สามีแอบไปจดทะเบียนสมรสกับแฟนเก่าครั้งที่ 2 ! สามีบอกจำเป็นต้องทำ เพราะช่วยเรื่องสิทธิรักษาพยาบาล ตอนนี้เขาก็ไม่ยอมหย่ากัน อ้างติดต่อแฟนเก่าไม่ได้ เจ็บสุด เห็นแชทสามีคุยกับลูกสาวของแฟนเก่า

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

สามีแอบไปจดทะเบียนสมรสกับแฟนเก่าครั้งที่ 2 ! สามีบอกจำเป็นต้องทำ เพราะช่วยเรื่องสิทธิรักษาพยาบาล ตอนนี้เขาก็ไม่ยอมหย่ากัน อ้างติดต่อแฟนเก่าไม่ได้ เจ็บสุด เห็นแชทสามีคุยกับลูกสาวของแฟนเก่า

14 ก.พ. 2025

สามีแอบไปจดทะเบียนสมรสกับแฟนเก่าครั้งที่ 2 ! สามีบอกจำเป็นต้องทำ เพราะช่วยเรื่องสิทธิรักษาพยาบาล

ตอนนี้เขาก็ไม่ยอมหย่ากัน อ้างติดต่อแฟนเก่าไม่ได้ เจ็บสุด เห็นแชทสามีคุยกับลูกสาวของแฟนเก่า

“พ่อไม่คิดจะจดทะเบียนกับผู้หญิงคนนั้น ไม่เคยคิดจะให้อะไรผู้หญิงคนนั้นเลย”

          “คุณมีน (นามสมมติ)” อายุ 35 ปี สายที่หนึ่งในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [12 ก.พ. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจพี่อ้อย’ เกี่ยวกับปัญหาแฟนแอบไปจดทะเบียนสมรสกับแฟนเก่า

            โดย “คุณมีน (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘แต่งงานกับสามีมาได้ประมาณ 3 ปีแล้ว จับได้ว่าสามีของตัวเองไปจดทะเบียนสมรสกับแฟนเก่า แต่ของเรายังไม่ได้จดทะเบียนกันเลย ขอเกริ่นก่อนว่า สามีเคยแต่งงานมีครอบครัวมาแล้ว มีลูกด้วยกัน 2 คน แต่ตอนที่เราคบกัน เขาบอกกับเราว่า เขาหย่ากับแฟนเก่าแล้ว คือเขาก็เอาใบหย่ามาให้เราดู ตอนแต่งงานเราก็ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องจดทะเบียนสมรสกัน แต่ก็มีการจัดงานแต่ง พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ก็รับรู้หมดทุกคน ปกติเราจะไม่ค่อยได้เช็คโทรศัพท์เขา แต่วันนั้นไม่รู้ว่าคิดอะไรขึ้นมา เราเลยไปเช็คโทรศัพท์แล้วไปเจอเขาคุยแชทกับลูกสาวของเขา ประมาณว่า ‘ถ้าแม่มีแฟนใหม่ ก็ให้แม่มาหย่า’ แล้วลูกสาวเขาก็ตอบประมาณว่า ‘พ่ออะ อยากจะหย่ามากเลยหรอ อยากไปจดทะเบียนกับคนใหม่ใช่ไหม’ ซึ่งคนใหม่ที่ว่าก็คือเรา พออ่านแชทเราก็งงว่า เอ้า แล้วใบหย่าที่เอามาให้ฉันดูมันคืออะไร?

            หลังจากนั้นหนูก็ถามหยั่งเชิงเขาประมาณว่า ‘ไปดูคลิปมา คนที่ทำใบหย่าปลอมเนี่ยมีโทษจำคุกนะ’ เราก็พูดลอยๆ แบบนี้ไป เพราะเราเข้าใจว่าที่เขาเอามาให้ดูมันเป็นของปลอมหรือเปล่า พอเค้นไปเค้นมา เขาก็ยอมรับออกมาว่า หย่าแล้ว ที่ให้ดูใบหย่าคือของจริง แต่ไปจดใหม่อีกรอบหนึ่ง เขาก็บอกเหตุผลที่ไปจดใหม่ คือฝ่ายผู้หญิงป่วย จะไปใช้สิทธิการรักษา เพราะผู้หญิงไม่ได้ทำงาน ไม่มีประกันสังคม ก็เลยมาขอสิทธิ์ผู้ชาย แต่พอเขาผ่าตัดอะไรเรียบร้อย ไปทำงานได้แล้ว เราก็ถามว่า ‘แล้วทำไมยังไม่หย่าละ?’ เขาก็อ้างเหตุผลว่า เขาก็คิดอยากจะหย่าตอนเขาเกษียณ แต่พอไปรู้ว่าผู้หญิงไปมีคนใหม่ ก็อยากจะหย่า เราก็ไม่ได้เชื่อคำพูดของเขาที่ว่าจะหย่า ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า

            ทางลูกเขาก็ยังมีการส่งเสียค่าเรียนอยู่ เราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับตรงนี้ แต่ที่มีปัญหาเลยคือ ใบจดทะเบียนสมรส เราขอดูเอกสารการรักษา เอกทะเบียนสมรสอันใหม่ เอกสารต่างๆ ทุกวันนี้เราก็ยังไม่ได้ดูเลย แล้วมันมีประเด็นในไลน์ที่เขาคุยกับลูกเขาอีกว่า เขาไม่ได้คิดอยากจะจดทะเบียนกับเรา ไม่เคยคิดอยากจะให้อะไรเราเลย มันเจ็บที่ประเด็นตรงนี้มาก เขาก็ดูแลเราดี ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ให้เงินใช้ จ่ายนู้นนี่นั้นให้ตลอด แต่พอเราถามเรื่องนี้ว่าถ้าเราจับได้ ไม่คิดว่าเราจะเสียใจบ้างหรอ เขาก็บอกว่า ‘ก็คิด แต่ก็สงสารทางนู้น ต้องใช้เงินผ่าตัด เพราะทางนู้นก็ดูแลลูกให้ อยากให้ได้ใช้สิทธิ์ตรงนี้’ ตอนที่เห็นแชท คือเสียใจมาก มือไม้สั่น น้ำตาไหลแบบมันจุกมากเลย เราก็กลัวว่าในอนาคตจะมีการฟ้องกัน แต่เขาบอกว่าคุยกันแล้ว ไม่มีทางมาฟ้องหรอก เขาคุยกันผ่านลูก ฝั่งผู้หญิงคนนั้นก็บล็อกกันไปแล้วไม่ได้ติดต่อกันโดยตรง

            สถานการณ์ตอนนี้ เราบอกเขาว่า ‘พี่กลับไปเคลียร์ไหม ไปหย่ากับเขา เราแยกกันอยู่ก็ได้’ พอเราพูดหรือถามเรื่องนี้ทีไร เขาก็จะมีอาการหงุดหงิด โมโหใส่เรา แต่จะไม่ให้เราถามเลยมันก็ไม่ใช่ มันก็ยังเคืองในใจเรา แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเขาคิดยังไง เลยอยากถามพี่ๆ ดีเจว่า ถ้าจะตัดจากความสัมพันธ์นี้ โดยที่ไม่ต้องให้ตัวเองรู้สึกเสียใจมาก ต้องทำยังไงคะ?

            เริ่มที่ “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘อย่าไปตั้งโจทย์ให้ตัวเองว่า ฉันจะจบความสัมพันธ์ยังไงไม่ให้เสียใจ มันเจ็บแน่นอน เพราะคนเราเลิกกันก็เสียใจทั้งนั้น อยู่ที่ว่าอยากจะเสียใจสั้นๆ แล้ว Move on หรืออยากให้มันคาราคาซังแบบนี้ ยอมตัดใจเจ็บแรงๆ เศร้าหนักๆ สักที แล้วก็ออกจากความสัมพันธ์นี้ ลองถามตัวเองว่าเราจะทนกับความสัมพันธ์นี้ได้ไหม ถามตัวเองว่าเราต้องการชีวิตแบบไหน บางคนเขาก็ยอมทนนะ เพราะเขาแค่รู้สึกว่าเขาไม่มีใครจริงๆ แล้วชีวิตมันอาจจะมีเรื่องอื่นๆ ด้วย เรื่องช่วยเหลือดูแลกัน เรื่องเงินทอง บางคนก็ต้องเลือกทางที่ต้องเจ็บแต่ชีวิตเขาอยู่ต่อไปได้ แล้วดูเหมือนเขาไม่ได้ทำอะไรให้มันชัดเจน หรือเด็ดขาดเลยในเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่มีนเป็นคนปัจจุบัน และถ้ามีนรู้สึกว่ามีนดูแลตัวเองได้ มีนไม่อยากมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ก็เจ็บแปปเดียวแล้ว move on ไปหาชีวิตที่มันดีกว่า’

            ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่คงไม่มีคำตอบที่จะทำให้มีนรู้สึกไม่เสียใจ คำตอบของพี่จะทำให้มีนเสียใจ แต่ช่วยให้มีนไปต่อได้ สิ่งที่มีนจะตัดสินใจมันไม่ใช่เพื่อใคร มันคือเพื่อตัวมีนเอง ยกเรื่องเหตุผลของการเซ็นต์ช่วยเรื่องรักษาพยาบาล ยกเหตุผลที่ยังไม่ได้เซ็นใบหย่าทิ้งไปให้หมด ข้อเท็จจริงเรื่องนี้คือ มีนจะเป็นภรรยาที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย อันนี้มันก็เป็นสิ่งสำคัญที่มีนจะต้องตัดสินใจ ถ้าเขาไม่คิดจะทำอะไรกับเรื่องนี้เลย มีนจะอยากอยู่แบบนี้ไปเพื่ออะไร? มันไม่ถูกต้องตั้งแต่แรกเลย สำหรับเงื่อนไขที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เขาไม่ได้เห็นอนาคตร่วมกันแบบที่มีนมารักเขา มาแต่งงานกับเขา มีนต้องออกมาเพื่อตัวเราเอง’

            สุดท้าย “ดีเจอ้อย” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่เข้าใจความรักที่เรามีให้เขา คนที่เราคิดว่าเราคือตัวจริงของกันและกันมาตลอดถึงขั้นแต่งงาน คนอื่นก็รับรู้ แต่พอวันนึงพึ่งมารู้ว่า ตกลงฉันไม่ได้เป็นแค่ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย มันมีทั้งความเสียใจและมีทั้งความเสียศรัทธา แต่สิ่งหนึ่งที่มีนถามว่าจะเลิกยังไงไม่ให้เจ็บ มันต้องเจ็บอยู่แล้วเพราะเรารักเขา แต่เขารักเราน้อยไปถึงยังมีครอบครัวของเขาอยู่ พี่รู้สึกว่าเรากำลังทำตามเงื่อนไขของเขาเต็มไปหมด ทำไมในความสัมพันธ์นี้ไม่เห็นเราได้รับรู้แล้วตัดสินใจด้วยเลย เขาทำอะไรโดยพลการทุกสิ่ง ทั้งๆ ที่หนูคือ ภรรยาคนปัจจุบัน และระยะยาว เราจะเชื่ออะไรเขาได้อีก มันเป็น 3 ปีที่ทำให้เรารู้ว่ามันไม่จริงใจ เราก็ต้องพยายามเอาหัวใจไปฝากที่อื่นให้ได้’

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

ผมมี FWB 6 คนครับ รักความอิสระไม่ต้องผูกมัดกับใคร ครอบครัวผมที่อยู่ต่างประเทศ บอกว่าไทยผ่านสมรสเท่าเทียมแล้ว อยากให้ลูกมีคู่ชีวิตที่รักดูแลกันไปนานๆแต่เขาไม่รู้ว่าภาพที่ลงในโซเชียล เป็นคนละคนหมดเลย

04 ต.ค. 2024

ผมมี FWB 6 คนครับ รักความอิสระไม่ต้องผูกมัดกับใคร ครอบครัวผมที่อยู่ต่างประเทศ บอกว่าไทยผ่านสมรสเท่าเทียมแล้ว อยากให้ลูกมีคู่ชีวิตที่รักดูแลกันไปนานๆแต่เขาไม่รู้ว่าภาพที่ลงในโซเชียล เป็นคนละคนหมดเลย

ผมมี FWB 6 คนครับ รักความอิสระไม่ต้องผูกมัดกับใคร ครอบครัวผมที่อยู่ต่างประเทศบอกว่าไทยผ่านสมรสเท่าเทียมแล้ว อยากให้ลูกมีคู่ชีวิตที่รักดูแลกันไปนานๆแต่เขาไม่รู้ว่าภาพที่ลงในโซเชียลเป็นคนละคนหมดเลย ผมควรจะเชื่อตัวเอง หรือ ตกลงกับคนใดคนนึงไปเลยดีครับ? “คุณบี (นามสมมติ)” อายุ 28 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [2 ต.ค.67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล – ดีเจอ้อย’ เกี่ยวกับปัญหาเเม่อยากให้เเต่งงาน เพราะสมรสเท่าเทียมผ่านแล้ว เเต่เรายังไม่พร้อมเพราะมีความสัมพันธ์เเบบ FWB อยู่ 6 คน โดย “คุณบี (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ผมใช้ชีวิตเเบบโสดเเต่ไม่โสด ผมมี FWB เป็นผู้ชาย ตอนนี้มีอยู่ประมาณ 6 คน เเต่ทั้ง 6 คนเป็น Long term หมดเลย เป็น 1-5 ปี ไม่มีระยะสั้นแบบคืนเดียว วันไนท์ จะหลากหลายเดือน หลายปีไปเลย เเล้วตอนนี้มันมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมเพิ่งจะผ่าน ทีนี้ผมก็เลยโดนกดดันมาจากที่บ้านนิดนึงว่า “แต่งงานได้เเล้วมั้ย?” ซึ่งปัญหานี้คงเป็นปัญหาที่ทุกคนอาจจะมองไม่เป็นเรื่องใหญ่ ผมอยู่เมืองไทยคนเดียว ครอบครัวอยู่ต่างประเทศหมดเลย ตั้งเเต่เด็ก ๆ เเล้ว คือทางครอบครัวผมเขาค่อนข้างเป็นห่วงในการใช้ชีวิตคนเดียว คุณเเม่เเละก็ครอบครัวผมเขาเข้าใจว่าผมมีแฟนคนเดียวมาตลอดเลย เพราะว่าเวลาผมถ่ายรูปลงโซเชียลเนี่ย ผมก็ถ่ายติดแขน ติดมือ ไม่ได้แบบให้เห็นหน้าหรือเห็นตัว ทีเนี่ยคุณเเม่เขาเข้าใจว่าเราคบมานานเเล้ว เเบบมีเป็นตัวเป็นตนแล้ว เราก็ไม่ได้ปฎิเสธเขาเเต่ก็ไม่ได้บอกเขาตรง ๆ ว่าเรามีหลายคนหรือมีคนเดียว ทีนี้เเม่เขาก็โทรมาในวันที่แบบกฎหมายผ่านจริง ๆ เมื่ออาทิตย์ที่เเล้ว เขาก็คุยจริงจังเลยว่า “เเต่งงานได้มั้ย? เเต่งงานให้เเม่ได้มั้ย?” เพราะว่าตลอดชีวิตผมเนี่ยเเม่เขาตามใจผมมากมาตลอด อยากได้ไรได้ อยากทำอะไรทำ อยากเรียนที่ไหนอยากทำอะไรได้ตลอด ไม่เคยขัดใจเลย เเล้วก็ไม่เคยขออะไรจากผมเลย เพราะเขารู้สึกว่าเขาเป็นเเม่เขาต้องให้ ไม่ใช่หน้าที่เขาที่ต้องขอจากเรา ทีนี้เเม่ผมเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายมาเข้าปีที่ 6 แล้วครับ เเล้วเราไม่รู้ว่าเขาจะอยู่กับเราอีกได้นานแค่ไหน เขาก็เข้า รพ. อาการหนักตลอด 6 เดือนครั้ง ปีละครั้ง ก็จะมีหนัก ๆ เข้า รพ.ตลอด เเล้วครั้งที่เขาตรวจเจอมะเร็งระยะสุดท้ายเนี่ย จังหวะนั้นที่เขาต้องเข้าผ่านตัด โอกาสรอดที่หมอบอกเราคือไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำว่าเเม่จะรอดออกมา ทีนี้จังหวะที่เเม่จับมือเราก่อนเข้าห้องผ่านตัดอะ สิ่งที่เเม่เขาพูดกับเราคือ “เขาเป็นห่วงเรา ไม่อยากให้เราอยู่คนเดียว” เพราะว่าผมไม่มีพ่อตั้งเเต่เด็กเลย พ่อเขาเสียตั้งเเต่ตอนยังเด็ก มีเเม่คนเดียวมาตลอด เเม่เขากลัวเราอยู่คนเดียวไม่คนช่วยคิด ช่วยตัดสินใจในชีวิต เเล้วเรารู้สึกว่าตอนนั้นมันเป็นความกังวลของเขาเฉย ๆ เเต่ตอนนี้มันเป็นสิ่งที่เขารู้สึกว่าเขาต้องการจริง ๆ ว่าอยากให้เราเป็นฝั่งเป็นฝาจริง ๆ ในเมื่อกฎหมายบ้านเรามันทำได้ ผมก็มี FWB 1 ใน 6 คนนี้ที่คบกันมาตอนนี้ปีที่ 5 แล้วครับ อยู่กันมาปีที่ 5 เป็นคนที่อยู่กันนานที่สุด เเล้วก็รู้สึกว่ารู้ใจกันทุกอย่าง คุยกันทุกเรื่อง เเต่เเค่เราไม่ได้แบบว่าผูกมัดกันเฉย ๆ เขาก็พูดมาเมื่อหลายเดือนที่เเล้วอะ ตอนเราดูข่าวว่าสภาเขาโหวตเรื่องสมรสเท่าเทียมกัน เขาก็หันมาพูดกับเราจริงจังเลยเเบบจริงจังมากเลยว่าแบบ “เออเนี่ย จริง ๆ เเล้วอ่ะเขาคิดกับเราไปถึงขั้นนั้นเลยนะ ที่วันนึงจะเเต่งงานอยู่ด้วยกันไรเงี้ย เเต่เเบบเขาอ่ะ เห็นว่าเราอ่ะยังไม่พร้อมที่จะเป็นแบบนั้นได้จริง ๆ เขาก็เลยรู้สึกว่า เขาไม่กล้าขอให้เราอะแบบผูกมัดกับเขา เขากลัวว่าเขาจะเสียเราไปด้วย” ปัญหามันอยู่ที่ความรู้สึกของเรา ด้วยความที่เเม่เราตามใจเรามาก เราใช้ชีวิตเเบบโดนตามใจตลอดทีเนี้ยะ เราถูกสอนมาให้ซื่อสัตย์กับตัวเองมาก ๆ ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยโกหกแม่เลย เราต้องการอะไรไม่ต้องการอะไรในชีวิตเราเรารู้ตลอด เราทำตามที่เราต้องการมาตลอด ทีเนี้ยเรารู้สึกว่าตอนนี้มันเป็นทางที่เราต้องเลือกระหว่างทำในสิ่งที่แม่ขอ ซึ่งแม่ไม่เคยขอเลย กับสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำจริง ๆ ก็คืออยากอยู่เป็นชีวิตโสดอย่างงี้ต่อไป มันเป็นทางที่ผมรู้สึกว่า ไม่ว่าเลือกทางไหนอ่ะผมก็ต้องเสียใจแน่ ๆ แต่ผมจำเป็นต้องเลือกซักทางนึง ซึ่งผมตัดสินใจไม่ได้จริง ๆ ใจผมมันไปทางไม่แต่งอยู่เเล้วแหละ เเต่ก็อยากทำให้เเม่สบายใจ เลยอยากถามพี่ ๆ ว่า ในความคิดเห็นของพี่ ๆ ควรเลือกทางไหนดีครับ?’ โดยเริ่มที่ “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ในกรณีนี้เราสามารถคุยกับเเม่ตรง ๆ ว่าการที่บีไม่ได้เเต่งงาน ไม่ได้หมายถึงว่าบีจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้อย่างดี เข้าใจว่าเเม่เป็นห่วง ในอดีตบีอยู่คนเดียวได้เเล้วอยู่ได้อย่างดีด้วย มันก็น่าจะวัดได้ประมาณนึงเเล้วว่าบีเป็นคนดูเเลชีวิตตัวเองที่แบบได้ดี ถ้าจะคิดเเค่ว่าการเเต่งงานมันจะทำให้ชีวิตดีขึ้น ทุกวันนี้มันไม่ใช่ทุกคู่รักคู่สมรสจะจบกันด้วยดี บางทีการเเต่งงานมันยิ่งนำพาปัญหามาเกิดขึ้นเลย แต่ตอนนี้มันมีเงื่อนไขที่คุณเเม่ป่วย การที่บอกว่าเเม่ตามใจมาตลอดเเล้วกับเรื่องนี้ที่เขาอยากเห็นมันสักครั้งก่อนเขาไป ถ้าเป็นพี่ที่รักเเม่มาก เเล้วเป็นข้อเดียวที่เขาอยากเห็นนะ พี่ก็ทำได้นะ พี่รู้สึกถ้าเเต่งเพื่อให้เเม่สบายใจก่อนเขาเสีย ในมุมถ้าพี่รักเเม่คนนี้นะ พี่ทำได้ แต่ก็เเต่งกับคนที่เรารักนะ เเล้วเรื่องหลังจากนั้นค่อยว่ากัน’ ต่อมา “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ไม่แปลกที่เขาจะคิดว่าการเเต่งงานหมายถึงชีวิตมั่นคง ถึงบีไม่เเต่งงานก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีใคร การไม่เเต่งงานไม่ได้บ่งบอกว่าไม่มีคู่ชีวิต การไม่มีคู่ชีวิตไม่บอกว่าบั้นปลายชีวิตจะไม่มีใครดูเเล ไม่อยากให้ตัดสินใจเพียงเพื่อระยะสั้น การแก้ปัญหาระยะสั้นกับคุณเเม่พี่ว่ามีวิธีอื่น ถ้ามองระยะยาวพี่ว่าเสี่ยง ต้องคิดดี ๆ คิดยาว ๆ’ สุดท้าย “ดีเจอ้อย” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ไม่อยากให้มองว่างานเเต่งงานเป็นเเค่อีเว้นท์นึง การทำให้เเม่สบายใจไม่น่าจะใช้การโกหก โกหกเพื่อความสบายใจมารู้ทีหลังพังกว่าทั้งนั้นแหละ ก็สื่อสารกับเเม่ตรง ๆ ว่าตอนนี้ยังไม่สามารถหาใครซ้กคนมาเป็นคู่ชีวิตจริง ๆ เเต่ไม่ต้องห่วงเลือดของเเม่ที่อยู่ในตัวเราอ่ะ จะทำให้เราเป็นคนที่มีสติเเละดีที่สุดเเละไม่อยากเเต่งวันนี้เพื่อไปเลิกวันหน้า การแต่งงานไม่ใช่รับใบปลิว พี่ว่าคุณเเม่เองคงไม่มีความสุข ถ้ารู้ว่าสิ่งที่คุณเเม่อยากได้ เป็นการฝืนความรู้สึกของลูก เพราะการเเต่งงานคือความสุขของลูกเป็นที่ตั้ง ในอนาคตถ้าเจอใครที่จริงจัง เราก็คงต้องปรับเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต เราอยากได้คนจริงใจก็อย่าเอาความหลายใจเข้าไปแลก เเต่ทั้งหมดบีเป็นคนตัดสินใจ’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

สามีที่คบกันมา 14 ปี บอกเลิกคืนเค้าท์ดาวน์ หลังจากที่เราจับได้ว่าเขามีผู้หญิงอีกคน สามีบอก "กูหมดรักมึงมา 2-3 ปีแล้วรู้ไว้ด้วย" ได้ยินแล้วช็อคเข้าโรงพยาบาลเลย ตอนนี้สามีลากกระเป๋าออกบ้านไปแล้ว ควรเดินต่อไปยังไงดีคะ

12 ม.ค. 2024

สามีที่คบกันมา 14 ปี บอกเลิกคืนเค้าท์ดาวน์ หลังจากที่เราจับได้ว่าเขามีผู้หญิงอีกคน สามีบอก "กูหมดรักมึงมา 2-3 ปีแล้วรู้ไว้ด้วย" ได้ยินแล้วช็อคเข้าโรงพยาบาลเลย ตอนนี้สามีลากกระเป๋าออกบ้านไปแล้ว ควรเดินต่อไปยังไงดีคะ

“คุณแบม (นามสมมติ)” อายุ 42 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (29 พ.ย. 66) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล - ดีเจอ้อย กับปัญหาที่ว่าสามีที่คบกันมานานบอกเลิกเราวันสิ้นปี เราเสียใจช็อก ถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล โดย “คุณแบม (นามสมมติ)” ได้เริ่มปรึกษาว่า ‘โดนสามีบอกเลิกตอนวันสิ้นปีที่ผ่านมา คบกับเขามา 4 ปี แต่งงานกันอีก 10 ปี เริ่มจากแบมระแคะระคายเขามานานแล้ว เพราะมันมีเบอร์แปลก ๆ ล็อกอินเข้าใน Facebook เขา พอไปถามเขา เขาก็ตอบมาว่า ไม่รู้ เราก็เลยเก็บเบอร์นี้ไว้ เอาไปโทร เอาไปเช็กตามระบบ มันไม่ใช่เบอร์คอลเซ็นเตอร์ เราก็ไปถามเขาอีกครั้ง ให้เขาโทรไป เขาก็ไม่ยอมโทร จนเมื่อวันที่ 31 ที่ผ่านมา เป็นวันที่แบมหยุดงานอยู่บ้าน แต่แฟนต้องออกไปทำงานในคืนนั้น ระหว่างที่เขาอาบน้ำ แบมได้ใช้แท็บเล็ตของเขากดโทรไปที่เครื่องนั้น ปรากฎว่ามันมีประวัติการโทรเข้าโทรออกที่เบอร์นั้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม โดยที่ไม่ได้เมมเบอร์ไว้ แบมก็เลยกดโทรออกไป สักพักหนึ่งก็มีคนรับสาย แบมก็เงียบก่อน ผู้หญิงคนนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “อยู่ไหนอะ” แบมก็เลยพูดไปว่า “เธอเป็นใคร นี่เราเป็นเมียของ…นะ” ผู้หญิงก็วางสายไป เราก็ไปเคาะประตูสามีเรียกออกมาคุยว่า คืออะไร แต่เขาก็ไม่ยอมรับ เขาก็นั่งนิ่งไปสักพักนึง แล้วก็พูดว่า “กูไม่ได้รักมึงมา 2-3 ปีแล้ว” เราก็ช็อก เพราะก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้มีสัญญาณอะไร แบมก็ถามเขาไปว่า “เราผิดอะไร” เขาก็บอกว่า “เธอไม่ได้ผิดอะไรหรอก แต่เขาผิดเอง ไม่รู้จักพอเอง” แบมก็เลยบอกว่า “เลิกได้ไหม” เขาก็บอก “เลิกไม่ได้” แล้วก็บอกว่า “ขนาดกูพูดกับมึงขนาดนี้แล้ว มึงยังหน้าด้านที่จะยื้อกูไว้อีกหรอ” เขาพูดแบบนี้มา เราก็ช็อกไป เขาก็พาส่งโรงพยาบาล แล้วก็มาเฝ้าเรา 2 คืน แต่เขาก็จะพูดว่า “คือไงอะ คือกูต้องไปไหม” อย่างนี้ตลอด และในวันที่ออกก็มีจิตแพทย์มาคุยกับแบม บอกแบมว่า “คุณมีภาวะซึมเศร้าแล้วนะ เป็นมานานแล้ว” แล้วก็เรียกผู้ชายมาคุยว่า “คุณต้องรับผิดชอบในสิ่งที่คุณทำนะ ถ้าคุณจะไปจากเขา คุณต้องรับผิดชอบให้อาการเขาดีขึ้นก่อน” เขาก็บอกกับคุณหมอว่า “เขาไม่ได้เป็นคนผิด แบมเป็นคนไม่รักตัวเองเอง” อาการเราเริ่มมีตั้งแต่ช่วงที่เราเริ่มระแคะระคายเรื่องเขา จนเครียดสะสมมาตลอด และเราก็ไม่ได้บอกใครเลยเรื่องนี้ แม้กระทั่งพ่อ-แม่ เพราะว่ากลัวพ่อ-แม่จะเกลียดเขา หลังจากกลับจากโรงพยาบาล เขาก็บอกว่า “เขาจะอยู่ดูแล จนกว่าแบมจะดีขึ้น” แต่พออีกวัน เขาไปทำงานแล้วโทรกลับมาบอกแบมว่า “ทำไมเขาต้องอยู่ ในเมื่อเขาพูดชัดเจนแล้วว่าไม่รักแบมแล้ว เขาไม่อยู่หรอกนะ อยู่เพื่ออะไร ทำไมต้องยื้อไว้” แบมก็เลยบอกเขาว่า “งั้นก็เข้ามาเก็บของ” อีกสักพักนึงเขาก็เข้ามาเก็บของออกไป แล้วเขาก็ทิ้งเราไปเลย วันนี้แบมเลยอยากให้พี่ ๆ แนะนำให้มูฟออนให้ได้ ให้ลืมเรื่องฝันร้ายนี้ มันเป็นฝันร้ายที่สุดในชีวิตแบมแล้ว’ ซึ่ง ‘ดีเจเผือก’ ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า “ทุกครั้งเราพยายามจะบอกทุกคนเสมอว่า เวลามันจะช่วยนะ ช่วงนี้ก็ประคับประคองไป ใครไหวแค่ไหน เอาให้มันสุดให้มันผ่านไปได้ เวลามันจะค่อย ๆ เยียวยา วันนี้ร้องเท่านี้ พรุ่งนี้เรื่องเดิม ๆ ที่ทำให้เราร้องไห้ ก็อาจจะไม่ร้องแล้ว แค่เรามีสติรู้ตัวว่า ณ เวลานี้ฉันเศร้าและแน่นอนว่าฉันควรต้องเศร้า ถ้า 15 ปี แล้วเขาจากไปใจร้ายแบบนี้แล้ว ฉันไม่เศร้าสิถึงแปลก อยู่ด้วยกันมาตั้ง 15 ปี แต่สุดท้ายเมื่อเราเริ่มเข้มแข็งพอ คนเราก็จะต้องค่อย ๆ ลุกขึ้นได้ เดินต่อไปได้ แต่ ณ เวลานี้อาจจะต้องพักให้ร่างกายได้เยียวยาก่อน ซึ่งก็ปล่อย อยากเศร้าก็เศร้า ร้องไห้ก็ร้อง หาเพื่อนสักคนที่พร้อมจะนั่งฟังแบบ เศร้าให้หมดไป แล้วเราก็จะแข็งแรงขึ้นเอง แต่ต้องใช้เวลา คนเราใช้เวลาไม่เท่ากัน ของแบม 15 ปี อาจจะใช้เวลานานหน่อย แต่ไม่มีวิธีอื่นนอกจากจะให้เวลามันเยียวยา ในความคิดของพี่ เป็นกำลังใจให้ อย่างน้อยก็ยังไม่มีความผูกพันด้านอื่น เขาชัดเจนมาขนาดนี้ เมื่อมันจบตอนนี้ดีกว่าปล่อยให้คาราคาซังแล้วต้องปวดหัวมากว่านี้ ทุกอย่างมองในแง่ดีถึงแม้มันอาจจะยากก็ตาม” ต่อมาที่ ‘ดีเจอ้อย’ ได้ให้คำปรึกษาว่า “พี่เห็นด้วยกับเผือกอันนึงคือ เรากำลังทำสิ่งผิดธรรมชาติอยู่ รักมาขนาดนี้ เขาเดินจากไปแล้วเราต้องมูฟออนให้ได้ภายในไม่กี่วัน มันเป็นเรื่องยากมาก เข้าใจว่าคนที่กำลังเสียใจมาก ๆ แล้วมาบอกว่ามันจะดีขึ้น ไม่ค่อยมีใครเชื่อหรอก ทั้ง ๆ ที่เวลามันรักษาได้ทุกแผล แค่รอให้ไหว ในเรื่องของซึมเศร้าก็ต้องรักษากันไป ต่อมาคือที่บอกว่าไม่อยากบอกคนรอบตัวเพราะว่าไม่อยากให้ทุกคนเกลียดเขา พี่ว่าคนละเรื่อง พ่อแม่จะเกลียดหรือเปล่านั่นเป็นสิทธิของเขา พี่ไม่อยากให้น้องมีปัญหาซ้ายขวาหน้าหลัง เสียใจเรื่องสามีจากไปก็แย่แล้ว ต้องมานั่งปิดบังไม่ให้คนอื่นรู้ ไม่สามารถแสดงความอ่อนแอให้กับคนที่บ้านเห็นได้ โลกใบนี้มันจะเหมือนหนักและทับตัวหนูอยู่ หนูไม่ได้เล่าให้พ่อแม่ฟัง คิดหรอว่าเขาจะไม่รู้ อยู่ด้วยกัน ผู้ชายเก็บของออกจากบ้านลูกสาว เขาต้องรู้อยู่แล้วว่าจะต้องมีอะไรเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเขาจะเกลียดหรือไม่เกลียด ไม่เกี่ยว ความจริงคือความจริง พี่ไม่อยากให้น้องคอยสร้างภาพลักษณ์ให้ใคร เพียงแต่ว่าพี่อยากให้น้องมีทีมของตัวเอง อย่างน้อยก็ยังมีสายซัพพอร์ต หัวเราะด้วยกันเสียงจะดังขึ้น เวลาร้องไห้เสียงสะอื้นจะเบาลง หนูร้องไห้เลยเต็มที่ อันนี้คือวิธีการเยียวยาธรรมชาติของมนุษย์ เสียใจก็ร้องออกมา ไม่ต้องพยายามเข็มแข็งในตอนที่ยังอ่อนแอ เดี๋ยวแผลจะใหญ่ไป แล้ววันนึงจะคิดได้ว่า ก็แค่คนไม่รักกัน ใครน่าเสียใจกว่ากัน เธอสูญเสียคนที่รักเธอไป 1 คน ฉันเสียคนที่ไม่รักฉันไป 1 คน คิดดูสิว่าใครน่าจะเห็นคุณค่ามากกว่ากัน วันนี้น้องกำลังแบกหลายอย่างมากเกินไป เขาจากไป ต้องปิดบังที่บ้าน ซึมเศร้าหนูก็เป็น มันเลยเป็นปัญหาที่หนูเห็นปัญหานั้นมันใหญ่โตเกินความจริงไปนิด พี่รู้แหละว่าการที่สามีจากไปแบบนี้ มันเป็นเรื่องน่าเสียใจที่สุด มันทำให้หนูมีคำถามมากมายว่าเราผิดอะไร แต่พี่เห็นแค่ว่า คนไม่รับผิดชอบความรู้สึกของน้องคนนึง อยากจะไปก็ด่า ๆ ให้รู้สึกว่าการจากไปไม่ใช่เรื่องผิด ไม่สนใจว่าหนูจะรู้สึกอย่างไร วันนี้หนูรักเขาไม่อยากให้เขาเสียใจ แต่เขารักหนูน้อยไปเลยสมารถทำให้หนูเสียใจได้ขนาดนี้เรื่อย ๆ สู้ไปทีละวัน แล้วมันจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ต้องไปตั้งคำถามว่าเมื่อไหร่จะดีขึ้น ข้างหน้าไม่รู้ เอาวันนี้ก่อน พี่จะยกตัวอย่างเสมอว่า ไม่มีใครลืมกระเป๋าสตางค์ ในวันที่ถามตัวเองเสมอว่าเมื่อไหร่จะลืมกระเป๋าสตางค์ การลืมมันเกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตไปทุกวันตามปกติจนชิน รู้ตัวอีกทีกระเป๋าหายไปไหน การลืมความเจ็บปวดเช่นเดียวกัน เราไม่ต้องไปหาเหตุผลอะไรอีกแล้ว เพราะคนจะไปพูดอะไรก็ได้ ถ้าตอนนี้หนูรู้สึกไม่กล้าบอกใคร หนูกอดตัวเองให้แน่น แล้วคุณพ่อคุณแม่ของหนู หนูต้องดูแลหัวใจท่านด้วย ไม่มีคุณพ่อคุณแม่คนไหน เลี้ยงลูกให้มานั่งร้องไห้เพราะผู้ชายไม่รัก รักตัวเองให้เยอะ ๆ ” สุดท้าย ‘ดีเจเติ้ล’ ให้คำปรึกษาว่า “เมื่อวานได้อ่านหนังสือ Lots Of Love เป็นเรื่องของผู้หญิงคนนึงที่อยู่กับสามีมานาน ประมาณคุณแบม แล้วสามีเป็นมะเร็ง มีเวลาไม่นานสามีก็จากไป เขาเขียนเล่าว่าช่วงเวลานั้นมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วเขาผ่านมาได้อย่างไร ที่เติ้ลฟังสิ่งที่คุณแบมเล่ารู้สึกว่ามันมีความคล้ายกันอยู่ในเรื่องนี้ ตอนที่เราอ่านก็รู้สึกว่าเขาจะผ่านมันไปได้อย่างไร เราก็ลุ้น เขาเขียนว่าวันที่สามีเขาเสีย หลังจากนั้นเข้าก็ร้องแบบเดี๋ยวทรุด เดี๋ยวร่วง ตื่นเช้ามาก็ร้อง เข้าห้องน้ำก็ร้อง นั่งรถไฟฟ้าไฟก็ร้อง เพราะว่านั่งรถไปทำงานกับสามีทุกวัน แต่ว่าอันนึงที่เขาเขียนแล้วเรารู้สึกว่า มันดีมากเลย คือเขาบอกว่า พอมันร้องไป ตอนแรกเขาก็กลัวเหมือนกันว่ามันจะตาย เขาจะต้องตายแน่ ๆ ถ้าสามีเขาไม่อยู่แล้ว แต่สุดท้ายพอเขาร้องแล้วรู้สึกหายใจไม่ออก เขาก็พยายามที่จะหายใจ แล้วเขาก็บอกว่า มันไม่มีใครตายจากความเสียใจอันนี้ อยากจะบอกคุณแบมเหมือนกันว่า เราเสียใจ แล้วมันก็ผ่านมาแค่ 10 วัน เราเป็นคนปกติแล้วที่รู้สึกแบบนี้กับความผูกพันธ์ที่ตัวเองมีมา เติ้ลก็อยากจะบอกกับคุณแบมว่า ร้องไปเลย เสียใจได้ไปเลย สุดท้ายถึงเวลา อย่างคุณหมวยที่อยู่ในเรื่องนี้ เขาใช้เวลาเป็น 10 ปีเลยเหมือนกัน ในการที่จะผ่านมันไปได้ แต่แล้วในหนังสือสุดท้ายที่เขามาเขียนก็คือ ทุกวันนี้เขายังรัก และยังคิดถึงแฟนเขาที่เสียไป แต่ตอนนี้เขาตายไม่ได้เพราะเขาจะไปดูคอนเสิร์ต BTS เขามีจุดมุ่งหมายในชีวิตเขาอันใหม่ เติ้ลอยากจะเทียบกับเรื่องของคุณแบมว่า คุณแบมเห็นไหมว่าคุณหมวยที่เขาเสียคนรักไปทั้งที่เขายังรักกันอยู่มาก เราว่ามันทรมาณ ถ้าจะเทียบกับเคสคุณแบม มันอาจจะทรมาณมากกว่า เพราะว่าเขาคนนั้นเขาไม่ได้รักคุณแบมแล้ว เหมือนถ้าคนที่เขารักกันมาก ๆ แล้วเขาจากกันเขายังผ่านมันมาได้ ปัจจุบันนี้เขายังมีชีวิตเพื่อตัวเขาเองได้เติ้ลว่าคุณแบมก็ผ่านมันไปได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่ามันต้องใช้เวลาเท่านั้นเอง อยากบอกคุณแบมว่าอยากให้กลับมารักตัวเองมาก ๆ เขาเลือกที่จะทำแบบนั้นกับเรามันไม่มีใครนอกจากเราในตอนนี้กับคุณพ่อคุณแม่ที่บ้าน มันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องหันกลับมาดูแลตัวเอง เข้าใจว่ามันยามาก แต่เติ้ลเชื่อว่ามันจะต้องผ่านไปได้อย่างแน่นอน”เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

บ้านหนูของหายทุกเสาร์ อาทิตย์ พ่อกับน้องชายเลยแอบติดกล้องวงจรปิดจับคนร้าย สุดท้ายเป็น แฟนของพี่ชาย เข้าออกห้องหนูทุกครั้งที่มาบ้าน เคยขโมยกระปุกครีมไป พอถาม ยอมรับว่าเอาไปจริง แต่เอาไปทิ้งเพราะไม่ชอบหนู

23 ก.พ. 2024

บ้านหนูของหายทุกเสาร์ อาทิตย์ พ่อกับน้องชายเลยแอบติดกล้องวงจรปิดจับคนร้าย สุดท้ายเป็น แฟนของพี่ชาย เข้าออกห้องหนูทุกครั้งที่มาบ้าน เคยขโมยกระปุกครีมไป พอถาม ยอมรับว่าเอาไปจริง แต่เอาไปทิ้งเพราะไม่ชอบหนู

​บ้านหนูของหายทุกเสาร์ อาทิตย์ พ่อกับน้องชายเลยแอบติดกล้องวงจรปิดจับคนร้ายสุดท้ายเป็น แฟนของพี่ชาย เข้าออกห้องหนูทุกครั้งที่มาบ้าน เคยขโมยกระปุกครีมไปพอถาม ยอมรับว่าเอาไปจริง แต่เอาไปทิ้งเพราะไม่ชอบหนูพี่ชายหนูจ่ายค่าครีมให้แล้ว พ่อบอกไม่อยากให้ทะเลาะกัน ทำไงดีคะ? “คุณอาย(นามสมมติ)” อายุ 26 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (21 ก.พ. 67) ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเติ้ล - ดีเจเผือก - ดีเจอ้อย นภาพร’ กับปัญหาของหาย แต่คนที่ขโมยคือแฟนของพี่ชาย... โดย ​“คุณอาย(นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ที่บ้านหนูมีกันอยู่ 4 คน มีพ่อ พี่ชาย หนู แล้วก็น้องชาย และพี่ชายก็ชอบพาแฟนมาอยู่ที่บ้านทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ก่อนหน้านั้นก็ปกติไม่ได้มีปัญหาอะไร ทุกคนก็ทำหน้าที่ของตัวเอง จนวันหนึ่งพ่อกับน้องรู้สึกว่ามันเริ่มมีของหาย และหายไปทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ไม่ว่าจะเป็นเงิน ของมีค่าต่าง ๆ ทีนี้พ่อกับน้องก็เลยแอบติดกล้องวงจรปิดในบ้าน โดยที่หนูเองก็ยังไม่รู้ หลังจากติดกล้องก็เจอขโมย คือ แฟนของพี่ชายแอบมารื้อของในบ้าน แล้วก็แอบเข้าห้องของอาย วันนั้นอายกลับจากทำงาน ซึ่งกำลังจะล็อกห้อง พ่อก็บอกว่า ห้ามเก็บเงินสดหรือของมีค่าไว้ในห้องนอนตัวเอง และพ่อก็ไม่บอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่พ่อเกริ่นมาขนาดนี้หนูก็เลยรู้สึกว่า อ้าว ทำไมเราเก็บของไว้ในห้องนอนตัวเองไม่ได้ หนูก็สงสัยเลยถามพ่อว่า เกิดอะไรขึ้น? พ่อก็บอกว่า เขากับน้องแอบติดกล้องวงจรปิดในบ้าน ก็เจอว่าแฟนของพี่ชายแอบรื้อของในห้องอาย ขโมยของไป และรื้อห้องน้องชายกับพ่อด้วย แอบย่องตอนที่ไม่มีคนอยู่บ้าน เขาก็จะเข้าห้องอายทุกอาทิตย์ อาทิตย์แรกที่แอบติดกล้องก็เจอแต่ไม่แน่ใจว่าเอาอะไรไปแต่เห็นควักใส่กระเป๋าตัวเอง ส่วนอาทิตย์ที่สองเจอว่าเอาครีมกระปุกใหญ่ของหนูไป ตั้งแต่นั้นมาหนูไม่พกเงินสด ปกติหนูก็เป็นคนไม่ได้ใส่ของมีค่าในตัวอยู่แล้ว จะมีพวกครีม พวกเซรั่มมากกว่า ตอนแรกพี่ชายยังไม่รู้ เราก็เลยคุยกัน 3 คน พ่อ น้องชาย แล้วก็อาย คุยกันว่าจะแก้ไขปัญหานี้ยังดี พ่อก็บอกว่า เรื่องนี้รู้เมื่อวันจันทร์ถ้าเราจะรอเขามา เราต้องรอวันเสาร์เพื่อที่จะคุยกับเขาโดยตรง จริง ๆ หนูอยากคุยกับเขาโดยตรง แต่พ่อน่าจะรู้ว่าหนูเป็นคนค่อนข้างรุนแรง พ่อก็เลยบอกว่า ให้พี่ชายเป็นคนคุยดีกว่า เพราะว่าพ่อกลัวพี่ชายจะเสียความรู้สึก แค่นี้พี่ชายก็เสียความรู้สึกมากพอแล้วที่แฟนตัวเองเป็นขโมย ก็เลยบอกพี่ชายว่าไปจัดการมา ทุกคนในบ้านไม่โอเคที่จะให้พามาที่บ้านอีก แล้วเราก็เอาหลักฐานกล้องวงจรปิดให้พี่ชายไป เขาก็ไปคุยกัน... หลังจากนั้นหนูก็ถามว่า เรื่องเป็นไงบ้าง? พี่ชายบอกว่า ตอนแรกเขาไม่ยอมรับ เขาบอกว่าที่เข้าห้องหนูเพราะมาเอาไม้แขวนเสื้อ แต่สถานการณ์ตอนนั้นเขาเพิ่งตากเสื้อผ้าเสร็จ หนูก็งงว่าตากเสร็จแล้วจะมาเอาอีกทำไม แล้วก็เข้าห้องเราบอกว่ามาเอาไม้แขนเสื้อ แต่จริง ๆ ไม่ได้มาเอาไม้แขวนเสื้อ ทีนี้พี่ชายก็เอาคลิปหลักฐานให้ดู สรุปเขาก็เลยยอมรับว่าเขาขโมยของอายไปจริง ๆ เขาบอกสาเหตุที่ขโมยว่า เขาไม่ได้เอาไปใช้ แต่เขาขโมยไปทิ้ง เขาบอกว่าเขาไม่ชอบหนู ทีนี้เขาก็ให้เหตุผลว่าของหนูมันหายบ่อย แต่จับขโมยไม่ได้ ด้วยความที่ของหายก็ต้องโวยวาย หนูก็เลยโวยวายว่า ของหายอีกแล้ว แต่ว่าเราจับไม่ได้สักที หนูว่าทุกคนก็ต้องเป็นต้องโวยวายเพราะของเราหาย เขาก็บอกว่า หนูชอบโวยวายเวลาของหายก็เลยเอาครีมของหนูไปทิ้งข้างบ้าน ของพ่อกับน้องที่หายมันไม่ได้มีหลักฐานชัดเจนว่าเอาไป พอเขาบอกว่าขโมยไปทิ้งตรงทุ่งหญ้าข้างบ้าน หนูกับน้องชายเลยไปรื้อตรงนั้น ก็ไม่มี... พี่ชายเลยชดใช้โดยการโอนเงินค่าครีมคืนมา หลังจากนั้นทุกคนก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีกเพราะว่าไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ของหายแล้ว เรื่องมันก็เริ่มเงียบ พี่ชายก็ไม่พาแฟนมาที่บ้าน แต่สุดท้ายเขาก็พาเข้ามาที่บ้านอีก คือของไม่หายเพราะว่าทุกคนล็อกห้องทำทุกอย่างใหม่ แล้วกลายเป็นว่าบ้านไม่ใช่เซฟโซน เราต้องระวังตัวเองแล้ว ตอนนั้นหนูไม่ค่อยได้เจอหน้าใครเพราะหนูทำงานกลับมาคนละเวลากับที่บ้าน หนูก็เลยทักไปหาพี่ชาย หนูบอกว่า ทำไมยังพามาอีกอะ ทั้ง ๆ ที่ทุกคนในบ้านไม่โอเคที่พาเขามา พี่ชายหนูก็บอกว่า เดี๋ยวถ้าเรียนจบอะ จะเป็นคนย้ายออกไปอยู่กับแฟนเอง จะได้ไม่ต้องพามาที่บ้านให้ทุกคนในบ้านรู้สึกไม่สบายใจ แต่ปัจจุบันพี่ชายหนูเรียนจบแล้ว แต่ก็ยังพามาอยู่ แล้วคือการที่หนูจะไล่พี่ชายออกจากบ้านมันก็ไม่ใช่ เราก็ทำไม่ได้ เพราะว่าบ้านมันคือของทุกคน หนูแค่รู้สึกว่าทำไมจะต้องเจอคนนี้ในบ้านทุกอาทิตย์เลย เมื่ออาทิตย์ก่อนน้องชายเดินมาถามหนูว่า พี่อายรู้สึกว่ามีคนเข้าห้องหรือเปล่า? เพราะก่อนออกไปน้องก็ปิดไฟแล้ว แต่ทำไมไฟยังเปิด รู้สึกว่าของในห้องมันย้ายที่ หนูก็ไม่อยากให้น้องคิดมากเลยบอกว่า อาจจะลืมปิดไฟเองหรือเปล่า มันเป็นเรื่องปกติที่เราลืม ต่อไปก็ห้ามลืมล็อกห้อง หนูก็เลยพูดแทนน้องชายไปวันนั้นว่า ไหนบอกว่าถ้าเรียนจบถ้าไม่พามาก็จะย้ายออกไปไง แบบให้คนในบ้านสบายใจ แต่พี่ชายหนูบอกว่า แล้วทำไมจะพามาไม่ได้เราเป็นแฟนกัน อันนี้ก็บ้านเราเหมือนกัน หนูเข้าใจว่ามันเป็นห้องใครห้องมัน แต่สุดท้ายของส่วนรวม ห้องโถงมันก็คือห้องของทุกคน เราก็ไม่สบายใจ ทีนี้พ่อได้ยินหนู 2 คนเริ่มทะเลาะกัน พ่อก็เลยออกมาคุยด้วย กลายเป็นว่าพ่อว่าหนู ทำไมหนูถึงยังรื้อฟื้นเรื่องเดิม ๆ ออกมา ทั้ง ๆ ที่เรื่องมันจบไปแล้ว คือพ่อไม่อยากมีเรื่อง หนูบอกว่า แต่หนูเป็นคนโดนกระทำ โดนขโมยของ โดนขโมยนู่นขโมยนี่ไป แล้วทำไมเรายังจะต้องเห็นหน้าคนนี้อยู่ในบ้าน แค่ไม่เอาเขามาให้ทุกคนสบายใจ นั่นคือปัญหามันจบหรือเปล่า แต่ทำไมพ่อต้องโมโหมาก ตะโกนด่าอายว่า เป็นตัวสร้างปัญหาที่เอาเรื่องเก่ามาพูดทั้งที่เรื่องมันจบไปแล้ว หนูก็เลยแบบ อ้าว แล้วคือเราต้องรอให้ของหายอีกรอบหรือโดนยกเค้าใช่ไหม เราถึงจะจัดการปัญหาได้ หนูเลยอยากปรึกษาพี่ ๆ ว่า หนูจะจัดการหรือไปทางไหนดี หนูจะทำยังไงที่จะสามารถคุยกับพ่อให้เปลี่ยนความคิดได้ว่าเราไม่ควรให้เขาเข้ามาที่บ้าน’ โดย “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘ประเด็นคือพี่ชายเราเขารัก เขาหลงมาก แล้วเขาก็ไม่ถือสาหาความ ตั้งแต่เหตุการณ์เกิดขึ้นใหม่ ๆ เขาก็เป็นคนโอนเงินมาให้ แล้วก็เหมือนทำให้ทุกอย่างปกติ นั่นแปลว่าเขายอมรับในความนิสัยขโมยของแฟนเขาได้ ตอนแรกพี่ก็ตั้งคำถามของตัวเองว่า ถ้าแฟนเราขโมยของคนในบ้านจะเลิกไหม? นี่คือคนที่เราจะเลือกเป็นคู่ชีวิตของเราในระยะยาวหรอ? แล้วมันไม่ใช่ขโมยของกินในตู้เย็นที่เคลียร์กันง่าย ๆ อันนี้คือขโมยไปทั่วด้วยซ้ำ ที่มันเป็นหลักฐานอาจจะของอายคนเดียว แต่ว่ามันมีของที่หายไปโดยที่หาคำตอบไม่ได้ และหายไปเฉพาะเสาร์-อาทิตย์อีก มันค่อนข้างที่จะชัดเจน ถ้าพี่เป็นพี่ชายอาย พี่คงตั้งคำถามตั้งแต่ตอนนั้น แต่ว่าพี่ชายเขาก็ก้าวข้ามผ่านมาได้ด้วยความรัก พี่มองว่าต่อให้อายสามารถกันเขาออกไปจากบ้านได้ แต่การที่ไม่เจอกันทั้งชีวิตก็ยาก พี่เข้าใจว่าคนโดนแล้วมันก็ฝังใจ ตอนนี้เราจะไปเปลี่ยนความคิดของพี่ชายก็คงลำบาก เขาเลือกที่จะอยู่กับคนนี้ อายเองก็ยังจำเป็นที่จะต้องอยู่บ้านนี้ ณ วันนี้ถ้าไปยื่นคำขาด บอกว่าพ่อต้องไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปให้ได้ ตอนนี้กระแสมันจะเทมาทางอายเป็นตัวร้ายแล้ว ทุกคนพยายามทำให้ครอบครัวยังอยู่ด้วยกันได้ อะไรที่ผิดพลาดไปแล้วให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเขาจะเลิกได้หรือไม่ได้ อาจจะต้องกล้ำกลืนฝืนทน ถ้าเป็นพี่ พี่ก็คงต้องดูแลตัวเอง ทำให้รู้เลยว่าเราไม่มีวันไว้ใจ แล้วระมัดระวังตัวเองให้ดี และถ้ามันเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้แหละเราจะมีน้ำหนักยื่นข้อเสนอครั้งสำคัญแล้วว่ามีอายไม่มีเขา มีเขาไม่มีอายหรือใดใดก็ตาม แต่ ณ ตอนนี้เหตุการณ์มันยังไม่เกิดขึ้นใหม่ คำถามที่ว่า ต้องรอให้เกิดขึ้นอีกครั้งหรอ? วันนี้พี่อาจจะต้องตอบว่า อาจจะเป็นอย่างนั้น โดยที่เราก็ยังต้องตั้งกล้องระแวดระวัง อาจจะลำบากทั้งที่เป็นบ้านของเราแท้ ๆ แต่มันเป็นบ้านของทุกคนจริง ๆ แหละ แล้วพี่เขาก็เลือกของเขาแล้ว เราเองก็อาจจะต้องวัดใจกันดู และก็ภาวนาไม่ให้เกิดขึ้นอีก ความไม่ชอบกันก็ยังฝังอยู่และถ้าเขามาเป็นพี่สะใภ้เรา มันก็คงยังต้องมีความรู้สึกแบบนี้ทุกครั้งที่รวมญาตินั่นแหละ แต่ว่าถ้าเกิดขึ้นอีกครั้ง อายมีสิทธ์เต็มที่ ที่จะยื่นคำขาด ตอนนี้ก็ระมัดระวังตัวเองละกันนะอาย อาจจะต้องอดทนกับความลำบากใจนิดนึง ต่อมา “ดีเจอ้อย” ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง ตอนนี้หนูกำลังไปให้คุณค่าเขาเยอะมาก นี่คือบ้านหนู เขามาแค่ช่วงเสาร์-อาทิตย์ หนูไปให้คุณค่าเขาขนาดที่ว่า เธอทำให้ฉันไม่มีความสุขในบ้านนี้ได้ยังไง และความสุขของฉันจะกลับมาทันที ถ้าพี่ชายเอาผู้หญิงคนนี้ออกไปจากบ้าน พี่รู้สึกว่าในที่สุดวันนี้คนที่พี่จะโกรธ พี่ไม่ได้โกรธว่าที่พี่สะใภ้ พี่โกรธพี่ชายหนู เพราะคนอะไรมีสเปคเป็นมิจฉาชีพขนาดนั้น คือพี่ว่าดูประหลาดไป แต่คราวนี้พี่เห็นด้วยกับสิ่งหนึ่งคือ ต้องปกป้องตัวเองก่อน เป็นพี่ พี่จะอยู่ในบ้านอย่างมีความสุขก่อน ยิ่งเขาเข้ามาจะยิ่งทำให้เห็นว่า ฉันล็อคประตูนี้ อันนี้เปลี่ยนกุญแจ ถ้าเขาถามว่าทำไมต้องล็อคกุญแจขนาดนี้ อ้าว ก็กลัวของหายแล้วก็เพลิน ๆ กับการอยู่ในบ้านของเรา ทำไมเราต้องไปทำให้เขารู้สึกว่า เขาดูมีอิทธิพลต่อบ้านฉันเหลือเกิน พี่ว่าคุณพ่ออาจจะอยากได้ความสงบสุขในบ้าน ไม่มีใครหรอกอยากเอาขโมยเข้าบ้านแล้วแฮปปี้มีความสุข ถ้าน้องทะเลาะกับพี่ชายด้วยเรื่องนี้ มันจะกลายเป็นว่าทะเลาะกันเรื่องผู้หญิงคนอื่นด้วยซ้ำ แล้วถ้าเกิดว่าผู้ชายมีรสนิยมชอบแนว ๆ นี้ ชอบแนวต้องลุ้นกับตำรวจไปด้วย พี่เคารพการตัดสินใจของพี่ชาย แต่เราจะปกป้องสิทธิ์และความสุขในบ้าน เพราะนี่คือบ้านฉัน พี่ว่าเขาต้องมีความผิดปกติทางจิตใจบางอย่าง เพราะฉะนั้นพี่ว่าหนูต้องล็อคให้เห็นเลยว่า ตั้งแต่เธอเข้าบ้านฉัน ฉันรู้สึกว่าจะต้องปกป้องทรัพย์สมบัติของฉันให้ดีที่สุด ต้องดูกันไปสักตั้ง บางทีมันต้องมีอารยะขัดขืนกันบ้าง ตอนนี้พี่กำลังรู้สึกว่าเรากำลังโดนป่วน แล้วเราก็ดันป่วนไปตามแผนด้วย เพราะจริง ๆ นี่คือบ้านของหนู ปกป้องสิทธิ์ของเรา ไม่อยากได้อยากให้เราลุกขึ้นมาแล้วบอกว่า เธอจะต้องเลิกกับผู้หญิงคนนี้ เลิกเอาผู้หญิงคนนี้เข้ามาเดี๋ยวนี้นะ อะไรมันไม่ได้ดั่งใจเราทุกอย่างหรอก พี่ชายเรา เราก็ต้องเคารพในการเลือก แล้วอย่าไปถือโทษคุณพ่อ หนูบอกกับพ่อเลยว่า ในเมื่อพี่เขาเลือกแบบนี้ หนูไม่อยากจะไปแตะอะไร แค่หนูจะทำตามที่พ่อบอกละกันว่า หนูจะปกป้องสิทธิ์ของหนู และบ้านของหนู รวมไปถึงความสุขในบ้านหนูด้วย สุดท้าย “ดีเจเติ้ล” ให้คำปรึกษาว่า ‘ในเมื่อบ้านหลังนี้ทุกคนมีสิทธิ์การเป็นเจ้าของร่วมกัน พี่ก็ไม่สามารถบอกให้อายไล่ทุกคนที่ไม่ชอบออกไปได้ เพราะว่าเขาก็มีสิทธิ์ของเขา พี่กลับมองว่าเหมือนพี่รู้สึกเห็นใจทุกคน ในแง่ที่ว่าทุกคนตกที่นั่งลำบากหมดเรื่องนี้ ทั้งหมดมันก็เกิดจากความรักนั่นแหละ แต่รักแบบไหนว่ากันอีกเรื่อง ทุกคนหวังดีต่อกันเลยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ทีนี้มันจำเป็นที่อายจะต้องอยู่กับเรื่องนี้เพราะว่าหนูก็ไม่สามารถย้ายออกได้ มองอย่างงี้ละกัน นางโจรนี้ นางก็จะมาขโมยแค่เสาร์-อาทิตย์ จันทร์-ศุกร์นางไม่มา ก็ให้เป็นเสาร์-อาทิตย์ที่เตือนใจเราว่า เป็นวันที่เราต้องรัดกุม ก็ล็อกห้อง แล้วถ้าวันนั้นนางถึงขนาดงัดประตู งัดหน้าต่างแล้วเข้าบ้าน พี่ก็เรียกตำรวจ คือถ้าขนาดนั้นพ่อกับพี่ชายก็พูดอะไรไม่ได้อีกต่อไป เราก็ทำให้เห็นว่าล็อกแล้ว มันจะเอาไปไม่ได้ ถ้าเพื่อแลกให้คุณพ่อยังโอเค พี่ชายยังอยู่กันได้ อาจจะต้องยอมทำเพราะว่ามันไม่มีทางออกสำหรับเรื่องนี้ ของมีค่าในห้องเราเก็บให้เรียบร้อยวันเสาร์-อาทิตย์ และถ้านางทำอีกพี่ก็ขอให้แจ้งตำรวจ’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

ผมอยากจะขอเลื่อนงานแต่งแฟนไปอีกสัก 1-2 ปี เพราะหน้าที่การงาน การเงิน เก็บออมสินสอดอยู่ ผมจะพูดหรือมีวิธีการสื่อสารยังไงให้แฟนเข้าใจดีครับ?

24 ม.ค. 2025

ผมอยากจะขอเลื่อนงานแต่งแฟนไปอีกสัก 1-2 ปี เพราะหน้าที่การงาน การเงิน เก็บออมสินสอดอยู่ ผมจะพูดหรือมีวิธีการสื่อสารยังไงให้แฟนเข้าใจดีครับ?

“คุณสอง (นามสมมติ)” อายุ 27 ปี สายที่สี่ในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [22 ม.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก – ดีเจเติ้ล – ดีเจอ้อย’ เกี่ยวกับปัญหาอยากขอเลื่อนแฟนแต่งงาน เพราะมีปัญหาเรื่องเงินและหน้าที่การงาน โดย “คุณสอง (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘อยากจะขอเลื่อนแฟนแต่งงาน เพราะมีเรื่องของการเงินและหน้าที่การงานเข้ามา เรา 2 คนเคยคุยกันไปแล้ว แต่พอคุยกันบ่อย ๆ มันเหมือนกับว่าเขาอยากจะรีบแต่งงาน เราทะเลาะกันเรื่องนี้บ่อยมาก เราก็เข้าใจในมุมเขา แต่ก็ไม่รู้จะพูดยังไง ต่อให้เขาเข้าใจเราและยอมรับจริง ๆ เรา 2 คนคบกันมาปีนี้กำลังจะเข้าปีที่ 10 แล้ว แพลนแต่งงานของเราคือช่วงปลายปี 69 สิ่งที่ผมกลัวคือผมกลัวเก็บเงินไม่ทัน เราไม่อยากจัดงานแบบลวก ๆ อยากทำให้มันออกมาดีเพราะมันคือครั้งเดียวในชีวิต จริง ๆ สเกลมันก็ไม่ใหญ่มากประมาณ 100 – 200 คน แต่มันก็มีเรื่อง ไหนจะค่าสินสอด ค่าสถานที่ ไหนจะถ้าแต่งงานไปแล้วต้องย้ายมาอยู่ด้วยกัน ซึ่งมันอาจจะต้องย้ายไปอยู่ไกลกว่าที่ทำงาน หรืออาจจะทำให้เราทำงานเสริมไม่ได้ ผมค่อนข้างที่จะกังวลเรื่องเงินมาก ๆ ผมเป็นคนที่ต้องทำงานและเรียนไปด้วยตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะครอบครัวก็ไม่ได้มีฐานะเท่าไหร่ ไหนจะมีน้อง มีแม่ที่ต้องดูแลด้วย มันเลยทำให้ระหว่างทางผมมีเฉลี่ยเงินออกไปบ้าง ทำให้การเก็บเงินมันยังมีไม่มากพอ จริง ๆ แฟนผมก็รู้สถานะทางการเงินทั้งหมด เพราะเราคุยกันเรื่องสเกลงานแต่งทุกอย่างเบื้องต้นแล้ว เราคุยกันว่าช่วยกันออก ผมโอเค ไม่ได้ติดปัญหาอะไร สเกลก็ยังอยู่ในสโคปที่เข้าใจตรงกันทั้ง 2 ฝ่าย แต่ผมแค่รู้สึกว่าถ้ามันมีเวลามากกว่านี้ มันอาจจะทำให้มันดีได้มากกว่า ไหนจะค่าสินสอด แต่จริง ๆ พ่อแม่เขาก็ไม่ได้เรียกค่าสินสอดอะไร พ่อแม่เขาดีกับผม น่ารักกับผมมาก ผมเองที่รู้สึกว่าเราเป็นผู้ชาย เราควรให้เกียรติเขา ซึ่งสำหรับผมมันรู้สึกว่ามีเยอะได้มากกว่านี้ เราไม่อยากเป็นใครที่ดูแลคนอื่นไม่ได้ ทุกวันนี้ที่เราคุยกันก็ยังมีทะเลาะกันอยู่บ้างเป็นระยะ ๆ คือเขาก็เหมือนจะเข้าใจ แต่บางทีก็จะพูดประมาณว่า ทำไม จะต้องเลื่อนอะไรอีก คบกันมานานแล้ว ซึ่งผมก็เข้าใจนะคบกันมา 10 ปีมันก็อาจจะถึงเวลาแล้วแหละ ผมเลยอยากจะปรึกษาพี่ๆดีเจว่า มีวิธีพูดยังไงให้เขาอ่อนลงหรือทางไหนที่มันจะเป็นทางที่ดีที่สุด’ เริ่มที่ “ดีเจเผือก” ให้คำปรึกษาว่า ‘จริง ๆ อยาก reset สิ่งที่สองกังวลใหม่หมดเลย คือ ณ ตอนนี้เท่าที่เคยผ่านมาแล้ว เรารู้สึกว่ายิ่งเป็นครอบครัวรักกันทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเอาเงินไปลงกับงานแต่งมากมายอะไรเลย จริง ๆ แล้วหัวใจของการแต่งงานคือ จัดเพื่อให้กับคุณพ่อคุณแม่ให้กับพ่อแม่ของบ่าวสาวได้มีความสุขกับวันนั้น เป็นวันที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะเหนื่อยมากแล้วก็ เราจัดเพื่อให้เกียรติคุณพ่อคุณแม่กับผู้ใหญ่ของทั้ง 2 ฝั่ง ซึ่งเท่าที่ฟังสองมาพ่อแม่ฝั่งเขาก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรเลย สิ่งที่สองกังวลตอนเนี้ยเหมือนกับว่าครอบครัวเอย ทั้งบ่าวสาวเอย ตอนนี้มีสองกังวลอยู่คนเดียว พี่เลยไม่แน่ใจว่าเรากลัวมากกว่าที่มันจะเป็นหรือเปล่า ทุกวันนี้งานแต่งงานรูปแบบการจัดมันเปลี่ยนไปเยอะมาก คนรุ่นใหม่ที่กำลังมีแพลนที่จะแต่งงานเนี่ย มัน Compact ขึ้นเยอะมาก มันเล็กลง จำนวนแขกน้อยลง ใช้สถานที่ที่ฟุ่มเฟือยน้อยลง ทุกคนมีความคิดไปในทางเดียวกันทั้งบ่าวทั้งสาวแล้ว ส่วนมากเราประหยัดการจัดงานแต่งงานที่มันจะต้องใหญ่โตแล้วก็สุดท้ายเสียเงินไปโดยใช่เหตุเราเอาเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่า หรือแม้กระทั่งสินสอดที่จะมาวางไว้ที่ข้างหน้างานทุกวันนี้มันก็เป็นแค่ พร็อพ นึงด้วยซ้ำ สุดท้ายแล้วเงินตรงนั้นเขาก็ให้มาเป็นขวัญถุงตั้งตัวของบ่าวสาว ประเภทที่ว่าลูกสาวฉันต้องได้เงินเท่านี้เธอถึงจะเอาลูกสาวฉันไปยุคนี้ไม่ค่อยได้เห็นแล้ว เพราะฉะนั้นคำว่าไม่พร้อมของสองเท่าที่ฟังดูมันเลยเป็นความไม่พร้อมทางจิใจหรือเปล่า พี่ไม่ได้รู้สึกว่าสองจะต้องการเงินมากมายสำหรับการจัดงาน ซึ่งปลายปี 69 ก็จะมีเวลาอีก 2 ปีเต็ม ๆ การที่ 2 ปีเต็ม ๆ เราวางสเกลงานแต่งไว้ ขนาดกะทัดรัด แขกอาจจะหลัก 10 ที่มีแต่ญาติสนิทก็พอ เพื่อนเดี๋ยวไปปาร์ตี้กันทีหลัง มันสามารถจัดได้เลยโดยที่ไม่ต้องอาศัยความพร้อมมากมาย พี่เลยรู้สึกว่าคำว่าไม่พร้อมไม่พร้อมตรงไหนทางเป็นเรื่องของเงินมันจัดการได้มากมายแต่ถ้าเป็นเรื่องของจิตใจลองนอนคุยกับตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถ้าจะเอาวันที่พร้อมแต่ก็ไม่รู้ว่าวันที่พร้อมมันจะมีอยู่จริงไหม พร้อมไม่พร้อมหรือเราแค่กลัวการเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจอีกเยอะ 2 ปี คนเราเติบโตอีกตั้งเยอะมีเวลาครับ’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ที่สองบอกไม่พร้อมเท่าที่ฟังนะพี่เห็นไปใกล้เคียงกับพี่เผือกว่าเหมือนสองไม่พร้อมในสิ่งที่ฝั่งน้องผู้หญิงแฟนสองกับครอบครัวก็ไม่ได้ต้องการ กลายเป็นว่าเหมือนสองแค่ว่าจะไม่เห็นตัวเองเป็นไปตามแพลนที่มันวางไว้ แต่บางทีการไม่ได้ตามแพลนแต่มันได้อะไรมาซึ่งความสุขให้อีกแบบนึงพี่ว่ามันก็น่าลองเหมือนกันในมุมพี่นะ คือตอนนี้พี่พยายามแทนตัวเองเป็นแฟนสอง พี่ว่าคบกันมา 10 ปีแล้วถ้าเขาเคยบ่นแล้วว่าทำไมมันไม่ได้แต่งสักที พี่ว่าในมุมผู้หญิงที่เล่ามานะ มันอาจจะแค่ว่า มึงแต่งกับกูสักทีเถอะให้มันจบ ๆ ให้มันรู้ว่าเราคือสามีภรรยาถูกต้องมากฎหมายเฉย ๆ อาจจะไม่ได้ต้องการแขก 200 คนก็ได้ อาจจะแค่ครอบครัว 2 ครอบครัวกินข้าวด้วยกัน ไม่ต้องสินสอดมาวางประกาศบอกใครก็ได้ว่าเท่าไหร่ เขาแค่อยากให้มันมีงานแต่งงานเกิดขึ้น ลองคุยแล้วลดสเกลแบบแพลนที่เราว่าไว้แต่บนพื้นฐานที่ว่ามันแต่งงานได้แล้วมันก็ยังเป็นสามีภรรยากัน พี่ลองคุยกับเขาก่อนถ้าเขาแบบไม่ได้ฉันต้องมีงานใหญ่ ฉันต้องมีสินสอดอย่างงั้นพี่ว่ามันจะเป็นปัญหา แต่ว่าถ้าคุยกับเขาแล้วมันโอเคมันไม่มีปัญหาเลย บ้าน 2 บ้านกินข้าวกันมีอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ มอบให้กันแหวนเล็ก ๆ พี่ว่า 2 อาจจะไม่ต้องเครียดขนาดนี้ก็ได้’ สุดท้าย “ดีเจอ้อย” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘คืองานแต่งงานเป็นแค่อีเว้นท์ ชีวิตหลังแต่งงานสำคัญกว่านั้นมากเลย และวันนี้น้องเจอครอบครัวซึ่งเป็นครอบครัวที่น่ารักมาก ๆ ครอบครัวที่เห็นน้องมาโดยตลอดว่า น้องมีความใส่ใจซื่อสัตย์ อันนั้นก็เป็นสินสอดที่ราคาสูงมากกับการที่ผู้หญิงคนนึงอยู่ในความสัมพันธ์แบบแฟนมาตั้งเป็น 10 ปี แล้วพอเขาจะขอแค่อีกนิดเดียวเพื่อจะบอกกับทุกคนว่า ตกลงที่เห็น ๆ กันอยู่เนี่ยไม่ใช่แฟนแล้ว สามีภรรยาแล้วนะ จริง ๆ เขาก็ต้องการแค่นั้นเอง เราจะต้องไปเปรียบเทียบอะไรกับบ้านเขาพี่กลัวเหลือเกินว่า เดี๋ยวรอผมสร้างบ้านก่อนน้องไม่แคร์เหรอว่า แล้วคนในบ้านล่ะถ้าเกิดวันนึงมีแต่บ้านแล้วคนในบ้านไม่อยู่ด้วยแล้ว หนูโอเคจริงไหม น้องอย่าลืมวันนี้ความเปลี่ยนแปลงสอนเราทุกวัน วันนี้ก้าวเท้าออกนอกบ้านเราไม่รู้เลยว่า จะได้กลับเข้าบ้านกันหรือเปล่ามันมีอะไรต่าง ๆ มากมายเยอะแยะ มันไม่มีทางหรอกที่มันจะไปตามแพลนของน้องโดยตลอด แล้วถ้าน้องจะเอาตามแพลนของตัวเองคนเดียว พี่กลับรู้สึกว่าไม่ได้ ในเมื่อจะมีใครสักคนเป็นคู่ชีวิตจะเอาแต่ใจตัวเองคนเดียวได้ยังไง เป็นพี่เป็นฝ่ายหญิงก็คงจะงง เชื่อไหมว่าคนอื่นคงถามว่าทำไมยังไม่แต่ง คือถ้าจะรอสร้างบ้านก่อนพี่ว่าบ้านไม่สำคัญเท่าคนในบ้าน พี่นับถือหัวใจน้องตั้งใจว่าน้องจะเป็นผู้ชายคนนึงที่ดูแลผู้หญิงคนนึงได้แต่นอกเหนือจากทุนทรัพย์แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณสมบัติของการเป็นคนรักกัน ใส่ใจความรู้สึกเขาและอยากให้มีวันของเราหรือแม้แต่การกังวลอนาคตจนไม่มีความสุขในปัจจุบัน ถ้าชีวิตพี่อ้อยจะสามารถเป็นวิธีคิดได้พี่อ้อยกับสามีอยู่กันเป็นรักทางไกลมาในวันแรกที่แต่งงานกัน สามีบอกว่าแต่งงานได้ 2 ปีต้องมาอยู่ด้วยกันแล้วนะ ปัจจุบันแต่งไป 17 ปีแล้วยังเป็นกรุงเทพ แม่สอดอยู่เลย แต่ในที่สุดแล้วใน 17 ปีนั้น เราจะค่อย ๆ ขยับมันเองได้และก็อยู่กันแบบนี้แบบที่เรายังดูแลกันได้อย่างสม่ำเสมอ เพราะฉะนั้นวันนี้ถ้ารักกันมากพอ ชีวิตหลังแต่งงานยังสำคัญมากกว่าการแต่งงานเยอะมาก’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1