เปิดชีวิตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ของ "ป้าตือ สมบัษร" Celebrity ตัวแม่ ที่สะกดคำว่า “แก่” ไม่เป็น!

ENTERTAINMENT NEWS

เปิดชีวิตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ของ "ป้าตือ สมบัษร" Celebrity ตัวแม่ ที่สะกดคำว่า “แก่” ไม่เป็น!

02 พ.ค. 2023

รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญที่เป็นคนใกล้ชิด “ก็อตจิ” หนึ่งในพิธีกรรายการ ที่ต้องบอกเลยว่าแขกรับเชิญคนนี้พูดได้แบบน้ำไหลไฟดับ พูดแบบพิธีกรไม่ได้พูด สรวนแบบตัวแม่ และที่สำคัญเขาสะกดคำว่า “แก่” ไม่เป็น

ความแซ่บแบบไฟลุกเริ่มขึ้น เมื่อ 2 ดีเจ ดีเจพี่อ้อย และ ดีเจก็อตจิ เปิดไมค์กล่าวต้อนรับ “ป้าตือ สมบัษร ถิระสาโรช” Celebrity ชื่อดังผู้มากความสามารถ ไม่ว่าจะนักแสดง, พิธีกร, ออแกไนซ์, Youtuber หรือ TikToker เธอคนนี้ทำมาหมด! แต่กว่าจะเป็น “ป้าตือ” ในทุกวันนี้ มีเรื่องพีคเกิดขึ้นมากมาย ที่ได้มาแชร์ให้ฟังกันในรายการ

 

 

ชีวิตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และคำว่า “เกษียณ” สะกดไม่เป็น!

แม้ทุกวันนี้ ป้าตือ จะอายุเลข 6 แล้ว แต่ ป้าตือ เป็นคนที่ใช้ชีวิตและบริหารเวลาใน 1 วัน ได้คุ้มค่ามาก ๆ โดย ป้าตือ ได้เล่าการใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ฟังว่า “ในหนึ่งวัน หนูเป็นคนที่ต้องนอนแปดชั่วโมงอย่างต่ำ ถ้านอนไม่ถึงแปดชั่วโมงหนูไม่ตื่น บางทีก็ตื่น 11 โมง ทำงานเร็วสุดคือประชุม 11 โมง แล้วส่วนมากหนูจะทำงานต่อตอนบ่ายจนถึงกลางคืนเลยพี่

60 แล้วพี่จ๋า  อย่างวันนี้ตื่นเช้ามาหนูก็ต้องไปทำงานอีเวนท์ เสร็จหนูก็ต้องไปเคลียร์งานที่ออฟฟิศ แล้วไปนั่งทำสคริปต์ทำอะไรเสร็จหนูก็ต้องไปไลฟ์ต่อ แล้วเดี๋ยวเสร็จรายการก็ไปไลฟ์กับผู้ชายต่ออีก  โอ้ยพี่ คำว่าเกษียณสะกดยังไงคะพี่ หนูไม่รู้ หนูทำงานแบบฟาร์มแพชชั่นฟรุ๊ตค่ะ”

 

“ฮักหลายแต้วโหลด” เพลงรักฉบับป้าตือ ที่ฉีกทุกกฎวงการเพลง

แม้จะเป็นที่รู้จัก และมักเป็นผู้สั่นสะเทือนวงการได้ทุกครั้งที่ลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ ๆ แต่ ป้าตือ ยังคงสร้างสรรค์ผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง และหนึ่งผลงานที่เพิ่งปล่อยออกมาสด ๆ ร้อน ๆ และได้รับการตอบรับที่ดีมาก ๆ จากแฟนคลับ ก็คือเพลง “ฮักหลายแต้วโหลด” ที่นอกจากจะเปิดตัวคู่จิ้นอย่าง “พี่หนวด” แล้ว ป้าตือ ยังลงมือทำเพลงเอง, เขียนเพลงเอง, มิกซ์เพลงเอง, แสดง MV เอง ซึ่ง ป้าตือ ได้เปิดเพลงนี้ให้สองดีเจได้ฟังในรายการ ความมันของเพลงทำเอาสองดีเจต้องโยกตามไปเลยทีเดียว จากนั้น ป้าตือ ยังได้เผยเรื่องราวในการตัดสินใจทำเพลงนี้ขึ้นมาว่า

“หนูขอพูดเลยนะ เวลาหนูเข้าไปไลฟ์ทุกคนจะต้องขอให้หนูเปิดเพลงนี้วันนึงไม่ต่ำกว่า ร้อยรอบค่ะพี่ เขาบอกว่าไม่งั้นเขานอนไม่หลับ ชื่อเพลงคือ ฮักหลายแต้วโหลด มันเป็นเพลงบำบัดตน มันเป็นอัจฉริยะในการแต่งนะพี่นะ MV ก็มีนางเอกเยอะ ตัวแสดงเยอะมาก หนูบอกเลยว่าเลือกไม่ถูก นางเอกมันเยอะมาก

จริง ๆ ทำเพลงนี้หนูไม่ได้อะไรหรอก หนูก็ทำมาอย่างงั้นแหละพี่ ตื่นมาแล้วไม่มีอะไรทำ หนูก็เลยอยากทำ หนูก็มาเขียน เขียนเสร็จหนูก็โทรไปหาครูปิงปอง นัดกันว่าเจอกันที่ห้องอัดนะ แล้ววันอัดหนูก็ร้องครั้งเดียวก็เลิกเลยจบ แล้วก็รีมิกซ์ ทำเองตัดต่อกันไป คือถ้าบอกว่าตัดต่อเองก็ดูเคลมเนาะ แต่ก็คือเราเป็นคนคิดว่าเอาอย่างงี้ แล้วก็ถ่าย ถ่ายก็เอามือถือถ่ายเพื่อนแต่ละคนมา แล้วก็เอาไปตัด ตัดแบบคัทชนจบอ่ะพี่”

 

 

เพ้นท์กระเป๋าแบรนด์เนม วิธีสมาธิบำบัดของป้าตือ

ใครที่ติดตาม Instagram ของป้าตือ คงจะได้เห็นคลิปที่ป้าตือ ได้ลงทุนละเลงพู่กันลงบนกระเป๋าแบรนด์เนมอย่าง หลุยส์ วิตตอง ด้วยคำเกร๋ๆ บนกระเป๋าว่า Don’t call me Chanel,I’m not Dior หรือแม้กระทั่งกระเป๋าถืออย่าง Prada ป้าตือก็มีความสุขกับการบรรเลงศิลปะตามจินตนาการด้วยหมึกสีดำแบบมีชิ้นเดียวในโลก โดยป้าตือเล่าให้ฟังว่า

“หนูพูดตรง ๆ หนูมีของที่มันไม่ได้ใช้เยอะมาก เพราะหนูเป็นคนบ้าช็อปปิ้ง แล้วถ้าจะให้หนูเอาของเก็บไว้เฉย ๆ มันก็ไม่ได้ ก็ต้องเอามาใช้ พอมันหมดอายุปั๊ป เราก็เอามาใช้ต่อพี่ เราก็มาทำอย่างงี้”

 

“เพื่อนหลายกลุ่ม” สิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตไม่เฉา

สิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตของ ป้าตือ ไม่เฉาคือ “เพื่อน” โดย ป้าตือ ได้เล่าเรื่องราวของมิตรภาพให้ฟังว่า

“ตือจะมีเพื่อนหลายกลุ่มพี่ การที่เราอายุเท่านี้เนี่ย เราไม่ได้รู้สึกว่าเราต่างจากเขา และเราก็รู้สึกว่าการมีเพื่อนหลายกลุ่มหรือหลากหลาย มันทำให้เราชีวิตเราไม่เฉา แล้วการอยู่กับเพื่อน ๆ ทุกคนเนี่ยมันเป็นความสุข

หนูว่าหนูโชคดีนะ โชคดีคือจากวันนึงที่หนูทำงานกับคนหลาย ๆ คน จนถึงวันนี้คนหลาย ๆ คน ที่ทำงานกัน กลายมาเป็นเพื่อนเยอะเลย คือหนูโชคดีตรงนี้ แม้แต่แบบว่าน้อง ๆ ดาราหลายคน มิวเอย แต้วเอย ใครเอยที่เข้ามา มันก็กลายเป็นเพื่อนกันอะพี่ หนูไม่ได้รู้สึกว่าหนูเป็นป้าตือ นั้นคือสาเหตุที่วันนึงพอหนูออกมาทำงานที่เป็นเรื่องเป็นราวแบบว่าหน้าม่าน หนูก็เรียกตัวเองว่า น้องลูกตือ หนูไม่อยากให้คนอื่นเรียกว่าป้าตือ เพราะพอใช้คำว่าป้า มันจะมีอะไรบางอย่างที่มันกั้น แต่ถ้าน้องลูกตือ เรากลายเป็นน้องใหม่ ลบทุกอย่างทิ้งไป แล้วเวลาหนูไปทำงานกับทุกคน หนูจะบอกว่า เห้ยแกเต็มที่นะ นี่น้องลูกตือนะ แล้วเราก็จะทำงานเป็นทีมเวิร์ค และต้องทำให้ทุกอย่างดีขึ้น”

 

 

ป้าตือไม่ได้เป็นคนดุ แต่เป็นคนพูดตรง

หลายคนมักจำภาพ ป้าตือ ว่าเป็นคนดุ ชอบโมโหร้าย เสียงดังโวยวาย งานนี้ ป้าตือ 
ได้เผยเรื่องนี้ว่า

“ฉันไม่ได้ดุนะ ฉันเป็นคนพูดตรง หนูเนี่ยมักจะพูดกับคนทุกคนว่า เวลาเกิดอะไรขึ้นก็ตาม หนูยกมือไหว้เขาเลยนะพี่ ขอโทษนะถ้าพูดอะไรผิดแล้วอย่าโกรธนะ ไม่ต้องเขียนเฟสบุ๊คมาด่าหรือไม่ต้อง DM มาด่านะ เพราะว่านี่เป็นคนพูดตรง หนูเป็นคนตรง ๆ พี่ วันนี้หนูเพิ่งไปสอนคนมา เขาบอกว่าเขาชอบหนูเพราะว่าหนูพูดพลังงานบวก หนูเลยบอกเขาว่า ฉันจะบอกความลับให้อย่างนึงนะ บางทีเธอไม่จำเป็นต้อง Positive ตลอดเวลาก็ได้ การกดตัวเองให้ Positive ตลอดเวลา บางทีเป็นบ้านะ คือเราไม่โอเค เราก็ต้องบอกว่าไม่โอเค

แล้วหนูก็มีนิสัยแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้วพี่  หนูไม่ใช่คนแบบเขวี้ยงข้าวเขวี้ยงของ คนชอบมาหาว่าหนูเขวี้ยงข้าวเขวี้ยงของ หนูไม่เคย หนูแค่ถีบฉากล้ม  ทำไมหนูต้องถีบฉากล้มพี่ฟังนะ เราได้เงินลูกค้ามา แล้วคนทำฉากทำออกมาไม่สมกับที่ลูกค้าจ้าง หนูก็เลยถามว่าโทษนะคะ อันนี้ใช้มือทำหรือใช้อะไรทำ ถ้าเกิดใช้มือทำไม่ใช่อย่างงี้ แต่ถ้าไม่ได้ใช้มือทำก็ใช้อันนั้น ฉันก็ใช้อันนั้นถีบล้มเหมือนกัน เพราะว่าเธอเอาเงินเขามา เอาเงินมาแล้วทำงานไม่ดีก็เหมือนเราปล้นเขา เราไม่ใช่โจรนะ เห็นแก่ตัวนั่นแหละพี่ เคยถีบฉากครั้งนึง แต่ว่านอกนั้นหนูก็ไม่ได้ทำอะไรใคร อย่างมากสุดเลย หนูก็เดินออกไปข้างนอกไปหายใจ นับหนึ่งสองสามสี่ห้าหกเจ็ดแปดเก้าสิบ แล้วเดินกลับเข้ามาจับมือ บอกว่าเคลียร์นะ จบนะ ถ้าไม่จบไม่ใช่ปัญหาของฉันละ เป็นปัญหาของเธอเพราะเธอแบกเอง

หนูเป็นคนอย่างงี้แหละพี่ และหนูก็ชัดเจนแล้ว ถ้าจะให้มานั่งนินทา หนูไม่นินทา หนูพูดกันตรง ๆ มันก็เลยยิ่งทำให้เวลาเราพูดอะไรตรง ๆ คนก็เลยยิ่งกลัวแล้วก็เกรงใจ แต่ถามว่าคิดอะไรไหม พี่ด้วยความสัจจริง ตื่นเช้ามาหนูไม่มีอะไรในหัวเลย แม่หนูสอนมาว่า ตื่นเช้ามาหัวต้องโล่ง ไม่งั้นหัวจะไม่มีที่เก็บเรื่องดี ๆ

และเวลาต้องเป็นกรรมการ มันจะไม่เหมือนกับเวลาที่หนูพูดกับเพื่อน เพราะการที่เราไปเป็นกรรมการ เราจะต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด และเราจะต้องเสริมให้ดีที่สุดสำหรับคนที่ประกวด มันมีหลายกรณีมากที่ทัวร์ลงแบบมหากาพย์แต่หนูก็ไม่แคร์ อย่างกรณี โยชิ หนูก็พูดตรงๆ เรื่องที่ว่า โยชิ เขายังดูเป็นเด็กอยู่ หนูก็บอกว่ามาประกวดมิสทิฟฟานี่ มิสแปลว่านางสาว หนูจะต้องมี Attitude ของความเป็นนางสาว และจะต้องมีความหิวกระหายที่จะต้องเป็นนักสู้ หนูจะต้องสู้ และตอนนั้นเขามาในสายเด็ก ๆ หวาน ๆ หนูก็เลยบอกว่า ถ้าไม่เปลี่ยนตัวเองหนูก็ไม่ได้เข้าสามสิบคน จากนั้นทัวร์ก็ลงหนู แต่ถามว่าหนูกลัวไหมหนูเฉย เพราะหนูถือว่าหนูพูดความจริงกับเขา และหนูดีใจที่เขาเดินมาจับมือหนูหลังจากที่เขาได้มงกุฎ เขามาบอกว่า หนูดีใจมากที่ป้าพูดอะไรกับหนูวันนั้น หนูก็บอกว่า ป้าพูดจริงและป้าไม่ได้คิดร้ายกับใครเลย ซึ่งเวลาหนูพูดในรายการ หรือว่าพูดเป็นกรรมการทุกที่ หนูไม่เคยคิดร้ายกับคน”

 

 

ชีวิตไม่ใช่ขนมชั้น ไม่ต้องมีเลเยอร์เยอะ

หนึ่งคำถามจากดีเจ ถาม ป้าตือ ว่า “มีคนแบบไหนบ้าง ที่ป้าตือไม่เอาเข้ามาในชีวิต?” จากคำถามนี้ เราได้เห็นมุมมองดี ๆ จาก ป้าตือ เพราะ ป้าตือ ได้ตอบคำถามว่า

“เอาความจริงนะพี่อย่าว่าหนูโลกสวยนะ หนูไม่ค่อยเกลียดคน ถ้าถามว่ามีคนที่หนูไม่เอาไหม มี มีคนที่หนูลบชื่อออกจากมือถือไหม มี แต่ถามหนูว่าหนูโกรธเขาไหม โกรธแล้วได้อะไรพี่ อย่างมากหนูก็ Delete ทิ้ง

เวลาเกิดอะไรขึ้น หนูมักจะบอกตัวเองเสมอว่าผิดที่เรา ผิดที่เราตั้งแต่ หนึ่ง เดินไปซื้อมือถือแล้วให้เบอร์เค้าแล้วก็โทรคุยกัน ผิดตั้งแต่นี้แล้วอะพี่ เพราะฉะนั้นทุกอย่างในโลกนี้ ทำอะไรไม่ต้องไปหวังพึ่ง ไม่ต้องหวังว่าเขาจะต้องคืนเรา แต่ถ้าเราอยากได้อะไร เราจะเดินไปบอกเขา ขอเขา สำหรับหนู หนูไม่ได้เป็นคนแบบว่าต้องมาหนึ่งสองสามสี่ห้า มันยากพี่ ชีวิตหนูไม่ได้เป็นขนมชั้น ไม่ต้องมีเลเยอร์เยอะ

คือหนูเป็นคนง่ายนะ และหนูเป็นคนที่ไม่เอาเปรียบคนเลยในชีวิต พ่อแม่สอนมานะว่า คนเราเนี่ยกฎของการเป็นมนุษย์เราต้องรู้จักให้ และให้โดยที่เราไม่ต้องคิดว่าเขาจะให้คืนมา แต่เรามีสิทธิ์ที่จะบอกว่า เธอฉันอยากได้อย่างงี้นะ ถ้าให้ได้ให้ ให้ไม่ได้ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกรงใจ

และหนูกล้าพูดกล้ายืนยันเลยว่าหนูมีข้อดี ซึ่งพ่อแม่สอนมาให้เป็นคนรู้จักให้ เวลาเราเห็นอะไรดี ๆ เห็นของดี ๆ เราจะชอบยกให้คน แม้แต่ทุกวันนี้ไหว้พระ หนูไม่เคยขออะไรให้ตัวเองเลย หนูก็จะไหว้พระขอ สิ่งดี ๆ ที่หนูทำทุกอย่างให้พ่อให้แม่ให้ผู้มีพระคุณ ให้พระให้เทวดาที่คุ้มครองหนู หนูพูดอย่างงี้เลย หนูไม่เคยขออะไรให้เข้าตัวเอง ขอแค่ว่าให้เรามีสติ เราจะได้ไปทำสิ่งดี ๆ ให้คนอื่น”

 

ไม่ชอบยึดติด และไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จ

ตลอด 30 ปีที่อยู่ในวงการอีเวนต์ แม้จะมีหลากหลายอีเวนต์เปลี่ยนไป มีเทรนด์ใหม่ ๆเกิดขึ้น แต่ ป้าตือ ก็สามารถก้าวทันตลอด จนได้นิยามว่าเป็นบุคคลที่ไม่ตายวงการ ซึ่ง ป้าตือ ได้เผยมุมมองเรื่องนี้ให้ฟังว่า

“คือตัวหนูไม่ยึดติดกับตัวเอง หนูไม่ได้รู้สึกว่าหนูประสบความสำเร็จ สิ่งที่มันเกิดวันนี้ เดี๋ยวมันก็จบไป แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้มันก็มีของใหม่มา

หนูพูดกับตัวเองตลอดเวลาว่าหนูเป็นคนโชคดี จน , ซวย หนูไม่เคยพูดเลย เพราะหนูรู้สึกว่ามันไม่ใช่คำของหนู ในชีวิตหนูเนี่ย หนูพูดแต่ว่าหนูจะต้องเจอคนดี แล้วคนดีจะอยู่ใกล้ ๆ หนู ถ้าเราคิดเรื่องดี ๆ มันจะดึงแต่เรื่องดี ๆ เข้ามา สมมติเราชอบผู้ชายคนนี้เนี่ย เราก็บอกว่าฉันชอบเธอจังเลย เขาก็จะมาหาเราทันที”

 

 

เป็นคนร้องไห้ยาก แต่เซนซิทีฟกับเรื่องครอบครัว

แม้ภายนอกจะเป็นคนดูเข้มแข็ง แต่ ป้าตือ ก็มีมุมเซนซิทีฟของตัวเอง โดย ป้าตือ เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า “หนูเป็นคนร้องไห้ยากมาก ตั้งแต่เด็กเลยไม่ค่อยร้องไห้ จำได้ว่าหนูร้องไห้เวลาดูหนังนีโม่ นีโม่มันตามหาพ่อมัน หนูร้องไห้แต่ก็ยังดู หรือบางทีร้องไห้อย่างเช่นว่า หนูทำงานเสร็จอะ หนูจัดงานเพชรใหญ่โตมโหฬารเลย แล้วหนูก็รู้สึกว่าเออมันมีความสุขจังเลยที่ได้ทำ แต่หนูไม่รู้จะเล่าให้ใครฟัง หนูก็มาจอดรถหน้ามาบุญครอง จอดข้างถนนฝนก็ตก แล้วหนูก็ร้องไห้ แบบว่ามันคือความปิติของหนู ที่หนูรู้สึกว่าเราก็โชคดีจังเลยที่ได้ทำอะไรดี ๆ แล้วก็กลับบ้าน

สมัยก่อนครอบครัวเนี่ยหนูต้องดูแลทุกอย่าง หนูชอบดูแลครอบครัว เพราะว่าหนูเป็นลูกคนเล็ก เตี่ยกับแม่มีลูก 10 คน แต่พี่หนูกลัวหนูหมดเลย แล้วตอนที่เตี่ยเสีย เขาก็จะแบ่งเงินแบ่งมรดกให้กับทุกคน แต่ก็จะมีพี่บางคนที่ว่าอ่ารู้ ๆ กัน ก็เลยรู้สึกว่าหนูก็ต้องดูแลเขา หนูก็ถาม เธอเดือนร้อนช่วงไหน หนูก็ส่งหลานเรียน เรียนหรู จนจบปริญญาโท ปริญญาตรี ซื้อคอนโด ซื้อบ้าน ซื้ออะไรให้ทุกคน หนูก็ดูแลให้หมดจนจบเบ็ดเสร็จแล้ว ทุกวันนี้หนูก็ถือว่าหมดหน้าที่หนูแล้ว ทุกคนก็โตแล้ว ทุกคนต้องไปดูแลตัวเอง

ปัจจุบันนี้หนูพูดด้วยความจริง หนูตายไปหนูไม่ให้มรดกพี่น้องหนูนะ หนูยกให้สามีกับคนที่หนูรักกับคนที่อยู่ใกล้ตัว ครอบครัวมันมีจุดนึงแล้ว พอมันหมดเวลาแล้วเขาก็ต้องไปอยู่กับครอบครัวของเขา แล้วเราก็คือคนนอก เพราะฉะนั้นครอบครัวมันไม่ได้แปลว่าพี่น้องท้องเดียวกัน แต่ครอบครัวมันคือความสุขที่อยู่รอบเรามากกว่า”

 

 

เรื่องราวความรักของป้าตือ

นอกจากมุมมองการใช้ชีวิตแล้ว ป้าตือ ยังได้มีโอกาสเล่าเรื่องราวความรักให้ฟังด้วย ซึ่งมีหลากหลายเรื่องราวพีคมากๆ เช่น เคยโดนผู้ชายจูบตอน ม.2 เลยต้องขอย้ายจังหวัดหนี! โดยป้าตือ เล่าว่า “หนูโดนผู้ชายจูบ ผู้ชายมาจากเมกันแล้วมาจูบหนู แล้วหนูไม่ได้ชอบเขาแต่ว่าหนูชอบเพื่อนเขา แล้วหนูก็เลยเดินไปบอกแม่ว่า แม่หนูโดนผู้ชายจูบเมื่อคืน หนูอยู่จังหวัดลำปางไม่ได้แล้ว หนูต้องย้ายจังหวัดหนี แล้วแม่ต้องย้ายโรงเรียนหนูด้วย ย้ายไปกลางคันเลย ก็รู้สึกว่าการโดนจูบ มันรู้สึกว่าตัวเองเสียความบริสุทธิ์ คือในวัยนั้นอายุ 14 เนอะ มันก็แบบ เห้ยย!
ช็อตเหมือนกันนะ แม่เลยย้ายให้เลย”

นอกจากนี้ยังมีเรื่องสุดพีคของป้าตือ กับรัก 13 ปี ที่ต้องเลิกรากัน แถมยังต้องเรียกทรัพย์สินจากการเลิกกันครั้งนี้ด้วย! เรื่องราวสุดแซ่บนี้จะเป็นยังไง ต้องไปฟังย้อนหลังจาก ป้าตือ กันได้เลย

“พี่หนูจะบอกให้นะ หนูไม่ได้อวดนะ คือเลิกกับสามีไม่เกิน 3 วัน หนูมีใหม่ตลอด และหนูก็เชื่อตลอดว่า จักรวาลนี้มีคนรอรักเราอยู่  ทุกวันนี้แจกบัตรคิวไม่พอนะ ต้องพรีออเดอร์ด้วย ของอย่างงี้มันเป็นเรื่องที่แบบว่าเขาเสกมาไงพี่ เทวดาเขาปั้น”

 

 

ท้ายรายการ ป้าตือ ได้พูดข้อคิดดีๆ ทิ้งท้ายไว้ว่า “หนูไม่เคยคิดมากไปกว่า 2 วินาที คือหนูไม่รู้จะคิดไปทำไม แบบว่าไม่ต้องคิดเผื่อพรุงนี้ก็ได้ เดี๋ยวหนูเดินออกไปข้างนอกเกิดหนูตุยขึ้นมามันก็จะเสียโอกาส เพราะฉะนั้น อยากทำอะไรทำเลย อยากพูดไรพูด แต่เราไม่พูดให้คนทุกข์ ไม่พูดให้คนมีเรื่องเสียใจ” - ป้าตือ

 

ติดตามรายการย้อนหลัง

related ENTERTAINMENT NEWS

ล้วงเรื่องราวชีวิต พร้อมเปิดมุมมองธุรกิจ ของ “นาตาเลีย เพลียแคม” Drag Queen ตัวแม่ที่พร้อมดูแล ให้คุณไปสบายแบบครบวงจร

09 ก.พ. 2024

ล้วงเรื่องราวชีวิต พร้อมเปิดมุมมองธุรกิจ ของ “นาตาเลีย เพลียแคม” Drag Queen ตัวแม่ที่พร้อมดูแล ให้คุณไปสบายแบบครบวงจร

หายใจไม่ออก บอกนาตาเลีย!...เปิด Club รวมสีสันของชีวิต พร้อมแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลในในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่ตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดจึ้ง “นาตาเลีย เพลียแคม” จากเจ้าของธุรกิจหลังความตาย สู่การเป็นผู้ชนะรายการ Drag Race คนแรกของไทย ยกระดับผู้มีความหลายหลายให้ทั่วโลกได้รู้จัก ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ เธอผ่านหลากหลายเรื่องราวชีวิต หลากหลายอุปสรรค ที่ได้นำมาแชร์ในรายการไว้ด้วยเปิดที่มาของชื่อสุดปัง “นาตาเลีย เพลียแคม”“ชื่อ นาตาเลีย เพลียแคม เป็นชื่อที่ใช้ในการเป็น Drag Queen ซึ่งต้องเล่าอย่างก่อนว่า แต่เดิมธุรกิจของครอบครัวนาตาเลีย เป็นธุรกิจการขายโลงศพ ซึ่งเราเป็นคนที่ชอบเรื่อง Marketing ชอบ Branding ก็เลยสร้างแบรนด์ขึ้นมา พอเราต้องมาเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ เลยคิดว่ามันต้องมีกิมมิก มันต้องเป็นสิ่งที่ทำให้คนจดจำ ประกอบกับว่าเราประกวด Drag Race Thailand ก็เลยต้องสร้างมีมและแฮชแท็กขึ้นมา แต่เดิมเราเป็นอาเฮียขายโลงศพ ก็เลยตั้งเป็นแฮชแท็ก #หายใจไม่ออกบอกนาตาเลีย ต่อมาเราทำน้ำดื่มด้วย แต่ไม่ได้เอามาเพื่อขาย เราเอามาไว้บริการให้กับทางลูกค้า เพราะบางทีในงานศพมันก็ต้องมีน้ำดื่ม เราก็เอาไปน้ำดื่มของเราไปร่วมสนับสนุน จากนั้นก็เลยมีแฮชแท็กเพิ่มมาอีกก็คือ #น้ำดื่มมังกรเขียวใช้กินใช้กรวดในขวดเดียวกัน กลายเป็นแฮชแท็กประจำตัวที่เราใช้ตั้งแต่นั้นมาค่ะ”ลูกชายคนโต กับความคาดหวังจากครอบครัว“นาตาเลีย โชคดีในเรื่องของครอบครัวตรงที่ว่า เค้ามีความคาดหวังแต่เค้าก็ไม่ได้มาจี้ ซึ่งคนที่มีการพูดถึงและทำให้รู้สึกในใจ ก็คือคนอื่นที่ไม่ได้อยู่ในครอบครัว เช่นบางทีเพื่อนป๊ามาที่บ้านก็ชอบถามว่า ลูกลื้อมีเมียรึยัง เราก็ตอบในใจว่ามีแล้วแต่เป็นผู้ชาย แต่ความจริงคือก็ต้องบอกว่ายังไม่มีครับ เดี๋ยวเรียนก่อน หรือขอทำงานก่อน ซึ่งเรามองว่าครอบครัวเราคาดหวังแต่เค้าไม่ได้พูดออกมา มันกลายเป็นชาเล้นจ์สำหรับเราที่จะต้องแข่งขันกับตัวเอง ทะเยอทะยานที่จะชิงดีชิงเด่นตลอดเวลา เพราะเราคิดว่าเราอาจจะทำตามมวลความคาดหวังของคนที่เป็นบุพการีไม่ได้ แต่เราก็ต้องมีอะไรบางอย่าง เพื่อให้รู้สึกว่ามันฟูลฟีลหัวใจ มันทำให้นาตาเลียพยายามหาเงินใช้เองตั้งแต่อายุ 18 ปี ใช้ความสามารถทางด้าน Cheerleading สมัครทุนเพื่อเรียนฟรีตั้งแต่ ปวช. จนถึงปริญญาโท ซึ่งเราสนุกกับชาเล้นจ์ในชีวิตที่ตัวเองตั้งขึ้น และการแข่งขัน หรือการประกวดต่าง ๆ มันตรงจริตของตัวเราด้วย มันก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเรามองข้ามบางอย่างได้ความทะเยอทะยานของเราคือ สมมติว่าเราเห็นก็อตจิ ในรายการเทยเที่ยวไทย เราก็รู้สึกว่าทำไมคนหนึ่งคน ถึงเป็นพิธีกรในเทยเที่ยวไทยได้สนุกขนาดนี้ แล้วเค้าเป็นลูกคนจีนเหมือนกัน หรืออย่างเราเห็นพี่อ้อยจัดรายการวิทยุมานาน และเราก็รู้สึกว่าทำไมผู้หญิงหนึ่งคนสามารถที่จะลุกตื่นขึ้นมาตอนเช้า หรืออยู่ตอนดึกได้ และพร้อมที่จะมารับฟังปัญหาทุกคน ซึ่งนาตาเลียเองก็รู้สึกว่า ฉันก็ต้องทำได้สิ เพียงแต่ว่ามันอยู่บนความคาดหวังของใคร วันนี้มันอยู่บนความคาดหวังของนาตาเลียว่า นาตาเลียไปประกวด นาตาเลียมีความสุข เราได้พื้นที่ เราชอบความบันเทิง เราชอบการแสดง เราต้องการอยู่หน้าไมค์ เราต้องการพูดให้ทุกคนรู้ ซึ่งมันอาจจะมีคนไม่ชอบบ้าง แต่สุดท้ายพื้นที่ส่วนใหญ่คือคนที่ชอบเรา เราต้องคิดให้เป็นวัฏจักรแห่งความเป็นมนุษย์ ว่ามันไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราจะเอาความสุขส่วนใหญ่บนมาตรฐานของเรา ให้มาเป็นแรงขับเคลื่อนแล้วก็ก้าวข้ามผ่านปัญหา ไม่ใช่ว่านาตาเลียไม่เคยมีความทุกข์ เราเคยแบบทุกข์หนักมาก บ้านล้มละลาย ป๊าเป็นสโตรก ไม่มีเงินเลย เราผ่านมาหมดแล้ว แต่เรายังเชื่อว่า ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ นอนคืนนี้ พรุ่งนี้ก็เริ่มเรื่องใหม่แล้ว”ก้าวแรก ของเฮียเจ้าของธุรกิจโลงศพ“มันเริ่มจากที่เราต้องเข้าไปช่วยงานธุรกิจของคุณพ่อ ซึ่งจะเน้นหนักในเรื่องของการทำ Branding แล้วก็สร้างการรับรู้ เพราะโลกธุรกิจมันเปลี่ยนไป ตอนนั้นป๊าขายแต่แบบออฟไลน์ เค้าไม่ได้สนใจช่องทางการขายออนไลน์เลย เราก็เลยเห็นโอกาสตรงนี้เลยไปสร้างมันขึ้นมา ซึ่งจากใจจริง นาตาเลียรู้สึกว่านี่เป็นธุรกิจที่มันไม่ใช่ไลฟ์สไตล์ของเราเลย แล้วพอเราเป็นลูกคนโต มันจะตามมาด้วยความคาดหวัง แต่ในยุคก่อนมันไม่มีเทคโนโลยี เพราะฉะนั้นการขายแบบปากต่อปากมันยังคงใช้ได้อยู่ แต่พอวันหนึ่งมาเจออะไรหลาย ๆ อย่าง ป๊าก็เริ่มเรียกให้กลับมาทำธุรกิจไหม บวกกับที่เราประกวดรายการ Drag Race Thailand พอดี ช่วงนั้นหนูเลยตกลงกลับมาช่วยงานป๊า ทำมาสักพักก็มารู้ว่าป๊าป่วยเป็นสโตรก แล้วเราก็ไม่เคยมีความรู้เรื่องนี้ในชีวิตเลย พอมาเหตุการณ์นี้ทุกอย่างก็กลับตาลปัตรหมดเลย มันก็เลยเหมือนไม่อยากทำ แต่สุดท้ายเราก็ทิ้งไม่ได้ เพราะธุรกิจนี้ ก็คือ DNA ของเรา แล้วพอต้องมาทำธุรกิจเรารู้สึกว่ามันสามารถบูรณาการให้เป็นการทำธุรกิจในแบบของนาตาเลียได้ โดยเฉพาะในเรื่องของงานศพ และเชื่อว่าสินค้าของนาตาเลีย เป็นสินค้าหนึ่งที่ลูกค้าไม่เคยคอมเพลนเลย”“ความตาย” สามารถเป็นสิ่งที่สวยงามได้ ถ้าเรารู้จักจัดการมัน“เรื่องการบริหารจัดการ หรือการเตรียมการความตาย มันมีอยู่ในวัฒนธรรมอยู่แล้ว โดยเฉพาะวัฒนธรรมจีน ที่จะมีการซื้อฮวงซุ้ยหรือโลงศพ และคนจีนเชื่อว่าเป็นการต่ออายุต่อดวงชะตา แต่ถ้าเป็นคนไทยก็จะมองว่าเตรียมไว้ทำไม แช่งหรือเปล่า ส่วนที่เมืองนอกหรือประเทศอื่น มันจะมีธุรกิจที่เรียกว่า Funeral Planner เป็นธุรกิจในการจัดการงานศพ ซึ่งจะคล้ายกับ Wedding Planner ที่จะบริหารจัดการงานแต่งงานความฝันของนาตาเลีย คือต้องการทำร้านโลงศพธรรมดา หรือตอนนี้ผู้คนรู้จักในออนไลน์ เพราะ นาตาเลียขายในออนไลน์เป็นหลัก นาตาเลียต้องการทำให้เห็นว่า เราสามารถบริหารจัดการ และดีไซน์ความตายได้ตามต้องการ นาตาเลียเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ความตาย มันสามารถเป็นสิ่งที่สวยงามได้ ถ้าเรารู้จักที่จะจัดการหรือบริหารมัน นาตาเลียยังคิดถึงงานศพของตัวเองเลยว่า โลงศพฉันควรเป็นยังไง อาหารขอเป็นเบนโตะเซ็ทได้ไหม บรรยากาศของพื้นที่เราทำให้เป็นกลิ่นอโรมาดีไหม แล้วผู้คนไม่จำเป็นจะต้องใส่สีดำอย่างเดียวดีไหม ของชำร่วยในงานขอเป็น Flash drive ที่พอเอาไปเสียบเข้าคอมพิวเตอร์จะเห็นบทพูดเรื่องการเตรียมตัวตายของนาตาเลีย พร้อมกับแต่งตัวเป็น Drag Queen แล้วโชว์ให้ดูก่อนตาย ให้ดูว่าความสุขตอนที่ฉันมีชีวิต รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ที่ฉันสร้างมันยังคงอยู่กับเธอตลอดไป แล้ววันใดที่เธอลบความทรงจำจาก Flash drive มันแค่ลบความทรงจำแต่ฉันยังคงเป็นประโยชน์ต่อเธอ เพราะเธอจะเอา Flash drive นั้นไปทำอย่างอื่นได้ต่อแล้วเราไม่ได้พูดเองเออเอง จากการวิจัยซึ่งเป็นตัวจบปริญญาโทของเรา พบว่า จำนวนประชากรส่วนใหญ่ที่เป็นผู้หญิง ให้ความสำคัญกับเรื่องการวางแผนการตายมากกว่าผู้ชาย ในขณะเดียวกันมีสิ่งที่เค้าต้องการคือ 1.บริหารดีไซน์ในแบบที่เค้าต้องการได้ 2.อยู่ในงบประมาณที่เค้าจัดการได้ และ 3.ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นต้องอยู่บนพื้นฐานของวัฒนธรรมประเพณีที่ถูกต้อง”ส่องเทรนด์ธุรกิจคอนโดความตาย“ถ้าเราดูหนังฮ่องกงสมัยก่อน เราจะเห็นว่าเวลาเค้าไปงานศพ มันจะมีเป็นบล็อกเป็นชั้น ๆ ซึ่งเมืองไทยก็มีเหมือนกันในสมัยก่อน แต่มันไม่ได้ถูกพูดถึง แต่พอเรามาทำธุรกิจด้านนี้ ก็ได้ไปเจอพาร์ทเนอร์ที่เป็นบริษัทขายสุสานที่มาเลเซีย แล้วก็กระจายไป Southeast Asia ไปสู่ต่างประเทศ แล้วเค้าก็มาสร้างฮวงซุ้ย กับคอนโดสำหรับเก็บกระดูกที่เมืองไทย ทำแบบสวยงามเลย เราก็เลยมาผลักดันเรื่องนี้ว่าจริง ๆ แล้ว ถ้าคุณอยากจะได้ช่องเก็บกระดูกที่สวยงาม เค้าก็มีการจัดการนะ แล้วเราก็คิดไปถึงว่า ถ้าเป็นฮวงซุ้ย เวลาเราซื้อเสร็จ เราจะต้องเอาดวงชะตาใส่ลงไปในหลุมศพ สมมติว่านาตาเลียซื้อฮวงซุ้ยให้บิดามารดา นาตาเลียก็ต้องเอาทำพิธีกรรมที่เรียกว่า แซกี ทิ้งไว้ในหลุมศพเพื่อต่อดวงชะตาของบิดามารดา วันนึงนาตาเลียมองเห็นโอกาสว่า ช่องเก็บกระดูกมันเอาไว้ใส่ศพคนตายแบบเผา ฮวงซุ้ยใช้ใส่ศพคนตายแบบไม่เผา ผู้คนกำลังนิยมชมชอบที่อยากจะมีอายุยืนนานแล้วก็สนใจเรื่องมู ก็เลยคิดว่าฉันต้องทำแซกีในฮวงซุ้ย ให้ไปอยู่ในช่องเก็บกระดูกได้อีก ซึ่งซินแสหลายท่านก็บอกว่าลื้อจะบ้าเหรอ มันผิดธรรมเนียมประเพณี นาตาเลียก็บอกซินแสว่า อั๊วะถามหน่อย สมมติลื้อต้องทำแซกีเพื่อดวงชะตาโดยมีเงิน 1 ล้านบาท ลื้อต้องทำ 1 ล้านบาทเลย หรือ 1 ล้านบาทบวก ๆ เพื่อทำหลุมศพ แล้วมันก็ยังไม่มีใครอยากตาย ลื้อใส่ได้เมื่อไหร่ แต่วันนี้นาตาเลียจะมาขายแซกีในช่องเก็บกระดูกซึ่งเสียเงินไม่ถึง 2 แสนบาท แล้วแต่ว่าชั้นมันจะอยู่ตรงไหน ลองคิดนะว่าระหว่างคนมีเงิน 1 ล้านบาทแล้วหมดไป กับคนมี 1 ล้านบาทแล้วเหลือ 8 แสน ใครมีความสุขมากกว่ากัน จากนั้นก็มีซินแสบางคนที่สนับสนุนความคิดเรา นาตาเลียเชื่อว่า วัฒนธรรมรากเหง้าบางอย่างมันสูญเสียไป เพราะผู้คนไม่ปรับเปลี่ยน แล้วไม่ยอมหาจุดเชื่อมให้เข้าหากัน สุดท้ายมันก็จะหายไป แต่นาตาเลียไม่ได้คิดแบบนั้น นาตาเลียคิดว่าโลกมันเปลี่ยนไป คนเราก็ต้องเปลี่ยนตาม บางคนก็ต้องพัฒนา หรืออย่างน้อยคือเรามีฟังก์ชั่นให้เค้าเลือก ทำสิ่งต่าง ๆ ให้เค้าได้มีโอกาสเลือก สุดท้ายถ้าเค้าจะไม่เอา มันก็อยู่ที่เค้า ไม่ได้อยู่ที่เรา”จุดเริ่มต้น บนเส้นทาง Drag Queen“ก่อนที่จะมาเป็น Drag Queen นาตาเลียได้ตำแหน่ง Miss ACDC ปี 2006 มาก่อน สมัยนั้นโซเชียล และโลกออนไลน์ยังไม่เหมือนทุกวันนี้ พอมาปี 2018 ก็มีคนมาชักชวนว่า จะมีรายการจากเมืองนอกชื่อรายการ Drag Race ซึ่งเรารู้จักรายการ แต่เราไม่เคยดู ด้วยความที่เราอยู่กับการประกวดอยู่แล้ว ทั้งประกวด Cheerleading ประกวดเต้น เป็นนางโชว์ เราก็รู้สึกว่าโอเคฉันจะทำ แต่การทำครั้งนี้ 1.ฉันต้องชนะ เพราะว่าถ้าไม่ชนะมันเป็นการแข่งขันที่เสียเปล่า 2.นี่เป็นจังหวะที่ดีมาก ถ้าสมมติฉันเอาเงินไปซื้อมีเดีย มันจะแพงกว่าการที่ฉันไปประกวด แล้วการไปประกวดถ้าฉันเอาเงินไปซื้อมีเดียอย่างเดียวฉันแค่ได้หน้า แต่ถ้าฉันไปประกวด เราได้แสงจากคาแรกเตอร์ เราจะได้ความสุข และสนุกไปกับมันด้วย ก็เลยตัดสินใจประกวด Drag Race Thailand Season 1 แล้วการประกวดตลอด 8 ep. จนไปถึงรอบไฟนอล เราจะต้องมีสติอยู่กับมัน ซึ่งสิ่งที่มันไม่ลืมเลยคือ เราต้องเข้าใจว่าเรากำลังจะสื่อสารให้คนจดจำอะไรในตัวเรา นาตาเลียก็บอกเลยว่า เราเป็นลูกหลานคนจีนมาจากเยาวราช แล้วก็ขายโลงศพ ซึ่งมันคือเรื่องจริงบนเรื่องแต่ง มันก็เลยรู้สึกว่าเราพูดได้อย่างไม่เคอะเขินคำว่า Drag Queen ก็คือการแต่งตัวข้ามไปเป็นอีกคาแรกเตอร์หนึ่ง หรือไปเป็นอีกเพศหนึ่ง เช่นวันนี้ตามบัตรประชาชนของนาตาเลียเป็นผู้ชาย พอเราแต่งเป็น Drag Queen ก็คือ เราแต่งเป็นผู้หญิง แต่โลกของเราตอนนี้มันหลากหลายมาก มันมีแม้กระทั่งผู้หญิงแต่งเป็น Drag Queen อย่างเช่น Lady Gaga ซึ่งเราก็เรียกว่า Bio Queen พอมันเกิดความหลากหลาย นาตาเลียจึงให้คำจำกัดความในทุกครั้งที่ไปอธิบาย โดยไม่ได้พูดถึงว่ารากเหง้าคำว่า Drag คืออะไร แต่การแต่ง Drag คือการที่เราสร้างคาแรกเตอร์อีกคาแรกเตอร์หนึ่งแล้วแสดงออกมา และต้องนำมาซึ่งแรงบันดาลใจ ความสุข และจะต้องเป็นการแบ่งปันอะไรบางอย่าง แม้กระทั่งความเป็นตัวเราให้กับคนรอบข้างด้วย มีสิ่งหนึ่งที่ผู้คนมักจะถามว่าทำไมเฮียถึงใส่ชุดนี้อีก ใส่ทุกงานเลย ทำไมไม่เปลี่ยน แต่สิ่งที่นาตาเลียโฟกัสคือ ก็ฉันต้องการให้เธอทักนี่แหละ ให้เธอจำว่านี่มันคือคาแรกเตอร์ แล้วทุกคนก็จะจดจำเราได้”ความพ่ายแพ้ ที่มาพร้อมบทเรียนมากมาย“นาตาเลียประกวดมาเยอะ แล้วเคยได้ตำแหน่ง Miss ACDC 2006 เป็นแชมป์ Drag Race Thailand คนแรกของประเทศไทย เคยได้ตำแหน่งนางสาวเชียงใหม่ในดวงใจ 2566 แล้วก็กำลังรอว่า ถ้าเวที Miss Universe is you เปิดรับสมัครก็จะลงประกวดอีก แล้วนาตาเลียก็จะปิดตำนานนาตาเลียในเมืองไทยเท่านี้ ปิดตำนานว่าในประเทศไทย ฉันได้เวทีใหญ่ ๆ มาหมดแล้ว แล้วจะรอไปประกวดเมืองนอก ได้ตำแหน่งมาเยอะแต่ไม่ได้หมายความว่านาตาเลียไม่เคยแพ้ นาตาเลียเคยแพ้ บุ๊คโกะ ในการประกวดนางสาวเชียงใหม่ในดวงใจปี 2564 ตอนนั้นนาตาเลียได้รองอันดับ 1 แต่สิ่งที่มันสอนเราอยู่ตลอดเวลาบนความพ่ายแพ้ คือการสอนให้เรารู้ว่าสปิริตของการแข่งขันมันเป็นยังไง ต้องขอบคุณ บุ๊คโกะ ด้วยที่ทำให้นาตาลีเรียนรู้ความมีสปิริต ความมีน้ำใจนักกีฬา แต่ในขณะเดียวกัน การแพ้มันก็ทำให้เราตั้งเป้าใหม่ว่า ฉันจะกลับมาประกวดในปี 2566 เพราะว่าฉันจะเอามง และจะเป็นที่ 1 ให้ได้ แล้วมันก็ได้จริง ๆ”นาตาเลีย เพลียแคม กับการสานฝัน ให้กับผู้บกพร่องทางการได้ยิน“นาตาเลีย เป็นคนสอน Cheerleading ให้คนพิการทางหูคนแรกของประเทศไทยตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบัน แล้วก็ประกวดชนะมาตลอด ซึ่งการสอนมันจะมีภาษามือก่อน แต่สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือ มันจะต้องมีใจที่จะสอนด้วย เราคุยกับเค้าด้วยภาษากายอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องตั้งใจด้วยความรู้สึกที่อยู่ข้างใน แล้วต้องพยายามเปลี่ยนวิธีการคิดของเค้าว่า ไม่ใช่ว่าเป็นคนพิการแล้วจะต้องอยู่กับการรอรับโอกาสอย่างเดียว ซึ่งสิ่งที่มันได้ตามมาแล้วทำให้เรารู้สึกแฮปปี้มากคือคุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ปกครองของน้อง ๆ เปลี่ยนวิธีคิดที่จะเลี้ยงลูกหลาน พอผู้ปกครองได้มาดูการแสดงของน้อง ๆ ครั้งแรก มีหลายคนร้องไห้ แล้วก็พูดกับเราว่า เดี๋ยวคุณแม่จะเปิดโอกาสให้น้องเล่นกีฬานี้เต็มที่เลย แล้วให้น้องเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะเรียนได้ มันเป็นพลังที่เติมเต็มความรู้สึกให้เรามาก ๆสิ่งหนึ่งที่เรามักจะปลุกพลังให้น้อง ๆ คือ การที่เราเป็นคนพิการ แล้วอยู่ในสังคมที่มีคนปกติมากกว่า การที่จะเปลี่ยนคนปกติจำนวนมากเป็นเรื่องยาก แต่การเปลี่ยนตัวเองในฐานะที่เป็นคนจำนวนน้อย เพื่อให้สังคมขับเคลื่อน และได้โอกาสอะไรบางอย่างเป็นเรื่องง่ายกว่า และเราต้องพยายามมากกว่าคนปกติ 2 เท่า จากปี 2552 จนถึงปัจจุบัน นาตาเลียก็ยังคงสอนอยู่ แต่ในขณะที่สอน Cheerleading เราก็จะสอนประสบการณ์ชีวิต กับวิธีคิดให้กับน้อง ๆ ไปด้วย”เมื่อชีวิตเจอหลากหลายบททดสอบ แต่ต้องผ่านมันไปให้ได้“เริ่มแรกเลยคือป๊าเค้าเป็นเถ้าแก่เร็ว แล้วก็มีความปกครองผู้คนในยุคที่ไม่มีโซเชียล มันเหมือนเค้าประสบความสำเร็จมาก ๆ จนรู้สึกว่าคำพูดของตัวเองคือเบ็ดเสร็จ กลายเป็นหลงระเริง พอเกิดสิ่งผิดพลาดจนเหนือการควบคุม มันก็ต้องสูญสลายไปเลย แต่ความโชคดีของป๊าคือ เค้าสามารถกลับมาสร้างทุกอย่างใหม่ได้ เมื่อเค้ามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง แต่พอมาปี 2019 ป๊าเป็นสโตรก แล้วที่บ้านหนูไม่มีความรู้เรื่องสโตรกเลย พอไปโรงพยาบาลเค้าก็แค่บอกว่าปวดหัว คุณหมอก็จับฉีดยาเฉย ๆ แต่พอมาตอนเช้าหมอประจำตระกูลก็บอกว่าเป็นสโตรกแน่ ๆ เลยเอาเข้าห้อง ICU แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจากวันนั้นคือเค้าต้องนอนติดเตียง เจาะคอ ทำอะไรไม่ได้แล้วมันเกินกว่าที่กะเทยคนนึงจะมาสานต่อ มันยุ่งเหยิงยิ่งกว่าสายไฟบนถนนวิทยุ แต่ในวันนั้นหนูบอกกับตัวเองว่า เราก็ต้องทำมันเท่าที่ได้ ให้ร่างกายยังคงพร้อมที่จะสู้ต่อในวันพรุ่งนี้ แล้วถ้าหนูสู้จนสุดทาง แล้วมันไม่ได้อย่างที่หวัง หนูจะไม่เสียใจเลย เพราะหนูสู้จนสุดทางแล้วในวันที่หนูรู้ว่าป๊าเป็นสโตรก แล้วเค้าเรียกไปที่โรงพยาบาลด่วน เค้าก็จับมือเราบอกว่า ป๊าฝากน้องด้วยนะ หนูก็บอกป๊าว่าเดี๋ยวก็หาย นอนฉีดยาพรุ่งนี้ก็หาย ซึ่งก่อนหน้านั้น เพิ่งจะผ่านวันเกิดหนูมา หนูเกิด 7 มกราคม ป๊าก็มาแฮปปี้เบิร์ดเดย์ และเป็นวันที่เปิดตัว Drag Race Thailand Season 2 กลางไอคอนสยาม แล้วพี่อาร์ท อารยา กับ พี่เต้ กันตนา หอบเค้กมาแฮปปี้เบิร์ดเดย์หนูกลางไอคอนสยาม ผ่านไปไม่ถึง 2 วัน อยู่ดี ๆ ป๊าเป็นสโตรก แล้วหนูต้องมาออกรายการ Lip Sync Battle Thailand กำลังยืนรอสแตนบายจะขึ้นเวที ที่บ้านก็โทรมาบอกว่าป๊าต้องเจาะคอ ถ้าไม่เจาะคือไม่รอด พอพูดเสร็จทีมงานก็บอกว่าขึ้นเวทีค่ะ หนูก็ต้องฮึบ เพราะกับรายการหนูก็ต้องเต็มที่ แฟนรายการเค้าก็ตั้งความหวังว่าอยากจะเห็นนาตาเลียโชว์ ซึ่งหนูก็ไม่อยากให้ทั้งคนดู และทีมงานจะต้องมารับรู้ว่าภายใต้การยิ้มแย้ม แต่งตัวอลังการของหนู มันคือความดิ่งที่สุดในชีวิต แต่พอเทปรายการนี้ออกอากาศ กลับมีกลุ่มคนที่เป็นเกรียนคีย์บอร์ด มาบอกว่าโชว์ไม่เห็นจะดีเลย ดูไม่ Professional เลย สิ่งนี้ทำให้หนูเรียนรู้ว่า ภายใต้ความวุ่นวายรวดเร็วของเทคโนโลยี มันมีบางคนพร้อมที่จะทิ่มแทงเราเพียงเพราะความไม่ชอบ หนูต้องตั้งสติกับตัวเอง และบอกตัวเองว่าเราสามารถเลือกที่จะทะเลาะ หรือไม่ทะเลาะกับคนได้ เราจงยอมรับ หรือเอาพลังงานดี ๆ จากคนที่เค้าชื่นชมเรามาเป็นประโยชน์ดีกว่า เพราะเราไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้เราจะอยู่หรือเราจะไป อย่างน้อยที่สุดมันยังมีสิ่งดี ๆ ให้เราฮีลใจ ให้เราหายเหนื่อย ให้เรารู้สึกว่ามันยังมีคนข้าง ๆ ถึงแม้ว่ามันจะมาเป็นแค่ข้อความก็ตามหนูเป็นคนชอบมูเตลูมาก เพราะมันคือที่พึ่งทางใจอย่างหนึ่ง แต่เมื่อไหร่ที่มันไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่เรามู หนูไม่เคยโทษฟ้าโทษฝนโทษเทวดาเลย แล้วหนูก็รู้สึกว่าในช่วงที่หนูวิกฤติ มันมีคนที่พร้อมช่วยอย่างเต็มที่ หนูได้เรียนรู้ว่า เมื่อไหร่ที่หนูให้อะไรใครไปก่อน มันจะได้กลับมาเสมอ หลายคนเห็นหนูบนหน้าจอ ก็จะเห็นว่าเราเฮฮา ดูเรียกเสียงหัวเราะ แต่หนูเคยร้องไห้คนเดียว แต่หนูไม่เคยคิดจะฆ่าตัวตายนะเพราะกลัวเจ็บ แล้วหนูคิดว่าชีวิตนี้ไม่กลัวอะไรแล้ว เพราะเราเคยเจอเรื่องหนักสุด สบายสุด ดีที่สุด ร้ายที่สุด ในชีวิตหนูผ่านมาหมดแล้ว”ความรักของเพศที่สาม ไม่ได้ฉาบฉวยเสมอไป“หลายคนชอบคิดว่า การเป็นกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ เวลามีความรักมักจะเป็นความรักที่ฉาบฉวย แต่สำหรับหนูคิดว่ามันไม่เสมอไปหรอก คุณอย่าเพิ่งตีตราว่ากลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศเมื่อมีรักเท่ากับ Sex เท่านั้น มันมีอย่างอื่นเป็นองค์ประกอบด้วย แต่หนูก็ไม่ได้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในความรัก เพราะในชีวิตหนูเรื่องงานมันจะมาก่อนความรักเสมอ แต่ถ้าถามว่าหนูอยากมีรักไหม หนูก็อยากมีรัก อยากมีแฟน อยากมีคู่ชีวิตให้เราได้แอบอิง แต่ในขณะเดียวกัน ความรักที่หนูเจอมามันกลายเป็นการมาเหยียด หรือเป็นการคบเพื่อผลประโยชน์ มันก็กลายเป็นความทุกข์ ซึ่งมันก็ต้องเลือกคนคุยดี ๆ ไม่อย่างนั้นก็จะก้าวข้ามผ่านเรื่องนี้ไม่ได้เลย หนูจึงรู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตบนความ Proud ฉันมั่นใจ และฉันก็เต็มที่กับทุกอย่างที่ฉันทำ เพื่อให้คนรอบข้างรู้และจดจำว่า นี่คือ นาตาเลีย เพลียแคมหนูอยากเป็นนักการเมือง เพราะคิดว่าการเป็นนักการเมือง มันทำให้เราได้ทำอะไรบางอย่างบนสิทธิ์หรืออำนาจที่เรามี แต่นั่นจะต้องเป็นเรื่องที่ดีด้วย หนูก็เลยคิดเล่น ๆ ว่า ถ้าหนูเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่ากทม. หรือเป็นหนึ่งในกรม ที่มีอำนาจในการที่จะปรับเปลี่ยนกรุงเทพ ไหน ๆ รถมันก็ติดแล้ว เราก็เปลี่ยนความวุ่นวายให้กลายเป็น Festival เช่นทำเมืองนี้ให้มันเป็นเมืองแห่ง Exhibition ทำเมืองนี้ให้เป็นเมืองแห่ง Event ขับเคลื่อนด้วยความวุ่นวายยุ่งเหยิงมีแต่ความบันเทิง เป็นพื้นที่ศิลปะของทุกคน หนูคิดลึกไปถึงขนาดที่ว่า วันนี้เราจะต้องไปสอนเรื่องการมีทักษะ หรือการพัฒนาอะไรบางอย่างให้กับกลุ่ม LGBTQ หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ แต่มันจะซับซ้อนกว่าถ้าความหลากหลายทางเพศอยู่ในคนพิการ หนูก็อยากไปทำเรื่องนี้เพื่อให้เค้าสามารถใช้ชีวิตอยู่กับกลุ่มคนปกติได้อย่างไม่เคอะเขิน แล้วการเป็นนักการเมือง สิ่งที่ทำให้คนอื่นต้องมาปรบมือ หรือมามายอมรับ มันต้องอยู่บนสิ่งที่คุณทำออกไปมากกว่า ไม่ใช่เพียงเพราะว่าวันนี้คุณเป็นเก้ง เป็นกวาง หรือเป็นเพศอะไรก็ตาม”ความภูมิใจ และแรงบันดาลใจ จาก นาตาเลีย เพลียแคม“หนูภูมิใจที่สุด ที่ความสำเร็จของหนู มันได้สร้างประโยชน์ให้กับคนอื่น ความเป็นนาตาเลีย เพลียแคม มันไม่ใช่อยู่ที่การเป็นผู้ชนะ แต่มันอยู่ที่สิ่งที่หนูเป็น และหนูสร้างมันขึ้นมา แล้วมันไปต่อยอด แก้ไขหรือไปช่วยคนอื่นได้บ้าง หนูเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่คนเดียว แล้วในฐานะที่หนูเป็นคนขายโลงศพ หนูจะเก็บการอยู่คนเดียวไว้ตอนตายเท่านั้น แต่เมื่อเรามีลมหายใจ เราต้องมีปฏิสัมพันธ์ และสิ่งที่มันจะเชื่อมโยงความสัมพันธ์ให้มันอยู่ตลอดรอดฝั่ง คือการที่เราเป็นแรงบันดาลใจของใคร เราเป็นความหวังของใคร และเราทำอะไรให้กับคนอื่นได้บ้าง ถึงแม้ว่าบางสิ่งบางอย่างมันอาจจะเหนื่อย แต่ถ้าเราพอใจและเต็มใจที่จะทำ หนูคิดว่ามันสะสมไปได้เรื่อย ๆ แล้ววันหนึ่งหนูก็คงจะตายอย่างมีความสุข” - นาตาเลีย เพลียแคมพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญสุดพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

คุยเรื่องเพศและฮอร์โมน กับ “คุณหมอปิแอร์” หมอต่อมไร้ท่อสุดหล่อ ที่พร้อมแชร์ความรู้แบบสุดปัง

21 ธ.ค. 2023

คุยเรื่องเพศและฮอร์โมน กับ “คุณหมอปิแอร์” หมอต่อมไร้ท่อสุดหล่อ ที่พร้อมแชร์ความรู้แบบสุดปัง

ต้อนรับแขกรับเชิญสุดพิเศษ “ผศ.นพ. สิระ กอไพศาล” หรือ “คุณหมอปิแอร์” หมอต่อมไร้ท่อสุดหล่ออารมณ์ดี ที่ได้มาแชร์ประสบการณ์ แลกเปลี่ยนมุมมองความคิด และยังได้นำความรู้ด้านเพศและฮอร์โมน มาแบ่งปัน เหมือนเป็นการเปิดคลินิกกันในรายการเลยทีเดียวแรงบันดาลใจที่เลือกเรียนเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อและฮอร์โมน“ย้อนกลับไปตอนเรียนหมอมันเรียนกว้างมากเลย แต่ว่าผมเลือกเรียนโดยที่ว่า เวลาอ่านหนังสือ ผมสามารถอ่านเรื่องนี้ได้เรื่อย ๆ ซึ่งเรื่องฮอร์โมน ถ้าใครได้อ่านจะรู้ว่ามันจะเป็นกลไก ฮอร์โมนนี้หลั่งสิ่งนี้ไปอวัยวะนี้เพื่อไปควบคุมอันนี้ ซึ่งเราเรียนแล้วเข้าใจง่าย ก็เลยเลือกมาเรียนฮอร์โมนและอีกหนึ่งสาเหตุที่เลือกเรื่องฮอร์โมนเพศ มาจากที่ผมมองว่า เรามีพี่น้อง LGBTQ+ ในประเทศไทยเยอะมาก แต่มีคุณหมอที่ดูแลน้อยมากเลย ในตอนที่ผมไปเรียนที่อเมริกา มันจะมีงานประชุมวิชาการประจำปี ที่รวมหมอหลาย ๆ คนทั่วโลก มาพรีเซนต์งานวิจัยที่ตัวเองทำอยู่ ซึ่งผมก็สนใจเรื่องเกี่ยวกับทรานส์เจนเดอร์ แล้วในตอนที่ผมพรีเซนต์ ก็มีคนเข้ามาหาแล้วถามว่ามากจากประเทศไทยเหรอ แสดงว่าต้องเชี่ยวชาญมากเลยใช่ไหม เพราะในตอนนั้นการผ่าตัดข้ามเพศที่ประเทศไทยดังมาก แต่คำตอบของผมคือ ผมไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้ว่าใครเป็นคนดูแลคนกลุ่มนี้ ใครเป็นคนปรับฮอร์โมนให้พวกเขา ใครเป็นคนคอยดูแลเรื่องสุขภาพ วันนั้นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้น ให้ผมตัดสินใจเรียนเกี่ยวกับฮอร์โมนเพศ เพราะในเมื่อบ้านเรามีทรัพยากรเยอะมาก ทำไมเราไม่มาพัฒนาให้ดีขึ้น พอกลับเมืองไทย 3-4 ปี ผมก็มาดูแลด้านนี้เลย”เพศในคนเรา ไม่ได้มีเพศเดียว“ต้องบอกก่อนว่าเพศในคนเรา ไม่ได้มีแค่เพศเดียว ในตัวเราจะประกอบไปด้วย เพศกำเนิดเกิดมามีอัณฑะเป็นเพศชาย เกิดมามีรังไข่เป็นเพศหญิง สองคือ อัตลักษณ์ทางเพศ คือตัวตนจริง ๆ ข้างในของเราว่าเป็นเพศอะไร ไม่ใช่แค่เพศชายหรือเพศหญิง อาจจะอยู่กึ่งกลางระหว่างเพศชายกับเพศหญิง หรือบางคนบอกว่าตัวเองไม่มีคำจำกัดความในคำว่าชายหรือหญิง มันก็เป็นอัตลักษณ์หนึ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ สามภาษาทางการแพทย์เราเรียกว่า Sexual Orientation หรือว่า รสนิยมทางเพศ ที่บ่งบอกว่าเราชอบใคร และยังสามรถแบ่งได้อีกว่าอยากมีเพศสัมพันธ์กับใคร หรือว่าอยากมีโมเมนต์โรแมนติกกับใคร อันนี้คือรสนิยมทางเพศ อีกอย่างหนึ่งคือ Gender Expression หรือ การแสดงออกทางเพศ เช่น วันนี้ผมแต่งตัวใส่แจ็คเก็ตมา เพราะผมอยากให้ทุกคนรู้ว่าผมเป็นเพศชาย เป็นต้น ซึ่ง เพศกำเนิด อัตลักษณ์ทางเพศ รสนิยมทางเพศ แล้วก็การแสดงออกทางเพศ ไม่จำเป็นต้องไปทางเดียวกันเลย มันสามารถแยกกันได้แบบสุด ๆ เพราะฉะนั้นเราเลยมี Bisexual ที่จริง ๆ เป็นผู้ชายข้างใน แต่สามารถรักได้ทั้งสองเพศ เรามีทอม ที่เค้าชอบผู้หญิง แล้วเค้าอยากให้มีความเป็นชายในตัวนิดนึง แต่เค้าไม่ได้อยากมีร่างกายที่ข้ามไปเป็นเพศชายเลย เป็นต้น ที่เป็นแบบนี้เพราะเมื่อทั้ง 4 เพศ มารวมกันในหนึ่งคน มันกลายเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นอย่างเลย และกลายเป็นที่มาของคำว่า หลากหลายทางเพศ”“ยาคุมกำเนิด” ไม่แนะนำให้ใช้ในการข้ามเพศ“การทานยาคุมกำเนิด ถามว่ามันทานแล้วสวยมั้ย เนียนมั้ย ตอบเลยว่ามันสวย เพราะว่าในยาคุมกำเนิดก็เป็นฮอร์โมนเพศหญิง เพียงแต่ยาเม็ดคุมกำเนิดชื่อของมันก็บอกอยู่แล้ว เหตุผลที่เราให้กินยาคุมกำเนิดก็เพื่อที่จะคุมกำเนิด เพราะฉะนั้นรูปแบบฮอร์โมนเพศหญิงในยาคุมกำเนิดมันจะเป็นแบบที่ค่อนข้างแรง เพื่อที่จะกดการตกไข่ในเพศหญิงในขณะที่หลักการให้ฮอร์โมน เช่น คุณผู้หญิงที่หมดประจำเดือน หรือคุณผู้หญิงที่รังไข่ไม่ทำงานตอนเด็ก ๆ หรือหญิงข้ามเพศ เราไม่ได้ต้องการยาที่มันเยอะจนไปกดการตกไข่ เพราะเราไม่ได้ต้องการคุมกำเนิด เราแค่ให้ฮอร์โมนทดแทนเพื่อให้ร่างกายมีฮอร์โมนเพียงพอ ซึ่งมันคนละหลักการกันเลยสาว ๆ ที่กินยาคุมกำเนิด เวลาเจาะเลือด แล้วส่งเลือดไปตรวจในห้องแล็ป มันจะไม่สามารถวัดระดับฮอร์โมนในยาคุมกำเนิดได้ เพราะฉะนั้นกินเยอะเท่าไหร่เราไม่รู้เลย และไม่รู้เลยว่าระดับฮอร์โมนที่ได้รับมันสูงมากเท่าไหร่แล้ว ในขณะที่ฮอร์โมนที่คุณหมอแนะนำในการใช้เพื่อการข้ามเพศ มันสามารถตรวจวัดระดับได้ในเลือด เพราะฉะนั้นหากใช้ฮอร์โมนที่เหมาะสมในการข้ามเพศ คุณหมอจะสามารถมอนิเตอร์ และตรวจติดตามได้สำหรับวิธีการใช้ฮอร์โมนในการข้ามเพศที่ถูกต้อง หลักการง่าย ๆ เลยคือ เราจะให้ฮอร์โมนเหมือนกับฮอร์โมนที่ร่างกายเราสร้าง เพราะฉะนั้นในผู้หญิงข้ามเพศ เราก็จะให้ฮอร์โมนที่รูปแบบ รูปร่าง โครงสร้าง หรือวิธีการเข้าไปทำงานในร่างกาย มันเหมือนกับฮอร์โมนที่รังไข่ในเพศหญิงสร้าง ในหญิงข้ามเพศถ้ายังไม่ผ่าตัด แสดงว่าร่างกายยังมีอวัยวะที่สามารถสร้างฮอร์โมนเพศชายได้อยู่ เพราะฉะนั้นผมก็จะให้ยา 2 ตัว ตัวแรกก็คือเอสโตรเจนที่เป็นฮอร์โมนเพศหญิง อีกอันหนึ่งก็คือต้องให้ ยากดฮอร์โมนเพศชาย แต่ถ้าผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอวัยวะที่สร้างฮอร์โมนเพศชายแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องทานยากดฮอร์โมนเพศชายอีกต่อไป ทานแค่ฮอร์โมนเพศหญิงก็เพียงพอแล้วในชายข้ามเพศเหมือนกัน เกิดมาเป็นเพศหญิง แต่อยากเปลี่ยนเป็นเพศชาย มีลักษณะความเป็นชาย เราก็ให้ฮอร์โมนเพศชายที่มีลักษณะเหมือนกับที่อัณฑะสร้าง ซึ่งผมคิดว่าเหตุผลหนึ่งที่ชายข้ามเพศเข้ามาปรึกษาคุณหมอเยอะ เพราะว่าฮอร์โมนสำหรับชายข้ามเพศหายากกว่า และส่วนใหญ่ชายข้ามเพศต้องฉีดฮอร์โมนเพศเดือนละ 1-2 ครั้ง เลยต้องเข้ามาปรึกษาคุณหมอ นอกจากนี้หากในร่างกายมีฮอร์โมนเพศชายเยอะเกินไป มันจะส่งผลเสียต่อร่างกาย อย่างเช่น เรื่องเลือดข้น เพราะฮอร์โมนเพศชายมันจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดง โดยเลือดของเราเหมือนกับท่อน้ำประปา เลือดมันต้องไหลดี แต่ถ้าเลือดข้นก็เหมือนมีโคลนอยู่ในท่อ เมื่อร่างกายสร้างเม็ดเลือดมาก เลือดก็จะหนืด ทำให้เลือดไหลไปเลี้ยงสมอง เลี้ยงหัวใจ เลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ได้ไม่ดี และคนที่ใช้ฮอร์โมนเพศชายเยอะเกินไป ก็จะทำให้มีผลเสียในเรื่องของคอเลสเตอรอล ไขมันเปลี่ยนแปลง ซึ่งก็จะเป็นประเด็นที่เราต้องดูแล ส่วนเรื่องการใช้ผ้ารัดหน้าอกไม่มีผลต่อมะเร็งเต้านม ไม่ได้มีข้อมูลว่าการรัดหน้าอกทำให้เป็นมะเร็งเต้านมเยอะขึ้น แต่ส่วนใหญ่ผลข้างเคียงของการรัดหน้าอกคือ ถ้ารัดเยอะเกินไป หรือแน่นเกินไปมันก็จะกดทับจนเกิดเป็นแผลกดทับ เหมือนคนไข้นอนติดเตียง ที่นอนท่าเดิมนาน ๆ ดังนั้นถ้าเกิดรัดหน้าอกแน่นมาก เลือดก็ไหลเวียนไม่ดี และอาจจะเป็นแผลขึ้นมาได้ แล้วก็ถ้ารัดแน่นมาก บางทีหายใจไม่ออก มันก็อาจจะมีปัญหาเรื่องปอด เรื่องการหายใจตามขึ้นมาได้เวลาใช้ฮอร์โมนเพื่อการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย บางอย่างมันเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนเลย โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศชาย ถ้าร่างกายโดนฮอร์โมนเพศชายเข้าไปแล้วมันจะเปลี่ยนกลับยาก เช่น บางคนที่ใช้ฮอร์โมนตั้งแต่เด็ก ๆ กระดูกยังไม่โต เสียงยังไม่ทุ้ม ทำให้เค้ามีลักษณะที่กลายเป็นเพศหญิงเลย ในขณะที่บางคน เริ่มมาใช้ฮอร์โมนตอนอายุ 30 ซึ่งก่อนหน้านั้นร่างกายโดนฮอร์โมนเพศชายมาสักพักแล้ว เพราะฉะนั้นต่อให้ใช้ฮอร์โมนยังไงลักษณะของเพศหญิงที่แสดงออกมาก็จะไม่เท่าคนที่ใช้ฮอร์โมนมาตั้งแต่เด็ก ๆในปัจจุบันเราใช้คำว่า ยืนยันเพศ เพราะเราไม่ได้ให้ใครข้ามเป็นใคร เราไม่ได้เปลี่ยนใครเป็นใคร เรายืนยันว่าคุณเป็นเพศอะไร แล้วใช้ฮอร์โมนเพื่อการยืนยันเพศนั้น ซึ่งจะเพศไหนก็ตาม หากต้องใช้ฮอร์โมน หรือ การผ่าตัด เพื่อการยืนยันเพศ ผมแนะนำให้เข้ามาปรึกษาคุณหมอ เพราะว่ามันมีผลข้างเคียงของการใช้ฮอร์โมนหรือการผ่าตัด ซึ่งการปรึกษาคุณหมอ จะทำให้เรามอนิเตอร์ และตรวจติดตามกันได้อย่างปลอดภัย”ทานยาคุมกำเนิดแล้วหน้าใส จริงหรือไม่?“จริงครับ คุณผู้หญิงจะมีภาวะที่เรียกว่าถุงน้ำซีสต์ในรังไข่หลายใบ ซึ่งเป็นภาวะที่เจอบ่อยมาก เวลาพบเคสผู้หญิงที่น้ำหนักตัวเยอะ หน้ามัน สิวขึ้น ขนขึ้น หรือประจำเดือนมาผิดปกติ เราก็จะหาตรวจหาสาเหตุก่อน ซึ่งมักจะมีภาวะถุงน้ำซีสต์ในรังไข่หลายใบนี่แหละ ภาวะนี้เกิดจากการที่คุณผู้หญิงมีฮอร์โมนเพศชายเยอะเกินไป ทำให้มีอาการของเพศชายเกิดขึ้น มีขนขึ้น หน้ามัน ซึ่งการให้ยาคุมกำเนิดเข้าไป จะเป็นเหมือนการล้างไพ่ และผลที่ตามมาคือ จะรู้สึกว่าผิวเนียนขึ้น หน้าไม่มัน สิวน้อยลง ดังนั้นที่ถามว่า ทานยาคุมกำเนิดแล้วหน้าใสจริงไหม จริงครับ”ทานยาคุมกำเนิดเยอะ ๆ จะทำให้ “อ๊องยาคุม” จริงหรือไม่?“ผมพยายามเสิร์ชหาคำนี้มานานมาก คำว่า อ๊องยาคุม คืออะไร เพราะในทางการแพทย์ไม่มีคำว่าอ๊องยาคุม แต่เจอคนมาบ่นเยอะเลย ผมเจอหญิงข้ามเพศบางคน ทานยาคุมกำเนิด 6-7 เม็ดต่อวัน แล้วเค้าจะบอกว่ามันเบลอ ๆ แต่ทางการแพทย์ ยังไม่มีการศึกษาที่บอกแน่ชัดว่ามีภาวะนี้รึเปล่า ซึ่งในความคิดของผมคิดว่า ถ้าฮอร์โมนมันเยอะเกินไป มันคงต้องส่งผลอะไรบางอย่างในร่างกาย ซึ่งอาจจะเป็นอาการเบลอ ๆ ขึ้นมาครับ”การฉีดฮอร์โมน ดีกว่าการทานฮอร์โมน จริงไหม?“หลักการคือ เราใช้วิธีไหนก็ได้เพื่อเอาฮอร์โมนเข้าไปอยู่ในเลือดของเรา ไม่ว่าจะเป็น การกิน การฉีด หรือการทา สามารถเอาฮอร์โมนเข้าไปอยู่ในเลือดได้ทั้งหมด โดยประสิทธิภาพในการทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงแทบจะไม่แตกต่างกัน แต่ว่าการฉีดเป็นการนำฮอร์โมนเข้าสู่เลือดได้เร็วที่สุด ฉีดปุ๊บฮอร์โมนขึ้นเลย ส่วนการกินก็อาจจะทำให้ฮอร์โมนเข้าสู่เลือดเร็วกว่าการทา เพราะการทามันต้องค่อย ๆ ซึมผ่านผิวหนัง เพราะฉะนั้นถ้าเปรียบเทียบ 3 วิธี แน่นอนว่าการฉีดได้ผลเร็วที่สุด การกินก็จะเร็วรองลงมา การทาจะช้าที่สุด แต่ถ้าเปรียบเทียบในเรื่องความปลอดภัย การทาชนะเลิศเลย เพราะในเรื่องลิ่มเลือด ผลต่อโรคหัวใจ หรือโรคเส้นเลือดในสมอง การทาถือว่าดีมาก ๆ ซึ่งถ้าหากมีใครมาปรึกษาผม แล้วบอกว่าตอนนี้สูบบุหรี่อยู่ มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ น้ำหนักตัวเยอะ หรือว่าในครอบครัวมีโรคเกี่ยวกับเส้นเลือดในสมอง ผมก็จะเชียร์ให้ทาฮอร์โมน เพราะความปลอดภัยมันดีกว่ามาก ๆ”คุณผู้หญิงช่วงวัยทอง สามารถใช้ฮอร์โมนเพิ่มได้ไหม?“พอคุณผู้หญิงเข้าสู่วัยทอง คำว่าวัยทองคือรังไข่ไม่สร้างฮอร์โมน เพราะฉะนั้นร่างกายก็จะไม่มีฮอร์โมนเพศหญิงหลงเหลืออยู่เลย อาการของวัยทองก็จะร้อนวูบวาบ หงุดหงิดง่าย ช่องคลอดแห้ง มีเพศสัมพันธ์ไม่ได้ บางคนมีปัสสาวะกระปริดกระปอย ถ้ามีอาการมาก แนะนำให้มาปรึกษาคุณหมอ เพื่อปรึกษาการใช้ฮอร์โมนทดแทนได้แต่ไม่ใช่ว่าผู้หญิงวัยทองทุกคนจำเป็นต้องใช้ฮอร์โมน เนื่องจากมันมีผลข้างเคียงของฮอร์โมน อันดับแรกเลยคือ การใช้ฮอร์โมนทดแทนในคุณผู้หญิงที่อายุเยอะหลังวัยหมดประจำเดือน จะเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมได้ นอกจากนี้หากใช้ฮอร์โมนทดแทนในคุณผู้หญิงอายุ 60 ปีขึ้นไป ก็เพิ่มโอกาสเกิดโรคหัวใจ และโรคเส้นเลือดในสมองมากขึ้นได้ ก็ต้องมานั่งวิเคราะห์กันว่าอาการที่เป็นมันรบกวนชีวิตมากจนถึงขั้นต้องไปเสี่ยงเป็นโรคเหล่านี้รึเปล่า ต้องประเมินเป็นราย ๆ ไปครับ”ผลข้างเคียง หากใช้ฮอร์โมนไม่เหมาะสม“อันดับแรกเลยคือ โอกาสในการเกิดโรคลิ่มเลือดดำอุดตันเพิ่มขึ้น มีช่วงหนึ่งที่วัคซีนโควิดกำลังบูม มันจะมีข้อมูลที่บอกว่าฉีดวัคซีนชนิดนี้ระวังลิ่มเลือดอุดตัน และนี่คือผลข้างเคียงของการใช้ฮอร์โมนด้วยเช่นกัน โดยการใช้ฮอร์โมนเพศ สามารถเพิ่มโอกาสเป็นลิ่มเลือดดำอุดตันได้ อย่างในคุณผู้หญิงที่กินยาคุมกำเนิดเพื่อจะป้องกันการตั้งครรภ์ ก็มีโอกาสที่จะเป็นลิ่มเลือดดำอุดตันมากขึ้นประมาณ 2-5 เท่าแล้วการทานฮอร์โมนนาน ๆ มีผลต่อตับ และ ไต หรือไม่ จริง ๆ แล้วร่างกายสามารถเคลียร์ออกได้ แต่ในยาบางชนิด เช่นยากดฮอร์โมนเพศชาย ก็อาจจะทำให้มีอาการตับอักเสบได้ เหมือนเรากินยาพารา หรือไปดื่ม ที่สามารถรบกวนการทำงานของตับได้ เพราะฉะนั้นทุกหกเดือนถึงหนึ่งปี ควรไปพบแพทย์ เพื่อเจาะตรวจค่าตับว่ามีผลข้างเคียงรึเปล่า ส่วนเรื่องไตแทบจะไม่มีผลเลยนอกจากนี้มีข้อมูลบอกว่า การใช้ฮอร์โมนอาจจะเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคหัวใจ และโรคเส้นเลือดในสมอง เพราะฉะนั้นถ้าใครมีปัญหาเรื่องความดัน มีภาวะของโรคเบาหวาน หรือมีปัญหาเรื่องไขมัน ก็ต้องมีการคุมควบคุมการใช้ฮอร์โมนให้ดี”ข้อควรรู้ ก่อนผ่าตัดเพื่อการยืนยันเพศสภาพ“เวลาคน ๆ หนึ่งเดินเข้ามาปรึกษาผม ผมก็จะทำการประเมินครั้งแรกที่เจอกันก่อนว่า อยากได้ยังไง แล้วผมทำให้ได้หรือเปล่า ถ้าผมทำไม่ได้ก็จะบอกเลยว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าผมทำได้ก็โอเค ซึ่งคำว่า การผ่าตัดยืนยันเพศสภาพ มันก็มีหลายระดับ เช่น ในหญิงข้ามเพศก็จะมีตั้งแต่ การเสริมหน้าอก นั่นก็เป็นการผ่าตัดอย่างหนึ่ง หรือ โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ อันนั้นก็เป็นหัตถการเพื่อปรับรูปหน้า ส่วนที่จะเป็นการผ่าตัดใหญ่ก็คือ การผ่าตัดช่องคลอด มันก็จะมีตั้งแต่ตัดออก บางคนตัดแค่อัณฑะเพื่อตัดอวัยวะที่สร้างฮอร์โมนเพศชายอย่างเดียว แต่ส่วนใหญ่ที่อยากทำกันก็จะเป็นการทำช่องคลอดขึ้นมา ซึ่งก็ต้องตัดอัณฑะแล้วก็ทำช่องคลอด โดยจะมีขั้นตอนค่อนข้างเยอะเหมือนการผ่าตัดใหญ่ ต้องพักฟื้น แล้วก็หลังผ่าตัดต้องทำการไดเลท เพื่อไม่ให้ช่องคลอดตีบตัน ซึ่งเป็นการดูแลที่ต้องมีรายละเอียดขึ้นมาส่วนในชายข้ามเพศ ใครที่ไม่อยากมีหน้าอกก็สามารถพิจารณาตัดหน้าอกได้ หรือว่าคนที่อยากจะทำอวัยวะเพศชาย ก็ต้องเริ่มตั้งแต่ปิดช่องคลอดก่อน ซึ่งต้องตัดมดลูก และต้องพิจารณาเรื่องการตัดรังไข่ ที่ต้องคุยกับคุณหมอเกี่ยวกับข้อดีข้อเสียต่อไป และต้องมีการสร้างองคชาติ โดย ณ ปัจจุบัน เราจะใช้เนื้อที่อวัยวะอื่นมาปั้น เช่น เนื้อที่ต้นแขน เนื้อที่ต้นขา แล้วก็ทำการยืดท่อปัสสาวะ จากนั้นก็เอาเนื้อไปสร้างเป็นอวัยวะเพศชาย ซึ่งปัจจุบันข้อจำกัดในการทำอวัยวะเพศชาย ก็อาจจะยังไม่สามารถทำให้แข็งตัวได้ เพราะว่าเนื้อเยื่อมันคือเนื้อเยื่อขา เนื้อเยื่อแขน แต่ช่วงหลัง ๆ ก็จะมีแนวคิดที่ว่าเอาแกนใส่เข้าไป เกิดเป็นเทคนิคใหม่เรื่อย ๆในปัจจุบัน ยิ่งทราบเร็วยิ่งดี คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกที่เป็นทรานส์เจนเดอร์ อยากให้พาเข้ามาปรึกษาคุณหมอได้เลย ซึ่งมีข้อจำกัดอย่างหนึ่งคือ ถ้าน้องอายุน้อยกว่า 18 ปี ต้องมีผู้ปกครองพามา เพราะฉะนั้นในครอบครัวที่พร้อมสนับสนุนก็จะพาลูกเข้ามาปรึกษาได้ ซึ่งผมเห็นแนวโน้มที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีมาก สมัยก่อนตอนที่ผมกลับมาเมืองไทยใหม่ ๆ คุณพ่อคุณแม่จะพาลูกมารักษาให้เปลี่ยนเพศกลับ แต่ช่วงนี้กลายเป็นว่า คุณพ่อคุณแม่พาลูกมาปรึกษาหมอ ในมุมมองที่ว่า ถ้าลูกอยากเป็นอะไร ให้เค้าเป็นแบบที่ปลอดภัยดีกว่า แนวโน้มของเทรนด์มันเปลี่ยนไปปัจจุบัน มีพี่น้องทรานส์เจนเดอร์ หรือ LGBTQ+ ที่พยายามรณรงค์ให้การผ่าตัดเพื่อการยืนยันเพศ เป็นสิทธิ์พื้นฐานที่เอามาอยู่ในระบบ 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งหลายคนก็อาจจะมองว่า มันไม่ได้เป็นเรื่องจำเป็นเลย แต่ถ้าหากว่าได้มาทำงาน หรือถ้าหากคุณเกิดเป็นคนข้ามเพศ หรือมีพ่อแม่พี่น้องเป็นคนข้ามเพศ ก็จะเข้าใจว่ามันเป็นวิธีการดูแลทางการแพทย์อย่างหนึ่ง ที่ช่วยชีวิตพวกเค้าได้ ซึ่งมันจะช่วยลดอาการซึมเศร้า ลดอัตราการฆ่าตัวตาย แล้วมันมีผลดีต่อสุขภาพหลาย ๆ อย่าง โดยตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการ ต้องรอติดตามในอนาคต”ผมไม่สามารถเปลี่ยนเพศใครได้ แต่สามารถทำให้สิ่งที่เค้าอยากเป็นปลอดภัยได้“หากมีคุณพ่อคุณแม่จะพาลูกมารักษาให้เปลี่ยนเพศกลับ ผมจะบอกว่า ผมทำไม่ได้ครับ ผมไม่สามารถเปลี่ยนเพศใครได้ แต่ผมสามารถทำให้สิ่งที่เค้าอยากจะเป็น ให้เป็นในเวอร์ชันที่ปลอดภัยได้ มีการศึกษาทางการแพทย์มากมายพบว่า เราไม่สามารถเปลี่ยน หรือไปจัดการกับเพศใครได้ หากเอาเด็กเพศชายที่เค้าคิดว่าตัวเองเป็นเพศหญิง ไปเลี้ยงในเด็กโรงเรียนประจำที่เป็นชายล้วน แต่งตัวเป็นผู้ชาย ยังไงสุดท้ายเค้าก็จะเป็นผู้หญิง ผมว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนใครได้ครับ” – คุณหมอปิแอร์พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

เปิดเรื่องราว กว่าจะเป็น “เอิร์ธ อติรุจ” หรือ “Aertha” ตัวแม่ ตัวมัม ตัวมารดาจากรีแอ็กชั่นล้านวิว

22 พ.ค. 2023

เปิดเรื่องราว กว่าจะเป็น “เอิร์ธ อติรุจ” หรือ “Aertha” ตัวแม่ ตัวมัม ตัวมารดาจากรีแอ็กชั่นล้านวิว

รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญตัวแม่ ที่โด่งดังเป็นพลุแตกจากการรีแอคชั่นที่ให้ข้อมูลแน่นยิ่งกว่าเลคเชอร์ในห้องเรียน การันตีล้านวิวในชั่วข้ามคืน!! กับปรากฎการณ์การรีแอคซีรีส์แบบใหม่ แบบสับ แบบไม่เคยมีมาก่อนเรื่องราวเปี่ยมแรงบันดาลใจเริ่มขึ้น หลังจากสองดีเจสุดแซ่บ ดีเจพี่อ้อย และ ดีเจก็อตจิ เปิดไมค์กล่าวต้อนรับ “เอิร์ธ อติรุจ” เจ้าของคลิปรีแอ็คชั่นสุดไวรัลที่ได้รีแอ็คถึงซีรีส์ The Interns ในแง่มุมการแพทย์แบบถึงพริกถึงขิง จนกลายเป็นคลิปล้านวิวในชั่วข้ามคืน ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ มีหลากหลายเรื่องราว หลากหลายแรงบันดาลใจ ที่ เอิร์ธ ได้เอามาแชร์ให้ฟังในรายการเผยที่มา กว่าจะเป็นคลิปรีแอคสุดปังจากช่อง “Aertha Channel”เรียกว่าเป็นคลิปดัง ที่ทำให้ชื่อ เอิร์ธฐา กลายเป็นที่รู้จักของแฟน ๆ หลังจากที่ได้ปล่อยคลิป รีแอ็คชั่นซีรีส์ The Interns หมอมือใหม่ ที่มีลีลาการรีแอคแบบใหม่แบบสับ จนจับใจแฟน ๆ โดย เอิร์ธ ได้เล่าที่มา กว่าจะเป็นคลิปดังกล่าวให้ฟังว่า “มันเกิดจาการที่เราไปเห็นป้ายปิดของละครเรื่องนึง เป็นซีรีส์เกี่ยวกับหมอนี่แหละที่พูดว่า ถ้าไม่จำเป็นอย่าอยู่เวรติดกันหลายวัน จุดนั้นเลยที่ทำให้เรารู้สึกว่า ต้องออกมาพูดอะไรสักหน่อยคือมันขัดกับความเป็นจริงหลายอย่างมาก เพราะไม่มีหมอคนไหนที่อยากที่จะอยู่เวรติดกันหลายวัน หนึ่งเลยคือด้วยตัวของเราเองไม่สามารถที่จะ Active ในการใช้ชีวิตได้เกิน 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว การทำงานเต็มที่ 8 ชั่วโมงคนปกติก็เหนื่อยแล้ว ยิ่งเราต้องใช้ชีวิตร่วมกับการตัดสินใจที่เครียด กดดัน กับการที่ต้องรับภาระเกี่ยวกับชีวิตคน 8 ชั่วโมงเนี่ยถือว่าเยอะมากแล้วพี่ ถ้าเกิดว่าเราลืมตาใช้ชีวิตตลอด 24 ชั่วโมง ที่เหลือเราคงน็อคความเป็นจริงเราเลยไม่มีใครอยากที่จะทำงานฝืนขีดจำกัดความเป็นมนุษย์ ความเป็นตัวเอง คือเข้าใจเจตนาเขาคงต้องการจะสื่อว่า ความเป็นจริงมีหมอที่จะอยู่เวรติดกันหลายวันนะ เพราะปริมาณหมอไม่พอ แต่ว่าป้ายปิดอาจจะทำให้คนเข้าใจว่าหมออยากที่จะอยู่เวรหลายวัน เพราะว่าอยากได้เงินรึเปล่า อยากนั่นนี่รึเปล่า เลยต้องออกมาพูดนิดนึงการรีแอคนี้ถือเป็นครั้งแรกเลย เมื่อก่อนก็ทำเกี่ยวกับรีแอคเล่น ๆ กับเพื่อน เกี่ยวกับละครเก่า ๆ ที่เราโตมาด้วยกับมันอยู่แล้ว มันเลยอินกับสิ่งที่รีแอค และตัดสินใจทำรีแอคซีรีส์ในวันนั้น”เลือกเรียนหมอ เพราะอยากช่วยเหลือคนไข้ย้อนกลับไป เอิร์ธ เคยเป็นนักศึกษาแพทย์ และเคยทำงานเป็นหมอมาก่อน ซึ่งเอิร์ธ ได้เล่าเหตุผลที่ตัวเองเลือกเรียนคณะแพทยศาสตร์ ให้เราฟังว่า “ก่อนหน้านี้เป็นคุณหมอ จนถึงต้นเดือนมกราปีนี้ (พ.ศ. 2566) เป็นหมออยู่สองปีกว่าเกือบสามปีครับ ก็ต้องยอมรับว่าในทุกวันนี้เป็นหมอมันลำบาก มันเป็นยาก แล้วก็ด้วยบริบทของสังคมเองด้วย ภาระงานด้วย แล้วก็สิ่งแวดล้อมในที่ทำงานด้วย ไม่ได้เอื้อให้เราอยากที่จะเป็นหมอในระบบ จริง ๆ แล้วเราชอบอาชีพหมอมาก ๆ เลยต้องย้อนกลับไปก่อน 10 ปีที่แล้ว อาชีพหมอเป็นอาชีพที่เด็กเก่งต้องเรียน เป็นค่านิยม เพื่อน ๆ ในห้องก็พูด เธอเรียนเก่งเธอไปเป็นหมอสิ ใครเรียนหมอโรงเรียนก็จะขึ้นป้ายให้ ได้รับความนิยมชมชอบได้รับการยอมรับจากสังคมก็เลยสอบกับเขาการเรียนหมอ 6 ปี จริง ๆ ก็ไม่ได้ชอบนะครับ ตอนนั้นรู้สึกกลาง ๆ แต่ที่คณะเขาจะปลูกฝังให้เรามีความชอบความรักในอาชีพนี้ตั้งแต่ตอนปี 1 เลย ซึ่งเอิร์ธเพิ่งรู้สึกอิน รู้สึกชอบตอนประมาณปี 5 หรือ ปี 6 ที่ได้มาดูแลคนไข้จริง ๆ สภาพแวดล้อมจะปลูกฝังให้เรารักในอาชีพนี้เอง เราก็เลยรู้สึกภูมิใจกับอาชีพ พอเรียนจบต้องไปใช้ทุนก่อน เนื่องจากเป็นโครงการที่ใช้ทุน เพราะว่าหมอขาดแคลน เลยมีโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน ก็คือหมอต้องไปอยู่ในชุมชนที่ตัวเองเกิดมา ตอนนั้นจังหวัดบ้านเกิดอยู่ที่ร้อยเอ็ด และพอจบมาแล้วไม่ได้อยู่ในโควตา ก็ต้องจับฉลากไปลงว่าจะไปลงที่ไหนในการเรียนต้องใช้คำว่าเปิดใจรับกับสิ่งใหม่ ๆ พอเราเรียนไป เชื่อว่าสุดท้าย ปี 3 ปี 4 การตัดสินใจมันยาก เราก็เลยเปิดใจยอมรับแล้วก็อยู่กับมัน เพราะว่าทางเลือกของเราไม่ได้มีเยอะ ก็เปิดใจเปิดรับแล้วก็ชอบ จริง ๆ แล้วก็ชอบอาชีพหมอเหมือนกัน จะตอบให้โลกสวยก็ได้ เพราะว่าได้ช่วยเหลือคนไข้ และภูมิใจเวลาเห็นคนไข้อาการดีขึ้น คือถ้าอยู่ต่างจังหวัด ต่างอำเภอ เราจะรู้สึกยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของคนที่เข้าถึงการรักษาได้ยากเอิร์ธเรียนจบรุ่นโควิดพอดี จบมาก็เจอโควิดเลย อินเทิร์นหนึ่งยังไม่เท่าไหร่เพราะอยู่ในโรงพยาบาลจังหวัดมีคนดูแล พอช่วงระลอกสองช่วงที่มันพีคเนี่ย ต้องไปอยู่ในชุมชนที่อยู่หน้างานดูแลเลย ไม่มีอายุรแพทย์ อยู่ที่นู่นคนไข้เยอะมากนะครับ โดยเฉพาะคนไข้โควิดวันละสองสามร้อยคนที่ต้องอยู่ในโรงพยาบาล หรือว่าโรงพยาบาลสนามอีก มันต้องดูหมด ทั้งที่อาการหนัก และก็ไม่หนัก เพราะว่าอุปกรณ์เราก็ไม่พร้อม บุคลากรเราก็ไม่พอ เรื่องการส่งต่อคนไข้ก็ยาก ตอนนั้นเห็นปัญหาหลายอย่างจริง ๆ ทั้งโครงสร้างทางสังคมแล้วก็คนไข้หนักโควิด ก็ต้องสู้สุดชีวิตที่อยู่ในโรงพยาบาลชุมชน มีทั้งแบบได้ไปต่อ แล้วก็มีทั้งยอมที่จะไม่ได้ไปต่อเพราะว่าการส่งต่อก็ลำบากโรงพยาบาลจังหวัดเองก็ไม่มีที่ให้อยู่”เหตุผลที่ไม่ก้าวต่อกับอาชีพหมอเมื่อเรียนจบ เอิร์ธ ได้ทำอาชีพหมออยู่เกือบ 3 ปี และตัดสินใจลาออกจากการเป็นหมอ โดยได้เล่าเหตุผลในการตัดสินใจครั้งนี้ว่า “อย่างที่บอกไปว่าหมอในทุกวันนี้มันยากนะ ทั้งเรื่องของภาระงานเยอะกว่าเมื่อก่อนมาก คนไข้เยอะกว่า ความซับซ้อนเยอะกว่า และการฟ้องร้องก็เยอะกว่า แล้วก็ด้วยความที่คนไข้เยอะขึ้นภาระงานก็เยอะขึ้น แล้วค่าตอบแทนก็น้อย สภาพแวดล้อมก็ไม่ได้เอื้อที่ทำให้เราอยากเป็นหมอเยอะขึ้นจริง ๆ เสียดายนะ แต่ว่าความชอบความรักมันไม่พอ ก็เหมือนเรารักในวิชา แต่เหมือนเรารักเขาข้างเดียว เหมือนเราทำงานอย่างเดียวแต่สิ่งที่ตอบแทนมาคือเขาไม่ได้เห็นเราเป็นคนรัก เขาไม่ได้ตอบแทนเราเหมือนเราเป็นคนรักของเขาด่านแรกเลยที่จะออกจากราชการ ต้องเรียกว่าของทุกคนแหละไม่ใช่กับเราอย่างเดียว ที่มักจะเจอคำถามว่า พ่อแม่มีสิทธิ์ข้าราชการรึเปล่า แล้วก็อาชีพหมอเนี่ยไม่เสียดายเหรอ พ่อกับแม่จะว่ายังไง สำหรับเราโชคดีที่พ่อกับแม่เข้าใจ แล้วก็ยอมรับในการตัดสินใจของเรา คือที่ตัดสินใจลาออกเนี่ยคิดหลายอย่างนะครับ มันไม่ใช่ปุ๊บปั๊บเราลาออกเลย มันผ่านการต่อสู้ด้วย ผ่านการพูดคุยกับทั้งผู้บริหารเอง เรื่องขององค์กรเอง เราไปมาหมด แล้วไม่มีคำตอบที่เราคิดว่ามันเหมาะกับเรา เราก็เลยเดินออกมา ถามว่าหมอคนหนึ่งทำงาน 24 ชั่วโมงไม่เหนื่อยเหรอ ทำไมวันต่อมาไม่หยุดล่ะ ต้องบอกว่าเราหยุดไม่ได้ เพราะว่าโรงพยาบาลก็เปิดทุกวัน ไม่มีวันไหนที่คนไข้ไปโรงพยาบาลแล้วไม่เจอหมอ เพราะฉะนั้นถ้าเราหยุดคือไม่มีคนอยู่โรงพยาบาล แล้วก็ด้วยสังคมเรา เราอยู่กันแบบ seniority อะครับ เรามีชนชั้นของหมออยู่ มันก็เลยทำให้เรารู้สึกไม่ Comfort กับการอยู่ในองค์กร แล้วก็เคย feedback ไปแล้วมันไม่ได้รับสิ่งที่เราอยากจะเปลี่ยนแปลง เราก็เลยเดินออกมา”สิ่งที่เอิร์ธอยากเห็น ในแวดวงของการแพทย์มีหนึ่งคำถามจากดีเจที่ว่า ในฐานะบุคลากรทางการแพทย์คนหนึ่ง สิ่งที่อยากเห็นในแวดวงของการแพทย์คืออะไร? เอิร์ธ ได้ตอบคำถามนี้ว่า “เราอยากเห็นสังคม หรือหัวหน้างานมองเราเป็นคนที่ทำงาน เราอยากเห็นสังคมการทำงานที่มองเราเป็นมนุษย์ คือมนุษย์เราทำงาน อาจจะต้องทำงานอย่างเต็มที่สุดความสามารถ ซึ่งต้องอยู่ในระยะเวลางานที่เหมาะสม แล้วก็คนเรามันต้องกินต้องใช้ก็ต้องได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมด้วย แล้วก็ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสม ทุกวันนี้ในวงการหมอเอง ก็มองเราไม่เท่ากัน อย่างเช่นฉันเป็นหมอไปเรียนต่อเป็นเฉพาะทางแล้วฉันก็จะอยู่สูงกว่า อยู่สูงกว่าเธอ ซึ่งมันเป็นแบบนั้นด้วยสังคมของเราแต่ถ้าใครรัก ถ้าใครชอบ แล้วอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี อยู่ใน Work Life Balance ที่ดี อาชีพหมอก็เป็นอาชีพที่ดีเลยครับ”มุมมองของการเป็น LGBTQ+ กับอาชีพหมอมีอีกหนึ่งคำถามจากดีเจที่ว่า การที่เราเป็น LGBTQ+ เป็นหนึ่งปัญหาของการเป็นหมอไหม? เอิร์ธ ได้ตอบคำถามนี้ว่า “จริง ๆ ไม่เป็นปัญหาเลย LGBTQ+ เนี่ยอยู่ได้ เรียกว่าหมอเป็นอาชีพที่ privileges อย่างหนึ่งที่คนให้การยอมรับ ก็ต้องขอบคุณสังคมที่ยอมรับในอาชีพ เดี๋ยวนี้หมอผู้หญิง, ผู้ชาย หรือว่า LGBTQ+ เนี่ยถือว่าเท่าเทียมกัน ในต่างจังหวัดคนไข้ให้เกียรติมาก เรียกคุณหมอได้เลยคำว่า LGBTQ+ เมื่อก่อนสมัยที่เอิร์ธเรียน หลักสูตรเอิร์ธนะ LGBTQ+ คือความผิดปกติทางเพศเป็น Gender Identity Disorder เป็นโรค แต่ว่าเดี๋ยวนี้ WHO หรือว่าวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีการศึกษาที่เยอะขึ้น LGBTQ+ เขาให้คำนิยามว่าคือ ความหลากหลาย เป็นเหมือนความแตกต่างที่สมองเราโปรแกรมมา เหมือนเรามีนิ้วยาวกว่าคนอื่น ซึ่งมันไม่ได้ผิด แต่มันเป็นความแตกต่าง นี่คือสิ่งที่วิทยาศาสตร์นิยาม LGBTQ+ ในปัจจุบัน มันไม่ใช่โรค แต่มันคือความแตกต่าง ทุกวันนี้วิทยาศาสตร์ยอมรับแล้วว่าเราคือความแตกต่างซึ่งดีมาก ๆ เลยอีกอย่างหนึ่งเรื่องการยอมรับของ LGBTQ+ เด็ก ๆ เราจะรู้ว่าเราเป็นเพศอะไร รู้จักเรื่องเพศตอนประมาณ 3 ถึง 5 ขวบ แต่ว่าสิ่งที่เราจะแสดงเรื่องของเพศสภาพการแสดงออกของเรา ก็ตอนเราเข้าสู่วัยรุ่น เพราะฉะนั้นไม่เกี่ยวกับการเลี้ยงดู ไม่เกี่ยวกับว่าเราเลี้ยงลูกไม่ดีหรือเปล่าขาดความอบอุ่นหรือเปล่าลูกถึงเป็น อันนี้ไม่ใช่ มันคือโปรแกรมในสมองเรา มันกำหนดมาแล้วว่าเราจะต้องเป็นแบบนี้ จริงๆ เขาไม่รู้จะแสดงออกยังไงมากกว่า ซึ่งเขารู้อยู่แล้วแหละ orientation เขาคืออะไร แต่ด้วยสังคมบางอย่างทำให้เราไม่สามารถแสดงออกสิ่ง ๆ นี้ได้ แล้วสิ่งที่ทำให้ LGBTQ+ อยู่ในสังคมได้อีกอย่างหนึ่งก็คือกฎหมายครับ ก็คิดว่าปีนี้จะได้เห็นสมรสเท่าเทียม เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ LGBTQ+ ได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม เพราะสิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าสังคมยอมรับเราแน่ ๆ เลยก็คือกฎหมาย ถ้ากฎหมายยอมรับว่าเราเป็นมนุษย์เท่ากัน LGBTQ+ ก็จะเท่ากันในประเทศไทย”ดารา พิธีกร อีกหนึ่งความใฝ่ฝันของเอิร์ธอีกหนึ่งความฝันที่เป็นแพชชั่นในการทำคลิปรีแอคสุดปังของเอิร์ธ คือการเป็น ดารา พิธีกร โดยเอิร์ธ ได้แบ่งปันแรงบันดาลใจเรื่องนี้ว่า “วันนี้เอิร์ธเป็นอินฟลูเอนเซอร์ด้วย เป็นดาราด้วย ซึ่งก็พูดไม่เกินไปเพราะว่าเดี๋ยวจะลงจอแก้ว มันคือความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กของ LGBTQ+ หลาย ๆ คน ซึ่งก็ก็ต้องบอกเลยว่าเริ่มจากการรีแอ็คซีรีส์เรื่องนั้นแหละ ก็คือแจ้งเกิดเลยวงการบันเทิงเป็นวงการที่สนุก และสามารถเป็นกระบอกเสียงให้อะไรกับสังคมได้เยอะ ถ้าเรามีแพชชั่น อย่างที่เห็นในรีแอ็คก็พยายามที่จะสอดแทรกเรื่องของการแพทย์บ้าง แล้วก็เรื่องของการขับเคลื่อนสังคมบ้าง เพราะว่าเป็นสิ่งที่เราอยากทำมาตลอด เรื่องของการให้ข้อมูลความรู้กับสังคมที่มันยังขาดหายไป ซึ่งเป็นความรู้ที่เป็นพื้นฐานหมดเลยครับเรื่องข้อมูลทางการแพทย์เนี่ย ส่วนใหญ่ถ้าเกิดทำมาเป็นสื่อ ก็ควรที่จะถูกต้อง 100% เลย เพราะว่าเราเป็นสื่อที่ต้องให้ความรู้ที่ถูกต้องกับสังคม อย่างอื่นสามารถตัดแต่งเติมสีได้เพราะหมอก็เป็นคนปกติทั่วไปหลังจากที่รีแอ็คออกไปก็มีติดต่อมาเยอะ มีทางรองผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ชื่อดังติดต่อให้ไปออกรายการ ก็ไปร่วมพูดคุยกับเขาว่ามันเป็นยังไง สามารถพัฒนาแนวทางของซีรีส์ได้ไหมแล้วก็อนาคตจะปรับปรุงยังไง คือเขารับฟังความคิดเห็น เพราะว่ามันก็ใหม่สำหรับวงการบันเทิงไทยสำหรับเรื่องแบบนี้”มุมมองความแตกต่างของซีรี่ส์ไทย และ ต่างประเทศจากที่ได้ทำคลิปรีแอคชั่นชีรีส์มาเยอะ และได้มีโอกาสพูดคุยกับทีมงานผู้ผลิตซีรีส์มาหลายครั้ง ทำให้ เอิร์ธ ได้เห็นความแตกต่างของการทำซีรีส์ระหว่างของไทยกับต่างประเทศ โดยเอิร์ธ ได้แชร์ให้ฟังว่า “สำหรับซีรี่ส์เกาหลีเกี่ยวกับหมอที่เอิร์ธเคยรีแอคก็มี Hospital Playlist กับ Doctor Cha ต้องบอกว่าหมอส่วนใหญ่ที่อยู่ในเฉพาะทางนั้น ๆ เขาแคสเหมือนนะ คาแรคเตอร์เขาตรงกับอาชีพ ตรงกับเฉพาะทางเลย เขา research มาอย่างดี ว่าหมอที่เรียนเฉพาะทางอันนี้ หมอนิวโรศัลย์จะต้องมีลักษณะยังไง การพูดจายังไง แล้วก็หมอศัลยกรรมทรวงอกลักษณะการพูดเป็นยังไง การใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์ส่วนใหญ่ก็จะคล้าย ๆ กัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะบอกได้เพราะว่าไลฟ์สไตล์มันเป็นอย่างงั้นจริง ๆ ซึ่งเนื้อหาเขาย่อยมาดีมาก การทำซีรี่ส์หมอส่วนใหญ่ก็คืออาจจะชี้ให้เห็นว่า วงการสาธารณสุขเรามีปัญหาอะไรอยู่บ้าง แล้วก็อยากที่จะสนับสนุนอะไรผ่านสื่อ เพราะว่าเป็นหลายอย่างที่ส่วนกลางไม่สามารถให้เราได้ มันสร้างแรงบันดาลใจมากส่วนในไทย หลังจากที่ไปคุยกับคนเขียนบทต่าง ๆ มา พบว่าเวลาเค้าน้อยมากในการ research ครับ ด้วยเวลาเขาน้อยมันก็จะยากหน่อย แล้วก็มันก็จะมีคนเขียนที่เป็นหมอด้วยนะมาเขียนซีรี่ส์ก็จะมีความแบบสมจริงขึ้นมาหน่อย แต่มันก็มีข้อจำกัดหลายอย่างเพราะมันต้องผ่านหลายกลไกที่ทำให้ละครสนุก ซึ่งต้องปรับเป็นบทละครอีกบทมันก็จะแปลกบ้าง”ท้องไม่พร้อม อีกหนึ่งปัญหาที่เอิร์ธฐา อยากเป็นกระบอกเสียงมีหนึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ที่เอิร์ธ ได้ให้ความสำคัญ และพยายามเป็นกระบอกเสียงเกี่ยวกับเรื่องของเคส teenage pregnancy หรือการตั้งท้องไม่พร้อมในเยาวชน โดยเอิรธ์ ได้แชร์มุมมองในเรื่องนี้ให้ฟังว่า “เราสนับสนุนในสิทธิขั้นพื้นฐานของคน เราเห็นเรื่องนี้เป็น Pain Point ของสังคมไทยมานานเพราะเราอยู่ในวงการ เราเห็นการท้องไม่พร้อมเยอะมาก แล้วก็ท้องไม่พร้อมถึงขนาดกำลังจะคลอด วันนั้นคือวันที่เขาท้องไม่พร้อมแล้วเขาไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องกับสังคม ไม่ได้รับการประชาสัมพันธ์ที่เพียงพอว่าเขาจะสามารถจะจัดการท้องที่ไม่พร้อมยังไง มีคุณแม่วัยใสเยอะมากที่โรงพยาบาลชุมชน เดินมาสมมติมีร้อยคน ห้าสิบหกสิบเปอร์เซ็นต์อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะ หลาย ๆ คนยังไม่รู้ว่าเรามีกฎหมายเรื่องของการทำแท้งแล้ว ก็คือผู้หญิงทุกคนที่ท้องไม่พร้อม สามารถเข้ารับการยุติการตั้งครรภ์ได้ที่โรงพยาบาล โดยกระบวนการคือต้องผ่านการพูดคุยกับหมอหลายขั้นตอนครับ เอิร์ธมองว่าอาจจะเป็นสิทธิของผู้หญิงคนหนึ่ง หากอยู่ในสถานะที่ไม่พร้อม ไม่ว่าจะกรณีใด ๆ ก็ตาม แล้วเราคิดว่าเราไม่สามารถดูแลท้องนี้ให้ออกมาใช้ชีวิตได้อย่างเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีประสิทธิภาพในสังคมแล้ว เราสามารถเข้ามารับการยุติการตั้งครรภ์ได้เลยครับ ไม่ว่าจะกรณีใดๆเราอยากสนับสนุนให้เรื่องการป้องกันเป็นที่พูดถึงกันมากกว่า เพราะเดี๋ยวนี้เราไม่ได้พูดถึงกันเลย ยิ่งการคุมกำเนิด เดี๋ยวนี้สำหรับเยาวชนเนี่ยฟรี ยาคุมกำเนิด หรือง่าย ๆ เลย ถุงยางอนามัยป้องกันได้ที่สุด แล้วไม่ใช่กันท้องแต่กันโรคติดต่อทางเพศอื่น ๆ ด้วย อันที่สองสำหรับผู้หญิงก็จะมีการฝังยาคุม ฝังครั้งนึงอยู่ได้ 3 - 5 ปี แล้วก็ยาคุมฉุกเฉิน คือหลังจากที่เราไปประกอบกิจกรรมไปพลาดอะไรมา ร้านยาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราไม่กล้าเข้าไปซื้อยาคุมฉุกเฉินเนอะ ก็เป็นอุปสรรคนึงที่ทำให้เราเข้าถึงยาคุมฉุกเฉินยาก แต่เราต้องกล้า ดังนั้นด่านแรกที่เราต้องไปเจอก็คือเป็นคุณเภสัชกรที่ร้านขายยา ภายใน 48 – 72 ชั่วโมงแรกจะได้ผลดีที่สุดในการกินยาคุมฉุกเฉินจะช่วยคุมกำเนิดเดี๋ยวนี้มันต้องพูดกันได้แล้วว่าเซ็กส์เป็นเรื่องธรรมชาติ ต้องให้ความรู้กับเยาวชนที่ถูกต้องเพราะเขาก็ไม่ได้รับความข้อมูลได้อย่างเต็มที่เหมือนเรา เพราะฉะนั้นเราก็มีหน้าที่ให้ความรู้แล้วก็ยอมรับสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น สถาบันแรกเลยคือครอบครัว ซึ่งต้องยอมรับว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้ยังขาดการให้ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้อง”ห้องฉุกเฉิน ที่อยากให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับสิทธิ์ก่อนมีอีกหนึ่ง Pain point ที่เอิ์รธเคยเจอเมื่อตอนที่ยังเป็นหมอ ก็คือเรื่องของ ห้องฉุกเฉิน โดยเอิร์ธ ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า “เป็น Pain point อีกเรื่องคือเรื่องห้องฉุกเฉินกับหมอ เพราะว่าห้องฉุกเฉินส่วนใหญ่เราจะพูดถึงนอกเวลาราชการ ซึ่งก็จะมีคนไข้หลายรูปแบบมาเลย ถ้าฉุกเฉินจริงก็โอเคไม่เป็นไรเพราะว่ามันเป็นหน้าที่ของเรา แต่ส่วนใหญ่มันเป็นในเรื่องของการที่ไม่ฉุกเฉิน หมายถึงว่า คนไข้เป็นไข้มาแล้ววันหนึ่งอยากมาหาหมอจังเลยตอน 2-3 ทุ่ม อะไรแบบนี้ครับซึ่งในช่วงนอกเวลาราชการจะมีแต่ห้องฉุกเฉินอย่างเดียว แล้วส่วนใหญ่ก็จะมีหมอแค่คนเดียวที่ดูแลทั้งหมด ซึ่งหมอก็น้อยอยู่แล้ว บุคลากรทางการแพทย์อย่างอื่นก็น้อยด้วย พยาบาลก็ไม่พอ แล้วเทคนิคการแพทย์ หรือว่าเภสัชกรก็ไม่พอด้วย เขาก็จะรับไม่ไหวอยากให้คนไทยรู้วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น การดูแลเบื้องต้นก่อนครับ เช่นเรื่องของไข้เนี่ยมันก็ไม่ได้มีสอนในสุขศึกษาว่า ไข้มันคืออะไร ไข้มันมาจากไหน ส่วนใหญ่มันเกิดจากไวรัสเกิดจากหวัดหรือเปล่า แล้วการดูแลตัวเองเบื้องต้นยังไง สามารถซื้อยากินเองได้มั้ย สามารถมาเจอหมอในวันถัดไปได้ไหม ซึ่งส่วนใหญ่คนเป็นไข้ เป็นหวัด มาหาหมอหรือไปร้านยา ก็ได้ยาเหมือนกันจริง ๆ โครงการ 30 บาทดีมั้ย มันดีนะครับเพราะว่ามันทำให้คนที่ไม่กล้าที่จะเข้ามาโรงพยาบาลมาได้ตลอดเวลา แต่ว่ามันก็เป็น Pain point อย่างนึงเหมือนกัน เพราะเหมือนโยนภาระทุกอย่างเข้าสู่ระบบสาธารณสุขหมดเลย ไม่ว่าคนจะเป็นยังไงก็มาโรงพยาบาลได้ตลอด 24 ชั่วโมง มันก็เหมือนเป็นการผลักภาระเข้ามาที่บุคลากรการแพทย์ ซึ่งมันต้องแก้ที่อะไรหลายๆ อย่างระบบการศึกษาด้วย แล้วก็ให้ความรู้ทั่วไปกับประชากรและสังคมด้วย” - เอิร์ธ อติรุจติดตามรายการย้อนหลัง

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “มิกซ์ เฉลิมศรี” จากยูทูบเบอร์ในแก๊งหิ้วหวี สู่ศิลปินคิวทอง เจ้าของเพลง “ฟ้ารักพ่อ”

01 มี.ค. 2024

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “มิกซ์ เฉลิมศรี” จากยูทูบเบอร์ในแก๊งหิ้วหวี สู่ศิลปินคิวทอง เจ้าของเพลง “ฟ้ารักพ่อ”

"My sugar daddy หมดใจเลยที่ฟ้าให้พ่อ รักจริงไม่ได้หลอก แค่อยากจะขอให้พ่อช่วยฟ้าหน่อย เงินในบัญชีไม่พอใช้ พ่อโอนให้ฟ้าหน่อยได้ไหม และอยากได้รถคันใหม่นะคะ นะคะ นะ ฟ้ารักพ่อ"รายการ CLUB PRIDE DAY คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่ตัวแม่ เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดแซ่บ “มิกซ์ เฉลิมศรี” หรือ “Badmixy” จากบิวตี้บล็อกเกอร์สุดปัง สู่ยูทูบเบอร์ชื่อดังหนึ่งในสมาชิกแก๊งหิ้วหวี และในวันนี้เธอกำลังถูกพูดถึงในอีกหนึ่งบทบาท คือการเป็นศิลปินนักแต่งเพลง หลังจากมีผลงานเพลงสุดจึ้ง “ฟ้ารักพ่อ” เพลงฮิตติดชาร์ตยอดวิวสูงทะลุ 20 ล้านวิว ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ เธอผ่านบททดสอบของชีวิตมากมาย และมีหลากหลายแรงบันดาลใจดี ๆ ที่ได้นำมาแชร์ไว้ในรายการด้วย“เฉลิมศรี” “Badmixy” ชื่อนี้ได้แต่ใดมา“มันเริ่มจากที่หนูอยากจะสร้างตัวตนขึ้นมาบนโลกอินเตอร์เน็ต สมัยก่อนทุกคนก็มีฉายาของตัวเอง แล้วในแก๊งหิ้วหวีทุกคนมีฉายาอย่าง นิสา สะบัดแปรง หรือ เอแคลร์ จือปาก ซึ่งหนูอยู่ในแก๊งเพื่อนมานานมาก แต่ก็ใช้ชื่อแค่ มิกซ์ หิ้วหวี หลังจากนั้นพอหนูมาทำช่องของตัวเอง ก็เลยอยากมีชื่อที่คนจดจำย้อนกลับไปด้วยชื่อจริงหนูชื่อ วันเฉลิม หนูกลัวว่าถ้าเป็น มิกซ์ วันเฉลิม มันจะเป็นชื่อที่ดูธรรมะไป แล้วตอนเรียน เพื่อนหนูเคยถามหนูว่า ถ้ามีชื่อผู้หญิงจะชื่ออะไร เพราะเวลาเล่นนางงามกันเพื่อน ทุกคนจะมีชื่อเหมือนพระตั้งให้ แต่เป็นชื่อที่คิดขึ้นมาเอง ซึ่งหนูคิดไม่ออก เลยบอกเพื่อนว่าลองตั้งให้หน่อย เพื่อนก็บอกว่า เฉลิมศรีส่วน Badmixy มาจากการที่หนูชอบ Rihanna ซึ่งก่อนหน้านั้น Instagram ของหนูโดนแฮ็ค ตอนนั้นหนูใช้ชื่อ มิกซี่บิ๊กเม้าท์ หลังจากโดนแฮ็คหนูก็คิดว่าชื่อต่อไปจะชื่ออะไรดี เพราะหนูไม่อยากเป็น มิกซ์ซี่บิ๊กเม้าท์เวอร์ 2 มันดูเป็นชื่อแอคเคาท์ปลอม ก็เลยใช้ชื่อ Badmixy ก็แล้วกัน”ย้อนวัยใส ของ ด.ช.วันเฉลิม“ตอนเด็กหนูไม่มีความสามารถด้านดนตรีเลย หนูเล่นเครื่องดนตรีไม่เป็นเลยแม้แต่ชิ้นเดียว และไม่มีความสามารถเรื่องโน้ตเลย ซึ่งที่โรงเรียนก็จะมีสอนเป่าขลุ่ย หรือสอนอ่านโน้ต หนูทำไม่ได้เลย แต่หนูเป็นคนที่ชอบกิจกรรม แล้วก็ไม่ได้เป็นเด็กขี้อาย กล้าแสดงออกมาก หนูมั่นใจว่าหนูเป็นเบอร์ต้น ๆ ของห้อง สมมติว่าใครที่ไม่กล้าออกเสียง สามารถป้อนข้อมูลให้หนู แล้วหนูสามารถพูดแทนได้เลยเชื่อว่ากะเทยทุกคน ความฝันตอนเด็กคืออยากเป็นดารา หนูเป็นหนึ่งในนั้น ชอบดูละคร ชอบแสดงละครกับเพื่อน ชอบนั่งต่อบทกัน เพราะตัวเองอยากเป็นดารา ส่วนการเรียนของหนูอยู่ในระดับปานกลาง แต่หนูเป็นคนชอบไปโรงเรียน ชอบอยู่กับเพื่อน หนูโดดเรียนน้อยมาก หนูเคยโดดเรียนเพื่อไปนอนเล่นกันบ้านเพื่อน แล้วหนูมีความรู้สึกว่าไม่เห็นสนุกเลย แต่พออยู่โรงเรียนได้เห็นรุ่นพี่ ได้พูดคุยแซวคนนั้นคนนี้มันสนุกกว่า หนูเลยชอบไปโรงเรียน”มิกซ์ เฉลิมศรี กับภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงจากครอบครัว“เรื่องการยอมรับ หนูมั่นใจเลยว่าพ่อยอมรับ 100% พ่อหนูเค้ายังไงก็ได้กับลูกทุกคนเลย เพราะว่าพ่อเค้าไม่ค่อยบังคับ แต่ถ้าแม่จะเป็นแบบคล้อยตามเพื่อน ถ้าสมมติว่าลูกไปทำกิจกรรมอะไรมาแล้วเป็นที่พูดถึง อย่างเต้นแรง เค้าก็จะมาชม พอวันต่อมามีคนมาบอกว่า ลูกตุ้งติ้งเหรอ แม่ก็จะเปลี่ยนไปเป็นอีกคนที่แบบวันหลังอย่ามาตุ้งติ้งนะฉันอายคนอื่นเค้า แต่หนูก็ไม่ได้แคร์อยู่แล้วเพราะพ่อรับได้ แล้วคนอื่นไม่สามารถทำอะไรหนูได้เพราะว่าหนูมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงมากจากครอบครัว ตอนเด็ก ๆ คนอื่นอาจจะมีปมเวลาเพื่อนล้อว่าเป็นกะเทย แต่หนูมีความรู้สึกว่ากะเทยแล้วมันยังไง หนูไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่หนูเป็นมันผิด เพราะว่าที่บ้านไม่ได้ตีหรือด่าหนู แล้วสิ่งที่หนูเป็นมันไม่ผิดหรือไม่ได้เดือดร้อน ต่อให้ครูเขียนในสมุดพกว่าลูกคุณมีพฤติกรรมตุ้งติ้ง หนูก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะว่าพ่อไม่ได้มาบังคับตัวหนู ว่าต้องเป็นแบบนั้นนะแบบนี้นะในเรื่องเพื่อน หนูมีเพื่อนหมดเลยทั้งผู้ชาย ทั้งผู้หญิง ทั้งกะเทย เพราะหนูไม่เคยมีความรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยก และหนูเข้าได้กับทุกคน เวลาเพื่อนล้อ หนูก็ล้อกลับเลย เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันว่า วันหลังอย่ามาแหยมกับฉัน”เมื่อต้องหาลู่ทางทำเงินตั้งแต่เด็ก“หนูไม่เคยทราบเลยว่าครอบครัวลำบาก ตอนเด็กหนูกินแบบเต็มที่ จนมีช่วงประสบปัญหาที่แม่ชอบเล่นหวย ก็จะมีการยืมคนโน้นยืมคนนี้แล้วไม่บอกพ่อ แล้วมันประจวบเหมาะกับช่วงที่พ่อป่วยเข้าโรงพยาบาล มันก็เลยกลายเป็นว่าจากเด็กที่เคยมีเงินใช้ ก็กลายเป็นไม่ได้รวย หนูก็เลยคิดว่าเราจะช่วยตรงนี้ยังไงได้บ้างหนูก็เลยเริ่มจาก ยุคนั้นแถวบ้านเรามันยังไม่มีคนใส่บิ๊กอาย แต่หนูชอบเข้าเว็บที่เวลาคนมาเล่นก็จะมีการโพสต์รูปซึ่งต้องตาโตตาสวย หนูก็เลยไปซื้อโดยหาว่าที่ไหนถูกสุด แล้วก็รับมาขายที่โรงเรียนเลย หนูแอบขายไปเรื่อย ๆ จนถึงฤดูหนาวหนูก็ไปสำเพ็ง ไปเอาเสื้อกันหนาวมาขาย หนูจำได้เลยว่ารับมาตัวละ 20 บาท ซึ่งเป็นผ้าสำลี แต่มันต้องเอามาขายที่โรงเรียน แล้วหนูถือถุงมาใหญ่มาก คิดแค่ว่ามันต้องขายให้หมด พอครูรู้ครูก็บอกว่าห้ามเอาของมาขายที่โรงเรียน ซึ่งหนูก็เลยบอกครูว่า หนูจะไม่เอามาขายถ้ามันขายหมด ปรากฎว่าครูก็เลยช่วยกันซื้อ กับเพื่อนที่โรงเรียนช่วยกันซื้อ เพื่อที่จะไม่ให้หนูเอามาขายอีกแล้วหนูอยากมากรุงเทพเพราะบิ๊กอาย ซึ่งหนูเป็นเด็กต่างจังหวัด เวลามาหาซื้อบิ๊กอายที่กรุงเทพ พี่ที่อยู่ข้างบ้านก็จะพาไปซื้อของ ไปเดินสะพานพุทธ หนูได้กินบุฟเฟต์ที่เป็นอาหารญี่ปุ่น จนหนูมีความรู้สึกว่าทำไมบ้านเราไม่มีอะไรแบบนี้ หนูก็เลยมากรุงเทพทุกอาทิตย์ แล้วคิดว่าตัวเองเหมาะกับการอยู่กรุงเทพ”โมเมนต์นี้ ที่ทำให้รู้ว่าความลำบากเริ่มจะมาถึง“ตอนนั้นคุณแม่ต้องไปเฝ้าคุณพ่อที่โรงพยาบาล คุณพ่อความดันสูง แล้วหน้ามืดไปเลย แล้วมีโมเมนต์ที่หนูอยู่กัน 3 พี่น้อง ซึ่งต้องบอกว่าพี่ชายของหนูเค้าทำงานแล้ว เค้าต้องตื่นเช้าไปทำงาน กลายเป็นว่าพอพ่อป่วยพี่ชายต้องตื่นเช้ามากกว่าเดิม ต้องทำกับข้าวให้หนูกินตอนเช้า แล้วไปส่งไปรับหนูที่โรงเรียน แล้วหนูจำได้เลยว่า วันนั้นหนูไปสอบ GAT/PAT พอหนูกลับมา พ่อกำทองยัดใส่มือหนู ซึ่งหนูดูละครเยอะ แล้วรู้สึกว่าการที่ยื่นอะไรให้สักอย่าง มันเหมือนเป็นการสั่งเสีย หนูกลัวว่ามันจะเป็นลางอะไรรึเปล่า ตอนนั้นหนูก็ใจหวิวแล้วเข้าถึงความคิดว่า ถ้าไม่มีพ่อขึ้นมามันคงลำบากน่าดู เพราะตอนนั้นหนูไม่รู้ว่าจะหาเงินยังไง แล้วเรายังเรียนไม่จบด้วย”มิกซ์ เฉลิมศรี กับวิธีคิดที่ชอบคุยกับตัวเอง“เวลาที่หนูอกหัก หรือเศร้า หนูไม่เคยฮึบไว้แล้วไปต่อเลยนะ หนูจะบิ้วท์ให้ตัวเองเศร้าให้มากที่สุด ร้องไห้ให้เต็มที่ ดูซีรี่ส์ให้มันร้องเพื่อให้ได้ระบายออกมา แล้วทุกเรื่องในชีวิต หนูพูดกับตัวเองหมด ทั้งเรื่องแฟน เรื่องงาน หรือเรื่องต่าง ๆ สมมติว่าพรุ่งนี้มีโปรเจกต์ที่จะต้องทำ หนูก็จะนั่งคุยกับตัวเอง หรือซ้อมไปเรื่อยเลย จะพูดแบบไหน ขนาดมุมหน้าหนูก็ซ้อม แล้วก็พูดกับตัวเองว่า พรุ่งนี้เราต้องทำให้เต็มที่นะเธอ หนูไม่เคยด่าตัวเองเลย แล้วหนูจะขอโทษตัวเองเวลาป่วย ขอโทษนะที่ใช้ชีวิตหนัก จนแฟนหนูเคยคิดว่าหนูเป็นบ้า ถามว่าที่รักคุยกับใครทำปากมุบมิบ หนูก็บอกว่าคุยกับตัวเอง”ย้อนเส้นทาง ก่อนจะมาเป็นศิลปินคิวทอง“หนูเคยทำสไตล์ลิสช่วงสั้นมากเลย เพราะหนูจบสายแฟชั่น จากนั้นก็มูฟตัวเองมาเป็นเน็ตไอดอล แล้วผันตัวสู่การเป็นยูทูบเบอร์ ซึ่งคลิปที่ทำให้คนรู้จักหนู คือคลิปใช้รองเท้าแตะแต่งหน้า เริ่มจากที่เมื่อก่อนมันจะมีบิวตี้บล็อกเกอร์ดังเยอะมาก แล้วส่วนมากจะทำคลิป 15 วินาทีหมดเลย หนูก็เลยลองใช้รองเท้าแตะมาแต่งหน้าบ้าง ซึ่งจริง ๆ มันแต่งไม่ได้ แต่มันก็อยู่ที่การตัดต่อ เพราะว่ายุคนั้นต้องทำยังไงก็ได้ให้คนว้าว แล้วคลิปมันต้องสั้นที่สุด เพื่อให้คนได้แชร์ แต่รองเท้าแตะหนูซื้อใหม่นะ คลิปนั้นมีคนดูประมาณ 2 ล้าน แล้วมีฝรั่งเอาไปคัฟเวอร์ต่อด้วยจากนั้นหนูก็เข้าวงการบิวตี้บล็อกเกอร์ ขายแบบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสินค้ามันต้องโปรโมทอะไร เพราะว่ายุคนั้นมันเป็นครีมออนไลน์ แต่โจทย์ของเราคือเงิน ดังนั้นทำยังไงก็ได้ให้เราได้เงิน เราต้องทำให้ครีมมันน่าใช้ที่สุด ซึ่งหนูก็รีวิวไปเรื่อยเปื่อยตามที่ลูกค้าอยากได้แล้วก่อนที่จะมาอยู่ในแก๊งหิ้วหวี หนูแอบกลัวว่าจะเข้ากับเพื่อนได้ไหม เพราะ นิสา เค้าทำอะไรเป็นแพทเทิล แต่หนูไม่เคย หนูเป็นเพื่อนกับทุกคนได้หมด แต่ นิสา เค้าจะเป็นเป็นคนที่ทุกอย่างเป็นแพทเทิล เพราะเค้าโตมากับการทำงาน แล้วพอมาทำรายการหิ้วหวี หนูให้ นิสา ตีลังกา ให้เล่น ให้รำ ซึ่งเค้าก็ทำ พอได้มาทำงาน มาอยู่ด้วยกัน มันเลยกลายเป็นความลงตัวของแก๊งเรา”จุดเริ่มต้น บนเส้นทางศิลปิน“ตอนที่หนูอยู่กับเพื่อนที่ต่างจังหวัด พวกหนูชอบแปลงเพลง ชอบแต่งกลอนให้กัน แต่งกลอนด่ากันใน Facebook ซึ่งหนูเลยคิดว่าทุกคนทำได้ ทุกคนทำเป็น หนูก็เลยไม่คิดว่านี่คือความสามารถด้วยซ้ำเพลงแรกของหนูคือ เพื่อนไม่ไหว มันมาเป็นเพลงแรกเพราะอยากมีเพลงเป็นของตัวเองตอนนั้นหนูเห็นยูทูบเบอร์คนอื่นมีเพลงหมดแล้ว เสียเงินไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้ เราต้องทำอะไรก็ได้ให้มันดีกว่า ซึ่งเวลาแต่งเพลงหนูก็เริ่มจากเนื้อเพลงและเมโลดี้คู่กันไปเลย หนูก็ฮัมเพลง แล้วก็ส่งไปให้คนทำเพลงเลยซึ่งที่เพลงส่วนมากเป็นไวรัล อาจเพราะหนูใช้ภาษาตามยุคด้วย จะเป็นภาษาที่คนเค้าเล่นกันตามคอมเมนต์ ซึ่งภาษาที่หนูใช้บางคนอาจจะมองว่าสวย แต่สำหรับหนู หนูมองว่ามันเป็นภาษาคนที่ใช้สื่อสาร แล้วหนูชอบนั่งมอเตอร์ไซค์ หนูชอบให้ลมโต้ถึงจะนึกคำออก ถ้าอยู่ในห้องอึดอัด น้อยมากที่หนูจะนึกคำออก แล้วถ้าหนูนึกออกก็จะแบบบันทึกเสียงเก็บไว้ จนบางทีพี่ คนขับก็จะคิดว่าหนูแปลก ๆ หนูคุยกับใคร แต่หนูแค่อัดเสียงเก็บไว้ ขนาดแฟนหนูบอกว่าเราไปหาที่พักสบาย ๆ ไหมเผื่อที่รักเขียนเพลง หนูยังบอกว่าคิดไม่ออกหรอกช่วงหลัง ๆ เริ่มมีลูกค้าขอให้แต่งเพลงยอะมาก ซึ่งหนูจะเลือกทำให้ก็ต่อเมื่อถ้าชั่วโมงนั้นหนูคิดออกหนูรับ แต่ถ้าหนูคิดไม่ออกคือไม่รับ อย่างเช่นลูกค้าอยากให้ทำเพลงให้ขนม แล้วบรีฟว่าอยากได้เพลงแบบไหน เราก็จะวางสายหายไปชั่วโมงนึง แล้วก็ส่งให้ลูกค้าเลย ถ้าลูกค้าโอเค หนูถึงจะรับทำต่อ”กว่าจะเป็น เลือดกรุ๊ปบี เพลงแจ้งเกิด “เอิ้ก ชาลิสา”“ยายเอิ๊กเค้าเป็นคนชอบร้องเพลงมาก หนูก็เลยถามว่า เจ๊อยากมีเพลงไหมสนุก ๆ เค้าก็บอกว่ายังไม่อยากสนุก อยากได้เพลงที่หวาน ๆ เศร้า ๆ อยากเป็น อิ้งค์ วรันธร อยากร้องเพลงที่ผู้ชายฟังแล้วรู้สึกว่าเราตัวเล็กน่ารัก คุยกันแค่นั้นเลย แล้วหนูก็บอกว่างั้นเอาเลือดกรุ๊ปบีมาแต่งต่อยอดไหม เพราะว่าใน Tiktok มันกำลังไวรัล เลยถามว่าเลือดกรุ๊ปบี อยากจะให้ตีความเป็นแบบไหน เอิ้ก ก็เลยบอกว่า ที่ไม่มีแฟนอาจจะเป็นเพราะเลือดกรุ๊ปบีรึเปล่า หนูเลยขยายความให้มันกว้างขึ้นโดยการโทษเบอร์ โทษราศี โทษทุกอย่างแต่ไม่โทษตัวเองเลยก่อนจะปล่อยเลือดกรุ๊ปบี หนูคิดว่าเพลงนี้แมส แต่ไม่คิดว่าดังขนาดนี้ หนูคิดว่าหลาย ๆ คนต้องชอบ เพราะว่าหนูตั้งใจให้มันแมสด้วยเมโลดี้ พอปล่อยเพลงออกมา กลายเป็นว่ายอดวิวสูงมาก แล้วคนก็เล่นใน Tiktok เยอะมาก เจอผู้ชายร้องตามผับ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า เพลงนี้ใครร้อง หรือว่าใครแต่ง จนได้ไปออกตามรายการสัมภาษณ์ เค้าถึงรู้ว่าเพลงนี้หนูเป็นคนแต่ง ซึ่งหนูแต่งชั่วโมงเดียวหนูรู้สึกดีใจกับเอิ้ก ก่อนหน้านั้นเค้าเป็นคนขี้อายแล้วไม่ทำอะไรเลย เมื่อก่อนกว่าเค้าจะมาออกช่องหนู หนูต้องขอเอาเค้ามาออก จนหนูบังคับเค้าว่า เจ๊ทำช่องตัวเองเถอะ ตัวเองก็เป็นคนพูดสนุก ทำรายการตัวเองได้แล้ว พอเค้าทำรายการตัวเอง เราก็สบายใจแล้ว แต่กว่าจะลุกมาทำรายการตัวเอง กว่าจะอัดแต่ละอาทิตย์ กว่าจะปล่อยเพลงมันนานมาก แต่พอเค้าดังปุ๊บ เค้าจะได้รู้แล้วว่าต้องทำยังไงต่อกับชีวิต ซึ่งหนูก็ดีใจกับเอิ้ก”ฟ้ารักพ่อ เพลงสุดไวรัล จาก มิกซ์ เฉลิมศรี“หนูเป็นคนที่ชอบฟังเพลงดิสโก้ ก็เลยอยากลองทำเพลงเร็ว แล้วด้วยความที่หนูเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ปล่อยหนึ่งเพลงมันเฉยไป เราต้องปล่อยเป็นอัลบั้ม หนูก็ใช้เทคนิคของหนูไปเรื่อย ด้วยการปล่อยท่อนฮุคไปก่อน ปล่อยไปเรื่อย ๆ ทำให้คนอยากฟังเพลงเราหนูปล่อยเพลง ฟ้ารักพ่อตอนตี 2 เพราะคนตัด MV หนูยังไม่เสร็จ แต่พอหลังเที่ยงคืน แฟนคลับทักมาเยอะมากว่าเมื่อไหร่จะปล่อยเพลง แล้วหนูรำคาญมาก เลยโทรบอกคนตัดว่าเอามาปล่อยเลย แล้วไฟล์ที่มาปล่อยลง Youtube ไม่ได้เป็นมาสเตอร์ด้วย ฟังกันไปอย่างงั้น แล้วคนก็ชอบแรงบันดาลใจให้หนูแต่งเพลงฟ้ารักพ่อ เริ่มจากหนูไปนั่งกินข้าวกับเพื่อน ในร้านเปิดเพลงลูกทุ่ง แล้วเพื่อนหนูชอบฟังเพลงลูกทุ่ง หนูก็บอกเพื่อนว่า เพลงแม่ผึ้งสมัยก่อนมันเลิศ ดนตรีจังหวะสนุก แล้วเรื่องราวไม่เห็นเกี่ยวกับความรัก แต่ดังทุกเพลงเลย หนูก็เลยมีไอเดียว่า ฉันจะแต่งฟ้ารักพ่อ หนูพูดแค่นั้น แต่มันยังไม่มีไอเดียเลยว่า ฟ้ารักพ่อ มันจะไปในรูปแบบไหน ซึ่งเพลงที่เป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงฟ้ารักพ่อ ก็คือเพลงเงินน่ะมีไหม ของแม่ผึ้ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ฟ้ารักพ่อ หนูจำได้ว่าตัวเองแต่งไว้นานมาก จนหนูก็ไปอัดเพลง น้องเบน วง LUSS บอกว่าไปอัดไว้ก่อนเผื่อหนูได้ยินดนตรีจะได้รู้ว่าอยากใส่อะไรเข้าไปในเพลง แล้วหนูก็ร้องว่า It's me yyy ป๋าสั่งอะไรหรือยัง หนูก็ร้องขึ้นมาแบบนี้ แล้ว พัมกิ้น น้องที่ไปด้วยก็ชอบ เลยให้หนูลองโทรไปชวนพี่ยุ้ย ญาติเยอะ มาฟีทเจอริ่ง หนูก็โทรเลย ซึ่งพี่ยุ้ยก็ตกลง เพราะหนูรู้สึกว่า พี่ยุ้ย เป็นอีกคนที่ชอบร้องเพลงเกี่ยวกับป๋า เกี่ยวกับเสี่ย แล้วหนูอยากให้เพลงนี้เป็นเพลงที่นักร้องกลางคืนได้เอาไปร้อง เพื่อเล่นกับลูกค้า หนูว่ามันน่ารัก”“ถ้าไม่มีฉัน” อยากจะรู้จริง ๆ ว่าเธอจะอยู่ได้หรือเปล่า“เพลง ถ้าไม่มีฉัน มันเริ่มจากหนูป่วยเป็นโรคตับอักเสบแบบเฉียบพลัน เพราะว่าหนูเป็นไวรัสตับอักเสบบีมาก่อน แล้วเป็นช่วงที่หนูภูมิตกก็เลยต้องไปนอนโรงพยาบาล แล้วคุณหมอบอกว่าคนไข้มีสิทธิ์ไตวาย ที่อยู่ ๆ ก็หลับไปเลยได้ พอแฟนหนูรู้เค้าก็โทรไปบอกเพื่อน ๆ หนู แล้วทุกคนมาเยี่ยมหนูเต็มห้อง เค้าก็มาคุยมาเล่น แล้วมันคือช่วงเวลาที่หนูมีความสุขมาก แล้วแอบคิดในใจว่าถ้าสมมติเมื่อกี๊เราตาย เราคงเห็นแก่ตัวมาก เพราะเรามีความสุขแล้วหลับไปเลย แต่ถ้าสมมติว่าเราไม่อยู่แล้ว สงสารเพื่อนนะ มันคงเศร้ากันน่าดู ก็เลยมาเป็นเพลง ถ้าไม่มีฉันส่วนไอเดียการทำ MV เพลงถ้าไม่มีฉัน คือหนูอยากทำ MV เดียว เพราะเปลืองเงิน แล้วก็เกิดไอเดียวว่า ถ้าเอาคนมานั่งรถน่าจะง่าย เล่าว่าชีวิตคนเรานั่งรถมาด้วยกัน ระหว่างทางก็ต้องมีคนลงรถก่อน หนูอยากเล่าแค่นี้ แล้วก็ปรึกษาน้องผู้กำกับ น้องบอกว่าไม่ได้พี่พูดมาเยอะมาก ในทางของผู้กำกับ แล้วก็ลองคิดต่อว่าถ้าเป็นคนจริงมาเล่น คนดูจะต้องรู้สตอรี่ของแต่ละคนอยู่แล้ว อย่าง พี่มิวกี้ กับ พี่แดน ก่อนถ่ายทำหนูแค่บิ้วท์บอกว่า ลองคิดว่าไปเที่ยวด้วยกัน แล้วระหว่างทางจะมีคนหนึ่งลงรถ แล้วพอถ่ายทำเค้าก็ร้องไห้กันเอง หนูซึ่งนั่งอยู่หน้ามอนิเตอร์ หนูก็ร้องไห้ทั้งวัน เราอินกับเรื่องราวของคนที่มาเล่น MV มาก”เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ มิกซ์ เฉลิมศรี“ความรักกับแฟนคนปัจจุบันดีนะคะ เค้าก็น่าจะชินกับชีวิตหนูแล้ว เพราะหนูเป็นคนแบบไปไหนไปเลย โดยไม่บอก แล้วค่อยมาบอกอีกทีตอนถึงแล้ว เราคบกันมา 3 ปีแล้วค่ะ เริ่มต้นความสัมพันธ์แบบนัดเจอเลย แต่มันเป็นช่วงที่หนูไม่อยากมีแฟนแล้ว คิดว่าตัวเองเหมาะกับการอยู่คนเดียว เพราะไปไหนก็ไม่ต้องพึ่งพาใคร จนหนูมาเจอคนนี้เพลง Next love คือเพลงที่หนูแต่งให้แฟนปัจจุบัน คือต้องบอกว่าหนูมีความสัมพันธ์แบบว่านัดเจอกัน แล้วหนูก็ไม่ได้เจอ แต่เค้าชอบโทรหาหนูบ่อยมาก แต่หนูก็บอกเค้าว่าช่วงนี้ไม่อยากมีแฟน ซึ่งเค้าก็บอกว่าไม่อยากมีเหมือนกัน แต่แค่อยากโทรคุยด้วย เห็นว่าเธอน่ารัก หนูก็คุยรับบ้างไม่รับบ้างตามสไตล์ จนเค้าก็มาหา อยู่ดี ๆ เค้าก็สารภาพมาว่า เค้ามีแฟนนะ แต่ก็เหมือนไม่มีเพราะเค้าไม่ได้อยู่กับแฟน แล้วเป็นช่วงที่เค้ารู้สึกว่าแฟนไม่รักเค้าเหมือนเดิมแล้ว หนูก็เลยบอกว่าถ้าจะทำให้ถูกต้องควรไปบอกเลิกกับแฟน เธอไปเคลียร์ตัวเอง เค้าก็หายไปแล้วเค้าก็กลับมาบอกว่าเค้าเลิกแล้ว แล้วเค้าก็มาอยู่แบบนี้กับหนูไปเรื่อย ๆ อยู่ดี ๆ เค้าก็บอกว่า ถ้าอยากขอเป็นแฟนต้องทำยังไง หนูก็เลยรับปากส่ง ๆ ว่า ถ้าอยู่ถึงปีก็เป็นแฟน ซึ่งไม่มีการขอเป็นแฟนใดใด แล้วตอนที่หนูป่วยเค้าก็มานอนเฝ้า ตอนนั้นเค้าเป็นวิศวกรสายก่อสร้าง หนูก็จะเหมือนเดิมที่จะบอกว่าไม่ต้องมา ไปทำงาน หนูอยู่ได้ แต่เค้าก็จะมาเฝ้า จน ณ วันนี้เค้าก็ยังอยู่ในชีวิต แล้วก็แฮปปี้ดีค่ะ”แรงบันดาลใจจาก มิกซ์ เฉลิมศรี“หนูอยากบอกน้อง ๆ ทุกคน ที่อยากจะทำอะไรก็ตาม แค่มองเห็นว่าสิ่งที่เราทำมันเป็นผลดีกับตัวเราแค่นั้นพอเลย แล้วก็ลงมือทำเลย เดี๋ยวทุก ๆ ก้าวที่เราลงมือทำ มันจะพาเราเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ เอง” – มิกซ์ เฉลิมศรีพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1