เปิดชีวิตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ของ "ป้าตือ สมบัษร" Celebrity ตัวแม่ ที่สะกดคำว่า “แก่” ไม่เป็น!

ENTERTAINMENT NEWS

เปิดชีวิตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ของ "ป้าตือ สมบัษร" Celebrity ตัวแม่ ที่สะกดคำว่า “แก่” ไม่เป็น!

02 พ.ค. 2023

รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญที่เป็นคนใกล้ชิด “ก็อตจิ” หนึ่งในพิธีกรรายการ ที่ต้องบอกเลยว่าแขกรับเชิญคนนี้พูดได้แบบน้ำไหลไฟดับ พูดแบบพิธีกรไม่ได้พูด สรวนแบบตัวแม่ และที่สำคัญเขาสะกดคำว่า “แก่” ไม่เป็น

ความแซ่บแบบไฟลุกเริ่มขึ้น เมื่อ 2 ดีเจ ดีเจพี่อ้อย และ ดีเจก็อตจิ เปิดไมค์กล่าวต้อนรับ “ป้าตือ สมบัษร ถิระสาโรช” Celebrity ชื่อดังผู้มากความสามารถ ไม่ว่าจะนักแสดง, พิธีกร, ออแกไนซ์, Youtuber หรือ TikToker เธอคนนี้ทำมาหมด! แต่กว่าจะเป็น “ป้าตือ” ในทุกวันนี้ มีเรื่องพีคเกิดขึ้นมากมาย ที่ได้มาแชร์ให้ฟังกันในรายการ

 

 

ชีวิตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และคำว่า “เกษียณ” สะกดไม่เป็น!

แม้ทุกวันนี้ ป้าตือ จะอายุเลข 6 แล้ว แต่ ป้าตือ เป็นคนที่ใช้ชีวิตและบริหารเวลาใน 1 วัน ได้คุ้มค่ามาก ๆ โดย ป้าตือ ได้เล่าการใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ฟังว่า “ในหนึ่งวัน หนูเป็นคนที่ต้องนอนแปดชั่วโมงอย่างต่ำ ถ้านอนไม่ถึงแปดชั่วโมงหนูไม่ตื่น บางทีก็ตื่น 11 โมง ทำงานเร็วสุดคือประชุม 11 โมง แล้วส่วนมากหนูจะทำงานต่อตอนบ่ายจนถึงกลางคืนเลยพี่

60 แล้วพี่จ๋า  อย่างวันนี้ตื่นเช้ามาหนูก็ต้องไปทำงานอีเวนท์ เสร็จหนูก็ต้องไปเคลียร์งานที่ออฟฟิศ แล้วไปนั่งทำสคริปต์ทำอะไรเสร็จหนูก็ต้องไปไลฟ์ต่อ แล้วเดี๋ยวเสร็จรายการก็ไปไลฟ์กับผู้ชายต่ออีก  โอ้ยพี่ คำว่าเกษียณสะกดยังไงคะพี่ หนูไม่รู้ หนูทำงานแบบฟาร์มแพชชั่นฟรุ๊ตค่ะ”

 

“ฮักหลายแต้วโหลด” เพลงรักฉบับป้าตือ ที่ฉีกทุกกฎวงการเพลง

แม้จะเป็นที่รู้จัก และมักเป็นผู้สั่นสะเทือนวงการได้ทุกครั้งที่ลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ ๆ แต่ ป้าตือ ยังคงสร้างสรรค์ผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง และหนึ่งผลงานที่เพิ่งปล่อยออกมาสด ๆ ร้อน ๆ และได้รับการตอบรับที่ดีมาก ๆ จากแฟนคลับ ก็คือเพลง “ฮักหลายแต้วโหลด” ที่นอกจากจะเปิดตัวคู่จิ้นอย่าง “พี่หนวด” แล้ว ป้าตือ ยังลงมือทำเพลงเอง, เขียนเพลงเอง, มิกซ์เพลงเอง, แสดง MV เอง ซึ่ง ป้าตือ ได้เปิดเพลงนี้ให้สองดีเจได้ฟังในรายการ ความมันของเพลงทำเอาสองดีเจต้องโยกตามไปเลยทีเดียว จากนั้น ป้าตือ ยังได้เผยเรื่องราวในการตัดสินใจทำเพลงนี้ขึ้นมาว่า

“หนูขอพูดเลยนะ เวลาหนูเข้าไปไลฟ์ทุกคนจะต้องขอให้หนูเปิดเพลงนี้วันนึงไม่ต่ำกว่า ร้อยรอบค่ะพี่ เขาบอกว่าไม่งั้นเขานอนไม่หลับ ชื่อเพลงคือ ฮักหลายแต้วโหลด มันเป็นเพลงบำบัดตน มันเป็นอัจฉริยะในการแต่งนะพี่นะ MV ก็มีนางเอกเยอะ ตัวแสดงเยอะมาก หนูบอกเลยว่าเลือกไม่ถูก นางเอกมันเยอะมาก

จริง ๆ ทำเพลงนี้หนูไม่ได้อะไรหรอก หนูก็ทำมาอย่างงั้นแหละพี่ ตื่นมาแล้วไม่มีอะไรทำ หนูก็เลยอยากทำ หนูก็มาเขียน เขียนเสร็จหนูก็โทรไปหาครูปิงปอง นัดกันว่าเจอกันที่ห้องอัดนะ แล้ววันอัดหนูก็ร้องครั้งเดียวก็เลิกเลยจบ แล้วก็รีมิกซ์ ทำเองตัดต่อกันไป คือถ้าบอกว่าตัดต่อเองก็ดูเคลมเนาะ แต่ก็คือเราเป็นคนคิดว่าเอาอย่างงี้ แล้วก็ถ่าย ถ่ายก็เอามือถือถ่ายเพื่อนแต่ละคนมา แล้วก็เอาไปตัด ตัดแบบคัทชนจบอ่ะพี่”

 

 

เพ้นท์กระเป๋าแบรนด์เนม วิธีสมาธิบำบัดของป้าตือ

ใครที่ติดตาม Instagram ของป้าตือ คงจะได้เห็นคลิปที่ป้าตือ ได้ลงทุนละเลงพู่กันลงบนกระเป๋าแบรนด์เนมอย่าง หลุยส์ วิตตอง ด้วยคำเกร๋ๆ บนกระเป๋าว่า Don’t call me Chanel,I’m not Dior หรือแม้กระทั่งกระเป๋าถืออย่าง Prada ป้าตือก็มีความสุขกับการบรรเลงศิลปะตามจินตนาการด้วยหมึกสีดำแบบมีชิ้นเดียวในโลก โดยป้าตือเล่าให้ฟังว่า

“หนูพูดตรง ๆ หนูมีของที่มันไม่ได้ใช้เยอะมาก เพราะหนูเป็นคนบ้าช็อปปิ้ง แล้วถ้าจะให้หนูเอาของเก็บไว้เฉย ๆ มันก็ไม่ได้ ก็ต้องเอามาใช้ พอมันหมดอายุปั๊ป เราก็เอามาใช้ต่อพี่ เราก็มาทำอย่างงี้”

 

“เพื่อนหลายกลุ่ม” สิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตไม่เฉา

สิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตของ ป้าตือ ไม่เฉาคือ “เพื่อน” โดย ป้าตือ ได้เล่าเรื่องราวของมิตรภาพให้ฟังว่า

“ตือจะมีเพื่อนหลายกลุ่มพี่ การที่เราอายุเท่านี้เนี่ย เราไม่ได้รู้สึกว่าเราต่างจากเขา และเราก็รู้สึกว่าการมีเพื่อนหลายกลุ่มหรือหลากหลาย มันทำให้เราชีวิตเราไม่เฉา แล้วการอยู่กับเพื่อน ๆ ทุกคนเนี่ยมันเป็นความสุข

หนูว่าหนูโชคดีนะ โชคดีคือจากวันนึงที่หนูทำงานกับคนหลาย ๆ คน จนถึงวันนี้คนหลาย ๆ คน ที่ทำงานกัน กลายมาเป็นเพื่อนเยอะเลย คือหนูโชคดีตรงนี้ แม้แต่แบบว่าน้อง ๆ ดาราหลายคน มิวเอย แต้วเอย ใครเอยที่เข้ามา มันก็กลายเป็นเพื่อนกันอะพี่ หนูไม่ได้รู้สึกว่าหนูเป็นป้าตือ นั้นคือสาเหตุที่วันนึงพอหนูออกมาทำงานที่เป็นเรื่องเป็นราวแบบว่าหน้าม่าน หนูก็เรียกตัวเองว่า น้องลูกตือ หนูไม่อยากให้คนอื่นเรียกว่าป้าตือ เพราะพอใช้คำว่าป้า มันจะมีอะไรบางอย่างที่มันกั้น แต่ถ้าน้องลูกตือ เรากลายเป็นน้องใหม่ ลบทุกอย่างทิ้งไป แล้วเวลาหนูไปทำงานกับทุกคน หนูจะบอกว่า เห้ยแกเต็มที่นะ นี่น้องลูกตือนะ แล้วเราก็จะทำงานเป็นทีมเวิร์ค และต้องทำให้ทุกอย่างดีขึ้น”

 

 

ป้าตือไม่ได้เป็นคนดุ แต่เป็นคนพูดตรง

หลายคนมักจำภาพ ป้าตือ ว่าเป็นคนดุ ชอบโมโหร้าย เสียงดังโวยวาย งานนี้ ป้าตือ 
ได้เผยเรื่องนี้ว่า

“ฉันไม่ได้ดุนะ ฉันเป็นคนพูดตรง หนูเนี่ยมักจะพูดกับคนทุกคนว่า เวลาเกิดอะไรขึ้นก็ตาม หนูยกมือไหว้เขาเลยนะพี่ ขอโทษนะถ้าพูดอะไรผิดแล้วอย่าโกรธนะ ไม่ต้องเขียนเฟสบุ๊คมาด่าหรือไม่ต้อง DM มาด่านะ เพราะว่านี่เป็นคนพูดตรง หนูเป็นคนตรง ๆ พี่ วันนี้หนูเพิ่งไปสอนคนมา เขาบอกว่าเขาชอบหนูเพราะว่าหนูพูดพลังงานบวก หนูเลยบอกเขาว่า ฉันจะบอกความลับให้อย่างนึงนะ บางทีเธอไม่จำเป็นต้อง Positive ตลอดเวลาก็ได้ การกดตัวเองให้ Positive ตลอดเวลา บางทีเป็นบ้านะ คือเราไม่โอเค เราก็ต้องบอกว่าไม่โอเค

แล้วหนูก็มีนิสัยแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้วพี่  หนูไม่ใช่คนแบบเขวี้ยงข้าวเขวี้ยงของ คนชอบมาหาว่าหนูเขวี้ยงข้าวเขวี้ยงของ หนูไม่เคย หนูแค่ถีบฉากล้ม  ทำไมหนูต้องถีบฉากล้มพี่ฟังนะ เราได้เงินลูกค้ามา แล้วคนทำฉากทำออกมาไม่สมกับที่ลูกค้าจ้าง หนูก็เลยถามว่าโทษนะคะ อันนี้ใช้มือทำหรือใช้อะไรทำ ถ้าเกิดใช้มือทำไม่ใช่อย่างงี้ แต่ถ้าไม่ได้ใช้มือทำก็ใช้อันนั้น ฉันก็ใช้อันนั้นถีบล้มเหมือนกัน เพราะว่าเธอเอาเงินเขามา เอาเงินมาแล้วทำงานไม่ดีก็เหมือนเราปล้นเขา เราไม่ใช่โจรนะ เห็นแก่ตัวนั่นแหละพี่ เคยถีบฉากครั้งนึง แต่ว่านอกนั้นหนูก็ไม่ได้ทำอะไรใคร อย่างมากสุดเลย หนูก็เดินออกไปข้างนอกไปหายใจ นับหนึ่งสองสามสี่ห้าหกเจ็ดแปดเก้าสิบ แล้วเดินกลับเข้ามาจับมือ บอกว่าเคลียร์นะ จบนะ ถ้าไม่จบไม่ใช่ปัญหาของฉันละ เป็นปัญหาของเธอเพราะเธอแบกเอง

หนูเป็นคนอย่างงี้แหละพี่ และหนูก็ชัดเจนแล้ว ถ้าจะให้มานั่งนินทา หนูไม่นินทา หนูพูดกันตรง ๆ มันก็เลยยิ่งทำให้เวลาเราพูดอะไรตรง ๆ คนก็เลยยิ่งกลัวแล้วก็เกรงใจ แต่ถามว่าคิดอะไรไหม พี่ด้วยความสัจจริง ตื่นเช้ามาหนูไม่มีอะไรในหัวเลย แม่หนูสอนมาว่า ตื่นเช้ามาหัวต้องโล่ง ไม่งั้นหัวจะไม่มีที่เก็บเรื่องดี ๆ

และเวลาต้องเป็นกรรมการ มันจะไม่เหมือนกับเวลาที่หนูพูดกับเพื่อน เพราะการที่เราไปเป็นกรรมการ เราจะต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด และเราจะต้องเสริมให้ดีที่สุดสำหรับคนที่ประกวด มันมีหลายกรณีมากที่ทัวร์ลงแบบมหากาพย์แต่หนูก็ไม่แคร์ อย่างกรณี โยชิ หนูก็พูดตรงๆ เรื่องที่ว่า โยชิ เขายังดูเป็นเด็กอยู่ หนูก็บอกว่ามาประกวดมิสทิฟฟานี่ มิสแปลว่านางสาว หนูจะต้องมี Attitude ของความเป็นนางสาว และจะต้องมีความหิวกระหายที่จะต้องเป็นนักสู้ หนูจะต้องสู้ และตอนนั้นเขามาในสายเด็ก ๆ หวาน ๆ หนูก็เลยบอกว่า ถ้าไม่เปลี่ยนตัวเองหนูก็ไม่ได้เข้าสามสิบคน จากนั้นทัวร์ก็ลงหนู แต่ถามว่าหนูกลัวไหมหนูเฉย เพราะหนูถือว่าหนูพูดความจริงกับเขา และหนูดีใจที่เขาเดินมาจับมือหนูหลังจากที่เขาได้มงกุฎ เขามาบอกว่า หนูดีใจมากที่ป้าพูดอะไรกับหนูวันนั้น หนูก็บอกว่า ป้าพูดจริงและป้าไม่ได้คิดร้ายกับใครเลย ซึ่งเวลาหนูพูดในรายการ หรือว่าพูดเป็นกรรมการทุกที่ หนูไม่เคยคิดร้ายกับคน”

 

 

ชีวิตไม่ใช่ขนมชั้น ไม่ต้องมีเลเยอร์เยอะ

หนึ่งคำถามจากดีเจ ถาม ป้าตือ ว่า “มีคนแบบไหนบ้าง ที่ป้าตือไม่เอาเข้ามาในชีวิต?” จากคำถามนี้ เราได้เห็นมุมมองดี ๆ จาก ป้าตือ เพราะ ป้าตือ ได้ตอบคำถามว่า

“เอาความจริงนะพี่อย่าว่าหนูโลกสวยนะ หนูไม่ค่อยเกลียดคน ถ้าถามว่ามีคนที่หนูไม่เอาไหม มี มีคนที่หนูลบชื่อออกจากมือถือไหม มี แต่ถามหนูว่าหนูโกรธเขาไหม โกรธแล้วได้อะไรพี่ อย่างมากหนูก็ Delete ทิ้ง

เวลาเกิดอะไรขึ้น หนูมักจะบอกตัวเองเสมอว่าผิดที่เรา ผิดที่เราตั้งแต่ หนึ่ง เดินไปซื้อมือถือแล้วให้เบอร์เค้าแล้วก็โทรคุยกัน ผิดตั้งแต่นี้แล้วอะพี่ เพราะฉะนั้นทุกอย่างในโลกนี้ ทำอะไรไม่ต้องไปหวังพึ่ง ไม่ต้องหวังว่าเขาจะต้องคืนเรา แต่ถ้าเราอยากได้อะไร เราจะเดินไปบอกเขา ขอเขา สำหรับหนู หนูไม่ได้เป็นคนแบบว่าต้องมาหนึ่งสองสามสี่ห้า มันยากพี่ ชีวิตหนูไม่ได้เป็นขนมชั้น ไม่ต้องมีเลเยอร์เยอะ

คือหนูเป็นคนง่ายนะ และหนูเป็นคนที่ไม่เอาเปรียบคนเลยในชีวิต พ่อแม่สอนมานะว่า คนเราเนี่ยกฎของการเป็นมนุษย์เราต้องรู้จักให้ และให้โดยที่เราไม่ต้องคิดว่าเขาจะให้คืนมา แต่เรามีสิทธิ์ที่จะบอกว่า เธอฉันอยากได้อย่างงี้นะ ถ้าให้ได้ให้ ให้ไม่ได้ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกรงใจ

และหนูกล้าพูดกล้ายืนยันเลยว่าหนูมีข้อดี ซึ่งพ่อแม่สอนมาให้เป็นคนรู้จักให้ เวลาเราเห็นอะไรดี ๆ เห็นของดี ๆ เราจะชอบยกให้คน แม้แต่ทุกวันนี้ไหว้พระ หนูไม่เคยขออะไรให้ตัวเองเลย หนูก็จะไหว้พระขอ สิ่งดี ๆ ที่หนูทำทุกอย่างให้พ่อให้แม่ให้ผู้มีพระคุณ ให้พระให้เทวดาที่คุ้มครองหนู หนูพูดอย่างงี้เลย หนูไม่เคยขออะไรให้เข้าตัวเอง ขอแค่ว่าให้เรามีสติ เราจะได้ไปทำสิ่งดี ๆ ให้คนอื่น”

 

ไม่ชอบยึดติด และไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จ

ตลอด 30 ปีที่อยู่ในวงการอีเวนต์ แม้จะมีหลากหลายอีเวนต์เปลี่ยนไป มีเทรนด์ใหม่ ๆเกิดขึ้น แต่ ป้าตือ ก็สามารถก้าวทันตลอด จนได้นิยามว่าเป็นบุคคลที่ไม่ตายวงการ ซึ่ง ป้าตือ ได้เผยมุมมองเรื่องนี้ให้ฟังว่า

“คือตัวหนูไม่ยึดติดกับตัวเอง หนูไม่ได้รู้สึกว่าหนูประสบความสำเร็จ สิ่งที่มันเกิดวันนี้ เดี๋ยวมันก็จบไป แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้มันก็มีของใหม่มา

หนูพูดกับตัวเองตลอดเวลาว่าหนูเป็นคนโชคดี จน , ซวย หนูไม่เคยพูดเลย เพราะหนูรู้สึกว่ามันไม่ใช่คำของหนู ในชีวิตหนูเนี่ย หนูพูดแต่ว่าหนูจะต้องเจอคนดี แล้วคนดีจะอยู่ใกล้ ๆ หนู ถ้าเราคิดเรื่องดี ๆ มันจะดึงแต่เรื่องดี ๆ เข้ามา สมมติเราชอบผู้ชายคนนี้เนี่ย เราก็บอกว่าฉันชอบเธอจังเลย เขาก็จะมาหาเราทันที”

 

 

เป็นคนร้องไห้ยาก แต่เซนซิทีฟกับเรื่องครอบครัว

แม้ภายนอกจะเป็นคนดูเข้มแข็ง แต่ ป้าตือ ก็มีมุมเซนซิทีฟของตัวเอง โดย ป้าตือ เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า “หนูเป็นคนร้องไห้ยากมาก ตั้งแต่เด็กเลยไม่ค่อยร้องไห้ จำได้ว่าหนูร้องไห้เวลาดูหนังนีโม่ นีโม่มันตามหาพ่อมัน หนูร้องไห้แต่ก็ยังดู หรือบางทีร้องไห้อย่างเช่นว่า หนูทำงานเสร็จอะ หนูจัดงานเพชรใหญ่โตมโหฬารเลย แล้วหนูก็รู้สึกว่าเออมันมีความสุขจังเลยที่ได้ทำ แต่หนูไม่รู้จะเล่าให้ใครฟัง หนูก็มาจอดรถหน้ามาบุญครอง จอดข้างถนนฝนก็ตก แล้วหนูก็ร้องไห้ แบบว่ามันคือความปิติของหนู ที่หนูรู้สึกว่าเราก็โชคดีจังเลยที่ได้ทำอะไรดี ๆ แล้วก็กลับบ้าน

สมัยก่อนครอบครัวเนี่ยหนูต้องดูแลทุกอย่าง หนูชอบดูแลครอบครัว เพราะว่าหนูเป็นลูกคนเล็ก เตี่ยกับแม่มีลูก 10 คน แต่พี่หนูกลัวหนูหมดเลย แล้วตอนที่เตี่ยเสีย เขาก็จะแบ่งเงินแบ่งมรดกให้กับทุกคน แต่ก็จะมีพี่บางคนที่ว่าอ่ารู้ ๆ กัน ก็เลยรู้สึกว่าหนูก็ต้องดูแลเขา หนูก็ถาม เธอเดือนร้อนช่วงไหน หนูก็ส่งหลานเรียน เรียนหรู จนจบปริญญาโท ปริญญาตรี ซื้อคอนโด ซื้อบ้าน ซื้ออะไรให้ทุกคน หนูก็ดูแลให้หมดจนจบเบ็ดเสร็จแล้ว ทุกวันนี้หนูก็ถือว่าหมดหน้าที่หนูแล้ว ทุกคนก็โตแล้ว ทุกคนต้องไปดูแลตัวเอง

ปัจจุบันนี้หนูพูดด้วยความจริง หนูตายไปหนูไม่ให้มรดกพี่น้องหนูนะ หนูยกให้สามีกับคนที่หนูรักกับคนที่อยู่ใกล้ตัว ครอบครัวมันมีจุดนึงแล้ว พอมันหมดเวลาแล้วเขาก็ต้องไปอยู่กับครอบครัวของเขา แล้วเราก็คือคนนอก เพราะฉะนั้นครอบครัวมันไม่ได้แปลว่าพี่น้องท้องเดียวกัน แต่ครอบครัวมันคือความสุขที่อยู่รอบเรามากกว่า”

 

 

เรื่องราวความรักของป้าตือ

นอกจากมุมมองการใช้ชีวิตแล้ว ป้าตือ ยังได้มีโอกาสเล่าเรื่องราวความรักให้ฟังด้วย ซึ่งมีหลากหลายเรื่องราวพีคมากๆ เช่น เคยโดนผู้ชายจูบตอน ม.2 เลยต้องขอย้ายจังหวัดหนี! โดยป้าตือ เล่าว่า “หนูโดนผู้ชายจูบ ผู้ชายมาจากเมกันแล้วมาจูบหนู แล้วหนูไม่ได้ชอบเขาแต่ว่าหนูชอบเพื่อนเขา แล้วหนูก็เลยเดินไปบอกแม่ว่า แม่หนูโดนผู้ชายจูบเมื่อคืน หนูอยู่จังหวัดลำปางไม่ได้แล้ว หนูต้องย้ายจังหวัดหนี แล้วแม่ต้องย้ายโรงเรียนหนูด้วย ย้ายไปกลางคันเลย ก็รู้สึกว่าการโดนจูบ มันรู้สึกว่าตัวเองเสียความบริสุทธิ์ คือในวัยนั้นอายุ 14 เนอะ มันก็แบบ เห้ยย!
ช็อตเหมือนกันนะ แม่เลยย้ายให้เลย”

นอกจากนี้ยังมีเรื่องสุดพีคของป้าตือ กับรัก 13 ปี ที่ต้องเลิกรากัน แถมยังต้องเรียกทรัพย์สินจากการเลิกกันครั้งนี้ด้วย! เรื่องราวสุดแซ่บนี้จะเป็นยังไง ต้องไปฟังย้อนหลังจาก ป้าตือ กันได้เลย

“พี่หนูจะบอกให้นะ หนูไม่ได้อวดนะ คือเลิกกับสามีไม่เกิน 3 วัน หนูมีใหม่ตลอด และหนูก็เชื่อตลอดว่า จักรวาลนี้มีคนรอรักเราอยู่  ทุกวันนี้แจกบัตรคิวไม่พอนะ ต้องพรีออเดอร์ด้วย ของอย่างงี้มันเป็นเรื่องที่แบบว่าเขาเสกมาไงพี่ เทวดาเขาปั้น”

 

 

ท้ายรายการ ป้าตือ ได้พูดข้อคิดดีๆ ทิ้งท้ายไว้ว่า “หนูไม่เคยคิดมากไปกว่า 2 วินาที คือหนูไม่รู้จะคิดไปทำไม แบบว่าไม่ต้องคิดเผื่อพรุงนี้ก็ได้ เดี๋ยวหนูเดินออกไปข้างนอกเกิดหนูตุยขึ้นมามันก็จะเสียโอกาส เพราะฉะนั้น อยากทำอะไรทำเลย อยากพูดไรพูด แต่เราไม่พูดให้คนทุกข์ ไม่พูดให้คนมีเรื่องเสียใจ” - ป้าตือ

 

ติดตามรายการย้อนหลัง

related ENTERTAINMENT NEWS

เปิดชีวิตที่หลงใหลความเป็นไทย ของ “หญิงน้ำปรุง จรุงจิต” ซอฟต์พาวเวอร์แต่งชุดไทย นักจัดดอกไม้ชื่อดัง

02 ก.พ. 2024

เปิดชีวิตที่หลงใหลความเป็นไทย ของ “หญิงน้ำปรุง จรุงจิต” ซอฟต์พาวเวอร์แต่งชุดไทย นักจัดดอกไม้ชื่อดัง

“มั่นอก มั่นใจ มั่นหน้า ร่วมรักษาความเป็นไทย” รายการ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่ตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญที่งามอย่างไทย “หญิงน้ำปรุง จรุงจิต” เน็ตไอดอลผู้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ของการแต่งชุดไทย สู่การเป็นนักจัดดอกไม้ชื่อดัง ที่ได้มาแชร์สีสันของชีวิต ปันข้อคิดแรงบันดาลใจแบบสับแบบจึ้งไว้ในรายการด้วยน้ำปรุง จรุงจิต ชื่อนี้ได้แต่ใดมา?“หนูตั้งเองตอนที่เรียนอยู่ปี 3 ชื่อมันดูอ่อนหวาน มันดูเป็นผู้หญิง เพราะชื่อใน Facebook ตอนนั้นคือ ชรัมภ์ ประคองทรัพย์ ก็ไม่น่าสนใจ พอเป็น น้ำปรุง จรุงจิต อย่างน้อยมีสัมผัส อย่างน้อยมีความแปลก แล้วชื่อนี้มาช่วงสงกรานต์ ที่คนจะใช้น้ำอบน้ำปรุงกัน หนูเลยเอามาตั้งชื่อว่า น้ำปรุง จรุงจิต”ความเป็นไทย ที่มาพร้อมความเป็นเทย“เรื่องความเป็นไทย หนูชอบมาตั้งแต่เด็ก ๆ เหมือนเป็นกะเทย ก็รู้ตั้งแต่เด็ก ๆ พอเราเป็นกะเทย เราได้ประดิดประดอย มันเกิดสิ่งสวยงาม เราก็จะรู้สึกชอบ เหมือนความเป็นกะเทยอยากผมยาวก็เอาผ้ามาพัน ทำเป็นผมยาว ใส่รองเท้าส้นสูง ด้วยความที่มันสวยงามเราก็เลยชอบ แล้วก็เลยหัดทำ จนกลายเป็นความโดดเด่นที่ทุกคนยอมรับเรา เวลาในชุมชนในหมู่บ้าน ที่ต้องมีการประดิดประดอยคนในหมู่บ้านก็จะบอกว่าต้องไปเรียกน้ำปรุง หนูก็เลยชอบความเป็นไทย ชอบแต่งตัวชุดไทย ชอบประดิษฐ์งานไทย ๆ ส่วนที่บ้านก็ไม่ลืมว่าเราเป็นกะเทย แต่เค้ายอมรับได้ หนูสามารถรำวงในงานแห่นาคได้โดยที่ไม่ต้องอายใคร”ย้อนวัยใส ของ หญิงน้ำปรุง จรุงจิต“หนูเป็นเด็กที่ชอบแสดงออก แต่ก็ไม่ถึงกับแก่น เพราะว่าเราโดนกดด้วยความเป็นกะเทย ซึ่งการแสดงออกของหนู คือการทำให้ทุกคนเห็นแล้วก็ยอมรับเรา แต่ว่าไม่ได้แสดงบนเวที หรือทำการแสดง เพราะเรารู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กขี้ริ้ว เป็นเด็กไม่สวยเรื่องการโดนบูลลี่จากคนรอบข้างก็มีบ้าง ทั้งจากญาติพี่น้อง แล้วก็จากคนอื่น ๆ ในสมัยนั้นทุกบ้านไม่อยากให้ลูกหลานเป็นกะเทย เพราะเค้าห่วงว่าจะอยู่ในสังคมยังไง กลัวจะไปประกอบอาชีพไม่ได้ เพราะว่าแต่ก่อนภาพลักษณ์กะเทยจะถูกมองว่าขี้ขโมยบ้าง ชอบพูดปดบ้าง แถวบ้านก็เลยไม่อยากให้เราเป็นกะเทย ครอบครัวหนูก็เลยส่งให้ไปเรียนในโรงเรียนประจำจังหวัด เพื่อให้อยู่ในสายตาการดูแลของน้าตัวเอง แต่ด้วยความที่หนูเป็นคนหัวไม่ดี ก็คิดว่าฉันสอบไม่ติดหรอก เดี๋ยวฉันก็ได้มาเรียนในอำเภอกับเพื่อน ๆ เพราะตอนนั้นหนูเป็นคนติดเพื่อนมาก ก็เลยไปสอบความสามารถพิเศษ หนูเล่นดนตรีไทย ซึ่งเค้าตั้งสายไว้ดีแล้ว หนูก็บิดสายให้มันพังเพราะจะได้สอบไม่ติด ที่ทำแบบนั้นเพราะหนูตั้งใจอยากกลับมาอยู่กับเพื่อน พอเห็นว่าเล่นดนตรีเพี้ยน คุณครูก็ถามว่าเธอร้องเพลงได้นี่นา หนูก็ร้องให้ฟัง ร้องเพลงไทยเดิมก่อน แล้วก็ร้องเพลงลูกทุ่ง ฟังจบคุณครูก็ปรบมือ กลายเป็นว่าหนูสอบได้ที่ 1 สอบติดโรงเรียนนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์การไปใช้ชีวิตในเมืองหนูก็กลัวแล้วก็คิดว่าเราจะอยู่ยังไง แต่ก่อนการเข้ามาอยู่ในเมืองมันเป็นเรื่องที่น่ากลัว แค่จากท่าตะโก มาปากน้ำโพ มันก็น่ากลัวแล้ว หนูไม่ชอบ ชอบอยู่แบบเดิม ๆ มากกว่า ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ไม่ชอบการเปลี่ยนเซฟโซน แต่ที่บ้านส่งเข้ามาเรียนเพราะโรงเรียนเคยเป็นโรงเรียนชายล้วนมาก่อน ในห้องมีผู้หญิงแค่ 5 คน แต่ทุกคนที่บ้านมีความคิดว่า โรงเรียนชายต้องมีแต่ผู้ชาย ซึ่งผิดค่ะ มันเป็นดงที่ทำให้กะเทยได้เป็นดาวในโรงเรียนประโยชน์ของการมาอยู่ในเมืองคือ ได้เพื่อน แล้วก็ได้คุณครูผู้สอนที่ดี หนูมองว่ามันเหมือนมีการแข่งขัน เด็กก็แข่งขัน ครูก็แข่งขัน แล้วการไปอยู่ในเมืองทำให้เราได้เปิดโลกทัศน์ ได้เห็นอะไรมากขึ้น อย่างเช่นอยากทำงาน ตอนอยู่บ้านนอกมันจะทำที่ไหน มีแต่ทุ่งนา มีแต่วัวแต่ควาย มีแต่ต้นข้าว แต่มาอยู่ในเมืองโอกาสมันมากกว่า อยากทำงานก็ไปสมัครงานที่ร้าน ได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ มากกว่า”“ครู” อาชีพในฝัน ของหญิงน้ำปรุง จรุงจิต“ความฝันในวัยเด็ก หนูอยากเป็นคุณครู เพราะว่ามันมีความสดใส อยู่ในโรงเรียนมีแต่เด็ก ๆ มีแต่ความสดใส ขนาดตอนเล่นกับเพื่อน ๆ หนูก็เล่นเป็นครู เล่นเป็นลิเก เล่นเป็นแม่ค้า เล่นเป็นคนครัว ซึ่งการเล่นมันก็บอกแล้วว่าเราอยากเป็นแค่นี้แล้วคุณพ่อเป็นคุณครูภาษาไทย แต่เป็นคุณครูที่ดุมากในชุมชน ตีลูกทุกคนยกเว้นลูกตัวเอง 3 คน พ่อจะให้แม่ดุคนเดียว เพราะว่าถ้าดุด้วยกันทั้งคู่เดี๋ยวลูกตาย ลูกรับไม่ไหว แม่ก็เลยดุแบบเต็มที่ ซึ่งในชุมชน คุณครูเสรี ประคองทรัพย์ เป็นที่รู้จักมาก ๆ ไปที่ไหนมีแต่คนทักทาย แล้วเราเห็นภาพนั้นมาตลอด แล้วรู้สึกว่าการเป็นครูมันยิ่งใหญ่มากเลย คนสวัสดีตั้งแต่กำนันมาจนกระทั่งเด็กน้อย แล้วกำนันก็เป็นลูกศิษย์ของพ่อหนูส่วนแม่หนูจบ ป.7 แม่จะให้ความสำคัญกับการเรียนมาก อย่างที่หนูจะไปเรียนพิเศษ ที่ต้องไปนั่งเรียนหน้าตู้ แม่ก็สงสัยว่ามันต้องเรียนยังไง จะรู้เรื่องเหรอ แล้วแม่ของหนูก็ลองไปนั่งเรียนก่อนหนู พอไปลองเรียน แล้วก็รู้เรื่องถึงเอาเงินมาให้หนู แล้วบอกว่าอยากเรียนก็ไปเรียน แม่หนูเป็นคนอยากเรียนมาก เพราะแต่ก่อนผู้หญิงจะไม่ได้เรียน แม่ก็เลยชอบเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เค้าวางแผนเก่ง จอมบงการ เป็นผู้ใหญ่บ้าน แล้วแม่เป็นคนที่เก่งมากในมุมมองของหนู แล้วแม่ก็หล่อหลอมตัวหนูมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นหนูในทุก ๆ วันนี้หนูเคยมีโอกาสไปสมัครเป็นครู แล้วก็ไม่สมหวังเพราะโดนบอกว่าเป็นกะเทยถึง 2 ครั้ง ตอนนั้นเค้ารับเพศสภาพของเราไม่ได้ หนูก็ร้องไห้เลย เพราะหนูยอมตัดผมจากที่แต่งหญิงเพื่อไปสัมภาษณ์ เค้าขอดูผลงานของเราเลยรู้ว่าหนูไม่ใช่ผู้ชาย แล้วก็เคยแต่งหญิงมาก่อน เค้าเลยถามว่าถ้าหนูมาสอน หนูจะสอนได้ไหม แล้วเค้าก็บอกว่าเรารับไว้ไม่ได้จริง ๆ กลัวจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับเด็ก ซึ่งหนูก็คิดในใจว่าเป็นกะเทยไม่ดีตรงไหน แล้วหนูก็ไปสมัครอีกที่นึง ก็ได้คำตอบเดิม เลยกลับมาคิดกับตัวเองว่าการจะเป็นครูมันคือความฝัน แต่เค้าดันบอกว่าไม่รับ ก็คงโชคดีแล้วที่ไม่ต้องไปอยู่ในจุดนั้น”ก้าวแรก ของวงการจัดดอกไม้“หนูเรียนจบ ม.6 ตอนนั้นเรียนสายวิทย์แล้วไม่ชอบ แต่ว่าในขณะที่เรียน หนูก็หนีที่บ้านไปทำงานจัดดอกไม้ เพราะมันสวยงาม เราอยากจัดได้ แล้วเราชอบ ก็ไปซื้อหนังสือมาอ่าน แล้วก็หัดทำ หนูก็เริ่มไปเก็บดอกไม้มาทำ อย่างเวลามีงานโรงเรียน หรือมีงานวัด พองานโรงเรียนเสร็จเค้าก็จะทิ้งดอกไม้ หนูก็ไปเก็บแยกไว้แล้วมาหัดจัดเอง พอครูเห็นก็เลยบอกว่า เธอจัดดอกไม้ได้นะ การจัดดอกไม้มันหากินคนเดียวได้นะ ตอนนั้นหนูบอกครูว่าหนูอยากไปเรียนตรงนี้ ครูก็บอกว่าเธออยากเรียนใช่ไหม เธอต้องไปที่โชติเวศนะ หนูก็เลยขอโทรมาขอโควตา แล้วก็มาสอบ ปรากฎว่าสอบได้ ได้เรียนคหกรรมศาสตร์ เอกงานประดิษฐ์ จัดดอกไม้ ทั้งที่ตอนมัธยมเราทนเรียนสายวิทย์ ที่คนบอกว่ามันโอเคนะ มันไปต่อได้ดีนะ ซึ่งเราไม่ชอบ แล้วการประกอบอาชีพของเราก็อาจจะต้องอยู่กับความไม่ชอบไปตลอดชีวิต หนูก็เลยตัดสินใจเลือกเรียนคหกรรมดีกว่า เลือกในสิ่งที่เราชอบ พอมาเรียนมันก็ได้มีการฝึกงาน ได้ทำงานจริง ซึ่งที่บ้านไม่อยากให้เรียนคหกรรมนะ แต่หนูก็มุ่งมั่นว่าหนูจะเรียน ตอนมาเรียนหนูก็เริ่มมีรายได้ แต่ก่อนได้ค่าแรง 35 บาท ที่ปากน้ำโพ แล้ววันนึงมีงานที่เซ็นทรัลชิดลม ในปีนั้นหนูได้เงิน 400 บาท หนูเดินยิ้มข้ามสะพานลอย มันดีใจมากหลังจากนั้นหนูก็จัดดอกไม้มาเรื่อย ๆ พอได้เงินเยอะก็บอกแม่ว่าเดือนนี้ไม่ต้องส่งเงินนะ แม่ก็ถามว่าไปเอาเงินที่ไหนมา หนูก็บอกแม่ว่าหนูได้เงินจากการไปจัดดอกไม้ ซึ่งแม่บอกว่า นั่นมันเรื่องของเธอ แต่หน้าที่ส่งเงินให้มันเป็นเรื่องของฉัน หนูดีใจแล้วก็ร้องไห้เลยตอนนั้น มันเหมือนแม่ยอมรับในทางเลือกของหนู ซึ่งพ่อยอมรับตัวหนูมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ตอนอยู่ ม.5 ไปเต้นที่โรงเรียน พ่อเป็นคนเอารองเท้าส้นสูงไปซ่อมให้หนูนะ พ่อหนูเปิดมากกับเรื่องนี้ แล้วพอแม่ยอมรับหนูก็สู้ต่อ แม่บอกให้เราสู้ หนูก็สู้ในเส้นทางที่เราเลือก”จากการจัดดอกไม้งานแต่ง สู่การจัดดอกไม้งานศพ“มันสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ และมันเป็นงานที่สั้น อย่างการจัดดอกไม้งานแต่งงาน มันเป็นงานที่ยาว เจ้านี้อยากได้แบบนั้น อีกเจ้าอยากได้แบบนี้ มันก็จะยาวกว่างานจะจบ หนูต้องเสนอแบบ เขียนแบบ ส่งแบบ แก้แบบ แก้อยู่ 3-4 รอบ กว่าจะถึงงาน บางทีรับงานตั้งแต่มกราคม แล้วแต่งพฤศจิกายน เจ้าภาพเค้าก็โทรหาหนูเกือบทุกวัน ตั้งแต่มกราคม ถึงพฤศจิกายน ก็มีแต่พอเป็นงานศพ ตายวันนี้ โทรวันนี้ จัดวันนี้ จัดเสร็จเราก็ได้เงิน แต่หนูก็มีเซอร์วิสไปดูแลให้ หลังการขายด้วย แล้วหนูก็ชอบเอารูปแบบการจัดงานแบบไทย มาประยุกต์กับแบบทันสมัย เพราะหนูจัดดอกไม้งานแต่งมาก่อน หนูมีอุปกรณ์ เราเคยเห็นงานแต่งที่จัดดอกไม้สวย แล้วการใช้ดอกไม้มันสามารถคลายความโศกเศร้าได้ หนูก็เอารูปแบบการจัดดอกไม้ในงานแต่งมาประยุกต์ใช้ในการจัดดอกไม้งานศพด้วยต้องบอกว่าแต่ก่อน การจัดดอกไม่งานศพนั้นความเรื่องมากของเจ้าภาพแทบจะไม่มี แต่เดี๋ยวนี้เริ่มมีแล้ว เพราะเจ้าภาพมีความรู้เยอะขึ้น เค้าเพิ่งรู้ว่าหลังช่วงโควิดมา ศพสามารถฝากไว้ที่โรงพยาบาลได้ ไม่ต้องรีบเอาออกมาจัดงาน มีช่วงให้คิดให้ออกแบบการจัดงานศพที่ยาวขึ้น ความต้องการของเจ้าภาพก็มากขึ้นตามค่ะช่วงหลังเริ่มมีเจ้าภาพอยากจะมามัดจำหนูให้ได้ ล่าสุดจะมัดจำหนู 500,000 บาท ไปจัดดอกไม้ให้แม่พี่ด้วยนะ ทั้งหน้าศพ ทั้งหน้าเมรุ หนูก็บอกว่าหนูทำไม่ได้ พี่ไม่คิดว่าหนูจะตายก่อนแม่พี่เหรอ ถ้าหนูตายมันจะเป็นเรื่องของคดี จะมาฟ้องครอบครัวหนู มันจะเดือดร้อนคนอื่นหนูไม่เคยเก็บมัดจำใครนะ แล้วคิดว่าเจ้าภาพเค้าคงไม่โกงหนู เพราะถ้าเค้าโกงมันก็เป็นบาปของเค้าเอง แต่ถ้าเรารับมัดจำมาแล้ว แล้วเราไม่ได้ทำให้เค้า เราจะเป็นบาปนะ มันจะต้องไปชดใช้กัน หนูกลัวบาป หนูจะรับงานก่อนเที่ยง ถ้าหลังเที่ยงไปก็จะเจรจาว่าของเป็นพรุ่งนี้ไหมคะ แล้วถ้าแบ่งทีมได้ก็จะแบ่ง แต่ถ้าแบ่งทีมไม่ได้ หนูก็จะต้องบอกลูกค้าตามตรง”พอต้องมาจัดดอกไม้ ในงานศพของคนที่รัก“หนูจัดดอกไม้งานศพมาเป็นพันศพแล้วนะคะ แต่งานศพพ่อตัวเอง งานศพตาตัวเอง หนูกลับไม่มีสติ งานศพคนอื่นจัดสวยงามมาก สั่งดอกไม้เป็นยี่สิบชนิด แต่พอต้องจัดงานศพคุณพ่อ หนูสั่งดอกไม้มาแค่ 4 ชนิดคุณพ่อเป็นมะเร็ง แต่ก็ไม่ได้จากไปแบบกะทันหัน แต่การเสียคนที่เรารักมากไปสักคน มันก็ต้องใช้เวลากว่าจะดึงสติไม่ให้เสียใจ ของหนูใช้เวลาหลักวัน แต่สำหรับแม่หนู ใช้เวลาเป็นปีเพราะว่าเค้ารักกันมาก เค้าอยู่ด้วยกันมา 44 ปี มันยาวนานมากซึ่งเทรนด์การจัดดอกไม้งานศพมันเปลี่ยนไป อย่างเจ้าภาพที่เป็นสายแคมป์ ก็อยากจัดดอกไม้หน้าศพให้เป็นเหมือนการตั้งแคมป์ มีโต๊ะ มีเต็นท์ เจ้าภาพบางคนชอบรถ หนูก็ต้องจัดเป็นสวน แล้วก็มีรถมอเตอร์ไซค์ไปจอด อย่างอีกเจ้าคือ คนตายชอบเป็ด ภรรยาบอกว่าสามีชอบเป็ดมาก แล้วเค้าเสียชีวิต จะจัดดอกไม้ออกมายังไงดี หนูก็เอาตุ๊กตาเป็ดไปวาง ซึ่งแต่ก่อนมันจะมีบังตาเพื่อไม่ให้เห็นศพ พอจัดดอกไม้เสร็จเค้าจะเอาบังตาออก จากน้ำตาที่เราเห็นเค้าร้องไห้ทั้งวัน พอเราจัดดอกไม้ทุกอย่างเสร็จ กลายเป็นว่าเค้ายิ้มแล้วก็ชมว่ามันสวยจังเลย นั่นทำให้หนูรู้สึกว่าการจัดดอกไม้งานศพมันช่วยคนได้ขนาดนี้เลยเหรอ แล้วหนูว่ามันได้บุญนะ สิ่งนี้แหละที่เป็นแรงบันดาลใจให้หนูจัดดอกไม้งานศพคู่กับงานแต่ง จนหลัง ๆ สุขภาพหนูเริ่มแย่ แล้วอดนอนไม่ได้ ก็เลยเลือกทำงานศพเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็ได้ไปออกรายการแฉ พี่มดดำเป็นพิธีกร พี่มดดำถามว่าเธอรับจัดดอกไม้งานอะไร ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงที่ในหลวง ร.9 สวรรคตพอดี หนูตอบว่าจัดหน้าศพค่ะ มันกลายเป็นการโฆษณาที่ง่ายสุด ๆ คนก็รู้จักหนูในการเป็นนักจัดดอกไม้หน้างานศพตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก่อนหน้านั้นที่หนูจัดงานศพกับงานแต่งไปด้วยกัน มันก็มีคำครหาว่า เธอใช้ดอกไม้ที่จัดในงานแต่งกับงานศพเป็นดอกเดียวกันรึเปล่า เพราะมันมีการผสมดอกไม้แห้งกับดอกไม้สด แล้วหนูว่าดอกไม้แห้งมันก็เป็นวัสดุที่ไม่ได้ใช้แล้วหมดไป มันสามารถเอามา REUSE ได้ แต่ในตอนแรกหนูก็ตอบว่าไม่ได้ใช้ด้วยกัน แต่มันเป็นการโกหก หลัง ๆ หนูก็บอกว่าใช้ด้วยกันค่ะ คนก็ถามว่าใช้ด้วยกันได้ยังไงเป็นของไม่ดีนะ หนูก็บอกว่า ทีจานวัดงานแต่งก็ใช้ งานบวชก็ใช้ งานศพก็ใช้ ไม่เห็นต้องว่าเลย ลูกค้าก็อึ้ง เพราะบางคนเค้าถือ แต่พอต้องตอบคำถามมาก ๆ หนูก็เลยตัดสินใจรับแต่งานศพไปเลย เพราะร่างกายเราก็ไม่ไหวแล้ว ก็เลยรับแต่งานศพเรื่อยมาสิ่งที่ได้จากการจัดดอกไม้หน้างานศพคือ มันให้รู้ว่า คนเรามีการเกิดมา ตั้งอยู่ แล้วก็ดับลงไป ซึ่งก่อนที่เราจะดับลงไป อะไรบ้างที่จะทำให้เราได้ติดตัวเราไป สิ่งนั้นคือบุญ บางคนเค้าเชื่อว่าบุญสามารถช่วยเราได้ถ้าเราย้ายภพภูมิไปแล้ว การจัดดอกไม้หน้างานศพ มันทำให้เราได้มีสติที่จะทำดี เพราะว่าบุญก็คือความดี ทำให้เราตระหนักถึงบุญ ตระหนักถึงการให้เกียรติซึ่งกันและกัน เพราะถ้าเราอยู่ด้วยบุญ อยู่ด้วยการให้เกียรติซึ่งกันและกัน อยู่ในวัฒนธรรม สังคมมันก็ไม่ยุ่งเลย”จัดดอกไม้ไม่ใช่แค่อาชีพ แต่คือความผ่อนคลาย“การจัดดอกไม้ของหนู คือ หนูไม่ได้ชอบเพราะมันจะเป็นอาชีพ แต่หนูชอบจัดเฉย ๆ จัดเพื่อการผ่อนคลาย ซึ่งมันจะออกมาพร้อมกับผลงานของเรา มันสนุกแล้วเราชอบมัน แล้วผลงานที่เราทำ พอมันผ่อนคลายผลงานมันก็จะออกมาสวย แล้วอย่างหนูชอบความเป็นไทย หนูก็เอาการจัดดอกไม้แบบไทยเข้าไปผสมกับการจัดดอกไม้แบบสากล เอาการเย็บแบบ ร้อยพวงมาลัยใส่เข้าไป คนก็เห็นว่ามันก็เข้ากันได้นะอยากให้ทุกคนมีความสุขกับในสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ หาความสุขของเราว่าเราชอบอะไร บางทีเริ่มจากเพลงก่อนก็ได้ คุณชอบฟังเพลงประมาณไหน ค้นหาตัวเองให้เจอ แล้วคุณก็นำสิ่งนั้นมาต่อยอด ทุกอย่างมันทำให้เราเกิดรายได้ ถึงจะไม่เกิดรายได้ คุณก็มีความสุข แล้วเมื่อคูอยากจะเอาความสุขส่งให้คนอื่นต่อ นั่นมันก็เป็นรายได้แล้ว”ผลงานแห่งความภาคภูมิใจ“’งานจัดดอกไม้ที่หนูภาคภูมิใจ และแจ้งเกิดที่สุดคือ งานแต่งงานของ คุณป๊อก ปิยธิดา ตอนนั้นเรียนปี 3 แล้วได้จัดดอกไม้งานแต่งดารา มันมีผลกับใจมากเลย หนูได้ไปจัดให้เค้าที่พิพิธภัณฑ์วังหน้า ซึ่งตอนนั้นงานแต่งงานต้องมี Backdrop แต่หนูมองว่างานนี้ไม่จำเป็น สถานที่มันสวยอยู่แล้ว ฉากข้างหลังเป็นพระที่นั่งพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ สถาปัตยกรรมที่งดงามขนาดนี้ ไม่ได้หาได้ง่าย ๆ หนูก็จัดดอกไม้แค่ตรงพื้น ตอนยืนก็เห็นพื้นเป็นดอกไม้ เห็นคน เห็นพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ งานมันก็เลยแปลกกว่าคนอื่น เค้าก็เลยชอบแล้วก็ใช้ต่อเทคนิคนี้ต่อ ๆ กันมาส่วนงานระดับชาติ คือ งานประชุมเอเปค เพราะว่าภาพของงานเอเปค มันเคยอยู่ในโบชัวร์ของมหาวิทยาลัยตอนที่หนูจะมาเรียน ป.ตรี ตอนนั้นเราก็มองว่ามันสวยมากเลย แล้ววันหนึ่งเราได้มารับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดรับเลี้ยงท่านคู่สมรสของผู้นำเอเปค มันเป็นงานที่เปลี่ยนชีวิต เรา และมันเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มากเลยสำหรับหนู”เสน่ห์ของเป็นไทย ในมุมมองของ หญิงน้ำปรุง จรุงจิต“หนูชอบแต่งชุดไทยอยู่แล้วตั้งแต่เรียนปี 3 หนูหลงใหลมากเพราะว่าเคยเห็นปู่ย่าตายายใส่ แล้วก็รู้สึกว่ามันสวยดี มันดูดี ซึ่งการเอาความเป็นไทยเผยแพร่ในโซเชียลของหนู หนูก็ทำให้คนเห็นว่าชุดไทยมันใช้ในชีวิตประจำวันได้นะ แล้วด้วยความเฮฮาของเรา บวกกับเทคนิคของการประดิดประดอยที่หนูชอบ พอลงคลิปในโซเชียลคนก็จำได้ บางคนเอาไปประยุกต์ใช้บ้าง บางคนหัดไปเป็นอาชีพก็มี เคยมีคนที่ทำเกี่ยวกับเว็บไซต์บอกว่า ยอดคนดูของพี่มันออแกนิคมากเลยนะคะ ไม่มีการโปรโมทอะไรเลย หนูก็บอกว่าใช่ค่ะ เพราะว่าทำไม่เป็น อ่านหนังสือออกก็บุญหนักหนาแล้วค่ะซึ่งคลิปที่สร้างชื่อให้หนูคือคลิป เป่ากุหลาบ กับ คลิปขี่ม้าเก้าอี้ คลิปเป่ากุหลาบ คือ ปกติกุหลาบมันตูมอยู่ในห่อ หนูก็มาจับมาเป่าให้ดูเหมือนสอน คนก็เห็นว่า จากดอกกุหลาบที่กว้างประมาณ 2 เซนติเมตร มันสามารถบานได้เกือบ 4 นิ้ว ส่วนคลิปขี่ม้าเก้าอี้ เกิดในงานบวชค่ะ เป็นการแสดงของกะเทย ก็เอาเก้าอี้มาควบเป็นม้าไปบริเวณช่วงนึงของโบสถ์ แล้วบังเอิญตัดต่อดี มีเสียงม้าพอดี คนเห็นแล้วชอบ แล้วก็รู้จักหนูมาจากสองคลิปนี้สำหรับหนู หนูมองว่า ชาติไทยเราเป็นชาติที่มีวัฒนธรรม แล้วการคุยกันด้วยวัฒนธรรม มันเป็นการคุยกันที่ง่าย มันเป็นการคุยกันที่ประนีประนอม ขอให้ทุกคนดำรงอยู่ภายใต้วัฒนธรรม แล้วก็รักษาวัฒนธรรม มันทำให้การใช้ชีวิตง่าย และมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเมืองไทย”เคล็ด(ไม่)ลับ การมูเตลูของ หญิงน้ำปรุง จรุงจิต“หนูบอกเลยว่าของหนูมี 3 ที่ ที่แรกคือ วัดพระแก้ว ต่อมาคือพระปฐมเจดีย์ ตรงพระบรมสารีริกธาตุ ที่ลืมไม่ได้เลยต้องดูแลพ่อแม่ และบุพการีของเราให้ดีที่สุด 3 สิ่งนี้แหละค่ะคือที่สุดแล้วสำหรับหนู” - หญิงน้ำปรุง จรุงจิตพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญสุดพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดเส้นทางชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “โอวา ธนาวัฒน์” ตัวแม่จากท้องนา ผู้สร้างรายได้หลักล้าน จากการขายข้าวสารออนไลน์

07 มี.ค. 2024

เปิดเส้นทางชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “โอวา ธนาวัฒน์” ตัวแม่จากท้องนา ผู้สร้างรายได้หลักล้าน จากการขายข้าวสารออนไลน์

“เกษตรกรเป็นแบ็คอัพหนักมาก ในวันหนึ่งที่ใครอาจไม่เห็นว่าเราสำคัญ แต่ โอวา อยากจะบอกว่า คำว่า อย่างน้อยก็มีข้าวกิน อยากให้คำนี้อยู่คู่สังคมไทยต่อไป โดยที่พวกเราจะเป็นแบ็คอัพให้คุณเอง”เกี่ยวเถิดนะแม่เกี่ยว ช้ะ ช้ะ เกี่ยวเถิดนะพ่อเกี่ยว เปิดไมค์ให้ได้ฟังเรื่องราวชีวิต พร้อมรับข้อคิดแรงบันดาลใจกันในทุกสัปดาห์ สำหรับรายการ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้มีโอกาสทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่จากท้องนา “โอวา ธนาวัฒน์” กะเทยนักสู้ ผู้พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส จนสามารถเปลี่ยนข้าวสารกิโลกรัมละ 8 บาท ให้กลายเป็นรายได้หลักล้านจากการขายข้าวสารออนไลน์ กลยุทธ์ของเธอจะเป็นอย่างไร มีข้อคิดแรงบันดาลใจอะไรให้เราถอดบทเรียนได้บ้าง เธอได้แบ่งปันเอาไว้ในรายการด้วยที่มาของชื่อสุดปัง กับการตลาดแบบขายตรง ๆ“ชื่อ โอวา เป็นชื่อที่ได้มาจากชมรม ตอนเรียนที่ธรรมศาสตร์ แล้วตอนนั้นในชมรมมีกะเทยชื่อ โอ ทั้งหมด 4 คน แล้วเวลารุ่นพี่เรียกโอ กะเทย 4 คนก็หันพร้อมกันทั้งหมด เลยต้องมีการตั้งชื่อต่อจากตัวเอง ก็จะมี โอเด็ต แล้วก็ โอวา ที่มาจาก โอวาทปาฏิโมกข์ เพราะว่าบ้านเราติดวัด มี โอปอ แล้วก็ โอริโอ้ แล้วไม่มีใครเรียกว่าโอวาทปาฏิโมกข์เพราะมันยาวไป สุดท้ายเลยกลายเป็น โอวาพอตั้งชื่อเพจ เราก็ตั้งตรง ๆ เลยว่า โอวาข้าวหอมมะลิแท้สุรินทร์100% เน้นขายตรง ๆ ชัดๆ ให้คนอ่านไม่ต้องตีความ ไม่ต้องคิดต่อ โอวา กะเทยขายข้าว พอเสิร์ชปุ๊บเจอเพจปั๊บ ทักซื้อข้าวได้ เท่านั้นจบ”การยอมรับ กับตัวตน ของ ด.ช.โอ“ย้อนกลับไปตอนเด็ก ๆ เวลาอยู่กับครอบครัว เราก็จะลั้นลาสนุกสนาน แต่พอไปอยู่โรงเรียนค่อนข้างเป็นคนเก็บตัว เพราะด้วยความเป็น LGBTQ ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่เข้ากับคนที่เป็นชายหญิงทั่วไป ทำให้เวลาไปโรงเรียนเราก็ตั้งใจเรียน พอกลับบ้านก็ลั้นลาสนุกสนานหนูอาจจะมีปมในใจที่เกิดขึ้นในโรงเรียน จากการโดนเพื่อนแกล้ง เราก็เลยไม่ค่อยที่จะเปิดเวลาอยู่ในโรงเรียน ปมของหนูคือตอนนั้นเป็นงานกีฬาสี ซึ่งเป็นช่วงที่ เพลงประเทือง ของพี่ ไท ธนาวุฒิ ดังมาก ที่ร้องว่า ว้าย ว้าย ว้ายนี่มันประเทืองนี่หว่า แต่เพื่อนชอบแกล้งหนูเค้าจะร้องว้าย ว้าย ว้าย นี่มันกะเทยนี่หว่า ซึ่งเราก็งง และรู้สึกว่ามันไม่ใช่ เราไม่อยากให้ใครมาพูดแบบนี้กับเรา เรารู้สึกไม่ชอบแต่เราต่อสู้ไม่ได้ตอนเด็ก คุณพ่อไม่ได้ยอมรับในตัวตนของหนู ก็จะมีการพาไปเข้าค่ายมวยคาดเชือก กะเทยก็ต้องยอมเป็นกระสอบทรายให้เค้าเตะ แล้วต้องตื่นตี 4 วิ่งรอบสนาม 20 รอบ หลังจากซ้อมมวยเสร็จแล้วก็ไปโรงเรียน หนูรู้สึกว่าชีวิตวัยเด็กมันไม่ได้แฮปปี้เลย ณ ตอนนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ถ้าเราไปฝึกมันอาจจะเปลี่ยนตัวเองก็ได้ บวกกับเราไม่มีอำนาจในการตัดสินใจใด ๆ ทั้งสิ้น พ่อให้ไปก็ไป บวกกับเราอยากเป็นที่ยอมรับ แล้วด้วยความเป็นมวยที่พ่อพาไปซ้อม ทำให้เพื่อนไม่กล้าแกล้งเรา แล้วความสุขเดียวในตอนที่ไปค่ายมวย คือที่ค่ายมวยจะเปิดเพลงของ แม่เจินเจิน ต้องสู้ ต้องสู้ถึงจะชนะ นั่นคือความสุขของหนู เวลาได้ฟังเพลงของ แม่เจินเจินจริง ๆ หนูรู้ในความเป็นตัวเอง แต่ยังจำกัดความให้กับตัวเองไม่ได้ เพราะตอนแรกหนูไม่ได้อยากแต่งหญิง บวกกับหนูไม่มีคำจำกัดความให้ตัวเอง แล้วในหมู่บ้านกะเทยรุ่นพี่ก็ไม่มีด้วย จากนั้นพอเราได้เปิดทีวี ได้เห็นกะเทยในละคร ถึงรู้ว่าเมืองกรุงมีแบบนี้เยอะนะ แสดงว่าสุรินทร์น่าจะไม่ใช่ที่ที่เราควรอยู่แล้วแหละ แล้วพอมีพี่ ๆ จากค่ายจุฬาชนบทมาจัดค่ายที่โรงเรียนหนู ทำให้หนูได้รู้ว่ามีกะเทยไว้หนวด กะเทยออกสาว กะเทยตุ้งติ้งเต็มไปหมด เราก็คิดในใจว่ามันมีแบบนี้ด้วย แสดงว่ามันมีพื้นที่ที่เปิดรับเราอยู่ส่วนที่บ้านเค้ารู้อยู่แล้ว และพยายามทำความเข้าใจมากเลย แต่เค้าก็ยังหาเรื่องที่จะมาอ้างอิงเราไม่ได้ ทุกคนรักลูก แต่เค้าก็ยังคาดหวังเล็ก ๆ ว่าลูกจะกลับมาเป็นผู้ชาย จะมีเมีย จะมีลูก จะสร้างครอบครัว แต่ด้วยความที่เราเป็นแบบนี้ เค้าก็เปลี่ยนตัวเราไม่ได้ซึ่งหนูคิดว่า คุณแม่ รับได้ตั้งนานแล้ว เค้าเป็นคนห้ามไม่ให้โอวาไปฝึกมวยต่อ เพราะทนเห็นลูกโดนซ้อมไม่ได้ จนทะเลาะกันกับพ่อเพราะไม่ให้ลูกไปซ้อมมวยแล้ว ซึ่งการที่จะมาเรียนต่อในกรุงเทพ คุณแม่ไม่ว่าอะไรเลย เพราะว่าในหมู่บ้านหนูไม่ได้มีใครเข้ามาเรียนในกรุงเทพ แล้วก็เข้ามหาลัยชื่อดังด้วย เค้าก็ภูมิใจในตัวเรา”จากความฝัน สู่การเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองกรุงอย่างที่ตั้งใจ“ชีวิตในเมืองกรุงของหนู เริ่มขึ้นตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตอนแรกสอบได้ คณะวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ แต่เราไม่มีคอมพิวเตอร์นะ ที่เลือกเรียนก็เพราะรู้สึกว่าตัวเองชอบ แล้วก็คะแนนถึง แต่พอเข้ามาเรียนจริง ๆ เราทำไม่ได้ ท่ามกลางเพื่อนของโอวาที่ได้โควตาโอลิมปิค แล้วเด็กโอลิมปิคคอม เวลาเขียนภาษา C ภาษา JAVA เค้าเขียนได้เลย แต่เราเป็นกะเทยที่ไม่มีคอม ไม่รู้ภาษา ก็เลยคิดว่า จริง ๆ แล้วมันมีสิ่งที่เราชอบ แต่เราอาจจะทำไม่ได้ และต้องเปลี่ยนตัวเองก็เลยซิ่ว ไปเรียนวิชาเลือกแทน เป็นการเก็บหน่วยกิต แล้วไปเรียน คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ เรารู้สึกว่าสังคมสงเคราะห์ เป็นพื้นที่เปิดมากเลย ไม่มีใครตัดสินใคร โอวา จะใส่กางเกงขาสั้นไปเข้าคลาสเรียนก็ได้ มีกะเทยเยอะแยะ แล้วสิ่งที่ทำให้อยากเรียนสังคมสงเคราะห์ศาสตร์คือ เราอยากขับเคลื่อนให้ทุกคนเปิดรับความเป็น Humen Rights ในความเป็นมนุษย์ ถ้าเราได้เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดัน มันจะมีผลกับจิตใจเรา เพราะเราอยากลบบาดแผลที่มีมาตั้งแต่อดีต ซึ่งชีวิตตอนเรียนของโอวา ได้เป็นตัวเองเต็มที่มาก ได้เป็นนางโชว์ ไปสุดทางเลย แล้วก็นาน ๆ ทีถึงจะกลับบ้านพอเรียนจบ โอวา ไปเกณฑ์ทหารจับได้ใบแดง ต้องไปเป็นทหารเรือ 1 ปี ซึ่งไม่ค่อยแฮปปี้เท่าไหร่หรอก เรารู้สึกว่าตัวเองถูกลดทอน แล้วก็กฎกติกาทุกอย่างต้องฝึกเหมือนชายแท้ แต่เพื่อน ๆ ทหารน่ารักนะคะ ทุกคนเรียกเจ๊หมด แล้วก็ให้เกียรติ มันเป็นเหมือนเกราะป้องกันพอปลดประจำการ ก็มีรุ่นพี่บอกว่าที่บริษัทมีตำแหน่งว่างให้มาทำงาน หนูเลยตัดสินใจทำงานต่อเลยไม่ได้หยุด ทำงานตำแหน่ง General Service เป็นฝ่ายที่ซัพพอร์ททุกอย่างในบริษัท ทำอยู่ประมาณ 2 ปีครึ่ง ก็ย้ายมาที่ กบข. (กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ)จริง ๆ ความฝันตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย คือ โอวาอยากไป Work and Travel เพราะอยากไปเผชิญโลกกว้าง แต่ยังไม่มีโอกาสไปเพราะว่าตอนนั้นเรายังไม่มีเงิน ตลอดระยะเวลาของการเรียนที่ธรรมศาสตร์ โอวาต้องทำงานไปด้วย ซึ่งเรารับสอนพิเศษ ขนาดปลดทหารแล้ว ต้องมาทำงาน โอวา ก็ยังสอนพิเศษ เสาร์-อาทิตย์ อีก ไม่มีเวลาหยุดเลย เราเคยจนเลยไม่อยากกลับไปอยู่จุดนั้น เพราะหนูเป็นลูกเกษตรกร เคยกินข้าวคลุกน้ำมันที่ทอดซ้ำจนมันได้รสชาติอร่อย แล้วก็โรยเกลือ โรยพริกผง ซึ่งเราไม่อยากกลับไปอยู่จุดนั้นอีกแล้ว ฉะนั้นถ้ามีโอกาสที่จะเติบโต โอวา ก็จะทำทุกอย่างหนูทำงานอยู่ กบข. 6 - 7 ปี ซึ่งงานมัน Challenge เราตลอดเวลา เราได้ไปออกต่างจังหวัดเกือบ 74 จังหวัดแล้ว แล้วก็ได้จัดคอนเสิร์ต จัดสวัสดิการ ติดต่อประสานงาน ซึ่งงานมันแบบวาไรตี้มาก แต่ก็ยังไม่ตอบโจทย์ในใจก็เลยลาออก แล้วสมัครงานใหม่ ตอนนั้นหนูรู้สึกว่า ตลอดการเดินทางของกะเทยคนนี้มันไม่มีเวลาหยุดเลยจึงอยากพักสักเดือนสองเดือน ก่อนไปเริ่มงานใหม่ หนูก็เลยขอยังไม่เซ็นสัญญา หนูขอแค่สองเดือน ตอนนั้นคือเดือนพฤศจิกายนที่มี โควิด จาก อู่ฮั่นเข้ามา หนูยังไม่ทันไปเริ่มงานเลย ที่ทำงานก็โทรมาช่วงประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน บอกว่า คุณธนาวัฒน์ สัญญาที่คุยกันไว้ขออนุญาตยกเลิกก่อน แล้วหนูก็ตกงานเลย”เมื่อโควิด ทำให้ชีวิตต้องกลับบ้านเกิด“พอตกงาน เรียกได้ว่าทุกอย่างพัง เราคิดว่าตัวเองวางแผนมาตลอดชีวิตแล้ว เราลดความเสี่ยงในชีวิตตัวเองทั้งหมดแล้ว สุดท้ายเราก็อยู่ท่ามกลางความเสี่ยงเหมือนเดิม จึงตัดสินใจกลับบ้านเพราะว่าค่าใช้จ่ายที่กรุงเทพมันสูงมาก พอต้องกลับบ้าน ชีวิตตอนนั้นมันเครียดมาก เพราะด้วยความที่ตัวเองเป็นคนไฮเปอร์ แล้วพอกลับไปอยู่บ้านแล้วเราไม่ได้ทำงาน จนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า บวกกับถูกแรงกดดันจากทั้งครอบครัว แล้วคนข้างบ้านก็มากดดันครอบครัวอีกว่า ลูกเธอเมื่อไหร่จะกลับกรุงเทพ จนแม่ก็ไม่รู้จะไปถามใคร แล้วก็มาถามเรา พอเจอแบบนี้บ่อย ๆ มันทำให้เรารู้สึกว่าเหนื่อยจังเลย เราแค่กลับมาพักผ่อน เราแค่หามาพื้นที่ ไม่ต้องเป็นเซฟโซนให้เราก็ได้ แต่อย่าผลักเราออกไปก็พอมันเครียดจนทำให้หนูคิดสั้น ที่บ้านเป็นร้านขายของชำเล็ก ๆ มันก็จะมียาแก้แพ้เป็นกระปุกขาย หนูก็เดินไปหยิบมา เทใส่มือ แล้วก็นั่งมอง จังหวะนั้นในใจก็คิดว่ากินดีไหมจะได้จบ อีกจังหวะหนึ่งก็ขอให้มีใครสักคนหนึ่งที่มาช่วยดึงเรา เราก็จะหยุด แล้วเหมือนแม่เค้าหายาแก้แพ้ไม่เจอ ก็เลยเดินมาดูเราในห้อง เปิดประตูมาแล้วเห็นเราก็กำลังมองยา เค้าก็หวีดร้องเหมือนจะขาดใจแล้ววิ่งมาปัดยาทิ้ง แล้วก็เอาน้ำอัดลมมากรอกปากกะเทย ตอนนั้นหนูยังไม่ได้กินยาแก้แพ้เลย แล้วน้ำอัดลมก็ออกปากออกจมูก ตอนนั้นถ้าตายก็ไม่ใช่เพราะยาแก้แพ้ แต่คงตายเพราะสำลักน้ำอัดลมพอผ่านเหตุการณ์นั้นมา หนูก็ได้คุยกับแม่ แล้วเค้าก็เข้าใจเรามากขึ้นว่า จริง ๆ แล้วหนูเครียดมาก หนูพยายามแก้ Resume อยู่ หนูสมัครงานเกือบร้อยกว่าบริษัท แต่ด้วยสายงาน ด้วยสถานการณ์โควิด เราว่าเราพยายามสุดแล้ว แต่ทุกคนเหมือนจะมากดดันว่าเราไม่พยายามเลย ซึ่งพอได้คุยกันแม่ก็เข้าใจ”จุดเริ่มต้น ของ กะเทยขายข้าว“พอหนูได้คุย ได้ทำความเข้าใจกับแม่ ก็เริ่มออกจากห้อง แล้วแม่ก็ใช้ให้ไปสีข้าว หนูก็ได้ไปเห็นใบประทวน คือ ใบจำนำข้าว ของ ธกส. แปะไว้ที่ยุ้งข้าว ซึ่งเค้าจะมาดูข้าวในยุ้งเรา แล้วจะประเมินว่าข้าวยุ้งนี้มีข้าวประมาณกี่ตัน จากนั้นจะทำการตีราคา ซึ่งเราห้ามขายข้าวในยุ้ง เราจะต้องส่งให้เค้า แล้วเค้าจะให้เงินเรามาก่อน โดยราคาประเมินตอนนั้นข้าวในยุ้งประมาณ 10 ตัน ได้ 72,000 บาท หนูเห็นแล้วตกใจว่าทำไมราคาข้าวเปลือกถูกขนาดนี้ หนูเคยเจอข้าวในห้างที่แพ็คใส่ถุงไว้ ถ้าเป็นข้าวกล้องก็ราคาประมาณกิโลกรัมละ 95 บาทขึ้นไป แต่ข้าวเราขายได้กิโลกรัมละ 7-8 บาท แล้วเงินมันหายไปไหนหมดตอนนั้นหนูก็เลยบอกแม่ว่า หนูขอขายข้าวได้ไหม แม่ก็ตกใจนึกว่าจะขโมยข้าวไปขายให้โรงสีแล้วเอาเงินมาใช้เอง หนูก็บอกว่าไม่ใช่หนูจะสีข้าวขาย เพราะข้าวสุรินทร์มันขึ้นชื่ออยู่แล้ว แต่ถ้าเราอยู่กรุงเทพ แล้วเราจะซื้อข้าวหอมมะลิสุรินทร์กิน ต้องไปซื้อกับใคร ซื้อที่ไหน ซื้อยังไง หนูก็เลยตัดสินใจว่า ถ้าอย่างนั้นเรามาทำเองดีกว่าช่วงแรกหนูจะเริ่มจากการพรีออเดอร์ก่อน แล้วค่อยสีข้าว จากนั้นก็โพสต์ขายใน Facebook ของตัวเอง คนที่ซื้อก็เป็นเพื่อน ๆ ก่อน อุดหนุนไม่เยอะ คนละ 5 – 10 กิโลกรัม แล้วช่วงนั้นก็จะมีแบบการเปิดกลุ่มจุฬามาร์เก็ตเพลส ธรรมศาสตร์รับฝากร้าน หนูก็บอกว่าเรามีข้าว เอาไปขายให้พี่ ๆ ที่มหาวิทยาลัยดีกว่า ก็ไปโพสต์ในกลุ่ม แต่ไม่มีออเดอร์เลยตอนนั้นเรามานั่งตกตะกอน แล้วพบว่าข้าวเรามีคุณภาพแล้ว แต่เราขาดการส่งเสียงให้มันดัง ขาดการเป็นไวรัล หนูก็เลยทำคลิปเป็นแนวลิปซิงค์เพลงกลางท้องไร่ท้องนา แล้วก็โพสต์ไปในกลุ่มเหมือนเดิม ความคิดตอนนั้นคือไม่ใช่ว่าขายไม่ออกแล้วยอมแพ้ เราทำแบบนั้นไม่ได้ เราก็ต้องมานั่งคิดว่า จริง ๆ แล้วมันขาดอะไร ซึ่งเราอาจจะส่งเสียงไม่ดังพอรึเปล่า”จากความเป็นลูกทุ่ง มุ่งสู่คลิปสุดไวรัล“หนูมองว่า Target ของเราคือคนซื้อข้าวหุง ต้องเป็นกลุ่มอายุ 30 ปีขึ้นไป เด็ก ๆ หรือวัยรุ่นคงไม่ซื้อข้าว ฉะนั้นการเล่าเรื่องของความเป็นเพลงลูกทุ่ง ความเป็นท้องไร่ท้องนาเอามาผูกกัน คนดูน่าจะชอบ ก็เลยแต่งตัวเป็นทองกวาว เพราะรู้สึกว่าคนใน Target ผ่านกระบวนการ Socialization หรือการขัดเกลาทางสังคม รุ่นหนูทุกคนเคยดูมนต์รักลูกทุ่ง รู้จักพี่คล้าวทองกวาว ซึ่งความเป็นลูกทุ่งมันบ่งบอกเรื่องของความเป็นชาวไร่ชาวนาได้ สุดท้ายโอวาก็เลยเอาสองเรื่องนี้มาผูกกัน แล้วก็ผูกตัวเองไปด้วยพอหลังจากนั้นก็โพสต์คลิป แล้วตอนนั้นในกลุ่มไม่มีใครทำคลิปขายของเลย แต่โอวาเป็นคนแรกที่ทำเป็นคลิปซื้อขาย แล้วยอดมาเยอะมาก เยอะจนน่าตกใจ จากข้าวในยุ้งที่ถูกตีราคาว่าได้ 72,000 บาท แต่โอวาขายข้าวยุ้งนั้นได้เกือบ 400,000 บาท แล้วขายหมดยุ้งภายใน 1 สัปดาห์”กว่าจะเป็น “ข้าวจักรพรรดิ” สินค้าขายดีที่กะเทยขายได้“ในการปลูกข้าว จนได้เป็นข้าวมา ใช้ระยะเวลา 1 ปี โดยใช้เวลา 6 เดือนในการปลูก แล้วจุดเด่นของข้าวโอวา คือเป็นข้าวนาปี เป็นข้าวไวต่อแสง และจะปลูกเฉพาะฤดูฝนเท่านั้น ฉะนั้นเรื่อง ลม ฟ้า ฝน อากาศ มีผลต่อข้าวหมด แล้วข้าวหอมมะลิต้องปลูกในดินทราย โดยน้ำไม่ต้องขัง ซึ่งการปลูกของโอวาก็คือรอน้ำฝน ฝนตกปุ๊บกะเทยไถนาเพื่อกลบเลย แล้วทำไมต้องรอฝนตกก่อน เพราะตอนฝนตกดอกหญ้ามันจะขึ้น เราต้องไถกลบเพื่อให้เป็นปุ๋ยสด ถ้าไม่อย่างนั้นเราต้องใช้สารเคมี แต่ข้าวของเราไม่ใช้สารเคมี หลังจากนั้นก็ต้องรอสักพัก ถ้าฝนยังตกอยู่ ต้องไถกลบอีกรอบ พอปลูกในดินทราย ข้าวมันจะหลั่งสารบางอย่างที่ทำให้ข้าวหอม แล้วก็นิ่มเป็นพิเศษ แต่ถ้าปลูกแบบดินร่วน ข้าวก็จะเต็มเม็ด อวบอิ่ม แต่มันก็จะไม่มีกลิ่นหอม ไม่ค่อยมีความหวานตอนแรกลูกค้าชอบสั่งข้าวโอวาแบบหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวนิล ข้าวกล้องจากนั้นก็มีคนมาแนะนำให้หนูเอาข้าวไปผสม ใส่ลูกเดือย ใส่ธัญญาพืช แล้วเราเห็นว่ามันมี ข้าวสามกษัตริย์ ที่เป็นชั้น ๆ เรียงสวย แต่พอเราเป็นชาวนาเอง เรารู้ว่าข้าวช่วงไหนเป็นยังไง ผสมแบบไหนอร่อยที่สุด แล้วความเป็นกะเทยมันเลยอยากทำเว่อร์ แค่ข้าวสามกษัตริย์มันไม่พอ เราต้องผสมมากกว่านั้น จนกลายเป็น ข้าวจักรพรรดิ ที่เป็นสินค้าขายดีที่สุดของโอวาข้าวจักรพรรดิ มีข้าว 5 ชนิด คือข้าวกล้องหอมมะลิสุรินทร์ ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวมันปู ข้าวหอมมะลินิล แล้วก็ข้าวกล่ำหรือว่าข้าวลืมผัว หนูใส่ไปเลย 5 ชนิด แล้วแต่ละชนิดมันมีความหอมและคุณประโยชน์ไม่เหมือนกัน อย่างข้าวไรซ์เบอร์รี่ จะมีแอนไทโซยานิน ต่อต้าน Antioxidantพอคนชื่นชอบ และซื้อข้าวของโอวาเยอะขึ้น ยอดขายก็เพิ่มขึ้น ปีที่แล้ว 4 ล้านบาท นอกจากนั้นเรายังกระจายรายได้ในชุมชน ชวนคนในชุมชนมาร่วมกับโอวาไหม เดี๋ยวโอวาจะรับซื้อข้าวเองในราคาที่สูงกว่า ทำข้าวแบบปลอดสารให้โอวานะ นอกจากนี้โอวายังเอาคนที่มีศักยภาพใกล้ ๆ ตัว ชวนคุณป้า คุณน้า คุณยาย มาช่วยกันแยกข้าวแล้วก็แพ็คข้าวเท่าที่ทำไหว ดีกว่าอยู่บ้านเฉย ๆ แล้วไม่มีรายได้ โดยโอวาจะรับคนที่สามารถรับความเสี่ยงกับเราได้ก่อน”ชีวิตคน ก็เหมือนต้นข้าว“เราก็เหมือนข้าว ที่ควรจะมูฟตัวเองไปอยู่ในดินที่เหมาะสมกับเรา เพราะข้าวแต่ละชนิดก็จะมีดินที่เหมาะสมไม่เหมือนกัน อย่างเช่นข้าวสังข์หยดชอบดินเหนียว ข้าวของปทุมอาจจะชอบดินร่วน ข้าวสุรินทร์อาจจะชอบดินทราย ข้าวแต่ละชนิดมีพื้นที่ดินที่เหมาะสมในการผลิตไม่เหมือนกัน เหมือนกับคนเราโอวาคิดว่า ในแต่ละช่วงของชีวิต ไม่ต้องอยู่กับปัจจุบันให้ได้มากที่สุด แล้วถอดบทเรียนจากอดีต เพราะปัจจุบันของเรา มันเกิดจากจุดของอดีตหลาย ๆ จุด แล้วก็ขีดเส้นมาเป็นเรา ณ ปัจจุบันนี้”สายสุดเซอร์ไพรส์ กับกำลังใจที่ต้องสู้ถึงจะชนะมีหนึ่งสายสุดเซอร์ไพรส์ ที่โทรเข้ามาช่วงท้ายของรายการ ซึ่งปลายสายเริ่มต้นประโยคว่า “ต้องสู้” เพียงเท่านี้ ก็ทำให้โอวารู้ว่า สายที่โทรเข้ามาคือ แม่เจินเจิน บุญสูงเนิน ศิลปินผู้ที่เป็นความสุขอย่างเดียวในตอนที่ โอวา ต้องไปซ้อมที่ค่ายมวย ซึ่งแม่เจินเจิน ก็ได้ขอบคุณ พร้อมฝากกำลังใจไว้ว่า “ทุกคนในโลก ต่างคนก็ต่างมีปัญหากันทั้งนั้น แต่เราต้องเรียนรู้ว่าต้องอยู่กับมันยังไง เราอาจจะเสียใจ เจ็บใจ หรือแค้นใจ แต่ถ้าเราเรียนรู้ที่จะต่อสู้กับปัญหา เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ปัญหาก็แค่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตแล้วเดี๋ยวมันก็ผ่านไป เหมือนชีวิตคนที่มี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เรียนรู้และเข้าใจ แล้วเราจะอยู่กับมันได้อย่างมีความสุขค่ะ”ส่วน โอวา ก็ได้กล่าวขอบคุณ แม่เจินเจิน ว่า “ขอบคุณแม่เจินเจินมาก ที่อย่างน้อยก็เป็นการฮีลใจให้ในช่วงที่รู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจเราเลย เป็นเพลงที่สามารถทำให้เรามูฟออนไปข้างหน้าได้ ในอดีตแม่ได้ช่วยกะเทยตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่อยู่ในแบบสถานการณ์ที่แย่ที่สุด และไม่รู้ว่าตัวเองจะก้าวไปข้างหน้าได้ยังไง ให้ก้าวต่อได้ด้วยเสียงเพลงของแม่ ขอบคุณมากค่ะ เซอร์ไพรส์มาก”สีสันแรงบันดาลใจ จาก โอวา กะเทยขายข้าว“ในทุกสังคม มันมีทั้งคนแพ้และคนชนะ ถ้าเราสู้ในเมืองกรุงแล้วเรากลายเป็นผู้แพ้ บางทีเราอาจจะเป็นผู้ชนะเมื่อเรากลับไปอยู่ต่างจังหวัดก็ได้ อย่าปิดโอกาสตัวเองว่าตรงนี้เท่านั้นคือที่ของฉัน แล้วไม่ต้องควานหาเซฟโซนก็ได้ ในเมื่อเราโตขนาดนี้ ถ้าไม่มีใครให้ ก็สร้างมันเองค่ะ” - โอวา ธนาวัฒน์พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามรายการย้อนหลัง

เปิดมุมมองชีวิตที่ให้เพราะไม่เคยได้รับ ของ “รัศมีแข” ตัวแม่ที่เอาแน่ในทุกวงการ

17 ก.ค. 2023

เปิดมุมมองชีวิตที่ให้เพราะไม่เคยได้รับ ของ “รัศมีแข” ตัวแม่ที่เอาแน่ในทุกวงการ

“บางทีถ้าเราอยากเป็นผู้ได้ความรัก เราลองเป็นผู้ให้ก่อนก็ได้ ให้เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กำลังใจ การให้มันสร้างความสุข มันสร้างความรักได้ ถ้าจะให้แขอธิบายแขก็ไม่เข้าใจ เพราะแขเป็นคนไม่เคยได้ แต่แขก็สร้าง ๆ แล้วเราได้ความรักกลับมาเยอะเลย จากแฟนคลับ จากคนในวงการ แล้วมันก็รู้สึกว่า มันมีความสุข”รายการ Club Pride Day กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดสตรอง “รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น” จากเด็กน้อยผู้อ้างว้าง ไร้ฝัน และไม่มีโอกาส พลิกผันสู่ชีวิตที่ต้องเดินทางไกลถึงสวีเดน ต้องต่อสู้ และเอาตัวรอดมาตลอด จนท้ายที่สุดกลายมาเป็นผู้ที่รักในการให้ จนกลายเป็นที่รู้กันในวงคนสนิทว่าเธอคือผู้ที่มักจะมอบสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อสร้างความสุขให้คนรอบข้างเสมอ เบื้องหลังความสตรอง ความร่าเริง ความเฮฮา มีหลากหลายเรื่องราว ที่ รัศมีแข ได้แชร์ไว้ในรายการรัศมีแข กับ ชีวิตที่โดนบูลลี่ มาตั้งแต่เด็กรัศมีแข ได้แชร์เรื่องราวในวัยเด็กให้เราฟัง ซึ่งแขเป็นหนึ่งในผู้ที่เคยมีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับการถูกรังแกผ่านคำพูดมาตั้งแต่เด็กจนโต โดยเรื่องที่ถูกล้อเลียนมากที่สุด คือเรื่องเกี่ยวกับสีผิว โดย รัศมีแข เล่าให้ฟังว่า “หนูเกิดที่จังหวัดภูเก็ต แล้วไปโตที่เชียงราย ก่อนที่หนูจะไปสวีเดน ตอนเด็กหนูเป็นเด็กแนวเอ้อระเหย ไม่มีความฝัน ไม่มีอะไร โดนบูลลี่มาตลอด เพราะว่าโตอยู่ในบ้านนอก แล้วมาในลุค ข้าวนอกนา กำลังดัง แล้วก็พี่สาวเป็นลูกครึ่งสวิตเซอร์แลนด์ ก็จะถูกเปรียบเทียบเสมอ เคยโดนตอนนั้นงานแห่เทียน เค้าจับหนูแต่งเป็นเจ้าเงาะทัดดอกดาวเรือง แล้วเอาพี่สาวแต่งเป็นรจนา แล้วจับมาถ่ายรูปคู่กัน หนูฉีกทำลายทิ้งไปละรูปนั้นตอนที่แม่ไปสวีเดน แขก็จะอยู่ในโรงเรียน ซึ่งคนที่เลี้ยงหนูเค้าก็จะเป็น ภารโรงอยู่ในโรงเรียนนั้น หนูก็จะไม่ได้ออกไปไหน แล้วนึกถึงสภาพปิดเทอมสิคะ แดดร้อน ๆ เชียงรายกลางวันไม่มีอะไรทำ ข้างนอกก็เป็นทุ่งนาขี้โคลน เพื่อนเค้าก็ออกไปเล่นกัน ต้องรอเย็น ๆ สักสี่โมงเย็นให้เพื่อนมาที่โรงเรียน หนูถึงจะได้มีเพื่อนเล่น หนูใช้ชีวิตอยู่อย่างงั้น หนูแทบไม่ได้เจอใครเลย พี่ชายของแม่ขับมอเตอร์ไซค์ผ่านไปทุ่งนา หนูก็ชะโงกคอมองผ่านรั้วออกไป ใช้ชีวิตอยู่แบบนั้น”ชีวิตที่ต้องเดินทางไกล จากเมืองไทย ไปต่อสู้ที่สวีเดนจากเด็กที่เกิดจังหวัดภูเก็ต แล้วไปโตที่เชียงราย วันหนึ่งชีวิตของรัศมีแขกับพลิกผัน โชคชะตาทำให้แขต้องเดินทางไกลไปต่อสู้ และ เอาชีวิตรอดที่ประเทศสวีเดน โดย รัศมีแข ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า “คุณแม่แต่งงานใหม่ แล้วก็ไปมีสามีใหม่ ซึ่งคุณแม่ขายโรงแรมทิ้งทุกอย่าง แล้วก็ไปเริ่มต้นใหม่ที่สวีเดน แล้วก็ไปใช้ชีวิตอยู่โน่นซักพัก พออยู่ตัวแล้วก็ค่อยเอาลูกไปด้วยความที่แม่ไม่เคยเลี้ยงลูก ลูกไม่เคยอยู่กับแม่ พอไปอยู่ด้วยกันก็เลยตีกัน มีคนนึงที่แขอยากจะขอบคุณคือ ครูโป้ง เป็นครูภาษาไทยที่เวลาเรามีอะไรเราปรึกษาเค้า แล้วเค้าก็มักเจอปัญหาเด็กไทยที่ไปอยู่ที่นู่น และมักจะมีปัญหาแบบนี้เยอะ ครูบอกให้หนูอดทนเรียนนะ เอาภาษา ต้องขอบคุณครูมาก แล้ววันหนึ่งเราพูด Swedish แบบคล่องแคล่ว มันทำให้เราสามารถอยู่สวีเดนได้ง่าย แล้วหนูจะมีปัญหากับแม่ตลอด จนกระทั่งอายุ 15 ตอนนั้นทะเลาะกัน แล้วแม่ก็บอกว่า ออกไปเลยนี่บ้านฉัน เราก็เลยตัดสินใจ โอเคฉันออกค่ะตอนนั้นแขออกไปนอนโซฟาบ้านเพื่อนสนิทที่สนิทกันมาก แม่เค้าเปิดร้านขายของชำแห่งแรกในสต็อกโฮม แม่ของเพื่อนก็คิดว่าแขเป็นคนติดเพื่อน เห็นมานอนที่บ้านหลายวัน แล้วแขก็ช่วยเค้าทำร้าน ทำโน่นทำนี่ไป แล้วพอวันหนึ่งแขดั งแล้วไปออกรายการสัมภาษณ์แล้วก็บอกให้แม่เพื่อนที่ชื่อป้ามยุรีที่เลี้ยงเรามาดูรายการ เค้าร้องไห้ เค้าบอกว่าทำไมไม่บอกเค้าว่าทะเลาะกับแม่แท้ ๆ เพราะตอนนั้นเค้าไม่รู้ ถ้ารู้เค้าจะเลี้ยงเราให้ดีกว่านี้นั่นคือความสัมพันธ์ของหนูกับแม่ ถามว่าทุกวันนี้มันดีขึ้นมั้ย มันเป็นเส้นที่เรียบง่าย มันเป็นเส้นที่คนไม่เคยเลี้ยงลูก กับคนไม่เคยมีแม่ มันทำให้เราเข้าใจชีวิตจริงมากขึ้น”“รัศมีแข” ชื่อนี้มีเรื่องเล่าเรียกว่าเป็นชื่อที่โดดเด่น และกลายเป็นชื่อที่คนรู้จักไปแล้วสำหรับชื่อ รัศมีแข โดยกว่าจะมาเป็นชื่อนี้ เจ้าตัวได้เล่าให้ฟังว่า “จริง ๆ ชื่อเจมส์ค่ะ แล้วตอนนั้นพี่แท่งมาเจอหนู แล้วก็ชวนมาเข้าวงการ หนูก็กลับมาเมืองไทย แล้วหนูมีพาสปอร์ตสองเล่ม ชื่อกับนามสกุลไม่ตรงกัน ความดัดจริตของหนู หนูก็อยากให้ทุกอย่างมันตรงกับสวีเดน ในตอนแรกหนูก็คิดว่าจะทำยังไงดี ชื่อเดิม นามสกุลเชยมาก แล้วนาวสกุลสวีเดน คือ ฟอเกอร์ลุนด์ หนูเลยเปลี่ยนมาเป็น ฟ้าเกื้อล้น พอนามสกุลตรงเสร็จปุ๊บเราก็คิดว่า ชื่อไม่ตรงก็ได้มั้งไม่น่าจะเป็นไรหรอก ไม่งั้นก็จะมีปัญหาเกี่ยวกับการกรอกวีซ่า เพราะนามสกุลมันตรง แล้วแม่เพื่อนเราที่มาอยู่ด้วยที่ไทย เป็นนางเอกเก่า เรื่องรัศมีแข ที่เล่นกับสรพงษ์ ซึ่งคุณพนมเทียนเป็นคนเขียน หนูก็เลยบอกแม่ว่าหนูขอใช้ รัศมีแข มันเก๋นะ รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น แล้วก็ตอนนั้นก็ได้เซ็นอยู่กับพี่ฉอด ก็ใช้ รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้นไป สักพักไปขอวีซ่า กลายเป็นว่าโป๊ะแตก ไม่ผ่านค่ะ ชื่อไม่ตรง เพราะต้องตรงทั้งชื่อและนามสกุล ก็คิดว่าจะทำยังไงดีล่ะ นั่งเกาหัว คิดตั้งนานเหงื่อแตก ก็เลยได้เป็น นายแจ่ม ฟ้าเกื้อล้น แต่ตอนนั้นมิ้นต์กับมิวที่แขเล่น มันออกไปแล้ว ก็เป็นชื่อรัศมีแข ก็เลยใช้เป็นชื่อเล่นแล้วกัน”เมื่อคำบูลลี่ เริ่มมีผลกระทบต่อจิตใจแม้จะย้ายไปใช้ชีวิตที่สวีเดน แต่ชีวิตของ รัศมีแข ก็ยังหนีคำบูลลี่ไม่พ้น และเมื่อถูกบูลลี่มาก ๆ ก็เริ่มสะสม และส่งผลกระทบต่อจิตใจของรัศมีแข จนเกิดเป็นอาการแพนิกตามมา โดย รัศมีแข ได้แชร์ลักษณะการบูลลี่ที่เจอมาให้ฟังว่า “ตอนที่อยู่สวีเดน ถ้าเวลาแขจะโดนบูลลี่ ลักษณะการบูลลี่คือ เค้าจะนิ่งเงียบไม่มีใครรู้หรอก เหมือนเราไปอเมริกา แล้วไม่ชอบเอเชีย พอคนเอเชียมานั่งข้าง ๆ แล้วเค้าก็ลุกเลยแบบไม่พูด ตอนนั้นถามว่าเป็นอะไร ซึ่งแขว่ามันโอเค เพราะคนเรามีสิทธิ์เกลียดกันได้ เราไม่จำเป็นต้องชอบคนทุกคน แต่เราต้ออยู่ในเงื่อนไขของการ เคารพกัน ซึ่งมันเป็นปกติของมนุษย์ ตอนนั้น แข ไม่สนอะไร เราเรียนอย่างเดียว คิดเสมอว่าเราต้องได้ภาษา ถ้าไม่ได้ภาษาฉันจะทำอะไรต่อไม่ได้ คิดแค่นี้เลย และเตือนตัวเองว่าเชื่อครู ไม่ตอบโต้แต่ถ้าเป็นที่ไทยคือบูลลี่แขต่อหน้าเลย คือถ้าเป็นมีด คือถือมีดวิ่งไปแทงจึ้ก อย่างงี้เลย ตอนนั้นแขอายุ 15 ตอนที่กลับมาไทย เคยมีเด็กมาตะโกนใส่แขว่า นิโกรเป็นตุ๊ด แล้วตะโกนหัวเราะกัน ตอนนั้นตกใจแพนนิค ช็อคไปหมดแล้วพอแขเริ่มมีชื่อเสียง การบูลลี่มันก็ไม่ได้จบนะ ในขณะที่คนกรี๊ด รีฮันน่า ชอบ ไมค์ไทสัน มากเลย หูยชกมวยเก่งมาก แต่ในความชอบก็จะมีคำบูลลี่ว่า ผิวดำจัง มันเลยทำให้เห็นความซับซ้อนของมนุษย์ จนสุดท้ายมันก็เกิดคำถามในใจว่า มันต้องประสบความสำเร็จก่อนเหรอ ถึงจะถูกยอมรับ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันไม่จำเป็นเลยพอเราถูกบูลลี่มาก ๆ มันเริ่มมีผลกระทบต่อจิตใจ คือหนูจะเซ็นซิทีฟมากทุกครั้งเวลาที่หนูไปเจอลูก ๆ ของเพื่อนดาราด้วยกัน แล้วเค้าบอกให้อุ้มลูกของเค้าสิ ความรู้สึกหนูแทบจะร้องไห้เลย เพราะว่าหนูเป็นคนที่ไม่เคยถูกกอดตั้งแต่เด็ก คือมันโดนรังเกียจจนเราคิดว่าก็คงไม่มีใครอยากกอดเรา แล้วในวันที่ดาราหลาย ๆ คนให้เราอุ้มลูกของเค้า มันทำให้เราคิดได้ว่า พวกเค้าไม่ได้รังเกียจเรานี่นาแล้วทุกวันนี้ก็ยังเป็นนะคะ เวลาเจอเพื่อนเรามาเกาะแขน เราจะมีความคิดในหัวตลอดว่าไม่รังเกียจเราเหรอ มันทำให้รู้ว่าคนที่โดนบูลลี่ คำบูลลี่มันไม่ได้หายไปจากใจเลย”เริ่มเข้าวงการบันเทิงไทย จากคำพูดของ “แท่ง-ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง’เรียกว่า “แท่ง-ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง’ เป็นบุคคลที่เปิดประตูเส้นทางสู่วงการบันเทิงให้กับรัศมีแข ซึ่งหลังเรียนจบการโรงแรม รัศมีแข ได้ไปสมัครงาน ณ บริษัทเมคอัพสโตร์ และมีโอกาสบินมาทำงานที่เมืองไทย เมื่อกลับสวีเดนก็ไปสมัครเป็นตัวแทนขายตั๋วเครื่องบิน ในสวีเดน รัศมีแข จึงกลายเป็นที่รู้จัก และชอบรับจ้างหางานเป็นพิธีกรตามงานต่าง ๆ จนกระทั่งได้มีโอกาสเป็นไกด์นำเที่ยวให้กับ แท่ง ศักดิ์สิทธิ์ และ แท่ง ได้เห็นคาแรกเตอร์ของรัศมีแข จึงชวนให้กลับมาเมืองไทย จากนั้น รัศมีแข จึงตัดสินใจเขียนเรซูเม่เดินเข้าไปที่ตึกแกรมมี่ พร้อมบอกเหตุผลว่าอยากเป็นดารา เจ้าหน้าที่แนะนำให้ขึ้นไปติดต่อส่วนที่เกี่ยวข้อง เป็นความบังเอิญที่ รัศมีแข เจอกับ "พี่ฉอด สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา" ซึ่งเห็นแวว และมอบงานพิธีกรรายการสน. Hollywood ก่อนจะตามด้วยละคร Club Friday To be Continued ตอน มิ้นต์กับมิว โดย รัศมีแข ได้เล่าเส้นทางการเข้าวงการบันเทิงของตัวเอง ให้ฟังว่า “แขบังเอิญเจอพี่แท่ง ตอนนั้นทำงานเบียร์ยี่ห้อนึง ซึ่งเราเป็นสายเอ็นเตอร์เทนอยู่สวีเดน แล้วพอดีเพื่อนสนิทแขเป็นเมเนเจอร์ของเบียร์ยี่ห้อนั้น เลยฝากแขดูแลพี่แท่งด้วย พอพี่แท่งเห็นแขอยู่บนเวที เพอฟอร์แม้นซ์ดี เล่นมุกโบ๊ะบ๊ะได้ พี่แท่งก็ชวนว่ามาเมืองไทยเถอะเชื่อพี่ตอนนั้นแขตัดสินใจซื้อตั๋วบินมาเมืองไทยเลย มาหาพี่แท่ง แล้วพี่แท่งก็พาไปเจอเพื่อนที่เป็นผู้กำกับ แต่บุคลิกตอนนั้นเราก็ล้นไปหมดเลยยังไม่ได้โอกาสเข้าวงการบันเทิง แล้ววันหนึ่ง หนูก็มีความคิดว่า หนูไม่อยากให้พี่แท่งเห็นหนูเป็นคนที่เค้าจะพามาเข้าวงการ แล้วเราไม่ทำอะไรเลย ตอนนั้นหนูตัดสินใจเขียนเรซูเม่ 4 ชุด แล้วก็เดินมาตึกแกรมมี่ แผนกต้อนรับถามว่าติดต่ออะไรคะ เราก็ตอบว่าจะเป็นดาราค่ะ ตอนนั้นเพื่อนสนิทที่มาด้วย ก็บอกว่าให้โทรหาพี่แท่งสิ เค้าอยู่ที่นี่ หนูเลยโทรหาพี่แท่ง พี่แท่งก็ให้รอแป๊บนึง แล้วให้แขติดต่อพี่ชมพู่เอไทม์ แล้วก็มานัดเจอ ที่ลิฟท์ พอลิฟท์เปิดปุ๊บ พี่ฉอดนั่งคุยโทรศัพท์อยู่ ก็เหลือบมามองปุ๊บ โห ดีเจพี่ฉอด แล้วก็นั่งรอพี่ชมพู่ พอพี่ชมพู่มา แขก็เอาเรซูเม่มาฝากเค้าไว้ นั่นคือจุดเริ่มต้น แล้วสุดท้ายก็ได้อยู่ใน เอไทม์อาร์ดี ได้เซ็นสัญญาอยู่กับพี่ฉอด แล้วพี่ฉอดก็เป็นคนปั้นต่อกับพี่แท่งเดี๋ยวนี้แขได้เจอพี่แท่งปีละครั้ง บางทีก็อยากโทรไปหา อยากทักไปหาพี่เค้าบ่อย ๆ แต่เราก็เกรงใจ เราก็ทำงาน พี่เค้าก็ทำงาน ซึ่งเราก็เชื่อว่าพี่เค้าก็รู้แหล่ะ แต่ถามว่าเราลืมเค้ามั้ย เราไม่เคยลืมอยู่แล้ว แต่เราก็ไม่รู้จะตอบแทนอะไรพี่เค้า ก็เลยรู้สึกว่าทำตัวให้ดี ทำตัวให้น่ารัก ให้อยู่ในวงการให้ได้ อันนี้คงตอบแทนพี่แท่งได้ดีที่สุด”ต้นหอม ศกุลตลา เพื่อนสนิทที่เข้าใจชีวิตรัศมีแขที่สุดเพราะตัวตน ที่น่ารักและจริงใจ จึงทำให้ รัศมีแข มีเพื่อนสนิทในวงการมากมาย และคนที่แขสนิทที่สุดคือ "ดีเจต้น หอมศกุนตลา เทียนไพโรจน์" ที่นับถือกันแบบพี่่น้องมาโดยตลอด และผู้ที่ติดตามจะทราบว่า รัศมีแข รักและเอ็นดู น้องปกป้องลูกบุญธรรมของต้นหอมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ต้นหอม ยังคอยดูแลและให้คำปรึกษา รัศมีแข เรื่องงานในวงการมาโดยตลอด โดย รัศมีแข ได้เล่าเรื่องราวความสัมพันธ์กับดีเจต้นหอมว่า “แขเจอพี่หอม ตอนประกวดเคพีเอ็น คือก่อนมาแกรมมี่ แขไปประกวดร้องเพลงของเคพีเอ็น ตอนนนั้นพี่หอมปฏิเสธแข เพราะเห็นว่าเรามันล้น หลังจากนั้นพี่หอมก็คงเห็นแล้วว่าแขเริ่มพยายาม พี่หอมก็เลยบอกว่าเอามานี่ ก็ไปอยู่ด้วย พอเริ่มรู้จักกัน พี่หอมก็พาไปดูการทำงาน คอยบ่มเพาะ คอยสอนแขแขกับพี่หอม ตอนแรกมันเป็นเพื่อน ต่อมาก็กลายเป็นพี่น้องในวงการ จนกลายเป็นเพื่อนสนิท เรื่องบ้าน หมา แม่บ้าน ลูก พ่อ พี่ มาปรึกษาเราหมด เราเลยทำให้รู้ว่าเรากลายเป็นพาร์ทหนึ่งของครอบครัวไปแล้วซึ่งรู้มั้ยว่าทำไมแข ถึงสนิทกับปกป้อง มันเป็นเพราะเราได้อยู่ด้วยกัน อันนี้เป็นสิ่งที่อยากบอกทุกคนเลยว่าสำคัญมาก ความรักเนี่ยมันจะเกิดขึ้นได้ คน ๆ นั้นต้องอยู่ด้วยกันจริง ๆ มันไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อน มันไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นพ่อแม่เดียวกัน ขอแค่มันได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน แล้วมันถึงจะค่อย ๆ สร้างเป็นความสัมพันธ์ที่ดี”ความยาก ของวงการบันเทิงไทยหลังจากที่ได้เข้ามาอยู่ในวงการบันเทิง และได้มีผลงานในวงการนี้อย่างหลากหลาย รัศมีแข ได้แชร์ในเรื่องของความยาก ของวงการบันเทิงให้ฟังว่า “การจะเข้ามาอยู่วงการบันเทิงได้บอกเลยว่า สวย 50 ดวง 50 จะเข้าวงการมันต้องมีเอกลักษณ์ คนอาจจะมอง คนนี้ตลกมาก แต่ในความตลก แค่คำว่า กินข้าว คุณจะพูดยังไงให้คนขำให้ได้ มันเป็นศาสตร์ของการเอ็นเตอร์เทน ซึ่งมันยาก คือถ้ามันไม่ได้อยู่ในสายเลือดเลย หรือว่าพรสวรรค์หรืออะไร มันก็ต้องคอยเรียนรู้ไปเรื่อย ๆแล้วแขมีความรู้สึกว่า การที่จะอยู่ในวงการให้นาน อันนี้ยากมาก คือบางคนเข้ามา แล้วก็ไปเลย แต่การที่จะอยู่ให้นาน ๆ แล้วต้องเป็นที่รู้จักมันยาก ซึ่งมีอยู่วันนึงแขไปเดินจตุจักร แล้วขอทานอยู่กับลูก เค้าบอกลูกว่า นั่นรัศมีแข ตอนนั้นแขร้องไห้เลย แขมองว่ามันเกินกว่าสิ่งที่เราคิดไว้ เรากลายเป็นที่รู้จักในทุกกลุ่ม คนรู้จักรัศมีแข มันทำให้เราได้บทเรียนว่าต่อไปไม่ว่าเราจะทำอะไรต้องคิดเยอะ ๆ ตอนนี้เราเป็นที่รักอยู่ แล้วเราก็ไม่ได้อยากทำให้คนที่ชอบเรามาผิดหวังกับตัวเรา เพราะเรามีวันนี้ทั้งหมดได้ก็เพราะพวกเค้านี่แหล่ะ”วอลเลย์บอลอาชีพ อีกหนึ่งความฝันที่ยิ่งใหญ่ของ รัศมีแขนอกจากจะสร้างรอยยิ้ม และลุยงานวงการบันเทิง ทั้งงานพิธีกร ละคร และภาพยนตร์ แต่มีอีกหนึ่งความฝันที่แขมุ่งมั่น ตั้งใจ และคอยสนับสนุนมาโดยตลอด นั่นคือการเป็นนักวอลเลย์บอลอาชีพ โดย รัศมีแข ได้เล่าเรื่องราวนี้ให้ฟังว่า “แขเป็นคนที่ได้คะแนนกีฬาเต็มมาตลอด เพราะตอนที่ไปอยู่สวีเดนแขไม่มีทางออก แขเรียนแต่ภาษาสวีเดนทั้งปี แขไม่ได้เรียนวิชาอื่นเลย แขก็เลยไประบายกับกีฬา วาดรูป งานเย็บปักถักร้อย และมักจะได้คะแนนเต็มตลอด แล้วเราชอบกีฬาวอลเล่ย์บอลมาตลอด พอเรามาอยู่เมืองไทย ก่อนที่จะเข้าวงการเราก็เล่นมาตลอด ไปเล่นที่ กกท. แล้วเราก็ซ้อมจนกระทั่งแขได้รู้จัก พี่เด เจ้าของ ทีมไดมอนด์ ฟู้ด เราเลยได้เข้าไปร่วมทีม และพอเราสนิทกับ 7 เซียนเราไปอยู่กับพี่ ๆ ไปช่วยงานเค้า แล้ววันที่อำลา อาจารย์อ๊อด ก็มาจับมือ แล้วบอกว่า อย่าทิ้งน้อง ๆ รุ่นใหม่นะ เค้าดีใจนะเวลาแขมาช่วยทีม เราก็ไม่เคยทิ้งแขก็บอกน้อง ๆ ทีมวอลเลย์บอลหลายครั้ง ว่าเราไม่ใช่ทีมที่จะต้องชนะทุกทีมบนโลก มันมีสลับกันหมด แต่สิ่งสำคัญที่สุดนอกจากความเป็นนักกีฬาทีมชาติแล้ว แขมองว่า นางงามต้องมีเวทีประกวด คุณได้มงแล้วคนถึงจะรู้จัก เพื่อที่จะไปต่อ น้อง ๆ เหมือนกัน เค้าเป็นนักกีฬา แล้วอาชีพนี้ที่ทำให้พวกเค้ามีสนามแข่ง และการได้ไปเล่นลีกต่างประเทศ นั่นเหมายถึงโอกาสได้เงินที่เพิ่มขึ้น แล้วแทบจะเกือบทุกคนมาจากต่างจังหวัด เค้ามีพ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงดูแล คุณคิดว่านักกีฬาคนหนึ่งจะเล่นไปได้กี่ปี อย่างมากมันก็แค่ 10 ปี แล้วคน ๆ หนึ่งจะหาเงินให้ได้มากสุดกับสิ่งที่ตัวเองรักศรัทธา แล้วเป็นรายได้ให้กับตัวเองใน 10 ปี มันไม่ง่ายเลย เพราะฉะนั้นเค้าถึงต้องทำเต็มที่ อย่าคิดว่าเล่นแล้วต้องเอาชนะเพื่อเอาใจเรา มองถึงอะไรหลาย ๆ อย่างที่น้อง ๆ เค้าแบกไว้ ไม่มีใครอยากแพ้หรอก ทุกคนอยากชนะหมด ทุกคนอยากให้คนไทยชื่นใจหมด แต่มันมีปัจจัยอีกหลายแขอยากต่อยอดกีฬาวอลเลย์บอล แขอยากพูดให้ใครหลาย ๆ คนได้เห็นว่าจริง ๆ แล้วมากกว่าการที่เรามีนักวอลเล่ย์บอลเก่ง มันหมายถึงเรามีทีมงานที่ดี และหมายถึงประเทศไทยสร้างนักวอลเล่ย์บอลที่เป็นเล่นลีกต่างประเทศได้ เพราะฉะนั้นต้องถือว่าทีมของเรามีศักยภาพในการทำงาน และการที่ส่งนักกีฬาไปเล่นวอลเล่ย์บอลต่างประเทศ เค้าไปเจอตัวตีหลาย ๆ คนบนโลก ซึ่งอยู่ในมาตรฐานเดียวกัน เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก เราก็มีนักกีฬาที่ดี เรามีทีมที่ดี ที่สามารถสร้างนักกีฬาแล้วส่งออกตลาดโลกได้ อันนั้นเป็นสิ่งที่แขอยากให้มันยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แขขนลุกมากวันที่แขไปนั่งดูวอลเล่ย์บอล แล้วทีมงานของเนเธอแลนด์เดินเข้ามากอด นุศรา แล้วก็ อรอุมา แล้วก็บอกว่า Best player in the world พวกเค้าเป็นที่ยอมรับมากในสังคมวอลเลย์บอลทั่วโลก แขเลยอยากให้วอลเลย์บอลมันสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่น ๆ แข อายุจะ 37 แล้ว แต่ น้อง ๆ หลายคนก็คงไม่ได้โอกาสอย่างเรา แต่ลองพยายาม อย่าท้อกับมัน และแขก็อยากเข้าไปอยู่ในทีมด้วย แขจะได้เรียนรู้ว่าการเป็นนักกีฬาอาชีพ มันเป็นยังไงเพื่อที่จะมาเล่าต่อ เพื่อที่จะมาสร้างแรงบันดาลใจให้ต่อ เพราะเราก็อยากทำโปรเจกวอลเลย์บอลอยู่”ความรัก 16 ปี กับสามี ของรัศมีแขนอกจากเรื่องราวชีวิตแล้ว รัศมีแข ยังได้มาอัพเดทสถานะหัวใจด้วย หลังจากที่ได้มีข่าวที่ทำเอาชาวโซเชียลตกใจ เมื่อ รัศมีแข ออกมาประกาศพร้อมหย่า จบความสัมพันธ์กับ โจนัส สามีชาวสวีเดน หลังแต่งงานใช้ชีวิตคู่ด้วยกันมานาน 4 ปี แต่ต่อมา รัศมีแข ก็ได้ออกมาได้โพสต์ภาพหวานคู่สามีชาวต่างชาติ ว่าคืนดีกันแล้ว งานนี้ รัศมีแข ได้เผยเรื่องราวที่โพสต์ตัดพ้อไว้ว่า “ที่โพสต์ตัดพ้อ มันเป็นความงอแงของเรา แล้วพอเรามานั่งคิด เหมือนเราน่าจะผิดด้วยแหละ ที่เราสปอยทุกอย่าง คนไม่รู้ว่าเวลา โจนัส มาเมืองไทย ตั๋วเครื่องบินเราเป็นคนจัดการหมด เรื่องที่อยู่ ที่พัก จัดแจงหมดเพราะเรามีความรู้สึกว่าเราอยากเทคแคร์เค้าอย่างเรื่องบ้าน ก่อนที่แขจะมาอยู่ไทย งานบ้านเค้าไม่ต้องทำอะไรเลย บ้านสำหรับเค้าก็คือกินนอน ตื่นเช้า ที่เหลือเราจัดการหมดทุกอย่าง เพราะอยากให้เค้ากลับมาที่บ้านแล้ว ผ้าปูที่นอนมันเรียบ แบบตึงเป๊ะ รู้สึกสดชื่น ทุกอย่างสะอาด แขเป็นคนจัดเองหมดที่โพสต์ไป จริง ๆ แขอัดอั้นมา 2 ปีแล้ว กับเรื่องความงอแงเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะเวลาเรากลับมาอยู่เมืองไทย เราคิดถึงเค้านะ แต่ด้วยงานในวงการ ครอบครัวแข รวมถึงสามีจะไม่รู้ว่าถ่ายละครถ่ายยังไง เค้าจะเห็นแต่ใน IG เราลงแค่ตอนแต่งหน้า แต่เค้าไม่รู้ถึงความยากลำบากเวลาเราเล่นละคร แล้วเวลาจะมาให้ดูเราถ่ายละครก็ไม่มีใครมาดู ไม่มาทำงานกับเรา แต่เราก็จะไม่เอาความรู้สึกนี้ไปใส่ให้เค้าว่าทำไมไม่มีใครมาสนใจฉันเลย เราห่วงมากกว่าว่าโอเคไม่มาไม่เป็นไร แต่ชีวิตพวกเธอมีความสุขเราก็โอเค เพราะนี่มันคือหน้าที่ฉัน นี่คือความสุขของฉันนะแต่เค้าก็บินมาหาเรานะ แต่ก็เป็นการมาที่ตกลงกันว่าปีนี้เธอจะมาช่วงไหน เราไม่ได้อยากให้เค้ามาแล้วเราก็ไปวิ่งถ่ายละคร มันจะกลายเป็นช่วงเดี๋ยวจะเล่นวอลเล่ย์บอลอีกไง แล้วก็จะเริ่มหาช่วง แล้วบางช่วงไปพอดีที่เค้าจะไปอเมริกากับเพื่อนอย่างเงี้ย ช่วงเราว่าง กลายเป็นเวลาไม่ว่างชนกัน พอพักหลังเราเริ่มงอแง แล้วเค้าไม่ได้สามารถบินมา 3-4 วันได้อย่างเรา แล้วกลายเป็นเราบินไป 3-4 วันให้เค้า เราทำได้ มันเป็นความไม่เข้าใจแล้วหนูก็เคยอธิบายกับเค้านะ บอกว่าเวลาถ่ายละคร แม้แต่เราอยากลองเปลี่ยนทรงผม แต่ทำไม่ได้ 7-8 เดือน หรือแม้กระทั่งทาสีเล็บ หรือว่าไปฉีดหน้า แล้วมันเหลืออีกนิดเดียวจะถ่ายเสร็จแล้ว ฉันจะเป็นอิสระแล้ว ฉันไม่อยากยืด แล้วอีกเหตุผลหนึ่งคือ คนที่ทำงานในกองหลายคนเค้ารับเงินเป็นวัน ฉันไม่อยากให้เค้ามาเสียเวลาอะไรตรงนี้ เราทำงานกันหลายคน หมดเรื่องนี้เค้าจะได้ไปเอาเรื่องหน้า ไปหาเรื่องอื่นต่อ ไม่ใช่มายืดเพียงเพราะฉันมาสวีเดน 4 วัน เพื่อมาหาคุณ คือมันไม่ใช่ตัวฉันคนเดียว มันเป็นความรับผิดชอบที่เป็นกลุ่มเป็นก้อน ให้เรารับงานตรงนี้ดีที่สุดก่อน แล้วเดี๋ยวพอละครเสร็จปุ๊บ สิ้นปีเราก็จะไม่รับแล้ว กลายเป็นเราต้องอธิบายกลับกันเวลาเค้ามาเมืองไทย เราซัพพอร์ททุกอย่าง ตั๋วเครื่องบินอะไรจ๊ะที่รักมาเลยจ้า 3ใบ 4 ใบ นั่ง BC มาเลยจ้า โรงแรมสแตนบายรอ คือเราเต็มใจทำให้ทุกอย่าง แล้วพอทะเลาะกันเลยเลยตัดสินใจโพสต์ เหมือนเราขอหย่า ฉันพร้อมนะ แต่เค้าก็สวนกลับมาว่า ไม่หย่า แล้วเค้าก็หาตั๋วมาเลย พอเราเห็นความตั้งใจของเค้า ตอนนั้นเราก็คิดว่าเอาอีโก้เล็ก ๆ น้อย ๆ ทิ้งไปก่อน ไหน ๆ เค้ามาแล้ว อย่างน้อยท้ายสุดได้เจอกันและ คือเค้าไม่ผิดที่ไม่เห็นการทำงานของหนู หนูก็เลยรู้สึกว่า ถ้าวันหนึ่งทุกคนได้เห็นการทำงานของเรา อันนี้มันจะเป็นคำตอบให้ทุกอย่าง”การเป็นผู้ให้เพราะไม่เคยได้รับมีเหตุการณ์ที่ รัศมีแข ได้แชร์ให้ฟัง เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้อยากเป็นผู้ให้ โดย รัศมีแข เล่าว่า “แปลกเหมือนกันจากคนที่ไม่เคยได้ความรักมาตั้งแต่เด็ก จากคนที่โดนทำร้ายทุกอย่างมาตั้งแต่เด็ก แล้ววันหนึ่งมันไปเปลี่ยนตรงจุดที่แขมีหลานคนแรก พอดีเพื่อนของแขพลาดแล้วท้อง แขเลี้ยงหลานคนนั้นแล้วก็เรียนไปด้วย ตอนนั้นแขอายุ 16 อันนั้นเป็นความรักแรกที่แขได้รู้ว่าความรักมันมีความสุขขนาดนี้ มันเลยทำให้รู้ว่าบางทีเราอยากเป็นผู้ได้ความรัก เราลองเป็นผู้ให้ก่อนก็ได้ ให้เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กำลังใจ มันสร้างความสุข มันสร้างความรักได้ เพราะแขเป็นคนไม่เคยได้ แต่แขก็สร้าง ถามว่าแขเคยได้อะไรกลับมาบ้าง กลายเป็นว่าแขได้กลับมาเยอะเลย จากแฟนคลับ จากคนในวงการ แล้วมันก็รู้สึกว่ามันมีความสุข เพราะเราไม่อยากใช้ชีวิตบนโลกด้วยความเกลียดชัง เราอยากใช้ชีวิตบนโลกด้วยความรัก มันแฮปปี้มาก แล้วแขจะเป็นคนที่ร้องไห้บนโทลเวย์ตลอด แขจะร้องไห้เวลามองบนท้องฟ้า เวลาเห็นเครื่องบิน แขก็เลยบอกขอบคุณนะที่ทำให้เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่มันมีความรู้สึก แล้วมันเป็นพาร์ทเดียวในชีวิต เพราะตายเสร็จแล้วเราไม่รู้แล้ว เพราะฉะนั้นเราขอบคุณมาก เราจะ deserve ความเป็นมนุษย์ เราจะใช้ชีวิตโดยไม่มีความเกลียดชังให้มากที่สุด”“การที่เราเป็นมนุษย์ บางทีเราเสียใจ เราทุกข์บ้างอะไรบ้าง จงดีใจกับสิ่งนั้น เพราะเราเป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นการอกหัก การเสียใจ การรู้สึกผิดหวัง การท้อแท้ จง deserve กับความเป็นมนุษย์ และดวงชะตาของเรามันไม่เท่ากัน เราไม่ต้องเอาชีวิตไปวัดกับใคร ใช้ชีวิตให้มีความสุขดีกว่า เพราะเราไม่รู้ว่าโลกมันจะระเบิดเมื่อไหร่ เราไม่รู้ว่าเราจะไปวันไหน เพราะฉะนั้นแขว่า มีความสุขกับการได้เป็นมนุษย์ แล้วก็ deserve ตรงนั้นดีกว่า” - รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้นติดตามรายการย้อนหลัง

เปิดมุมมองวิธีคิด กับเรื่องราวสีสันชีวิตของ “โรส ศิรินทิพย์” นักร้องเสียงเท่ กับเสน่ห์จากการได้เป็นตัวเอง

04 มี.ค. 2025

เปิดมุมมองวิธีคิด กับเรื่องราวสีสันชีวิตของ “โรส ศิรินทิพย์” นักร้องเสียงเท่ กับเสน่ห์จากการได้เป็นตัวเอง

“โรสว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราถูกทำร้ายอยู่ทุกวัน คือการนึกถึงอดีต อยากให้อยู่กับปัจจุบัน แล้วทำปัจจุบันให้ถึงอนาคตที่เราวาดฝันไว้”Club นี้มีสีสันของชีวิต Club นี้มีข้อคิดแรงบันดาลใจ มาแบ่งปันให้กันให้ทุกสัปดาห์สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญเสียงเพราะมีเสน่ห์ “โรส ศิรินทิพย์” เจ้าของเพลงรักที่โด่งดัง เช่น มากกว่ารัก ก้อนหินก้อนนั้น เกิดมาแค่รักกัน ฟ้าเปลี่ยนสี อย่าเปลี่ยนไป ซึ่งเธอไม่ได้มีดีแค่ด้านการร้องเพลง แต่ยังมีความสามรถในการเล่นกีต้าร์และเปียโนอีกด้วย พร้อมมีรางวัลการันตีมาหลายเวที และผลงานเพลงคุณภาพที่กลายเป็นที่จดจำ และเป็นพลังใจให้กับแฟนคลับมากมาย เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกส่งต่อไว้แล้วในรายการโรส ชื่อนี้มีที่มา“ตอนแรกแม่จะตั้งว่า Ruth (รูท) เพราะว่าพ่อแม่เป็นคริสเตียนอยู่ในโบสถ์ แล้วจะมีชื่อในคัมภีร์ อย่างพี่ชายโรสก็ชื่อ เดวิด มาจากกษัตริย์เดวิด แม่ก็อยากจะให้เราชื่อรูท แต่เหมือนคุณแม่มีเพื่อนชื่อรูทเยอะ เลยตั้งชื่อว่า โรส ก็แล้วกันลูกจะได้สวย ก็เลยออกมาเป็นโรส แล้วโรสก็ไม่ชอบชื่อตัวเองเลยตอนเด็ก ๆ เพราะว่าโรสเป็นคนที่ออกเสียงชัด เพราะฉะนั้นมันเป็น ร.เรือ มันเป็น ส.เสือ เราจะต้องออกว่าโรสทุกครั้ง แล้วรู้สึกว่าพอแนะนำตัว ชื่อโรส มันขัดกับลุค เราไม่ชอบเลย จนกระทั่งจบ ม.3 จะต้องไปเรียนต่อ ม.4 แล้วก่อนที่จะไปเข้าโรงเรียนใหม่ เราได้ไปเข้าค่ายที่หนึ่ง แล้วคนทั้งค่ายไม่มีใครรู้จักกัน ทุกคนต้องแนะนำตัวกันใหม่ 200 คน เราก็เลยคิดว่าชื่ออะไรดี ใช้ชื่อ โอ๊ต แล้วกัน แล้วก็เข้าโรงเรียนไปด้วยชื่อโอ๊ต พอจบ ม.ปลาย ก็เป็นนักร้อง เราก็ยังได้ยินเพื่อน ๆ หรือว่ารุ่นน้อง ยังเถียงกันว่า คนนี้ไงรุ่นพี่ที่เป็นนักร้อง เค้าชื่อโรส ไม่ใช่เค้าชื่อโอ๊ต เธออย่ามาเถียงฉัน ก็ต้องขอโทษที่สร้างความแตกแยกด้วยนะคะ ชื่อจริง ๆ ชื่อโรสค่ะ แต่ชื่อโอ๊ตก็ได้ เรียกได้ทั้งคู่ค่ะ”โรส ตัวตน และการยอมรับจากคนในครอบครัว“จริง ๆ เวลาอยู่บ้านก็เป็นตัวโรสเลยค่ะ ไม่ได้มีการต้องใส่กระโปรง คือเราก็เป็นแค่ตัวเราที่ผมยาวแค่นั้น บุคลิกเราก็ยังเป็นแบบนี้แหละ ขี้เล่น พูดไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้มีอะไรที่ฝืนค่ะ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ โรสคิดว่าเค้าก็รู้มาตลอด ว่าจริง ๆ แล้วเราเป็นยังไง เพียงแต่ว่ามันอาจจะพูดไม่ได้ความเป็นผู้ใหญ่ บางคนเค้าก็รู้สึกว่าไม่พูดดีกว่า ต่อให้รู้ก็เงียบ ๆ ไว้ดีกว่าการเปิดใจ ก็เคยได้คุยกับคุณแม่ พอเราโตมาประมาณนึง เราก็จะคิดว่ายังไงเราก็คงต้องแต่งงาน ก็คงต้องมีครอบครัว เพราะว่าโลกมันเป็นแบบนี้ แต่พอโตมาประมาณหนึ่ง เราก็เริ่มรู้สึกว่า เราเคยพยายามที่จะคุยกับผู้ชาย แต่พอคุยไปมันก็ไม่ใช่ เราก็เลยคุยกับคุณแม่ ซึ่งตั้งแต่เล็กจนโต เค้าก็จะบอกว่าไม่ได้นะ มันไม่โอเคหรอก เพราะว่าเราจะต้องมีครอบครัว แต่เมื่อไม่นานมานี้ คุณแม่เค้าก็ได้รับสาย คล้าย ๆ กับฮอทไลน์ ที่ต้องคุยปรึกษาปัญหา แล้วเค้าก็จะได้รับหลาย ๆ สายที่จะโทรมาปรึกษาปัญหาชีวิตบ้าง ปัญหาครอบครัวบ้าง ปัญหางานบ้าง แล้วคุณแม่ก็จะเป็นคนที่คอยให้กำลังใจ ให้คำปรึกษา แล้วก็เลยได้คุยกัน แล้วเค้าก็บอกเราว่า แม่ก็เริ่มเข้าใจแล้ว เพราะว่ามันก็มีหลายสายที่โทรเข้ามา แล้วก็มีบางสายที่เป็นลูกที่แม่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ กลับไปเป็นผู้หญิงได้ไหม ทีนี้พอคุณแม่อยู่ตรงกลาง เค้าก็เลยเริ่มได้มองเห็นมุมที่ทั้งคู่มาบรรจบกันว่า ไม่ได้มีใครที่เลือกที่จะเป็นแบบนี้ เหมือนกับที่เราเลือกไม่ได้ว่า เราจะเกิดเป็นผู้หญิงหรือเกิดมาเป็นผู้ชาย โรสก็เลยได้คุยกับคุณแม่ และบอกเค้าตรง ๆ ว่า ก็รู้ว่าหลาย ๆ คนอาจจะไม่โอเค แต่ว่าถ้าโรสไม่ได้คุยกับแม่แบบนี้ เราก็อาจจะไม่ได้คุยกันเลย โรสก็อาจจะไม่มีวันที่จะได้คุยเรื่องไหนกับเค้าอย่างจริงใจ พอได้คุยกันจริง ๆ เวลามีอะไรเราก็สามารถที่จะคุยกับเค้าได้มากขึ้น เหมือนกำแพงที่เคยมี ตอนนี้มันไม่มีแล้ว”โรส ศิรินทิพย์ กับจุดเริ่มต้นบนเส้นทางศิลปิน“ตอนนั้น ม.5 ค่ะ เป็นครั้งแรกที่โรสเดินเข้าตึกซีมิค เพราะว่า พี่ฟั่น เค้าเป็นโปรดิวเซอร์ที่แกรมมี่แกรนด์ แล้วเราอยู่โบสถ์เดียวกัน แล้วเค้าก็แนะนำโรสให้กับโปรดิวเซอร์คนอื่น ๆ ว่าน้องคนนี้ร้องเพลงเพราะ โรสก็เลยได้ไปอัดเสียง แล้วพี่ปั่นก็เอาไปส่งให้พี่ ๆ โปรดิวเซอร์ฟัง หลังจากนั้นเค้าก็เรียกเข้าไปตอน ม.5 ค่ะโรสคิดว่าความพิเศษที่ทำให้คนในโบสถ์ร้องเพลงได้ เป็นเพราะว่าอย่างโรสเองเกิดมาก็เป็นคริสต์เลย ไม่เคยเป็นศาสนาอื่น แล้วก็การอยู่ในโบสถ์มันจะมีช่วงที่ต้องนมัสการ คือเป็นช่วงที่ต้องร้องเพลง เราก็เลยโตมากับเสียงเพลง ทุกวันอาทิตย์เราต้องโดนบังคับให้ได้ร้องเพลงเพราะฉะนั้นมันก็เลยเหมือนซึมซับเข้าไปในโสตประสาทของเรา เราต้องร้องเพลงได้ แล้วก็เล่นดนตรีได้ เพื่อที่จะสามารถเล่นดนตรีในโบสถ์ได้จริง ๆ นักร้องมันคือ ฝันที่ไม่กล้าฝันของโรสค่ะ เพราะว่าตอนเด็ก ๆ จนมาถึงโต โรสเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองเลย เรารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้หน้าตาดี และตอนเด็ก ๆ เราจะมีตัวอย่างให้เห็นว่านักร้องตอนนั้น พี่ทัช ทาทา พี่มาช่า แต่ละคนเค้าหน้าตาดีกันหมดเลย เราก็เลยคิดว่าตัวเองอยากทำอะไรในวงการเพลง แต่คงไม่ถึงกับเป็นนักร้อง อาจจะเป็นแค่นักดนตรี หรืออะไรก็ได้ แต่ถามว่าชอบร้องเพลงไหม เราชอบมาก ชอบฟังเพลงแล้วก็จินตนาการว่าตัวเองอยู่บนเวที แต่ว่าสิ่งที่ทำไม่ได้เลยคือ การร้องเพลงต่อหน้าคนพอช่วงเรียนมัธยม ตอนนั้นเล่นดนตรีแล้วร้องเพลงกับเพื่อน แล้วเพื่อนบอกว่าเสียงดีนี่นา ไปเป็นนักร้องไหม เราก็เลยลองไปสมัครประกวดร้องเพลง จำได้เลยครั้งแรกที่ไปประกวดแล้วดีใจมากที่ได้เข้ารอบ คือโครงการของพี่แอมดา ตอนนั้นประกวดเพลงเพื่อเธอตลอดไป แล้วเราจำได้ว่าติด 12 คนสุดท้าย ซึ่งดีใจมากเพราะว่า 12 คนนี้ ตอนที่เค้าเรียกเข้าไปที่สตูดิโอ ตอนนั้นมีผู้หญิงแค่ 2 คน แล้วโรส เด็กที่สุด เพราะตอนนั้นเพิ่งเรียนมัธยม แล้วอีกคนที่เป็นผู้หญิง ดูแล้วเค้าต้องเป็นนักร้องกลางคืนที่ช่ำชอง แล้วทุกคนดูเก่งมาก ตอนที่นั่งซ้อมก่อนเข้าอัดรายการ เราก็ร้องแล้วก็ฟังเสียงคนอื่น ก็แอบคิดว่าเราสู้ได้ พอเข้าห้องอัด เจอกรรมการ กลายเป็นว่าเราลืมทุกอย่างเลย เพราะเป็นคนที่ไม่มั่นใจ แล้วพอเห็นคนจ้องมองเรา มีคนตัดสินเราว่าจะต้องหักคะแนนตรงนี้ตรงนั้น แบบนั้นเราจะทำไม่ได้เลยวันนั้นก็ตกรอบเลยค่ะ เพราะร้องแล้วลืมเนื้อ แล้ววันนั้นมันก็ทำให้ความมั่นใจดิ่งลงข้างล่างอีกครั้ง แต่ว่าสุดท้ายพอพี่ฟั่นเรียกเข้ามาที่แกรมมี่ แล้วก็พี่ ๆ ก็ตกลงจะให้เป็นศิลปิน เราก็บอกกับตัวเองว่าไม่ได้ละ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปฉันน่าจะไม่รอด ก็เลยเริ่มไปร้องเพลงกลางคืน เริ่มสมัครไปร้องเพลงตามร้านอาหาร เพราะเราเล่นกีต้าร์ได้อยู่แล้ว ก็ไปหัดเพื่อที่จะได้ร้องเพลงต่อหน้าคนได้ จนเรารู้ว่าจริง ๆ แล้วตัวเองทำได้ เพียงแต่ว่าคนเหล่านั้นเป็นคนที่มาดูเฉย ๆ แบบคนที่นั่งตามร้านอาหาร เราจะทำได้ แต่ถ้าต้องประกวด หรือมีกรรมการมาจับจ้อง แบบว่าหักคะแนนตรงนี้ เสียงปลิ้นตรงนี้ อะไรแบบนี้โรสทำไม่ได้”เพลงสร้างชื่อ ของ โรส ศิรินทิพย์“จริง ๆ เพลงสร้างชื่อของโรส คือ เพลงก้อนหินห้อนนั้น แต่ไม่ใช่เพลงแรกนะคะ เพราะเพลงแรกชื่อเพลง TOMORROW อยู่ในอัลบั้มรวม ซึ่งตอนแรกอัลบั้มโรสใช้เวลาทำ 4 ปี ซึ่งพอไปฟังประวัติ พี่โบ สุนิตา พี่เค้าใช้เวลาทำ 2 ปี ซึ่งนานมาก ก็เลยมาคุยกับพี่ ๆ ทีหลังว่าทำไมในการทำอัลบั้มถึงนาน ก็ได้รู้เพราะเค้ากลัวว่า ถ้าเราออกอัลบั้มไปโดยที่เราไม่ได้มีนามสกุล หรือเหมือนมีอะไรติดท้าย มันจะกลายเป็นว่า ออกมาได้ยังไง ดังนั้นเค้าก็เลยลองให้โรสไปร้องคอรัสบ้าง หรือว่าให้ออกอัลบั้มที่รวมศิลปินใหม่ ตอนนั้นเป็น จีราฟ เรคคอร์ด โดย พี่ฉ่าย สมชัย ขำเลิศกุล เป็นคนดูแล เป็นอัลบั้มที่เอาศิลปินใหม่มารวม ๆ กัน แล้วเพลง TOMORROW เป็นเพลงที่พี่ฉายเขียน ตอนที่อยู่อเมริกา แล้วเค้าก็เลยบอกว่าให้โรสร้องดีกว่า เพราะว่าตอนที่ออดิชั่นเข้ามา โรสมีทั้งเพลงสากล และเพลงไทย พี่ ๆ เค้าก็ลงความเห็นกันว่า โรสร้องเพลงสากลดีกว่า ก็เลยเอาเพลงนี้ให้โรสร้องส่วนเพลง ก้อนหินก้อนนั้น ความจริงเลยตอนนั้นไม่ได้ตื่นเต้นที่รู้ว่า พี่ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค เป็นคนแต่ง เพราะโรสเป็นเด็กที่ไม่รู้อะไรเลย เราชอบร้องเพลงอย่างเดียว และไม่เคยมานั่งดูว่า เพลงนี้คนแต่งคือใคร เพราะฉะนั้นก็เลยไม่กดดันว่านี่คือผลงานของพี่ดี้ ถ้ารู้ตอนนี้ว่านั่นคือพี่ดี้ น่าจะเกร็งค่ะ แต่ตอนนั้นไม่รู้เลย ก็เลยร้องไปด้วยความไม่ได้รู้สึกว่าเกร็งอะไร แล้วถ้าดู MV เพลงก้อนหินก้อนนั้น โรสจะโผล่มาสัก 3 วินาที ใส่หมวกผมยาวหลบอยู่หลังเปียโน เพราะฉะนั้นน้อยคนมากที่จะจำโรสได้ แต่คนจะจำได้เมื่อใส่หมวกเนื้อเพลงก้อนหินก้อนนั้น เหมือนเป็นการสอนใช่ไหมคะ แต่พี่ดี้เค้าได้คิดไว้แล้ว คือตอนแรกที่เค้าได้ยินเสียงโรส ทุกคนคงนึกภาพไว้ประมาณว่าต้องผมยาว ต้องสวย ต้องดูเป็นผู้ใหญ่ แต่พอได้เห็นตัวจริงว่าเราอยู่ ม.5 พี่ดี้เค้าก็เลยใส่คำว่า เคยมีใครสักคนได้บอกฉันมา ก็เลยกลายเป็นว่า ฉันไม่ได้พูดเอง มันมีคนสอนฉันมาอีกที เพราะฉะนั้นเพลงนี้มันก็เลยกลายเป็นเหมือนเพลงที่ใครก็ร้องได้ เพราะว่ามีคนบอกฉันมาอีกที ฉันไม่ได้พูดเอง”นักร้อง ที่เสียงร้อง เหมือนเสียงพูด และร้องเพลงไหน คนก็คิดว่าเป็นเพลงตัวเอง“ชอบมีคนบอกโรสว่า ทำไมร้องเพลงไหนก็เหมือนเพลงตัวเอง เพราะว่าโรสพูดกับร้องเหมือนกัน คือโรสไม่ได้พยายามที่จะทำอะไร อย่างสมมติว่าโรสเล่าเรื่อง โรสจะเล่าเรื่องนั้นเป็นเสียงของโรสเอง มันก็เลยทำให้คนอาจจะคิดว่าถ้าโรสร้องเพลงใครแล้วจะฆ่าต้นฉบับ จริง ๆ แล้วมันแค่เหมือนการที่เราพูดในแบบของเราเท่านั้นเองเพลงฟ้าเปลี่ยนสี จริง ๆ จะไม่ใช่เพลงของโรสนะคะ ตอนนั้น พี่นิ่ม สีฟ้า เป็นคนเขียน แล้วพี่นิ่มก็บอกว่า โรสมาร้องเพลงนี้หน่อย พอดีว่าเหมือนละครจะออนแอร์แล้ว แต่พี่แอมไม่สบาย โรสก็เลยได้รับเพลงนี้ไปเลย หรือเพลง มากกว่ารัก เพลงนี้ตอนนั้น พี่พจน์ อานนท์ ทำภาพยนตร์เรื่องซารังเฮเการักที่เกาหลี แล้วก็บอกว่า อยากให้โรสร้อง โรสว่าเพลงนี้ความเพราะของมันมีอยู่แล้วตั้งแต่พีทร้อง แล้วมันเป็นเพลงที่ดีมาก ๆ แต่อาจจะด้วยความตอนที่โรสเอามาร้องใหม่ มันอยู่ในหนัง คนก็อาจจะได้ยินมากกว่าตอนที่พีทร้อง แต่ก็เคยมีคนที่มาบอกโรสว่า ทำไมฉันฟังรอบแรกแล้วฉันก็ร้องได้เลย มันเหมือนจิตวิทยา ที่จริง ๆ แล้ว เค้าได้ยินเวอร์ชั่นพีทมาแล้ว ก็เลยกลายเป็นว่า เพลงนี้ดัง ทั้ง ๆ ที่ พีท เป็นคนที่ปูทางมาให้ก่อนตั้งแต่แรกอยู่แล้วค่ะ”โรส ศิรินทิพย์ กับความรู้สึกว่า ตัวเองไม่ดัง“ด้วยความที่ตั้งแต่เล็กจนโต โรสไม่ได้มีความมั่นใจ แล้วเราไม่ได้หน้าตาพิมพ์นิยม เราก็เลยคิดว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา ๆ แล้วยิ่งเพลงของเรามันเป็นที่รู้จัก เพลงก้อนหินก้อนนั้น คนรู้จักกันเยอะมาก แต่ว่ามันไม่ใช่เพลงที่ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 มันไม่ใช่เพลงที่เปรี้ยงปร้าง แต่มันเป็นเพลงที่เวลามีคนฟังแล้วเค้าชอบ แล้วเก็บไว้ในใจ จนกว่าเค้าจะเจอคนที่เคยเจอสถานการณ์แบบเดียวกับเค้า ถึงจะแนะนำกันปากต่อปากมากกว่า เพราะฉะนั้นโรสก็เลยไม่เคยรู้สึกว่าเพลงมันดัง คนน่าจะรู้จักบ้างแหละ แต่ว่าเราคงไม่ได้ดังขนาดนั้นจนกระทั่งโรสไลฟ์ Tiktok แล้วก็คุยกับแฟน ๆ ไปเรื่อย ๆ จนมีคนหนึ่งมาบอกว่า หนูเคยเจอพี่โรสตอนนานมาแล้ว แต่หนูไม่กล้าคุยเพราะพี่ดังมาก โรสก็เลยประหลาดใจว่าตัวเองดังเหรอ จากนั้นทุกคนใน Tiktok ก็บอกว่าดังมาก แล้วเค้าก็มาพิมพ์บอกเรา ก็เลยเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองดัง ขอบคุณนะคะเพลงของโรสมีเยอะมาก โรสจำไม่ได้เลยว่าโรสร้องไปกี่เพลง และโรสก็ไม่คาดหวังว่ามันจะดัง เพราะว่าถ้ามันจะดังทุกเพลง ป่านนี้โรสคงไม่ได้เดินไปไหนแล้ว แต่เราก็ทำหน้าที่ของเรา นั่นคือร้องเพลง เราเป็นนักร้อง เราก็จะร้องทุกเพลงที่ได้รับมอบหมายมาอย่างดีที่สุด โดยที่จะไม่หวังเลยว่าคนจะชอบหรือไม่ชอบ เรารู้แค่ว่าเราทำดีแล้ว และเราก็พอใจ”ลุคนี้ ที่เป็นตัวตนของโรส ศิรินทิพย์“โรสว่าพี่ ๆ ทีมงานก็งงเหมือนกัน ตอนที่ต้องออกเพลงใหม่ ๆ เพราะว่าถ้าพูดกันตรง ๆ คือโรส ก็ไม่ได้เป็นสาวหวาน แค่ผมยาว แต่เราก็ไม่ได้อยากผมยาว แต่เวลาช่างทำผมเค้าก็อาจจะเคยชินกับการทำผู้หญิงผมยาว โรสเคยถามเค้าว่า อยากตัดผมสั้นได้ไหมคะ เพราะโรสไม่อยากผมยาวมันเสียเวลา พี่เค้าก็บอกว่าไม่รอด ผมหนูตัดไม่ได้เลยเพราะว่าผมหนูฟู แล้วผมหนูหนา ถ้าหนูตัดก็ไม่รอด แล้วพอผมยาว เค้าก็คิดต่อว่าจะทำไงกับลุค จะใส่กระโปรงเหรอ ใส่กางเกงเหรอหรือเสื้ออะไร แต่ด้วยความที่โรสค่อนข้างเป็นคนที่ง่าย ๆ ก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็เสื้อยืดกางเกงยีนส์ ก็น่าจะได้ แล้วใส่หมวกอะไรง่าย ๆ ก็เลยกลายเป็นลุคที่สบาย ๆ ดูแล้วก็น่าจะเข้าถึงง่ายโรสตัดผมสั้นตอนไปเรียนที่เกาหลีค่ะ เพราะว่าช่วงนั้นจะหายไป 3 เดือน จะไม่ได้อยู่เมืองไทยแล้ว เราก็เลยคิดว่า ไหน ๆ ฉันจะหายไป 3 เดือน ถ้ามันจะไม่รอด ก็ให้มันไม่รอดที่เกาหลีแล้วกัน แล้วถ้ากลับมาก็น่าจะผมยาวประมาณนึง ก็เลยตัด แล้วรู้สึกชอบ มันไม่ได้แย่อย่างที่เค้าว่า หลังจากนั้นก็เลยไม่ไว้ยาวอีกแล้วค่ะ”โรส ศิรินทิพย์ กับบทบาทการให้คำปรึกษา“ช่วงนี้มีคนมาขอคำปรึกษาเยอะค่ะ ก็มีทั้งเพื่อน มีทั้งแฟนคลับ ที่ส่งข้อความมาคุยบ้างเวลาไลฟ์ โรสก็พยายามที่จะให้คำแนะนำ แต่ว่าจริง ๆ แล้ว ถามว่าประสบการณ์เรา บางเรื่องมันก็เป็นเรื่องที่เราไม่เคยเจอ แต่ว่าข้อดีก็คือ โรสเป็นคนที่ค่อนข้างเข้าใจโลกด้วยแหละ ก็เลยอาจจะให้คำแนะนำที่ค่อนข้างกลาง ๆ หลัก ๆ ก็ปรึกษาความรัก แต่อาจจะเป็นความรักเชิงชู้สาว หรือบางทีก็ความรักในครอบครัวที่ไม่เข้าใจคนที่มีความฝัน สำหรับโรสคคิดว่า การทำผิดจะช่วยเราได้เยอะ การทำผิดจะช่วยทำให้รู้ว่า สิ่งไหนที่เราไม่ชอบ สิ่งไหนที่เราไม่ใช่ จนกว่าเราจะเจอสิ่งที่ถูกก็คือทำให้เยอะที่สุด เราจะได้ไม่รู้สึกว่าทำไมวันนั้นเราไม่ลองทำแบบนี้ ถ้าเราลองทำแบบนี้เราอาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้ ก็คือลองทำเยอะ ๆ ค่ะ”เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ โรส ศิรินทิพย์“โรสชอบตอนที่ตัวเองมีความรัก แต่ว่าตอนที่โสดก็ไม่ได้แย่ โรสว่าตอนที่โสดก็เป็นตอนที่เราได้อยู่กับตัวเอง ได้เรียนรู้ว่าสิ่งไหนที่อาจจะทำไม่ได้ตอนที่เรามีคู่ สิ่งไหนที่เราจะต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่ว่าตอนที่มีความรักก็ดีอีกแบบหนึ่ง ที่เราสามารถมีคนที่หันไปแล้วเราปรึกษาเค้าได้ทุกเรื่อง ก็เลยคิดว่าถ้าให้เลือก ก็เลือกเป็นตอนมีความรักดีกว่าค่ะที่ผ่านมาเคยมีช่วงที่ความรักพังมาก จำได้เลยวันนั้นต้องร้องเพลงเกิดมาแค่รักกัน แล้วโรรสร้องไม่ไหว พอใจมันคิดถึงเรื่องอะไร มันไปเลย ก็ค่อนข้างลำบาก แต่ว่าต้องปิดโหมด แล้วก็โฟกัสที่คนดูเท่านั้น เวลาอกหักฟังเพลงตัวเองบ้างค่ะ แล้วการฮีลลิ่งการกินก็ช่วยได้ แต่สำหรับโรส เพื่อนสำคัญ คนรอบข้างสำคัญที่สุด แล้วโรสก็ค่อนข้างโชคดีด้วยที่มีเพื่อนรักที่ดี มันทำให้โรสฮีลลิ่งได้เร็ว เพราะว่าเพื่อนจะรู้ว่าต้องพูดอะไร ต้องทำอะไร ถ้าสมมติว่ามันกำลังจะแย่ เค้าจะบล็อคความรู้สึกนั้น หนึ่งคนนั้นคือ คุณไดอาน่า จงจินตนาการ เค้าจะเป็นคนที่รู้เสมอ บางทีมีช่วงที่เรายุ่งกันทั้งคู่ แต่ถ้าโรสโทรไป เค้าก็จะรู้เลยว่าจะเอาอะไร รู้เลยว่าเราต้องการเค้าความรักตอนนี้ก็ลงตัวทีเดียวค่ะ เพราะว่ามันเหมือนเป็นเพื่อนที่ซัพพอร์ทกันทุกเรื่อง เป็นซัพพอร์ตเตอร์ที่ดีมาก ๆ แล้วก็เป็นคนที่ทำให้เรารู้สึกว่าเคมีมันตรงกันมาก ศีลมันเสมอกันมาก ๆ เลย มันเคยมีวันที่เราตื่นมาแล้วเราได้ยินเสียงเพลงในหัว ได้ยินอยู่สักพักเค้าก็ร้องออกมา เราก็แปลกใจว่าได้ยินมาจากไหน เค้าบอกว่าเค้าก็ได้ยินในหัวของเค้าเหมือนกัน ก็เลยรู้สึกว่ามันเท่จัง หรือว่าบางทีพูดอะไรก็พูดคำเดียวกัน จบประโยคเหมือนกัน มันใช่ไปหมดเลยความรักครั้งนี้ เราเจอกันตอนทำงาน ซึ่งก็ดูอยู่พักใหญ่ ๆ เลย เพราะว่าเราก็ไม่ได้มั่นใจ แต่ว่าเรารู้สึกว่าเค้าก็เหมือนกับมีท่าทีว่าชอบเราเหมือนกัน สมมติเราอยู่ใกล้เค้าเวลาทำอะไรก็ตาม เราก็จะรู้สึกว่ามันจะมีอาการบางอย่างที่มันทำให้คิดแบบนั้น แล้วเค้ามีความ Professional มาก นี่คือข้อแรกที่เรารู้สึกประทับใจในตัวเค้า แล้วก็เลยเริ่มศึกษากัน เริ่มพูดคุยกัน ครั้งแรกที่รู้สึกว่าเค้าเก่งมาก ๆ คือตอนที่พี่ชายของโรสเสีย แล้วตอนนั้นทั้งบ้านงงไปหมด เค้าเป็นคนบอกให้เราทำแบบนี้ ไปที่เขต ไปแจ้งเรื่องก่อน เหมือนกับเค้าช่วยทุกคนไว้ได้เลย เราก็เลยรู้สึกว่าเค้าเก่งมากเลย แล้วก็ประทับใจเค้ามากขึ้นด้วยทำงานกับคนรัก มีปัญหาบ้างไหม มีบ้างค่ะ เพราะว่าความต่างของเราคือ โรสจะเป็นคนที่อะไรก็ได้ แล้วเป็นคนที่เฉย ๆ มาก มีอารมณ์ศิลปิน ลงรูปเราก็ลงบ้างไม่ลงบ้าง ถ้ารู้สึกอยากจะลงเราก็ค่อยลง แต่เค้าจะบอกว่าไม่ได้ ด้วยความที่เค้าเป็น PR ด้วย กลายเป็นว่าอาชีพก็ส่งเสริมกัน เพราะเค้ารู้ว่าการโปรโมทเราควรจะทำอะไรยังไง เค้าก็จะคอยบอกว่าลงงานด้วยค่ะ ไปงานมาถ่ายรูปแล้วก็ลงด้วยค่ะ แล้วเค้าก็จะคอยตามเก็บรูปโรส เวลาไปงานต่าง ๆ หรือว่าไปเจอศิลปินดารา ก็ถ่ายลง ซึ่งเค้ารู้แหละว่าเราไม่ชอบ แต่ว่าตอนนี้เราไม่มีบริษัทแล้ว เราก็ต้องทำ เพื่อที่คนจะได้เห็นเรา ซึ่งตอนแรกโรสก็ไม่อยากทำเลย แต่พอเราเริ่มทำตามที่เค้าบอก ก็กลายเป็นว่า คนรู้จักเราเยอะขึ้นจริง ๆ แล้วงานก็เข้ามามากขึ้น เราก็เลยเริ่มเชื่อใจกัน”สีสันแรงบันดาลใจจาก โรส ศิรินทิพย์“ความสุขของโรส โรสคิดว่าจริง ๆ มันก็มีเยอะเนาะ การร้องเพลงก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง คือโรสชอบร้องเพลงจริง ๆ แล้วก็ชอบทำให้คนมีความสุขกับเสียงเพลงของโรสจริง ๆ แล้วการได้อยู่กับคนที่สบายใจ ก็เป็นความสุขมาก ๆ ด้วยค่ะโรสอยากให้ทุกคนมองปัจจุบัน แล้วก็มองอนาคต อย่าไปมองอดีต โรสว่าหนึ่งสิ่งที่ทำร้ายหลาย ๆ คน ตลอดมาคือการมัวแต่คิดถึงอดีต ถ้ามัวแต่คิดว่าที่ผ่านมามันไม่โอเค ก็มองถึงชีวิต ณ ปัจจุบัน แล้วก็มองถึงอนาคตว่า เราอยากเป็นแบบไหน เราอยากใช้ชีวิตแบบไหน แล้วก็ทำตัวเองให้ถึงอนาคตที่เราวาดฝันไว้ มีความสุขเยอะ ๆ กับคนรอบข้าง มองสิ่งรอบข้างที่เรามี และชื่นชมในสิ่งที่เรามีค่ะ” - โรส ศิรินทิพย์พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1