แฟนคือ “เดอะแบก” ของครอบครัว ให้ครอบครัวเขาเป็นที่หนึ่ง จนแทบมองไม่เห็นอนาคตของคู่เรา คบกันมา 10 ปี รู้สึกเหมือนยังใช้ชีวิตทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่มีภาพอนาคตของเราเลย ซื้อบ้านด้วยกันแต่เขาก็พาพี่สาว คุณแม่ มาอยู่ด้วย

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

แฟนคือ “เดอะแบก” ของครอบครัว ให้ครอบครัวเขาเป็นที่หนึ่ง จนแทบมองไม่เห็นอนาคตของคู่เรา คบกันมา 10 ปี รู้สึกเหมือนยังใช้ชีวิตทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่มีภาพอนาคตของเราเลย ซื้อบ้านด้วยกันแต่เขาก็พาพี่สาว คุณแม่ มาอยู่ด้วย

31 ม.ค. 2025

แฟนคือ “เดอะแบก” ของครอบครัว ให้ครอบครัวเขาเป็นที่หนึ่ง

จนแทบมองไม่เห็นอนาคตของคู่เรา คบกันมา 10 ปี รู้สึกเหมือนยังใช้ชีวิตทุกอย่างเหมือนเดิม

ไม่มีภาพอนาคตของเราเลย ซื้อบ้านด้วยกันแต่เขาก็พาพี่สาว คุณแม่ มาอยู่ด้วย

เวลามีปัญหาอะไรเขาก็บอกว่าพูดไม่ได้เพราะเป็นคนกลาง

            “คุณเอ็น (นามสมมติ)” อายุ 35 ปี สายที่หนึ่งในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [29 ม.ค. 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล – ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาของครอบครัวแฟนที่ส่งผลต่อชีวิตคู่

            โดย “คุณเอ็น (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูคบกับแฟนตั้งแต่อายุ 19 - 20 ปี จนตอนนี้ก็คบกันมา 10 ปีแล้ว เราสองคนไม่ได้มีฐานะที่ดีมาก เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย สร้างทุกอย่างมาด้วยกัน ในระหว่างนั้นก็มีปัญหาจากทางบ้านแฟนมาเรื่อยๆ ในหลายๆ เรื่อง ทั้งเรื่องเงินหรือเรื่องปัญหาในบ้านของเขา เรื่องของลูกๆ เขา ทางบ้านแฟนก็จะมีปัญหามาให้แฟนแก้ตลอด ส่วนแฟนก็ใจดี แก้ให้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน ภาระทุกอย่าง แฟนหนูเป็นเดอะแบกตลอด ด้วยความที่เราลำบากมาด้วยกัน หนูก็เห็นภาพทุกอย่างทั้งหมด หนูก็เข้าใจเขา เพราะเมื่อก่อนเราก็เสียดายเวลา เลยไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องพวกนี้

            แต่หลังๆ ก็จะมีเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้าน เพราะตอนนี้เราทั้งคู่ซื้อบ้านอยู่ด้วยกัน แต่บ้านเป็นชื่อแฟน และในบ้านก็ไม่ได้มีแค่หนูกับแฟน 2 คน แต่ที่อยู่ด้วยกันจะมีครอบครัวแฟนทั้งหมดเลย 5 คน มีแม่แฟน มีพี่-น้องแฟนอีก 2 คน พออยู่ด้วยกันหลายๆ คน ปัญหามันก็จะเกิดขึ้นทุกวัน แต่ในส่วนของหนู หนูก็รับผิดชอบตัวเองได้ค่อนข้างเยอะ ก็มีช่วยแฟนบ้าง แต่ก็ไม่ได้ช่วย 100% จะช่วยแค่ค่าใช้จ่ายในบ้านที่หนูช่วยได้ แต่เรื่องในบ้าน เรื่องการรับผิดชอบก็จะเป็นหน้าที่แฟนทั้งหมด แม่เขาไม่ได้ทำงาน พี่สาวเขาอายุ 42 ปีก็ไม่ได้ทำงาน และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาพี่สาวแฟนไม่เคยทำงานเป็นกิจจะลักษณะเลย อยู่บ้านอย่างเดียว ไปทำงานที่ไหนก็โดนไล่ออกตลอด ก่อนหน้านี้พี่สาวเขาก็มีครอบครัว แต่ก็เลิกกันมาหลายปีแล้ว และกลับมาอยู่บ้าน คนที่อยู่บ้านอีกคนคือน้องที่ไปๆ มาๆ แต่ที่อยู่บ้านหลักๆ ก็มีแม่ พี่สาว แฟนและก็หนู แต่ก็ยังเป็นคำถามของหนูอยู่ ว่าเขาอยู่ได้ยังไง? ซึ่งแม่เขาก็ปกป้องเขาในระดับหนึ่ง

            ทุกวันนี้เวลาหนูคุยเรื่องอนาคต ด้วยความที่หนูกับแฟนหาเงินกันมาเอง เรื่องค่าใช้จ่ายในครอบครัว หนูเลยไม่ได้ซีเรียสว่าจะต้องแต่งงาน หนูก็ไม่ได้คิดเรื่องแต่งงานเลย จนเงินหมดไปกับทางบ้านแฟนเยอะมาก หนูเลยคิดได้ว่ามีเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่หนูรู้สึกว่าหนูไม่ไหวแล้ว เมื่อก่อนหนูยอมทางบ้านแฟนค่อนข้างเยอะ แต่พอหลังๆ หนูไม่ค่อยฟังเขา เพราะด้วยหน้าที่การงาน วุฒิภาวะ ทำให้หนูเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเองค่อนข้างเยอะ เลยทำให้มีปากเสียงกับที่บ้านเขาเหมือนกัน แล้วเราอยู่ในบ้านเขาด้วย หนูก็เริ่มรู้สึกไม่ไหว ไม่รู้จะไปต่อหรือยังไงดี เพราะตลอดระยะเวลาที่คบกัน แฟนหนูเขาไม่เคยมีเรื่องผู้หญิงหรืออะไรเลย เขาไม่เคยทำอะไรที่ผิดพลาดกับหนูเลย ติดแค่เรื่องครอบครัวเขาอย่างเดียว

            ช่วงปลายปีที่ผ่านมาก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จนหนูคิดว่าจะเอาตัวเองออกมาจากบ้านนั้น อยากจะแยกอยู่แบบสงบๆ แต่หนูยังไม่ได้พูดถึงขั้นจะเลิกกับแฟน แค่จะย้ายออกมาเช่าคอนโดอยู่ เพราะเวลาที่กลับมาบ้านบรรยากาศมันไม่น่าอยู่ แต่แฟนหนูเขาก็ไม่ยอม และบอกว่า ถ้าออกจากบ้านไปก็คือต้องเลิกกับเขา แต่หนูก็ไม่ได้อยากเลิกกับแฟน แค่อยากให้เขาได้ดูแลครอบครัวเขา ซึ่งตอนนี้ที่มีปัญหากัน ต่างคนก็ต่างอยู่ ไม่ค่อยคุยกันแยกห้องกันไปเลย ส่วนใหญ่หนูจะมีปัญหากับแม่และพี่สาวแฟนมากกว่า เขามองว่าหนูเป็นคนขี้เกียจ เพราะเมื่อก่อนหนูเคยรีดผ้าของทุกคนในบ้าน พอวันหนึ่งไม่ทำ เขาก็บอกว่าหนูขี้เกียจ หนูก็มองว่ามันเป็นน้ำใจ หนูช่วยเพราะเผื่อบางคนไม่ว่าง หนูก็รีดให้ได้ แต่พอครั้งต่อไปมันกลายเป็นว่า ทำไมหนูไม่ทำละ? และก็มีเรื่องเงิน เขาคิดว่าแฟนหนูให้เงินหนูอยู่คนเดียว ไม่ให้ที่บ้านเขาด้วย ซึ่งหนูไม่เคยเอ่ยปากขอแฟนเลย หนูหาเองได้ บางเดือนหนูหาได้มากกว่าแฟนหนูด้วยซ้ำ แต่หนูกับแฟนเหมือนโตมาด้วยกัน เขาไม่มีเงิน หนูก็ให้ พอหนูไม่มี เขาก็ให้ ซึ่งเรื่องพวกนี้หนูไม่เคยไปเล่าให้พวกเขาฟังอยู่แล้ว เขาเลยมองว่าลูกเขาหลงหนูให้แต่หนูคนเดียว ไม่ให้พวกเขาเลย ทั้งๆ บ้านที่เขาอยู่ แฟนหนูก็เป็นคนผ่อน ค่าน้ำ ค่าไฟ แฟนหนูเป็นคนจ่ายหมด ซึ่งแม่และพี่สาวเขาจะออกแค่ค่ากินของเขา เพราะแม่เขาได้เงินส่วนนี้มาจากการรับซ่อมผ้าเล็กๆ น้อยๆ

            หนูกับแฟนเคยคุยกันเรื่องนี้ เขาก็บอกว่าเขาเป็นคนกลาง แต่หนูก็เคยชวนแฟนออกมาอยู่ข้างนอกกันสองคน เขาก็ไม่สะดวก ไม่กล้าปล่อยคนที่บ้านไว้ สถานะตอนนี้ของหนูกับแฟน คือไม่ได้แต่งงานกัน ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ไม่มีลูก อยู่กันมา 10 กว่าปีแล้ว บางช่วงจังหวะของชีวิตหนูจะทำอะไร หนูก็ไม่เห็นภาพในอนาคตว่าหนูจะทำต่อไปได้ยังไง หนูไม่รู้ว่าควรไปต่อหรือพอแค่นี้ ในใจหนูก็สงสารเขาเพราะเขาก็ไม่ได้ผิดอะไร หนูอยากถามพี่ๆ ดีเจว่า หนูควรไปต่อหรือพอแค่นี้ ถ้าหนูเดินออกมา หนูจะเห็นแก่ตัวไหม?

            เริ่มที่ “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘พี่คิดว่าหนูไม่ได้เห็นแก่ตัว หนูแค่รักตัวเอง ไม่อยากเห็นตัวเองเป็นแบบนี้อีกแล้ว แล้วหนูก็มีช้อยส์ให้เขาเลือกแล้ว แต่เขาดันยื่นคำขาดว่าถ้าย้ายออกเท่ากับเลิก สำหรับพี่ถ้าเขาเป็นคนกลางจริงๆ เขาก็ต้องเห็นว่าทั้งสองฝ่ายจะมีความสุขได้ยังไง การที่เขาเป็นคนกลางถ้าเขาไม่พยายามทำให้เรารู้สึกโอเคขึ้น เขาก็ต้องมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งจากที่ฟังเขาก็ไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของเราขนาดนั้น และเขาก็ต้องเจอกับผู้หญิงที่รับที่บ้านเขาได้’

            ต่อมา “ดีเจเผือก” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ปัญหาที่น้องกำลังเจอมีโอกาสสูงมากที่จะเป็นปัญหาเรื้อรังระยะยาว การที่เอาคนในครอบครัวมาอยู่ในบ้าน ร่วมกันเป็นบ้านใหญ่ มันจะปรับเปลี่ยนอะไรยากมาก ถ้าวันหนึ่งคุณแม่แฟนไม่อยู่แล้ว ก็มีโอกาสที่เราจะต้องดูแลพี่สาวเขาด้วยหรือเปล่า ถ้ามองในมุมของเขาก็คงคิดว่าถ้าแฟนแยกไปอยู่ข้างนอกความสัมพันธ์ที่คบกันมา 10 กว่าปี ความสัมพันธ์จะถอยหลังหรือเปล่า ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นเขาอาจจะเลือกดูแลเรา แต่ผู้ชายคนนี้เขาก็เลือกครอบครับเขา ซึ่งก็ไม่ผิด และมันก็เป็นสิทธิของเราที่จะต้องเลือกดูแลตัวเอง รักตัวเอง และก็สงสารตัวเอง

            และสุดท้าย “ดีเจต้นหอม” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘สำหรับพี่ ไม่ได้เรียกว่าเห็นแก่ตัว เพราะมันไม่มีความจำเป็นที่ต้องเห็นแก่ครอบครัวใคร ครอบครัวเขายังไม่ช่วยกันเองเลย เรื่องอะไรจะต้องมาเป็นภาระเรา ยกเว้นถ้าน้องรับได้ว่าต้องรับภาระนี้ไปตลอดชีวิตก็อยู่กับคนๆ นี้ แต่ถ้ารู้สึกว่าไม่ไหวก็ออกมาเลย เสียเวลา

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

แต่งงานกับสามีมา 16 ปี สามีด่าเราด้วยคำหยาบ เสียๆหายๆ ด่าถึงพ่อแม่เรา เราเก็บกวาดบ้านแล้ว มีข้าวตก 1 เม็ดบนพื้น เขาพูดเสมอว่าไม่น่ามาคบกับคนอย่างเราเลย ที่สำคัญสิ่งที่เขาด่า เขาด่าต่อหน้าลูกทั้ง 2 คนด้วย ตอนนี้เรายังต้องเข้าบ้านเขาไปส่งลูกเข้านอนทุกคืน

25 ก.ค. 2025

แต่งงานกับสามีมา 16 ปี สามีด่าเราด้วยคำหยาบ เสียๆหายๆ ด่าถึงพ่อแม่เรา เราเก็บกวาดบ้านแล้ว มีข้าวตก 1 เม็ดบนพื้น เขาพูดเสมอว่าไม่น่ามาคบกับคนอย่างเราเลย ที่สำคัญสิ่งที่เขาด่า เขาด่าต่อหน้าลูกทั้ง 2 คนด้วย ตอนนี้เรายังต้องเข้าบ้านเขาไปส่งลูกเข้านอนทุกคืน

แต่งงานกับสามีมา 16 ปี สามีด่าเราด้วยคำหยาบ เสียๆหายๆ ด่าถึงพ่อแม่เรา เราเก็บกวาดบ้านแล้วมีข้าวตก 1 เม็ดบนพื้น เขาพูดเสมอว่าไม่น่ามาคบกับคนอย่างเราเลย ที่สำคัญสิ่งที่เขาด่าเขาด่าต่อหน้าลูกทั้ง 2 คนด้วย ตอนนี้เรายังต้องเข้าบ้านเขาไปส่งลูกเข้านอนทุกคืน พอเช้ามาเราก็กลับบ้านเราลูกยังไม่รู้ว่าเราหย่ากันแล้ว สามีจะโกหกลูกว่าแม่ออกไปทำงานตอนกลางวัน เลิกงานก็มาส่งลูกเข้านอนตามปกติเราควรจะทนต่อไปยังไง ในสถานการณ์ที่กำลังเจออยู่ตอนนี้ “คุณดาว (นามสมมติ)” อายุ 41 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [23 ก.ค 68] ได้โทรเข้ามาปรึกษา "ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม" เกี่ยวกับปัญหาสามีชอบด่าเราด้วยคำพูดรุนแรงต่อหน้าลูก โดย “คุณดาว (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘เราแต่งงานมา 16 ปีแล้ว ตลอดเวลาที่คบกัน 13 ปีเขาอยู่บ้านเรา แต่เขาทะเลาะกับแม่เราตลอด จน 3 ปีหลังเราย้ายไปอยู่บ้านเขา เราก็โดนเขาไล่ออกจากบ้านถึง 7 ครั้ง และยังโดนสามีด่าด้วยคำหยาบคายมาโดยตลอด ด่าถึงพ่อถึงแม่ด้วย แทบจะทุก ๆ สามชั่วโมง ซึ่งสาเหตุที่สามีมักจะด่า มักจะมาจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดในบ้าน เช่น เราเช็ดพื้นแล้วมีข้าวตกอยู่ 1 เม็ด เขาก็จะด่า หรือถ้าเราตียุงในห้องนอนแล้วมันมียุงเหลืออยู่ 1 ตัว เราก็จะโดนด่าอีก ด่าเป็นคำหยาบแบบสัตว์ทุกชนิด ด่าว่าเรารั้นเหมือนแม่ ชั่วเหมือนพ่อ มันจะเป็นเรื่องภายในบ้านที่เป็นกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ หรืออย่างเช่น เขากำลังยืนอยู่แล้วเราเป็นคนเช็ดพื้น เขาจะเป็นคนมองเห็นคราบมัน แต่ตัวเราเองจะไม่เห็นเพราะว่ามันอยู่ข้างล่าง อย่างนี้เราก็จะโดน ซึ่งเรามีลูกด้วยกัน 2 คน คนหนึ่งเป็นผู้หญิงอยู่ ป.4 อีกคนผู้ชายอยู่ ป.3 เขามักจะด่าเราต่อหน้าลูกเลย และลูกก็เห็นเหตุการณ์มาตลอด ตอนนี้เรากับเขาเลิกและหย่ากันแล้วเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เพราะเขาเคยพูดมาหนึ่งประโยคว่า “ชีวิตกู ไม่น่ามาเจอคนอย่างมึง” เขาพูดบ่อยมาก ๆ เราจึงคืนชีวิตให้เขาโดยการไปหย่าและโพสต์แจ้งทุกคนรอบตัวว่าเขาโสดแล้ว ถ้าเขาจะคบกับใครก็คบได้เลย แต่เขาก็บอกเราอีกว่าเราเห็นแก่ตัวที่ทิ้งลูกไป ตอนหย่าศาลก็ตัดสินว่าลูกสาวจะอยู่กับเรา ส่วนลูกชายจะอยู่กับเขา เราเคยทำแบบนี้แล้ว แต่เราไม่อยากจะแยกพี่แยกน้อง ตอนนั้นคือทำมาทุกวิถีทางแล้ว เขาเคยพูดกับเราว่า “พี่น้องไม่ควรต้องแยกกัน” พอย้ายบ้านครั้งที่สอง เราก็พาทั้งลูกสาวลูกชายมาอยู่กับเรา แต่เขาก็มายืนเกาะประตูอยู่ที่หน้าบ้านมาขอว่า“ขอมาอยู่กับลูกหน่อย คิดถึง” แต่ปัญหามันดันมาอยู่ตรงที่เขาไม่ได้อยากให้ลูกมาอยู่กับเรา เพราะเขาบอกว่าบริเวณบ้านเรามันมีคนติดยา เขากลัวสิ่งแวดล้อมจะไม่ดี ซึ่งตอนนี้ยังคงต้องเจอกับเขาเพื่อที่เราจะต้องไปกล่อมลูกนอนทุก ๆ วัน เพราะลูกจะนอนไม่หลับ ถ้าเราไม่ได้กล่อม บ้านเรากับบ้านเขาไม่ได้ห่างกันมาก แต่ตอนนี้หลังจากที่เลิกกัน เขาก็พยายามที่จะปรับปรุงตัวเอง ไม่พูดคำหยาบ แต่ว่าเนื้อหาที่เขาพูดกับเรามันยังคงเป็นการเหยียดและดูถูกเราอยู่เหมือนเดิม เขาพูดมาประมาณว่า “สมองเธอคิดได้แค่นี้หรอ” เรื่องความรู้สึกพอกลับมาอยู่บ้านตัวเองมันก็รู้สึกดี แต่เมื่อพอต้องไปเจอกับเขามันจะเป็นอารมณ์ประมาณว่า ห้ามใจนะ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรต้องห้ามใจ แต่บางทีมันห้ามไม่ได้ มันโมโห เหมือนกับความต้องการของเขามันมากเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างเช่น ถ้าเราไปกล่อมลูกนอนหลับและเรากลับมาอยู่บ้านเรา เขาก็จะบอกกลับมาว่าเราไม่มีสัญชาตญาณความเป็นแม่ แทนที่จะไปนอนกล่อมลูกให้อยู่ทั้งคืน เวลาเราโดนว่าเสร็จ เราจะหนีกลับบ้านเลย แล้วเราทำแบบนี้ไปหลายรอบ มันทำให้เราไม่ได้เจอหน้าลูก จึงจำใจต้องทนฟังเขาพูด เพราะเราไม่อยากจะตอบโต้ มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ คือจริง ๆ เราเคยสวนกลับเขาไปครั้งนึง แล้วมันกลายเป็นอารมณ์บ้านระเบิด ถึงขั้นทำลายข้าวของแต่เขาไม่เคยลงไม้ลงมือกับเรานะ แต่ครั้งนี้มันทำให้ลูกไปนั่งสั่นอยู่มุมห้อง เราเคยตกลงกันตอนที่แยกบ้านกันแล้ว ให้ผู้ใหญ่มารับฟังแล้วว่าศุกร์กับเสาร์ลูกจะมาอยู่กับเรา แต่สุดท้ายแล้วเขาก็บอกว่า ไม่อยากให้ลูกเร่ร่อน ไปนอนบ้านนี้ที บ้านนั้นที ปัญหาของเราวันนี้ที่อยากจะปรึกษาดีเจทั้งสามคนคือ เราจะทำใจอย่างไรให้สงบ? ในสถานการณ์ที่มีคนมาต่อว่าเราต่อหน้า ซึ่งเราไม่สามารถที่จะตอบโต้หรือหนีออกจากสถานที่นั้น ๆ ได้เลย เพราะเราไม่อยากให้มันเกิดสงครามกันภายในบ้าน เพราะถ้าเราเถียงไป ความรุนแรงมันจะทวีคูณขึ้น’ โดยดีเจทั้งสามคน (ดีเจต้นหอม – ดีเจเติ้ล – ดีเจเผือก) ได้ให้คำปรึกษาไปในทางเดียวกันว่า ‘อย่าไปเอาผิดเอาถูกกับสิ่งที่เขาพูด มันไม่ใช่ตรรกะอยู่แล้ว ตอนนี้จากที่ฟังมา เขาเอาทุกอย่างเลย เจรจาไม่ได้เลย เขาไม่ได้มีอะไรให้คุณดาวเป็นทางเลือกเลย เอาทุกอย่างไม่พอ ยังเอาทุกอย่างไปอีกด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นผัวเมียกันแล้ว จริง ๆ เหมือนตอบได้ง่ายว่าก็ให้คิดถึงลูก แต่ไม่อยากตอบไปแบบนี้เพราะเป็นห่วงความรู้สึกของคุณดาว แต่ถ้าให้ตอบจริง ๆ จะตอบว่าไม่ได้ เพราะมันไม่มีใครทนได้หรอก คนที่โดนขนาดนี้มันไม่สามารถทนไปได้ตลอดแน่นอน ความอดทนของคนเรามันมีจำกัด ถามว่าจะทนอย่างไร คือมันพูดง่าย แต่เวลาทำจริง ๆ แล้วมันโดนด่าทุก ๆ สามชั่วโมง มันคงจะดีแหละที่ลูกจะได้ไม่แตกหักกัน แต่ก็ไม่เห็นว่ามันจะดีกับลูกจริง ๆ เลย ถ้าแม่ไปแล้วพ่อด่าต่อหน้าลูกอยู่ทุกครั้ง ชีวิตตอนนี้จะไม่มีอะไรดี ถ้ายังจะยอมเป็นแบบนี้อยู่ เราต้องลุกขึ้นมาแก้ปัญหา ไม่ใช่ว่าจะทำใจอย่างไร เพราะมันทำไม่ได้ มันไม่มีอะไรที่คุณดาวขอแล้วจะได้ไปเลย เพราะถ้าบอกว่า “อ่ะ เดี๋ยวฉันไปกล่อมลูกให้เธอก็ได้ แต่เธอต้องพูดจาดี ๆ กับฉัน ไม่งั้นจะไม่มาอีก” มันก็ไม่ได้อยู่ดี ที่คุณดาวเคยหนีกลับบ้านไปนั่นถูกต้องแล้ว ถ้าจะให้แนะนำคือถ้าเขาด่าปุ๊บ กลับเลย แต่คุณดาวก็ดันรู้สึกว่าไม่ได้เจอลูกอีก แต่วิธีมันไม่มีอะไรมากไปกว่านี้แล้ว ส่วนเรื่องที่กฎหมายบอกว่าให้ผู้หญิงอยู่กับแม่ ผู้ชายอยู่กับพ่อ ถ้าเขาบอกกับเราว่าไม่อยากให้พี่น้องแยกกัน งั้นก็มีอีกทางเลือกคือ เสาร์อาทิตย์มาอยู่นี่ ที่เหลืออยู่นู้น มีแค่นี้เลย ถ้ากฎหมายเซ็นต์ไว้ก็ต้องยืนหยัดใบนั้นว่าฉันจะเอาตามกฎ ถ้าไม่ได้ ไม่ลงตัวก็ต้องให้ตำรวจหรือทนายมาช่วย คุณดาวต้องทำให้เขาเห็นว่าตัวเองไม่ยอมและเอาจริงกับเรื่องนี้ เพราะที่ผ่านมาพอเขาแข็งใส่เรา คุณดาวก็ยอมหมด’ โดย “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาเพิ่มเติมว่า ‘ไม่งั้นให้เราไปเอาลูกมา แล้วถ้าเขาบอกว่าสภาพแวดล้อมบ้านเราไม่ดี ก็ให้เราตอบไปเลยว่า “สภาพแวดล้อมบ้านกูมันยังน่ากลัวน้อยกว่าที่มึงอยู่บ้านนั้นอีก” เพราะถ้าเขาแค่มาเกาะประตูรั้วหน้าบ้านแล้วพูดว่า กลับมาเถอะ คิดถึงลูก ก็ให้ตอบว่าไม่ จนกว่าเขาจะปรับปรุงตัว เพราะถ้าเขาปรับตัวแล้ว คุณดาวจะไม่มาปรึกษาพวกพี่แล้ว คุณดาวต้องไม่ปล่อยให้คนเฮงซวยมาทำให้ชีวิตคุณดาวไม่ดี เราไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ถ้าคุณดาวไม่สู้ไม่งัดมันก็ต้องเป็นเช่นนี้ไปตลอด ต้องเป็นเหมือนเดิมคือนึกถึงลูก ก้มหน้าก้มตาฟัง หากรู้สึกว่าทำคนเดียวไม่ไหวหรือเข้มแข็งไม่พอ ให้ลองไปปรึกษาเพื่อน คนรู้จักหรือครอบครัวให้เขามาช่วยเรา ไม่งั้นปัญหานี้มันจะไม่ถูกแก้ไข อย่าเคยชินอะไรแบบเดิม ๆ ไม่งั้นมันก็จะได้แต่อะไรเดิม ๆ กลับมา ต้องเข้มแข็งนะ’ ต่อมา “ดีเจต้นหอม” ได้ให้คำปรึกษาเพิ่มเติมอีกว่า ‘ผู้หญิงอยู่กับเรา ผู้ชายอยู่กับเขา ถ้าพ่อเขาบอกว่าอยากให้พี่น้องอยู่ด้วยกัน เสาร์อาทิตย์เด็กผู้ชายจะได้มานอนบ้านเรา ฉะนั้นน้องชายจะได้มาเจอพี่สาวได้แค่วันเสาร์อาทิตย์ คือเราจะไม่ให้ลูกเราไปบ้านนู้นแล้ว เราต้องบอกให้เขาทำความเข้าใจว่าเราจะมาทางนี้ ถ้าคุณไม่อยากให้ลูกชายมาที่นี่ โอเคคุณก็ดูแลลูกชายไปทั้ง 7 วัน แต่ลูกสาวจะต้องอยู่ที่นี่ แล้วไม่ว่าเขาจะให้เหตุผลอะไร ไม่อยากจะนู้นนี่ ก็ให้เป็นเรื่องของเขา คุณดาวแค่ตอบไปว่า “ไม่” ตามที่ตกลงกันไว้ ที่สำคัญคือลูกสามารถรู้ได้ว่าพ่อกับแม่เลิกกัน มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ใช้วิธีการบอกลูกว่า “ตอนนี้เรามีสถานการณ์นึงที่ลูกอาจจะต้องปรับตัว คือพ่อกับแม่แยกกันอยู่และลูกจะอยู่กับแม่ ส่วนน้องจะอยู่กับพ่อ” บอกให้เขาได้รับรู้ เด็กฉลาดกว่าที่เราคิด และก็ทำบุญเยอะ ๆ สวดมนต์ให้คนนั้นขิตเร็ว ๆ เราจะได้ลูกทั้งสองคน เพราะจริง ๆ ลูกไม่ควรต้องอยู่กับคนเฮงซวยแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ สงสารลูก’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

อยากผ่านช่วงเวลาอ่อนแอและเสียใจนี้ไปไวๆ ทุกคนมีวิธีการ หรือ วิธีคิดยังไงในการฮีลตัวเองคะ ? หนูเลี้ยงน้องหมา โตมาด้วยกัน อยู่ด้วยกันมา 15 ปี เค้าเหมือนสมาชิกคนนึงในครอบครัวเลย

02 ก.พ. 2024

อยากผ่านช่วงเวลาอ่อนแอและเสียใจนี้ไปไวๆ ทุกคนมีวิธีการ หรือ วิธีคิดยังไงในการฮีลตัวเองคะ ? หนูเลี้ยงน้องหมา โตมาด้วยกัน อยู่ด้วยกันมา 15 ปี เค้าเหมือนสมาชิกคนนึงในครอบครัวเลย

อยากผ่านช่วงเวลาอ่อนแอและเสียใจนี้ไปไวๆ ทุกคนมีวิธีการ หรือ วิธีคิดยังไงในการฮีลตัวเองคะ ?หนูเลี้ยงน้องหมา โตมาด้วยกัน อยู่ด้วยกันมา 15 ปี เค้าเหมือนสมาชิกคนนึงในครอบครัวเลยแต่อาทิตย์ก่อนน้องเพิ่งจากไปด้วยอุบัติเหตุที่มาจากความประมาทของคนอื่น เสียใจที่สุดเลยค่ะ “คุณบี (นามสมมุติ)” อายุ 26 ปี สายที่ 2 ในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [31 ม.ค. 67] ได้โทรมาขอกำลังใจ ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับน้องหมาที่เพิ่งเสียชีวิตไป โดย “คุณบี (นามสมมุติ)” เริ่มเล่าว่า ‘หนูเพิ่งสูญเสียน้องหมาที่อยู่ด้วยกันมา 15 ปีจากอุบัติเหตุ น้องหมาอยู่กับหนูมาตั้งแต่เด็ก เพิ่งผ่านมาอาทิตย์นึงเอง ครั้งนี้เหมือนหนูสูญเสียคนสำคัญของหนูครั้งแรกในชีวิตเลย หนูอยากจะขอกำลังใจจากพี่ทั้ง 3 คน นอกจากกำลังใจที่หนูอยากได้ ความเสียใจมันมีอยู่แล้วเพราะด้วยความที่น้องอยู่กับหนูมานาน น้องจากไปด้วยอุบัติเหตุ เลยทำให้อีกความรู้สึกนึงที่มันเกิดขึ้นในใจหนูคือ ความโกรธ ความโมโห คนที่มันทำ มันทำให้หนูย้ำคิดย้ำทำ ปล่อยว่างไม่ได้ ว่าเราจะโกรธเขาตลอดเวลาเลย’ ซึ่ง “ดีเจต้นหอม” ก็ได้ให้กำลังใจว่า ‘การจากไปด้วยอุบัติเหตุ เป็นอะไรที่สถานการณ์ยากลำบากที่สุด เพราะว่าเราไม่มีเวลาเตรียมตัว ให้นึกถึงว่า ไม่ช้าก็เร็ว เราทุกคนก็ต้องจากกัน จะจากเป็นหรือจากตายมันเป็นเรื่องธรรมชาติ ถึงเวลานั้นเราต้องเข้มแข็ง เวลาของความเสียใจมันใช้เวลา ยิ่งผูกพันมาก ๆ พี่ก็ใช้เวลาเป็นปี เป็นเรื่องที่ทำใจค่อนข้างยาก ให้เวลาเยียวยา จะไม่บอกว่าอย่าเสียใจนะ ยังไงมันก็เสียใจอยู่แล้ว ถือว่าที่โทรมาในพุธทอล์ควันนี้ พวกพี่กำลังกอดอยู่แล้วกัน เป็นกำลังใจให้นะ’ ต่อมา “ดีเจเติ้ล” ก็ได้ให้กำลังใจว่า ‘พี่อยากบอกน้องบีว่า น่าอิจฉามากเลย หนูเหมือนมีพี่ชายที่รักหนูมากแล้วอยู่กับหนูมา 15 ปี บางคนเขาอาจจะไม่เคยเจออะไรแบบนี้ในชีวิตเลยก็ได้ เขาแค่นำไปอยู่ดาวหมาก่อน เดี๋ยววันนึงมันก็เป็นคิวของพวกเราเอง แล้ววันนั้นเราก็จะไปเจอกับเขาบนดาวดวงนั้น แต่ว่าถ้าคิดถึง พี่ว่ามองอะไรที่นึกถึงแล้วทำให้ยิ้ม นึกถึงภาพที่อยู่กับเขา โตมากับเขาหรืออื่น ๆ ให้มีความสุขแล้วก็คิดว่าสักวันหนึ่งเราก็จะไปเจอกับเขาบนนั้น เป็นกำลังใจให้นะ... สำหรับพี่ ทุกอย่างมันมีเหตุผลของมันหมด มันเหมือนถูกวางไว้แล้ว เหมือนว่าการที่เราต้องซวยเจอเรื่องแบบนี้ เพราะว่าถ้าคนนี้ไม่มาจังหวะนี้ มันก็จะไม่มาชนน้องหมาของเรา แต่พี่รู้สึกว่าทุกอย่างเหมือนเราเลี่ยงไม่ได้เลย โดยเฉพาะมันเป็นอุบัติเหตุ เราไม่ใช่คนบนฟ้าที่มองลงมาแล้วเห็นว่า ถ้าเราไม่ออกไปตอนนี้ เราจะเจอใครอะไรแบบนี้ มันเป็นอุบัติเหตุตามชื่อของมัน เราไม่สามารถควบคุมมันได้ พี่ว่าต้องยอมรับแล้วก็เข้าใจมัน การที่เราไปผูกใจเจ็บ มันจะทำให้ตัวเราเองนั่นแหละจะเจ็บไปต่อเรื่อย ๆ และก็ไม่รู้ว่ามันจะจบเมื่อไหร่ ถ้าพี่ตอบเร็ว ๆ แบบนี้นะ น้องหมาเขาเสียไปแล้ว เสียเพราะคนใจร้าย แต่สุดท้ายเขาโชคดีมาก ๆ ที่ได้เจอคุณ ก่อนที่เขาจะจากไป การผูกใจเจ็บมันทำให้หนูไม่มีความสุข และถ้าน้องหมาเขามองลงมา เขาเห็นบีไม่มีความสุขเขาก็ไม่มีความสุข เพราะตอนนี้เขาอยู่กับหนูไม่ได้อีกแล้ว นึกถึงแต่เรื่องดี ๆ ไว้ดีกว่า สำหรับพี่นะ’ สุดท้าย “ดีเจเผือก” ก็ได้ให้กำลังใจว่า ‘ยอมรับก่อนว่าพี่ไม่เคยมีสัตว์เลี้ยงแบบอยู่ด้วยกันยาว ๆ แต่ 15 ปี ที่อยู่ด้วยกันพี่ว่าก็คงไม่ต่างอะไรกับเราเสียคนในครอบครัวคนนึงไป สิ่งนึงที่พี่คุยกับลูกชายของพี่ 4 ขวบ เมื่อมีการศูนย์เสียเกิดขึ้นคือ เขาจะย้ายไปอยู่ในสมองของเรานะ คนที่จากไปเราจะเจอกับเขาได้แค่เราหลับตา เขาจะมาอยู่ในสมองของเรา จดจำเขาไว้ในความทรงจำของเรา อย่าลืมเขาแค่นั้น เขาจะอยู่กับเราไปตลอด พี่รู้สึกว่า คนเรามันมีอายุไข ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้วันนึงเราก็ต้องจากกัน พอวันนี้มันเกิดเหตุนี้ขึ้นมา มันกะทันหัน มันทำใจยาก มันทำให้บีเกิดความโกรธ ซึ่งถ้าเป็นพี่ก็คงโกรธมาก ๆ แต่มันเป็นเรื่องปกติที่เราโกรธ ถ้ามันเกิดขึ้นกับคนที่เรารัก ความประมาทจากบุคคลที่ 3 มันยิ่งทำให้เราโกรธ แต่หลังจากความโกรธนั้นสิ่งที่จะทำร้ายจริง ๆ คือทำร้ายเรา น้องไปแล้วคนที่เขาทำเขาอาจจะแคร์หรือไม่แคร์ก็ไม่รู้ แต่คนที่ยังรับความโกรธ ความโมโหอยู่ข้างใน คนที่โดนทำร้ายแน่ๆ คือเรา สุขภาพจิตเสีย พอเราอยู่กับความเครียด ความโกรธ ความเศร้ามาก ๆ เคมีในสมองก็จะหลั่งออกมาอีกแบบนึง สุดท้ายแล้วมันจะกระทบกับร่างกายเรา คนที่รับผลกระทบคือเรา เพราะฉะนั้นไม่มีประโยชน์ที่จะไปจมกับความโกรธ พี่ก็เลยเลือกที่จะให้อภัย ถ้าวันนั้นคนนั้นเลือกที่จะหยุดเวลาสั้น ๆ ได้ก็คงไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น สุดท้ายมันก็กลับมาที่ประโยคที่ว่าต้องใช้เวลา จนกว่าเราจะเห็นด้วยกับประโยคนี้ได้จริง ๆ ว่า เขาคงไม่อยากให้เกิดขึ้นหรอก’ พี่ ๆ ดีเจทั้ง3 คนเพิ่มเติมว่า ‘15 ปี คิดถึงช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกันมา 15 ปี บีคิดว่า 15 ปี มันต้องใช้เวลาทำใจเท่าไหร่ อาจจะต้องให้เวลามันหน่อย ช่วงนี้ก็เศร้าได้แค่เรารู้ตัวว่าก็เศร้า ไม่เป็นไรหรอกให้เวลา ให้ร่างกาย ให้ชีวิตเราเจอกับความเศร้า ในมุมของผู้ใหญ่ที่อายุ 40 กว่า คิดว่า อันนี้ก็ฝึกบีนะ เพราะเดี๋ยวบีก็ต้องเจอการศูนย์เสียอีกเต็มไปหมด อันนี้เหมือนเป็นเคสนึง ว่าบีจะผ่านไปได้เท่าไหร่ ต้องยอมรับว่า ไม่มีใครรู้เลยว่าจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ จะช้าจะเร็วเดี๋ยวมันต้องมาแน่ ๆ บีต้องเจอพวกพี่ทุกคนก็ต้องเจอหมด แต่เราจะอยู่อย่างไรให้มีชีวิตอยู่ต่อได้จากการศูนย์เสียคนที่รักไป ให้เวลาเยียวยา’ ก่อนวางสายไป “คุณบี(นามสมมุติ)” ขอฝากถึงแฟนๆ รายการ พุธทอล์ค พุธโทร ว่า ‘บางคนอาจจะบอกว่า แค่หมาตัวนึง ทำไมจะต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่หนูอยากบอกว่า ทุกชีวิตมันมีค่าเท่ากัน แค่หมาตัวนึงของคุณแต่ว่าเขาคือโลกทั้งใบหรือคนในครอบครัวของเราเลย หนูอยากให้ทุกคนเลิกมองว่าชีวิตคนกับชีวิตสัตว์มันมีค่าไม่เท่ากันสักที’ สุดท้ายนี้พี่ ๆ ดีเจทั้ง 3 คน ให้กำลังใจกอด “คุณบี(นามสมมุติ)” แน่น ๆ น้าาาเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางhttps://www.youtube.com/watch?v=SZ-XdtFvSHUt=646sใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

โยนเงินให้ 5000 ! แล้วเขาก็ทิ้งหนูกับลูกในท้องไปเลย สาวอายุ 19 ปี โทรปรึกษาสามดีเจในรายการ... คบกับแฟนมา 4 ปี ตอนนี้กำลังท้องได้ 6 เดือนแล้ว แต่จับได้ว่าแฟนนอกใจ หนูอยากกลับมาใช้ชีวิตปกติ แบบมีความสุข อยากจะมูฟออนต้องทำยังไง?

21 ก.ค. 2023

โยนเงินให้ 5000 ! แล้วเขาก็ทิ้งหนูกับลูกในท้องไปเลย สาวอายุ 19 ปี โทรปรึกษาสามดีเจในรายการ... คบกับแฟนมา 4 ปี ตอนนี้กำลังท้องได้ 6 เดือนแล้ว แต่จับได้ว่าแฟนนอกใจ หนูอยากกลับมาใช้ชีวิตปกติ แบบมีความสุข อยากจะมูฟออนต้องทำยังไง?

“คุณโอ๋ (นามสมมติ)” อายุ 19 ปี สายแรกในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [19 ก.ค. 66] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเติ้ล-ดีเจต้นหอม-ดีเจอั๋น เกี่ยวกับปัญหาชีวิตที่กำลังตั้งท้องแต่แฟนนอกใจ ก่อนไปเขาให้เงินเราแค่ 5,000 “คุณโอ๋ (นามสมมติ)” เริ่มเล่าว่า หนูมีแฟนอายุ 23 ปี คบกับได้ 4 ปีแล้ว ตอนนี้หนูกำลังตั้งครรภ์ได้ 6 เดือน แต่จับได้ว่าแฟนนอกใจ เขาให้เงินไว้ 5,000 บาท แล้วก็ทิ้งหนูไปเลย เรา 2 คน ไม่ได้แต่งงานและจดทะเบียนสมรสกัน ตอนนี้หนูกับแฟนเลิกกันแล้ว ไม่ได้ติดต่อ ตัดขาดกันทุกช่องทางมาเป็นเวลา 2 สัปดาห์แล้ว หนูไม่ได้ตั้งใจท้องแต่ทางครอบครัวของหนูและแฟนไม่อยากให้เอาออก หนูเลยตัดสินใจเก็บลูกไว้แล้วดรอปเรียนออกมาทำงาน ส่วนแฟนหนูไม่ได้เรียน เขาจบมัธยมปลายแล้วก็ทำงานเลย แฟนของหนูเขาดูเป็นคนเจ้าชู้ แต่ตั้งแต่คบกันมาก็ไม่เคยมีเรื่องนอกใจ หรืออาจจะมีแต่หนูไม่เคยจับได้ เขาดูแลหนูดีทุกอย่างยิ่งตอนท้องยิ่งดีเป็นพิเศษ หลังจากเกิดเรื่องหนูเล่าทุกอย่างให้ครอบครัวของหนูฟัง เขาไม่ได้โกรธที่หนูท้อง เขาให้กำลังใจพร้อมที่จะดูแลหนูและลูก แต่ทางบ้านของแฟนบอกกับหนูว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนสองคนไม่อยากเข้ามายุ่ง ถ้าลูกคลอดออกมาค่อยว่ากัน คุณโอ๋ถามพี่ๆดีเจว่า หนูจะทำใจ Move on ยังไงดี? หนูยังรัก ยังเห็นเขาอยู่ในทุกๆที่ หนูไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงต้องจบแบบนี้ หนูอยากกลับไปใช้ชีวิตปกติแบบมีความสุขเหมือนที่แฟนหนูทำอยู่ตอนนี้ หนูจะต้องทำยังไง? “ดีเจต้นหอม” ให้คำแนะนำว่า ‘ให้คุณโอ๋คิดถึงลูกให้มากๆ ตอนนี้คุณโอ๋มีหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่มากคือ หน้าที่แม่ ตอนท้องมันจะภาวะของมีฮอร์โมนที่มันสวิงมากๆ ยิ่งเราเ ครียดมากเท่าไหร่มันยิ่งส่งผลต่อลูกในท้องมากเท่านั้น ส่วนการ Move on คงต้องใช้เวลา นับจากวันนี้ อะไรที่ทำให้นึกถึงผู้ชายคนนั้นต้องพยายามลบออกไป ไม่รู้จะให้เขากลับมาทำไม ต่อให้เขากลับมาก็คงมารับผิดชอบดูแลคุณโอ๋กับลูกไม่ได้ ทั้งทางบ้านเขาและตัวเขาไม่มีอะไรดีให้น่าเสียดาย ฉะนั้นควรตัดสิ่งที่ไม่ดีนี้ออกไปจากชีวิต แล้วมาโฟกัสกับหน้าที่ในปัจจุบัน หน้าที่แม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มันหนักกว่าการทิ้งผู้ชายคนนึงไปอีก ส่วนจะใช้ชีวิตให้มีความสุขแบบเดิม มันเป็นแบบเดิมไม่ได้เพราะตอนนี้คุณโอ๋มีอีก 1 ชีวิตอยู่ในท้อง เราจะมีชีวิตแบบเดิมได้ก็ตอนลูกโต ถ้าคุณโอ๋อยากมีแฟน มีครอบครัวใหม่ ก็ทำได้ถ้าเราเจอใครสักคนที่รับได้ในความเป็นเรา ในเมื่อคุณโอ๋เลือกที่จะเก็บลูกไว้ ลูกจะเป็นทุกอย่าง และมาทดแทนความรักที่ขาดหายไป โลกทั้งใบของลูกก็คือคุณโอ๋ คุณโอ๋ควรเอาความรักทั้งหมดทุ่มเทให้ลูก ลูกอาจจะเป็นศูนย์รวมความรักทั้งหมดของโอ๋เลยก็ได้ ดังนั้นโฟกัสกับปัจจุบันและชีวิตที่เหลือ ส่วนอดีตที่เลวร้าย ช่างมัน ให้เวลาค่อยๆรักษา แล้วเราจะดีขึ้น’ “ดีเจอั๋น” แนะนำว่า ‘จริงๆแล้ว ‘ควรมีเมื่อพร้อม’ ในทุกๆเรื่องไม่ว่าเรื่องไหนก็ตาม แต่เมื่อสิ่งนี้มันเกิดขึ้นแล้ว เราต้องกลับมาอยู่กับความจริงให้ได้ก่อน อย่าโทษตัวเองนานเพราะมันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ห้ามคิดว่าชีวิตตัวเองพัง ไม่เหลือโอกาสในการใช้ชีวิตหรือมีความสุขอีกแล้ว เรายังมีโอกาส ที่จะทำให้ชีวิตเราดีขึ้น เรายังมีครอบครัวที่คอยซัพพอร์ตทั้งจิตใจและร่างกาย ตอนนี้สิ่งที่คุณโอ๋ควรกังวลน้อยที่สุดคือเรื่องการเสียผู้ชายคนนี้ไป มันดูง่ายที่ทุกคนบอกให้ทิ้งเขาไป สำหรับคุณโอ๋มันเป็นเรื่องยากเพราะคุณโอ๋ยังรักเขาอยู่ แต่อยากให้คุณโอ๋ค่อยๆตระหนัก คิดถึงเขาให้น้อยลง หันไปโฟกัสเรื่องอื่นที่สำคัญกว่านี้ให้มากขึ้น แล้วจะรู้ว่า ‘คนๆนี้คือยาพิษ’ มันไม่มีประโยชน์เลยที่จะได้เขานี้กลับมาในชีวิต คิดว่าลูกคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาให้มา นอกจากนั้นมันไม่มีค่าเลย คุณโอ๋ต้องยืนขึ้น รับผิดชอบตัวเองและเป็นคุณแม่ที่ดีให้ได้ ทำให้ครอบครัวที่ซัพพอร์ตเราอยู่ภูมิใจ เอาความเศร้าทั้งหมดมาเปลี่ยนเป็นพลังบวกเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนเราไปสู่สิ่งที่ดีกว่านี้ให้ได้ แล้ววันนึงที่คุณโอ๋มีอิสระมากพอ ค่อยคิดว่าตัวเองจะมีความสุขกับชีวิตยังไง คิดซะว่านี่คือโจทย์ของชีวิต ผู้ชายคนนั้นแค่ปัญหาที่เราต้องแก้ แล้วทำมันให้ดีที่สุด’ ส่วน “ดีเจเติ้ล” แนะนำเสริมว่า ‘เรื่องที่คุณโอ๋เจอมันเป็นเรื่องยากมากที่จะผ่านไปให้ได้ในอายุ 19 ปี แต่มันมีคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวหลายคนที่อายุเท่าคุณโอ๋แล้วเลี้ยงลูกได้ดี ชีวิตมีความสุข แต่ก็มีฝั่งที่ชีวิตพัง แล้วแต่ว่าคุณโอ๋อยากให้ชีวิตของตัวเองเป็นแบบไหน หลังจากนี้อีก 3 เดือนก่อนที่ลูกจะคลอด คุณโอ๋ต้องทำให้ลูกเห็นว่า ถึงจะมีพ่อที่ไม่ดี ไม่เห็นคุณค่าของแม่และลูก แต่ลูกโชคดีที่มีแม่เป็นคุณโอ๋ที่สามารถทำหน้าที่ให้ความรักแทนพ่อที่ทำไม่ได้ เอาความเศร้าในแต่ละวันมาเปลี่ยนเป็นพลังเพื่อดูแลตัวเองและลูก เป็นตัวอย่างที่ดีให้เขา ส่วนจะทำยังไงใช้ชีวิตมีความสุข คุณโอ๋ลองถามคุณแม่ตัวเองก็ได้ว่า ตอนที่คุณแม่มีคุณโอ๋ ท่านมีความสุขมากขนาดไหนกับการที่ได้เป็นแม่คนๆนึง เรายังมีความสุขได้แค่เรามีอีกมือนึงที่จับลูกเราไว้เท่านั้นเอง’ พี่ๆดีเจทิ้งท้ายว่า ‘สิ่งนี่น่ากลัวที่สุดคือการที่ผู้ชายคนนั้นกลับมา เพราะเขาจะกลับมาเป็นภาระให้คุณโอ๋ แล้วก็ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าเขาจะทิ้งเราไปอีกหรือเปล่า บอกตัวเองว่า หัวใจที่เจ็บปวดที่สุดในวันนี้จะกลายเป็นหัวใจที่มีความสุขในอนาคต คุณโอ๋ต้องมองไปในทางที่ดีเศร้าไปก็ไม่มีประโยชน์มันจะส่งผลกระทบต่อลูกในท้อง ถ้าตอนนี้ต้องการกำลังใจให้ไปกอดพ่อแม่และครอบครัว พวกเขาพร้อมให้กำลังใจและความรักกับคุณโอ๋เสมอ’ สุดท้ายนี้พี่ๆดีเจทุกคนเป็นกำลังใจให้คุณโอ๋ผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

อายุ 27 เปลี่ยนงานมา 10 กว่าที่แล้ว งานแรกอยู่นานสุด 3 ปี เคยไปทำได้เดือนเดียว สองเดือน หรือ บางที่ไปทำวันเดียว ผมก็ออกมาเลย รู้สึกไม่โอเคกับสังคม เพื่อนร่วมงานที่อื่น วนลูปแบบนี้มานานแล้ว

24 มิ.ย. 2024

อายุ 27 เปลี่ยนงานมา 10 กว่าที่แล้ว งานแรกอยู่นานสุด 3 ปี เคยไปทำได้เดือนเดียว สองเดือน หรือ บางที่ไปทำวันเดียว ผมก็ออกมาเลย รู้สึกไม่โอเคกับสังคม เพื่อนร่วมงานที่อื่น วนลูปแบบนี้มานานแล้ว

อายุ 27 เปลี่ยนงานมา 10 กว่าที่แล้ว งานแรกอยู่นานสุด 3 ปีเคยไปทำได้เดือนเดียว สองเดือน หรือ บางที่ไปทำวันเดียว ผมก็ออกมาเลยรู้สึกไม่โอเคกับสังคม เพื่อนร่วมงานที่อื่น วนลูปแบบนี้มานานแล้วตอนนี้ผมเพิ่งผ่านโปรงานปัจจุบัน แต่ความรู้สึกนั้นเริ่มกลับมาอีกแล้ว “คุณโต๋ (นามสมมติ)” อายุ 27 ปี สายที่สี่ในรายการพุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [19 มิ.ย. 67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม เกี่ยวกับปัญหาการเปลี่ยนงาน โดย “คุณโต๋ (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ผมรู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนงานบ่อยมากเลย คือ ผมเรียนจบสายสังคมศาสตร์ หลังจากที่ผมเรียนจบมา ผมได้มีโอกาสเข้าไปทำงานที่แรกเกี่ยวกับงานบริการ อาจจะไม่ตรงกับสายที่เรียน แต่ก็ยังได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาอยู่บ้าง ทำได้อยู่ 3 ปี ซึ่งเพื่อนร่วมงานก็ดี คอยช่วย คอยซัพพอร์ต คอยให้กำลังใจกัน เวลาโดนหัวหน้าด่าหรือโดนกดดันแต่พอได้เจอเพื่อน มันก็ยังอยู่ได้ จนผ่านมา 2 – 3 ปีเพื่อนก็ทยอยลาออกกันไปหมด แล้วต่อมาผมก็ลาออก เพราะผมต้องไปบวช ซึ่งใช้เวลาในการบวชค่อนข้างนานอยู่ และอยากออกไปหาประสบการณ์ใหม่ด้วย แต่ก็ไปทำงานที่ไหนก็ทำได้ไม่เคยถึงปีเลย ส่วนใหญ่เหตุผลที่ลาออก บางทีไปเจอสภาพแวดล้อมการทำงาน หรือว่าบรรยากาศการทำงานที่มันรู้สึกอึดอัด ต้องเจอเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้างานที่กดดัน พอเราเข้าไปแล้วเหมือนเราเป็นเด็กใหม่ แล้วพยายามปรับตัวเข้าหาเขา แต่พออยู่ไปสักพักเหมือนเราเข้ากับเขาไม่ได้เลย หลังจากลาออกจากที่ทำงานที่แรก ผมเปลี่ยนที่ทำงานไปก็รวมๆ 10 ที่ได้แล้ว ในระยะเวลา 2 ปี ระยะเวลาในการทำงานที่สั้นสุด 1 - 2 วันก็ไม่ไปแล้ว ซึ่งสภาพแวดล้อมที่ผมต้องการ คือ อยากเจอเพื่อนร่วมงานที่ดี และระยะทางของการไปทำงาน ที่ทำงานอยู่ตอนนี้ ผมทำงานผ่านโปรมาได้ 4 – 5 เดือนแล้ว ผมมีความรู้สึกกลับไปวนลูปเดิม รู้สึกอยากเปลี่ยนงานอีกแล้ว รู้สึกที่นี่ไม่เหมาะกับเราอีกแล้ว เพราะเวลาที่ผมไปตามงานหรือถามงานอะไร เพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าเหมือนหงุดหงิดใส่ คุยกับผมเหมือนไม่อยากคุย แกล้งบ้าง หรือไม่อยากตอบบ้าง ซึ่งเวลาพี่ๆเขาสอน ผมก็จดไว้ตลอด แต่คำถามส่วนใหญ่เป็นคำถามเรื่องใหม่ตลอด ผมอยากปรึกษาพี่ๆดีเจว่าผมจะทำยังไงดี?เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1