การเป็นพริตตี้นี่คือเป็นอาชีพที่ทำเงินมาก ๆ แล้วเรารู้สึกว่าคนสวยเท่านั้นที่จะได้เป็น แล้วเราก็ส่งไลน์ไปสมัคร แล้วเค้าก็บอกว่ารับแต่ผู้หญิงแท้อย่างเดียว ซึ่งเราก็รู้สึกว่าพริตตี้บางงานมันไม่ต้องพูด มันไม่จำเป็นจะต้องใช้เสียง แล้วคุณสมบัติอื่น ๆ เรามีนะ แล้วเราสามารถทำได้ แต่ว่าตอนนั้นเราก็เข้าใจว่าสังคมมันค่อนข้างที่จะปิดโอกาส เราก็เลยถูกปฏิเสธ จนเรารู้สึกว่า ถ้าโตขึ้นมา หากมีโอกาสก็อยากให้เรื่องการทำงาน หรือความฝันของแบบทรานส์ หรือคนทุก เพศ หากอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร อยากทำงานอะไร ต้องได้ทำ”เพราะฉันเป็นฉัน“สมัยก่อนมันไม่มีคำว่าทรานส์ ไม่มีคำว่า LGBTQ+ มันจะมี ชาย หญิง ตุ๊ด กะเทย ส่วน เกย์อาจจะมีช่วงหลัง ๆ มันจะมีแค่นี้ แล้วพอเราโตมา เราก็ถูกสังคมมองว่าทุกอย่างจะต้องเหมือนผู้หญิง ต้องผมยาว ต้องมีหน้าอก ต้องมีสรีระที่คล้ายผู้หญิงมากที่สุด ต้องมีกิริยาที่เหมือนผู้หญิง ต้องมีการแต่งตัวให้เหมือนผู้หญิง ต้องใช้เสียงโทนผู้หญิง มีช่วงหนึ่งที่เราก็พยายามทำตามสังคม แต่เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ฉัน เพราะว่าเราเป็นคนฉับไว กระฉับกระเฉง ด้วยนิสัยของเราเป็นคนตลก สนุก เราก็เลยรู้สึกว่าตัวเองถูกกดด้วยสังคมอยู่ แต่จริง ๆ แล้วเราไม่จำเป็นต้องเหมือนผู้หญิงก็ได้ เพราะว่าเรารู้ว่าเราเป็นอะไร คนอื่นรู้หรือไม่ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวเรา มันเป็นเรื่องมุมมองของเขาที่มองกลับมาหาเรามากกว่า ดังนั้นเราทำให้ตัวเองสบายใจ ส่วนคนอื่นจะมองยังไง นั่นคือเรื่องของความรู้ อุดมคติ การใช้ชีวิต และการมองโลกของเค้า ที่มองเข้ามาหาเรา ใครที่จะมาเรียกเราว่า กะเทย ตุ๊ด ผู้หญิง หรือทรานส์ แล้วแต่เลย เราไม่รู้สึกอะไร และฉันเป็นฉันแค่นั้นเอง”ความรัก หัวใจ และความสุขที่ใช่ จากเรื่องง่าย ๆ ใกล้ตัว“ความรัก ตอนนี้โมโสดมา 7 ปี ก้าวเข้าปีที่ 8 เรามองว่าอาจจะเจอคนที่ไม่พร้อมสำหรับเรา เหมือนมันก็มีคนเข้ามานะ แต่ว่าโมรู้สึกว่า มันมีคนเข้ามาน้อย เพราะคนส่วนมากจะคิดว่าเป็นคนสวยจะต้องมีคนจีบเยอะเลย แต่จริง ๆ เราไม่มีคนคุย เพราะโมเป็นคนที่ไม่คุยไปเรื่อย แล้วถ้าสมมติเราไม่ชอบ เราก็จะไม่พยายามไปชอบเค้า เพราะว่าเรามองมุมกลับ ถ้าสมมติเราไปชอบคน ๆ หนึ่ง แล้วเค้าพยายามคุยให้เราสบายใจ มันคือการทำร้ายเค้าทางอ้อมแต่ความสัมพันธ์ที่ผ่านมามันก็จะเข้ามาป๊บเดียวก็หายไป ไม่ได้เรียกว่าแฟน หรือมีสถานะที่จริงจัง แต่การเป็นโสด เราก็ไม่ได้รู้สึกแย่ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุข แต่กลับมีความสุขมาก ๆ พอเราโตขึ้นเราจะรู้สึกว่า การอยู่ได้ด้วยตัวเอง มันมีความสุขมาก ๆ และเราสามารถจัดการความสุขได้ง่ายมากเลย โมรู้สึกว่าตอนนี้เราเป็น Best Version มาก ๆ เราตื่นมาอยากไปยิมก็ไป เล่นยิมเสร็จอยากกินอะไรอร่อย ๆ โมก็ขับไปกินคนเดียว ง่ายมากเลย ทุกอย่างคือความสุขรอบตัว เราหยิบจับอะไรก็เป็นความสุข คนอื่นพยายามไปหาว่าอะไรคือความสุข แต่สำหรับโม แค่กินของอร่อยก็มีความสุขแล้ว ถ้ากินไม่อร่อยก็ทิ้งไป ไปซื้อใหม่แค่นั้นก็มีความสุขแล้วตอนนี้กำแพงหัวใจของเราไม่สูงนะ แต่กำแพงอาจจะมีหลายชั้น คือเราค่อนข้างที่จะเลือก บอกตามตรงว่าชอบคนหล่อ ไม่ใช่แค่หน้าหล่อ แต่รวมไปถึงการดูแลตัวเองด้วย มันต้องมีความกลมกล่อม สิ่งสำคัญมากคือ เรามองว่าการมีแฟนต้องคุยรู้เรื่อง ถ้าถามปูตอบปลาก็ไม่เอา คุยให้มันตื่นเต้น รู้สึกสนุกกับชีวิต อยากทำอะไรไปทำด้วยกัน ไม่ต้องเครียด เพราะไม่อยากเอาความเครียดมาใส่หัว อนาคตเธอจะวางแผนยังไง ไม่ต้องยุ่งฉันดูแลตัวเองได้ ขอแค่มาเป็นเพื่อนที่เข้าใจกัน มันที่สุดแล้วสำหรับโม”ความฝันต่อไป ของ โม จิรัชยา“ตอนนี้โมรู้สึกมีแพชชั่นกับการใช้ชีวิตของตัวเองมาก ๆ แต่ก่อนการเป็นทรานส์ จะไม่ค่อยมีคนออกกำลังกาย กลัวมีกล้ามมี Six Pack ซึ่งเราเป็นคนไม่ชอบเข้ายิมเลย แต่ตอนนี้เรากลับมาเข้ายิมได้ประมาณ 5 เดือน แล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงในร่างกายที่เรารู้สึกว่า ทำไมมุมมองสมัยก่อนเรามองตัวเองว่าจะต้องเป็นคนไม่มีกล้ามเนื้อ เป็นคนตัวนิ่ม ๆ เหลว ๆ แต่พอตอนนี้มุมมองเราเปลี่ยน เรารู้สึกว่ารักร่างกายตัวเองที่มันมีกล้ามเนื้อที่ดี แล้วอารมณ์ดีขึ้น ไม่เครียด และมันมีความสุข แล้วโมก็กลับมาตีเทนนิส ก็เลยรู้สึกว่าเราอยากเป็นแบบทรานส์ที่ตีเทนนิสเก่ง ๆ แล้วพอมานั่งคิดก็รู้สึกว่า ถ้าเราเก่งแล้วเราจะลงแข่ง เราจะอยู่ประเภทไหน ชายเดี่ยวหรือหญิงคู่ หรือว่าผสม รู้สึกว่ามันเป็นอะไรใหม่ ๆ ที่เราอยากลองทำดู”สีสันแรงบันดาลใจจาก โม จิรัชยา“โมมองว่าทุกคนมีฝันหมด แต่ถ้าสมมติมันไปไม่ถึงฝัน ก็อย่าคิดว่าความฝันของเรามันมีแค่ความฝันเดียว มันมีอีกหลากหลายเส้นทาง เราบอกกับทุกคนเสมอว่า ถ้ามีฝันก็พยามไปให้ให้ถึง อาจจะต้องทำจนเหนื่อย ก็ลองทำไปเลย แต่ถ้าสมมติท้อเมื่อไหร่ ไม่ต้องทำ เพราะถ้าท้อมันจะเป็นทุกข์ หรือลองหันไปทำอย่างอื่น ลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำ ทำสิ่งที่คิดว่าไม่ชอบเลย เราอาจจะกลายเป็นชอบขึ้นมาก็ได้ และสุดท้ายสิ่งที่เราทำได้ดี มันอาจจะเป็นความฝันของเราอีกทางก็ได้ บนโลกนี้มีหลากหลายอาชีพ มีหลากหลายความฝัน คนก็เหมือนกัน ทักษะเรามีเยอะแยะ ลองทำหลาย ๆ อย่าง และอย่าลืมว่าความฝันอย่างอื่น ก็ทำให้เรามีความสุขได้เหมือนกัน” - โม จิรัชยาพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดมุมมองของคู่ซี้ขยี้โซเชียล “ฝน-นินิว” เพื่อนรักนักช็อตฟีล กับฉายาเจ้าหญิงแห่งวงการออนไลน์

10 เม.ย. 2023

เปิดมุมมองของคู่ซี้ขยี้โซเชียล “ฝน-นินิว” เพื่อนรักนักช็อตฟีล กับฉายาเจ้าหญิงแห่งวงการออนไลน์

รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดพิเศษ ที่ไม่ได้มาแค่หนึ่ง แต่งานนี้มากันเป็นคู่ กับ “ฝน-นินิว” คู่ซี้ขยี้โซเชียล ที่นิยามตัวเองว่า “พวกฉันนี่แหละ! เจ้าหญิงแห่งวงการออนไลน์” เพราะไม่ว่าจะไลฟ์คู่กันเมื่อไร ยอดวิวถล่มทลายทุกครั้งเสียงหัวเราะเริ่มขึ้นตั้งแต่เปิดรายการ กับลุคสีชมพูสุดสดใส ที่ดูเหมือนนัดกันใส่ แต่จริงๆไม่ได้นัดกันมา จากนั้นสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้พาไปทำความรู้จักกับแขกรับเชิญทั้งสองคน ว่าก่อนที่จะมาไลฟ์คู่กันจนมียอดวิวถล่มทลาย แต่ละคนทำอะไรกันมาก่อน“ฝน” ครีเอทีฟตัวแม่ ผู้อยู่เบื้องหลังรายการดังในโลกออนไลน์กว่า 30 รายการ จากครีเอทีฟรายการเทยเที่ยวไทย กลายเป็นที่รู้จักด้วยเอกลักษณ์การเป็นเจ้าของเสียงจากหลังกล้อง ที่สามารถต่อปากต่อคำกับพิธีกรหน้ากล้องได้อย่างออกรสออกชาติ จนทำให้คนเริ่มรู้จักมากขึ้น“นินิว” จากไกด์สาวสุดแซ่บจากราชบุรี ที่ผันตัวสู่การเป็นตัวแม่เน็ตไอดอลสายฮา เจ้าของคลิปไวรัลเรียกเสียงหัวเราะมากมายสนั่นโลกโซเชียล นอกจากนี้เธอยังเคยเล่นเป็นนางเอก MV ของแคนดี้ รากแก่น ชื่อเพลง ตั้งแต่มีผัว หายหัวไปเลย และมีผลงานแสดงไดอารี่ตุ๊ดซี่ อีกด้วยจุดเริ่มต้นของ “ฝน-นิว” สองเพื่อนรักนักช็อตฟีล สู่คู่ซี้ขยี้โซเชียลฝน เล่าให้ฟังว่า “เจอกันครั้งแรกก็คือที่ร้านของพี่คนนึงที่อยู่ที่ข้าวสาร ที่ได้มานั่งคุยกันจริงๆ แล้วพอเราได้มาทำรายการเทยหลังทุ่ม (รายการที่เอากะเทยไปเที่ยวด้วยกันตอนกลางคืนด้วยกัน) ก็ทำให้เราได้คุยกันมากขึ้น จนมีอยู่วันนึงเราได้มาทำรายการโต้วาเทยด้วยกัน แล้วเวลามาเจอกันเราชอบไลฟ์เพราะเวลาคุยกันแล้วมันตลก พอไลฟ์กันเสร็จก็เก็บเอาไว้”จากการไลฟ์คู่กันเล่นๆ แต่มีลูกค้าเข้าจริง!นินิว เล่าว่า “พอมีคลิปไลฟ์ เราก็เก็บเอาไปตัดลง TikTok แล้วลูกค้าเข้า คือเหมือนเราไม่ได้ตั้งใจจะมาหาเงินจากตรงนี้ เราเล่นเพื่อสนุกสนานเฉยๆ แล้วยิ่งลูกค้ามาลงแบบนี้ เราจะบอกเขาเลยว่า ขอความกรุณาอย่าบรีฟเยอะได้ไหมคะ เพราะถ้าบรีฟเยอะแล้วมันเกร็ง เพราะด้วยความที่เราสองคนไม่มีสคริปต์อะไรเลย ทุกอย่างสดหมดเลย แล้วถ้าลูกค้าบรีฟเยอะมันจะกังวลว่าต้องเข้าตรงไหน พูดยังไง แล้วมันจะนึกมุกอะไรไม่ออกเลย แล้วพอมันไม่ตลก มันจะตัดอะไรลงคลิปสั้นไม่ได้เลย”ฝน เล่าเสริมว่า “เวลาลูกค้าเข้า จะเข้าทางนินิว แล้วเค้าเป็นคนชิว เวลาขอบรีฟ นางก็จะบอกแค่ว่า ก็ขายลิป แต่ชื่อแบรนด์กับราคา มันยังจำไม่ได้เลย (หัวเราะ) แต่ที่พีคคือ คนดูเค้าเป็นคนช่วยพวกหนู เค้าปักหมุดให้พวกหนู ชื่ออะไร ทายังไง สีอะไร แล้วก็เอารูปลิปที่เราไม่รู้ชื่อแบรนด์ไปหาซื้อกันเอง”นินิว เผย “แล้วหนูก็เอาคลิปนั้นแหละมาตัดลง เชื่อมั้ยคนดูไปตามซื้อ จนลูกค้ากลับมาซื้ออีกหลายรอบมาก แล้วคนดูสามสี่ล้านเลยนะคลิปนั้น”ถึงจะไลฟ์แล้วขายของดี แต่ก็มีสินค้าที่ไม่รับรีวิวแม้จะไลฟ์แล้วขายดี จนลูกค้าซื้อแล้วซื้ออีก แต่ ฝน และ นินิว ก็ไม่ได้รับรีวิวสินค้าทุกอย่าง โดย นินิว ไม่รับรีวิวของกินที่ต้องไลฟ์ไปด้วยกินไปด้วย เพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่เวลากินแล้วภาพลักษณ์จะไม่สวย ส่วน ฝน จะไม่รับสินค้าพวกยาทา ยากินที่สรรพคุณเกินจริง โดย นินิว พูดเสริมว่า “เราคำนึงถึงผลตอบรับของลูกค้าด้วยว่ามันจะได้มั้ยกับสินค้าอันนี้ และนี่คงเป็นสิ่งที่ทำให้คนดูสัมผัสได้ว่า เราจริงใจนะ”เคยโดนโกงจากลูกค้าที่มาจ้างไลฟ์เรื่องราวสุดพีคนี้ ฝน เล่าว่า “มันมีครั้งนึงที่ลูกค้ามาจ้างเราให้เราไลฟ์ เจ้าของแบรนด์ก็มานั่งไลฟ์กับเราด้วยนะ พอไลฟ์เสร็จเขาก็เงียบหายไปเลย จน นินิว โทรมาบอกว่า “เราโดนโกงแล้วแหละ” แล้วเราก็ขำ ๆ กัน เราสองคนไม่ซีเรียส เก็บไว้เป็นบทเรียน”ช็อตฟีลกันบ่อย ด่ากันแรง เคยโกรธกันไหม?แม้จะเห็นว่า ฝน กับ นินิว ชอบด่ากันแรง แซวกันหนัก เวลาไลฟ์คู่กัน แต่ทั้งสองคนก็ไม่เคยโกรธกัน นินิว เผยว่า “มีบางทีเราเล่นกันจนแรงเกินไป หนูก็ขอโทษ” ส่วน ฝน บอกว่า “เราก็รู้กันอยู่แล้ว ว่า นินิว เค้าก็จะมีเรื่องบางอย่างที่พูดแล้วจะล้ำเส้นไป แซวแล้วจะไม่ขำ บางทีมันดูเป็นคนตลก ดูเป็นคนจะพูดอะไรก็ได้ แต่จริงๆแล้ว พอเค้ามาเป็นเพื่อนเรา เราก็จะรู้ว่าจะไม่พูดเรื่องนี้เพราะเค้าไม่ชอบ”การเป็นคนตลก ไม่จำเป็นต้องตลกตลอดเวลาหนึ่งประสบการณ์ที่ ฝน แชร์ให้ฟัง เธอเล่าว่า “หนูอ่ะทำงานกับคนที่ตลกหมดเลยนะ แต่เชื่อมั้ย พอสั่งคัทปุ๊บ มันจะไม่ได้เป็นคนตลกแบบนั้น แล้วก็จะมีความเงียบ แบบอยู่กับตัวเองในโลกของเค้า ไม่ได้ขำ” นินิว พูดเสริมอีกว่า “ในมุมมองของหนู ถ้าสมมติว่าเราตลกแบบ 24 ชั่วโมง เราคือคนบ้าค่ะ (หัวเราะ) เราควรจะเบรกตัวเอง อยู่กับธรรมชาติ อยู่กับอะไรที่มันเงียบๆ เพื่อรีบูทตัวเองค่ะ”ทำคอนเทนต์มาหลากหลาย เคยเจอคอมเมนต์จากโซเชียลในด้านลบบ้างไหม?จากที่ทั้ง ฝน และ นินิว ทำคอนเทนต์มาหลากหลาย ทั้งรายการทีวี รายการออนไลน์ ซึ่งจะมีความควรและไม่ควรอยู่ แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่เคยเจอดราม่าจากคอมเมนต์ด้านลบ โดย ฝน เผยว่า “หนู กับ นินิว โชคดีที่เราจะมีการคิดก่อนพูด เรารู้ว่าเราพูดอะไรไปแล้วมันจะไม่ดราม่า คือมันจะระวังกันค่อนข้างเยอะ เราจะรู้ลิมิต” นินิว เผยต่อว่า “แต่เราก็มีการคุยตั้งแต่ต้นเลยว่าถ้ามี ดราม่าอะไรเราต้องเข้าใจนะ เพราะพื้นฐานคนดูมันมีหลากหลาย เราต้องไม่เก็บเรื่องพวกนั้นเอามาคิด พอเรามาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ ต้องมีมุมมองที่ดีและเข้าใจความหลากหลายของคนดูให้ได้ เราต้องมีสติไว้ก่อน”คอมเมนต์ดีๆ นำมาซึ่งกำลังใจให้อยากไลฟ์ต่อความประทับใจหลังจากได้กำลังใจจากคอมเมนต์ดีๆ ฝน และ นินิว เล่าให้ฟังว่า “หนู กับ นินิวขอบคุณหลาย ๆ คอมเมนต์มาก ๆ ที่ชื่นชอบ บางคนก็บอกว่า หนูกำลังอกหัก แต่พอได้ดูพี่ ๆ แล้วลืมความอกหักไปเลย พี่คือรอยยิ้มแรกของหนู มันก็รู้สึกดีนะ เวลาได้เห็นแล้วใจฟู ดีใจที่คอนเทนต์เรายังมีประโยชน์สำหรับบางคน”LGBTQ+ มักจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าเพศอื่น!?มีประโยคที่หลายคนมักจะบอกว่า คนที่เป็น LGBTQ+ มักจะมีความคิดสร้างสรรค์ หนึ่งมุมมองจาก ฝน ครีเอทีฟมือทอง เธอได้แชร์มุมมองเรื่องนี้ว่า “จริง ๆ ก็ไม่เสมอไป เพราะชายจริง หญิงแท้ที่เขาทำอาชีพอื่น ๆ เขาก็มีความคิดสร้างสรรค์ในแบบของเขาได้ แต่พอเราได้ยินประโยคเหล่านี้ เป็นกะเทยมันเก่งนะ มันไอเดียเลิศ ทำไมเราต้องไปแปะป้ายให้เขาว่ากะเทยมันต้องเก่ง ไอเดียต้องเลิศ สำหรับหนูคิดว่าทุกคนเท่ากันหมด”ฝากคำแนะนำ ถึงคนที่อยากทำคอนเทนต์นินิว ได้แบ่งปันคำแนะนำไว้ว่า “สำหรับคนที่อยากทำคอนเทนต์ ต้องนึกถึงว่า คอนเทนต์นี้มันจะต่อยอดยังไงได้บ้าง และต้องเป็นคอนเทนต์ที่ทำแล้วมันสนุก อาจจะเป็นเรื่องที่เราชอบหรืออะไรก็ได้ คิดว่าเราเอาสิ่งนี้ออกมา คนดูน่าจะชอบเหมือนเรานะ”ด้าน ฝน แชร์ว่า “มีหลายๆคนมักจะชอบปรึกษาว่า อยากทำคอนเทนต์ อยากจะตลก แต่เราบอกว่า บางทีเธอไม่ต้องตลกก็ได้ ไม่เคยเห็นใน Tiktok เหรอ บางคนเค้าก็พูดธรรมดาก็ยังมีคนไปดูเลย ไม่เห็นต้องเค้นให้มันดูขำ ถ้าเธอไม่ขำเธอก็ไม่ต้องขำ เป็นตัวของตัวเอง”ฉายา “ฝน โจร” คืออะไร แล้วมีที่มายังไง?กลายเป็นฉายาประจำตัวของ ฝน ไปแล้ว สำหรับ “ฝนโจร” งานนี้ ฝน ได้เผยที่มาของฉายานี้ไว้ว่า “เวลาที่เราไปออกกองตามรายการต่าง ๆ โดยเฉพาะรายการเคหะสถานบานปลาย คือมันจะต้องไปออกกองที่บ้านคนดัง ดารา ไฮโซ แล้วเขาจะมีของที่ไม่ค่อยได้ใช้แล้วเยอะมาก เราก็เห็นว่าทิ้งไว้ก็เสียเปล่า เลยไปตะล่อมถามว่าอันนี้ขอได้ไหม ล่าสุดไปบ้านป้าตือ พี่ฟรอยด์ไปได้นาฬิกา Bottega เราก็เลยไปลองใส่รองเท้า Prada ของป้าตือ ดันใส่ไซส์เดียวกันอีก ก็เสร็จฉันสิจ๊ะ เคยไปบ้านพี่อั๋น แล้วเขาให้ทีวีมา เพราะพี่ฟรอยด์นั่นแหละ ไปตะล่อมคุยกับพี่อั๋น พี่อั๋นก็เลยบอก ถ้ายกไปได้ ให้ไปเลย งานนี้เราขนเลยค่ะท้ายรายการ“เรื่องราวความรัก ของ “ฝน-นินิว”นอกจากเรื่องราวการทำงาน การเป็นเพื่อน การใช้ชีวิต งานนี้ ฝน และ นินิว ยังได้อัพเดทสถานะหัวใจให้ฟังกันด้วยโดยด้าน ฝน อัพเดทสถานะหัวใจว่า “แม้จะทำงานเยอะ แต่สามีไม่ว่าเลยค่ะ เพราะหนูมองว่า คนที่จะมาอยู่ข้างเรา คือคนที่เราเลือกแล้ว ว่าเค้าไม่ได้เป็นภาระเรา และเราก็ไม่ได้เป็นภาระให้เค้า เค้าต้องพร้อมซัพพอร์ตเรา แต่เราก็ต้องมีเวลาให้เค้านะ ทุกวันมันจะมีสิ่งที่ต้องทำด้วยกันทุกวัน ดูหนังด้วยกัน คุยกัน ต่างคนต่างซัพพอร์ตกัน ตอนนี้แต่งงานกันมา 5 ปี ถ้ารวมระยะเวลาที่คบกันมาก็ 9 ปีแล้วค่ะ ส่วนความตั้งใจที่จะมีลูก ตอนนี้ถ้ามันยังมีไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ หนูคุยกับสามีแล้ว ก่อนหน้านี้เราทำกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์มาหมดแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีก็เริ่มทำใจแล้วค่ะ ก็อยู่กันไปแบบนี้แหละ”ด้าน นินิว ก็ได้เล่าเรื่องราวความรักให้ฟังว่า “ก็มีคนที่คุย ๆ กันอยู่แต่ไม่ได้มีสถานะ เหมือนเราคุยกันมานาน รู้จักกันมาประมาณ 7-8 ปี เหมือนอยู่กันแบบนี้ก็ดีแล้ว เป็นความสัมพันธ์แบบลางๆ ค่ะ”รับสายสุดเซอร์ไพรส์ ส่งต่อแรงบันดาลใจให้ ฝน-นินิวมีหนึ่งสายปริศนาที่ได้โทรเข้ามาเซอร์ไพรส์ ฝน-นินิว ที่ตอนแรกทักทายด้วยน้ำเสียงของชายหนุ่ม ที่ทั้ง 4 คนในห้องจัดต้องช่วยกันเดาว่าคนโทรมาคือใคร และท้ายที่สุดก็เฉลยว่า คนที่โทรเข้ามาคือ “ป้าตือ สมบัษร” คนที่ ฝน และ นินิว เคยพูดว่า ชีวิตในอนาคตอยากจะใช้ชีวิตแบบ “ป้าตือ”งานนี้ ป้าตือ ยังได้พูดถึงคู่ซี้ ฝน-นินิว ไว้ว่า “สองคนนี้ เป็นคนที่ Positive ไม่ค่อยนินทาคนอื่น ซึ่งมันเป็นข้อดีของสังคมยุคนี้ และสองคนนี้คือผลิตผลที่ดีของตือ ที่ตือฝึกให้พูดกับตัวเองหน้ากระจกทุกวัน จนมีวันนี้ ชื่นชมทั้งคู่”“หนูอยากขอบคุณทุกคนที่เข้ามาคอมเมนต์ เข้ามาดูคลิปของเรา ทำให้เราได้มีงานได้มีเงิน มีลูกค้า อยากจะขอบคุณนะคะ ในโอกาสหน้าถ้าสมมติเราทำอะไรผิดพลาดไป ก็อยากให้ใจดีกับเราหน่อย มันอาจจะมีวันนั้น รักทุกคนนะคะ” - นินิว“ขอบคุณทุกคนที่คอยถาม คอยอยากจะให้เราทำนู่นทำนี่กัน เราไม่อยากบอกว่าเราจะทำ หรือว่าเราจะไม่ทำ แต่ถ้าเห็นว่าเราไปออกรายการ แล้วเข้ามาดูเราก็ดีใจมากแล้ว ขอบคุณนะคะ” – ฝนติดตามรายการย้อนหลัง Club Pride Day “ฝน นินิว” 6 เมษายน 2566

เปิดมุมมอง ส่องวิธีคิดของสองตัวมัม “หนิง ปณิตา” และ “ธัญญ่า ธัญญเรศ” จากเพื่อนรักสุดซี้ สู่คู่จิ้นยูริเพื่อนหญิงพลังหญิง

20 มิ.ย. 2024

เปิดมุมมอง ส่องวิธีคิดของสองตัวมัม “หนิง ปณิตา” และ “ธัญญ่า ธัญญเรศ” จากเพื่อนรักสุดซี้ สู่คู่จิ้นยูริเพื่อนหญิงพลังหญิง

“อยากให้เด็กสมัยนี้ พยายามอย่าเสพสื่อที่เป็นดราม่า ที่มีคนด่าเยอะ มีคนวิจารณ์กันเยอะ ๆ อย่าไปอ่านเลย แป๊บเดียวเดี๋ยวมันก็เงียบ เพราะเป็นห่วงว่าเด็กสมัยนี้ถ้าจิตใจไม่เข้มแข็งพอ อาจจะเจอกับภาวะซึมเศร้าจนนำไปสู่การคิดสั้นพ่อแม่ชอบคิดว่าลูกมีปัญหา แล้วเอาลูกไปพบจิตแพทย์ โดยที่บางครั้งลืมคิดไปว่าพ่อแม่เองนั่นแหละที่มีปัญหา ดังนั้นถ้าคิดจะพาลูกไปพบจิตแพทย์ตัวเราต้องไปด้วย แล้วถ้าปัญหามันส่งผลถึงใคร คนรอบข้างต้องไปหมด”เปิดคลับให้ได้ฟังสีสันของชีวิต และเติมข้อคิดแรงบันดาลใจในทุกสัปดาห์ สำหรับรายการ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดจิ้นที่สร้างความฟินให้กับแฟนคลับทั่วประเทศ “หนิง ปณิตา” และ “ธัญญ่า ธัญญเรศ” สองนักแสดงตัวแม่มากความสามารถ ถูกจับเป็นคู่จิ้นอีกคู่หลังจากเล่นซีรีส์วายเรื่องใหม่ “Deep Night The Series คืนนี้มีแค่เรา” และมีฉากเลิฟซีนจูบสุดหวาน จนกลายเป็นไวรัล และมีด้อม “ธัญญ่า-หนิง” คู่ยูริคู่ใหม่ของวงการ เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจจากทั้งคู่ได้ถูกแชร์ไว้ในรายการด้วยDeep Night The Series กับเรื่องราวของสองเราธัญญ่า “Deep Night The Series เรื่องราวหลักเลย มันเป็นเรื่องราวของผู้ชายซะส่วนใหญ่ แต่ว่าในพาร์ทของตัวละคร มาดามเฟรยา เค้าเป็นเจ้าของบาร์โฮสต์ แล้วก็จะมีเรื่องราวพาร์ทของ เฟรยา กับ เมจิ ในสมัยอดีตตอนเป็นนักเรียนเราเรียนมาด้วยกันแล้วก็เกิดชอบกันขึ้นมา แต่สุดท้ายมาดามเฟรยาจะต้องไปแต่งงานแล้วไปมีลูก ทั้งคู่เลยต้องห่างกันไป แล้วในซีรีส์จะเป็นเรื่องราวพาร์ทที่เรากลับมาเจอกัน แล้วปฏิบัติเหมือนเป็นแฟนกัน แต่ว่าตัวเฟรยาก็เกรงใจลูกด้วย เฟรยา ก็เลยต้องเรียก เมจิ ว่าเพื่อน มันก็เลยจะมีความน้อยใจให้เห็น แล้วพอซีรีส์มันจบไป ก็เกิดกระแส เกิดด้อมของ หนิง-ธัญญ่า เราก็เลยรู้สึกว่า ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเราสร้างพาร์ทของสองคนนี้ มาเล่าให้มันขนานไปกับเรื่องราวในซีรีส์ดีกว่า ก็เลยเกิดเป็น Side Story ที่จะลงทางช่อง Youtube ของ Deep Night The Series ก็จะเป็นเรื่องราวของเราสองคน ที่ไม่ได้เล่าในซีรีส์ตัวหลัก โดยจะมีทั้งหมด 6 EP. ให้ติดตามกันค่ะ”หนิง “ต้องยอมรับว่าช่วงปีที่ผ่านมาที่หนิงมีข่าว ก็จะต้องมีชื่อพี่ธัญญ่า อยู่เคียงข้างเสมอ แล้วบ้านเราสองคนก็อยู่ใกล้กันมากแบบเดินไปหากันได้ แล้วคนคงชินกับภาพโมเมนต์เวลาพวกเราฟาดฟันเป็นส่วนใหญ่ แต่พอเห็นมุมเลิฟ ๆ มุมหวานของพวกเรา คนก็เลยฟินกัน อาจจะเป็นเพราะต่างคนต่างทำงานกันมาเยอะ ทำให้พอเข้าฉากแล้วมันไม่เขิน”ธัญญ่า “พวกเราอายุใกล้เคียงกัน เจอปัญหาที่ใกล้เคียงกัน เลยทำให้เราสนิทกัน ตอนที่หนิงมีปัญหา ทำให้เราได้คุยกันบ่อย เจอกันบ่อย มันก็สนิทกันไปโดยปริยาย แล้วพอวันที่เราจะเล่นซีรีส์ เราก็ชวนว่าหนิงมาเล่นเป็นแฟนให้หน่อยสิ หนิงก็ตกลง แล้วทีแรกหนิงจะไม่เอาค่าตัวด้วย เค้ามาด้วยใจมาก หลังจากพอได้มาอ่านบทกัน ได้เวิร์คช็อป แล้วลองเล่นมันก็ไปตามฟีลลิ่ง ที่ผู้กำกับแทบจะไม่ต้องบอกอะไรเลย”หนิง “แล้วเรื่องความรัก หนิงมองว่าทุกเรื่องราวความรัก มันไม่ต้องจบลงด้วยเรื่องชู้สาว หรือต้องเป็นแฟนกัน หนิงว่าหมดสมัยแล้ว ความรักสมัยนี้แค่อยู่กันแล้วขอให้แฮปปี้ ไม่ทำผิดต่อศีล 5 ข้อ แค่นั้นก็พอแล้ว”ล้วงเบื้องหลังฉากชวนจิ้น ที่แฟนคลับฟินจนเกิดไวรัลธัญญ่า “มันก็จะมีซีนที่ธัญญ่า กับ หนิง ต้องจูบกัน ซึ่งด้วยฉากเขาเขียนอธิบายว่าให้เอาจมูกชนกัน แล้วในความรู้สึกของธัญญ่าเอง เราก็รู้สึกว่า ถ้าฟีลนี้มันต้องจุ๊บกันแล้ว แต่เราก็ไม่กล้า เหมือนเราก็ไม่รู้ว่าเขาคิดยังไง เพราะว่ามันพึ่งเป็นการเข้าฉากด้วยกันครั้งแรก แล้ววันนั้นพอจมูกชนสักพัก เราก็รู้สึกว่าหนิงก็ยื่นปากมา แล้วในเมื่อยื่นปากมา เราก็จุ๊บซะเลย”หนิง “ในมุมของการเล่น ไม่ว่าจะซีรีส์ หรือละคร พอเวลาที่เราเป็นตัวละครตัวนั้น มันเหมือนเรารู้แล้วว่ามุมกล้องมันจับเรามุมไหน แล้วถ้าเราไม่อยากตายมุมกล้อง มันต้องเล่นตลอดเวลา มันก็ต้องหาลูกเล่นให้มันมีจริตแพรวพราวไว้บ้าง เวลาเล่นถึงต้องเล่นแบบนั้น แต่มันอยู่ที่คู่เล่นด้วย สมมติว่าถ้าเล่นแบบนี้ แล้วคู่ที่เล่นเป็นผู้ชาย เราก็อาจจะไม่เล่นแบบนั้นถ้าในมุมของหนิงที่เป็นผู้จัดด้วย หนิงว่าการแสดงในรูปแบบซีรีส์หญิงกับหญิง กับในรูปแบบละครทั่วไปไม่ต่างกัน เพราะว่าสุดท้ายแล้วมันก็ต้องเคมีพระนาง จะเป็น หญิงกับหญิง จะเป็น ชายกับชาย หรือว่า คู่ชายหญิง หนิงว่ามนุษย์มันเปิดกว้างในเรื่องของความรักอยู่แล้ว มันอยู่ที่เคมี ถ้าเคมีมันไม่ได้ มันก็ต้องขยี้เคมี”ธัญญ่า “ในส่วนของธัญญ่าเอง ตอนแรกพอเราต้องเล่นด้วยกัน ก็จะรู้สึกเอ๊ะ เพราะเราไม่เคยเล่นแบบนี้มาก่อน แต่พอมันเป็นกับหนิง เราถึงกล้าเล่น แต่ในความกล้ามันก็มีความแบบเอ๊ะจะดีหรือเปล่า เอ๊ะแล้วภาพมันจะออกมายังไง ลูกจะว่าอะไรรึเปล่าแล้วหนิงจะว่าอะไรไหม แต่พอมันผ่านไปด้วยดีแล้ว เราก็รู้สึกสนุกกับมัน แล้วอยากเล่นฉากต่อไป เราจะเจออะไร หนิงจะเล่นอะไรมา แล้วเราจะเล่นอะไรกลับ แล้วภาพมันจะเป็นยังไง มันชวนให้คิดต่อแล้วอยากเล่นฉากต่อไป”หนิง “สมมติว่าถ้าเราเป็นคนเบื้องหลัง แล้วเราทำงานในการขยี้ฉากเลิฟซีน มันจะมีทริคอยู่อย่างหนึ่งคือ หนิงมักจะไม่บอกพระเอกว่าจะให้นางเอกทำอะไร และจะไม่บอกนางเอกว่าพระเอกจะทำอะไร ให้เรื่องมันเกิดขึ้น ณ โมเมนต์นั้น แล้วดูว่าอีกฝ่ายจะรับมือยังไง แล้วเราจะได้โมเมนต์สดตรงนั้น เวลาเล่นแต่ละครั้งก็จะปล่อยดีไซน์การเล่นที่หลากหลายไป หนิงเชื่อว่าถ้าเราปล่อยไปแล้วมีการทำการบ้านมาล่วงหน้า มันจะได้ความธรรมชาติจากตรงนั้น”ลงพื้นที่จริง เพื่อให้เข้าถึงบทบาทของตัวละครธัญญ่า “เราทำเกี่ยวกับเรื่องบาร์โฮสต์ เลยต้องไปหาข้อมูลจริงโดยการไปเที่ยวบาร์โฮสต์ แล้วตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าพาเด็ก ๆ ไปเลยดีกว่า ไปดูว่าบรรยากาศเป็นยังไง แล้วก็ชวนพี่เป๊กไปด้วย แล้วก็ไปดูบรรยากาศว่าข้างในเป็นยังไง”หนิง “หนิงมีความฝัน ว่าอยากเที่ยวบาร์โฮสต์ แต่เห็นแบบนี้ หนิงเป็นเด็กเรียบร้อยมากนะ หนิงเป็นเด็กไม่ปาร์ตี้ ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่ดื่ม ไปงานคือแค่ถ่ายรูปแล้วก็กลับ ขอนอนดีกว่า แต่ก็มีความฝันว่า วันนึงฉันจะต้องไปบาร์โฮสต์ให้ได้ มันมีความฝันอยู่”ธัญญ่า “น้อง ๆ เขาก็จะมีใส่เป็นชื่อ หรือเบอร์นี่แหละ แล้วก็เดินเรียง ถ้าโต๊ะไหนสนใจก็จะเหมือนเชิญเค้า น้องก็จะถอดป้ายออกมา แล้วก็มานั่งคุยกัน เหมือนเป็นเพื่อนเที่ยวเพื่อนดื่มประมาณนั้นค่ะ”กระแสตอบรับ กับคู่จิ้นยูริระดับตัวมัมธัญญ่า “เรื่องนี้เรื่องที่ 3 ที่ผ่านมาเคยเล่นตอนนั้นเป็นหนัง เล่นกับ ได๋ ไดอาน่า ตอนนั้นธัญญ่าน่าจะอายุ 19 ปี มันก็เป็นเรื่องราวน่ารัก ๆ ของเด็ก ๆ มาอีกเรื่องหนึ่งประมาณ 6-7 ปีที่แล้ว Club Friday The Series 7 เหตุเกิดจากความรัก ตอน รักออนไลน์ ตอนนั้นเล่นกับ กระแต ศุภักษร แต่เหมือนตอนนั้นก็ยังไม่ได้จิ้นเราสักเท่าไหร่ แต่พอเล่น Deep Night The Series คืนนี้มีแค่เรา เปลี่ยนมากเลย เพราะที่เล่นตอนเด็ก ๆ มันก็ไม่ได้มีกระแสแบบนี้ แต่พอมาครั้งนี้เราก็ตกใจ เพราะว่าในเรื่องซีนเราไม่ได้มีเยอะเลย คือนับจำนวนได้ประมาณ 5-6 ซีน แต่มีไวรัล มีด้อมขึ้นมา ฐานแฟนคลับเรามีตั้งแต่อายุ 11 ปี ไปถึงประมาณ 30 ปี 40 นี่ไม่ค่อยเห็น คงไปเลี้ยงลูกละ ถ้ามากสุดประมาณ 30 ปีค่ะ”หนิง “จริง ๆ เราแอบกังวลด้วยนะ คือแอบมานั่งคุยกันว่า เราแอบไปขโมยซีนเด็ก เพราะจริง ๆ ความตั้งใจของพี่ธัญญ่าเอง อยากจะปั้นเด็กกลุ่มนี้ เราก็กลัวเหมือนกัน แต่สุดท้ายถ้าโอกาสมันมาแล้ว เราก็ต้องเดินหน้า ซึ่งหนิงรู้สึกว่า เรื่องนี้ผู้จัดประสบความสำเร็จ แล้วหนิงก็อยากให้เค้าต่อยอด”ธัญญ่า “เราอยากให้ Deep Night มันเกิด เพราะว่ามันเป็นเรื่องราวของเราสองคนในพาร์ทตอนเป็นเด็ก ซึ่งที่จริงมันก็จะต้องมีพาร์ทที่เป็นเราตอนสมัยสาว ๆ ด้วย มันก็จะต้องเกิดอีกคู่หนึ่ง พอพาร์ทผู้ใหญ่ก็จะเป็นเรา เหมือนจะต้องเล่าย้อนไปย้อนมาอย่างนี้ ก็อยากให้โปรเจกต์นี้เกิดเหมือนกัน อยากทำต่อ อยู่ที่ว่าผู้ใหญ่ใจดีจะโอเครึเปล่า”หนิง ธัญญ่า กับมุมมองการยอมรับความหลากหลายในสังคมหนิง “ย้อนกลับไป หนิงเรียนโรงเรียนผู้หญิง ซึ่งสมัยนั้นเด็ก ๆ ไม่สามารถที่จะคบเพื่อนต่างเพศได้ ถ้าใครลองไปคบเพื่อนต่างเพศ หรือต่างโรงเรียนเขาแช่งเลยนะ แล้วจะโดนบูลลี่หนักมาก แต่ถ้าเป็นความรักกุ๊กกิ๊ก เขียนจดหมาย พับดาวพับนกกระยางใส่โหล ก็มีบ้าง แต่มันเป็นความรักแบบป๊อบปี้เลิฟแค่นั้นล่าสุดหนิงไปร่วมงาน Pride Month เพราะว่าหนิงติดตามเรื่อง พรบ.สมรสเท่าเทียม มาค่อนข้างนานมาก ๆ แล้วด้วยความที่เราทำงานอยู่ในวงการบันเทิง ก็จะเห็นความรักที่ไม่สมหวัง แล้วมันเป็นอะไรที่ถูกต่อต้าน หนิงรู้สึกว่าพอมาวันนี้จากประสบการณ์อะไรหลาย ๆ อย่าง สุดท้ายแล้วความรักคือเรื่องสวยงามมาก และความรักมีอีกหลายแบบ มันไม่ต้องมาในรูปแบบแค่ผู้หญิงผู้ชายเท่านั้น หนิงว่า ความเท่าเทียมกัน คือสิ่งที่ดีที่สุด ถ้าหาความลงตัวได้ความรักมันก็จะทำให้มีแรงขับเคลื่อนในการทำเรื่องดี ๆ ต่อไป แล้วถ้ามนุษย์เราชีวิตมีความสุข มันก็จะไม่เกิดเรื่องทุกข์ เราก็ไม่ต้องไปทำอะไรที่มันแย่ ๆ”ธัญญ่า “ที่ต้องมาเล่นซีรีส์ เกิดเป็นคู่จิ้นกับหนิง ลูกไม่ว่าอะไรเลยค่ะ ตอนแรกที่เรากังวลว่าลูกจะเข้าใจไหม แต่เค้าบอกว่าเป็นงานของแม่ เค้าเข้าใจ แล้วพอเป็นน้าหนิงด้วย เค้าก็รู้ว่าเราสนิทกัน แล้ว น้องลียา ก็รู้จัก น้องณิรินด้วย เพราะบ้านอยู่ใกล้กัน เค้าก็เข้าใจค่ะ”หนิง “ตอนแรกแอบกังวลณิรินมาก เพราะด้วยความที่เค้าก็มีปัญหาหลายเรื่อง แต่พอบอกว่าเป็นป้าธัญญ่า ตอนแรกเค้าก็บอกเอ๊ะยังไง แล้วพอวันที่เค้ามางานเปิดตัวซีรีส์ เพื่อมาดูว่าแม่ทำอะไร เค้าก็สบายใจและโอเคมาก มันเป็นงานของแม่ แล้วเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร”ธัญญ่า “สำหรับน้อง ๆ LGBTQ+ หลาย ๆ คน ที่ยังรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกจากคนอื่น ธัญญ่าเชื่อว่า ความรู้สึกนี้มันอาจจะเกิดขึ้นในอดีต เพราะว่าโลกเรา สังคมเรา ยังไม่ได้เปิดรับขนาดนี้ และอาจจะยังมีบางครอบครัวที่ตอนนี้ คุณพ่อ คุณแม่ ปู่ย่าตายาย ยังรับไม่ได้ ธัญญ่ายังไม่อยากให้ท้อนะคะ อยากให้ทุกคนสู้ต่อไป บางทีมันอาจจะยังไม่ถึงเวลาที่เราจะเปิดได้ ณ วันหนึ่งหากมีโอกาสที่เหมาะสม เวลาที่เหมาะสม เชื่อว่ามันจะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ ไม่อยากให้ทุกคนท้อ และเชื่อว่าตอนนี้โลกเรามันค่อนข้างที่จะเปิดกว้างขึ้นเรื่อย ๆ เดี๋ยวสักวันหนึ่ง พวกเค้าจะเปิดรับเอง อยากให้ทุกคนสู้นะ ๆ”หนิง “หลาย ๆ เรื่องหนิงมองว่า คนสมัยนี้หัดที่จะรู้จักรอแทบจะไม่ได้แล้ว แต่ว่าการรอคอยมันเป็นสิ่งที่ทำให้เราเกิดความรอบคอบด้วยนะ บางครั้งมันก็ต้องรอเพื่อโอกาสที่ดี จังหวะที่ดี หรือสิ่งที่ดี อีกแค่นิดเดียวเอง แล้วถ้าจะมองว่าการรักชอบกันในเพศเดียวกัน หรือรักกันแบบต่างเพศ เหนือไปกว่านั้นสิ่งที่จะทำให้ความรักเกิดการแตกแยก คือการที่เราไม่เป็นคนดี หนิงว่าเราไปให้ความสำคัญกับตรงนั้นดีกว่า”เปิดวิธีการเลี้ยงลูก ของสองนักแสดงตัวมัมหนิง “หนิงเลี้ยงลูกโดยการปรึกษาจิตแพทย์ค่ะ สิ่งหนึ่งที่อยากจะฝากไว้กับพ่อแม่ทุกคนเลย คือพ่อแม่ชอบคิดว่าลูกมีปัญหาและเอาลูกไปพบจิตแพทย์ โดยที่บางครั้งลืมคิดไปว่า คุณเองนั่นแหละที่มีปัญหา ดังนั้นถ้าคิดจะเอาลูกไปพบจิตแพทย์ ตัวเราเองก็ต้องไปด้วย มันต้องเป็นการปรึกษาแบบทั้งหมด แล้วถ้าปัญหามันส่งผลถึงใครบ้าง คนรอบข้างต้องไปทั้งหมดต้องยกความดีความชอบให้ พี่อ้อม สุนิสา พี่อ้อมน่ารักมาก และรับรู้ปัญหาของหนิงมาตลอดตั้งแต่เด็ก ๆ เลย แล้วพี่อ้อมก็รู้จักกับจิตแพทย์คนนึงที่เก่งมาก เค้าก็บอกว่า อย่าไปนัดเจอกันในคลินิกหรือในสถานที่ที่มันดูเครียด ให้ไปเจอกันข้างนอก มาพูดคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกัน ต้องเป็นลักษณะอย่างนั้น แล้วก็บอกลูกว่า เวลาเราไม่สบาย เรายังต้องไปหาหมอเลย ดังนั้นถ้าเวลาเรากลุ้มใจ คนคนนี้จะรักษาความกลุ้มใจให้เราได้ แต่ไม่ใช่ว่าลูกผิดปกตินะ แม่ก็อาจจะผิดปกติเหมือนกัน ฉะนั้นไปด้วยกันเพราะเรามีกันอยู่แค่สองคน ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นว่า บาง Section ก็อาจจะมีอาม่า เลขา เพื่อนหรือคนรอบข้าง ที่มีผลกับเค้าก็ต้องไปด้วย ต้องให้ความร่วมมือกัน 360 องศาซึ่งพอได้ปรึกษาจิตแพทย์ หนิงเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างชัดมาก จากช่วงที่มีปัญหาคือลูกเหมือนโดนบูลลี่ที่โรงเรียน จากเด็กที่อยู่หน้าห้อง มีความมั่นใจ ชอบเต้น ชอบแสดงออก ชอบร้องเพลง ก็กลายเป็นว่าไม่กล้าที่จะโชว์ต่อหน้าใครที่โรงเรียน หรือแม้กระทั่งแม่ให้ทำงานกับแม่ เค้าก็จะบอกว่านั่นคือการบังคับเค้าไม่ได้อยากทำ แต่พอได้มีการพูดคุยตอนนี้ก็เริ่มกลับมาอยู่หน้าห้อง และเค้าก็พยายามพิสูจน์ตัวเค้าเอง ในการที่จะบอกว่าเค้าต้องเอาชนะความคิดบูลลี่เหล่านั้น โดยการที่เค้าจะต้องทำให้ตัวเองแข็งแรงให้ได้ เค้าก็เดินเข้าไปออดิชั่นละครเวทีของโรงเรียน และได้รับบทที่เด่นที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่เค้าก็ยังมีความกังวลลึก ๆ ว่าจะทำได้ ณ วันที่ต้องแสดงจริง ๆ รึเปล่า ซึ่งก่อนหน้านี้ หนิงไม่สนับสนุนเรื่องพวกนี้เลยนะ เพราะอยากให้เค้าเรียนหนังสือก่อน แต่พอหลังจากที่มีเรื่องมีราวหลายอย่างในชีวิต หนิงรู้สึกว่า ถ้ามันเป็นความสุขของลูก หนิงว่าไม่ผิดอะไร เมื่อลูกพิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่าจะกลับมาอยู่ตรงนี้ได้ หนิงก็จะผลักดันทุกอย่างเอง ส่วนใหญ่เด็กจะเกิดปัญหาเพราะผู้ใหญ่นั่นแหละที่เอาความคาดหวังไปให้กับเด็ก แล้วคิดว่าเด็กต้องเป็นอย่างนี้นะ โดยลืมคิดไปว่า แล้วตอนที่เราอายุเท่านั้น เราเป็นยังไง และโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ต้องเอาหัวใจเราไปเป็นหัวใจเด็กอายุ 11 ถึงจะเข้าใจกันทุกวันนี้เวลาอยู่กับ ณิริน เราสองคนจะควบคุมการใช้โซเชียล แล้วก็ต้องหาอะไรที่ทำด้วยกันและใช้เวลาด้วยกันได้ อย่าง ณิริน เค้าชอบสิ่งสวย ๆ งาม ๆ ก็เลยชวนไปนวดตัวกันไหม ไปสระผม ไปทำเล็บ แล้วหนิงก็จะควบคุมการใช้งานโซเชียลผ่านทางโทรศัพท์ของหนิง ถ้ามันเลยเวลาควบคุมทุกอย่างมันก็จะถูกตัดทันที แล้วก็จะมีความผิด เป็นกฎกติกาว่าต้องโดนยึดนะ หรือต้องมีบทลงโทษนะ”ธัญญ่า “ลียา เค้ากำลังจะอายุครบ 15 ปี เพื่อน ๆ เค้าหลายคนก็มีแฟนแล้ว แต่ด้วยความที่รูปร่างเค้ายังเด็กมาก ยังไม่ได้โตเท่าเพื่อน และยังไม่ได้มีความชอบฉันท์ชู้สาว ก็ยังโชคดีที่เค้ายังเด็กอยู่ในความรู้สึกเรา เราเองก็สบายใจไปเปราะนึง ด้วยความที่เป็นวัยรุ่นแล้ว ถ้ามีเรื่องที่ ลียา อยากเล่า เดี๋ยวเค้าจะเล่าเอง แล้วเค้าจะเป็นเด็กขี้อายนิดนึงเวลาอยู่โรงเรียน มันต้องใช้ความเข้าใจเยอะ ๆ ร้อยวันพันเหตุการณ์ แล้วก็ร้อยวันพันอารมณ์ด้วย มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เค้าเริ่มเปลี่ยนจากเด็กเข้าสู่วัยรุ่นแล้วเรามักจะคุยกันไม่รู้เรื่อง ซึ่งถ้าเรายิ่งไปดุหรือว่าเค้า มันยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปหมดเลย เจอหน้ากันก็มีแต่อารมณ์มัวหมอง จนวันหนึ่งเราก็รู้สึกว่าเราต้องปล่อยวาง เค้าแยกห้องนอนตั้งแต่อายุ 12 ปี เราก็จะรู้สึกคิดถึงเพราะปกติต้องนอนกอดกัน แล้วลียา เค้าจะติดเล่นปากเราตั้งแต่เด็กยันโต ทุกวันนี้บางทีเวลาทำอะไรอยู่ แล้วเผลอ ๆ เค้าก็จะเดินมาเล่นปากเรา เราก็จะแบบคิดถึงโมเมนต์นี้จังเลย”หนิง “ถ้าถามว่าหนิงเป็นแม่ที่ดุไหม ต้องใช้คำว่ามาก คือจะดุต่อเมื่อคุณไม่ทำตามกฎกติกา หนิงผ่อนสามรอบทุกครั้ง 1 2 3 ล่าสุดเค้าท้าทายหนิง เค้าบอกว่า โอ้ย แม่ดุก็ดุไปเหอะ แม่ไม่เคยทำจริงสักรอบหรอก เดี๋ยวแม่หายโกรธแม่ก็สปอยหนูเหมือนเดิม ล่าสุดก็เลยโดนลงโทษแบบขั้นเด็ดขาด ตัดการเรียนทุกอย่างที่ชอบ เพราะว่าไม่รับผิดชอบ โดยเฉพาะการเรียนเต้นเรียนร้องเพลงตัดหมดเลย ไม่ให้เรียนเลยเพราะไม่รับผิดชอบ แต่หลัง ๆ ก็ดีขึ้น เค้าก็ปรับตัวค่ะ เห็นแบบนี้ เวลาหนิงนิ่งน่ากลัวมากนะ แต่เวลาหนิงบ่นไม่น่ากลัวเลย”ธัญญ่า “สำหรับธัญญ่าไม่ดุเลยค่ะ บ่นมากกว่า แต่ก็บ่นไปอย่างนั้น ส่วนพี่เป็ก บทจะตามใจก็คือตามใจมาก บทจะดุก็คือดุ เพราะลียาเค้าจะกลัวพี่เป็ก แต่กับเราเค้าไม่กลัวเพราะรู้ว่าแม่ใจอ่อน ตามใจ อยากทำอะไรก็จะหาวิธี บางทีก็มานั่งเตี๊ยมกันว่าเค้าอยากทำอย่างนี้แต่พ่อไม่ให้ เราจะทำยังไงดี เค้าจะรู้อารมณ์ว่าเค้าจะพูดกับพ่อเค้าตอนไหน พูดเรื่องอะไรได้ อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้”สีสันแรงบันดาลใจ จาก หนิง ธัญญ่าหนิง “บางครั้งชีวิตเราพยายามที่จะอยู่กับโซเชียลจนลืมความเป็นตัวของเราเอง มันต้องแบ่งเวลาดี ๆ เพราะจะไม่อยู่กับโซเชียลเลยก็ไม่ได้ ด้วยงานที่เราต้องทำก็ยังต้องอยู่กับมัน ดังนั้นต้องเล่นกับมันให้เป็น และให้มันเกิดคุณค่า อย่าลืมว่าดาราสมัยก่อนรุ่นพวกเรากับสมัยนี้มันต่างกันนะ สมัยนี้ถ้าเรื่องไหนมันเกิดขึ้นมาแล้วไม่ใช่เรื่องจริงมันติดลบมันจะตีกลับหมดเลยนะ แต่ข้อดีคือมันทำให้เราประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบและเป็นคนดีมากขึ้น” - หนิง ปณิตาธัญญ่า “ด้วยความที่เราเจอเรื่องราวมาค่อนข้างจะหนักหนาสาหัส แต่จริง ๆ เรื่องพื้นฐานครอบครัวก็สำคัญ บางทีกลัวว่าถ้าเด็กสมัยนี้เจอดราม่าหนัก ๆ แล้วจะเป็นโรคซึมเศร้า เพราะสมัยนี้มันรุนแรงจริง ๆ ต้องพยายามอย่าเสพสื่อมาก ถ้ามีข่าวดราม่าขึ้นมาแล้วคนด่าเยอะ วิจารณ์กันเยอะ อย่าไปอ่านเลย แป๊บเดียวเดี๋ยวมันก็เงียบ เพราะถ้าเด็กสมัยนี้ไม่เข้มแข็งพอเรากลัวโรคซึมเศร้า แล้วก็กลัวคิดสั้น” - ธัญญ่า ธัญญเรศพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1