เปิดชีวิตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ของ "ป้าตือ สมบัษร" Celebrity ตัวแม่ ที่สะกดคำว่า “แก่” ไม่เป็น!

ENTERTAINMENT NEWS

เปิดชีวิตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ของ "ป้าตือ สมบัษร" Celebrity ตัวแม่ ที่สะกดคำว่า “แก่” ไม่เป็น!

02 พ.ค. 2023

รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญที่เป็นคนใกล้ชิด “ก็อตจิ” หนึ่งในพิธีกรรายการ ที่ต้องบอกเลยว่าแขกรับเชิญคนนี้พูดได้แบบน้ำไหลไฟดับ พูดแบบพิธีกรไม่ได้พูด สรวนแบบตัวแม่ และที่สำคัญเขาสะกดคำว่า “แก่” ไม่เป็น

ความแซ่บแบบไฟลุกเริ่มขึ้น เมื่อ 2 ดีเจ ดีเจพี่อ้อย และ ดีเจก็อตจิ เปิดไมค์กล่าวต้อนรับ “ป้าตือ สมบัษร ถิระสาโรช” Celebrity ชื่อดังผู้มากความสามารถ ไม่ว่าจะนักแสดง, พิธีกร, ออแกไนซ์, Youtuber หรือ TikToker เธอคนนี้ทำมาหมด! แต่กว่าจะเป็น “ป้าตือ” ในทุกวันนี้ มีเรื่องพีคเกิดขึ้นมากมาย ที่ได้มาแชร์ให้ฟังกันในรายการ

 

 

ชีวิตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และคำว่า “เกษียณ” สะกดไม่เป็น!

แม้ทุกวันนี้ ป้าตือ จะอายุเลข 6 แล้ว แต่ ป้าตือ เป็นคนที่ใช้ชีวิตและบริหารเวลาใน 1 วัน ได้คุ้มค่ามาก ๆ โดย ป้าตือ ได้เล่าการใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ฟังว่า “ในหนึ่งวัน หนูเป็นคนที่ต้องนอนแปดชั่วโมงอย่างต่ำ ถ้านอนไม่ถึงแปดชั่วโมงหนูไม่ตื่น บางทีก็ตื่น 11 โมง ทำงานเร็วสุดคือประชุม 11 โมง แล้วส่วนมากหนูจะทำงานต่อตอนบ่ายจนถึงกลางคืนเลยพี่

60 แล้วพี่จ๋า  อย่างวันนี้ตื่นเช้ามาหนูก็ต้องไปทำงานอีเวนท์ เสร็จหนูก็ต้องไปเคลียร์งานที่ออฟฟิศ แล้วไปนั่งทำสคริปต์ทำอะไรเสร็จหนูก็ต้องไปไลฟ์ต่อ แล้วเดี๋ยวเสร็จรายการก็ไปไลฟ์กับผู้ชายต่ออีก  โอ้ยพี่ คำว่าเกษียณสะกดยังไงคะพี่ หนูไม่รู้ หนูทำงานแบบฟาร์มแพชชั่นฟรุ๊ตค่ะ”

 

“ฮักหลายแต้วโหลด” เพลงรักฉบับป้าตือ ที่ฉีกทุกกฎวงการเพลง

แม้จะเป็นที่รู้จัก และมักเป็นผู้สั่นสะเทือนวงการได้ทุกครั้งที่ลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ ๆ แต่ ป้าตือ ยังคงสร้างสรรค์ผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง และหนึ่งผลงานที่เพิ่งปล่อยออกมาสด ๆ ร้อน ๆ และได้รับการตอบรับที่ดีมาก ๆ จากแฟนคลับ ก็คือเพลง “ฮักหลายแต้วโหลด” ที่นอกจากจะเปิดตัวคู่จิ้นอย่าง “พี่หนวด” แล้ว ป้าตือ ยังลงมือทำเพลงเอง, เขียนเพลงเอง, มิกซ์เพลงเอง, แสดง MV เอง ซึ่ง ป้าตือ ได้เปิดเพลงนี้ให้สองดีเจได้ฟังในรายการ ความมันของเพลงทำเอาสองดีเจต้องโยกตามไปเลยทีเดียว จากนั้น ป้าตือ ยังได้เผยเรื่องราวในการตัดสินใจทำเพลงนี้ขึ้นมาว่า

“หนูขอพูดเลยนะ เวลาหนูเข้าไปไลฟ์ทุกคนจะต้องขอให้หนูเปิดเพลงนี้วันนึงไม่ต่ำกว่า ร้อยรอบค่ะพี่ เขาบอกว่าไม่งั้นเขานอนไม่หลับ ชื่อเพลงคือ ฮักหลายแต้วโหลด มันเป็นเพลงบำบัดตน มันเป็นอัจฉริยะในการแต่งนะพี่นะ MV ก็มีนางเอกเยอะ ตัวแสดงเยอะมาก หนูบอกเลยว่าเลือกไม่ถูก นางเอกมันเยอะมาก

จริง ๆ ทำเพลงนี้หนูไม่ได้อะไรหรอก หนูก็ทำมาอย่างงั้นแหละพี่ ตื่นมาแล้วไม่มีอะไรทำ หนูก็เลยอยากทำ หนูก็มาเขียน เขียนเสร็จหนูก็โทรไปหาครูปิงปอง นัดกันว่าเจอกันที่ห้องอัดนะ แล้ววันอัดหนูก็ร้องครั้งเดียวก็เลิกเลยจบ แล้วก็รีมิกซ์ ทำเองตัดต่อกันไป คือถ้าบอกว่าตัดต่อเองก็ดูเคลมเนาะ แต่ก็คือเราเป็นคนคิดว่าเอาอย่างงี้ แล้วก็ถ่าย ถ่ายก็เอามือถือถ่ายเพื่อนแต่ละคนมา แล้วก็เอาไปตัด ตัดแบบคัทชนจบอ่ะพี่”

 

 

เพ้นท์กระเป๋าแบรนด์เนม วิธีสมาธิบำบัดของป้าตือ

ใครที่ติดตาม Instagram ของป้าตือ คงจะได้เห็นคลิปที่ป้าตือ ได้ลงทุนละเลงพู่กันลงบนกระเป๋าแบรนด์เนมอย่าง หลุยส์ วิตตอง ด้วยคำเกร๋ๆ บนกระเป๋าว่า Don’t call me Chanel,I’m not Dior หรือแม้กระทั่งกระเป๋าถืออย่าง Prada ป้าตือก็มีความสุขกับการบรรเลงศิลปะตามจินตนาการด้วยหมึกสีดำแบบมีชิ้นเดียวในโลก โดยป้าตือเล่าให้ฟังว่า

“หนูพูดตรง ๆ หนูมีของที่มันไม่ได้ใช้เยอะมาก เพราะหนูเป็นคนบ้าช็อปปิ้ง แล้วถ้าจะให้หนูเอาของเก็บไว้เฉย ๆ มันก็ไม่ได้ ก็ต้องเอามาใช้ พอมันหมดอายุปั๊ป เราก็เอามาใช้ต่อพี่ เราก็มาทำอย่างงี้”

 

“เพื่อนหลายกลุ่ม” สิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตไม่เฉา

สิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตของ ป้าตือ ไม่เฉาคือ “เพื่อน” โดย ป้าตือ ได้เล่าเรื่องราวของมิตรภาพให้ฟังว่า

“ตือจะมีเพื่อนหลายกลุ่มพี่ การที่เราอายุเท่านี้เนี่ย เราไม่ได้รู้สึกว่าเราต่างจากเขา และเราก็รู้สึกว่าการมีเพื่อนหลายกลุ่มหรือหลากหลาย มันทำให้เราชีวิตเราไม่เฉา แล้วการอยู่กับเพื่อน ๆ ทุกคนเนี่ยมันเป็นความสุข

หนูว่าหนูโชคดีนะ โชคดีคือจากวันนึงที่หนูทำงานกับคนหลาย ๆ คน จนถึงวันนี้คนหลาย ๆ คน ที่ทำงานกัน กลายมาเป็นเพื่อนเยอะเลย คือหนูโชคดีตรงนี้ แม้แต่แบบว่าน้อง ๆ ดาราหลายคน มิวเอย แต้วเอย ใครเอยที่เข้ามา มันก็กลายเป็นเพื่อนกันอะพี่ หนูไม่ได้รู้สึกว่าหนูเป็นป้าตือ นั้นคือสาเหตุที่วันนึงพอหนูออกมาทำงานที่เป็นเรื่องเป็นราวแบบว่าหน้าม่าน หนูก็เรียกตัวเองว่า น้องลูกตือ หนูไม่อยากให้คนอื่นเรียกว่าป้าตือ เพราะพอใช้คำว่าป้า มันจะมีอะไรบางอย่างที่มันกั้น แต่ถ้าน้องลูกตือ เรากลายเป็นน้องใหม่ ลบทุกอย่างทิ้งไป แล้วเวลาหนูไปทำงานกับทุกคน หนูจะบอกว่า เห้ยแกเต็มที่นะ นี่น้องลูกตือนะ แล้วเราก็จะทำงานเป็นทีมเวิร์ค และต้องทำให้ทุกอย่างดีขึ้น”

 

 

ป้าตือไม่ได้เป็นคนดุ แต่เป็นคนพูดตรง

หลายคนมักจำภาพ ป้าตือ ว่าเป็นคนดุ ชอบโมโหร้าย เสียงดังโวยวาย งานนี้ ป้าตือ 
ได้เผยเรื่องนี้ว่า

“ฉันไม่ได้ดุนะ ฉันเป็นคนพูดตรง หนูเนี่ยมักจะพูดกับคนทุกคนว่า เวลาเกิดอะไรขึ้นก็ตาม หนูยกมือไหว้เขาเลยนะพี่ ขอโทษนะถ้าพูดอะไรผิดแล้วอย่าโกรธนะ ไม่ต้องเขียนเฟสบุ๊คมาด่าหรือไม่ต้อง DM มาด่านะ เพราะว่านี่เป็นคนพูดตรง หนูเป็นคนตรง ๆ พี่ วันนี้หนูเพิ่งไปสอนคนมา เขาบอกว่าเขาชอบหนูเพราะว่าหนูพูดพลังงานบวก หนูเลยบอกเขาว่า ฉันจะบอกความลับให้อย่างนึงนะ บางทีเธอไม่จำเป็นต้อง Positive ตลอดเวลาก็ได้ การกดตัวเองให้ Positive ตลอดเวลา บางทีเป็นบ้านะ คือเราไม่โอเค เราก็ต้องบอกว่าไม่โอเค

แล้วหนูก็มีนิสัยแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้วพี่  หนูไม่ใช่คนแบบเขวี้ยงข้าวเขวี้ยงของ คนชอบมาหาว่าหนูเขวี้ยงข้าวเขวี้ยงของ หนูไม่เคย หนูแค่ถีบฉากล้ม  ทำไมหนูต้องถีบฉากล้มพี่ฟังนะ เราได้เงินลูกค้ามา แล้วคนทำฉากทำออกมาไม่สมกับที่ลูกค้าจ้าง หนูก็เลยถามว่าโทษนะคะ อันนี้ใช้มือทำหรือใช้อะไรทำ ถ้าเกิดใช้มือทำไม่ใช่อย่างงี้ แต่ถ้าไม่ได้ใช้มือทำก็ใช้อันนั้น ฉันก็ใช้อันนั้นถีบล้มเหมือนกัน เพราะว่าเธอเอาเงินเขามา เอาเงินมาแล้วทำงานไม่ดีก็เหมือนเราปล้นเขา เราไม่ใช่โจรนะ เห็นแก่ตัวนั่นแหละพี่ เคยถีบฉากครั้งนึง แต่ว่านอกนั้นหนูก็ไม่ได้ทำอะไรใคร อย่างมากสุดเลย หนูก็เดินออกไปข้างนอกไปหายใจ นับหนึ่งสองสามสี่ห้าหกเจ็ดแปดเก้าสิบ แล้วเดินกลับเข้ามาจับมือ บอกว่าเคลียร์นะ จบนะ ถ้าไม่จบไม่ใช่ปัญหาของฉันละ เป็นปัญหาของเธอเพราะเธอแบกเอง

หนูเป็นคนอย่างงี้แหละพี่ และหนูก็ชัดเจนแล้ว ถ้าจะให้มานั่งนินทา หนูไม่นินทา หนูพูดกันตรง ๆ มันก็เลยยิ่งทำให้เวลาเราพูดอะไรตรง ๆ คนก็เลยยิ่งกลัวแล้วก็เกรงใจ แต่ถามว่าคิดอะไรไหม พี่ด้วยความสัจจริง ตื่นเช้ามาหนูไม่มีอะไรในหัวเลย แม่หนูสอนมาว่า ตื่นเช้ามาหัวต้องโล่ง ไม่งั้นหัวจะไม่มีที่เก็บเรื่องดี ๆ

และเวลาต้องเป็นกรรมการ มันจะไม่เหมือนกับเวลาที่หนูพูดกับเพื่อน เพราะการที่เราไปเป็นกรรมการ เราจะต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด และเราจะต้องเสริมให้ดีที่สุดสำหรับคนที่ประกวด มันมีหลายกรณีมากที่ทัวร์ลงแบบมหากาพย์แต่หนูก็ไม่แคร์ อย่างกรณี โยชิ หนูก็พูดตรงๆ เรื่องที่ว่า โยชิ เขายังดูเป็นเด็กอยู่ หนูก็บอกว่ามาประกวดมิสทิฟฟานี่ มิสแปลว่านางสาว หนูจะต้องมี Attitude ของความเป็นนางสาว และจะต้องมีความหิวกระหายที่จะต้องเป็นนักสู้ หนูจะต้องสู้ และตอนนั้นเขามาในสายเด็ก ๆ หวาน ๆ หนูก็เลยบอกว่า ถ้าไม่เปลี่ยนตัวเองหนูก็ไม่ได้เข้าสามสิบคน จากนั้นทัวร์ก็ลงหนู แต่ถามว่าหนูกลัวไหมหนูเฉย เพราะหนูถือว่าหนูพูดความจริงกับเขา และหนูดีใจที่เขาเดินมาจับมือหนูหลังจากที่เขาได้มงกุฎ เขามาบอกว่า หนูดีใจมากที่ป้าพูดอะไรกับหนูวันนั้น หนูก็บอกว่า ป้าพูดจริงและป้าไม่ได้คิดร้ายกับใครเลย ซึ่งเวลาหนูพูดในรายการ หรือว่าพูดเป็นกรรมการทุกที่ หนูไม่เคยคิดร้ายกับคน”

 

 

ชีวิตไม่ใช่ขนมชั้น ไม่ต้องมีเลเยอร์เยอะ

หนึ่งคำถามจากดีเจ ถาม ป้าตือ ว่า “มีคนแบบไหนบ้าง ที่ป้าตือไม่เอาเข้ามาในชีวิต?” จากคำถามนี้ เราได้เห็นมุมมองดี ๆ จาก ป้าตือ เพราะ ป้าตือ ได้ตอบคำถามว่า

“เอาความจริงนะพี่อย่าว่าหนูโลกสวยนะ หนูไม่ค่อยเกลียดคน ถ้าถามว่ามีคนที่หนูไม่เอาไหม มี มีคนที่หนูลบชื่อออกจากมือถือไหม มี แต่ถามหนูว่าหนูโกรธเขาไหม โกรธแล้วได้อะไรพี่ อย่างมากหนูก็ Delete ทิ้ง

เวลาเกิดอะไรขึ้น หนูมักจะบอกตัวเองเสมอว่าผิดที่เรา ผิดที่เราตั้งแต่ หนึ่ง เดินไปซื้อมือถือแล้วให้เบอร์เค้าแล้วก็โทรคุยกัน ผิดตั้งแต่นี้แล้วอะพี่ เพราะฉะนั้นทุกอย่างในโลกนี้ ทำอะไรไม่ต้องไปหวังพึ่ง ไม่ต้องหวังว่าเขาจะต้องคืนเรา แต่ถ้าเราอยากได้อะไร เราจะเดินไปบอกเขา ขอเขา สำหรับหนู หนูไม่ได้เป็นคนแบบว่าต้องมาหนึ่งสองสามสี่ห้า มันยากพี่ ชีวิตหนูไม่ได้เป็นขนมชั้น ไม่ต้องมีเลเยอร์เยอะ

คือหนูเป็นคนง่ายนะ และหนูเป็นคนที่ไม่เอาเปรียบคนเลยในชีวิต พ่อแม่สอนมานะว่า คนเราเนี่ยกฎของการเป็นมนุษย์เราต้องรู้จักให้ และให้โดยที่เราไม่ต้องคิดว่าเขาจะให้คืนมา แต่เรามีสิทธิ์ที่จะบอกว่า เธอฉันอยากได้อย่างงี้นะ ถ้าให้ได้ให้ ให้ไม่ได้ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกรงใจ

และหนูกล้าพูดกล้ายืนยันเลยว่าหนูมีข้อดี ซึ่งพ่อแม่สอนมาให้เป็นคนรู้จักให้ เวลาเราเห็นอะไรดี ๆ เห็นของดี ๆ เราจะชอบยกให้คน แม้แต่ทุกวันนี้ไหว้พระ หนูไม่เคยขออะไรให้ตัวเองเลย หนูก็จะไหว้พระขอ สิ่งดี ๆ ที่หนูทำทุกอย่างให้พ่อให้แม่ให้ผู้มีพระคุณ ให้พระให้เทวดาที่คุ้มครองหนู หนูพูดอย่างงี้เลย หนูไม่เคยขออะไรให้เข้าตัวเอง ขอแค่ว่าให้เรามีสติ เราจะได้ไปทำสิ่งดี ๆ ให้คนอื่น”

 

ไม่ชอบยึดติด และไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จ

ตลอด 30 ปีที่อยู่ในวงการอีเวนต์ แม้จะมีหลากหลายอีเวนต์เปลี่ยนไป มีเทรนด์ใหม่ ๆเกิดขึ้น แต่ ป้าตือ ก็สามารถก้าวทันตลอด จนได้นิยามว่าเป็นบุคคลที่ไม่ตายวงการ ซึ่ง ป้าตือ ได้เผยมุมมองเรื่องนี้ให้ฟังว่า

“คือตัวหนูไม่ยึดติดกับตัวเอง หนูไม่ได้รู้สึกว่าหนูประสบความสำเร็จ สิ่งที่มันเกิดวันนี้ เดี๋ยวมันก็จบไป แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้มันก็มีของใหม่มา

หนูพูดกับตัวเองตลอดเวลาว่าหนูเป็นคนโชคดี จน , ซวย หนูไม่เคยพูดเลย เพราะหนูรู้สึกว่ามันไม่ใช่คำของหนู ในชีวิตหนูเนี่ย หนูพูดแต่ว่าหนูจะต้องเจอคนดี แล้วคนดีจะอยู่ใกล้ ๆ หนู ถ้าเราคิดเรื่องดี ๆ มันจะดึงแต่เรื่องดี ๆ เข้ามา สมมติเราชอบผู้ชายคนนี้เนี่ย เราก็บอกว่าฉันชอบเธอจังเลย เขาก็จะมาหาเราทันที”

 

 

เป็นคนร้องไห้ยาก แต่เซนซิทีฟกับเรื่องครอบครัว

แม้ภายนอกจะเป็นคนดูเข้มแข็ง แต่ ป้าตือ ก็มีมุมเซนซิทีฟของตัวเอง โดย ป้าตือ เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า “หนูเป็นคนร้องไห้ยากมาก ตั้งแต่เด็กเลยไม่ค่อยร้องไห้ จำได้ว่าหนูร้องไห้เวลาดูหนังนีโม่ นีโม่มันตามหาพ่อมัน หนูร้องไห้แต่ก็ยังดู หรือบางทีร้องไห้อย่างเช่นว่า หนูทำงานเสร็จอะ หนูจัดงานเพชรใหญ่โตมโหฬารเลย แล้วหนูก็รู้สึกว่าเออมันมีความสุขจังเลยที่ได้ทำ แต่หนูไม่รู้จะเล่าให้ใครฟัง หนูก็มาจอดรถหน้ามาบุญครอง จอดข้างถนนฝนก็ตก แล้วหนูก็ร้องไห้ แบบว่ามันคือความปิติของหนู ที่หนูรู้สึกว่าเราก็โชคดีจังเลยที่ได้ทำอะไรดี ๆ แล้วก็กลับบ้าน

สมัยก่อนครอบครัวเนี่ยหนูต้องดูแลทุกอย่าง หนูชอบดูแลครอบครัว เพราะว่าหนูเป็นลูกคนเล็ก เตี่ยกับแม่มีลูก 10 คน แต่พี่หนูกลัวหนูหมดเลย แล้วตอนที่เตี่ยเสีย เขาก็จะแบ่งเงินแบ่งมรดกให้กับทุกคน แต่ก็จะมีพี่บางคนที่ว่าอ่ารู้ ๆ กัน ก็เลยรู้สึกว่าหนูก็ต้องดูแลเขา หนูก็ถาม เธอเดือนร้อนช่วงไหน หนูก็ส่งหลานเรียน เรียนหรู จนจบปริญญาโท ปริญญาตรี ซื้อคอนโด ซื้อบ้าน ซื้ออะไรให้ทุกคน หนูก็ดูแลให้หมดจนจบเบ็ดเสร็จแล้ว ทุกวันนี้หนูก็ถือว่าหมดหน้าที่หนูแล้ว ทุกคนก็โตแล้ว ทุกคนต้องไปดูแลตัวเอง

ปัจจุบันนี้หนูพูดด้วยความจริง หนูตายไปหนูไม่ให้มรดกพี่น้องหนูนะ หนูยกให้สามีกับคนที่หนูรักกับคนที่อยู่ใกล้ตัว ครอบครัวมันมีจุดนึงแล้ว พอมันหมดเวลาแล้วเขาก็ต้องไปอยู่กับครอบครัวของเขา แล้วเราก็คือคนนอก เพราะฉะนั้นครอบครัวมันไม่ได้แปลว่าพี่น้องท้องเดียวกัน แต่ครอบครัวมันคือความสุขที่อยู่รอบเรามากกว่า”

 

 

เรื่องราวความรักของป้าตือ

นอกจากมุมมองการใช้ชีวิตแล้ว ป้าตือ ยังได้มีโอกาสเล่าเรื่องราวความรักให้ฟังด้วย ซึ่งมีหลากหลายเรื่องราวพีคมากๆ เช่น เคยโดนผู้ชายจูบตอน ม.2 เลยต้องขอย้ายจังหวัดหนี! โดยป้าตือ เล่าว่า “หนูโดนผู้ชายจูบ ผู้ชายมาจากเมกันแล้วมาจูบหนู แล้วหนูไม่ได้ชอบเขาแต่ว่าหนูชอบเพื่อนเขา แล้วหนูก็เลยเดินไปบอกแม่ว่า แม่หนูโดนผู้ชายจูบเมื่อคืน หนูอยู่จังหวัดลำปางไม่ได้แล้ว หนูต้องย้ายจังหวัดหนี แล้วแม่ต้องย้ายโรงเรียนหนูด้วย ย้ายไปกลางคันเลย ก็รู้สึกว่าการโดนจูบ มันรู้สึกว่าตัวเองเสียความบริสุทธิ์ คือในวัยนั้นอายุ 14 เนอะ มันก็แบบ เห้ยย!
ช็อตเหมือนกันนะ แม่เลยย้ายให้เลย”

นอกจากนี้ยังมีเรื่องสุดพีคของป้าตือ กับรัก 13 ปี ที่ต้องเลิกรากัน แถมยังต้องเรียกทรัพย์สินจากการเลิกกันครั้งนี้ด้วย! เรื่องราวสุดแซ่บนี้จะเป็นยังไง ต้องไปฟังย้อนหลังจาก ป้าตือ กันได้เลย

“พี่หนูจะบอกให้นะ หนูไม่ได้อวดนะ คือเลิกกับสามีไม่เกิน 3 วัน หนูมีใหม่ตลอด และหนูก็เชื่อตลอดว่า จักรวาลนี้มีคนรอรักเราอยู่  ทุกวันนี้แจกบัตรคิวไม่พอนะ ต้องพรีออเดอร์ด้วย ของอย่างงี้มันเป็นเรื่องที่แบบว่าเขาเสกมาไงพี่ เทวดาเขาปั้น”

 

 

ท้ายรายการ ป้าตือ ได้พูดข้อคิดดีๆ ทิ้งท้ายไว้ว่า “หนูไม่เคยคิดมากไปกว่า 2 วินาที คือหนูไม่รู้จะคิดไปทำไม แบบว่าไม่ต้องคิดเผื่อพรุงนี้ก็ได้ เดี๋ยวหนูเดินออกไปข้างนอกเกิดหนูตุยขึ้นมามันก็จะเสียโอกาส เพราะฉะนั้น อยากทำอะไรทำเลย อยากพูดไรพูด แต่เราไม่พูดให้คนทุกข์ ไม่พูดให้คนมีเรื่องเสียใจ” - ป้าตือ

 

ติดตามรายการย้อนหลัง

related ENTERTAINMENT NEWS

ล้วงเรื่องราวชีวิต พร้อมเปิดมุมมองธุรกิจ ของ “นาตาเลีย เพลียแคม” Drag Queen ตัวแม่ที่พร้อมดูแล ให้คุณไปสบายแบบครบวงจร

09 ก.พ. 2024

ล้วงเรื่องราวชีวิต พร้อมเปิดมุมมองธุรกิจ ของ “นาตาเลีย เพลียแคม” Drag Queen ตัวแม่ที่พร้อมดูแล ให้คุณไปสบายแบบครบวงจร

หายใจไม่ออก บอกนาตาเลีย!...เปิด Club รวมสีสันของชีวิต พร้อมแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลในในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่ตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดจึ้ง “นาตาเลีย เพลียแคม” จากเจ้าของธุรกิจหลังความตาย สู่การเป็นผู้ชนะรายการ Drag Race คนแรกของไทย ยกระดับผู้มีความหลายหลายให้ทั่วโลกได้รู้จัก ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ เธอผ่านหลากหลายเรื่องราวชีวิต หลากหลายอุปสรรค ที่ได้นำมาแชร์ในรายการไว้ด้วยเปิดที่มาของชื่อสุดปัง “นาตาเลีย เพลียแคม”“ชื่อ นาตาเลีย เพลียแคม เป็นชื่อที่ใช้ในการเป็น Drag Queen ซึ่งต้องเล่าอย่างก่อนว่า แต่เดิมธุรกิจของครอบครัวนาตาเลีย เป็นธุรกิจการขายโลงศพ ซึ่งเราเป็นคนที่ชอบเรื่อง Marketing ชอบ Branding ก็เลยสร้างแบรนด์ขึ้นมา พอเราต้องมาเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ เลยคิดว่ามันต้องมีกิมมิก มันต้องเป็นสิ่งที่ทำให้คนจดจำ ประกอบกับว่าเราประกวด Drag Race Thailand ก็เลยต้องสร้างมีมและแฮชแท็กขึ้นมา แต่เดิมเราเป็นอาเฮียขายโลงศพ ก็เลยตั้งเป็นแฮชแท็ก #หายใจไม่ออกบอกนาตาเลีย ต่อมาเราทำน้ำดื่มด้วย แต่ไม่ได้เอามาเพื่อขาย เราเอามาไว้บริการให้กับทางลูกค้า เพราะบางทีในงานศพมันก็ต้องมีน้ำดื่ม เราก็เอาไปน้ำดื่มของเราไปร่วมสนับสนุน จากนั้นก็เลยมีแฮชแท็กเพิ่มมาอีกก็คือ #น้ำดื่มมังกรเขียวใช้กินใช้กรวดในขวดเดียวกัน กลายเป็นแฮชแท็กประจำตัวที่เราใช้ตั้งแต่นั้นมาค่ะ”ลูกชายคนโต กับความคาดหวังจากครอบครัว“นาตาเลีย โชคดีในเรื่องของครอบครัวตรงที่ว่า เค้ามีความคาดหวังแต่เค้าก็ไม่ได้มาจี้ ซึ่งคนที่มีการพูดถึงและทำให้รู้สึกในใจ ก็คือคนอื่นที่ไม่ได้อยู่ในครอบครัว เช่นบางทีเพื่อนป๊ามาที่บ้านก็ชอบถามว่า ลูกลื้อมีเมียรึยัง เราก็ตอบในใจว่ามีแล้วแต่เป็นผู้ชาย แต่ความจริงคือก็ต้องบอกว่ายังไม่มีครับ เดี๋ยวเรียนก่อน หรือขอทำงานก่อน ซึ่งเรามองว่าครอบครัวเราคาดหวังแต่เค้าไม่ได้พูดออกมา มันกลายเป็นชาเล้นจ์สำหรับเราที่จะต้องแข่งขันกับตัวเอง ทะเยอทะยานที่จะชิงดีชิงเด่นตลอดเวลา เพราะเราคิดว่าเราอาจจะทำตามมวลความคาดหวังของคนที่เป็นบุพการีไม่ได้ แต่เราก็ต้องมีอะไรบางอย่าง เพื่อให้รู้สึกว่ามันฟูลฟีลหัวใจ มันทำให้นาตาเลียพยายามหาเงินใช้เองตั้งแต่อายุ 18 ปี ใช้ความสามารถทางด้าน Cheerleading สมัครทุนเพื่อเรียนฟรีตั้งแต่ ปวช. จนถึงปริญญาโท ซึ่งเราสนุกกับชาเล้นจ์ในชีวิตที่ตัวเองตั้งขึ้น และการแข่งขัน หรือการประกวดต่าง ๆ มันตรงจริตของตัวเราด้วย มันก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเรามองข้ามบางอย่างได้ความทะเยอทะยานของเราคือ สมมติว่าเราเห็นก็อตจิ ในรายการเทยเที่ยวไทย เราก็รู้สึกว่าทำไมคนหนึ่งคน ถึงเป็นพิธีกรในเทยเที่ยวไทยได้สนุกขนาดนี้ แล้วเค้าเป็นลูกคนจีนเหมือนกัน หรืออย่างเราเห็นพี่อ้อยจัดรายการวิทยุมานาน และเราก็รู้สึกว่าทำไมผู้หญิงหนึ่งคนสามารถที่จะลุกตื่นขึ้นมาตอนเช้า หรืออยู่ตอนดึกได้ และพร้อมที่จะมารับฟังปัญหาทุกคน ซึ่งนาตาเลียเองก็รู้สึกว่า ฉันก็ต้องทำได้สิ เพียงแต่ว่ามันอยู่บนความคาดหวังของใคร วันนี้มันอยู่บนความคาดหวังของนาตาเลียว่า นาตาเลียไปประกวด นาตาเลียมีความสุข เราได้พื้นที่ เราชอบความบันเทิง เราชอบการแสดง เราต้องการอยู่หน้าไมค์ เราต้องการพูดให้ทุกคนรู้ ซึ่งมันอาจจะมีคนไม่ชอบบ้าง แต่สุดท้ายพื้นที่ส่วนใหญ่คือคนที่ชอบเรา เราต้องคิดให้เป็นวัฏจักรแห่งความเป็นมนุษย์ ว่ามันไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราจะเอาความสุขส่วนใหญ่บนมาตรฐานของเรา ให้มาเป็นแรงขับเคลื่อนแล้วก็ก้าวข้ามผ่านปัญหา ไม่ใช่ว่านาตาเลียไม่เคยมีความทุกข์ เราเคยแบบทุกข์หนักมาก บ้านล้มละลาย ป๊าเป็นสโตรก ไม่มีเงินเลย เราผ่านมาหมดแล้ว แต่เรายังเชื่อว่า ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ นอนคืนนี้ พรุ่งนี้ก็เริ่มเรื่องใหม่แล้ว”ก้าวแรก ของเฮียเจ้าของธุรกิจโลงศพ“มันเริ่มจากที่เราต้องเข้าไปช่วยงานธุรกิจของคุณพ่อ ซึ่งจะเน้นหนักในเรื่องของการทำ Branding แล้วก็สร้างการรับรู้ เพราะโลกธุรกิจมันเปลี่ยนไป ตอนนั้นป๊าขายแต่แบบออฟไลน์ เค้าไม่ได้สนใจช่องทางการขายออนไลน์เลย เราก็เลยเห็นโอกาสตรงนี้เลยไปสร้างมันขึ้นมา ซึ่งจากใจจริง นาตาเลียรู้สึกว่านี่เป็นธุรกิจที่มันไม่ใช่ไลฟ์สไตล์ของเราเลย แล้วพอเราเป็นลูกคนโต มันจะตามมาด้วยความคาดหวัง แต่ในยุคก่อนมันไม่มีเทคโนโลยี เพราะฉะนั้นการขายแบบปากต่อปากมันยังคงใช้ได้อยู่ แต่พอวันหนึ่งมาเจออะไรหลาย ๆ อย่าง ป๊าก็เริ่มเรียกให้กลับมาทำธุรกิจไหม บวกกับที่เราประกวดรายการ Drag Race Thailand พอดี ช่วงนั้นหนูเลยตกลงกลับมาช่วยงานป๊า ทำมาสักพักก็มารู้ว่าป๊าป่วยเป็นสโตรก แล้วเราก็ไม่เคยมีความรู้เรื่องนี้ในชีวิตเลย พอมาเหตุการณ์นี้ทุกอย่างก็กลับตาลปัตรหมดเลย มันก็เลยเหมือนไม่อยากทำ แต่สุดท้ายเราก็ทิ้งไม่ได้ เพราะธุรกิจนี้ ก็คือ DNA ของเรา แล้วพอต้องมาทำธุรกิจเรารู้สึกว่ามันสามารถบูรณาการให้เป็นการทำธุรกิจในแบบของนาตาเลียได้ โดยเฉพาะในเรื่องของงานศพ และเชื่อว่าสินค้าของนาตาเลีย เป็นสินค้าหนึ่งที่ลูกค้าไม่เคยคอมเพลนเลย”“ความตาย” สามารถเป็นสิ่งที่สวยงามได้ ถ้าเรารู้จักจัดการมัน“เรื่องการบริหารจัดการ หรือการเตรียมการความตาย มันมีอยู่ในวัฒนธรรมอยู่แล้ว โดยเฉพาะวัฒนธรรมจีน ที่จะมีการซื้อฮวงซุ้ยหรือโลงศพ และคนจีนเชื่อว่าเป็นการต่ออายุต่อดวงชะตา แต่ถ้าเป็นคนไทยก็จะมองว่าเตรียมไว้ทำไม แช่งหรือเปล่า ส่วนที่เมืองนอกหรือประเทศอื่น มันจะมีธุรกิจที่เรียกว่า Funeral Planner เป็นธุรกิจในการจัดการงานศพ ซึ่งจะคล้ายกับ Wedding Planner ที่จะบริหารจัดการงานแต่งงานความฝันของนาตาเลีย คือต้องการทำร้านโลงศพธรรมดา หรือตอนนี้ผู้คนรู้จักในออนไลน์ เพราะ นาตาเลียขายในออนไลน์เป็นหลัก นาตาเลียต้องการทำให้เห็นว่า เราสามารถบริหารจัดการ และดีไซน์ความตายได้ตามต้องการ นาตาเลียเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ความตาย มันสามารถเป็นสิ่งที่สวยงามได้ ถ้าเรารู้จักที่จะจัดการหรือบริหารมัน นาตาเลียยังคิดถึงงานศพของตัวเองเลยว่า โลงศพฉันควรเป็นยังไง อาหารขอเป็นเบนโตะเซ็ทได้ไหม บรรยากาศของพื้นที่เราทำให้เป็นกลิ่นอโรมาดีไหม แล้วผู้คนไม่จำเป็นจะต้องใส่สีดำอย่างเดียวดีไหม ของชำร่วยในงานขอเป็น Flash drive ที่พอเอาไปเสียบเข้าคอมพิวเตอร์จะเห็นบทพูดเรื่องการเตรียมตัวตายของนาตาเลีย พร้อมกับแต่งตัวเป็น Drag Queen แล้วโชว์ให้ดูก่อนตาย ให้ดูว่าความสุขตอนที่ฉันมีชีวิต รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ที่ฉันสร้างมันยังคงอยู่กับเธอตลอดไป แล้ววันใดที่เธอลบความทรงจำจาก Flash drive มันแค่ลบความทรงจำแต่ฉันยังคงเป็นประโยชน์ต่อเธอ เพราะเธอจะเอา Flash drive นั้นไปทำอย่างอื่นได้ต่อแล้วเราไม่ได้พูดเองเออเอง จากการวิจัยซึ่งเป็นตัวจบปริญญาโทของเรา พบว่า จำนวนประชากรส่วนใหญ่ที่เป็นผู้หญิง ให้ความสำคัญกับเรื่องการวางแผนการตายมากกว่าผู้ชาย ในขณะเดียวกันมีสิ่งที่เค้าต้องการคือ 1.บริหารดีไซน์ในแบบที่เค้าต้องการได้ 2.อยู่ในงบประมาณที่เค้าจัดการได้ และ 3.ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นต้องอยู่บนพื้นฐานของวัฒนธรรมประเพณีที่ถูกต้อง”ส่องเทรนด์ธุรกิจคอนโดความตาย“ถ้าเราดูหนังฮ่องกงสมัยก่อน เราจะเห็นว่าเวลาเค้าไปงานศพ มันจะมีเป็นบล็อกเป็นชั้น ๆ ซึ่งเมืองไทยก็มีเหมือนกันในสมัยก่อน แต่มันไม่ได้ถูกพูดถึง แต่พอเรามาทำธุรกิจด้านนี้ ก็ได้ไปเจอพาร์ทเนอร์ที่เป็นบริษัทขายสุสานที่มาเลเซีย แล้วก็กระจายไป Southeast Asia ไปสู่ต่างประเทศ แล้วเค้าก็มาสร้างฮวงซุ้ย กับคอนโดสำหรับเก็บกระดูกที่เมืองไทย ทำแบบสวยงามเลย เราก็เลยมาผลักดันเรื่องนี้ว่าจริง ๆ แล้ว ถ้าคุณอยากจะได้ช่องเก็บกระดูกที่สวยงาม เค้าก็มีการจัดการนะ แล้วเราก็คิดไปถึงว่า ถ้าเป็นฮวงซุ้ย เวลาเราซื้อเสร็จ เราจะต้องเอาดวงชะตาใส่ลงไปในหลุมศพ สมมติว่านาตาเลียซื้อฮวงซุ้ยให้บิดามารดา นาตาเลียก็ต้องเอาทำพิธีกรรมที่เรียกว่า แซกี ทิ้งไว้ในหลุมศพเพื่อต่อดวงชะตาของบิดามารดา วันนึงนาตาเลียมองเห็นโอกาสว่า ช่องเก็บกระดูกมันเอาไว้ใส่ศพคนตายแบบเผา ฮวงซุ้ยใช้ใส่ศพคนตายแบบไม่เผา ผู้คนกำลังนิยมชมชอบที่อยากจะมีอายุยืนนานแล้วก็สนใจเรื่องมู ก็เลยคิดว่าฉันต้องทำแซกีในฮวงซุ้ย ให้ไปอยู่ในช่องเก็บกระดูกได้อีก ซึ่งซินแสหลายท่านก็บอกว่าลื้อจะบ้าเหรอ มันผิดธรรมเนียมประเพณี นาตาเลียก็บอกซินแสว่า อั๊วะถามหน่อย สมมติลื้อต้องทำแซกีเพื่อดวงชะตาโดยมีเงิน 1 ล้านบาท ลื้อต้องทำ 1 ล้านบาทเลย หรือ 1 ล้านบาทบวก ๆ เพื่อทำหลุมศพ แล้วมันก็ยังไม่มีใครอยากตาย ลื้อใส่ได้เมื่อไหร่ แต่วันนี้นาตาเลียจะมาขายแซกีในช่องเก็บกระดูกซึ่งเสียเงินไม่ถึง 2 แสนบาท แล้วแต่ว่าชั้นมันจะอยู่ตรงไหน ลองคิดนะว่าระหว่างคนมีเงิน 1 ล้านบาทแล้วหมดไป กับคนมี 1 ล้านบาทแล้วเหลือ 8 แสน ใครมีความสุขมากกว่ากัน จากนั้นก็มีซินแสบางคนที่สนับสนุนความคิดเรา นาตาเลียเชื่อว่า วัฒนธรรมรากเหง้าบางอย่างมันสูญเสียไป เพราะผู้คนไม่ปรับเปลี่ยน แล้วไม่ยอมหาจุดเชื่อมให้เข้าหากัน สุดท้ายมันก็จะหายไป แต่นาตาเลียไม่ได้คิดแบบนั้น นาตาเลียคิดว่าโลกมันเปลี่ยนไป คนเราก็ต้องเปลี่ยนตาม บางคนก็ต้องพัฒนา หรืออย่างน้อยคือเรามีฟังก์ชั่นให้เค้าเลือก ทำสิ่งต่าง ๆ ให้เค้าได้มีโอกาสเลือก สุดท้ายถ้าเค้าจะไม่เอา มันก็อยู่ที่เค้า ไม่ได้อยู่ที่เรา”จุดเริ่มต้น บนเส้นทาง Drag Queen“ก่อนที่จะมาเป็น Drag Queen นาตาเลียได้ตำแหน่ง Miss ACDC ปี 2006 มาก่อน สมัยนั้นโซเชียล และโลกออนไลน์ยังไม่เหมือนทุกวันนี้ พอมาปี 2018 ก็มีคนมาชักชวนว่า จะมีรายการจากเมืองนอกชื่อรายการ Drag Race ซึ่งเรารู้จักรายการ แต่เราไม่เคยดู ด้วยความที่เราอยู่กับการประกวดอยู่แล้ว ทั้งประกวด Cheerleading ประกวดเต้น เป็นนางโชว์ เราก็รู้สึกว่าโอเคฉันจะทำ แต่การทำครั้งนี้ 1.ฉันต้องชนะ เพราะว่าถ้าไม่ชนะมันเป็นการแข่งขันที่เสียเปล่า 2.นี่เป็นจังหวะที่ดีมาก ถ้าสมมติฉันเอาเงินไปซื้อมีเดีย มันจะแพงกว่าการที่ฉันไปประกวด แล้วการไปประกวดถ้าฉันเอาเงินไปซื้อมีเดียอย่างเดียวฉันแค่ได้หน้า แต่ถ้าฉันไปประกวด เราได้แสงจากคาแรกเตอร์ เราจะได้ความสุข และสนุกไปกับมันด้วย ก็เลยตัดสินใจประกวด Drag Race Thailand Season 1 แล้วการประกวดตลอด 8 ep. จนไปถึงรอบไฟนอล เราจะต้องมีสติอยู่กับมัน ซึ่งสิ่งที่มันไม่ลืมเลยคือ เราต้องเข้าใจว่าเรากำลังจะสื่อสารให้คนจดจำอะไรในตัวเรา นาตาเลียก็บอกเลยว่า เราเป็นลูกหลานคนจีนมาจากเยาวราช แล้วก็ขายโลงศพ ซึ่งมันคือเรื่องจริงบนเรื่องแต่ง มันก็เลยรู้สึกว่าเราพูดได้อย่างไม่เคอะเขินคำว่า Drag Queen ก็คือการแต่งตัวข้ามไปเป็นอีกคาแรกเตอร์หนึ่ง หรือไปเป็นอีกเพศหนึ่ง เช่นวันนี้ตามบัตรประชาชนของนาตาเลียเป็นผู้ชาย พอเราแต่งเป็น Drag Queen ก็คือ เราแต่งเป็นผู้หญิง แต่โลกของเราตอนนี้มันหลากหลายมาก มันมีแม้กระทั่งผู้หญิงแต่งเป็น Drag Queen อย่างเช่น Lady Gaga ซึ่งเราก็เรียกว่า Bio Queen พอมันเกิดความหลากหลาย นาตาเลียจึงให้คำจำกัดความในทุกครั้งที่ไปอธิบาย โดยไม่ได้พูดถึงว่ารากเหง้าคำว่า Drag คืออะไร แต่การแต่ง Drag คือการที่เราสร้างคาแรกเตอร์อีกคาแรกเตอร์หนึ่งแล้วแสดงออกมา และต้องนำมาซึ่งแรงบันดาลใจ ความสุข และจะต้องเป็นการแบ่งปันอะไรบางอย่าง แม้กระทั่งความเป็นตัวเราให้กับคนรอบข้างด้วย มีสิ่งหนึ่งที่ผู้คนมักจะถามว่าทำไมเฮียถึงใส่ชุดนี้อีก ใส่ทุกงานเลย ทำไมไม่เปลี่ยน แต่สิ่งที่นาตาเลียโฟกัสคือ ก็ฉันต้องการให้เธอทักนี่แหละ ให้เธอจำว่านี่มันคือคาแรกเตอร์ แล้วทุกคนก็จะจดจำเราได้”ความพ่ายแพ้ ที่มาพร้อมบทเรียนมากมาย“นาตาเลียประกวดมาเยอะ แล้วเคยได้ตำแหน่ง Miss ACDC 2006 เป็นแชมป์ Drag Race Thailand คนแรกของประเทศไทย เคยได้ตำแหน่งนางสาวเชียงใหม่ในดวงใจ 2566 แล้วก็กำลังรอว่า ถ้าเวที Miss Universe is you เปิดรับสมัครก็จะลงประกวดอีก แล้วนาตาเลียก็จะปิดตำนานนาตาเลียในเมืองไทยเท่านี้ ปิดตำนานว่าในประเทศไทย ฉันได้เวทีใหญ่ ๆ มาหมดแล้ว แล้วจะรอไปประกวดเมืองนอก ได้ตำแหน่งมาเยอะแต่ไม่ได้หมายความว่านาตาเลียไม่เคยแพ้ นาตาเลียเคยแพ้ บุ๊คโกะ ในการประกวดนางสาวเชียงใหม่ในดวงใจปี 2564 ตอนนั้นนาตาเลียได้รองอันดับ 1 แต่สิ่งที่มันสอนเราอยู่ตลอดเวลาบนความพ่ายแพ้ คือการสอนให้เรารู้ว่าสปิริตของการแข่งขันมันเป็นยังไง ต้องขอบคุณ บุ๊คโกะ ด้วยที่ทำให้นาตาลีเรียนรู้ความมีสปิริต ความมีน้ำใจนักกีฬา แต่ในขณะเดียวกัน การแพ้มันก็ทำให้เราตั้งเป้าใหม่ว่า ฉันจะกลับมาประกวดในปี 2566 เพราะว่าฉันจะเอามง และจะเป็นที่ 1 ให้ได้ แล้วมันก็ได้จริง ๆ”นาตาเลีย เพลียแคม กับการสานฝัน ให้กับผู้บกพร่องทางการได้ยิน“นาตาเลีย เป็นคนสอน Cheerleading ให้คนพิการทางหูคนแรกของประเทศไทยตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบัน แล้วก็ประกวดชนะมาตลอด ซึ่งการสอนมันจะมีภาษามือก่อน แต่สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือ มันจะต้องมีใจที่จะสอนด้วย เราคุยกับเค้าด้วยภาษากายอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องตั้งใจด้วยความรู้สึกที่อยู่ข้างใน แล้วต้องพยายามเปลี่ยนวิธีการคิดของเค้าว่า ไม่ใช่ว่าเป็นคนพิการแล้วจะต้องอยู่กับการรอรับโอกาสอย่างเดียว ซึ่งสิ่งที่มันได้ตามมาแล้วทำให้เรารู้สึกแฮปปี้มากคือคุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ปกครองของน้อง ๆ เปลี่ยนวิธีคิดที่จะเลี้ยงลูกหลาน พอผู้ปกครองได้มาดูการแสดงของน้อง ๆ ครั้งแรก มีหลายคนร้องไห้ แล้วก็พูดกับเราว่า เดี๋ยวคุณแม่จะเปิดโอกาสให้น้องเล่นกีฬานี้เต็มที่เลย แล้วให้น้องเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะเรียนได้ มันเป็นพลังที่เติมเต็มความรู้สึกให้เรามาก ๆสิ่งหนึ่งที่เรามักจะปลุกพลังให้น้อง ๆ คือ การที่เราเป็นคนพิการ แล้วอยู่ในสังคมที่มีคนปกติมากกว่า การที่จะเปลี่ยนคนปกติจำนวนมากเป็นเรื่องยาก แต่การเปลี่ยนตัวเองในฐานะที่เป็นคนจำนวนน้อย เพื่อให้สังคมขับเคลื่อน และได้โอกาสอะไรบางอย่างเป็นเรื่องง่ายกว่า และเราต้องพยายามมากกว่าคนปกติ 2 เท่า จากปี 2552 จนถึงปัจจุบัน นาตาเลียก็ยังคงสอนอยู่ แต่ในขณะที่สอน Cheerleading เราก็จะสอนประสบการณ์ชีวิต กับวิธีคิดให้กับน้อง ๆ ไปด้วย”เมื่อชีวิตเจอหลากหลายบททดสอบ แต่ต้องผ่านมันไปให้ได้“เริ่มแรกเลยคือป๊าเค้าเป็นเถ้าแก่เร็ว แล้วก็มีความปกครองผู้คนในยุคที่ไม่มีโซเชียล มันเหมือนเค้าประสบความสำเร็จมาก ๆ จนรู้สึกว่าคำพูดของตัวเองคือเบ็ดเสร็จ กลายเป็นหลงระเริง พอเกิดสิ่งผิดพลาดจนเหนือการควบคุม มันก็ต้องสูญสลายไปเลย แต่ความโชคดีของป๊าคือ เค้าสามารถกลับมาสร้างทุกอย่างใหม่ได้ เมื่อเค้ามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง แต่พอมาปี 2019 ป๊าเป็นสโตรก แล้วที่บ้านหนูไม่มีความรู้เรื่องสโตรกเลย พอไปโรงพยาบาลเค้าก็แค่บอกว่าปวดหัว คุณหมอก็จับฉีดยาเฉย ๆ แต่พอมาตอนเช้าหมอประจำตระกูลก็บอกว่าเป็นสโตรกแน่ ๆ เลยเอาเข้าห้อง ICU แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจากวันนั้นคือเค้าต้องนอนติดเตียง เจาะคอ ทำอะไรไม่ได้แล้วมันเกินกว่าที่กะเทยคนนึงจะมาสานต่อ มันยุ่งเหยิงยิ่งกว่าสายไฟบนถนนวิทยุ แต่ในวันนั้นหนูบอกกับตัวเองว่า เราก็ต้องทำมันเท่าที่ได้ ให้ร่างกายยังคงพร้อมที่จะสู้ต่อในวันพรุ่งนี้ แล้วถ้าหนูสู้จนสุดทาง แล้วมันไม่ได้อย่างที่หวัง หนูจะไม่เสียใจเลย เพราะหนูสู้จนสุดทางแล้วในวันที่หนูรู้ว่าป๊าเป็นสโตรก แล้วเค้าเรียกไปที่โรงพยาบาลด่วน เค้าก็จับมือเราบอกว่า ป๊าฝากน้องด้วยนะ หนูก็บอกป๊าว่าเดี๋ยวก็หาย นอนฉีดยาพรุ่งนี้ก็หาย ซึ่งก่อนหน้านั้น เพิ่งจะผ่านวันเกิดหนูมา หนูเกิด 7 มกราคม ป๊าก็มาแฮปปี้เบิร์ดเดย์ และเป็นวันที่เปิดตัว Drag Race Thailand Season 2 กลางไอคอนสยาม แล้วพี่อาร์ท อารยา กับ พี่เต้ กันตนา หอบเค้กมาแฮปปี้เบิร์ดเดย์หนูกลางไอคอนสยาม ผ่านไปไม่ถึง 2 วัน อยู่ดี ๆ ป๊าเป็นสโตรก แล้วหนูต้องมาออกรายการ Lip Sync Battle Thailand กำลังยืนรอสแตนบายจะขึ้นเวที ที่บ้านก็โทรมาบอกว่าป๊าต้องเจาะคอ ถ้าไม่เจาะคือไม่รอด พอพูดเสร็จทีมงานก็บอกว่าขึ้นเวทีค่ะ หนูก็ต้องฮึบ เพราะกับรายการหนูก็ต้องเต็มที่ แฟนรายการเค้าก็ตั้งความหวังว่าอยากจะเห็นนาตาเลียโชว์ ซึ่งหนูก็ไม่อยากให้ทั้งคนดู และทีมงานจะต้องมารับรู้ว่าภายใต้การยิ้มแย้ม แต่งตัวอลังการของหนู มันคือความดิ่งที่สุดในชีวิต แต่พอเทปรายการนี้ออกอากาศ กลับมีกลุ่มคนที่เป็นเกรียนคีย์บอร์ด มาบอกว่าโชว์ไม่เห็นจะดีเลย ดูไม่ Professional เลย สิ่งนี้ทำให้หนูเรียนรู้ว่า ภายใต้ความวุ่นวายรวดเร็วของเทคโนโลยี มันมีบางคนพร้อมที่จะทิ่มแทงเราเพียงเพราะความไม่ชอบ หนูต้องตั้งสติกับตัวเอง และบอกตัวเองว่าเราสามารถเลือกที่จะทะเลาะ หรือไม่ทะเลาะกับคนได้ เราจงยอมรับ หรือเอาพลังงานดี ๆ จากคนที่เค้าชื่นชมเรามาเป็นประโยชน์ดีกว่า เพราะเราไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้เราจะอยู่หรือเราจะไป อย่างน้อยที่สุดมันยังมีสิ่งดี ๆ ให้เราฮีลใจ ให้เราหายเหนื่อย ให้เรารู้สึกว่ามันยังมีคนข้าง ๆ ถึงแม้ว่ามันจะมาเป็นแค่ข้อความก็ตามหนูเป็นคนชอบมูเตลูมาก เพราะมันคือที่พึ่งทางใจอย่างหนึ่ง แต่เมื่อไหร่ที่มันไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่เรามู หนูไม่เคยโทษฟ้าโทษฝนโทษเทวดาเลย แล้วหนูก็รู้สึกว่าในช่วงที่หนูวิกฤติ มันมีคนที่พร้อมช่วยอย่างเต็มที่ หนูได้เรียนรู้ว่า เมื่อไหร่ที่หนูให้อะไรใครไปก่อน มันจะได้กลับมาเสมอ หลายคนเห็นหนูบนหน้าจอ ก็จะเห็นว่าเราเฮฮา ดูเรียกเสียงหัวเราะ แต่หนูเคยร้องไห้คนเดียว แต่หนูไม่เคยคิดจะฆ่าตัวตายนะเพราะกลัวเจ็บ แล้วหนูคิดว่าชีวิตนี้ไม่กลัวอะไรแล้ว เพราะเราเคยเจอเรื่องหนักสุด สบายสุด ดีที่สุด ร้ายที่สุด ในชีวิตหนูผ่านมาหมดแล้ว”ความรักของเพศที่สาม ไม่ได้ฉาบฉวยเสมอไป“หลายคนชอบคิดว่า การเป็นกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ เวลามีความรักมักจะเป็นความรักที่ฉาบฉวย แต่สำหรับหนูคิดว่ามันไม่เสมอไปหรอก คุณอย่าเพิ่งตีตราว่ากลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศเมื่อมีรักเท่ากับ Sex เท่านั้น มันมีอย่างอื่นเป็นองค์ประกอบด้วย แต่หนูก็ไม่ได้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในความรัก เพราะในชีวิตหนูเรื่องงานมันจะมาก่อนความรักเสมอ แต่ถ้าถามว่าหนูอยากมีรักไหม หนูก็อยากมีรัก อยากมีแฟน อยากมีคู่ชีวิตให้เราได้แอบอิง แต่ในขณะเดียวกัน ความรักที่หนูเจอมามันกลายเป็นการมาเหยียด หรือเป็นการคบเพื่อผลประโยชน์ มันก็กลายเป็นความทุกข์ ซึ่งมันก็ต้องเลือกคนคุยดี ๆ ไม่อย่างนั้นก็จะก้าวข้ามผ่านเรื่องนี้ไม่ได้เลย หนูจึงรู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตบนความ Proud ฉันมั่นใจ และฉันก็เต็มที่กับทุกอย่างที่ฉันทำ เพื่อให้คนรอบข้างรู้และจดจำว่า นี่คือ นาตาเลีย เพลียแคมหนูอยากเป็นนักการเมือง เพราะคิดว่าการเป็นนักการเมือง มันทำให้เราได้ทำอะไรบางอย่างบนสิทธิ์หรืออำนาจที่เรามี แต่นั่นจะต้องเป็นเรื่องที่ดีด้วย หนูก็เลยคิดเล่น ๆ ว่า ถ้าหนูเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่ากทม. หรือเป็นหนึ่งในกรม ที่มีอำนาจในการที่จะปรับเปลี่ยนกรุงเทพ ไหน ๆ รถมันก็ติดแล้ว เราก็เปลี่ยนความวุ่นวายให้กลายเป็น Festival เช่นทำเมืองนี้ให้มันเป็นเมืองแห่ง Exhibition ทำเมืองนี้ให้เป็นเมืองแห่ง Event ขับเคลื่อนด้วยความวุ่นวายยุ่งเหยิงมีแต่ความบันเทิง เป็นพื้นที่ศิลปะของทุกคน หนูคิดลึกไปถึงขนาดที่ว่า วันนี้เราจะต้องไปสอนเรื่องการมีทักษะ หรือการพัฒนาอะไรบางอย่างให้กับกลุ่ม LGBTQ หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ แต่มันจะซับซ้อนกว่าถ้าความหลากหลายทางเพศอยู่ในคนพิการ หนูก็อยากไปทำเรื่องนี้เพื่อให้เค้าสามารถใช้ชีวิตอยู่กับกลุ่มคนปกติได้อย่างไม่เคอะเขิน แล้วการเป็นนักการเมือง สิ่งที่ทำให้คนอื่นต้องมาปรบมือ หรือมามายอมรับ มันต้องอยู่บนสิ่งที่คุณทำออกไปมากกว่า ไม่ใช่เพียงเพราะว่าวันนี้คุณเป็นเก้ง เป็นกวาง หรือเป็นเพศอะไรก็ตาม”ความภูมิใจ และแรงบันดาลใจ จาก นาตาเลีย เพลียแคม“หนูภูมิใจที่สุด ที่ความสำเร็จของหนู มันได้สร้างประโยชน์ให้กับคนอื่น ความเป็นนาตาเลีย เพลียแคม มันไม่ใช่อยู่ที่การเป็นผู้ชนะ แต่มันอยู่ที่สิ่งที่หนูเป็น และหนูสร้างมันขึ้นมา แล้วมันไปต่อยอด แก้ไขหรือไปช่วยคนอื่นได้บ้าง หนูเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่คนเดียว แล้วในฐานะที่หนูเป็นคนขายโลงศพ หนูจะเก็บการอยู่คนเดียวไว้ตอนตายเท่านั้น แต่เมื่อเรามีลมหายใจ เราต้องมีปฏิสัมพันธ์ และสิ่งที่มันจะเชื่อมโยงความสัมพันธ์ให้มันอยู่ตลอดรอดฝั่ง คือการที่เราเป็นแรงบันดาลใจของใคร เราเป็นความหวังของใคร และเราทำอะไรให้กับคนอื่นได้บ้าง ถึงแม้ว่าบางสิ่งบางอย่างมันอาจจะเหนื่อย แต่ถ้าเราพอใจและเต็มใจที่จะทำ หนูคิดว่ามันสะสมไปได้เรื่อย ๆ แล้ววันหนึ่งหนูก็คงจะตายอย่างมีความสุข” - นาตาเลีย เพลียแคมพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญสุดพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “โยชิ นิมิต” อดีตบอยกรุ๊ปสุดฮอท สู่อินฟลูฯตัวท็อปเสน่ห์แรง

24 พ.ค. 2024

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “โยชิ นิมิต” อดีตบอยกรุ๊ปสุดฮอท สู่อินฟลูฯตัวท็อปเสน่ห์แรง

CLUB นี้ยังคงรวมหลากหลายสีสันของชีวิต และคอยแบ่งปันแรงบันดาลใจดี ๆ ในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดฮอท “โยชิ นิมิต” จากอดีตบอยกรุ๊ปสุดเท่ห์วง ซีควินท์ (C-Quint) สู่อินฟลูฯตัวท็อปเสน่ห์แรง ที่กว่าจะถึงวันนี้ เขาผ่านหลากหลายเรื่องราวชีวิต และได้แชร์ข้อคิดมุมมองดี ๆ ให้ฟังในรายการด้วยย้อนวัยเด็กสุดเป๊ะ ของ ด.ช.นิมิต“โยรู้สึกว่าตัวเองเป๊ะตั้งแต่เด็ก แล้วเหมือนจะเป๊ะมาตลอด ไม่รู้ว่าการเป็น LGBTQ+ มันเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยรึเปล่า แต่บางทีมันอาจจะทำให้คิดเยอะขึ้น เพราะว่าตอนเด็ก ๆ เราอาจจะเปิดเผยตัวตนเราไม่ได้ เราก็เลยต้องคิดเยอะกว่าคนอื่น ว่าถ้าทำแบบนี้ ผลต่อไปมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง มันจะกระทบชื่อเสียงของเรารึเปล่า มันทำให้เราต้องคิดหลายสเต็ปล่วงหน้า และอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเป๊ะขึ้นตอนเรียนส่วนใหญ่จะไปในทางเด็กหน้าห้อง ไปในทางเด็กเรียน เพราะความตั้งใจของเราคืออยากจะเข้าเตรียมอุดมฯ อยากจะเข้าจุฬาฯ ก็เลยรู้สึกว่า ถ้าเราไม่ตั้งใจเรียนเราอาจจะเข้าไม่ได้ มันเป็นความคาดหวังของตัวเอง เพราะเรารู้สึกว่าถ้าไปเรียนเตรียมอุดมฯ แล้วจะมีผู้ชายหล่อ ๆ แบบว่าเด็กเรียนเก่งมักจะหน้าตาดี ผู้ชายคือแพชชั่นที่บ้านเป็นครอบครัวคนจีน หลายคนเข้าใจว่าโยเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น แต่ครอบครัวเป็นจีนเลย อย่างภาพยนตร์เรื่องหลานม่า คือเราดูแล้วร้องไห้สุดฤทธิ์ มันอินสุด ๆ โยมีพี่ชาย 2 คน เราเป็นคนเล็กสุดเลย ซึ่งส่วนใหญ่พี่ 2 คนจะสนิทกันมากกว่าโย เค้าจะชอบเล่นบอลด้วยกัน ทั้งเล่นบอลจริง กับเล่นบอลในเกม แล้วที่บ้านมีเกมเครื่องเดียว พอมีลูก 3 คน พี่สองคนก็เล่น เราก็เลยเป็นติ่ง บางทีเค้าเล่นกันคนละชั่วโมงรวมเป็น 2 ชั่วโมง อีก 1 ชั่วโมงเรามาเล่น ก็จะเล่นเกมแนวเลี้ยงสัตว์ แหวกออกไปซึ่งในตอนเด็ก คุณพ่อกับคุณแม่เค้ามีโรงงานเป็นของตัวเอง และเค้าก็มีหุ้นส่วน แต่ดันโดนหุ้นส่วนโกง จนธุรกิจล้มลง ต้องเริ่มต้นใหม่ เพราะฉะนั้นตอนพวกเราเด็ก ๆ พ่อกับแม่จะออกไปทำงานตั้งแต่เช้า ซึ่งต้องไปส่งพวกเราที่โรงเรียนก่อนที่ประตูโรงเรียนจะเปิดอีก ต้องตื่นตีสี่ครึ่ง พอก่อน 6 โมงเช้าก็ถึงโรงเรียนแล้ว ซึ่งโรงเรียนยังไม่เปิด มีวันนึงพี่ชายคนกลางโดนจี้เอากระเป๋าตังค์ แล้วดันโดนจี้วันจันทร์ แม่เพิ่งให้ค่าอาทิตย์มา แต่พ่อแม่เค้าก็ต้องไปทำงานเช้า กลับมาก็ประมาณ 2-3 ทุ่ม เพราะฉะนั้นตอนเด็ก ๆ พวกเราก็จะอยู่กับพี่เลี้ยงเป็นส่วนใหญ่ แล้วพอขึ้นมัธยม โยก็จะย้ายจากฝั่งธนฯ มาอยู่ประตูน้ำ จนอยู่ที่อยู่ ณ ตอนนี้”จุดเริ่มต้น ของการเดินบนเส้นทางสายบันเทิง“ตอนเด็ก ๆ ความฝันคิดว่า น่าจะได้อยู่ในวงการบันเทิง แต่ไม่รู้ว่าจะได้มาเป็นอะไร อยู่ตรงส่วนไหน ซึ่งการเข้าสู่วงการบันเทิงแรกสุดคือ แบงค์ แบล็ควนิลา ชวนมา โยเข้ามาตอน ม.6 ซึ่งเข้ามาเป็นแคสติ้งที่อาร์เอส แล้วที่ทำงานมันไกลบ้าน เราต้องขึ้นรถเมล์ บางครั้งขึ้นแท็กซี่ แล้วถ้าเราต้องขึ้นแท็กซี่ไปกลับมันไม่ไหว เงินค่าอาทิตย์เราก็ไม่ได้เยอะ ก็เลยปฏิเสธไม่เข้าวงการบันเทิงในตอนนั้นแล้วพอเข้ามหาวิทยาลัย เราก็เริ่มขับรถเอง แล้วมี พี่ก้อง ที่อาร์เอส เค้าดูแลเรื่องแคสติ้ง แล้วเค้าเห็นเราจากกลุ่มตัวแทนนิสิตจุฬาฯ แล้วโยก็ได้เป็นคนอันเชิญป้ายมหาวิทยาลัยเข้างาน แล้วพี่คนที่เคยชวนเราตอน ม.6 ก็เห็นเรา ก็เลยติดต่อโยว่าเข้ามาหน่อย พี่ก้องอยากให้เข้ามาแคส โยก็เลยตกลงเข้าไป ตอนนั้นมีโปรเจกต์ ซีควินท์ เข้ามาพอดี เราก็เลยได้เข้าไปทำตรงนั้นจริง ๆ โย เริ่มร้องเพลงครั้งแรกตอนที่ไปอเมริกา ซึ่งตอนเรียนมันจะมีวิชาให้เลือกเรียนเป็นวิชาคอรัส เราก็ไปเรียนเป็นเสียงเบส แล้วทุกวันนี้แม่ยังบอกอยู่เลยว่าเสียดายเนาะ ที่ตอนเด็ก ๆ พวกลูก ๆ มีความสามารถพิเศษอะไรแม่ไม่เคยรู้เลย ถ้ารู้แม่ก็คงบอกให้ไปเรียนเพิ่ม แล้วพอได้เข้ามาเป็น ซีควินท์ เราก็จะมีพื้นฐานร้องนิดหน่อย แล้วก็มีเรียนเพิ่ม มีครูแหม่ม ครูปุ้ม แล้วก็ครูคนอื่น ๆ สอนด้วย ก็เรียนอยู่ประมาณปีกว่าครับ”ตัวตนที่ถูกเก็บซ่อน เมื่อต้องมาเป็นบอยกรุ๊ปสุดฮอท“ตอนนั้น ซีควินท์ มี 5 คนครับ แล้วจะบอกว่าเอาจริง ๆ สิ่งที่โยทำในวงการบันเทิง ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีความสุขสักงาน มันเหมือนเป็นหน้าที่ ทุกอย่างที่อยู่ในชีวิตโย ก็ยังไม่เจออะไรที่ทำแล้วมีความสุขสุด ๆ รู้แค่ว่าอันนี้เหนื่อยมาก กับอันนี้เหนื่อยน้อย แล้วพื้นที่ความสุขในหัว คือการที่รู้ว่าวันนี้จะได้นั่งอยู่บ้าน นั่งดูทีวี อันนี้แหละคือความสุขและเมื่อมองไปถึงอนาคตข้างหน้า ว่าถ้าทำไปแล้วมันสามารถทำให้เราพัฒนาตัวเองไปอยู่จุดที่ดีขึ้น มันก็ควรจะต้องทำ ยกเว้นว่าถ้าทำแล้วทุกข์ก็ไม่ต้องทำในตอนที่อยู่ใน ซีควินท์ มันมีความน้อยใจบ้างครับ มันเหมือนเรารู้สึกได้ว่าทีมงานเค้าเหมือนไปพูดกันว่า โยชิเป็นเก้งนะ แล้วการจะดันคนคนหนึ่ง เขาจะไม่เลือกดันเก้ง ซึ่งการจะเป็นบอยแบนด์ หรือเกิร์ลกรุ๊ป เค้าจะต้องดึงตัวเด่นมา 1 คนก่อน เพื่อที่จะเป็นตัวเด่นในการตีหัวเข้าบ้าน แล้วเดี๋ยวค่อยไปรู้จักคนอื่น ๆ ในวงต่อ ซึ่ง ซีควินท์ ก็ต้องมีคนหนึ่งที่เด่นก่อน หลังจากนั้นเค้าก็พยายามดัน ดันจนแล้วจนเล่า จนโปรเจกต์ซีควินท์มันจบ แต่เค้าก็ไม่ได้ดันเราเราไม่ได้เพิ่งจะรู้สึกได้ในตอนจบนะ เรารู้สึกตั้งแต่แรก ๆ มีอยู่ครั้งนึงตอนนั้น พิชญ์กับโฟร์เป็นแฟนกัน แล้วก็จะมีเอ็มวีที่เค้าเล่นด้วยกันอยู่ตัวนึง ซึ่งถ่ายทั้งวัน กองนัดเราตั้งแต่เช้ายันค่ำ แล้วซีนที่เราเข้ามีแค่ซีนรวมคือหั่นผักอยู่ข้างหลัง ซึ่งพิชญ์อยู่ข้างหน้า แล้วกล้องอยู่ไกลมาก เราก็รู้ว่าเราเป็นตัวประกอบอยู่ข้างหลัง ก็เลยบอกทีมงานว่า เอ็มวีนี้จะยังไงก็ได้ แต่ก็ขอให้ช่วยอย่าให้ผมดูเหมือนเป็นอากาศเกินไปได้ไหม เราเข้าใจว่าเค้ามีเนื้อเรื่องในหัวอยู่แล้ว แล้วก็พยายามที่จะดันเนื้อเรื่องนี้ออกไป มันอาจจะเทไปที่ไลน์เรื่องของพิชญ์ 90% แล้วก็ไลน์เรื่องของเพื่อน ๆ อีก 10% แต่เราก็บอกว่า พี่ลองดูแล้วกันว่ายังไงให้มันดูสมเหตุสมผล และดูสมส่วนหน่อยนั่นคือเรื่องที่เจอตอนทำงาน แต่สำหรับที่บ้านจริง ๆ พ่อแม่เหมือนกับเค้าจะปล่อยเสรีนะ เราอยากจะทำอะไรก็ไปทำ ถ้ามีโอกาสอะไรดี ๆ เข้ามาก็ไปทำ แต่คุณพ่อบางทีก็จะรู้สึกว่า แต่เรื่องเรียนก็สำคัญห้ามทิ้งนะ เพราะถ้าเกิดว่างานวงการมันไปไม่รอดอย่างน้อยเรายังมีงานประจำ เราก็ยังทำอะไรต่อได้”จากบอยกรุ๊ปสุดฮอท สู่พิธีกรสุดแซ่บ และ CEO สุดปัง“พออยู่ ซีควินท์ ได้สักพัก โยได้โอกาสจากทาง YAAK มา ซึ่งเป็นช่องเคเบิล ของอาร์เอส เค้าให้โอกาส โย กับ พิชญ์ ไปทำพิธีกร หลังจากนั้นพอได้ไปทำ มันก็จะมีสล็อตเวลาที่ว่างอยู่ โยก็เลยเริ่มจากการขอเวลาไปวิ่งหาสปอนเซอร์ แล้วก็ขึ้นรายการเอง ทำไปจนถึง ซีควินท์ เข้าสู่ช่วงท้าย ๆ โยก็เริ่มทำผลิตภัณฑ์ของตัวเอง เริ่มทำธุรกิจส่วนตัวหลังจากนั้น พิชญ์ ก็จะทำรายการของเค้าเอง แล้วก็ชวนโยไปทำรายการด้วย หลังจากนั้น โยก็ทำรายการห้าวเก้ง ทำกับ พิชญ์ ซึ่งตอนนั้นโยทำพิธีกรอยู่หลายรายการ แล้วจะมีรายการหนึ่งที่โยจะสนิทกับพี่ ๆ ทีมโปรดักชั่น เค้าก็บอกว่า โยก็ไปเอาเวลาของช่องมาสิ แล้วเดี๋ยวก็ให้พี่ทำรายการให้โย ส่วนโยก็หาสปอนเซอร์ แล้วเอาเงินจากสปอนเซอร์ที่ได้มาจ้างพี่ แล้วที่เหลือโยก็เอาไป ซึ่งตอนนั้นโยก็มองว่าง่ายดีเนาะ ลองทำดูก็แล้วกัน จนสุดท้ายมันก็จะมีคอนเนคชั่นไปเรื่อย ๆ เป็นวิธีหาเงินของเราจนตอนนี้ โยก็มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นพวกเซรั่มบำรุงหน้า มีธุรกิจส่วนตัว แล้วก็ทำคอนเทนต์ลงช่องทาง Tiktok ซึ่งก่อนหน้านี้ที่เราอยากเป็นยูทูบเบอร์ แต่เรารู้สึกว่า ตัวเองเริ่มช้าไปประมาณ 5 ปี พอทำมาหลาย ๆ เทป เรารู้สึกว่ายอดผู้ติดตามมันไม่ขึ้นแล้ว ก็เลยหันมาทำเป็นคลิปเล็ก ๆ ทาง Tiktok ดีกว่า แล้วปรากฏว่าผลตอบรับดี มีสปอนเซอร์เข้า หลัง ๆ เลยเลือกทำคอนเทนต์ลง Tiktok แทน ซึ่งก็ทำคอนเทนต์ที่หลากหลาย ให้เหมาะกับสไตล์เรา Beauty ก็ได้ Healthy ก็ได้ อย่างเรื่องออกกำลังกาย หรือเรื่องกิน แล้วก็มีท่องเที่ยว มีคลิปสอนภาษาฝรั่งเศสด้วยครับ”เคล็ดลับปั้นหุ่นปัง และทานให้สุขภาพดี ของ โยชิ นิมิต“เริ่มตั้งแต่เช้า ตื่นมาโยจะกินผักปั่น ซึ่งจะมี ผักเคล, แครอท, มะเขือเทศ และ ฟักทอง หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วก็ปั่น เติมกล้วยน้ำว้า ใส่น้ำเปล่า ใส่โปรตีนพืชไปสัก 1 ช้อน แล้วก็กิน ทำแบบนี้มาเป็น 10 ปี แล้วครับ ซึ่งมันไม่ได้อร่อยหรอก รสชาติก็จะคล้าย ๆ กับโปรตีนที่เราใส่นั่นแหละที่ต้องกินผัก มีสาเหตุคือ ย้อนกลับไปตอนเด็ก เราไม่ชอบกินผัก จนตอนไปเรียนที่อเมริกา 1 ปีแล้วต้องดูแลตัวเองหมดเลย ปรากฏว่าเราถ่ายเป็นเลือด เพราะว่าไม่กินผัก ตามใจปากอย่างเดียว เน้นกินสปาเก็ตตี้ กินเฟรนช์ฟรายส์ แล้วไม่กินผักใบเขียวเลยแม้แต่ใบเดียว พอเริ่มถ่ายเป็นเลือด ตอนนั้นผมอายุ 15 ปี แล้วก็อายที่จะต้องไปบอกโฮสแฟมิลี่ว่าเรามีอาการนี้ แต่นึกขึ้นได้ว่า เราต้องกินผัก จะได้มีไฟเบอร์ เพราะจำที่พ่อเคยสอนมา หลังจากนั้นเราก็ไปซุปเปอร์มาร์เก็ต เอาเบบี้แครอทมากิน กินเยอะจนพี่ ๆ น้อง ๆ เอามากินด้วย จนโฮสมัมถึงขั้นต้องเรียกไปคุยว่า เธอรู้ใช่ไหมว่ากินแครอทเยอะ ๆ แล้วมันจะทำให้ตัวเหลืองนะ หลังจากนั้นพอกลับมาอยู่ไทย การกินเริ่มไม่เหมือนตอนอยู่ที่อเมริกาอีกแล้ว เริ่มกลับมากินผักน้อย แล้วกลับมาถ่ายเป็นเลือดอีกครั้ง ผมก็เริ่มจากเอาผลไม้มาปั่น หลัง ๆ มาเพิ่มผัก ให้มันได้สารอาหารแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรากินแต่ผักผลไม้ เพราะในหนึ่งวันความสมดุลมันต้องมี หมูกระทะ, ผัดกระเพราไข่ดาว, ไข่เจียว อันนี้คืออาหารทั่วไป ซึ่งหนึ่งวันมันมี 3 มื้อ ถ้าเรากินมื้อนึงเป็นผักล้วน เราก็มีโควตากินอาหารทั่วไปในมื้ออื่น เราก็บาลานซ์ให้สมดุลกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวันตอนนี้อายุ 37 แล้วครับ การออกกำลังกายก็ประมาณสัปดาห์ละ 6 วัน แต่ถ้าออกกำลังกายแบบไปยิมจริงจัง ใช้เทรนเนอร์ หรือเล่นเวท ก็จะอยู่ที่อาทิตย์ละ 3 วัน แต่ถ้าวันที่ไม่ไป ก็ต้องมีคาร์ดิโอสัก 40 นาที ออกกำลังกายให้พอดี แล้วโยเป็นคนที่ชอบขนมถุงมาก แต่ถุงนึงจะกินเป็นเดือน ก็จะหยิบออกมาทีละ 3-4 ชิ้นแล้วก็พอ ให้เรารู้ตัวเอง”ในวันที่ต้องเปิดเผยตัวตน กับคนในครอบครัว“ในเรื่องการยอมรับตัวตนของตัวเอง เรายอมรับตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว อาจจะเคยมีช่วงสับสนบ้าง เวลานักข่าวมาถามเราก็จะตอบไม่ได้ว่าตัวเองเป็นเก้ง ก็ต้องบอกว่า ผมไม่ได้เป็นเก้งครับ เป็นผู้ชายแท้ครับ แต่ก็เข้าใจว่าคำถามพวกนี้ นักข่าวเค้าก็จะได้เอ็นเกจด้วย ช่องเค้าก็จะมีคนดูมากขึ้น เอาไปลงหน้าปกคนก็ชอบอ่านส่วนกับครอบครัว เราเลือกวันที่จะบอกครอบครัวด้วยนะ ตอนนั้นเราเลือกวันเกิด เพราะมันต้องเป็นวันของเรา แล้ววันนั้นพี่ชายคนกลางที่ปกติอยู่ที่อเมริกา แล้วช่วงนั้นเค้ากลับมาพอดี ส่วนพี่ชายคนโตก็ไม่ได้อยู่ตรงประตูน้ำแล้ว เค้าย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่วันเกิดเราก็นัดทานข้าวรวมกันเลย พี่ชาย พี่สะใภ้ พ่อแม่ แล้วก่อนกิน เราก็บอกพี่ชายว่าให้มาที่ห้องโยก่อนนะ แล้วช่วงกินข้าว โยจะบอกพ่อแม่ว่าตัวเองเป็นเกย์นะ ซึ่งพี่ก็บอกว่าอ้าวเหรอ เป็นเกย์เหรอ ซึ่งเอาจริง ๆ พี่ก็น่าจะรู้ แต่ก็คงแกล้งทำเป็นไม่รู้แล้วตอนนั้นมันตลกตรงที่ พี่ชายคนโต ก็เหมือนกำลังจะบอกพ่อว่า ลูกคนที่สองของเค้าเป็นลูกผู้หญิงนะ คือภรรยาเค้าท้องอยู่ แล้วจะมาบอกพ่อแม่ในวันเกิดเรา แล้วความเป็นลูกคนจีน พ่อก็เหมือนคาดหวังนิด ๆ ว่าครั้งนี้คงจะได้หลานชาย ส่วนพี่ชายคนกลางก็ตั้งใจจะมาบอกพ่อกับแม่เหมือนกันว่า เค้าปรึกษากับภรรยาว่าอาจจะไม่มีลูกนะ ซึ่งโยบอกเลยว่า เรื่องของพวกพี่พักก่อนนะ วันนี้วันของโย พวกพี่ต้องเป็นแบ็คอัพให้โยในช่วงกินข้าว พ่อก็ถามโยนมาเลยว่า โยอย่าลืมหาสะใภ้ดี ๆ แต่งงานให้พ่อนะ ซึ่งโยก็เลยบอกว่า ป๊า โยคิดว่าน่าจะไม่ได้นะ เพราะว่าโยชอบผู้ชาย พูดเสร็จป๊าก็อึ้ง แล้วพี่ชายคนโตก็รู้งาน พี่ก็พูดสวนเลยบอกว่า ป๊าเค้ารู้นานแล้ว ไม่มีพ่อคนไหนที่ไม่รู้หรอกว่าลูกเป็นอะไร ป๊าก็อึ้งไปเลย พูดไม่ออกเพราะคำพูดของพี่ก็ค้ำคอไว้แล้ว หลังจากนั้นแม่ก็บอกว่าเป็นอะไรก็ได้ลูก แค่เป็นคนดีก็พอ เหมือนจะจบสวย แต่แม่ก็บอกว่า ขออย่างเดียวอย่ามีความรักนะลูก เพราะเวลาผู้ชายมีอะไรกันจะเป็นเอดส์ แล้วพี่ชายคนกลางก็บอกว่า ดูแลตัวเองดี ๆ แล้วกันนะ เดี๋ยวนี้เค้ามีวิธีป้องกันแล้ว ซึ่งความเชื่อของแม่มันเป็นความเชื่อที่ผิดอยู่แล้ว มันพิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ คือแม่เข้าใจผิดเรื่องนั้น แต่เราก็โตแล้ว อายุ 29 ปีแล้ว เรื่องความรักมันทำได้แล้ว และรู้วิธีป้องกันแล้ว มันไม่ใช่ความรักของเด็ก 16-17 ปีแล้วนะหลังจากที่ได้เปิดเผยตัวตน โยปลดล็อคมาก เพราะเราแคร์พ่อแม่มาก ๆ เราไม่อยากให้เค้าทุกข์ใจ แต่ถ้าเค้ารู้จากปากเราก็คือจบ หลังจากนั้นเราก็จะต้องมีช่วงเวลาหนึ่งให้พ่อทำใจก่อน เราก็จะไม่โผงผางมาก ซึ่งจริง ๆ แล้ว ช่วงอายุ 29 ปี ที่เปิดตัวกับพ่อ เป็นปีที่แฟนเก่าจะต้องย้ายจากออสเตรเลียมาอยู่กับเรา เค้าลาออกจากงานเพื่อที่จะมาเริ่มต้นใหม่ที่กรุงเทพ และเรารู้สึกว่าถ้าเค้าจะต้องมาอยู่บ้านเรา พ่อเราก็ต้องเห็นเรื่อย ๆ เลยเป็นสาเหตุที่เราคิดว่าเปิดตัวดีกว่า เพราะยังไงพ่อก็ต้องรู้อยู่ดี หลังจากเปิดตัวสักพัก แฟนเก่าก็เข้าบ้านเลย”เปิดหัวใจส่องความรักของ โยชิ นิมิต“กับแฟนเก่า พอมีเรื่อง Long distance relationship แล้วต้องบินตลอด ก็ตัดสินใจเลิกกันไปก่อนโควิด ตอนนั้นมันมีหลาย ๆ อย่างที่เข้ากันไม่ได้ แล้วเราเป็นคนรักใครแล้วรักมาก เราพยายามจะปรับทุกอย่าง แต่มันมีปัญหาเรื่องมือที่สาม แล้วลามไปเรื่องบนเตียง เพราะเค้าอยากให้มีอีกคนมาร่วมเตียงเรา ตอนนั้นเราก็บอกว่าก็ได้ถ้าเค้าโอเค โยก็โอเค เพื่อความแปลกใหม่ แต่หลังจากนั้นมันเลยเถิด ถึงขั้นคนที่สามเค้าอยากมาบ้านเรา แต่เรารู้สึกว่าเราไม่ได้อยากทำอะไรบนเตียงกับคนนี้แล้ว จนเราต้องบอกว่า ถ้างั้นเธอสองคนก็อยู่ที่บ้านไปแล้วกัน ฉันขอออกไปข้างนอกนะ หลังจากนั้นมันก็เลยเถิดเป็นเค้าเลิกกับเรา แล้วเค้าก็ไปเป็นแฟนกับคนนั้น เราเลยเหวอไปเลยว่าตัวเองพยายามปรับทุกอย่าง แต่ใจมันไม่อยู่ ปรับให้ตายยังไงก็ไม่ได้แล้วสำหรับความรักครั้งปัจจุบันนี่ดีครับ เราเจอกันช่วงท้าย ๆ โควิดแล้ว ตอนนั้นโยกะว่าจะไปเวิลด์ทัวร์สักหน่อย อยากจะไปเผยแพร่วัฒนธรรมไทย ให้ชาวโลกได้ดู เพราะโควิดมันนานมาก แล้วโยเป็นคนที่ชอบฝรั่ง แต่ช่วงนั้นฝรั่งออกจากประเทศไทยกันหมดเลย ดังนั้นโยเลยตั้งใจว่า ฉันจะไปฉีดไฟเซอร์ที่อเมริกา ซึ่งเราก็ไปฉีดจริง แต่หลังจากไปลงที่ชิคาโก แล้วหลังจากนั้นก็มีไปอีกเป็น 20 เมืองเลย กะว่าฉันจะต้องได้พบเจอผู้คนทั่วโลก ปรากฎว่าไปชิคาโก วันแรกไปถึงกลางคืน แล้ววันที่สองก็เจอกับ แมท เลย โยอยู่ชิคาโก 6 วัน ก็เจอแมท 5 วัน เพราะว่าแมทเค้าก็มาทำงานที่ชิคาโกเหมือนกัน เจอกัน 5 วัน พอวันที่ 6 ก็ย้าย แล้วก็ไปส่งเค้าที่สนามบิน ซึ่งเค้าก็ถามว่า โยคิดยังไง ถ้าจะ Long distance relationship เราก็บอกว่าได้นะ แล้วเค้าก็ถามว่า หรือเราจะลองเจอคนอื่น ๆ แต่เราก็ยังคุยกัน โยก็บอกว่าหรือเราจะลองดู สุดท้ายโยก็เดินทางไปเมืองอื่น ๆ แต่เป็นการไปท่องเที่ยว ดูธรรมชาติ ไม่ได้เจอใคร เพราะว่าเราเป็นคนพูดอะไรแล้วเราทำตามนั้น ถ้าคุณเต็มที่กับเรา คุณให้เราร้อย เราก็จะให้คุณร้อย เราจะไม่หมกเม็ด และจะไม่ไปทำอะไรลับหลังให้คุณไม่เชื่อใจเรา ก็ตกลงกัน แล้วเค้าบอกว่า เค้าแฮปปี้นะกับการที่ไม่ต้องเจอใครเลย คุยแค่กับเราคนเดียวก็แฮปปี้ ไม่ต้องไปมีเซ็กซ์กับใครเป็นเวลาหลายเดือนเค้าก็ไม่เป็นไร โยก็เลยตัดสินใจเริ่มความสัมพันธ์แบบ Long distance relationship ซึ่งเค้าเป็นคนฝรั่งเศส หลังจากนั้นโยก็จะบินไปหาเค้าอยู่เรื่อย ๆ เพราะด้วยความที่เค้าทำงานให้กับโรงแรมหรูมาก ๆ ไม่เหมือนงานเราที่ยืดหยุ่นมากกว่า ก็เลยตัดสินใจว่างั้นเดี๋ยวโยเป็นฝ่ายบินไปเองหลังจากนั้นโยก็เรียนภาษาฝรั่งเศส เพราะอยากคุยกับเค้า มันยากมาก และต้องเรียนกับแอปพลิเคชั่น ซึ่งมันสอนทุกอย่างเลย ระหว่างเรียนก็จะมี Quiz ให้เราหาคำไปตอบ มีให้เราแปลประโยคจากอังกฤษเป็นฝรั่งเศส หรือแปลจากฝรั่งเศสเป็นอังกฤษ มีให้พูดแล้วแอปพลิเคชั่นจะจับคำ ว่าเราพูดถูกสำเนียงรึเปล่า มีสอนแกรมม่าด้วย ซึ่งโชคดีที่โยเป็นคนจับเรื่องภาษาเก่ง แล้วโยก็เรียนทุกวัน จนตอนนี้เกือบจะ 3 ปีแล้วที่เรียน และดุแลกันมา ความรักระยะไกลหลักการเยอะมาก ความสัมพันธ์ต้องสม่ำเสมอ ความเชื่อใจ ความซื่อสัตย์ แล้วก็ความหวังดี มันต้องมีให้กัน มันต้องสมดุลกัน”โยชิ นิมิต กับชีวิตที่ชอบมูเตลู“อย่าเรียกว่าชอบเลยดีกว่า เรียกว่าเป็นคนเชื่อง่ายก็แล้วกัน ใครแนะนำอะไร ไปดูหมอดูคนไหน หรือหมอดูให้ทำอะไร ให้บุกน้ำลุยไฟเราทำหมด ซึ่งการมูที่รู้สึกว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดคือมูที่บ้าน มูพระพิฆเนศของที่บ้าน เพราะเรารู้สึกว่าท่านรู้จักเราดีที่สุด มีอะไรเราก็ไหว้ บางทีเราก็คุยกับท่าน ขอให้ช่วยเราเรื่องนี้หน่อยได้ไหม นอกจากที่บ้านก็จะมี พระตรีมูรติ หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ เพราะคอนโดอยู่ตรงประตูน้ำ เดินไปเซ็นทรัลเวิลด์สะดวกมาก ซึ่งหมอดูสอนมาว่า เวลาจะไหว้ เรายกมือไหว้แล้วขอเลยไม่ได้ ก่อนอื่นเราต้องขอให้ท่านเจริญขึ้นก่อน อย่างเช่น จะขอพระพิฆเนศ ก็ต้องบอกว่า ขอให้บุญบารมีทุกอย่างที่เราทำ ทำให้ท่านสูงขึ้น มีคนสักการะบูชาท่านมากขึ้น แล้วพอมีอะไรเหลือ ๆ ก็ให้มาถึงเราบ้าง อะไรประมาณนั้น”สีสันแรงบันดาลใจจาก โยชิ นิมิต“โยชอบในความที่เราเป็นคน Worry Free โยไม่ค่อยเครียด และเวลามีเรื่องเครียด โยจะเป็นคนที่ตัดออกไปได้เร็วมาก เพราะเวลาเครียด มันทำให้ร่างกายหลั่งสารที่มันท็อกซิกซ์ ซึ่งแต่ละคนมันมีเรื่องใหญ่มันไม่เหมือนกัน แต่ให้มองเอาไว้ว่า เรื่องนี้จะทำให้คุณตายรึเปล่า ตอนจบของเรื่องนี้ตายรึเปล่า ถ้าไม่ตายจะเครียดทำไม พรุ่งนี้มันก็มีใหม่ ทำใหม่ก็ได้ แต่ถ้าป่วย ถ้าเป็นโรคร้าย อันนั้นน่ากลัวจริง แต่ถึงจะป่วยมันก็ยังมีโอกาสที่จะไม่ตาย เพราะฉะนั้นถ้าการไม่เครียดมันจะเป็นการรักษาได้ก็ต้องห้ามเครียด ก็ต้องมองหาความหวัง” - โยชิ นิมิตพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

เรียนรู้ชีวิตแบบไม่งมงายตามสไตล์ “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ” พร้อมถามตอบเรื่องวิทยาศาสตร์ ไสยศาสตร์ ผี กับความเป็น LGBTQ+

10 ต.ค. 2024

เรียนรู้ชีวิตแบบไม่งมงายตามสไตล์ “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ” พร้อมถามตอบเรื่องวิทยาศาสตร์ ไสยศาสตร์ ผี กับความเป็น LGBTQ+

“ดวงชะตาคือสิ่งที่เรากำหนดเองว่าวันนี้หรือพรุ่งนี้เราจะทำอะไร สิ่งนี้ขโมยกันไม่ได้ กรรมคือการกระทำ ทำอย่างไรมันก็ต้องมีผล เพราะเรามีหน้าที่สร้างเหตุ แล้วผลมันเป็นอย่างไร มันมีปัจจัยอะไรที่ทำให้มันเปลี่ยนก็ค่อยว่ากันไป ทุกอย่างมันอธิบายได้”เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับ “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ” เจ้าของเพจ งมงายสไตล์หมอบี ผู้ที่คอยนำเสนอเรื่องราวดี ๆ ในเชิงธรรมะให้คนเข้าใจและเข้าถึงได้ง่าย พร้อมดำรงตนอยู่บนความไม่งมงาย และยังอุทิศตนเป็นทูตธรรมแห่งวัดพระบาทน้ำพุ โดยในรายการได้มีการถามตอบข้อสงสัยให้ได้เห็นมุมมองแนวคิดในเรื่อง วิทยาศาสตร์ ไสยศาสตร์ ผี กับความเป็น LGBTQ+ ไว้อีกด้วยย้อนวันที่คนเริ่มรู้จัก หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ“ผมเป็น หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ มาน่าจะ 10 ปีแล้ว และยังคงพูดเสมอว่า ทุกอย่างมันต้องมีเหตุ มีผล มีปัจจัย ไม่ใช่เราอ้างขึ้นมามั่ว ๆ อะไรที่มันพิสูจน์ไม่ได้เลย ผมก็จะไม่บอกให้คนเชื่อ และเราไม่ได้อยู่บนพื้นฐานความเชื่อใด ๆ ทั้งสิ้นเมื่อก่อนเราเป็นที่รู้จักจากการไปออกรายการนี่แหละ ครั้งแรก ๆ ก็คือมาตึกแกรมมี่นี่แหละ มาเข้ารายการสด แล้วเราก็พูดทักตามที่เราเห็นจนมันตรงแล้วมันเกิดไวรัล ซึ่งผมมองว่าทุกวันนี้ มันสะท้อนให้เห็นถึงสังคมอ่อนแอ คนไม่มีที่พึ่ง แล้วก็ไปพึ่งอะไรสักอย่างที่สามารถให้คำตอบเร็ว ๆ แต่ไม่เข้าใจตรรกะ ไม่เข้าใจเหตุผล ไม่เข้าใจเรื่องเหตุปัจจัย ก็เลยไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้ว มนุษย์อยากได้อะไร ซึ่งการจะทำอะไร มันต้องมีเหตุปัจจัยของมัน ไม่ใช่ว่าอยู่ดี ๆ พูดขึ้นมาว่าอยากได้อะไร แล้วไปไหว้ ๆ ไปขอ ๆ แล้วสำเร็จเลย สมหวังตอนนั้นเลย แบบนั้นมันทำไม่ได้”หมอบี กับการสื่อสารกับวิญญาณ“คำว่า ทูตสื่อวิญญาณ มันเกิดจากพี่คนหนึ่งตั้งชื่อให้ครับ เหมือนตั้งชื่อให้มันดูเท่ห์เฉย ๆ ส่วนคำว่าวิญญาณในความหมายของผม วิญญาณ คือ 1 ในขันธ์ 5 ซึ่งประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่ง วิญญาณ แปลว่า การรับรู้ความรู้สึก เช่น รู้สึกว่าหิว รู้สึกว่าง่วง นั่นแหละคือวิญญาณผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองมีคนอื่นเค้าเรียกว่าเซ้นส์รึเปล่า แต่เราเจออะไรก็พูดไปตามนั้น หลายคนก็จะให้ผมทักเค้าว่ามีอะไรอยู่รอบตัวรึเปล่า แต่เราจะทักก็ต่อเมื่อมันมีผลจริง ๆ ถ้าบอกแล้วต้องเป็นสิ่งที่มันไม่เกินกรรม บอกแล้วสามารถนำพาเค้าให้เปลี่ยน พัฒนา หรือปรับปรุงได้ แล้วทำให้เค้าดีขึ้น หรือถ้ารู้สึกว่าจะทำให้สิ่งไม่ดีที่จะเกิดขึ้น แต่ถ้าเราทักแล้วมันจะไม่เกิด ถ้ามันไม่เกินไป เราก็จะบอกตั้งแต่เด็ก ๆ เราก็เข้าใจว่าทุกคนก็คงเห็นเหมือนเรา ซึ่งเวลาเจอหน้าเพื่อนผมชอบทักประมาณว่าเดี๋ยวช่วงนี้ คุณจะต้องเจอเรื่องผิดปกติแบบนี้นะ ซึ่งตอนนั้นเพื่อนก็ไม่เชื่อ แต่พอถึงเวลา เค้าก็เจอเหตุการณ์นั้นจริง ๆ เหมือนกับว่าอยู่ดี ๆ ทำไมฉันเห็นความตาย เห็นผี เห็นสิ่งลี้ลับ แล้วเค้าก็จะมาบอกกับเรา และถามเราว่าต้องทำยังไงดี บางคนเค้าก็จะคิดว่าเค้าบ้าคนที่บ้านรู้ครับว่าเราสัมผัสได้ เค้ารู้มาตั้งแต่เราเด็ก แต่เค้าก็พยายามไม่ได้ให้ค่า แต่พอโตขึ้นเค้าก็พยายามเช็คอยู่ว่าสิ่งที่เราทำมันต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ต้องไม่นำพาผู้คนไปในทางที่ไม่ดี แค่นี้เค้าก็สามารถภูมิใจในการที่ลูกมีสัมผัสแปลก ๆ ได้ มันก็โอเคแล้วหลายคนก็จะถามว่าสื่อสารกับผี ต้องใช้ภาษาอะไร ต้องบอกว่าไม่เกี่ยวครับ มันคือใจของเรา ในบางทีถ้าเรารักกันเรามีความปรารถนาดีต่อกัน เรายิ้มแย้มต่อกัน ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้ภาษาพูดเลย แต่เรารับรู้ความต้องการสิ่งที่จะสื่อสารได้ เวลาสื่อสารกับผีก็ใช้หลักการเดียวกันแหละครับ”โลกใบนี้มีผีจริงไหม?“มันขึ้นอยู่กับว่า เรานิยามคำว่าผีว่าอะไร ถ้าเราบอกว่าเราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง พอตายปุ๊บ วิญญาณลอยขึ้นไปเป็นเหมือนผีแคสเปอร์ แล้วก็คอยทำโน่นทำนี่ อันนี้ไม่จริง ตามหลักจริง ๆ คือ เวลามนุษย์เสียชีวิตจะไปทันทีเลย ไม่มีสภาวะกลาง ๆ ถามว่าไปไหนคือ ไปที่ชอบที่ชอบ ตอนมีชีวิตอยู่เค้าทำตัวอย่างไร ตายแล้วเค้าต้องเป็นอย่างนั้น ไม่สามารถจะไปยัดเยียดคุณงามความดีให้ได้ หลายคนคิดว่าเวลาคนจะตายต้องให้จิตคิดแต่เรื่องดี ๆ ซึ่งในความเป็นจริงมันทำไม่ได้ ถ้าคนมันชั่วมาทั้งชีวิต อยู่ดี ๆ ตอนตายจะมาให้คิดดี มันคิดไม่ได้ ส่วนคนที่คิดดีมาตลอด เวลามีชีวิตมีบุญกุศลตลอดเวลา ช่วยเหลือผู้อื่นตลอดเวลา พอจะตายบอกให้คิดเรื่องแย่ ๆ ให้เห็นแก่ตัว มันก็ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นคุณต้องประกอบด้วยคุณงามความดีมาแต่แรกอยู่แล้ว มันไม่มีใครช่วยเอาบุญไปยัดใส่มือใครอีกคนได้ถามว่าไปไหนต่อ เช่น เค้าอยากจะกลับมาฝึกฝนเรียนรู้ เพื่อเป็นมนุษย์อีกครั้ง เพื่อที่จะได้พัฒนาตัวเอง เรียนรู้ ชีวิตต้องดีขึ้น แย่ลง เพราะอะไร เหตุปัจจัยคืออะไร เค้าก็จะได้เป็นมนุษย์อีกครั้ง ซึ่งเป็นภพภูมิที่ประเสริฐที่สุด แต่สมมติว่าเค้าเสพแต่ความสุข จิตใจอยู่ในสมาธิอย่างเดียว อิ่มเอมอย่างเดียวไม่รับรู้เรื่องอะไร ก็จะกลายเป็นเทพเป็นพรหม ส่วนคนทำชั่วตลอดก็อย่างที่เราเรียนรู้ว่าไปนรกก็ว่าไป เพราะฉะนั้นเสวยความสุขเยอะ ๆ เพราะทำความสุขมาเยอะก็ไปเสวยความสุข ทำความทุกข์มาเยอะ จิตใจก็เสวยความทุกข์ ก็แค่นั้นครับจริง ๆ แล้ว ถ้าเราคิดไม่ออกว่า ผี มันคืออะไร ให้นึกถึงเวลาเราโกรธใครมาก ๆ อาฆาตแค้นใครมาก ๆ จิตใจเราจะหมกมุ่นอยู่กับสิ่งนั้น บางทีกินไม่ได้นอนไม่หลับ สมมติว่าร่างกายมันเน่าเปื่อยสลาย แต่จิตใจมันยังอบอวลไปด้วยความรู้สึกเคียดแค้น สภาพความยึดติดนั่นแหละเค้าเรียกว่าผี ส่วนมันจะไปอยู่ในรูปร่างรูปแบบไหนก็อีกเรื่องนึงโดยธรรมชาติเราไม่ต้องไปบอกว่าเธอต้องไปสักที ไม่ต้องยึดแน่น เพราะว่าไม่มีใครในโลกนี้มีสิทธิ์ที่จะอยู่ต่ออยู่แล้ว เพราะทุกคนไม่อยากตาย แต่เวลาตายเสร็จแล้ว เราจะมาบอกว่าฉันไม่ไป ฉันจะอยู่ต่อเพราะฉันห่วงลูก ฉันห่วงเมีย ฉันห่วงที่ดิน ฉันไม่อยากไปไม่ได้ ถ้าทุกคนมีสิทธิ์แบบนี้หมด โลกมันต้องรกรุงรังเต็มไปด้วยผี ทุกคนไปมันก็ต้องไปด้วยเหตุปัจจัย ก็ต้องไปทันทีแบบที่เค้าเรียกว่า จุติ เพราะ จุติ แปลว่า ตาย แล้วไปปฏิสนธิเป็นสิ่งอื่นใหม่ทันทีเลย ไม่มีทางที่จะมีสภาวะกลาง ๆ การเสียชีวิตก็เป็นปกติ คำว่า เสียชีวิตปกติ แปลว่ารู้ตัว คนที่เสียชีวิตแล้วเป็นปกติ ก็จะไม่ยึดติดอะไร นอกจากคนเสียชีวิตไม่ปกติ เช่น ฆ่าตัวตาย หรือ เกิดอุบัติเหตุ ที่ภาษาไทยเค้าเรียกตายโหง ตายไม่รู้ตัว อันนี้น่ากลัว เราต้องไปทำอะไรสักอย่างเพื่อกระตุ้นให้รู้ตัวว่าเค้ากำลังทำอะไรอยู่เวลาสื่อสารกับผี ส่วนมากผมก็คุยปกตินี่แหละ มีครั้งหนึ่งผมไปทางภาคใต้ แล้วศาสนาหนึ่ง เค้าก็มีความเชื่อว่า เพราะเค้าทำตัวไม่ดี เค้าก็เลยถูกฝังไว้ที่นั่น ไปไหนไม่ได้ ก็ยึดติดอยู่ตรงนั้น พอเราไปเห็นก็เลยงงว่าทำอะไรกัน ผีก็บอกว่าเค้าไปไหนไม่ได้ เราเลยบอกว่าไปได้สิ คุณอยู่เกาะนี้ใช่ไหม ไหนคุณลองไปเกาะโน้นสิ ลองกระโดดไป 1 ครั้ง แล้วพอเค้ากระโดดไปได้ เค้าก็งงว่า ตัวเองทำอะไรอยู่นี่มาทำไมตั้งนาน พอเค้ารู้ว่าจริง ๆ ไม่ได้ติดอะไร เค้าก็ไปส่วนผีจะขอให้เราไปเคลียร์กับคนไหม มีครับแต่น้อย อย่างที่บอกว่าผีคือความยึดติด และเขาจะไม่ยึดกับเรา เขาจะไปยึดติดกับสามีของเขา เพราะฉะนั้น เค้าอยากจะไปคุย ไปเคลียร์ มันไม่เกี่ยวไรกับเรา มันเลยค่อนข้างยากที่เค้าจะมาบอกว่าช่วยหน่อย ส่วนใหญ่ต่อให้มี เราก็จะบอกว่า มันไม่ใช่เรื่องของคุณเพราะคุณไปแล้ว มันอยู่คนละโลกกัน คุณจะมาทำแบบนี้ไม่ได้ผีพวกนี้ต้องทำความเข้าใจ เหมือนมันมีคลาสที่หมายถึง วิธีการ หรือ สิ่งในการยึดติดในจิตใจมันต่างกัน เช่นบางคนโกรธเกลียดเคียดแค้น บางคนละโมภโลภมาก บางคนมีความหลงงมงายมันคนละเรื่องกัน เหมือนบ้านเรา หรือคอนโดเราอยู่ด้วยกัน เรายังไม่รู้จักห้องข้าง ๆ เลย มันเลยไม่ได้แปลว่าผีทุกตัวจะต้องมาเจอกัน หรืออยู่ในยูนิเวิร์สเดียวกัน มันก็ไม่ใช่ครับถามว่าการไปช่วยสื่อสารกับผี เป็นการท้าทายระบบไหม ต้องบอกว่าแต่ก่อนผมเป็นแบบนั้น นิสัยไม่ดี บางทีเราไปจัดการบางเรื่องแล้วเหมือนไปบิดเรื่องราวที่มันไม่ควรจะเป็น แต่ท้ายที่สุดแล้ว กรรมใครกรรมมัน โยกไม่ได้ กรรมคือการกระทำ แล้วใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น เหมือนบุญบาป แต่ความลำบากเดือดเนื้อร้อนใจที่เราดันไปทำให้ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่มันไม่ควรจะเป็น ความลำบากใจมันก็จะเป็นบาป หรือความไม่สบายใจที่เกิดขึ้นกับเรา เค้าเรียกว่ามันเป็นการสร้างบาปอันใหม่ขึ้นมา แต่อย่าไปโยงว่า เป็นการเอาบาปของเค้า มาใส่ให้เรา อันนี้ไม่ถูกครับแล้วบุญคืออะไร สร้างอย่างไร บุญคือความสบายใจ สบายใจแปลว่าไม่หวงหน้าพะวงหลัง ทำอะไรแล้วมันก็เคลียร์ โล่ง โปร่ง สบาย นี่คือบุญ แล้วบุญมันทำง่ายมาก เช่น ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เวลามีอุทกภัยน้ำท่วม มีน้ำจิตน้ำใจ นั่นคือการทำหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ ทำแล้วก็โล่ง โปร่ง สบาย บุญเกิดได้กับเรื่องแค่นี้เอง ทำหน้าที่ของตัวเองให้ถึงพร้อม หน้าที่เป็นพ่อ หน้าที่เป็นแม่ หน้าที่เป็นลูก หน้าที่เป็นสามี หน้าที่เป็นภรรยา ถ้ามันทำถูกต้องตามหน้าที่ของตัวเองจะสบายใจ เกิดแต่เรื่องดี ๆ นี่แหละบุญ อย่างการเข้าวัดมันก็เรื่องดี แต่เข้าไปทำอะไร ไปไหว้แล้วก็ขอนั่นนี่เยอะมาก แล้วมันสบายใจตรงไหน พอมันไม่สบายใจ แล้วคุณจะเอาบุญจากไหน มันไม่มีทางได้บุญ”การเป็น LGBTQ+ เกี่ยวกับบุญบาปหรือไม่?“เราจะเป็นเพศไหนเราก็เป็นคนเหมือนกันหมด เรามีความสุข ความทุกข์ มีความอยากได้ มีความเสียใจ แล้วมันต่างกันตรงไหน การที่เรามีความรัก มีความปรารถนาดี แล้วอยากให้คนอื่นมีความสุข อยากได้คน ๆ นั้นมาอยู่ข้าง ๆ แล้วมีความสุข มันเกี่ยวอะไรกับเพศ เพราะฉะนั้นอย่ามาอ้างว่ามันเป็นเรื่องบุญเรื่องบาปแต่การยึดติด และพยายามจะบอกว่า ฉันเป็นอย่างงี้ มีสิทธิ์อย่างงั้น พอยึดติดแล้วมันทุกข์ การกอดความทุกข์เอาไว้มันเป็นบาป เพราะบาปคือความไม่สบายใจ ดังนั้นมันไม่ได้เกี่ยวกับว่าคุณเป็นเพศอะไร หรือระบุว่าตัวเองเป็นเพศอะไร แต่ต้องทำความเข้าใจ และยอมรับตามความเป็นจริงให้ได้ว่า ก็ฉันเป็นเพศนี้ ฉันมีความรักกับคนนี้ เท่านั้นพอส่วนใครเป็นเพศไหน ถ้าเป็นผีก็จะมีเพศสภาพแบบนั้น เพราะเราก็แสดงออกตามสิ่งที่เราจำได้ จากที่เราเคยส่องกระจกว่า เราเป็นอย่างนี้นะ ก็จะแสดงให้คนอื่นเห็นแบบนั้นเช่นกัน”ทำไมเดือนตุลาคม ถึงมักมีเรื่องไม่ดี?“มันเป็นปกติครับ ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติว่า การเกิด การตาย เป็นปกติ การตกทุกข์ได้ยาก การพลัดพรากสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักเป็นปกติที่ทุกวันก็มี แต่เราให้คุณค่ามันกับมันจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต แต่สุดท้ายแล้วเราจะเห็นความน่ากลัวของการเกิด การเกิดน่ากลัว ความตายไม่น่ากลัว และการเกิดเป็นมนุษย์น่ากลัวที่สุด เพราะมันต้องเกิดเรื่องราวต่าง ๆ เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็เจ็บไข้ได้ป่วย พลัดพรากบุคคลอันเป็นที่รัก สุดท้ายก็ต้องตาย ซึ่งมันคำนวณไม่ได้เรื่องภัยธรรมชาติ ผมก็พูดบ่อย ซึ่งมันไม่ได้เป็นเรื่องพิสดาร ไม่ใช่เรื่องดวง มันเป็นเรื่องปกติ แต่มันเป็นธรรมชาติที่คำนวณได้ มันมีเหตุปัจจัยทางธรรมชาติที่คุมได้ก็มี คุมไม่ได้ก็มี แล้วสิ่งที่คุมได้ ทำไมไม่คุม ทำไมไม่ช่วยลดเหตุปัจจัยให้มันแย่น้อยลง เราต้องเข้าใจในบริบททั้งหมด อย่าไปโทษธรรมชาติอย่างเดียว อย่างเรื่องน้ำท่วม เดี๋ยวมันแย่แน่นอน แล้วมันก็จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก เรื่องนี้มันควบคุมได้ หากสามารถบริหารจัดการน้ำให้มันดีขึ้นกว่านี้”ขโมยดวงสามารถทำได้จริงไหม?“ขโมยจากไหนครับ ถ้าเราเข้าใจดวงก่อน ว่าดวงมันคืออะไรสักอย่างที่เป็นการเคลื่อนที่เคลื่อนย้ายจากเรา เป็นสิ่งที่บอกว่าอนาคตจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ พรุ่งนี้จะเป็นยังไง ในอดีตเคยเป็นแบบไหนมาก่อน ถามว่าสิ่งนี้ใครจะมาขโมยเราได้ด้วยเหรอ พรุ่งนี้จะกินข้าวกับอะไร ขโมยได้ด้วยเหรอครับ เรากินมากกินน้อย อิ่มแล้วอยากผอม อยากอ้วน อร่อยมาก อร่อยน้อย เราก็ตัดสินใจเอง แล้วคนอื่นเค้าขโมยได้ด้วยเหรอ แค่คิดก็ไม่มีอะไรที่มันจะมาสนับสนุนเรื่องพวกนี้อยู่แล้วถ้าเราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง แล้วเรามีความเข้าใจ เราจะรู้สึกเลยว่า ทำไมเราต้องมาพึ่งอะไรกับเรื่องพวกนี้ด้วย ดูดวง สะเดาะเคราะห์ ถามว่าเคราะห์มันสะเดาะยังไง กุญแจที่ใช้สะเดาะคือยังไง หลายคนรับขันธ์ ยังไม่รู้เลยว่าขันธ์ไหน คนชอบอ้างว่างเรื่องพวกนี้ทำแล้วสบายใจ ไม่เดือดร้อนใคร เราไม่คิดเหรอว่าจริง ๆ แล้ว การกระทำของเรา หรือผลที่มันเกิดจากทุกวันนี้ สมมติว่าเราอ้วน เราไปสะเดาะเคราะห์ แล้วเราหายอ้วนไหม ถ้าเราเข้าใจเรื่องธรรมชาติ ว่ากรรมคือการกระทำ ทำอย่างไรมันก็ต้องมีผลมากน้อยว่ากันไป เพราะเรามีหน้าที่สร้างเหตุ แล้วผลจะเป็นยังไง มันมีปัจจัยอะไรบางอย่างมาทำให้มันเปลี่ยนแปลงก็ว่ากัน ถ้าชีวิตมันแย่มาก ๆ อยากจะมีชีวิตที่ดีก็เปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนคำพูด รักษาความเป็นปกติของมนุษย์ ชีวิตมันก็เปลี่ยนแปลง มันก็ดีขึ้นได้ มนุษย์ไม่ได้พูดได้ตั้งแต่เกิด ธรรมชาติของมนุษย์คือ เกิดมา ศึกษา เรียนรู้ มีคนสอน เริ่มเดินเป็น แล้วถึงค่อย ๆ พูด ความเป็นมนุษย์มีแค่นี้ ไม่มีใครมาดลบันดาล มาเสกแล้วโรคหายเลย เคยทำอะไรไม่ดีมาเอาน้ำมนต์ใส่แล้วหาย หรือไปลอดโน่นลอดนี่ นอนในโลงศพแล้วหาย มันไม่ใช่ ทุกอย่างมันมีอุบาย และมันมีเหตุผลของมัน การไปนอนในโลง ก็เพื่อให้เราระลึกว่าสุดท้ายคุณตายแล้ว คุณเอาอะไรไปไม่ได้เลย คุณต้องไปอยู่ในโลงเล็ก ๆ คุณจะยากดีมีจนแค่ไหนก็ตาม คุณทำอะไรมาก็ตาม สุดท้ายเอาอะไรไปไม่ได้เลย พอเราระลึกถึงความตายได้ ก็จะเกิดความไม่ประมาท มีสติรู้ตัว แล้วมันเกิดการพัฒนาในชีวิต เหตุผลมีแค่นี้”ถ้ารู้ว่าดวงจะเป็นยังไง เราสามารถแก้ดวงได้ไหม?“ต่อให้คน ๆ นั้นดูดวงแม่นมาก รู้ทุกอย่าง สมมติผมก็ได้ ผมไปรู้เรื่องราวมากมาย คำถามคือ รู้แล้วยังไงต่อ ต้องไปซื้อคอร์สนะ ต้องทำพิธีนะ แบบนี้เหรอ แล้วทำไมเราต้องทำอะไรอย่างงั้นด้วย ซึ่งถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ เราก็จะตกเป็นเหยื่อแบบนี้เรื่อยไปทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยการกระทำของเราล้วน ๆ ไม่มีเรื่องพวกนั้นหรอก แต่เวลาเราไปให้คุณค่า ก็จะหมกมุ่นเรื่อย ๆ แล้วสิ่งนั้นจากไม่มี มันก็เลยมี เพราะเราไปให้คุณค่ามัน จากที่ทุกอย่างเป็นปกติ พอมีคนให้บางสิ่งมาบูชา สิ่งนั้นก็เลยมีคุณค่าขึ้นมา ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ให้ทั้งความสุข และความทุกข์กับเราได้ แล้วพอมันมากขึ้น เราก็จะจมดิ่งไปเรื่อย ๆ คราวนี้ก็เริ่มเชื่อทุกอย่าง สุดท้ายชีวิตก็พินาศ แล้วคนที่มีโมหะมาก ๆ คือมีความหลงผิดมาก ๆ มีอวิชามาก ๆ ดึงยังไงก็ไม่ขึ้น ใครพูดให้ตายก็ไม่ฟัง ก็ยังเชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำ คือสังคมเราอ่อนแอมาก แทนที่เราจะพึ่งพาตัวเอง กลับต้องไปพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งในพุทธศาสนาไม่มีคำว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราจะศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยการกระทำของเรา การโทษกรรมเก่า คิดว่าชาติที่แล้วดวงไม่ดี หรือเทพไม่ช่วย นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าประณาม มันไม่ถูกขอทำไมครับ สมมติเราอยากมีแฟน เราต้องสร้างเหตุปัจจัย เริ่มจากตัวเราก่อน ให้มีองค์ประกอบครบก่อน แล้วมันยากตรงที่ว่าเราสร้างคนเดียวไม่ได้ มันต้องมีอีกคนหนึ่งสร้างไปด้วยกัน ปรับไปด้วยกัน มีความเชื่อเสมอกัน มีความเป็นปกติของมนุษย์เหมือนกัน มีปัญญาประมาณเดียวกัน มีความสละ มีจิตใจ มีน้ำใจเหมือนกัน ประกอบด้วยศีล จาคะ ปัญญา ศรัทธา ถ้ามันเสมอเสมือนแล้วสมานกัน มันก็ค่อยสร้างมาเป็นคู่กันได้ กลับกัน ไม่สร้างอะไรมาเลย แล้วไปขอกับรูปปั้น แล้วคิดว่าเค้าให้คู่คุณได้ พอเราเชื่อแบบนี้ สังคมก็เป็นแบบนี้ แล้วก็โดนหลอกแบบนี้ไปเรื่อย ๆ อยากได้คู่ ก็ต้องสร้างเหตุปัจจัยครับ”เราควรทำตามความเข้าใจ ด้วยเหตุปัจจัย“เราทำตามความเข้าใจด้วยเหตุปัจจัย เช่นสวดมนต์ เราต้องรู้ว่าการที่เราสวดเรามีสติไหม เกิดสมาธิไหม เกิดความสบายใจไหม และเกิดมีปัญญาเข้าใจในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนรึเปล่า ถ้าไม่ก็ไม่รู้จะสวดทำไม ร้องเพลงเอาก็ได้ สมาธิ คือ การตั้งมั่นจิต ใจเราตั้งมั่นอยู่ตรงไหน โฟกัสอยู่กับสิ่งตรงหน้า ถ้าเรารู้ตัวพร้อม รู้สึกตัวตลอด เวลาเราทำอะไร เราพูดอะไร ควรพูดหรือไม่ควรพูด นี่ก็คือ สมาธิ ส่วน ภาวนา แปลว่า พัฒนา เราสามารถภาวนาได้ทุกเวลา แต่บางคนสวดมนต์โดยไม่รู้ความหมาย แล้วมันก็เละเทะไปใหญ่ คิดว่าสวดแล้วชีวิตจะดีขึ้น ปรับภพภูมิได้ ความคิดนี้มาจากไหน ใครมาสอนเรื่องไรพวกนี้ไม่มี สวดแล้วมันต้องเกิดสติ เกิดสมาธิ จิตใจตั้งมั่น สวดแล้วมันสบายใจ มีปัญญารู้เข้าใจได้ว่าความหมายคืออะไรเวลาสวดมนต์ ที่ต้องเริ่มต้นด้วย นะโม ตัสสะ เพราะเป็นการบูชาบุคคลที่เอาเรื่องราวความจริงในโลกมาบอกเรา เป็นหนึ่งในมงคล ซึ่งมงคลในชีวิตมี 38 ประการ อยู่ดี ๆ มีคน ๆ หนึ่งมาบอกว่าชีวิตคืออะไร ความสุขความทุกข์คืออะไร อะไรคือเหตุปัจจัยความสุขความทุกข์ จะทำยังไงให้ชีวิตดีขึ้นหรือแย่ลง ทำยังไงให้ไม่เกิดทุกข์อีก เราก็แค่บูชา ข้าพเจ้าขอนอบน้อมบูชาคน ๆ นั้น คนที่เก่งมาก รู้ได้เองแล้วมาบอกต่อเราด้วยแล้วเวลาเราไปขอองค์เทพ แล้วขึ้นด้วย นะโม ตัสสะ มันเหมือนเอาความเชื่อสองอย่างที่มันขัดกันมารวมกัน เพราะพระพุทธเจ้าสอนเรื่องเหตุปัจจัย ทำอะไรกระทำด้วยตัวเอง แต่ตอนขอองค์เทพ คุณตั้งนะโมขึ้นก่อน มันเหมือนว่าคุณบูชาคนที่บอกว่าทำด้วยเหตุปัจจัย เพียรพยายามด้วยตัวเอง แล้วคุณก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปพึ่งสิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ต้องพึ่ง มันก็เลยเหมือนขัดกันแม้กระทั่งการจุดธูป คนก็บอกว่าการจะไหว้มันต้องจุดนะ แต่เราก็รู้ว่าจุดแล้วมันก็มีปัญหาเรื่องp.m. 2.5 แต่เรายังไม่รู้เลยว่า ความหมายของธูป 3 ดอกคืออะไร เราก็จุดไปเรื่อย เทพองค์นั้นจุด 9 ดอก องค์นี้ 7 ดอก เทพมาบอกคุณตอนไหนว่าจุดกี่ดอก ดอกไม้ต้องสีนี้ เพราะว่าองค์นั้นชอบสีนี้ ถามว่าแล้วเค้าจะไม่ชอบสีอื่นเหรอ เค้าไม่เบื่อเหรอ เพราะฉะนั้นเราทำอะไรต้องมีปัญญานิดนึง คนยังเข้าใจอยู่เลยว่าธูป 3 ดอก คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งจริง ๆ แล้ว ธูป 3 ดอก คือ พระพุทธคุณ พระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณหรือบางคนเข้าใจคำผิด ๆ เช่นเวลาไปเที่ยวอินเดีย ไปเที่ยวสังเวชนียสถาน ไปแล้วเกิดความสังเวช เศร้าโศกเสียใจ จริง ๆ แล้ว สังเวช แปลว่า เอาเป็นเครื่องระลึกให้กระตุ้นใจเราว่า มัวทำอะไรอยู่ พระพุทธเจ้าสอนเรามาสองพันกว่าปีแล้ว ให้เราเกิดความฮึกเหิม ไม่ใช่มัวแต่เศร้าโศกเสียใจดังนั้นเราต้องศึกษา มนุษย์มีหน้าที่ศึกษาเรียนรู้ พูดอะไรผิดพลาดไปก็ศึกษาเรียนรู้ เราก็จะเก่งขึ้น พัฒนาขึ้น ครูบาอาจารย์ถึงบอกให้เราภาวนา เพราะภาวนาแปลว่าพัฒนา มนุษย์เราพัฒนาได้ตลอดเวลา ถ้าไม่อยากโง่ ไม่อยากหลงผิด ไม่อยากเป็นเครื่องมือของไสยศาสตร์ ไม่อยากมีโมหะ คุณก็ศึกษาทำความเข้าใจว่า ชีวิตคืออะไร เกิดมาทำไม ธรรมชาติของสรรพสิ่งคืออะไร แล้วปฏิบัติให้มันตรง และสอดคล้องกับธรรมชาตินั้น”ไสยศาสตร์ คือเหตุปัจจัยที่เกี่ยวกับเราไหม?“คำว่า ไสยศาสตร์ คือศาสตร์ของคนโง่ เพราะ ไสยะ คือ ความโง่ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของคนที่พึงพาในสิ่งที่ไม่ควรพึ่งพิง ฉะนั้นคุณต้องยอมรับสิ่งที่ตัวเองได้ทำขึ้นมา ไม่มีทางลัดใด ๆ ในโลกอยากได้อะไรแล้วเสกดลบันดาลเอา มันไม่มี หากเราพิสูจน์ไปเรื่อย ๆ เราจะรู้เองว่าไม่มี เราทำอะไรรู้ว่าสิ่งที่ทำมันได้มาจากความพากเพียร ความพยายามของเรา ซึ่งสิ่งที่มันผิดพลาดไป หรือมันเป็นเหตุปัจจัยอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเรา เช่นเราพยายามทำดี เราขยันทำมาหากิน แต่คนรอบข้างไม่ดี เศรษฐกิจไม่ดี สิ่งแวดล้อมไม่ดี เราควบคุมมันไม่ได้ เพราะมันคือปัจจัย เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนเรื่องเหตุและผล ท่านสอนเรื่องเหตุและปัจจัย เราสร้างเหตุไว้แบบนี้ มันมีปัจจัยอย่างอื่นเข้ามาทำให้ผลไม่ได้แบบนั้น แต่มันอธิบายได้ แล้วมันเข้าใจได้”ต้องทำอย่างไร ให้หายจากความทุกข์“ต้องเข้าใจก่อนครับ เวลาใครมาคุยกับผม ผมไม่เคยปลอบประโลมให้คิดบวก เพราะพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้เราคิดบวก เราต้องอยู่บนความเป็นจริง รู้เห็นตามความเป็นจริงในทุก ๆ เรื่อง เราจะรู้ว่าความทุกข์เป็นเรื่องปกติเพราะความสุขมันไม่มีจริง เกิดมาเรามีแต่เรื่องทุกข์ หาสาเหตุของมันแล้วจะรู้ว่าเรื่องบางเรื่องแก้ได้ บางเรื่องก็แก้ไม่ได้ แต่มนุษย์ไม่ได้มีหน้าที่ทุกข์ ที่เราทุกข์เพราะเราไปยึดเป็นตัวกู และของกู เมื่อไหร่ก็ตามเป็นตัวกู และของกู เราทุกข์ทันที แต่ทุกอย่างเป็นไปด้วยเหตุปัจจัย มันจะทุกข์โดยธรรมชาติ เช่น โดนมีดกรีด รู้สึกเจ็บ ร่างกายมันจะทุกข์ แต่ใจเราไม่มีความจำเป็นต้องไปยึดติดว่ามันทุกข์ หากเรารู้ว่าเหตุปัจจัยของความทุกข์ ก็คือการยึดเอาไว้ ยึดจนทำให้ตัวเองทุกข์ จริง ๆ แล้วไม่เคยมีใครทำให้เราทุกข์ได้ ยกเว้นตัวเราเอง”ตัณหา ทิฐิ มานะ 3 สิ่งนี้อยู่ที่ไหนก็เกิดปัญหา“คนเรามันมีความรู้สึกว่า อยากได้ อยากมี อยากเป็น ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น สิ่งนี้เรียกว่า ตัณหา พอเรามีตัณหา เริ่มรบราฆ่าฟันกัน อย่างที่สองก็คือ สิ่งที่เราคิดว่าต้องเป็นอย่างงี้ ต้องเป็นอย่างงั้น ไม่น่าเป็นอย่างงี้ ไม่น่าเป็นอย่างงั้น เค้าเรียกว่า ทิฐิ อย่างที่ 3 คือการที่เราเปรียบเทียบคนอื่น เราดีกว่าคนนั้น เราด้อยกว่าคนนี้ เค้าเรียกว่า มานะ ตัณหา ทิฐิ มานะ 3 ตัวนี้ไปอยู่ที่ไหน พังทุกที่มีปัญหาตลอด”ศาสนา คือที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ“ศาสนา แปลว่า ทางรอด ทุกคนมีทางรอดของตัวเอง ไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่ไม่มีศาสนา อยู่ที่ว่าเราเอาอะไรเป็นศาสนา บางคนทางรอดคือพระพุทธเจ้า บางคนทางรอดคือพระเจ้า บางคนทางรอดคือเบคอน บางคนทางรอดคือจุลินทรีย์ หรือบางคนทางรอดคือตัวเราเอง คนที่บอกว่าเราเป็น Atheist เราไม่นับถือศาสนาเลย ไม่จริง คุณนับถือในความเชื่อของตัวเอง เพราะฉะนั้นคุณก็มีศาสนาของตัวคุณเอง แต่ถามว่ามันรอดไหม ถ้ามันไม่รอด หรือมันไม่ตอบในทุก ๆ บริบท ก็อาจจะต้องมีใครสักคนที่เป็นกูรู แล้วคุณอาจจะเชื่อเค้า รู้สึกว่าคน ๆ นี้เป็นที่พึ่ง แต่ต้องหาทางที่มันเป็นแก่นจริง ๆ เค้าสอนอะไรเรา บอกอะไรเรา ชี้นำเราไปตรงไหน เราค่อย ๆ ทำความเข้าใจ ค่อย ๆ ศึกษา ด้วยสติปัญญา รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร เท่านั้นเลยครับ” – หมอบี ทูตสื่อวิญญาณพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดเบื้องหลังศึกชิงวิมาน ของ “เจฟ ซาเตอร์” และ “อิงฟ้า วราหะ” ความรัก ขวากหนาม บนความไม่เท่าเทียม

05 ก.ย. 2024

เปิดเบื้องหลังศึกชิงวิมาน ของ “เจฟ ซาเตอร์” และ “อิงฟ้า วราหะ” ความรัก ขวากหนาม บนความไม่เท่าเทียม

เปิดคลับให้ได้เรียนรู้วิธีคิด พร้อมฟังสีสันของชีวิต รับแรงบันดาลใจในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับสองนักแสดงนำจากภาพยนตร์กระแสแรง “วิมานหนาม” นั่นคือ “เจฟ ซาเตอร์” และ “อิงฟ้า วราหะ” ที่ล่าสุดขึ้นแท่นหนังไทยทำรายได้ทั่วประเทศ 100 ล้านบาท!วิมานหนาม เป็นภาพยนตร์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากความไม่เท่าเทียม ผ่านการเล่าเรื่องราวของ ทองคำ (เจฟ-วรกมล ซาเตอร์) และ เสก (เต้ย-พงศกร เมตตาริกานนท์) คู่รักหนุ่มชาวสวนที่ช่วยกันปลูกบ้าน และทำสวนทุเรียนบนที่ดินของเสกที่ติดจำนองอยู่ ทองคำใช้เงินก้อนใหญ่ทั้งหมดในชีวิตไถ่ถอนที่ดินให้เสก จนได้มาซึ่งโฉนดที่ดินอันเปรียบเสมือนทะเบียนสมรสของคนทั้งคู่แต่แล้วเสกเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต บ้านและสวนจึงต้องตกเป็นของ แม่แสง (สีดา พัวพิมล) แม่ของเสก ผู้มีสิทธิตามกฎหมาย และ โหม๋ (อิงฟ้า วราหะ) ลูกสาวบุญธรรม ที่เข้ามาถือสิทธิ์ครอบครองวิมานแห่งนี้ พร้อม จิ่งนะ (เก่ง หฤษฎ์) น้องชายของโหม๋ ที่เข้ามาเพื่อเรียนรู้วิธีการทำสวนทุเรียน ความขัดแย้งในเรื่องของกรรมสิทธิ์จึงเริ่มต้นขึ้นซึ่งกว่าจะมาเป็นภาพยนตร์กระแสแรงแบบนี้ ต้องผ่านหลากหลายกระบวนการ จากการทุ่มเทแรงกายแรงใจของนักแสดง และทีมงานทุกฝ่าย สีสันแรงบันดาลใจ พร้อมมุมมองข้อคิดดี ๆ ถูกส่งต่อไว้แล้วในรายการเปิดเสน่ห์ของ วิมานหนาม หนังที่ดูรอบเดียวไม่พอ!เจฟ : “ผมว่าซาวด์ในเรื่องมันมีเสน่ห์อย่างหนึ่ง เนื่องจากเค้าถ่ายโดยมีความเป็นต่างจังหวัด แล้วซาวด์ที่เค้าใช้ มันเป็นการอัดจากเครื่องดนตรีที่เป็นพื้นบ้านจริง ๆ มันก็ทำให้เรารู้สึกว่า เราได้อยู่ที่นั่นจริง ๆ โดยเราใช้เครื่องสายของภาคเหนือ มันเลยมีเสน่ห์มากครับ”อิงฟ้า : “ทุกคนที่ได้ดูหนัง เค้าจะรู้สึกว่าดูรอบเดียวไม่พอ เพราะว่าส่วนมากฟีดแบ็คที่เราได้รับจากรอบกาล่า เหมือนทุกคนรู้สึกว่าต้องกลับมาดูอีกรอบนึง แล้วใน 2 ชั่วโมงที่หนังดำเนินเรื่องไป บางทีคนอาจจะคิดว่า วิมานหนามมันคือมาแย่งชิงสมบัติกันอย่างเดียวรึเปล่า แต่จริง ๆ แล้ว ตั้งแต่ต้นเรื่องมันนำเสนอเรื่องราวหลายอย่าง มันมีความสวยงามอยู่ในนั้น โดยเฉพาะจังหวัดที่เราเลือกไปถ่ายคือ แม่ฮ่องสอน เพราะผู้กำกับเค้าก็เลือกว่าจะถ่ายจังหวัดไหนดี แล้วพบว่า แม่ฮ่องสอน มีรายรับทางเศรษฐกิจน้อยอันดับต้น ๆ ของประเทศไทยเลย แล้วความโชคดีก็คือ วันที่เราฉายวันแรก ก็มีข่าวดีของจังหวัดแม่ฮ่องสอนด้วย ที่สามารถปลูกต้นทุเรียนได้ ก็เลยกลายเป็นว่า มันเป็นซอฟท์พาวเวอร์อีกหนึ่งอย่าง ที่เราก็รู้สึกว่า Complete และเราก็ภูมิใจกับเรื่องนี้มาก ๆหนูว่า 2 ชั่วโมงที่เข้าไปอยู่ในโลกของวิมานหนาม จริง ๆ ตัว Trailer ที่ทุกคนเห็น อาจจะเห็นแค่ความเข้มข้น หรือความรุนแรง ซึ่งนั่นมันแค่จุดเล็ก ๆ เพราะในเรื่อง สิ่งที่คนยังไม่ได้เห็นคือความสวยงามของความสัมพันธ์ที่เราจะค่อย ๆ ไต่ระดับอารมณ์ไป หลายคนฟีดแบ็คกลับมาว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้เลย และหนูเชื่อว่า ถ้าได้ไปดูรอบนึง ยังไงก็ต้องกลับไปหาคำตอบให้ได้อีกรอบนึงแล้วก็ปกติ GDH เค้าจะทำฟีลกู๊ดใช่มั้ย แต่นี่ก็จะเป็นฟีลกรี๊ด และมันมีการกรี๊ดหลายและอีกหนึ่งอย่างที่อยากให้ไปดูก็คือฝีมือการแสดงของนักแสดงเรื่องนี้ เพราะว่าเราตั้งใจกันจริง ๆ ตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่เราไปถ่ายทำกัน แต่ละจังหวัดที่เราไป หรือแม้กระทั่งนักแสดงทุกคน มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เราได้มาทำงานร่วมกัน จนมันออกมาเป็นวิมานหนาม ที่ทุกคนห้ามพลาดจริง ๆ แล้วห้ามไปดูคนเดียวด้วยค่ะ”การเล่นหนังครั้งแรก ยากง่ายขนาดไหน?เจฟ : “ก่อนหน้านี้ผมเคยเล่นละครเวทีมา มันจะเป็นไดอาล็อคที่ไม่ได้ร้องเพลง และเป็นซีนต่อซีน แล้วก่อนหน้านั้นก็เคยเล่นซีรี่ส์มา ซึ่งซีรี่ส์น่าจะใกล้เคียงกับความเป็นภาพยนตร์ที่สุด เพราะว่ามันจะเล่นแบบนิดเดียวเพราะกล้องมันจับที่หน้าเรา เพราะฉะนั้นเราจะไม่สามารถโกงความรู้สึกได้ และเราต้องรู้สึกจริง ๆ ในทุกซีน แล้วสำหรับผมเอง ผมไม่สามารถคิดไปก่อนว่าเข้าไปแล้วเดี๋ยวจะเล่นตาประมาณนี้ เพราะมันคิดไม่ทัน ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือ เราทำการบ้านไปก่อน เตรียมตัวกับตัวละครทองคำให้มันแบบแน่นไปก่อนเลย เขียนประวัติที่เรารู้สึกว่าทองคำต้องเป็นแบบไหนแล้วกลายเป็นว่าเล่นภาพยนตร์เรื่องแรก มันตื่นเต้นเป็นกังวลไปหมดเลย กังวลอยู่ครึ่งปีกว่าจะถ่ายทำ มันกังวลว่าเราจะทำออกมาได้ดีไหม เพราะว่ามันมีความกดดันหลายอย่าง แล้วตอนแรกเราปฏิเสธไปแล้วด้วย แต่พอได้คุยกับพี่บอส แล้วผมรู้สึกว่า ถ้าสมมติเราได้เล่นเรื่องนี้ มันน่าจะพาเราออกไปจากความเป็นคอมฟอร์ทโซนของการเป็นนักแสดงได้อีกขั้นหนึ่งเลย ซึ่งก็ทำแบบนั้นได้จริง ๆทองคำ กับ เจฟ มุมหนึ่งเหมือนกันมาก อย่างเช่นแบบความเป็นคนที่โดนหลอกง่าย แต่ในอีกมุมนึง เค้าเป็นคนที่สู้ชีวิตกว่าเราเยอะมาก เท่าที่ผมเขียนประวัติไว้ ตัวทองคำมันมีความต้องใช้ทุกวิถีทาง เพื่อให้ตัวเองดิ้นรนออกไป เพราะว่าชีวิตไม่ได้โตมาบนกองเงินกองทอง เพราะฉะนั้นเค้าก็จะมีความเป็นนักสู้สูงสุด ซึ่งการจะเล่นเป็นทองคำเลยยาก ก็ต้องใช้วิธีการไปลองทำสวน ไปเวิร์คช็อปอยู่ในสวนทุเรียนจริง ๆ และมันเป็นเรื่องของจิตวิทยาด้วย เราเคยเจอเคยผ่านเรื่องอะไรมาก็ต้องเอาออกมาใช้ให้หมดหน้าตัก”อิงฟ้า : “เล่นหนังเรื่องแรก ใช้คำว่าอ่วมค่ะ แต่การตัดสินใจรับเล่นเราใช้เวลาไม่นานเลยค่ะ เพราะว่าเราดูองค์รวมหลาย ๆ อย่าง ดูจากผู้สร้างก็คือ GDH เราก็รู้อยู่แล้วเพราะว่าเราเป็นแฟนคลับภาพยนตร์ของเค้า แล้วผู้กำกับก็เป็นพี่บอสด้วย รวมถึงนักแสดงร่วมที่แต่ละคนจะได้เล่น จนมาถึงวันรันทรู ได้ลองเล่นด้วยกันแล้วมันอิน แค่เราอ่านบท เราก็รู้สึกอินไปแล้ว ขนาดเรายังไม่ได้กระโจนลงไปเล่นจริง ๆ แล้วก็ไปทราบสถานที่ที่เราจะได้ไปอีก ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรที่จะต้องคิดมากเลย เรารู้สึกว่ามันท้าทาย แล้วถ้าเราทำถึง หนูว่ามันจะเป็นภาพยนตร์ที่คนไทยยังไม่ได้มีแนวนี้มากมาย และก็น่าจะต่อยอดให้กับเราได้เช่นเดียวกันสำหรับเราเองก็มีความกดดันค่ะ แต่ความโชคดีของหนูก็คือ พี่บอสเค้าดีมาก ๆ ในการที่จะพรูฟเราว่า ในแต่ละฉากมันจะต้องไปแบบไหน แล้วเค้าก็ไม่เคยกดดันหนูเลยว่าจะต้องเล่นแบบนี้ นะ เค้าจะให้หนูลองดีไซน์ออกมาก่อน แล้วเวลาหนูลองดีไซน์ออกไปแล้วพี่บอสเค้าชอบแล้วหนูคิดว่า หนูจะเล่นเป็นตัวโหม๋ขนาดนั้นไม่ได้ ถ้าหนูไม่ได้เจอทองคำในเวอร์ชั่นที่เป็นเจฟ เพราะรู้สึกว่าพอมันไปด้วยกัน และความเป็นศิลปินทั้งคู่ เจฟก็เป็นคนที่ชอบทำงาน เราเองก็เป็นคนที่ชอบทำงาน แล้วมันเหมือนเคมีที่มีเอเนอร์จี้เยอะ อยากให้งานมันออกมาดี มันเลยพุ่งไปสุด เธอมาขนาดนี้ ฉันจะต้องขนาดนี้ เพราะว่าหนูเชื่อว่า การแสดงถ้าคนส่งดีเราก็จะเล่นได้ดีด้วย ก็เลยออกมาเป็นวิมานหนามที่แบบเดือดมากและสนุกมาก”ความทุ่มเทของ อิงฟ้า กับบทบาท “โหม๋”อิงฟ้า : “หนูเพิ่งรู้ว่า การร้องไห้ มันไม่ได้เกิดจากการเสียใจแค่อย่างเดียว มันมีหลายอย่างมาก โดยเฉพาะการที่มาเล่นหนังกับพี่บอส อย่างเช่น มันมีดีใจหลายแบบ เสียใจหลายแบบ โกรธหลายแบบ ทำให้รู้สึกว่าการแสดง มันไม่ใช่แค่กระดาษหน้าเดียว บางทีมันมีหน้าหลังด้วย และทำให้เราท้าทายตัวเองมาก แล้วเรื่องนี้หนูก็ทุ่มสุดตัวเหมือนกันกับบ้านที่เราถ่ายทำ มันเป็นความรู้สึกผูกพัน เพราะว่าบ้านหลังนี้ ปกติเวลาหนูไปถ่ายงาน เราก็จะไปกลับ แต่เรื่องนี้คือเราไปใช้ชีวิตกันที่นั่น นอนที่จังหวัดนั้นเลย แล้วบ้านหลังนั้นก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ เรารู้สึกผูกพันกับสถานที่ตรงนี้ แล้วพอเราจะต้องกลับจริง ๆ เรารู้สึกว่าฉันขอบคุณเธอนะ โหม๋ ที่มันมีตัวตนขึ้นมาจริง ๆ หนูรู้สึกว่ามันมี โหม๋ อยู่บ้านหลังนี้จริง ๆ มันมี ทองคำ มันมี แม่แสง มันมีทุกคนอยู่ตรงนี้ แล้วพอวันที่เราจะต้องกลับไปเป็นอิงฟ้า เราก็รู้สึกขอบคุณ แล้วก็รู้สึกผูกพันกับตัวละคร และเชื่อว่าวันหนึ่งคนจะรู้จักเธอมากขึ้น”เจฟ กับการเรียนรู้จากบทบาทของ “ทองคำ”เจฟ : “ผมพูดเรื่องความไม่เท่าเทียมมาตลอด ทั้งเรื่องกฎหมาย หรือว่าเรื่องอะไร แต่พอเราได้รู้จัก ทองคำ จริง ๆ มันกลายเป็นว่า เราเข้าใจเรื่องนั้นอย่างลึกซึ้งมากขึ้นไปอีก ทองคำ เป็นตัวแทนของคนที่ถูกกระทำมา ซึ่งกฎหมายก็จะผ่านแล้ว แต่กฎหมายไม่มีผลย้อนหลัง เลยยิ่งทำให้รู้สึกว่าเราอินกับตรงนี้มาก ๆ แล้วพอเข้าไปเล่น ได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่จริง ๆ ได้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสวนทุเรียน กับความเป็นอยู่แบบต่างจังหวัด มันก็สอนให้ผมเรียบขึ้น มีความสุขแบบง่าย ๆ และพี่บอสจะเป็นคนคอยบอกว่า หันไปมองบ้าน เนี่ยบ้านเรา หันไปมองสวน เนี่ยสวนเรานะ เค้ากำลังจะทำอะไรกับสวนเรารึเปล่า ยิ่งทำให้เรารู้สึกผูกพันกับบ้าน ผูกพันกับสวน แล้ว ทองคำ เค้าก็สอนเราในหลายเรื่องมาก แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เค้าสอนให้เราเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้น และเป็นมนุษย์มากขึ้น”การร่วมงานกับนักแสดงมากฝีมือ "สีดา พัวพิมล" และ “เก่ง หฤษฎ์”เจฟ : “เวลาเข้าฉากด้วยกัน เค้าเรียกตัวเองว่าน้องสีดา และเค้าจะโกรธถ้าเรียกเค้าว่าพี่ หรือป้า ห้ามเลยครับ ต้องเรียกน้องสีดา เหมือนเพิ่งเดบิวต์การแสดงใหม่”อิงฟ้า : “หนูรู้สึกว่าแม่คือระดับปรมาจารย์ของหนูเลย เค้าจะคอยสอนตลอดว่า เวลาเราจะร้องไห้ ขอให้รู้สึกจริง จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราร้องไห้จนตาเราเริ่มแห้งแล้ว น้ำตาเริ่มมายากแล้ว เค้าก็จะถามว่า ให้แม่ช่วยมั้ย แล้วเรารับส่งให้กันก่อนเข้าฉาก ซึ่งในกองนี้ดีอย่างหนึ่งคือนักแสดงทุกคนช่วยเหลือกันดีมาก มันเลยออกมาดี ตัวแม่สีดาเอง หนูเชื่อแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่าเค้าคือแม่แสงจริง ๆ มันเลยอินกันมาก ๆ”เจฟ : “จริง ๆ ไม่ต้องเข้าบทเลย แค่เดินเข้ามาในซีนก็เชื่อแล้ว มันมีซีนหนึ่งที่ผมเล่น ซึ่งมันจะเป็นซีนที่สำคัญมาก ๆ ซึ่งมันแค่ต้องนั่งฟังเค้า แต่กลายเป็นว่าซีนนั้นน้ำตามันไหลออกมาเอง ด้วยความที่เค้าเล่าเรื่องแล้วมันถึง มันเข้าใจตอนนั้นเลยว่า นี่เราไปอยู่ในเรื่องแบบ 100% เลย แล้วน้ำตามันก็ไหลออกมาเอง ยอมรับเลยว่าแม่ทำถึงมาก”อิงฟ้า : “สำหรับตัวน้องเก่งเอง วันที่เราเวิร์คช็อปกัน ตอนแรกเหมือนเราก็ยังหากันไม่เจอ ยังหาความเป็นพี่น้องไม่เจอ ด้วยความที่ตัวละครมันต้องมีแบ็คกราวด์ที่มากกว่า 20 ปี หนูก็เลยเล่าเรื่องอะไรสักเรื่องที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน แล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เรารู้สึกว่าเราอยากให้เค้ารู้ว่าเราไว้ใจเค้า ก็เลยเล่าให้เค้าฟัง น้องเก่งก็เลยรู้สึกว่าเหมือนเราเปิดที่จะให้ จิ่งนะ ยอมรับว่า โหม๋ คือพี่ของเค้าจริง ๆ แล้วน้องเก่งก็เปิดใจด้วย แล้วหลังจากเวิร์คช็อปไป ทุกอย่างมันราบรื่น แล้วตอนถ่ายทำ เราก็พยายามชวนน้องไปกินข้าวเพื่อที่เวลาเราเข้าฉากมันจะได้ไม่เกิดความเกร็งกันเกิดขึ้น ซึ่งตัวน้องเองเป็นเด็กที่น่ารักมาก ๆ แล้วหนูรู้สึกว่าเค้าก็เหมือนน้องเราจริง ๆ และความยากของ โหม๋ และ จิ่งนะ ก็เยอะ โดยเฉพาะเรื่องของภาษา ที่ต้องใช้ภาษาไทใหญ่ในการสื่อสาร แล้วมันต้องไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งน้องก็ทำออกมาได้ดีมาก ๆ”ความ(ไม่)เท่าเทียม ที่มีอยู่ในหนัง “วิมานหนาม”อิงฟ้า : “ถ้าเป็นเรื่องของความเท่าเทียม หนูมองว่าอาจจะหนักในเรื่องของเพศสภาพ ของ ทองคำ แต่ว่าตัว โหม๋ ก็จะหนักไปทางการเลี้ยงดูและความเป็นคนในสังคมมากกว่า ที่ในชีวิตประจำวันของแต่ละคนมันเหมือนการต่อสู้เพื่อเรียกร้องแต่ละอย่างของตัวเอง มันก็เลยออกมาเป็นรูปแบบของการสะท้อนสังคม หนูว่ามันมีเรื่องเหล่านี้ในสังคมจริง ๆ แต่แค่อาจจะไม่ได้ถูกตีแผ่ออกมาเป็นลักษณะภาพยนตร์ที่มันชัดเจนขนาดนี้”เจฟ : “ผมว่ามันน่าจะเป็นเรื่องของความสุข และความรัก ความรักที่มันไม่เท่าเทียมกัน ความสุขที่มันไม่เทียบเทียมกัน เราจะได้เห็นคนที่เจอความสุขมาจนชิน ได้รับความรักจนเคยชินแล้วรู้สึกว่าเจอแบบนี้ก็ไม่ได้มีความสุขอะไรมาก แต่คนที่เค้าไม่เคยได้รับความรักมาเลย กลายเป็นว่าแค่ได้ความรักนิดเดียว เค้าก็รู้สึกว่ามันมากแล้ว ซึ่งเราจะได้เห็นผ่านสายตาของ แม่สีดา และ โหม๋ หรือ ทองคำ ทำทำให้เราให้คุณค่ากับความธรรมดา ความรู้สึกที่มันง่าย ๆ มากขึ้น”เบื้องหลังกว่าจะเป็นซีนปาลูกทุเรียนที่หลายคนสนใจอิงฟ้า : “ฉากที่ทุกคนเห็นที่โยนทุเรียนกัน ฉากนั้นเราถ่ายตั้งแต่ 4 ทุ่มจนถึงเกือบ 6 โมงเช้าของอีกวันนึงก็ยังไม่สำเร็จ มันคือจุดพีคของหนังที่จะเป็นจุดไคลแม็กซ์อะไรหลาย ๆ อย่าง ในโมเม้นท์ตรงนั้น แล้วความเป็นพี่บอส เค้าจะไม่ปล่อยผ่านเลย เค้าจะต้องทำออกมาให้มันสมบูรณ์ที่สุด บวกกับทีมงานทุกคนก็เซฟแล้วแหละ แต่มันก็จะต้องมีเหตุการณ์ที่เราไม่ได้คาดคิดเกิดขึ้น ซึ่งซีนนั้นเรียกได้ว่าเราถ่ายกันหลายรอบกว่าจะออกมาดีที่สุด ที่ทุกคนจะได้ดูในโรงภาพยนตร์”เจฟ : “มันเป็นทุเรียนที่มีทั้งทุเรียนจริง และทุเรียนที่ม็อกอัพขึ้นมาเพื่อให้มันเป็นความเซฟตัวละคร แต่บางทีมันก็มีบางจังหวะที่พลาด แต่ผมว่าที่ฉากนั้นมันยาก เพราะด้วยความที่มันต้องระวังเยอะ แล้วในจังหวะนั้นคือเราทั้งคู่เหนื่อยมากแล้ว คือผมตื่นตั้งแต่ตี 5 แล้วถ่ายถึงประมาณตี 2 ซึ่งพี่บอสก็บอกว่าให้เล่นไปก่อนนะ ผมก็เล่นไปโดยที่ตอนนั้นหัวโล่งละ เพราะไม่รู้ว่าจะต้องเล่นยังไง ผมเลยปล่อยไหล จนพี่บอสบอกว่า เมื่อกี๊มันเมจิคมากเจฟ เค้าปล่อยให้ตัวละครได้นำพาเราไปในจุดที่ไม่ต้องคิดก่อนว่าจะเล่นยังไง”“เหมือนวิวาห์”…แค่มีเธอ อยู่ที่ไหนก็เหมือนงานวิวาห์ของเรา“ยามเมื่อฝน เทลงมา เดาว่าฟ้านั้นอวยพรให้ความรักเราทั้งสองครองคู่ไปนิรันดรฮักเจ้าหลาย ฮักเจ้าหลาย จงยื่นมือให้ฟ้าท่านเถิดฝนที่เทลงบนมือเราดั่งงานวิวาห์หากวันใด เจอพายุ คงไม่กลัวสักเท่าไหร่ต่อให้ฝนสาดดวงใจ รักจากเธอนั้นปลอบฉันฮักเจ้าหลาย ฮักเจ้าหลาย จงเต้นรำยามฟ้ากระหน่ำขอแค่มีเธอทุก ๆ วัน ก็เป็นเหมือนวิวาห์”เจฟ : ตอนบรีฟเพลงนี้เค้าไม่ได้บรีฟอะไรนะครับ พอเค้ารู้ว่าเราอยากมีเพลง แล้วผมก็เอากีต้าร์เข้าไป แล้วไปนั่งเล่นให้เค้าฟัง แล้วผมก็เล่าให้เค้าฟังว่า เดี๋ยวท่อนแรกมันจะเป็นพิณนะครับ แล้วก็ท่อนฮุคก็จะประมาณนี้ ลองเล่นให้เค้าฟัง แล้วเค้าก็ซื้อเลย จำได้ว่าดราฟแรกส่งไปก็คือเอาเลยเพลงที่ผมแต่ง กับเพลงประกอบเรื่องนี้ แตกต่างมากเลยครับ เพราะหลาย ๆ เพลงที่ผ่านมา ผมก็จะอิงจากตัวบทของหนังเป็นหลัก ฟิลลิ่ง เนื้อหาเพลง อย่างเช่นเพลง เหมือนวิวาห์ มันก็จะมีความเป็นภาคเหนือ ฟังแล้วนึกถึงความคันทรี่ไซด์ ความเป็นสวน แล้วก็แบบอยากให้มันสื่อสาร สมมติเราดูภาพยนตร์จบ แล้วพอกลับมาฟัง เราก็ยังได้อยู่ในโลกนั้นอยู่ ผมว่าเพลงประกอบที่ดีคือ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราฟัง เราจะนึกถึงวันนั้น ซึ่งตัวหนังก็จะเป็นมวลที่เป็นโลกที่เค้าสร้างขึ้นมาซึ่งหาจากไหนไม่ได้แล้ว และผมว่าภาพยนตร์ที่ดี คือเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเข้าไปในโลกนั้น พอออกมา เราจะหาโลกที่เหมือนกันไม่ได้ วิธีเดียวก็คือกลับไปดูใหม่เพื่อให้เราได้ Mood นั้น หรือไม่ก็ฟังเพลงประกอบเพลง เหมือนวิวาห์ ผมจำได้ว่าใช้เวลา 3 วัน เริ่มจากขึ้นมาเป็นโครงก่อน แล้วก็เพลงนี้ มี วีวี่ ช่วยเขียนด้วย ก็คือผมขึ้นมาเป็น ยามเมื่อฝนเทลงมา....ฮักเจ้าหลาย ฮักเจ้าหลาย...แล้วก็เว้นว่างไว้ให้ช่วยกันเขียน ก็แยกมุมกันไปเขียนแล้วก็กลับมาเจอกัน แล้วถึงได้คอนเซ็ปต์ว่า มันคือความรักที่ บางทีฝนที่เราเจอ มันอาจจะเป็นอะไรที่แบบแย่สำหรับใครบางคน แต่ในเวลาเดียวกัน พอเราได้อยู่กับคนที่เรารัก เราก็แค่เอ็นจอยกับฝน บางครั้งการที่ฝนตกมันกลายเป็นเหมือนคำอวยพรจากฟ้า ไม่ว่าอยู่ที่ไหน แค่มีเธออยู่ มันเหมือนงานวิวาห์ของเรา ซึ่งไม่ต้องมีงานวิวาห์จริง ๆ ด้วยซ้ำไป”ผลตอบรับจากคนที่ได้ดู “วิมานหนาม”อิงฟ้า : “ผลตอบรับดีเกินคาดค่ะ แล้วก็ดีใจที่คนเห็นในสิ่งที่เราตั้งใจอยากให้เค้าเห็นจริง ๆ ซึ่งกระแสดีตั้งแต่ช่วงวันกาล่าก่อนที่ภาพยนตร์จะฉาย ก็รู้สึกดีใจที่เห็นหลาย ๆ คนเปิดใจให้กับเรามากขึ้น แล้วก็มองเราถึงเรื่องของความสามารถจริง ๆ แค่นี้หนูก็แบบหายเหนื่อยแล้วหลายคนพูดถึงเรื่องที่หนูหน้าสดในหนังว่าทำไมไม่แต่งหน้าสวย ๆ หนูว่าความสวยสุดท้ายเดี๋ยวเราก็เบื่อ แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เราอยู่ได้นาน มันคือความสามารถ ที่จะทำให้คนจำได้จริง ๆ เพราะหนูเชื่อว่า ผู้หญิง แค่เรามีความมั่นใจ ต่อให้จะเป็นหน้าสดหรือจะเป็นแต่งหน้า ทุกวันนี้หนูโอเคกับตัวเองมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าสดหรือหน้าอะไร ทุกคนมีสแตนดาร์ดความสวยงามเป็นของตัวเอง ตัวเราเองโอเคแล้ว พอเรามาเล่นเรื่องนี้ หนูรู้สึกว่ามันก็เป็นศิลปะอีกอย่างหนึ่ง นี่คือ โหม๋ มันไม่ใช่ อิงฟ้า เราจะทำยังไงให้คนรู้สึกว่านี้ไม่ใช่อิงฟ้าเลย แล้วก็นั่นคือสิ่งที่เราได้รับกลับมาหลังจากที่ภาพยนตร์ฉายไปว่า จำไม่ได้เลยว่านี่คืออิงฟ้าตัวจริง เพราะคนก็เห็นเราในพาร์ทการเป็นนางงาม แต่งตัวชุดเดรส รองเท้าส้นสูง แต่เรื่องนี้มันจะไม่เห็นเลย ซึ่งนั่นคือจุดที่หนูอยากให้คนเห็นมากที่สุด และวันนี้ก็คอมพลีทแล้วค่ะ”เจฟ : “แล้วถ้า โหม๋ ใส่ส้นสูงกับผ้าซิ่น จะเข้ากันไหม อย่างที่เราเจอคำถามบ่อยว่า ไม่ห่วงสวยห่วงหล่อเหรอ ผมแค่รู้สึกว่า จริง ๆ แล้วมันก็สวยงามแหละแต่ด้วยสแตนดาร์ดไหนล่ะ ถ้าคุณเอาบิวตี้สแตนดาร์ดของตัวเองมาวัด มันก็มีได้หลายแบบ ผมว่ามันก็มีความสวยงามของมัน ความไม่เพอร์เฟ็ค มันคือความเพอร์เฟ็ค ในบางที ความสวยงามไม่จำเป็นต้องเอาไม้บรรทัดของใครก็ไม่รู้มาวัดว่าอันนี้สวยหรือไม่สวย ผมรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันถ่ายทอดความสวยงามในแบบนี้แหละ ฉะนั้นดูด้วยความรู้สึกที่ว่า เราเป็นทองคำรึเปล่า อิงฟ้าเป็นโหม๋รึเปล่า แล้วก็ไปเอ็นจอยกับความบิวตี้ของเค้า บิวตี้ของความเป็นธรรมชาติตรงนั้นดีกว่า”อิงฟ้า : “ติดใจการเล่นหนังนะคะ ตอนแรกยอมรับว่ามีบ้างที่คิดว่าทำไมมันเหนื่อยขนาดนี้ สำหรับบางฉากที่มันยากมาก ๆ แต่พอเราได้มาเห็นผลงาน วันที่ได้ดูตัวเองครั้งแรก เห็นชื่อตัวเองอยู่ในจอภาพยนตร์ เราก็ไม่คิดว่า จากปกติเป็นคนธรรมดาที่เราเข้าไปดูคนอื่น วันนี้จะมีผู้คนมากมายเข้ามาดูเรา ได้เห็นชื่อเรา ได้รู้จักเรา ได้เห็นผลงานเรา ก็รู้สึกว่าอยากมีแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ให้คนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเรา ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวเรา องค์กร หรือว่าแฟนคลับที่เค้าผลักดันกว่าเราจะมาถึงวันนี้ ให้เค้าได้ภูมิใจไปกับเราอีกเรื่อย ๆ”เจฟ : “มันมีความรู้สึกที่ผมหาที่ไหนไม่ได้เลยยกเว้นการถ่ายภาพยนตร์ คือช่วงเวลาที่นับ 3 2 1 สปีดแอ็คชั่น แล้วช่วงนั้นมันจะเงียบมาก ซึ่งมันเป็นความเงียบที่มีเสน่ห์มาก เพราะว่าช่วงเวลานั้นแหละจะเป็นช่วงเวลาที่เราสลัดความเป็น เจฟ ซาเตอร์ ไปสู่อีกตัวละครหนึ่งอย่างสิ้นเชิง แล้วส่วนมากผมก็จะไม่ได้เล่นเลย ผมจะรอแป๊บนึงแล้วค่อยเล่น เราเอ็นจอยกับช่วงเวลาที่มันเงียบขนาดนั้น มันก็เลยรู้สึกว่ายิ่งเรามาดูภาพเพลย์แบ็ค มันยิ่งรู้สึกว่าเราชื่นชอบการแสดง มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นของพวกเราเอง แต่พอทำเสร็จแล้วรู้สึกว่าเรายังอยากทำสิ่งนี้อยู่ มันเป็นการเล่าเรื่องในแบบที่หาไม่ได้จากที่ไหน การร้องเพลงมันก็เป็นการเล่าเรื่องอีกแบบนึง แต่การถ่ายภาพยนตร์มันก็เป็นการเล่าเรื่องอีกแบบนึง ซึ่งสุดท้ายการเล่าเรื่องไม่ว่ารูปแบบไหนมันมีเสน่ห์สำหรับผมเสมอครับ”วิมานหนาม สู่การได้รับเลือกฉายในเทศกาลหนัง โตรอนโตอิงฟ้า : “ก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะทางผู้ใหญ่ก็แจ้งมาว่า หนังไทยเราไม่ได้ถูกเลือกไปฉายประมาณ 10 กว่าปีแล้ว ดีใจที่ผลงานของเรามันจะได้ออกไปสู่สายตาของชาวโลก คือเรื่องนี้มันไม่ใช่แค่นักแสดงอย่างเดียว ทุกคนที่อยู่ทั้งเบื้องหน้า และเบื้องหลังของเรื่องนี้ เราผูกพันแล้วเราก็รักกันมาก ๆ เพราะว่าการถ่ายเรื่องนี้มันมีอุปสรรคเยอะ จะบอกว่าไม่เหนื่อยไม่ลำบากก็ไม่ใช่ มันมีทั้งความลำบากจริง ๆ มีทั้งความเหนื่อยจริง ๆ แล้วก็อยากให้สิ่งที่เราพยายามมันไม่สูญเปล่า แล้วเราก็อยากเป็นตัวแทนของคนไทยที่บอกให้โลกรู้ว่า หนังไทยเราไม่แพ้ชาติใดในโลก คนไทยก็เก่งเหมือน”มุมมองความรัก จาก เจฟ ซาเตอร์เจฟ : “ผมมองความรักเท่ากันหมดไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ตาม ผมพูดอยู่เสมอว่า ไม่ควรจะมีคน ๆ ไหนถูกด้อยค่าในความรัก แล้วทุกความรักควรจะถูกปกป้องด้วยกฎหมาย เพราะว่าสุดท้ายมันไม่มีใครมารับผิดชอบความรู้สึกเราเมื่อไม่มีกฎหมาย เหมือนอย่างเรื่องนี้เลย พอผมผ่านเรื่องราวของทองคำ มันกลายเป็นว่าเรายิ่งเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า เป็นมนุษย์เท่ากัน ทำไมกฎหมายถึงปกป้องไม่เท่ากัน อย่างน้อยในการที่เราได้ผ่านเรื่องราวเหล่านี้มา เราก็เข้าใจมากยิ่งขึ้น และอยากสื่อสารสิ่งนี้ออกไปเพื่อให้คนได้รู้ว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไร คุณไม่ควรจะถูกด้อยค่าในความรัก ด้วยรูปแบบใดก็ตาม”ก้าวต่อไป ของ อิงฟ้า และ เจฟอิงฟ้า : “ช่วงนี้เรียกว่าทำหลายอย่างเหมือนกัน เสร็จสิ้นการถ่ายทำเรื่องแรกเลยก็คือ วิมานหนาม แล้วก็ตามมาด้วย บางกอกคณิกา แล้วตอนนี้กำลังถ่ายทำซีรี่ส์ หยดฝนกลิ่นสนิม รวมถึงจะมีละครแล้วก็ซีรี่ส์ตามมาอีก เพื่อให้ทุกคนได้ติดตามกัน”เจฟ : “ส่วนของผมก็มี วิมานหนาม แล้วก็จะมีเพลง เหมือนวิวาห์ แล้วผมก็จะมีซีรี่ส์ที่ผมเป็นคนทำเองครับ เป็นคนโปรดิวซ์เอง แล้วก็เล่นเองด้วย แล้วก็ทำเพลงประกอบเอง ทำกราฟฟิคเองด้วย ฝากติดตามกันครับ”พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1